เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์

หนังสือตาที่สาม เล่ม ที่ 12 และ 13 คาดว่า จะเสร็จ ทันงาน "วิทยาศาสตร์ ทางจิต"
ที่ พันทิพย์พลาซ่า ชั้น 8 ระหว่าง 10-13 ธค. 52...คงพิมพ์แค่พอชายหมด เท่า นั้น
พบกันที่บู๊ธ 88 86-87-88...ชั้นแปด...10.00-18.00น

 

วันเสาร์ ที่ 17 ตค 52เปิด ยู๊ธ ปกติ 9.00-16.30น
...........................................................
วันอาทิตย์ ที่ 18 ตค. 52 หยุด 1 วัน ไปทอด กฐิน 3 วัด แถว อยุธยา/ ชัยนาท
วัดโกโรโกโส/ วัดสะแก/ วัด หัวตะพาน
....................................................................
โปรดอย่ามาเก้อ
...........................................................

เนื่องจาก จะไป ทอดกฐิน...การเชิญพระอริยะสงฆ์/พระเกจิอาจารย์ลง ..คามโปรแกรม
จึง ยังไม่เริ่ม
.........................................................................

 

ประกาศ

เนื่องจาก ชมรม คนตาทิพย์ ได้
แนะนำให้ ผู้คน รู้จักการทำตัว ให้อยู่ในสิ่ง แวดล้อม ที่เหมาะกับตัว
เรื่อง การแต่งตัว /สีเสื้อผ้า / ของประดับ นานา ชนิด/
การแขวนห้อยพระเครื่อง ที่ไม่ทำร้าย ตัว เอง ทำให้ อายุ สั้น
......................................................................
ตรวจการแพ้ อาหาร ที่ ทำให้แพ้ และป่วย/ อะไร กินได้ หรือ ไม่ได้
ใชสอ่งของประจำวัน เเช่นไร...จึงจะปลอดภัย...ฯลฯ
.........................................................................
ช่วยเหลือผู้คน มานับ พันคน...นับว่า เป็น งานที่หนัก
.......................................................................
ตัเงแต่ 6 ปี ที่ ผ่านมา..ปีแรกๆๆ มีผู้คนมาใหม่ๆๆ..และสนใจกันพอสมควร
แต่แปลก ยิ่ง เวลาผ่านไป.
จำนวนผู้คน ที่ มาให้ ตรวจ กลับไม่เพิ่มขึ้น ตามจำนวนประชากรที่เพิ่ม.
.ทำให้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
เช่น ค่า เช่า ค่า น้ำ ค่าไปฟ..ไม่สมดุลย์
..............................................................................
ดังนั้นหลังจาก เสร็จ วิทยาศาสตร์ ทางจิต วัน ที่ 10 -13 ธค. 52
บู๊ธจะปิดตัวลง...ไม่ดำกิจกรรม ต่อ
คาดว่าการปิด จะลง ตัว ประมาณ ต้นมกราคม 2553
.........................................................................
The Third Eyes
....................................................

 

อาจารย์สามตาจะปิดอีกแล้วเหรอคะ เหนื่อยก็พักก่อนค่า แต่ว่าอาจารย์นั่ง
ที่บ้าน มีที่จอดรถให้พวกเราไปกวนก๊ะดี ตรวจพลัง ต้องลองตรวจพลังแบบใช้กล้อง
จะได้ไม่ต้องลำบาก ขับรถไปๆมาๆ พักผ่อนที่บ้านไปในตัว แต่ว่าคนใหม่ๆ
คงไปพบลำบากนะคะ

แก้ไขวันที่ให้ค่ะ อาทิตย์ที่ 18 นี้ ปิดบูธไปทอดกฐิน อนุโมทนานะคะ

พรุ่งนี้จะแวะเอาที่พิมพ์ไปให้อาจารย์นะคะ นานหน่อยเพราะว่า เวปเสียบ่อย
และแก้ไขที่พิมพ์ผิดนิดหน่อยค่ะ

 

