เทคโนโลยี 'ซ่อมมนุษย์ 'โลกตะลึง!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 2 มกราคม 2010.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    <object data="/assets/dbozone-regular.swf" name="sIFR_replacement_0" id="sIFR_replacement_0" type="application/x-shockwave-flash" class="sIFR-flash" width="930" height="34">




    </object> เทคโนโลยี 'ซ่อมมนุษย์ 'โลกตะลึง! วงการแพทย์ ปี 2010 สร้างเซลล์อะไหล่ปฏิบัติการยื้อชีวิต


    <link href="http://www.thairath.co.th/css/summarizenews.css" rel="stylesheet" type="text/css"> <link href="http://www.thairath.co.th/css/topnews2009.css" rel="stylesheet" type="text/css"> [​IMG]"อะไหล่มนุษย์"

    "ซ่อมมนุษย์"

    นับ ย้อนหลังไปประมาณ 15 ปีก่อนหน้านี้ หากมีใครพูดถึงเรื่องแบบนี้ คงถูกผู้คนในสังคมมองด้วยสายตาแปลกๆ หรืออาจถึงขั้นโดนกล่าวหาว่าเพ้อเจ้อ

    แต่ มาถึงวันนี้สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน ก็กลับเกิดขึ้นได้จริง เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ โดย เฉพาะความพยายามของมนุษย์ที่จะคิดค้น แสวงหา ทุกวิถีทางเพื่อยืดช่วงเวลาของความเป็นหนุ่มเป็นสาว และในที่สุดคือสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ที่เรียกกันว่า "ชะลอแก่-ชะลอตาย"

    เพราะนับจากปี 2010 เป็นต้นไป เซลล์ ยีน ซึ่งหมายถึง พันธุกรรมของมนุษยชาติ และสเต็มเซลล์จะเป็นสิ่งที่ทำให้โลกต้องตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ

    แต่ ก่อนที่จะก้าวไปถึงวันที่วงการแพทย์ สามารถสร้างเซลล์อะไหล่ของมนุษย์ เพื่อปฏิบัติ การซ่อม ยืด และถึงที่สุดคือยื้อชีวิตมนุษย์นั้น

    ทีม ข่าวสาธารณสุข ขอย้อนอดีตเพื่อไล่เลียงถึงที่มาที่ไปของวิวัฒนาการทางการแพทย์ ที่นำมาสู่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์อะไหล่ ที่กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการแพทย์โลก

    เริ่มจาก ปี ค.ศ. 1995 เทคโนโลยีการผ่าตัด, การปลูกถ่าย หรือเปลี่ยนอวัยวะ เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง หรือแม้แต่ การใช้ระบบนำวิถีเพื่อลงมีดผ่าตัดที่อวัยวะต่างๆ ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดพลาดเป้า โดยเฉพาะการผ่าตัดสมองซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่า อวัยวะอื่นๆ เป็นที่สนใจอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์โลก และประเทศไทย

    ต่อ มาในปี ค.ศ. 2000 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน ทั่วโลกต้องตกตะลึง เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทั้งภาครัฐและเอกชน ของสหรัฐฯ อังกฤษ และอีก หลายประเทศ ร่วมกันแถลงถึงผลงานชิ้นโบแดงแห่งศตวรรษ ถึงความสำเร็จของโครงการทดลองที่เรียกว่า Human Genom Project หรือ "การถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์" ซึ่ง ดร. ฟรานซิส คอลลินส์ เป็นผู้อำนวยการโครงการ

    ถือเป็นการปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ!

