ประวัติ-ธรรมะ ลป.แหวน สุจิณโณ

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]

    [​IMG]

    ๑. พระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ

    พระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระอริยสงฆ์ที่เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่ง จากพุทธศาสนิกชนทุกเทศทุกวัย ทั้งในและ ต่างประเทศ

    แม้หลวงปู่จะได้ลาขันธ์ไป ตั้งแต่คืนวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ แต่ความทรงจำในกระแส เมตตา ปฎิปทาสัมมาปฎิบัติ จริยาวัตรที่งดงาม พร้อมกับธัมโมวาทอันล้ำค่า ของหลวงปู่ ก็ยังส่อง สว่างอยุ่กลางใจของพวกเราชาวพุทธทุกผู้ทุกนาม

    เมื่อน้อมระลึกถึงหลวงปู่ที่ไร ความสุข สงบ ความโสมนัส ชื่นบาน ความสมหวัง โชคดี ความเป็นสิริมงคล จะดื่มด่ำอยู่ในจิตใจ อย่างไม่รู้อิ่มรู้คลาย

    ผู้ที่โชคด มีโอกาสกราบไหว้ องค์หลวงปู่ ได้เคยฟังการปรารภธรรม แสดงธรรม จากหลวงปู่ ต่างก็ประจัษ์ความไพเราะ นุ่มนวลละมุนละไม ประดุจเสียงทิพย์ที่ไพบูลย์ด้วยธรรมะ อันเป็นสากลสัจจะ ยังความอิ่มเอิบ เบิกบาน และเป็นมงคลยิ่งแก่ชีวิต

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นผู้สืบเนื้อนาบุญอันไพศาล นับเป็นพระอริยสาวก ที่ควรแก่กราบ ไหว้บูชาอย่างแท้จริง

    ท่านเจ้าคุณ พระวิบูลธรรมาภรณ์ แห่งวัดสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพๆ ศิษย์ใกล้ชิดท่านหนึ่ง ได้รจนาถึงปฎิทาของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ดังนี้ :-

    " หลวงปู่แหวนท่านมีศีลที่สมบูรณ์ คือเป็นพระสงฆ์ที่มีความปกติครบถ้วนไม่เกินหรือขาด สภาพของท่านเปรียบเสมือนป่าใหญ่ที่มีต้นไม้ใหญ่เล็กนานาชนิด ทั้งยืนต้น และล้มลุก มี ดอก ใบ ผล สมบูรณ์ ตามสภาพของพันธ์นั้นๆ จะมีต่างอยู่ก็คือกลิ่นของดอกไม้ ในป่า หอมตามลม แต่กลิ่นศีลของหลวงปู่หวลตามลมและทวนลม และ ไม่นิยมกาลเวลา หอมอยู่เสมอ

    หลวงปู่มีจริยาวัตร คือความประพฤติที่เรียบร้อย งดงาม เต็มพร้อมด้วยสิกขา วินัย กฎระเบียบ การปฎิบัติของท่านเรียบง่าย ถูกต้องทั้งในสมาคมสาธารณะ และในที่รโหฐาน จะเป็นที่ชุมชนใหญ่ เล็ก ท่านทำตนเป็นกลางเสมอเหมือน ความประพฤติของท่าน เสมือนต้นไม้ใหญ่ ที่มีร่มเงามาก มีกิ่งก้านสาขาแผ่กว้างให้คนเดินทางได้อาศัยร่มเงาพัก นกกาอาศัยเกาะกิ่ง มีกาฝากก็ขึ้นแซม บ้างบางครั้งบางคราว
    หลวงปู่ท่านมีปฎิทา คือทางดำเนินสายกลางพอเหมาะพองาม ไม่ชอบระคนด้วยกลุ่มชนมาก ชอบหลีกเร้นอยู่ในที่สงบ ชอบชีวิตธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร ชีวิตของท่านอยู่กับป่ามาโดยตลอด แม้ในวัยชรา หลวงปู่จะปรารภเสมอว่า ขณะนี้ป่าธรรมชาติจะหายไป แต่มีป่ามนุษย์เข้ามาเทนที่ โดยท่านให้คติว่า ต้นไม้ในป่าต่างต้นต่างเจริญเติบโต แสวงหาอาหารเลี้ยงต้น ใบ ดอก ผลของมัน เอง ไม่แก่งแย่งเบียดเบียนกัน แต่มนุษย์ก็มีทางดำเนินเลี้ยงชีวิตตรงกันข้ามกับต้นไม้ในป่า

    หลวงปู่ท่านมีเมตตาธรรมเป็นเลิศ มีสมาธิดี มีพลังจิตสูงเปี่ยมด้วยเมตตา ถ้าได้สนทนาธรรม กับท่าน สิ่งที่เป็นคำสอนอันสำคัญสำหรับชาวเราทั่วไป ก็คือ ท่านจะสอนให้หัดแผ่เมตตา ความปราถนาดี แก่คน สัตว์ ศัตรูหมู่มาร จะสอนให้แผ่ให้ทั่วจักรวาล ยิ่งแผ่มากจะทำให้จิตใจ สบาย รักชีวิต ทรัพทย์สินของคนอื่นเหมือนกับของตนเอง หลวงปู่ท่านสอนให้แผ่ความปราถนาดี ความสุขแก่ชนทุกชั้นทุกระดับ ใครจะได้รับมากน้อยสุดแต่วาสนาบารมีของผู้นั้น

    สรุปได้ว่า หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วย ศีล จริยวัตร ปฎิปทา คุณธรรม แผ่ขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งตามลมและทวนลม เกียรติคุณ บริสุทธิคุณ ปรากฎในชุมชน ทั่วไป คุณแห่งศีล และเมตตาของท่าน เป็นเสมือนมนต์ขลัง ก่อให้เกิดศรัทธาปสาทะ มีคนจำนวน มากเดินทางไปกราบขอศีลขอพร ขอบารมีธรรม และบางรายขอทุกอย่างที่ตนมีทุกข์ เพื่อจะให้ พ้นทุกข์ ทำให้เกิดศรัทธาสองทาง คือ คุณธรรม และวัตถุธรรม ผู้ใดต้องการธรรมะ ก็สดับตรับฟัง ศึกษาเอา ผู้ใดต้องการของขลัง รูปเหรียญวัตถุมงคลที่ระลึก ก็แสวงหาเอา ใครผู้ใีดปราถนาหรือ ศรัทธาอย่างใดก็ปฎิบัติอย่างนั้น ซึ่งก็คงสำเร็จประโยชน์ไม่มากก็น้อย "

    ในสมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ประชาชนจากใกล้ไกล ต่างแห่แหนไปกราบ หลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ ได้ปรารภถามว่า "พากันลำบากลำบนมากันทำไม"

    คำตอบจากประชาชนเหล่านั้นก็คือ " ต้องการมากราบบารมีของหลวงปู่ " หลวงปู่ได้แนะนำว่า
    " บารมีต้องสร้างเอา เหมือนอยากให้มะม่วงของตนมีผลดก ก็ต้องหมั่น บำรุงรักษาเอา ไม่ใช่แห่ไปชื่นชมต้นมะม่วงของคนอื่น ต้องไปปลูก ไปบำรุงต้นมะม่วงของตนเอง การสร้างบารมีก็เช่นกัน ต้องสร้างต้อง ทำเอาเอง "
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๒. แผ่เมตตาไม่มีประมาณ

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านสอนให้ศิษย์ทุกคนได้หัดแผ่เมตตา คือส่งความปราถนาดีแก่คน สัตว์ ศัตรูหมู่มาร โดยแผ่ไปให้ทั่วจักรวาล ยิ่งแผ่มาก ก็ยิ่งทำให้ในสบาย รักชีวิตและทรัพย์สิน คนอื่นเหมือนกับของตนเอง สังคมก็จะมีความสุขสงบอย่างถ้วนทั่ว