บู๊ธจะปิดตัวลง...ไม่ดำกิจกรรม ต่อ
คาดว่าการปิด จะลง ตัว ประมาณต้นมกราคม 2553
ปิดจริงๆ หรอค่ะ คุณสามตา เพิ่งมารู้จักกระทู้นี้ประมาณ 2-3 วัน ที่แล้วเอง เคยคิดอยากจะไปที่บู๊ธด้วย หมดหวังแน่เลย แอบไปสุ่มๆ มองๆ ก็ยังดี 5555(เหมือนคนโรคจิต)
ขอบคุณสำหรับ เรื่องทุกเรื่องที่เล่าผ่านเว็บนี้นะค่ะ อ่านแล้วสนุกมากและก็เชื่อทุกเรื่องที่เล่าจ้า ๆๆๆๆๆๆ

ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะที่มาบอก วันงานวิทยาศาสตร์ทางจิตเพราะ คิดอยากจะไปแต่ไม่รู้ว่าปีนี้จัดวันไหน ที่ไหน

สุดท้ายก็ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ นะค่ะ

 

คงต้องไปหาอาจารย์สามตาให้ได้ซะแล้ว ตามอ่านมานานมากๆ
คิดว่าสักวันจะไปให้อาจารย์ตรวจออร่า เวลานั้นคงเป็นต้นเดือนหน้าแน่นอน ก่อนบูทจะถูกปิดตัว

 

วันเสาร์คงต้องลุ้นว่าจะไปทันหรือเปล่า พอดีอีกท่านที่จะไปด้วยติดกิจเอานักเรียนไปปลูกป่า ถ้าฝนฟ้าไม่ตกน่าจะมาทัน

ใจคอน๊า จะปิดจริงๆเหรอ แล้วหลังจากนั้นจะไปพบได้ที่ใหนล่ะค่ะ

 

อาจารย์ครับ วันพุธ บ่าย ๆ จะไปเยี่ยม อ. ที่บู๊ต ครับ ไม่ได้สนทนาธรรมกะ อ. นาน งานยุ่งๆ ครับ

 

ถ้าสะดวกและมีเวลาพอ ไปหาอาจารย์ที่บู๊ทดีกว่าครับ ฝึกจับพลังของจริง

เป็นเอง รู้เห็นเอง พอเป็นแล้ว เราก็พึ่งพาตนเองได้ อีกอย่างก็คือ......


ถ้าอาจารย์หรือรุ่นพี่ตอบ จะกลายเป็น 1และ2 , 2และ4 , แล้วก็ 4และ8

คงเข้าใจนะครับ

 

อาจารย์ครับ เลื่อนไปปิดปลายๆมกราคม 2553 ได้มั้ยครับ
พอดีช่วงต้นมกราคม ศิษย์มีโปรแกรมไปเข้าอบรมที่ กทม.น่ะครับ
กะไว้ว่าจะแวะเข้าไปกราบอาจารย์ด้วยน่ะครับ
ยังไงก็รอศิษย์ก่อนนะครับ อย่าพึ่งปิด

 

ขอโทษนะคะ ตะโกนเรียก หรือกวักมือเรียกคะ
ถ้าอันเชิญมา ยังพอรับได้น่ะค่ะ คุณ
หากไม่รัก ไม่เคารพก็อย่าตีเสมอ เทวะไม่ใช่ของเล่น

 