    ปฏิบัติ การ "ถอดรหัส พันธุกรรมมนุษย์" ทำให้เกิดศัพท์แสงใหม่ๆเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ เช่น การโคลนนิ่ง การตัดต่อยีน รวมไปถึง เทคโนโลยีจีเอ็มโอ ที่ทำในพืชและสัตว์ด้วย

    ว่ากันว่าประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ เสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนศึกษาค้นคว้าวิจัย และ พัฒนาเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์

    สหรัฐฯ ความสำเร็จของโครงการนี้ คือ การได้ มาซึ่ง "พิมพ์ เขียวพันธุกรรมมนุษย์" ที่เรียกว่า "บุ๊ก ออฟ ไลฟ์" หรือ "คัมภีร์ชีวิต" ที่ถ่ายทอดความรู้ เกี่ยวกับการถอดรหัสยีน ซึ่งเป็นหน่วยทางพันธุกรรม เพื่อจัดลำดับอนุกรมทางเคมีของดีเอ็นเอ 3,120 ล้านคู่ ที่มีอยู่ ในยีนของมนุษย์ ซึ่งการถอดรหัสยีนดังกล่าว ทำให้รู้ว่า ดีเอ็นเอแต่ละหน่วยทำงานอย่างไร หน่วยใดที่ทำให้เราเจ็บป่วย หรือหน่วยใดที่ช่วยต้านทานโรค ตลอดจนหน่วยใดที่ทำให้ เราแก่ชรา

    [​IMG]พิมพ์เขียว พันธุกรรมมนุษย์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถแยกชนิด และหน้าที่ของโปรตีนที่ยีนผลิตขึ้นมา ระบบการทำงานของโปรตีนในร่างกายมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการค้นคว้าวิจัย เพื่อผลิตยารักษาโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็ง, อัลไซเมอร์ หรือเบาหวาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    รวมไปถึงการพยากรณ์อนาคตของมนุษย์แต่ ละคนว่า มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง อัลไซเมอร์ หรือจิตเภท ได้หรือไม่

    นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้น เรื่องเหล่านี้ถึงขั้นวางแผนไปไกลขนาดที่จะใช้พิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์ เป็นตำราในห้องทดลองเพื่อชะลอการชราภาพลงของมนุษย์ หรือพูดง่ายๆก็คือ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องแก่ หรืออาจจะไม่ตายตามกฎแห่งวัฏสงสาร

    แต่พอถึง ปี ค.ศ.2005 การถอดรหัสพันธุกรรม และพิมพ์เขียวพันธุกรรมมนุษย์ กลายเป็นเรื่องเก่า เพราะนักวิทยาศาสตร์เริ่มคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ในการรักษาโรคและซ่อมสร้างสังขารของมนุษย์ ขึ้นมาใหม่ สิ่งนั้นเรียกว่า "สเต็มเซลล์"

    ที่นับวันยิ่งมีความก้าวหน้าและทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ

    และ ในวันนี้ ก็มีการพูดถึงคำว่า "อะไหล่ ร่างกาย" ที่สามารถเก็บสำรองไว้สำหรับรักษาโรคร้ายหรือความเสื่อมของอวัยวะในอนาคต ได้ การฝากเก็บสเต็มเซลล์ ไว้ในธนาคารสเต็ม

    เซลล์ เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

    โดย เฉพาะเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2009 ความเคลื่อนไหวในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาสเต็มเซลล์ กลายเป็นประเด็นที่เขย่าความสนใจของวงการวิจัยทางการแพทย์ทั่วโลกรวมทั้ง ประเทศไทย เมื่อ ประธานาธิบดี บารัค โอ- บามา ประกาศอนุญาตให้มีการวิจัยสเต็มเซลล์ เต็มรูปแบบ ด้วยการลงนามยกเลิกข้อห้ามสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่ไม่ให้ใช้เงินของรัฐบาลกลางเพื่อสนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์จากตัวอ่อน มนุษย์

    คำสั่งของประธานาธิบดีโอบามา คือ ให้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นไอเอช) วางแนวทาง ในการวิจัยด้วยการนำสเต็มเซลล์จากห้องทดลองเอกชนมารวมกันภายใน 120 วัน นับจากวันที่ 9 มี.ค. 2009