    หลวงปู่แนะวิธีแผ่เมตตาให้บังเกิดผล โดยให้ทำตนและจิตใจเหมือนมารดาที่เลี้ยงลูก ให้ความรัก ความเอ็นดูสงสาร มุ่งหวังจะให้ลูกสุขกายสบายใจ มีอาชีพการงาน มีวิชาเลี้ยงตนเอง ได้ ความรักที่แม่ให้กับลูกเป็นความรักที่บริสุทธิ์ไม่มีพิษภัย และไม่ต้องการผลตอบแทนจากลูก มีแต่ให้อย่างเดียว
    ถ้าเราแผ่เมตตาเหมือนกับพระอาทิตย์ส่องแสง เมตตานั้นจะมีพลังสูงยิ่ง เพราะธรรมชาติของ พระอาทิตย์ขณะที่ส่องแสงไม่ได้เลือกชุมชน สรรพสัตว์ยากดีมีจน อยู่ที่สูงหรือที่ต่ำ จะใกล้หรือไกล ก็ได้รับความร้อนเท่ากัน

    เมตตาธรรมก็เ่ช่นกัน ขอให้แผ่ไปให้แก่ชนทุกชั้นทุกระดับ ใครจะรับได้มากน้อย สุดแต่ วาสนาบารมีของผู้นั้น

    ผู้เขียน (รศ. ดร.ปฐม นิคมานนท์) เพิ่งประจักษ์ในความวิเศษ ของพระพุทธศาสนาเมื่อปี ๒๕๒๖ นี้เอง ก่อนหน้านั้นมัวไปลุ่มหลงศึกษาวิทยายุทธจากฝรั่งชาติตะวันตกอยู่นาน และเพิ่งมารับสัมผัสบารมีธรรมของหลวงปู่แหวน ในปี พ.ศ.๒๕๓๓ เมื่อครั้งติดตามหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ไปกราบหลวงพ่อเปลี่่ยน ปญฺญาปทีโป ทีวัดอรัญญวิเวก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

    หลวงปู่แหวน ท่่านเคยอยู่ที่วัดป่าบ้านปง(วัดอรัญญวิเวก ในปัจจุบัน) นานถึง ๑๑ ปี ก่อนจะ ย้ายไปพำนักที่ดอยแม่ปั๋ง และหลวงพ่อเปลี่ยน ก็ได้ตามไปอุปัฎฐากหลวงปู่ เสมอมา จนกระทั่ง วาระสุดท้ายในชีวิตของท่าน

    หลวงพ่อเปลี่ยน เล่าให้ฟังว่า "ทุกคืน หลวงปู่แหวน ท่านจะแผ่เมตตาไปทั่วจักรวาล แต่แปลก ที่ประเทศรัสเซีย กับประเทศบริวารรับกระแสเมตตาของท่านได้บ้างเล็กน้อย ส่วนเวียดนามไม่ ยอมรับเลย สะท้อนกลับคืนหมด ประเทศเขาจึงวุ่นวายตลอด มาภายหลังก็เริ่มรัรบได้มากขึ้น และหลวงปู่ บอกให้หลวงพ่อเปลี่ยน ช่วยแผ่เมตตาให้ประเทศเวียตนามมากๆ ให้ทำทุกคืน หลวงพ่อเปลี่ยน ท่านว่า

    " พลังจิตของหลวงปู่เปรียบได้กับแสงพระอาทิตย์ ของอาตมา เป็นแค่แสงหิ่งห้อย เปรียบกันไม่ได้ แต่อาตมาก็ทำตามที่หลวงปู่บอกทุกคืน ตอนนี้เขาิเริ่มดีขึ้น และจะดีขึ้นเรื่อยๆ ..." หลวงพ่อปรารภว่า ท่านอยากเอาหนังสือธรรมะไปแจก โดยเฉพาะแจกให้ " พวกตัวใหญๆ" ซึ่งท่านรู้ว่าควรจะแจกให้ใคร และที่ใด เป็นการช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง

    จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้เขียนจึงได้มีส่วนร่วม ด้วยการไปหาผู้แปลและจัดพิมพ์หนังสือ "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก" ซึ่งเป็นคำเทศน์ของหลวงพ่อ ออกมาเป็นภาษาเวียตนาม ตามความ ประสงค์ของท่าน
    ณ จุดนั้นเป็นต้นมา ผู้เขียนและครอบครัว จึงได้เริ่มสัมผัสกระแสเมตตา และได้รับรู้เรื่องราว เกี่ยวกับบารมีธรรม ของหลวงปู่แหวนมาโดยลำดับ นับเป็นบุญและเป็นมงคลยิ่งแก่ชีวิต ตลอดมา
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๓. ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นพระป่าธรรมดาๆ ไม่มียศศักดิ์ หรือตำแหน่งใดๆ แต่คุณธรรม ความดีของท่านก็ยังคงอยู่ในความทรงจำ ของมหาชน อย่างกว้าวขวางตลอดมา

    หลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพของท่านแล้ว อัฐิของท่านได้แปรเปลี่ยนเป็นพระธาตุ ใสดังแก้วผลึกทีงดงามมาก ประจักษ์แก่ตาแก่ใจของผู้ได้ได้เห็น จึงไม่มีความสงสัยเคลือบแคลง ในความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส ในจิตของท่าน

    เมื่อครั้งยังดำรงขันธ์อยู่ หลวงปู่ มีจิตคงที่ ไม่แสดงอาการขึ้นลงตามกระแสรใดๆ ไม่ว่าอะไร จะเกิดขึ้นกับท่่าน ท่านไม่รู้สึกหวั่นไหว ไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร ใครอยากขอ อยากทำอะไรกับ ท่านก็ทำไป ถ้าไม่เป็นการล่วงละเมิดวินัยสงฆ์ ท่านจะเมตตาสงเคราะห์ให้เสมอ

    การเทศน์การสอนของหลวงปู่ ท่านมักสอนให้ละอดีต ให้ละอนาคต โดยท่่านบอกว่า "นั่นมัน ธรรมเมา ถ้าจะให้เป็นธรรมา ต้องให้จิตแน่วนิ่งลงในอารมณ์ปัจจุบัน"

    ใครถามประวัติหนหลังของหลวงปู่ ท่านจะบอกว่า " ฮาบ่มีอดีต ฮาบ่มีอนาคต" ซึ่งแสดงว่า จิตของท่านตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ปัจจุบันเสมอ

    ผู้รู้ในแนวทางพระพุทธศาสนา อธิบายว่า " ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่แต่ในอารมณ์ปัจจุบันได้เสมอ กิเลสเครื่องเศร้าหมองย่อมจะครองใจไม่ได้ แล้วกิเลสอะไรจะครองใจของหลวงปู่อยู่อีกละ ?"

