อีกหนึ่งวิธีในการเรียกเวทมนตร์, อาคม ให้เกิดขึ้นในตัวเอง

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย กุญแจไขปริศนา, 28 ธันวาคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ทำอรูปฌานอากิญจัญญายตนะครับ ว่างของจริง ไม่มีอะไรเลยจริงๆ
    อย่าเผลอตายตอนทรงอารมณ์ฌานนี้หละครับ
    ภูมิอรูปพรหมรอท่านอยู่ - -
    หรือไม่ก็ทำเนวสัญญานาสัญญายตนะเลยครับ ว่างของว่าง
     
  2. กบนอกกะลาตัวจริง

    กบนอกกะลาตัวจริง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +39
    ความว่างเปล่าไรตัวตน
    อันนี้คนที่ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ แต่เมื่อไรที่เรานึกคิดถึง มันจะจมลงสู่งความว่างเปล่าโดยอัตโนมัติเอง
    ----ว่างเปล่า ไรซึ่งสรรพสิ่ง
    ไรซึ่ง โลภ หลง โกรธ ไรซึ่งตัวตน--------------
    แต่ถ้าคุณพูดและนึกถึงคำนี้แล้วยังไม่ดิ่งสู่ความว่างเปล่า ก็แสดงว่าจิตใจส่วนลึกคุณยังไม่พร้อม รองคิดแบบผมเผื่อคุณจะเข้าใจ

    ไรซึ่งสรรพสิ่งไรซึ่งโลภโกรธหลงไร้ซื่งตัว ตน ไรซึ่งความทรงจำ จิตคิดคือคิด อยากทำก็ทำ สนใจก็สน ไม่สนใจก็คือไม่สนใจ ดิ่งสูใจกลางความว่างเปล่าไรซึ่งตัวตนอย่างเดียว

    การที่เราจะเข้าให้ถึงจริงๆต้องลบความทรงจำทั้งหมด ใช้จิตสกด ลบความจำ ใจเราต้องการอะไร ออกคำสั่งในใจ เดียวร่างกายก้อจะทำตามไปเองเสมอ เขาเรียกว่าจิตผสานกาย รองดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2010
  3. กบนอกกะลาตัวจริง

    กบนอกกะลาตัวจริง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +39
    สังเกต เรายิ่งหายใจยาวเท่าไร จิตเรามีสุขมากขึ้น แต่ต้องหายใจอย่างมีความสุขเท่านั้นไม่ใช่บังคับแบบไรสุข เข้าสุขออกก็สุข จมสู่ความสุขแห่งความว่างเปล่าไร้สิ้นสุด แต่อย่าลืมเพ่งใจกลางของใจกลางแห่งความว่างเปล่าเสมอ(อันนี้สำคัญมาก)

    แต่ถ้าคุณยังไม่เข้าใจความว่างเปล่าอีก คุณก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจความว่างเปล่าใหม่แต่ต้น

    ความว่าง ก็ คือความว่างเปล่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น เหมือนห่วงอากาศที่ไม่มีแม้กระทั่งแสงไม่มีความมืด ไม่มีอะไรเลย มีแต่จิตที่มุ่งมั่นสู่ความว่างของความว่างไรขอบเขตไรที่สิ้นสุด
     
  4. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    คุณกำลังทำอากาสานัญจายตนะอยู่นะ
    แล้วระดับฌานถึงไหนแล้วครับ รู้สึกไร้ลมหายใจหรือยัง
    แล้วดิ่งถึงอากาสานัญจายตนะหรือยัง
    แล้วคุณมีอาจารย์คอยดูแลอยู่รึเปล่า
    ทำอรูปฌานไม่ใช่ของเล่นๆนะคุณ มันดีก็จริง แต่ว่าถ้าเสพอารมณ์นั้นมากๆ
    จนจิตติดในอารมณ์นั้น มันก็มีโทษนะครับ
    และอีกอย่าง ถ้าเชี่ยวในการทรงอารมณ์แบบนี้ แล้วถ้าตอนตายทรงอารมณ์แบบนี้ไว้
    อรูปพรหมเลยนะคุณ เสียเวลานะคุณ
    เป็นพรหมไร้อายตนะ5ส่วน มีแต่จิตดิ่งในอารมณ์สมาบัตินั้น
    หูไม่ได้ยิน ตาไม่เห็น จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส สัมผัสก็ไม่มี
    รูปก็ดันไม่มีอีก มันละเอียดจัด - - ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เสพสมาบัติไป จนกว่าจะหมดอายุขัย
     