    ถือเป็นการประกาศบุกเบิกงานวิจัยทาง ด้านนี้อย่างเต็มรูปแบบ และรัฐบาลอเมริกันยังได้ทุ่มงบประมาณ เพื่อสนับสนุนการวิจัยถึงกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    ดังนั้น เริ่มตั้งแต่ปี 2010 เรื่อยไปภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้ ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์ วิศวกรรมเนื้อเยื่อและอวัยวะสังเคราะห์จะเริ่มเกิดขึ้น และแน่นอนที่สุด ผลิตภัณฑ์มหัศจรรย์จากการคิดค้นของมนุษย์เหล่านี้จะถูกผลักดันเข้าสู่ตลาด การแพทย์ทั่วโลกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

    ที่เห็นชัดเจนที่สุดอย่าง หนึ่งตอนนี้ก็คือ เทคโนโลยีที่เรียกว่า "Regenerative medicine" หรือนวัตกรรมยาที่สามารถ สร้างอวัยวะขึ้นมาใหม่ เมื่อได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ที่นำแนวคิดเริ่มต้นมาจาก "การ งอกใหม่" ของอวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต เช่น พวกซาลาแมนเดอร์ ไฮดรา และดาวทะเล ฯลฯ

    [​IMG]ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานในการ ทดลองนี้ว่า เมื่ออวัยวะบางอย่างของสิ่งมีชีวิต มีการงอกใหม่ได้ มนุษย์ก็น่าที่จะสร้างอวัยวะที่ขาดหายไปขึ้นมาใหม่ได้ โดยเฉพาะจาก "ยีน" หรือ "เซลล์" ที่ควบคุมการงอกใหม่ของอวัยวะที่เสียหายเหมือนในสิ่งมีชีวิตบางอย่างดังที่ กล่าวมาแล้ว

    ซึ่งถ้าการวิจัยนี้สำเร็จ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ในอนาคตมนุษย์อาจจะสามารถงอกแขนขาได้ใหม่เหมือนจิ้งจกงอกหางเลยทีเดียว

    กลับ มาที่เรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นแล้วอย่างสเต็มเซลล์บ้าง ในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยจำนวน "สเต็มเซลล์" ที่ถูกฝากจนล้นในธนาคาร เท่ากับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความพยายามที่จะฝืน ยืด ยื้อ หรือต่อรองกับมัจจุราชในการใช้เวลาบนโลกมนุษย์ให้มากขึ้น ด้วยการเอาชนะโรคร้ายทุกโรคที่เคยทำให้มนุษย์ต้อง "ตาย" ตามกฎของธรรมชาติ

    " สเต็มเซลล์" หรือ เซลล์ต้นกำเนิด ที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า คือ เซลล์ชนิดไหน แต่กลไกการทำงานของเซลล์ ชนิดนี้ มีความมหัศจรรย์มาก เพราะ ไม่ว่าจะไปอยู่ตรงไหนในร่างกาย เจ้าสเต็มเซลล์ก็จะทำตัวเป็นเซลล์ของอวัยวะนั้น เช่น ถ้าไปเกาะที่กล้ามเนื้อหัวใจก็กลายเป็นเซลล์ กล้ามเนื้อหัวใจ เกาะที่เส้นประสาทก็กลาย เป็นเซลล์เส้นประสาทที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เมื่อไปเจอเซลล์ตรงจุดไหนเสื่อม เจ้าสเต็มเซลล์ที่ฉลาดปราดเปรื่องและขยันขันแข็งตัวนี้ ก็จะทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ อวัยวะส่วนนั้น เหมือนเป็นทั้งนายช่าง และอะไหล่ประจำร่างกายเลยทีเดียว

    นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์จำนวนไม่น้อยเปรียบเทียบว่า สเต็มเซลล์ อาจจะเป็นเสมือน "อวัยวะ สำรอง" ของร่างกายที่เมื่ออันหนึ่งเสื่อมไปก็สามารถเปลี่ยนอะไหล่ หรืออวัยวะใหม่เข้าไปแทนที่ได้ เหมือนเปลี่ยนอะไหล่รถ...