    ใครไม่เชื่อว่า หลวงปู่แหวน เป็นพระอรหันต์ ก็ตามใจ !
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๔. ชาติภูมิ

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ มีภุมิลำเนาเดิมอยู่ที่บ้านโป่ง ตำบลหนองใน ปัจจุบันคือ ตำบลนาใน อำเภอ เมือง จังหวัดเลย เมื่อตอนเด็ก หลวงปุ่มีชื่อว่า ยาน เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๓๐ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน บิดาชื่อ นายใส รามสิริ ปู่และย่าไม่ปรากฎชื่อ มารดาชื่อ นางแ้ก้ว รามสิริ ยายชื่อ ยายขุนแก้ว ตาชื่อ ตาขุนแก้ว

    อาชีพของบิดามารดาคือทำนา สืบเชื้อสายมาจากชาวหลวงพระบาง อพยพมานานแล้วหลาย ชั่วคน อาชีพพิเศษอย่างหนึ่งของนายใส ผู้บิดา คือ เป็นช่างตีเหล็ก มีความชำนาญในการหลอม เหล็ก ตีเหล็กมาก เป็นที่เลื่องลือของคนในถิ่นนั้น

    หลวงปู่มีพี่น้อง ร่วมบิดา มารดาเดียวกันอยู่ ๒ คนคือ หลวงปู่กับพี่สาวชื่อ นางเบ็ง ราชอักษรมารดาถึงแก่กรรมตั้งแต่หลวงปู่ยังเล็ก บิดาได้มีภรรยาใหม่อีก ๓ คน ตามลำดับดังนี้
    ภรรยาคนที่สอง มีบุตร ๑ คน คือนายคำ เมื่อภรรยาคนที่สอง ถึงแก่กรรมอีก บิดาก็ได้ภรรยาคนที่สาม มีบุตรสาว ๑ คนชื่อ นางนำ หลังจากคลอดลูกสาวไม่นาน ภรรยาคนที่สาม ก็ถึงแก่กรรมอีก บิดาจึงมีภรรยาคนที่สี่ มีบุตร ธิดา ๔ คน บุตรชายชื่อ นายฝ้าย และบุตรสาวชื่อ นางกองคาย นางตาบ และนางพวง ตามลำดับ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๕. มารดาขอให้บวชตลอดชีวิต

    เมื่อหลวงปู่แหวนอายุได้ประมาณ ๕ ขวบ โยมมารดาเริ่มป่วยกระเสาะแระแสะ รักษาเยียวยาหมอพื้นบ้าน ตามที่มีในสมัยนั้น อาการก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ทรงกับทรุด ลงเรื่อยๆ แม้โยมมารดามีสุขภาพที่ไม่แข็งแรง แต่ท่านก็เป็นคนใจบุญสุนทาน ไหว้พระ ทำบุญเป็น ประจำ โยมมารดารู้ตัวว่า นางคงอยู่ได้ไม่นาน จึงเรียกลูกชายเช้าไปหา จับมือลูกรัก ไว้แน่น แล้วพูด เป็นการสั่งเสียว่า "ลูกเอ๋ย แม่ยินดีต่อลูก สมบัติใดๆ ในโลกนี้ จะเป็นกี่ล้านกี่ำโกฎิก็ตาม แม่ไม่ยินดี แม่ยินดีมาก ถ้าลูกจะบวชให้แม่ เมื่อลูกบวชแล้ว ก็ให้ตายกับผ้าเหลือง ไม่ต้องสึก ออกมามีลูกมีเมียนะ "

    คำสั่งเสียของมารดาในครั้งนั้น เป็นเสมือนประกาศิตสวรรค์ ที่กำหนดแนวทางดำเนินชีวิต ของหลวงปู่ ท่่านจดจำคำสั่งเสียของมารดาตรึงแน่นอยู่ในหัวใจไม่เีีคยลืม และคำสั่งนี้เป็นพลังใจ ให้หลวงปู่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆได้อย่างไม่เคยท้อถอย ส่งผลให้ท่านบรรลุถึงธงชัย ในพระ พุทธศาสนา ได้อย่างน่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นที่ยิ่ง
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๖. ความฝันของคุณยาย

    หลังจากสั่งเสียบุตรชายได้ไม่นาน โยมมารดาของหลวงปู่ก็ถึงแก่กรรม เด็กชายยาน และ พี่สาว จึงอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของคุณตา คุณยายต่อมา

    คืนหนึ่ง คุณยาย (ชาวอิสานเรียกว่า แม่ใหญ่ ) ของท่านได้ฝันไปว่า เห็นหลานชายตัวน้อย นอนอยู่ในดงขมิ้น ผิวกายแลดูเหลืองอร่ามไปหมด

    คุณยายเชื่อว่าเป็นฝันดี ถือเป็นบุพนิมิตแสดงให้เห็นว่า หลานชายของท่านคงจะได้มีวาสนา อยุ่ในสมณเพศตามที่มารดาต้องการ ตื่่นเช้า คุณยายได้เล่าความฝันให้หลานชายว่า ยายฝันประหลาดมาก ฝันว่าเห็นเจ้าไปนั่งอยุ่ในดงขมิ้น เนื้อตัวของเจ้าดูเหลืองอร่ามไป หมด เห็นแล้วน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก ยายเห็นว่า เจ้ามีอุปนิสัยวาสนาในทางบวชเรียน ยายจึงอยาก ให้เจ้าบวชตลอดชีวิต ไม่ต้องสึกออกมามีลูกมีเมีย ตามที่แม่เจ้าบอกไว้ เจ้าจะทำไ้ด้บ่

    นับเป็นประกาศิตครั้งที่สอง เด็กชายยานได้รับปากตามคำขอของยาย ทำให้ยายปลาบปลื้ม ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]


    ๗. ขอให้บวชพร้อมน้าชาย
    เด็กชายยานมีเพื่อนเล่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่มีศักดิ์เป็นน้าชาย ทั้งน้าและหลานมี ความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก วันหนึ่ง คุณยายได้เรียกเด็กชายทั่งคู่เข้าไปหา แล้วพูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า "ยายอยากให้เจ้าทั้งสองบวชเป็นเณร เจ้าจะบวชให้ยายได้บ่ ครั้นบวชแล้วก็ไม่ต้องสึก เจ้า จะรับปากยายได้บ่" ฝ่ายน้าชายตอบรับตามที่ยายต้องการ แล้วยายจึงถามหลานชายอีกว่า "แล้วเจ้าล่ะจะว่าอย่างไร จะบวชให้ยายได้ไหม บวชแล้วไม่ต้องสึก"

    เด็กชายยานตอบยืนยันตามที่เคยสัญญาไว้ว่า จะขอบวชจนตลอดชีวิต ตามที่แม่และยายต้องการ

    ๘. สามเณรแหวน
    คุณยายแสนปลาบปลื้มยินดี เมื่อหลานทั้งสองรับคำว่า จะบวชตลอดชีวิต จึงได้จัดหาบริขาร สำหรับบวชเณรจนได้ครบ คุณยายนำหลานชายทั้งสองไปถวายตัวต่อ พระอาจารย์คำมา ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของหลวงปู่ และเป็นเจ้าอาวาส วัดโพธิ์ชัย วัดประจำหมู่บ้านนาโป่ง นั้นเอง เพื่อให้หลานทั้งสองได้ฝึกขานนาค และเรียนรู้ธรรมเนียมการอยู่วัด เตรียมตัวบรรพชาเป็นสามเณรต่อไป

    ทั้งน้าชายและเด็กชายยาน จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดโพธิ์ชัย แห่งนั้น ขณะนั้นอยู่ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ หลวงปู่มีอายุได้ ๙ ปี

    หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว เด็กชายยานได้รับการเปลี่่ยนชื่อใหม่เป็น สามเณรแหวน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๙. เหตุสะเทือนใจครั้งที่สอง
    หลังจากเข้าพรรษาแรกได้ประมาณสองเดือน สามเณรที่มีศักดิ์เป็นน้าชายเกิดอาพาธ สุดที่จะ เยียวยาได้ จึงมรณภาพในที่สุด การสูญเสียในครั้งนั้นทำให้ สามเณรแหวน สะเทือนใจอีกครั้งหนึ่ง เพราะสามเณรนั้นเป็น ทั้งญาติ เพื่อนเล่น และเป็นคู่นาคตอนบรรพชาด้วย เรียกว่าใกล้ชิดสนิทสนมกันมาตั้งแต่เกิด และ ไม่เคยแยกห่างจากกันเลย

    เป็นการสะเทือนใจครั้งที่สอง หลังจากสูญเสียโยมมารดามาเป็นครั้งแรก คุณยายพยายามพูดปลอบใจสามเณร รวมทั้งพูดเตือนย้ำคำขอร้องแต่เดิมว่า หลานจะบวช อยู่ในผ้าเหลืองไปจนตาย ตามที่เคยรับปากกับยายได้ไหม?