  5. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,628
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,019
    เห็นด้วยกับ จขกท เป็นอย่างยิ่งครับ ถ้าเราเมตตาเเล้ว มองทุกอย่างในด้านดี มองอย่างมีความสุข คิดในด้านบวก สิ่งดีๆก็จะตามมาครับ อันนี้เรื่องจริงครับ เจริญในธรรมครับ
     
  6. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    ทำอรูปฌานเลยหรอนั่น
    ของผมชาตินี้เอาแค่ฌาน4ช่วงสุดท้ายที่ละเอียดที่สุดก็พอแล้ว
     
  7. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ขอบคุณค่ะ จะเอาไปฝึกบ้าง จะได้มีกำลังใจเข็มแข็ง ^^
    สงบดีค่ะ อ่านหนังสือก็สบายวิธีนี้ อิอิ
     
  8. กบนอกกะลาตัวจริง

    กบนอกกะลาตัวจริง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +39
    อากาสานัญจายตนะอยู่นะ อะไรอย่างที่คุณว่า ระดับขั้นไหนผมไม่สนใจ ผมเพียงแต่จะบอกเหล่าผู้ที่ต้องการวิธีสุดยอด ให้พบหนทางวิธีอีกวิธี 1 ที่จะทำให้ถึงจุดหมาย ที่สุดแห่งที่สุด ถ้ามัวแต่เกรงกลัว ท่านจะสำเร็จจริงๆได้อย่างไร ถ้าฝึกวิชาระดับนี้มันจะตายก็ให้มันตายไปเลย เอาแต่จิตนาการไรขอบเขตแต่ไม่ลงมือทำแล้วท่านจะบรรลุจุดหมายได้อย่างไร ถ้าเอาแต่กลัวก้อไม่ต้องฝึกไม่ต้องทำ แล้ววิธีนี้ผมก็ไม่ได้เรียนรู้หรืออาจารย์ท่านไหน มาสั่งสอน แต่ผมได้วิธีนี้มาด้วยการปฏิบัติฝึกฝนประสพการณ์และพัฒนาต่อยอดมานานนับปีเท่านั้นเอง
    เอาแต่กลัวแล้วท่านจะบรรลุจุดหมายได้อย่างไร
    คนสมัยก่อนสามารถเหาะเหิรเดินอากาศทำโน่ทำนี่ได้สาระพัด ส่วนคนสมัยนี้เล่า แค่ทำปลุกพระสั่นได้ ก็ เป็นข่าวใหญ่โตซะงัน ดูความต่างกันที่ต่างกันแบบไม่อาจเทียบขั้นกับคนสมัยก่อนได้เลย
    มันน่าสงสารยิ่งนัก ท่านไม่สามารถข้ามขี้จำกัดได้เพราะความกลัวเพียงอย่างเดียว เท่านั้นหรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2010
  9. กบนอกกะลาตัวจริง

    กบนอกกะลาตัวจริง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +39
    ท่านฝึกธรรมดาพื้น ท่านจะเก่งเหมือนคนสมัยก่อนได้อย่างไร
     