องค์ท่านมีความเมตตาถ้ามีจิตที่ดีมีธรรมมะ ในการที่จะเจริญในธรรมการเชิญท่านมา เพื่อรู้
เพิ่อสอนในธรรมท่านย่อมเมตตามาให้แต่ ถ้าทำโดยอวดอุตริตั่งตนเป็นดังที่คุณว่าคงจะ
ไม่สามารถเชิญใครมาได้เลย และถ้าจิตไม่ดีงามก็ยอมไม่สามารถ สัมผัสจิตของท่านได้เช่นกันครับ
ถ้าพูดกันให้จริงก็คือไม่ได้เหมือนการทรงเจ้าอย่าที่เข้าใจแต่เป็นการขอเมตาจิตเชิญท่านมา แต่สภาวะจิตท่าน
ยังอยู่ในขั้นเหนือกว่า พรมโลก ยามมาย่อมเหนือกว่าเรา ขึ้นไปกว่าสามเมตร ถ้าสภาวะจิตที่ไม่ดี
ย่อมไม่สามารถ รับรู้ถึงตัวตนท่านได้ ผมก็เป็นคนนึ่งที่ไม่เชื่อการทรงเจ้า เพราะรู้และเห็นได้ด้วยตนเอง
ไม่มีเทพเทวดาองค์ไหนเข้าสู่สภาวะกายหยาบแห่ง มนุษย์ จะลงในรายละเอียดจะต้องเขียนกันยาว
ครับ

 

สิ่งใดที่ดี
คิดดี
ทำดี
ประพฤติดี
เจตณาดี
ย่อมเกิดมงคลต่อทุกสิ่ง

 

ถูกใจ....อย่างแรง

 

อ่านเรื่องคาถาชินบัญชร ปกติเราไม่ได้สวดคาถานี้ เพราะชอบบทอื่นมากกว่า เช่น ธารณะปริตร
แต่ที่สวดบ่อยที่สุดและซาบซึ้งมากที่สุดก็คือ บทนะโม แต่ก็เคยท่องชินบัญชรมาบ้าง
เราคิดแค่ง่ายๆว่าการสวดมนต์ไม่ว่าจะเป็นบทสวดใด ล้วนแต่เป็นการขอต่อสิ่งที่ดีดี
ขอความคุ้มครอง ขอความมั่นคง ขอสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ขอชีวิตให้ไปถูกทาง
บางครั้งขอความหลุดพ้น บ่อยครั้งเราก็ขอปัจจัย ขอทรัพย์สินเงินทอง ขออาชีพ
บางทีก็ขอความสบายใจ
เราไม่เคยสมาทานศีล ไม่เคยนั่งสมาธิ เราไม่มีขั้นตอนอะไรมากมายในการสวดมนต์
แต่ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ หรืออยากตั้งใจขอจากบทสวดมนต์ เราก็เพียงแค่กราบ
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เพื่อน้อมตนต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และไม่คิดอะไรมากมาย^^'
หากว่าวันใดเราอยากจะสวดชินบัญชร สำหรับเรา ความตั้งใจก็มีเพียงแค่กราบเพื่อขออาราธณา
ต่อสิ่งที่ดีงาม ยิ่งใหญ่ว่า ให้มาสถิตย์ปกปักรักษาทั้งสังขารร่างกายและจิตวิญญาณของเรา

สำหรับเราแล้ว การสวดมนต์ไม่ว่าจะเป็นบทใด เราคิดง่ายๆเพียงเท่านี้
เราคิดแค่เพียงว่าเราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ซึ่งบางครั้งปกปักรักษาตนเองไม่ได้
บางครั้งหลงผิด คิดผิด บางครั้งมีความทุกข์ในการดำรงชีพ เราช่วยตัวเองง่ายๆ
ที่ทำได้ ก็เพียงแค่กราบอย่างนอบน้อม และมีศรัทธาต่อสิ่งที่เรากราบ
ซึ่งเราคิดแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีงามก็เท่านั้นเอง

ทัศนะในการสวดมนต์สำหรับเรา ไม่ว่าจะเป็นบทสวดมนต์ใด เรามีความเชื่อมั่นว่า
หากคนเราฝึกท่องบ่นด้วยถ้อยคำที่ดี ฝึกน้อมนำตัวเองให้มีความอ่อนน้อม
ฝึกให้ใจเราอยู่นิ่งอยู่กับบทสวดมนต์ เราว่ามันก็เป็นความเคยชินที่ดีที่เราทำให้กับจิตใจของตัวเราเอง
การกระทำซ้ำๆบ่อยๆที่ดี เช่นการกราบพระ การสวดมนต์ ก็อาจจะน้อมนำพาจิตใจของเราให้ละเอียดขึ้น
สูงส่งมากขึ้นจนอาจถึงขั้น เกิดปัญญารู้แจ้งหลุดพ้นจากความทุกข์ของโลก
ได้ในสักวัน----------