    สามเณรแหวนยังคงรับคำหนักแน่นเช่นเดิม


    ๑๐. เดินทางไปเรียนที่อุบลราชธานี

    การบรรพชาเป็นสามเณรอยุ่ที่วัดบ้านเกิดนั้น สามเณรแหวน ไม่ได้ศึกษาอะไรมาก เพราะ ไม่มีผู้สอน เพียงแต่หัดไหว้พระ สวดมนต์รับใช้พระ รวมทั้งวิ่งเล่นบ้างตามประสาเด็ก ในบันทึก ไม่มีหลักฐานว่า หลวงปู่ ได้ศึกษาเล่าเรียนอะไรมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ ศึกษาสายสามัญ ซึ่งยังไม่มีแพร่หลายเหมือนสมัยปัจจุบัน

    กิตติศัพท์ในสมัยก่อน คือ "อุบล ....เมืองนักปราชญ์ โคราช ... เมืองนักมวย"

    ด้วยเหตุนั้น ทั่วแคว้นแดนอิสานทั้งหมด ถ้าใครต้องการศึกษา เล่าเรียนทางบาลี ทางธรรมะ จะต้องไปศึกษาเล่าเรียนตามสำนักเรียนต่างๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีสำนักที่มีชื่อเสียงอยู่ หลายแห่งด้วยกัน

    ผู้ใหญ่ต้องการให้สามเณรแหวน ได้รับการศึกษา พระอาจารย์อ้วน ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา จึงได้พา สามเณรแหวนหลานชาย เดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อไปศึกษา มูลกัจจาย์ ซึ่งเป็น หลักสุตร สำหรับพระเณร ที่ขึ้นชื่อในสมัยนั้น

    ในประวัติ ไม่ได้บอกว่า หลวงปู่ เดินทางไปอย่างไร ผู้เขียนเชื่อว่า ท่านต้องรอนแรมเดินทาง ไปด้วยเท้า บุกป่าฝ่าดงไป ชนิดที่ว่าค่ำไหนนอนนั่น

    ถ้าดูตามแผนที่ในปัจจุบัน สามเณรแหวน น่าจะเดินทางจากจังหวัดเลย ตัดตรงมาทาง อุดรธานี เข้าสกลนคร มุกดาหาร (เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดนครพนมในสมัยนั้น) แล้วเข้าจังหวัด อุบลราชธานี ในส่วนที่เป็นเขตจังหวัดอำนาจเจริญ ในปัจจุบัน
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๑. สำนักเรียนมูลกัจจายน์

    ในสมัยนั้นอุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่มีการศึกษามูลกัจจายน์ กันอย่างแพร่หลาย มีสำนัก เรียนที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ถือเป็นแหล่งผลิตครูอาจารย์ทางพระพุทธศาสนา อย่างเป็นหลัก เป็นฐาน

    สำนักเรียนที่มีชื่อเสียงมาก และมีนักเรียนจำนวนมาก ได้แก่สำนักเรียนเวฬุวัน สำนักเรียน บ้านไผ่ใหญ่ สำนักเรียนบ้านเค็งใหญ่ สำนักเรียนบ้านหนองหลั และสำนักเรียนบ้านสร้างถ่อ พระเณรทั่วภาคอิสาน ที่ไฝ่ต่อการศึกษา ต่างเดินทางมายังสำนักเรียนเหล่านี้

    การเรียนมูลกัจจายน์ เป็นการเรียนที่ยุ่งยากมาก ผุ้เรียนต้องมีสมองดี และมีความพยายามสูง ผู้ที่สามารถเรียนได้จบหลักสูตร จะได้รับการยกย่องจากคนทั่วไปว่า เป็นนักปราชญ์ มีความ แตกฉานในธรรมะ และในภาษาบาลี สามารถแปลได้ทุกประเภท

    ต่อมาภายหลัง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเห็นว่าการเรียน มูลกัจจายน์ นั้นยากเกินไป มีผุ้เรียนจบหลักสูตรน้อย และต้องเสียเวลาเรียนนานเกินความจำเป็น

    จึงทรงปรับปรุงเปลี่่ยนแปลงหลักสูตรการเรียนเสียใหม่ จนได้กลายมาเป็นหลักสูตรของการ ศึกษาฝ่ายคณะสงฆ์มาจนปัจจุบัน

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การเรียนมูลกัจจายน์ จึงได้ถูกลืมไปจากวงการศึกษาของคณะสงฆ์ ตราบ จนทุกวันนี้
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๒. ฝากตัวกับพระอาจารย์สิงห์

    เหตุการณ์อยู่ในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ พระอาจารย์อ้วน ผู้เป็นหลวงอา ได้พาสามเณรแหวน เดิน ทางรอนแรมไปยังจังหวัดอุบลราชธานี โดยนำไปฝากกับ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺยาคโม ศิษย์เอก สำคัญสูงสุดองค์หนึ่งของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน

    ในสมัยนั้น ท่า่นพระอาจารย์สิงห์ ยังไม่ได้เข้ามาเป็นศิษย์ของหลวงปุ่มั่น ท่่านยังเป็นอาจารย์ สอนปริยัติ อยุ่ที่สำนักเรียน วัดบ้านสร้างถ่อ อำเภอเกษมสีมา (ภายหลังเปลี่ยนเป็น อำเภอม่วง สามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี)

    พระอาจารย์อ้วน นำสามเณรขึ้นมากราบ พระอาจารย์สิงห์ แนะนำตนเองว่า มาจากเมืองเลย อันไกลโพ้น และเป็นอาของสามเณร เดิมสามเณรชื่อ ยาน พอบวชเป็นเณรแล้วเปลี่ยนชื่อ เป็นแหวน "อ้อ! ชื่อสามเณรแหวนรึ " พระอาจารย์สิงห์ กล่าวด้วยความชื่นชม "ชื่อแหวนนี้ดี แหวนเป็น เครื่องประดับกายของมนุษย์ จึงเป็นของสำคัญ เปรียบได้กับสติปัญญาของเราที่จะมาเสริมแต่งตัว เราให้รุ่งเรืองเปรื่องปราด ต่อไปในอนาคต"

    ต่อจากนั้น พระอาจารย์สิงห์ ก็ได้ซักถามเรื่องราว ของสามเณร แล้ว พระอาจารย์อ้วน ได้แจ้ง ความประสงค์ว่า ต้องการนำสามเณรมาฝาก เพื่อขอศึกษาบาลีธรรม ด้วยว่าสำนักแห่งนี้มีชื่อเสียง โด่งดังมีพระเณร จากหัวเมืองต่างๆ ในอิสาน เดินทางมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลุกหามากมาย

    พระอาจารย์สิงห์ ทราบความประสงค์ แล้วก็มีความยินดี มองพินิจพิจารณาสามเณรน้อย รูป ร่างผิวพรรณเกลี้ยงเกลาสะอาด นัยน์ตาสุกใส บริสุทธิ์ ท่า่ทางสำรวม มีสง่าราศรีอย่างประหลาด