  10. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกท่าน เพียงแต่ผมเตือนด้วยความหวังดี
    ว่าอย่าได้ติดในอารมณ์นั้นมาก มันมีคุณและโทษ
    ถ้าเอาชัวร์ๆไม่เสี่ยง ก็จตุตถฌานก็พอแล้ว เอาให้ละเอียดๆๆๆๆ
    กำลังก็เทียบได้กับอรูปฌานแล้ว ยิ่งทำจตุตถฌานได้ในระดับถึงขั้นวสี
    ยิ่งมีกำลังมาก หากตายระหว่างนั้นก็ไปเป็นรูปพรหม ไม่เสี่ยงเป็นอรูปพรหมด้วย
    แต่ผมไม่ได้บอกว่าอย่าฝึกอรูปฌานครับ ฝึกไปเถอะครับ ดีแล้วๆ
    ยังไงก็มีสติประคองอยู่แล้ว เพราะฌานพวกนี้ความรู้สึกมันยิ่งก็หลับลึกอีก
    มันดิ่งลงไปมากๆแต่ว่ามันยังมีสติกำกับ ไม่เหมือนหลับ
    พยายามเคลื่อนเข้าออกฌานบ้างครับ อย่าค้างอารมณ์ฌานระดับอรูปฌานไว้นานๆ
    เช่นทรงอารมณ์ไว้สัก1ชั่วโมงก็ถอยไปฌาน4ใหม่สักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยขึ้นไปใหม่
    ทำอรูปฌานเชื่อมกับแค่อุปจาระและฌาน4เท่านั้น ดังนั้นท่านก็เข้าออกระหว่าง
    ฌาน4กับอากาสานัญจายตนะ บ้าง หรือไม่ก็ต่อยอดอรูปฌานเพิ่มขึ้นก็ดีครับ
    แต่ควรเข้าออกฌานขึ้นและลงเมื่อเวลาสมควร
     
  11. กบนอกกะลาตัวจริง

    กบนอกกะลาตัวจริง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +39
    ในเมื่อมีใจให้และหวังดี ไงๆก็กรุณาแล้วช่วยอธิบาย จตุตถฌาน และ ฌาน 4 อากาสานัญจายตนะ คือ อะไร ว่าฝึกอย่างไร ขั้นตอนต่างๆที่จะเข้าฌาน 4 ขอเป็นภาษาพื้นๆชาวบ้านทั่วไปด้วยแล้วกัน เพราะภาษาทางพระคนไม่ตั้งใจบวชเรียนเพื่อไปสอบไม่มีทางรู้เรื่องแน่นอน
     
  12. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สาธุๆ ฌาน4 กับ จตุตถฌานก็คืออันเดียวกันแหละครับ
    เป็นรูปฌานขั้นที่ 4 แล้วจะวัดได้จากตรงไหน???
    ก็วัดจากองค์ฌานทั้ง 5 คือ
    1.วิตก คืออารมณ์จับอยู่ในคำบริกรรม นิมิต
    2.วิจาร คืออารมณ์พิจารณาคำบริกรรม นิมิต
    3.ปีติ คืออาการวูบวาบๆ อาการซู่ซ่า อาการน้ำตาไหล ขนลุก ตัวโคลง
    4.สุข คืออารมณ์สงบ จุดนี้คือสันติ
    5.เอกัคคตา คือความเป็นหนึ่งเดียว อารมณ์เดียว

    ปฐมฌานจะมีอยู่ครบ 5 องค์
    ทุติยฌานจะมีอยู่ 3 องค์ ตัดวิตก กับ วิจาร เว้นจากการภาวนาแล้ว
    ตติยฌานจะมีอยู่ 2 องค์ ตัดปีติออก (ความสดชื่นทางกาย)
    จตุตถฌานเหลือแต่เอกัคคตา มีอารมณ์อุเบกขา สุขลึกๆดิ่งๆ ลมหายใจสงัด คือไม่รู้สึกถึงลมหายใจแล้ว ถือว่าเป็นรูปฌานขั้นสุดท้าย

    ส่วนอากาสานัญจายตนะเป็นอรูปฌาน คือฌานไร้รูป ไม่ยึดอะไรทั้งสิ้น ถือความว่างเป็นสำคัญ อากาสานัญจายตนะ ถืออากาศไม่มีที่สิ้นสุด คือการดึงความว่างเปล่าเข้ามาสู่จิต
    กล่าวคือการดำรงอากาสานัญจายตนะนั้น สามารถทำต่อจากฌาน4ได้เท่านั้น คือต้องถึงฌาน4เสียก่อน ถึงจะเข้าอากาสานัญจายตนะได้ คือการเพิกเฉยจากฌาน4เสีย
    กำหนดจิตเป็นที่ว่างไม่มีสิ้นสุดเป็นอารมณ์