 

ส่วนการพิจารณาธรรมง่ายๆ บางครั้งก่อนนอนหรือขณะนั่งสวดมนต์
เราก็นั่งนิ่งๆคิดเพียงว่า ตัวเราเกิดมาก็ตาย ตายไปแล้ว อะไรที่เราชอบ
ก็ไม่ใช่ของเรา ญาติพี่น้องพ่อแม่ ก็ไม่ใช่ของเรา เราถูกดีดกระเด็นออกจากระบบ
ด้วยความตาย แม้แต่ความเคยชินหรือ ยุคสมัยที่ เราอยู่ ที่เรากิน
ก็จะไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งจะสิ้นสุดหรืออาจคงอยู่นานเท่านาน
ตราบเท่าที่เรายังคงสร้างสัญญา ยึดมั่นตัวตนและความเคยชินของเราไว้
ว่ามีอยู่จริง

เราเริ่มฝึกคิดแบบนี้ เมื่อเราคิดได้ อย่างน้อยหากจะต้องเกิดอีก
จะได้ไม่มีความผูกผันจากภพชาติเก่ามาบั่นทอนชีวิตของเราได้


นอกจากนี้เราจะเน้นคำอธิษฐานเพื่อความมุ่งมั่นในชาติต่อๆไปด้วย
เรารวบรวมเรียบเรียงให้ครอบคลุมเท่าที่ เราจะคิดได้ เราจะขอพรด้วยถ้อยคำเช่นนี้ทุกครั้งที่เรากราบ
ว่านอกจากให้ช่วยปกปักรักษาทั้งสังขารร่างกาย จิตวิญญาณ ตลอดจนทรัพย์สินเงินทอง
ข้าวของต่างๆ ให้แคล้วคลาดจากภยันอันตรายและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ขอให้แคล้วคลาดจาก
ภัยคนพาล ขอให้แคล้วคลาดจากบ่วงมาร และตราบใดที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ให้ห้วงของการเกิด
ขออย่าได้ขาดแคลนปัจจัยและทรัพย์สินที่ต้องใช้ในชีวิต ขอให้มีครอบครัวที่ดีที่อบอุ่น
ขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมีอาการครบ32ประการ เป็นผู้มีสุขภาพจิตดี เป็นผู้มีสติ
ปัญญาแก้ไขปัญญาในการดำเนินชีวิตได้ ขอให้เป็นผู้คิดถูก ทำถูก อย่าหลงเดินไปในทางที่ผิด
ขอให้ มีครูบาอาจารย์ที่ดีคอยชี้นำทาง และขอให้เกิดปัญญารู้แจ้งในธรรมที่ทำให้หลุดพ้นจาก
ความทุกข์ของห้วงแห่งวัฏฏะสงสารนี้ด้วยเทอญ



----------
(เมนต์นี้เว่อร์ไปไหมเนี่ยะ^^) แต่ก็ฝึกคิด ฝึกมอง และสั่งตัวเองด้วยคำอธิษฐานแบบประมาณนี้
กะว่าเกิดอีกเผื่อจะได้ลำบากน้อยๆหน่อย
แต่ที่สำคัญ เราพยายามฝึกตัวเองไม่ให้โกรธ ไม่ให้เกลียด ไม่ให้อาฆาตพยาบาทใคร รวมถึง
พยายามทำใจไม่ให้รัก ไม่ให้ชอบ พยายามไม่ยึดติดทั้งดีเลว
แต่ก็ยังเป็นขั้นของความพยายาม(มากก) เพราะความโกรธ ความหลง ความขาดสติ ความอยากมีสำหรับเราแล้ว มันยังวิ่งปรูดปราดแซงหน้าความพยายามอยู่เรื่อยๆ

 