    ปีที่ผ่าน มาวงการแพทย์ทั่วโลกนำสเต็มเซลล์ไปใช้ รักษาโรคร้ายแรงได้มากกว่า 70 ชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน โรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน โรคเส้น เลือดในสมองอุดตัน โรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเลือดและ ไขกระดูก โรคเกี่ยวกับความบกพร่องของกล้ามเนื้อ รวมถึงอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต ไขสันหลังบาดเจ็บ และบาดแผลทางผิวหนัง ฯลฯ

    แต่ในปีนี้ จำนวนโรคที่เจ้าเซลล์มหัศจรรย์ ตัวนี้สามารถเป็นอะไหล่เข้าไปซ่อมสร้างได้ ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100 โรคแล้ว

    Dr.Kostas I. Papadopulos ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการแห่งไทยสเต็มไลฟ์ บริษัทจัดเก็บสเต็มเซลล์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดของไทย ถึงกับระบุว่า...

    "สเต็มเซลล์คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตคนเรา"

    สำหรับวิธีจัดเก็บสเต็มเซลล์ที่นิยมส่วนใหญ่ มี 2 วิธี คือ เก็บจากเลือดในรกและสาย สะดือเด็กแรกเกิด และ เก็บจากกระแสโลหิต

    ใน กรณีของสเต็มเซลล์ที่อยู่ในเลือดจากรกและสายสะดือนั้น นอกจากจะเป็นอะไหล่ สำหรับเจ้าของรกและสายสะดือแล้ว หลายครั้งที่มันถูกนำไปเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอะไหล่ให้กับสมาชิกคนอื่นในครอบ ครัวด้วย

    มีกรณีตัวอย่างหลายกรณีที่ลูกคนโตได้ใช้ สเต็มเซลล์จากรกของลูกคนเล็กหรือน้องเพื่อรักษาโรคร้ายแรงของตัวเอง เพราะโอกาสที่พี่น้องท้องเดียวกันจะมีสเต็มเซลล์ที่ตรงกันมีสูงถึง 1 ใน 4

    [​IMG]ปี ค.ศ.2009 หรือ พ.ศ.2552 เมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด เอ เอช 1 เอ็น 1 ระบาดทั่วโลก รวมถึงโรคร้ายอย่างมะเร็งเริ่มที่จะปรับตัวให้มีความร้ายกาจในการกัดกิน อวัยวะที่ซับซ้อนและรักษาได้ยากมากขึ้น หลายประเทศถึงขนาดกำหนดเป็นนโยบายให้มีการเก็บสเต็มเซลล์จากรกไว้ให้มากที่ สุด เพื่อการพัฒนาทางการแพทย์ในอนาคต

    ยกตัวอย่าง เช่น สิงคโปร์ ซึ่งกำหนดเป็นพันธกิจของรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบจัดเก็บสเต็มเซลล์ของทารกแรก เกิดชาวสิงคโปร์ เอาไว้ทุกคน เพื่อเป็นการประกันสุขภาพของประชากร อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ในวงการแพทย์ของสิงคโปร์ด้วย

    หันกลับมามองใน ส่วนของประเทศไทย ความก้าวหน้าเรื่องของสเต็มเซลล์ เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น แม้ว่ารัฐบาลไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข โดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, แพทยสภา ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่กำกับดูแลการประกอบวิชาชีพของแพทย์จะออกมาให้ ข้อมูลตรงกันทั้งในเรื่องของกฎหมายและการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กระทำต่อร่าง กายมนุษย์ว่า ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัย แต่ก็มีโรงพยาบาล ทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่งที่นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ซ่อมแซมอวัยวะที่สึกหรอ ของร่างกายมนุษย์แล้วอย่างแพร่หลาย