    ข้าน้อยขอแนะนำการเจริญอัปปมัญญาแล้วกัน
    คือเจริญเมตตาก่อนให้ถึงฌาน3 แล้วก็วางอารมณ์เป็นเจริญอุเบกขาแทนที่ให้ได้ฌาน4
    แล้วค่อยวางอารมณ์เป็นความว่างต่อจากฌาน4 เมื่อถึงเวลาอันสมควร แล้วกำลังถึง
    จากนั้นเข้าอากาสานัญจายตนะ ถ้าสำเร็จ ก็คงอารมณ์นั้นไว้เป็นเวลาพอเหมาะ
    ถอยมาฌาน4 ใหม่ แล้วถอยไปฌาน3 คราวนี้เปลี่ยนเจริญกรุณา ถอยไป 2 1
    ถอยไปอุปจารสมาธิ แล้วเจริญมุทิตา เข้าฌาน 1 2 3 ทรงอุเบกขาเป็นฌาน 4
    แล้วก็กำหนดอากาสานัญจายตนะ แล้วก็เข้าออก เป็นอนุโลม ปฏิโลมไปเรื่อย
    ตามท่านจะเห็นสมควรเลย

    ปล.หากมีข้อผิดพลาดตรงจุดไหนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ เชิญผู้รู้มาแก้ไขให้ด้วยนะครับ^^
     
  13. ต้นไม้โพธิ

    ต้นไม้โพธิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +85
    ช่วยสั้นๆก่อนนะครับ ว่างๆจะมาเพิ่มเติม

    เอาแนวปฏิบัติจริงเลย

    เช่นเริ่มต้นที่เพ่งกสิณ จนเห็นนิมิตตติดตา ระดับปฏิภาคนิมิตต

    แล้วหยุดกลางๆของกลางนิมิตต ปล่อยวาง จนเกิดเป็นสภาวะธรรมใหม่ ไม่เรียกว่านิมิตตแล้ว เรียกได้ว่าเป็นอาโลกสัญญา ก็เหมือนนิมิตตแหละแต่เป็นของจริงกว่า แล้วไม่ติดอยู่แค่นั้น ถ้าติดเรียกได้ว่าเป็นวิปัสสนูกิเลศ เราจึงควรละไปเรื่อยๆเรียกได้ว่า อนิมิตตเจโตสมาธิ เป็นการเจริญนิโรธดับสมุทัย เรียกว่า มีนิโรธเป็นโคจร (หรือจะเรียกว่า "การถือเอานิมิตตแห่งวิปัสสนาจิต" นี้ก็เป็นพุทธพจน์นะครับ)

    ตรงนี้เห็นจิตสว่าง อารมณ์ตรงนี้ ปราศจากนิวรณ์ทันที ถ้านิวรณ์ 5 ไม่ดับ เลิกพูด ไม่ต้องมาพูดวิปัสสนากันเลย เป็นแค่วิปัสสนึกแล้ว

    นิวรณ์ 5 ดับ เป็นปฐมฌาน มีอารมณ์ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา เราก็เพ่งเข้ากลางของกลางจิต กลางของกลางองค์ฌาน ปล่อยวางจนละอารมณ์ฌานได้เรื่อยๆเป็นฌานที่สูงๆขึ้นไป จนถึงอรูปฌาน อรูปฌานนี้ไม่ใช่อารมณ์แบบรูปๆแล้ว เรียกว่าเป็นอรูป(ไม่ใช่รูป) แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร รูปฌานไม่ใช่รูป ละเอียดกว่ารูป ส่วนอรูปฌาน ละเอียดกว่ารูปฌานมากๆ

    พิจารณาอรูปฌาน ไปเรื่อยๆจนสุดอรูปฌานที่ 4 (ฌาน 8 ) ดังนี้เป็นอนุโลม

    แล้วถอยอารมณ์กลับเป็นปฏิโลม 8 7 6 5 4 3 2 1 แล้วจึงเดินหน้าต่อเป็นอนุโลม 1 2 3 4 5 6 7 8