เรื่องเกี่ยวบทสวด..จบไปแล้ว ครับ
อย่า เอาขึ้นมาวนใหม่...เดี๋ยว จะ โต้แย้งกันอีก
.......................................................
เห็นด้วยที่คุณ รู้จักคุณ ค่า บทสวด ธารณปริต
เป็นคาถาที่ดี เฉพาะ คัว...หาคนรู้รักน้อย บางคนไม่เคยได้ ยินเลย
ต้นแหล่งสวดเอามาจาก พม่า ที มีศาสนาพุทธแพร่ในประเทศ นั้นมาก่อน ประเทศ ไทย นับ พันปี...ที่ดี ที่ สุด คือ พุกาม ที่ แสดง ความรุ่งเรือง สูง สุด ของศาสนาพุทธในพม่า
......................................................................................
การฝึก จิต ที่กำลัง แพร่หลาย ที่ เรียกว่า "โกเอ็นก้า" นาน 10 วัน
แหล่งกำเนิด ก็มาจาก พม่า โดย พระพม่าที่ ชื่อ "อูบาขิ่น"
แล้ว พระชาวอินเดีย ชื่อ "นารายัญ โกเอ็นก้า " นำมาขยาย ไป ทั่วโลก
และในประเทศ ไทย กำลังขยายศูนย์ฝึกที่ ว่า ออกไป ทั่ว ประเทศ คาดว่าใน
อีกไม่นาน จะมีมากกว่า 14 ศูนย์
การที่ จะไปเข้า ฝึก ต้องจอง ที่ นั่งล่วงหน้า เป็น เดือน
..................................................................
คนที่เคยไปเข้า ฝึก คงจะเข้าใจดีว่า ดีอย่างไร
.....................................................
ที่สำคัญ...ฝึกอบรมฟรี...ไม่เสียเงิน
เพราะเป็น องค์กร การกุศล
.......................................................
......................................................

 

อนุโมทนาครับ ที่รู้จักฝึกตัวเองให้ก้าวหน้าขึ้นไป ดีแล้วล่ะครัีบ....

ผมต้องขออนุญาตอาจารย์ นำบทความที่ผมได้โพสท์ไว้ ในห้องกฏแห่งกรรม

มาเป็นเครื่องพิจารณา ประกอบความเพียร เพื่อความเข้าใจในธรรมชาติ

ที่แท้จริง คงเป็นประโยชน์มาก สำหรับพี่น้องที่อยู่ในกระทู้นี้ครับ

-----------------------------------------------------------------------

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนว่า “อดีตได้ผ่านพ้นล่วงเลยไปแล้ว

อย่าเสียดายและเสียใจกับอดีต ส่วนอนาคตก็ยังมาไม่ถึง อย่าวิตกกังวล

กลัวอนาคต จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เมื่อทำปัจจุบันดีแล้ว อนาคตย่อมดีเอง

ตรงกับลักษณะที่ว่า "เมื่อเหตุดี ผลย่อมดี”


บางคนชอบเอาอดีตที่ไม่พึงพอใจ ที่คับข้องใจ ที่ไม่สบายใจ ที่มีความโกรธ

มาครุ่นคิด ให้จิตใจเกิดความเสียดาย เสียใจ ผิดหวัง แค้นเคือง และกลุ้มใจ


ผู้ฉลาด ย่อมนำอดีตมาเป็นบทเรียนสอนใจเท่านั้น นำมาเป็นครูไว้สอนตนเอง

เตือนตนเอง ยับยั้งตนเอง ที่จะไม่ให้ประวัติศาสตร์ ต้องซ้ำรอย


สิ่งใดผ่านพ้นไปแล้ว ก็ให้ผ่านพ้นเลยไป อย่าโง่...หวลไปเอามาคิดนึก ปรุงแต่ง

ให้เป็นทุกข์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีคนเขาตำหนิเรา 1 ที แต่เราเป็นทุกข์ นำมาตำหนิ

ซ้ำตั้งหลายที แบบนี้เราขาดทุนย่อยยับ ดังนั้นสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว ลืมมันเสีย