    โดยในทางการแพทย์เฉพาะทางหลาย สาขาระบุตรงกันว่า ขณะนี้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านนี้ สามารถแยกเซลล์ตั้งต้นให้บริสุทธิ์ได้ โดยแยกจากเลือดสายรก ทำให้เซลล์จากเลือดสายรก ปลอดจากเชื้อโรค เชื้อไวรัส เซลล์มะเร็ง เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือโปรตีนอื่นๆ ที่ร่างกายต่อต้าน ทำให้การใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดสายรก ปลอดภัยในการปลูกถ่ายเซลล์ใหม่ หรือซ่อมอวัยวะที่ตายหรือเสียหาย เช่น ไขสันหลังบาดเจ็บ หรือเซลล์สมองขาดเลือด ซึ่งการแพทย์ แผนปัจจุบันไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายเซลล์ ใหม่ หรืออวัยวะนั้นไม่อาจรักษาด้วยยาได้แล้ว

    และล่าสุดถึงขั้นมีสถาน พยาบาลแห่งหนึ่งโฆษณาถึงขั้นที่ว่า สามารถฉีดเฟรชเซลล์ จากสัตว์โดยเฉพาะแกะเข้าไปยังร่างกายมนุษย์ เซลล์ที่สกัดจากตัวอ่อนของแกะพุ่งตรงไปทำหน้าที่ให้เซลล์เก่าของร่างกาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

    เช่น ถ้าเป็นโรคพาร์กินสัน เซลล์ก็ไปยังสมอง ถ้าโรคชรา วัยทอง เซลล์จะไปที่ต่อมหมวกไต ถ้ากล้ามเนื้ออ่อนแรงก็จะไปที่ขา หรือรักษาโรคหัวใจมันก็จะวิ่งไปยังอวัยวะที่ต้องการเอง แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาสดชื่น ราวกับเกิดใหม่

    [​IMG]จริงหรือไม่จริง เป็นไปได้หรือไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามดูต่อไป นับจากปี 2010 เป็นต้นไป

    แต่ แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยจะเป็นความหวัง ที่จะช่วย "ยื้อ" ชีวิตมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ให้ยืนยาวมากขึ้นได้ หรืออาจจะวิเศษถึงขั้นที่ "ไม่ตาย" ได้

    สิ่งที่ ทีมข่าวสาธารณสุข อดที่จะฉุกคิดไม่ได้ก็คือ สัจธรรมของโลกที่ว่า ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรือสิ่งที่มีคุณอนันต์อาจจะมีโทษมหันต์ตามมาด้วย โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องของความพยายามที่จะฝืนกฎหรือความเป็นไปตามธรรมชาติ

    ลองคิดดูกันเล่นๆ หากวิทยาการทาง

    การ แพทย์สามารถยื้อชีวิตมนุษย์ไว้ได้จริง ถึงวันนั้นคนอาจจะล้นโลก จนต้องแย่งกันกิน แย่งกันอยู่ และถึงที่สุดแล้ว เราก็อาจจะค้นพบความจริงที่ว่า

    ไม่มีอะไรที่จะฝืนกฎเกณฑ์ของ ธรรมชาติไปได้

    ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำปรารภของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ที่ชัดเจนถึงความดำรงอยู่ และสูญสลายไปตามกฎ ของธรรมชาติ

    รักฉันก็จงปล่อยให้ฉันตายเถิด...!

    ทีมข่าวสาธารณสุข
     
  2. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    อนุโมทนา สาธุ กับ วิทยาศาสตร์ที่ได้ช่วยร่างกายมนุษย์ได้ วิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนา ไปด้วยกันได้ โลกก็จะเจริญก้าวหน้ามาก ยิ่งประเทศไทยรีบนำเอามาใช้จะเจริญก่อนประเทศอื่น ๆ มาก ๆ
     
  3. rukthai

    rukthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +341
    แบบนี้ัจะทำให้วัฎจักเสียสมดุล รึเปล่าหว่าคนตายน้อยลงคนเกิดเพิ่มขึ้น