    "นี่แหละช้างเผือกแก้ว เกิดในป่าแน่แล้ว" จากนั้นจึงพาสามเณรไปที่กุฏิพระอาจารย์หลี เจ้าอาวาส แนะนำให้รู้จักไว้ตามธรรมเนียม พระอาจารย์หลี ยินดีอนุญาต ให้พระอาจารย์สิงห์ รับสามเณรไว้ศึกษา ในสำนักได้ตามปราถนา

    ขณะนั้น มีพระเณรเรียนอยู่ในสำนัก วัดสร้างถ่อหัวตะพาน ซึ่งมี พระอาจาร์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระอาจารย์ใหญ่ สอนอยู่ประมาณ ๗๐ รูปตอนนั้นพระอาจารย์สิงห์ ยังเป็นพระมหานิกาย ยังไม่ได้ปาวรณาเป็นศิษย์กรรมฐานของ พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๓. หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม

    ขออนุญาตท่านผู้อ่าน เขียนถึงประวัติ ของหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม สักเล็กน้อย เพื่อความ เข้าใจของผู้ที่ใหม่ต่อพระป่า สายหลวงปุ่มั่น ภูริทตฺโร

    หลวงปุ่สิงห์ นับเป็นพระอาจารย์องค์แรกที่สอนพื้นฐานการภาวนาให้กับ หลวงปุ่แหวน อันเป็นเหตุให้หลวงปุ่ มอบกายถวายชีวิตให้กับการปฎิบัติวิปัสสานากรรมฐาน จนถึงที่สุดได้

    หลวงปุ่สิงห์ ท่่านเป็นชาวอุบลๆ บวชที่วัดสุทัศนาราม ในเมืองอุบลๆ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๒ โดย มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ขณะดำรงสมณศักดิ์ ที่พระศาสนดิลก เป็นพระอุปัชฌาย์


    หลวงปุ่สิงห์ เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมมาก่อน ได้เข้าศึกษาด้านวิปัสสานากรรมฐาน กับ หลวงปุ่มั่น ภูริทตฺโต ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงเลิกเป็นครูสอน แล้วออกปฏิบัติธรรมแสวงหาความ วิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร ติดตาม หลวงปู่มั่น และ หลวงปุ่เสาร์ กนตฺสีโล

    สหธรรมมิกที่เป็นสหายคู่ใจของหลวงปุ่สิงห์ คือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อำเภอ เมือง จังหวัดสุรินทร์

    หลวงปุ่สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นศิษย์ที่หลวงปู่มั่น ไว้วางใจมาก เมื่อหลวงปู่มั่น ปลีกตัวออก แสวงวิเวก ที่เชียงใหม่ นานถึง ๑๒ ปี ได้มอบหมายการปกครองคณะสงฆ์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ให้กับหลวงปุ่สิงห์ และท่านได้ทำการเผยแผ่วงค์ธรรมยุต ออกไปอย่างกว้างขวาง ทั้งภาคอิสาน และในกรุงเทพๆ

    หลวงปุ่สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้ชื่อว่า เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรมสายหลวงปุ่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่สิงห์ ผู้เป็นศิษย์เอก จึงเป็นองค์แรกแทนหลวงปู่มั่น นำขบวนพระเณร ลูกศิษย์สาย หลวงปู่มั่น ในสมัยนั้นออกเผยแพร่พระธรรม เมื่อคณะของหลวงปู่สิงห์ ไปเผยแพร่ถึงที่ใด ก็จะ เกิดวัดป่า ขึ้นที่นั่น นับจำนวนพันวัดทีเดียว

    หลวงปู่สิงห์ เมื่อรับหน้าที่ หัวหน้ากองทัพธรรม แทนหลวงปู่มั่น จึงจำต้องสำแดงบุญฤทธิ์ ให้ประชาชนได้ชื่นชม และเชื่อมั่นในธรรม ถือเป็นกุศโลบาย ในการโน้มน้าว ชาวบ้าน ให้บัง เกิดศรัทธาความเลื่อมใส ดังนั้น นามของพระอาจารย์สิงห์ จึงเป็นที่เลื่องลือ ระบือยิ่งใหญ่ ในยุคนั้น หาผู้เสมอเหมือน ได้ยาก ถ้าพูดกันตรงๆ ก็ต้องบอกว่า ในสมัยนั้น คนรู้จักพระอาจารย์สิงห์ มากกว่า ที่จะรู้จัก พระอาจารย์ใหญ่มั่น

    ในช่วงสุดท้ายของชีวิต หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้มาพำนักประจำที่วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จนกระทั่่งมรณภาพ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๔ สิริรวมอายุได้ ๗๒ ปี ๗ เดือน ๑๒ วัน

    สมณศักดิ์ครั้งสุดท้ายของท่าน เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระญาณวิศิษฐ์สมิทธิวีราจารย์

    พระธาตุ ของหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ประดิษฐานอยู่บนบุษบกเดียวกับพระธาตุของ อาจารย์ ของท่านคือ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าสาลวัน ในเมืองนครราชสีมา
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๔. การเรียนมูลกัจจายน์ในสมัยก่อน

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้เล่าถึงการเรียนมูลกัจจายน์ว่า การเรียนในสมัยนั้น ไม่มีห้องเรียน เหมือนสมัยปัจจุบัน ครูที่สอนก็ไม่ได้อยู่ในที่แห่งเดียวกัน แต่จะแยกอยู่คนละที่

    เมื่อถึงเวลาเรียน นักเรียนต้องแบกหนังสือ ไปเรียนถึงที่อยู่ของครูแต่ละท่าน วันนี้เรียนวิชานี้ ก็แบกหนังสือไปเรียนกับครูท่า่นนี้ วันพรุ่งนี้เรียนวิชานั้น ก็จะต้องแบกหนัง สือไปเรียนกับครูท่้่านนั้น แบกไปแบกมา จนกว่าจะเรียนจบ ที่ว่าแบกหนังสือนั้น แบกกันจริงๆ

    เพราะว่าในสมัยก่อน หนังสือพิมพ์เป็นเล่ม ไม่มีเหมือนสมัยปัจจุบัน หนังสือที่ใช้ในการเรียน การสอน ก็ใช้คัมภีร์ใบลานเป็นพื้น

    นักเรียนต้องเคารพหนังสือ เพราะถือว่าหนังสือคือพระธรรม จะดูถูกไม่ได้ ถือเป็นบาป เวลาว่างจาการเรียน นักเรียน จะต้องเข้าป่าหาใบลานมาไว้ สำหรับทำคัมภีร์ เพื่อฝึกหัด จารหนังสือ ( ใช้เหล็กแหลมเขียนลงไป ให้เป็นรอย)

    วิธีทำคัมถีร์ ก็คือ ไปหาใบลาน เลือกเอาเฉพาะใบที่อายุได้หนึ่งปีแล้ว ถ้าเอาใบอ่อนมา มักใช้ ได้ไม่ค่อยดี แต่ถ้าเอาใบแก่ไป ใบมักเปราะแตกง่าย

    เมื่อได้ใบลานมาแล้ว ก็เอามากรีด รีดใบเลาะก้านใบออก ตากน้ำค้างไว้ สามคืนพอหมาด แล้วใช้ด้าย หรือเชือกร้อยทำเป็นผูกๆ มากน้อยตามต้องการ เวลาไปเรียนกับครู ก็ใช้คัมภีร์ที่เตรียมไปนี้ สำหรับคัดลอกตำรา และหัดจาร หนังสือพร้อมกัน ไปด้วย ดังนั้น ผู้เรียน จึงต้องจารหนังสือขึ้นเอง เอาไว้่ท่องบ่น ทบทวนต่อไป
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]