จงให้อภัย แล้วใจเราจะสบาย


บางคนชอบเอาอนาคต มาวิตกกังวลล่วงหน้า โดยที่เมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ

เหตุการณ์ก็หาเป็นไป ดังเช่นที่ตนเคยวิตกกังวล หรือเคยกลัวเอาไว้ไม่


คนเราส่วนใหญ่มักขาดสติลืมตัว ชอบเพ้อฝัน ฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นา ๆ ในเรื่อง

ของอดีตบ้าง อนาคตบ้าง หารู้ไม่ว่า อดีตเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจเรียกกลับมาได้

อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เพราะถึงเมื่อใด ก็กลายเป็นปัจจุบันอยู่ดี


ดังนั้น จงอยู่กับปัจจุบันทุกขณะ จึงมีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด

 

คำว่า “ปัจจุบัน” ในทางพระพุทธศาสนา หมายเฉพาะ ปัจจุบันในขณะจิตหนึ่ง

เท่านั้นเอง ในขณะที่........


ตาเห็นรูป...เห็นแสงสี เห็นสิ่งของ เห็นบุคคลตัวตน

หูได้ยินเสียง...ดัง / เบา เสียงเพราะ ไม่เพราะ

จมูกได้กลิ่น...หอม / เหม็น / ไม่มีกลิ่น

ลิ้นกระทบ...รสหวาน /ขม / เผ็ด / เปรี้ยว / มัน

กายสัมผัส...ความร้อน / เย็น / อ่อน / แข็ง

ใจกระทบ...สภาวะธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิด


เมื่อมีการกระทบ หรือสัมผัสต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ก็เป็นอดีตไปแล้วสิ้น และขณะจิต

ที่กำลังจะมาถึงในอีกวาระหนึ่ง ต่อจากขณะจิตปัจจุบัน ก็คือ อนาคต

โดยความเป็นจริงแล้ว ชีวิตคนเรามีเพียงขณะจิตเดียว นอกนั้นอดีต และอนาคต

ล้วนเป็นสิ่งลวงตา ไร้แก่นสาร และแม้แต่ขณะจิตเดียวในปัจจุบัน ก็ย่อมผ่านพ้น

ไปในที่สุด ไม่อาจเอากลับคืนมาได้


ทุกสิ่ง เป็นเพียงกระแสธรรมชาติล้วน ๆ ที่ไหลเรื่อยไป มีการเกิดขึ้น

ตั้งอยู่ ดับหรือสลายไป / เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป / เกิดขึ้น ตั้งอยู่

และดับไป เป็นนิรันดร


เซลล์ต่าง ๆ ที่รวมตัวกันขึ้นเป็นร่างกาย หรือรูปขันธ์ ก็ทะยอยกันเกิดขึ้น

ใหม่ แล้วทำหน้าที่อยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็ตายไป และก็ทะยอยเกิด - ตาย

/ เกิด - ตาย ไปตลอดชีวิต


สิ่งต่าง ๆ จะทำหน้าที่อยู่ชั่วขณะ แล้วก็ดับไป และจะเกิดขึ้นอีก เพื่อทำหน้าที่

แล้วก็ดับไปอีก เป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นของมัน เช่นนั้นเอง........


หากมนุษย์ผู้ใด ได้รู้เท่าทันธรรมชาติและกฎแห่งธรรมชาติ ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง

จนสามารถปลดปล่อย หรือลดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งทั้งหลายทั้ง

ปวงไปได้บ้าง มนุษย์ผู้นั้นย่อมโชคดี ที่ไม่เสียชาติเกิด...