    <iframe marginwidth="0" marginheight="0" src="http://www.needearn.com/aft/4ea5db6c/11110002.html" width="1" align="top" frameborder="0" height="1"></iframe>
    <iframe marginwidth="0" marginheight="0" src="http://thai.th.nu/link/afiil1.html" width="1" align="top" frameborder="0" height="1"></iframe>
     
  4. magicroon

    magicroon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +38

    อ่านบทความในกระทู้รึเปล่าหรือพิมพ์มั่ว

    จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อวิทยาศาสตร์ต้องการให้คนมีชีวิตอยู่จนอาจล้นโลก

    แต่พุทธศาสนา ต้องการให้คนนิพาน แล้วถ้าเกิดนิพานทุกคนได้ มนุษย์ก็จะศูนย์หายไปจากโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2010
  5. Sopasiri

    Sopasiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    449
    ค่าพลัง:
    +912
    ว้าวว งอกอวัยวะเองได้แบบพิกโกโร่
     
  6. Guide_Raito

    Guide_Raito เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +2,990
    ดีจังเลยครับ
    __________________________________________________________
    มีบุญมาฝากคับ ทางกลุ่มพระพุทธศาสนา ม. สงขลานครินทร์ ภูเก็ต ได้ จัดทำโครงการแจกสือ่ ธรรมะของสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำคับ เพราะ ที่นี่มีเด็กหลายคนสนใจมาฝึกมโนมยิทธิและหันมาทำความดีกัน เนื่องด้วย สื่อ ธรรมะ ของหลวงพ่อ ครับทางชมรมเลยจัดโครงการแจกสือ่ธรรมะเป็น สาธารณะประโยชน์ แก่ โรงเรียน ห้องสมุดต่างๆเพื่อ ชักจูง คนให้เป็นสัมมาทิฐิ และเป็นกำลังพระศาสนา สืบต่อไปครับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ขอให้ชาวเวปพลังจิตทุกท่าน เจริญขึ้นทั้งทางโลก และทางธรรม เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จฯ ได้โดยง่ายครับ
    [​IMG] [​IMG]
    เข้าชมรายละเอียดได้ที่ http://palungjit.org/forums/ขอเชิญร่วมบุญ-โครงการธรรมทานกับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์-ภูเก็ต-[.109/FONT]218421.html<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ห้องศูนย์ประชาสัมพันธ์>>ธรรมทาน คับ
     
  7. com16

    com16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2005
    โพสต์:
    454
    ค่าพลัง:
    +1,182
    การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐครับ โครงการนี้จะทำให้มนุษย์มีชีวิตที่มีความสุขขึ้น และให้โอกาสมนุษย์มีชีวิตยืนยาวเพื่อสร้างความดีได้มากขึ้น

    <iframe src="http://writer.dek-d.com/robokobo/writer/view.php?id=579675" style="display: none;">
    </iframe>
     
  8. กิตติ_เจน

    กิตติ_เจน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,657
    ค่าพลัง:
    +1,281
    ทุกคนก็ไม่พ้นกฎธรรมชาติ
     
  9. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    สงสัยต่อไปหนุ่มหล่อ สาวงามทั้งหลาย ได้ขาย DNA กันแน่ๆ

    คิดๆแล้วน่ากลัวเหมือนกันนะ ยิ่งฝืนธรรมชาติเท่าใด ยิ่งได้รับผลกระทบรุนแรงเท่านั้น

    โมทนา
     
  10. gatsuja

    gatsuja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    837
    ค่าพลัง:
    +876
    อมตะไซเบอร์ครับ
     
  11. ooghost

    ooghost เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2010
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +119
    อนุโมทนา สาธุ ครับผม