    ให้เชี่ยวชาญ(วสี)อย่างน้อยๆ 8 เที่ยว

    สุดท้ายมาหยุดที่ฌาน 4 แล้วปล่อยความยินดีในฌานสมาบัติเสียได้ จะสามารถยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นวิกขัมภนวิมุตติ(หลุดพ้นชั่วคราว) ถึงตรงนี้แล้วเรียกว่าได้ โคตรภูญาณ แล้วครับ หากเจริญโลกุตระวิปัสสนาต่อไปเรื่อยๆจะสามารถละกิเลศได้ เป็นสมุทเฉทปหาน(หลุดพ้นได้ถาวร)

    ทั้งหมดนี้ตามแบบอย่างพระไตรปิฎก ที่พระพุทธองค์ทรงเจริญอาโลกสัญญาไม่มีประมาณ จนเป็นอนิมิตตเจโตสมาธิ และตามพระอรรถกถาจารย์ และคัมภีร์วิสุทธิมรรค และสุดท้ายเจริญตามลำดับพระญาณ ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จเข้าอนุปาทิเสสนิพพาน เมื่อครั้งคราวเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในมหาปรินิพพานสูตร ที่พระอนุรุทธะมหาเถระเจ้าได้เฟ้าติดตามตรวจดู ด้วยทิพยจักษุ อันล่วงจักษุของมนุษย์

    สาธุ

    คาถาสวดตอนไหนก็ได้ ถ้าสวดตอนทรงฌานก็จะสัมฤทธิ์ผลเห็นๆ แต่การอธิษฐานในฌานก็สุดยอดแล้วแม้ไม่รู้คาถา

    การระลึกถึงคาถาหยาบกว่าสมาธินะครับ ดังนั้นสวดคาถาเสร็จต้องเพ่งฌานไปให้ละเอียดๆๆๆต่อไป จะสำฤทธิ์ผลเร็วขึ้น

    แม้แต่คาถาเองก็มีการท่องเป็นอนุโลม ปฏิโลม และพิศดารทั้งแปดทิศ แยก หนุน เดิน ธาตุ ถอดรหัส แจกอักขระ อีกมากมาย การเจริญฌานก็เช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2010
  14. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    <style>.wysiwyg { FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; BACKGROUND: #f5f5ff; COLOR: #000000 } P { MARGIN: 0px } .inlineimg { VERTICAL-ALIGN: middle } </style>สุดยอดครับ ท่านต้นไม้โพธิยา
    สาธุดังๆเลยครับ สาธุๆๆ

    อิอิ มีเยอะครับ พวกวิปัสสยอง นั่งหลับตาคิดๆๆ เกิดมิจฉาทิฏฐิเต็มประดาเลย
    นรก สวรรค์ไม่มี ชาติหน้าไม่มี ชาติก่อนไม่มี เวียนว่ายไม่มี อภิญญาไม่มี %^$%#^
    แล้วอวดว่าตัวเองรู้จริง พวกนี้น่าสยองยิ่งกว่าพวกฌานวิปลาสอีกนะครับ


    ผมว่าอนุโลม-ปฏิโลม เฉพาะรูปฌานก็สุดๆแล้วนะครับ
    ไล่รูปฌานไปอรูปฌานอนุโลม-ปฏิโลมกลับไปกลับมาอีกเหรอครับ สุดๆ - -"


    อิอิ อนุโลม-ปฏิโลมคาถาให้เชี่ยวก็สุดยอดแล้ว
    อนุโลม-ปฏิโลมสมาบัติจะสุดยอดขนาดไหน เกินวิสัยจริงๆ
    สาธุๆ ที่มาเผยแผ่ธรรมะดีๆ
     
  15. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ครับ มองทุกอย่างให้เป็นไตรลักษณ์
    ความทุกข์มันไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นเอง แล้วมันก็ดับของมันเอง
    เราบังคับมันไม่ได้ สำคัญคือเราต้องมีสติ รู้เท่าทัน ตามรู้ตามดู
    ด้วยสติที่ตั้งมั่น....เมื่อมีสติพิจารณาบ่อยๆเข้า......
    สุดท้ายแล้วเราก็จะเห็นว่า แม้แต่ทุกข์ หรือสุขก็มีค่าเท่ากัน
    ไม่ควรค่าแก่การยึดถือ ....เป็นไตรลักษณ์