    ๑๕. เพื่อนร่วมเรียนและครูผู้สอน

    เพื่อนพระ-เณร ที่เรียนมูลกัจจายน์ ด้วยกันกับหลวงปู่ ตามที่ท่านเล่า ก็มี พระเฮียง กับ พระเหลา ภายหลังเพื่อนทั้งสอง ได้พากันลาสิกขาไปหมด

    สำหรับครูผู้สอน ที่หลวงปู่ เคยพูดไว้ มีดังนี้

    พระอาจารย์เอี่่ยม วัดเวฬุวัน บ้านไผ่ใหญ่ สอนวิชามูลกัจจายน์


    พระอาจารย์ชม เป็นพระที่ใจเย็น เวลาสอนหนังสือ ก็ใจเย็น ลูกศิษย์ชอบท่านมาก


    พระอาจารย์ชาลี เวลาสอนหนังสือจะดุมาก แต่แปลหนังสือได้พิศดาร เพราะเคยลงศึกษา อยู่ กรุงเทพๆ นานถึง ๑๐ ปี


    พระอาจารย์อ้วน สอนไวยากรณ์ สอนแปล โดยยึดพระปาฎิโมกข์เป็นพื้น หัดแปลกันจนคล่อง แคล่วขึ้นใจ


    หลวงปู่เล่าว่า ท่านเอง ไม่เคยท่องปาฎิโมกข์ แต่ทานสามารถยกสิกขาบทขึ้นมาแปลได้อย่าง คล่องแคล่ว โดยไม่ติดขัดเลย

    สำหรับหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ในขณะนั้น ท่านเป็นครูสอนปริยัติธรรม ในฝ่ายมหานิกายอยู่ ท่านมีภาระยุ่งอยู่กับการค้นคว้าตำรับตำรา คัมภีร์ต่างๆ เพื่อเตรียมไว้สอนลูกศิษย์ จึงหาเวลาว่าง ที่จะอบรมกรรมฐานให้ไม่ได้

    หลวงปู่สิงห์ ได้แต่เพียงแนะนำหลักกว้างๆ อันเป็นพื้นฐาน ในการทำสมาธิภาวนาเท่านั้น ซึ่งหลวงปู่แหวน ท่า่นให้ความสนใจมาก แต่ยังไม่มีโอกาส ที่จะปฎิบัติอย่างจริงจัง
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๖. ความเห็นพระอาจารย์สิงห์

    พระอาจารย์สิงห์ ท่านมีความคิดเห็นว่า ธรรมะของพระพุทธองค์ที่ทรงค้นพบ สั่งสอนให้คน เราหลุดพ้นจาก วัฎสังสารทุกข์ คือความเวียนว่ายตายเกิด เพื่อไปสู่พระนิพพาน คือความดับสนิท

    พระสงฆ์ผู้สือบศานโนวาทของพระพุทธเจ้า พึงปฏิบัติด้วย กาย วาจา ใจ ให้บรรลุตามเป้า หมายของพระพุทธองค์ ที่ทรงวางหลักบัญญัติไว้นี้

    ในขณะเดียวกัน ก็จะต้องไม่ลืมความจริงในข้อที่ว่า มนุษย์โดยมาก คือคนเราทุกวันนี้ ยังไม่ สามารถจะไปนิพพานกันได้ง่ายๆ ต่างก็ดำเนินชีวิตอยู่เป็นหมู่คณะ มีชุมชนเป็นหมู่บ้าน เป็นเมือง เป็นประเทศชาติ ต้องทำมาหาเลี้ยงปากเลี้้ยงท้อง ด้วยความเหนื่อยยาก มีโลภ มีโกรธ มีหลง

    ดังนั้นชาวบ้านทั้งหลาย จึงเป็นพระสงฆ์องคเจ้า คือผู้ที่ปลดเปลื้อง ทุกข์ให้พวกเขา ไปเสียแทบ ทุกอย่าง เห้นพระเป็นครูบาอาจารย์ เป็นหมอยา เป็นตุลาการตัดสินปัญหาของชาวบ้าน และเป็น อะไรต่อมิอะไร ที่จะต้องช่วยชาวบ้าน แก้ปัญหาร้อยแปด ซึ่งพระก็ต้องจำใจอนุโลม ตาม เพื่อช่วย เหลือญาติโยม ชาวบ้าน ไปตามมีตามเกิด

    เพราะถ้าไม่ช่วยแล้ว ชาวบ้านก็จะกล่าวหาได้ว่า พระสงฆ์องคเจ้า ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร ช่วยเหลือชาวบ้านไม่ได้

    สิ่งใด มีประโยชน์ บางอย่าง ทางไสยเวทวิทยาคม เราต้องยอมรับ เอาไว้ใช้ในพระพุทธศาสนา บ้าง ไม่ควรจะเหยียดหยามสิ่งที่มีคุณค่าของลัทธิอื่นๆ โดยไม่อยากจะเอาความรู้สึกดีๆ ของคนอื่น มาใช้อำนวยประโยชน์ด้วย

    ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์สิงห์ ซึ่งเป็นพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียง ทางธรรมบาลีอักขรสมัย และไสยเวทวิทยาคมในสมัยนั้น จึงได้ถ่ายทอดวิชาไสยเวท อำนาจจิตให้พระเณรลูกศิษย์ ที่สนใจ ในทางนี้ ควบคู่ไปกับบาลีธรรมด้วย เพื่อที่พระเณร จะได้นำไปสงเคราะห์ชาวบ้านป่า เมืองดง ชนบท ที่ห่างไกลความเจริญ ที่ได้รับทุกขภัย เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคร้ายนานา

    บ้างก็ถูกคุณไสยต้องอาถรรพ์ บ้างก็ถูกสัตว์ร้ายขบกัด บ้างก็ต้องอุบัติเหตุกระดูกหักรักษา ไม่หาย พระก็ต้องใช้เวทมนต์คาถาประสานกระดูกให้ บ้างก็ปัดรังควาน และสะเดาะกุมารตาย ในครรภ์ ๆลๆ ซึ่งแพทย์สมัยใหม่ ไม่สามารถจะเดินทางเข้าไปเยียวยารักษาให้ได้ เพราะอยู่ห่างไกล

    " เป็นวิชาพิเศษ ที่พระเณร จะต้องเรียนรู้ไว้นะ เพราะพระเณร และวัดเป็นที่พึ่งทางกาย ทางใจของชาวบ้าน ถ้าชาวบ้านเขามาขอความช่วยเหลือ พึ่งพาอาศัยแลัว เราช่วยเหลือเขาไม่ได้ ชาวบ้านก็จะกล่าวหาเอาได้ว่า พระเณรบวชเรียนแล้ว ไม่เห็นทำประโยชน์อะไรให้ชาวบ้านได้ บวชเปลืองผ้าเหลือง เปลืองข้าวสุกชาวบ้านไปเปล่าๆ เอาสบายแต่ตัวเอง "

    พระอาจารย์สิงห์ กล่าวทำนองนี้กับ สามเณรแหวน ผู้เป็นศิษย์ ด้วยความเมตตาเอ็นดู
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๗. อย่าหลงใหลไสยศาสตร์

    สามเณรแหวน มีความสนใจใคร่รู้ในศาสตร์ลึกลับมหัศจรรย์ ในพระศาสนา ตามที่ พระอาจารย์สิงห์แนะนำ พระอาจารย์สิงห์ ก็เล็งเห็นนิสัยใจคออันบริสุทธิ์ ของสามเณรอยุ่แล้วว่า มีความเหมาะสมที่ควรจะได้ัรับวิชาพิเศษนี้ จึงได้ถ่ายทอดประสิทธิประสาท ให้จบสิ้นตำราเลย ทีเดียว