 

วันนี้ก่อนกลับบ้าน แวะไปหาอาจารย์สามตาที่บูธ จอดรถหน้าบูธขวางถนน เลยรีบไปหน่อย
เรียกเสียอาจารย์ตกใจ ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ

อาจารย์สามตามีกิจกรรมไหว้พระอริยสงฆ์ตั้งแต่เสาร์นี้ ใจจริงกะว่าจะไปทุกวัน ถือว่าเป็นศิริมงคล
กะไปทั้งๆที่ส่วนตัวไม่มีพระเครื่อง พระพุทธรูปนี่แหละ ไม่สะสม ที่มีอยู่บ้านก็พยายามส่งต่อ ใกล้จะหมดแล้ว หุๆ
หยุด 3วัน 23-25 ต.ค. กรุงเทพคงจะเบาบาง เสาร์อาทิตย์นี้หาโอกาสไปบูธกันนะคะ บางคนลำบาก
ไปกราบพระพุทธรูปถึงต่างจังหวัด ไกลๆก็ดั้นด้นไป ส่วนตัวกลมไม่ได้อยู่ช่วยอาทิตย์นี้ค่ะ
ไปต่างจังหวัด พาตัวเล็กไปกราบคุณปู่คุณย่าสักหน่อย อาทิตย์หน้าจะขนprinterไปให้
อาจารย์นะคะ รอให้เขาติดแทงค์ให้ก่อน จะได้พิมพ์แบบไม่เสียดายน้ำหมึก หมดก็เทใส่เลย

ส่วนเรื่องสวดมนต์เคยทำลิงค์ไป ใครที่สนใจคำสอนของศาสดาต้น คือพระพุทธเจ้า
ก็ไปหาอ่านพระไตรปิฎกเอา เอาแค่ที่สอนคฤหัสถ์ อ่านแล้วไม่หายไปไหนหรอกค่ะ
จะเกาะติดจิตของเราไปตลอด ชาติต่อไปจะได้อ่านต่อง่ายๆ พุทธองค์บัญญัติให้พระสงฆ์
เป็นผู้นำคำสอนท่านมาเผยแพร่ ให้เป็นภาษาท้องถิ่น วันที่ไปงานศพคุณตา เราก็
นั่งฟังพระสวด คนมางานศพที่เป็นคนแก่ ก็สวดกันบาลีล้วนๆ เลยถามตัวเองว่า แปลว่าอะไร
เราได้ประโยชน์อะไร ได้เรียนบาลีกะเขาที่ไหน ถ้าไม่เห็นตาลปัตร ที่แต่ละอัน เขียนว่า
ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น และอยู่ใกล้ๆโลงศพ คงไม่รู้ว่าสอนอะไร
ถ้าคุณตาไปเกิดชั้นจาตุมหาราชิกา ท่านก็คงแปลได้อัตโนมัติ ถ้าเป็นผีเฉยๆจะรู้มั้ยน้อ

แต่ยังไงท่านก็มาหาตอนกลางวันก่อนเผานะคะ เจ้าหมาน้อย มันมองเห็น หอนกลางวัน
นั่งซะเรียบร้อย คราวอิ๋งๆ เพราะคุณตาเคยมานอนป่วยบ้านนี้นานเหมือนกัน
แล้วในงานสวดศพกลางคืนที่บ้านท่านเอง พอพระมาครบ(มา4วัดๆละรูป) คัทเอาท์
ดับทันที ประมาณท่านเจ้าของงานมาเตือนผู้ร่วมงานว่า เตรียมตัวๆพระมาแล้ว
ต่ออีกนิด หลังจากงานเผาไป 7วัน ก็ได้กลิ่นอยู่แค่แถวชิงช้าที่ตัวเองนั่ง
ตอนแรกก็คิดว่าลูกรื้ออะไรหรือเปล่า เขาก็ไปดมบอกไม่มี แต่ได้กลิ่นตุๆเหมือนกัน
เดินออกนอกบ้านก็ไม่มีกลิ่น เลยส่งบุญไปให้คุณตา อุตส่าห์มาเยี่ยม เหอะๆ

ส่วนงานศพตัวกลม จะบอกให้ลูกนิมนต์พระที่ท่านสอนเป็นคำไทยค่ะ
งานตัวกลมนะคะ ไม่ใช่งานคนที่จะมาแย้ง หุๆ เจ้าของระบุก่อนตายเชียว 555555