    อนุโมทนา ครับ

    ..........................................................................................
    -ขอเชิญร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นที่ห้อง "กฎแห่งกรรม-ภพภูมิ" ครับ คลิกที่นี่
    - สนใจเรื่อง "ภพภูมิสวรรค์-นรก" คลิกที่นี่
    - สนใจเรื่อง "บุญ-อานิสงส์การทำบุญ" คลิกที่นี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2010
  16. กบนอกกะลาตัวจริง

    กบนอกกะลาตัวจริง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +39
    ขอบคุณคับ ยอมรับว่าได้ความรู้มาก
    แต่..แค่พูดอย่างเดียว ก็ใช่ว่าจะสำเร็จ ต่อให้ทำตามอย่างที่คุณว่าจนคล่องก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้จริงเพราะนั่นอาจเป็นการหลอกจิตหรือจูงจิตให้คล้อยตาม ปรุงแต่งคิดไปเองคนเดียวก็ได้ แต่เรื่องจริงก็ไม่แน่ว่าใจนำมาใช้กับคาถาได้ เพราะมันก็คือแนวความคิดที่สุดยอดเท่านั้น ถ้าจะใช้ได้จริงก็ต้องรองทำให้เห็นกับตาตัวเองเป็นอย่างน้อย ต้องเข้าใจว่าเรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า ยังไม่มีทางเป็นจริงได้ถ้าไม่ทำให้เห็นได้จริงๆ

    ถ้ามีฝึกอย่างว่าได้แล้วสามารถแสดงผลให้เกิดจริงๆได้ป่านี้ก็เป็นข่าวไปทั่วโลกให้คนได้พบเห็นแล้วแต่นี่ ไม่มีเลยสังเกตได้จากระยะเวลา10--20ปีไม่มีข่าวอะไรแสดงให้เห็นถึงฤทธเดชปฏิหารของจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว เห็นจะมีก็แต่ข่าวโครมลอย คุยโม้กันซะส่วนใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2010
  17. ต้นไม้โพธิ

    ต้นไม้โพธิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +85
    ผมโพสต์ไว้นี้ เน้นการทำนิโรธดับสมุทัย เพื่อเจริญโลกุตระวิปัสสนาเป็นหลักครับ ไม่ได้เน้นเรื่องอิทธิฤทธิ์เดช

    กรุณาเข้าใจว่าทำได้ตามนี้จริงๆมิใช่แค่แนวคิด มิใช่แค่ผม แต่ศิษย์สายนี้มีเป็นร้อยเป็นพันที่เชี่ยวชาญ ที่ยังไม่เชี่ยวชาญอีกมากมายนัก

    ได้อารมณ์ฌานตามนี้เลย แต่ไม่ได้เน้นเรื่องฤทธิ์ ถ้าจะเน้นจะเป็นแนวฤทธิ์ละเอียดมากกว่าฤทธิ์หยาบๆ คุณควรจะลงมือฝึกก่อนถึงจะคุยกันรู้เรื่อง และอย่าคิดไปในทางไม่ดี จะไม่ก่อเกิดประโยชน์อะไร

    เอาแค่เพ่งกสิณ เขาทำกันได้เยอะแยะมากมาย สัมผัสอารมณ์ฌานเพื่อพิจารณาธรรมได้มากมาย(แต่ไม่ได้วสีจนเป็นอภินิหาร)

    หากคุณคิดไปไกลถึงขนาดว่าเป็นการหลอกจูงของจิต อันนั้นไม่ใช่สัมมาสมาธิแล้ว และคุณทำได้หรือยัง แค่อุคคหนิมิตตอ่ะครับ

    ผมก็เจอมาเยอะนะครับ พวกที่นั่งสมาธิไม่ได้อะไรเลย เหมือนมีปมด้อย ก็เลยชอบดักคอพวกที่เขาเก่งสมาธิกัน (พูดโดยรวมนะครับไม่ได้ว่าคุณนะครับ เสวนาข้อมูลครับ)

    ส่วนฤทธิ์หยาบๆ ที่มองห็นกันจะๆ มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าจะทำต้องจริงจังเป็นสิบๆปีต่อเนื่อง ไม่ต้องทำอย่างอื่นใด คนสมัยก่อนเขาทำกันแบบนั้น มันต้องใช้เวลามากเกิน