    แต่ได้กำชับว่า

    " วิชาไสยเวทวิทยาคมนี้เป็นเพียงโลกียวิชา เท่านั้น ไม่ใช่วิชาประเสริญ ให้เรียนรู้ไว้ด้วยใจ มั่น เพียงเพื่อเอาไว้สงเคราะห์ชาวบ้านเท่านั้นนะ แต่เมื่อสามเณรออกธุดงค์กรรมฐานเมื่อไร ขอให้ปล่อยวางวิชาไสยเวทนี้เสีย อย่ายึดมั่นถือมั่น อย่าติดใจหลงใหลว่าเป็นวิชาประเสริฐ เพราะเป็นเพียงโลกียวิชาเท่านั้น เป็นวิชาที่ขัดขวางโลกุตรธรรม ขัดขวาง มรรค ผล นิพพาน

    สามเณรแหวน รับคำสอนของพระอาจารย์สิงห์ ทุกประการ

    พระอาจารย์สิงห์ กล่าวต่อไปว่า " ธรรมดา พระเณรที่บำเพ็ญเพียรด้านกรรมฐาน จนบรรลุ ธรรมแก่กล้า ได้ฌาณสมาบัติ ได้วิโมกข็ ได้อภิญญาจิต ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ถ้าคิดจะสงเคราะห์ ชาวช้านเมื่อไร ไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์คาถาเลย เพียงแต่นึกอธิษฐานจิตขอบารมี พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ให้ช่วยขจัดปัดเป่าปัญหานั้นๆ ก็จะสำเร็จประโยชน์ในพริบตา เป็นที่ น่าอัศจรรรย์


    ด้วยเหตุนี้เอง สามเณรแหวน จึงเป็นผู้รอบรู้ทางไสยเวทวิทยาคม อีกแขนงหนึ่ง ควบคู่ไปกับ การเรียนบาลีธรรมตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อมีญาติโยมมาขอรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ จากพระอาจาร์ สิงห์ ที่วัด พระอาจารย์มักจะให้สามเณรแหวน ทำหน้าที่รดน้ำมนต์แทนท่าน อยู่เสมอ เป็นการ ทดสอบวิชาความสามารถของลูกศิษย์ไปด้วย
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๘. อุปนิสัยของสามเณรแหวน

    ปฏิทาจริยาวัตรของสามเณรแหวน จัดเป็นผู้ถือเคร่งในพระธรรมวินัย พูดน้อย ชอบใ่ช้ ความคิด เงียบขรึม รักสงบ ชอบอยู่ในที่สงัดวิเวก ไม่ชอบร่วมคลุกคลีกับหมู่คณะ มักจะหาโอกาส แบกตนออกไปนั่ง ในที่สงัดนอกวัดเสมอเป็นต้นว่า ตามใต้ร่มไม้ในทุ่ง ตามป่าช้า โคนต้นไม้

    บางวัน ภายหลัง จากเรียนบาลีธรรมกับพระอาจารย์แล้ว สามเณรแหวน จะออกจากวัดเ้ข้าไป นั่งสงบอยู่ในป่าช้า แต่ลำพัง โดดเดี่ยว ตลอดทั้งคืน จนพระอาจารยสิงห์ ออกปากกับพระอาจารย์ หลี เจ้าอาวาส ว่า

    " สามเณรน้อยนี้กล้าหาญมาก มีจิตใจองอาจไม่กลัวอะไรเลย เป็นมหานิกาย ที่ถือเคร่งเหมือน ธรรมยุต อาหารก็ฉันมือเดียว ไม่สนใจอาหารประเภทเนื้อเลย


    สามเณรแหวน ตื่นนอน ประมาณตีสาม ตีสี่ เป็นประจำ ถ้าคืนไหนไม่ได้ออกไป นั่งสมาธิ ในป่าช้า จะลงจากกุฏิไปเดินจงกรมประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วกลับขึ้นกุฏินั่งสมาธิให้จิตใจสงบ ตามหลักสมถกรรมฐาน จนสว่าง แล้วจึงออกจากสมาธิ ไปทำกิจวัตรประจำวันต่อไป

    ปฏิทาจริยาวัตร ของสามเณรแหวน นี้น่้ารัก น่าเลื่อมใสเป็นที่ชื่นชมเมตตา ของพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์หลี ผู้เป็นครูบาอาจารย์ยิ่งนัก
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๙. เห็นแจ้งโดยธรรมชาติ

    หลังจากฉันอาหารเช้าวันหนึ่ง พระอาจารย์สิงห์ ได้ถามสามเณรแหวนว่า " ชอบกรรมฐาน มากหรือ จัวน้อย" (จัว เป็นคำอิสาน ใช้เรียกสามเณร)

    สามเณรแหวน พนมมือตอบนอบน้อมว่า " กระผมชอบความเงียบสงัด ชอบพิจารณา ต้นไม้ ใบหญ้า แล้วคิดเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์ และสัตว์ แล้วเห็นว่า ธรรมชาติกบใบไม้ใบหญ้า นี้ คล้ายชีวิตคนเรา มีเกิดมีดับ หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย ยิ่งคิดยิ่งพิจารณา ก็มีความ เพลิดเพลินเจริญใจ เกิดสติปัญญาแปลกๆ ผุดขึ้นมาให้คิดให้ขบ เหมือนน้ำไหลรินไม่ขาดสาย"

    พระอาจารย์สิงห์ ฟังแล้วเห็นอัศจรรย์ อุทานในใจว่า เณรน้อยรูปนี้มีอารมณ์วิปัสสนา ทั้งๆที่ เรายังไม่ทันได้สอนเลย เป็นปัญญาเห็นแจ้ง ซึ่งสภาวธรรมโดยธรรมชาติคือ เห็นชาติ ชรา มรณะ ผู้เห็นแจ้งอย่างนี้ เรียกว่า เิริ่มมองเห็นมรรค ผล นิพพาน ได้รำไรแล้ว

    พระอาจารย์สิงห์ รู้สึกยินดี กล่าวกับสามเณรแหวนว่า " จัวน้อย ปฎิบัติชอบแล้ว ถูกทางแล้ว การปฏิบัติธรรม ถ้าเราำได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาิติ ย่อมจะเปลี่่ยนจิตใจเราให้ไปอยู่ในลักษณะที่จะ เข้าถึงธรรมชาติ รู้จักความจริงตามธรรมชาติ การเข้าถึงธรรมะก็ง่้ายเช้า

    เปรียบเหมือนต้นไม้ในภาพเขียน ย่อมจะไม่เหมือนกับต้นไม้จริงๆ ในป่าฉันใด ปริยัติกับการ ปฏิบัติก็ฉันนั้น

    ปริยัติ เปรียบได้กับต้นไม้ในภาพเขียน ส่วนการปฎิบัติเปรียบเหมือนต้นไม้ในป่าจริงๆ

    พระพุทธเจ้าท่านประสูติท่ามกลางธรรมชาิติ กลางดิน โคนต้นไม้ ท่านตรัสรู้ ที่พื้นดิน ที่โคน ต้นไม้แห่งหนึ่ง ท่า่นปรินิพพานที่ใต้ต้นไม้ กลางพื้นดินระหว่างโคนต้นไม้สองต้น ในสวนป่า อุทยานแห่งหนึ่ง

    ธรรมชาตินี้แหละช่วยให้คนเรามีจิตใจสงบ เมื่อมีจิตใจสงบแล้ว การศึกษาไม่ว่าจะเป็นทาง ธรรมชาติ หรือทางใดก็บรรลุได้ดียิ่งขึ้น