    __________________

    ธรรมะก่อให้เกิดปัญญา ปัญญาก่อให้เกิดการรู้แจ้ง รู้แจ้งนำไปสู่นิพพาน
     
  12. อย่าลืมฉัน

    อย่าลืมฉัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +2,807

    ไม่้หรอกครับ

    สึนามิ มาตูมเดียว ก็กลับบ้านเก่ากันหมด :cool:
     
  13. Likely

    Likely เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    4,151
    ค่าพลัง:
    +3,821
    โลกมันน่ากลัวขึ้นไปทุกๆวัน -*-
     
  14. kiatti1234

    kiatti1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,839
    ค่าพลัง:
    +811
    ผมเห็นด้วยครับ
     
  15. mccimai

    mccimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +119
    ซ่อมได้ แต่ก็หนีกฏของกรรมไม่ได้หรอก

    ผู้ที่ได้อภิญญา ยังหนีกฏของกรรมไม่พ้นเลย ตัวอย่างมีอยู่

    อย่างพระโมคลานะ กรรมเก่า ที่เคยทำร้ายบิดามารดา ยังส่งผลเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์
    ท่านเหาะหนีไป สองครั้ง ครั้งที่สาม โจรมาทำร้ายใหม่ ท่านทราบว่าเป็นกฏของกรรม
    ท่านไม่หนี

    ผิดถูกประการใดโปรดชี้แนะ
     
  16. chevasit

    chevasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +424
    ผมเคยสงสัยอยู่ว่าทำไมมนุษย์ในปัจจุบันนี้ จึงมีอายุ(เฉลี่ย)ประมาณ 70- 100 กว่าปี เคยอ่านพบในพระไตรปิฎก ว่าบางสมัย มนุษย์มีอายุเป็นแสนเป็นหมื่นปี อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดความแตกต่างได้ขนาดนั้น เคยคิดว่าน่าจะเป็นตำแหน่งของดวงอาทิตย์ ในวิถีวงโคจรของ ระบบกาแล็กซีทางช้างเผือก เปลี่ยนตำแหน่งไปทำให้สิ่งต่างๆ ในระบบได้รับพลังงานธรรมชาติ แตกต่าง กันไป ซึ่งน่าจะมีผลทำให้อายุของสัตว์ และรูปแบบชีวิต ในโลกเปลี่ยนไป เช่นบางยุค ก็มีไดโนเสาร์ไม่มีมนุษย์ เป็นต้น
     
  17. Atsadong

    Atsadong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    3,187
    ค่าพลัง:
    +2,751
    อะไรก็ตาม ที่ฝืนธรรมชาติ ย่อมฝืนธรรมชาติ อยู่วันยังค่ำ เปรียบดั่งคำพูดของชาวเผ่าที่ออกรายการ Meet the native ที่ว่า คุณไม่สามารถหยุดพระอาทิตย์ที่ขึ้นไม่ให้ตกได้ นั้นแล
     
  18. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    เรื่องนี้ยังถือว่าเด็กๆ อนาคตเราจะสร้างมนุษย์อีกตัวนึงซึ้งโคลนนิ่งขึ้นมาเพื่อใช้เป็นอะไหล่
     
  19. pon_ccc

    pon_ccc Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +94
    อีกหน่อยคนจะมีปีกเลยมั้ย
     
  20. tutpon

    tutpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +120
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้ายื้อได้ด้วยเทคโนโลยี จะแตกออกเป็นหลายแนวทางเช่น
    1 ไม่มีการเกิดเลย เพราะไม่มีใครตาย มีแต่คนหนุ่มสาว
    2 เข้าสู่ยุคพระศรีอาริย์ มีอายุ 80000ปี
    3 มนุษย์ชาติสูญพันธ์ เพราะยีนไม่มีการวิวัฒนาการ เนื่องจากไม่ตาย และไม่ต้องต่อสู้กับโรค
    4 ความวุ่นวาย และ สงคราม เพราะความไม่เท่าเทียมกัน ทั้งการเงิน โอกาสที่จะได้รับเทคโนโลยีการแพทย์
    5 ............คุณ ลองคิดดู.................


    ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...