    ยกเว้นผู้ที่มีบารมีสูง และบุญส่งผลตอนนั้นด้วย

    ส่วนอิทธิฤทธิ์เดชนั้น ผมไม่ค่อยพบแบบแรงๆ จะๆเลยครับ

    ถ้าแนวอธิษฐานจิตแบบละเอียดๆ หรือว่าแนวอิทธิวิธี เช่น คาถาอาคม เล่นแร่แปรธาตุ เรียกสารต่างๆ

    ตีทองแท้ๆเข้ากะโหลก คงกระพันพอสมควร อ่านจิต ดูใจ อนาคตะญาณ อตีตะญาณ ฯลฯ

    ทั้งที่เป็นแนวสมาธิ และแนวคาถาประสิทธิ ผมสัมผัสมามากแล้วจนรู้เลยว่าของใครจริงหรือปลอม

    ยังมีอีกมากแต่เราต้องค่อยๆคุยกัน พอเข้าทางจะเข้าใจเอง ถ้าพูดไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ เรายังไม่รู้จักกันดีก็อย่าพึ่งตันสินกัน

    และอย่าเข้าใจไปในลักษณะว่าผมมาคุยโชว์อะไรเลย ผมมาเสวนาธรรมครับ ถ้าสนใจเป็นธรรมทานก็จะเสวนาต่อนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2010
  18. กบนอกกะลาตัวจริง

    กบนอกกะลาตัวจริง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +39
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Namushakamunibutsu<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2818135", true); </SCRIPT>
    ที่หลังมีใครถามคุณแบบนี้ช่วยอธิบาย ให้เป็นภาษาคนหน่อยตามนี้............กรุณาอย่า.......มากนักมันจะเสียประโยชน์

    สาธุๆ ฌาน4 กับ จตุตถฌานก็คืออันเดียว
    เป็นรูปฌานขั้นที่ 4 แล้วจะวัดได้
    ก็วัดจาก5 ข้อ
    1.อารมณ์จับอยู่ในคำบริกรรม นิมิต
    2.อารมณ์พิจารณาคำบริกรรม นิมิต
    3.อาการวูบวาบๆ อาการซู่ซ่า อาการน้ำตาไหล ขนลุก ตัวโคลง(ปิติหรือจิตหลอน)
    4.สุข คืออารมณ์สงบ จุดนี้คือสันติ
    5.ความเป็นหนึ่งเดียว อารมณ์เดียว

    คือฌาน 1
    ฌาน2มี 3 อาการ ไม่มีวิตก กับ วิจาร(คิดฟุ้งซ่าน) ไม่ต้อง ภาวนา
    ฌาน3มี 2 อาการไม่มีปีติ (ความสดชื่นทางกาย)
    ฌาน4 คิดแต่ สุขลึกๆมากๆ ลมหายใจนิ่งสงบคือไม่รู้สึกว่าลมหายใจ ถือว่าเป็นรูปฌานขั้นสุดท้าย(ถ้า ฌาน 4 เป็นแบบนี้ไม่มีทางใช้คาถาได้แน่นอนเพราะผมเองก็เคยผ่านจุดนี้มาแล้ว)

    ส่วน อรูปฌาน คือฌานไร้รูป ไม่ยึดอะไรทั้งสิ้น ถือความว่างเป็นสำคัญ ถืออากาศไม่สิ้นสุด คือใช้ความคิดถึงแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น
    กล่าวคือการดำรงอากาสานัญจายตนะ สามารถทำต่อจากฌาน4 ได้เท่านั้น คือต้องถึงฌาน4(จิตที่นิ่งไรทุกสิ่ง)เสียก่อน ถึงจะเข้าอากาสานัญจายตนะได้ คือการเพิกเฉยจากฌาน4เสีย
    กำหนดจิตเป็นที่ว่างไม่มีสิ้นสุดเป็นอารมณ์

    ข้าน้อยขอแนะนำการเจริญอัปปมัญญาแล้วกัน
    คือเพ่งเมตตาก่อนให้ถึงฌาน3 (อาการไม่มีปีติ (ความสดชื่นทางกาย))แล้วก็วางอารมณ์กลางแทนที่ให้ได้ฌาน4(ความนิ่งเฉยไรสรรพสิ่ง)
    แล้วทำอารมณ์ว่างต่อจากฌาน4(ความนิ่งเฉยไรสรรพสิ่ง) เมื่อถึงเวลาอันสมควร แล้วกำลังถึง

    และอื่นๆ..............................................................
    สรุป

    .
    .