    สามเณรแหวน ได้สดับอรรถธรรม ที่พระอาจารย์สิงห์ เทศน์ โปรดแล้ว ก็ให้มีความอิ่มเอิบ ชื่นบานใจ มั่นใจในหนทางที่ตนดำเนินยิ่งขึ้น เห็นว่าการที่ได้บวชเรียน สละความสุขทางโลกนี้ เป็นการดำเนินที่ถูกทางแล้ว มองเห็นทางวิมุติสสุข หรือความหลุดพ้น สำหรับผู้เดินตามรอย พระพุทธองค์ ได้รำไรอยู่ไกลโพ้น หากวาสนาบารมีค้ำชูเราคงจะได้พบกับวิมุติสุข ในวันข้างหน้า อย่างแม่นมั่น

    นี่แสดงว่า ให้เห็นว่า หลวงปู่แหวน ท่านเกิดมาเพื่อที่จะป็นสมณะ นักบวชผู้แสวงหาบุญ ตามรอยบาทพระพุทธเจ้าโดยแท้ มีมโนปณิธาน แน่วแน่ ต่อการปฏิบัติธรรมน่าสรรเสริญ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]


    ๒๐. เข้าพิธีอุปสมบท

    ขณะที่หลวงปู่แหวนกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีนั้น อายุท่านครบบวช คือมี อายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านจึงได้อุปสมบทในพัทธสีมา วัดบ้านสร้างถ่อ ที่ท่านพำนักอยุ่นั้นเอง

    หลวงปู่ บวชในคณะมหานิกาย มีพระอาจารย์แว่น เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนพระกรรมวาจา จารย์ และพระอนุสาวนาจารย์นั้นไม่ทราบชื้อ

    ตอนหลังหลวงปู่ ได้ออกธุดงค์ ไปคู่กับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม อยู่หลายปี เที่ยวไปตามป่าเขา ลำเนาไพร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และได้แปรญัตติ เป็นพระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ที่วัด เจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจะได้กล่าวถึงโดยละเอียดต่อไป


    ๒๑. แนะนำให้ครูสึกไปครองเรือน

    เมื่อหลวงปู่แหวน บวชเป็นพระแล้ว ท่านก็ยังเรียนหนังสือต่อ ดัวยความขมักเขม้นอยู่

    ในระหว่างที่ท่านเรียนหนังสืออยู๋นั้นเอง ครูสอนสองท่าน คือ พระอาจารย์อ้วน กับพระอาจารย์เอี่ยม ได้อาพาธด้วยโรคนอนไม่หลับ หมอทั้งหลายช่วยกันรักษาอย่างไรก้ไม่หาย สุขภาพของท่านมีแต่ทรุดโทรมยิ่งขึ้น

    หลวงปู่แหวนได้เฝ้าพยาบาลครูของท่านอยู๋ ได้พิจารณาถึงเหตุผล แล้ว จึุงแนะนำให้ทั้งสอง ท่านสึกออกไปเป็นฆราวาสเสีย บางทีอาจหายจากการป่วยไข้ หากยังมีความอาลัยนสมณเพศอยู่ ค่อยกลับมาบวชใหม่ก็ได้

    พระอาจารย์ทั้งสองท่านทำตาม ได้สึกออกไปมีครอบครัว ปราำกฎว่าโรคภัยไข้เจ็บก็หายในที่สุด

    คงจะได้หมอดี และยาดี ถูกกับโรคของท่านอย่างแน่นอน
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๒๒. ครูที่เหลือป่วยเป็นโรคเดียวกัน

    หลังจากพระอาจารย์อ้วยกับพระอาจารย์เอี่ยมลาสิกขาไปแล้วไม่นาน บรรดาครูอาจารย์ ที่เหลือก็ป่วยด้วยโรคอย่างเดียวกัน


    พระอาจารย์ชม พระอาจารย์ชาลี และพระอาจารย์องค์อื่นๆ ต่างก็พากันลาสิกขาไปหมด

    เมื่อครูอาจารย์ที่สอนหนังสือลาสิกขาออกไปหมดแล้ว การเรียนมูลกัจจายน์ของหลวงปู่ จึง ต้องหยุดชะงักลง ตอนนั้นท่านรู้สึกว่า จิตใจว้าวุ่น รวนเร และขาดที่พึ่ง

    ส่วนพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ก็เปลี่ยนญิตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุต และออกธุดงค์ติดตาม หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต กับหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ออกไปแสวงวิเวกตามป่าเขาห่างไกลจากผู้คน จึง ทำให้หลวงปู่ ว้าเหว่ามากยิ่งขึ้น

    หลวงปู่ค่อนข้างสับสน คิดถามตนเองว่า " เราจะอยู่ที่อุบลๆ ต่อไป หรือควรจะย้ายไปอยู่ที่อื่น"

    เรื่องจะลาสิกขาคงไม่ต้องพูดถึง เพราะได้รับปากกับแม่และยายอย่างมั่นเหมาะแล้ว ในใจของ ท่านเองก็ไม่อยากสึก

    ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรดี ?
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๒๓. วิเคราะห์สาเหตุที่ครูอาจารย์ต้องสึก

    หลวงปู่แหวนได้พิจารณาถึงสาเหตุที่ครูอาจารย์และเพื่อนพระของท่าน ต้องลาสิกขาออกไป ว่าเป็นเพราะเหตุใดหนอ


    เมื่อได้พิจารณาทบทวนไปมา ก็ได้คำตอบที่ชัดเจนว่า

    " บรรดาครูอาจารย์เหล่านั้น ที่สึกออกไป ล้วนแต่เพราะกามทั้งสิ้น เป็นไปตามอำนาจของ กาม กามนี้เป็นอุปสรรคเครื่องขัดขวางบุคคลผู้มุ่งมั่นต่อความดี ในแนวทางของพระพุทธศาสนา

    บรรดาสัตว์ทั้งหลายยอมตาย ก็เพราะกามนี้มามากต่อมาก เพราะความสำคัญผิด ไม่รู้จักโทษ ของกามที่แท้จริง ปล่อยใจปล่อยกาย ให้ตกไปสู่อำนาจของกามเข้า

    เมื่อถูกกามครอบงำจิตแล้ว ก็ยังไม่รู้สึก สำคัญผิดคิดว่าดี จึงยอมตัวลงลำรุงบำเรอ ท้ายที่สุด ก็ ถอนตัวไม่ออก


    ๒๔. ทำอย่างไรจึงจะบวชได้ตลอด

    หลวงปู่ ได้ย้อนระลึกไปถึงความตั้งใจ ที่ได้รับปากไว้กับแม่และยายว่า จะบวชไปจนตาย กับผ้าเหลือง


    ท่านใคร่ครวญในใจว่า " มีทางใดบ้างที่จะทำให้เราบวชแล้วอยุ่ได้ตลอดไป จนตายกับผ้าหลือง ตามที่รับคำไว้กับแม่และยาย"

    จากการที่หลวงปู่ได้รับรู้ถึงแนวทางปฎิบัติกรรมฐานมาบ้าง จากหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ท่าน จึงตัดสินใจได้ว่า

    " การออกปฏิบัติ น่าจะเป็นทางเดียว ที่ทำให้เราบวชอยู่ได้นานตลอดชีวิต เหมือนครูบา อาจารย์ สายกรรมฐาน ที่ำได้ปฎิบัติกันมา

    ท่านเหล่านั้นได้ออกปฏิบัติกันอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ อยู่กับหมู่คณะ

    เราน่าจะเลือกทางนี้ "
     

แชร์หน้านี้

Loading...