    พวกท่านอธิบายแบบนี้ไม่เป็นหรือคับ การพูดศัพท์ทางพระแบบสมัยเก่าๆสมัยพระพุทธเจ้าคนทั่วไปจะเข้าใจได้อย่างไร ทำไมไม่พูดตรงๆภาษาชาวบ้านซึ่งจะเข้าใจมากกว่า จริงไม๊รองคิดถึงใจเขาใจเราบ้างเหมือนดังพูดไทยคำ ญีปุ่นคำ ต้องมาคอยนั่งเปิดดิก มันก็ไม่ประติดประต่อกนพอดี จริงมัย เหมือนกับคนเล่น โปรแกรม เอ็กเซล เมนูภาษาไทย 1ปีเก่งกว่า คนเล่น เอ็กเซล เมนูภาษาอังกฤษ 5 ปี ความเข้าใจและพลิกแพรงเข้าถึงเจาะลึก ต่างกันลิบลัพ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะภาษาไทย เราคุ้นเคยย่อมเข้าใจดีกว่าภาษาอังกฤษที่เราไม่คุณเคยถึงแม้เราจะแปลได้บ้างไม่ได้บ้าง
    และการที่คุณฝึกจิตไม่ถึงจุดก็เพราะคุณยึดติดกับ
    ภาษาพระหลายๆคำที่คุณทั้ง2เอาแต่พูดติดปาก แต่ไม่ซึมลึกเข้าสู่สมองส่วนลึกก็เป็นได้ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายแต่ ถูกมองข้ามไป ไม่เชื่อคุณรองเอาภาษาไทยพื้นมาแทนที่คำพระ ซึ่งจะทำให้จิตเข้าถึงได้ดีกว่ามากมาย

    อย่างเช่น ทุกครั้งที่ผมพูด คำว่า---ว่างเปล่า ----จิตผมจะเข้าสู่ความว่างเปล่าทันทีโดยอัตโนมัติ
     
  19. ต้นไม้โพธิ

    ต้นไม้โพธิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +85
    ก็เอาทั้งสองอย่างล่ะครับ ทั้งภาษาโลก และภาษาธรรม

    ผู้ที่สนใจก็ควรใฝ่เรียนรู้ ถ้าจะเอาแต่ง่ายๆจะกลายเป็นมักง่ายไปเสีย

    ลองมองตรงกันข้ามกันถ้าเราใส่ใจเสียอย่าง การพูดภาษาพระ ภาษาธรรมจะทำให้เราได้เข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้ง

    ยกตัวอย่างสวดมนต์ควรสวดทั้งบาลี และคำแปล จะเอาแต่บาลีไม่รู้คำแปลก็เท่านั้น จะเอาแต่คำแปลแต่ไม่สนใจบาลี ก็ไม่เข้าถึงเพียงพอเช่นกัน

    อย่างบางคำก็ควรจะใช้ศัพท์เทคนิค จะใช้ภาษาโลกอย่างเดียวไม่สมควร ต้องค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆเสวนากันไป

    เอาเป็นว่าค่อยๆชี้แจงกันไป ทั้งภาษาโลก และ ธรรม

    และสมควรเอาภาษาธรรมขึ้นเป็นหลักก่อน แล้วอธิบายเป็ภาษาโลกไปด้วย ทำแบบนี้จึงจะสมควรครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2010
  20. กบนอกกะลาตัวจริง

    กบนอกกะลาตัวจริง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +39
    ดีคับถือว่าเราเข้าใจตรงกันว่า เราสนทนาธรรม เพื่อการพัฒนาจิต ไม่ใช่ เถียงเพื่อเอาชนะแบบไรประโยชน์อย่างเดียว
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...