วันสิ้นยุคเป็นปี 2030,กับข่าวลือต่างๆที่เกิดขึ้นจักรวาลมีข่าวมาแจ้ง

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ดูท่านอยู่นะครับ, 6 มีนาคม 2008.

  1. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ชอบคุณครับ เพิ่งได้จดหมายวันนี้เหมือนกันครับ
     
  2. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    คนที่ตั้งกระทู้ สักแต่ว่าอยากตั้ง สงสัยว่างมากๆครับ เห็นกระทู้ใหม่ๆแปลกโผล่มาสร้างกระแสทุกวัน
     
  3. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    เรื่องของ นิพพาน เป็นความรู้ใหม่อีกเรื่องหนึ่ง ที่มนุษย์ช่วงปลายยุคพลังงานเก่าในขณะนี้ มันมิได้หยุดตรงที่เพียงแค่ให้ได้รู้ว่า

    นิพพาน แปลว่า อะไร

    นิพพาน เป็นอัตตา หรือ อนัตตา

    นิพพาน เป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง

    แต่มนุษย์ต้องการความรู้ความเข้าใจในเรื่องของนิพพานนี้ในระดับ การเข้าใจแจ้งและการรู้แจ้ง มิใช่ในระดับสามัญของ การเข้าใจจริงและการรู้จริง เหมือนการศึกษาเรียนรู้ศาสตร์โลกทั่วๆไปกันเท่านั้น เพราะคำว่า จริง กับคำว่า แจ้งไม่เหมือนกัน
    ถ้าเรียนรู้แล้วรู้จริง จะหมายถึง สามารถเข้าใจได้ อธิบายไปตามที่รู้ให้ผู้อื่นเข้าใจตรงกับที่ตนรู้ได้ หรือถ่ายทอดในสิ่งที่ตนเรียนรู้แก่ผู้อื่นได้อย่างครบถ้วนถูกต้องนั่นเอง
    ถ้าเรียนรู้แล้วรู้แจ้ง จะหมายถึง สามารถเข้าใจเรื่องสิ่งนั้นได้อย่างถ่องแท้ ทั้งที่มาที่ไป ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง และสามารถพลิกแพลงความรู้ที่ได้นำไปใช้ประโยชน์เพื่อการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี สำหรับกรณีรู้แจ้งเห็นแจ้งนี้ จะต้องเป็นความรู้ที่ได้จากการเชื่อมั่นว่า มันต้องต้องเป็นของมันเช่นนั้นแน่นอน และที่เชื่อมั่นเช่นนั้นได้เพราะได้ผ่านการทอลองปฏิบัติจริงด้วยตนเองมาแล้วนั่นเอง
     
  4. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    นิพพานไม่ใช่ความเข้าใจรู้จริงหรือรู้แจ้งตราบใดที่ยังใช้ความคิดก็ยังไม่ใช่นิพพาน
    พระพุทธองค์ถึงได้บอกเอาไว้ให้ลงมือปฏิบัติเพื่อเข้าสู่สภาวะนิพพาน ไม่ใช่คิดวิเคราะห์เอาเองว่านิพพาน ผมถึงไม่อยากให้คุยกันในเรื่องนิพพานเพราะตีความกันไปต่างๆนาๆแล้วก็หลงทางกัน เพราะพระเกจิอาจารย์ที่เขาสัมผัสสภาวะนิพพานมาแล้วไม่มีรูปใดมากล่าวอ้างเรื่องนิพพานเลย นิพพานเป็นเรื่องอจินไตย คิดเอาเองไม่ได้ ถ้าคิดเอาเองได้ก็ไม่ใช่นิพพาน ผมได้พยายามบอกว่านิพพานมันไม่ได้ง่ายๆเหมือนที่มีการโพสท์กันเยอะมากในเว็บนี้ ขออภัยด้วยถ้าสิ่งที่บอกนี้ไปสั่นสะเทือนจิตของคุณในทางที่เป็นลบ ผมเพียงแต่หวังดีกับทุกคนไม่อยากให้เกิดการเชื่ออย่างไม่ถูกต้องแล้วถึงจุดหนึ่งอาจจะเกิดการปรามาสคำสอนของพระพุทธองค์ได้ซึ่งเกิดอกุศลกรรมเรียบร้อยแล้วครับ วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าไปวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องของพระนิพพานเลยว่ามันเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างนี้หลงทางได้ง่ายๆเลยครับ มนุษย์ฉลาดที่จะคิดและเพราะมนุษย์คิดเก่งนี่เองจึงมีผู้ที่ฉลาดได้อาศัยความคิดเก่งของมนุษย์นำเสนอข้อมูลให้มนุษย์คิดและโน้มน้าวเข้ามาสู่ควาประสงค์ของผู้ฉลาดได้ไม่ยากเย็นอะไรเลย พระพุทธองค์ถึงถึงได้สอนหลักเรื่องกาลามาสูตรไว้
    ขออวยพรให้ทุกๆท่านเห็นธรรมและเดินไปในเส้นทางแห่งพระนิพพานทั่วกันเทอญ
     
  5. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ผมกำลังเริ่มต้นครับผม ยินดีครับๆๆๆๆๆ เขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ท่านยังมาเขียนว่านิพพานอย่างนั้นอย่างนี้อยู่อีกหรือครับ เฉลย หมดแล้วครับ เรื่องนิพพานอาจารย์สอนไว้หมดแล้ว เพราะท่านยังไม่รู้ ว่ามีการเฉลยเรื่องเล่านี้ไปนานแล้วครับ ยินดีครับๆๆๆๆๆ อ่านต่อนะครับ มีอะไรค่อยวิจารณ์ค่อยเขียนไปนะครับ
     
  6. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ในสังคมโลก มีผู้ศึกษาธรรมะและเคร่งครัดต่อตนเองในการปฏิบัติบำเพ็ญมายาวนานเป็นจำนวนมาก มีผู้รู้คำตอบว่า นิพพาน แปลว่า ตายแล้วหรือดับแล้วไม่มีการเกิดใหม่อีก จำนวนมากมายมีผู้เชื่อมั่นขึ้นเป็นสองฝ่ายว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา และนิพพานเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงอีกล้นหลาม แต่จนป่านนี้แล้วก็ยังพบว่า ความรู้เหล่านั้นไม่อาจช่วยเหลือให้มนุษย์ทั้งหลายที่กำลังต่อสู้กับความไม่รู้ของตนในทุกภพชาติ ก้าวไปสู่ปลายทางแห่งนิพพานของจิตวิญญาณตนเองได้มากขึ้นแต่อย่างใด
     
  7. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    สำหรับความรู้เรื่อง นิพพาน แล้ว ทั้งตัวผู้เรียนกับครูผู้สอนจะสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในระดับ การรู้จริง เห็นจริง เหมือนการเรียนรู้ทางวิชาการทั่วไปไม่ได้ เพราะต่างเป็นกันได้เพียง รู้จริงไม่รู้แจ้ง เท่านั้น การเข้าให้ถึงสภาวะนิพพานและการเรียนรู้เรื่อง นิพพาน สำหรับมนุษย์ในยุคพลังงานเก่าที่ผ่านมาจึงกลายเป็นเรื่องยากเกินจริง การศึกษาธรรมะในส่วนของนิพพานนี้ ต้องเรียนรู้ให้ถึงระดับ รู้แจ้งเห็นแจ้ง เท่านั้นจึงจะสามารถบรรลุความต้องการทางจิตวิญญาณของตนเองได้ในที่สุด
    แม้มนุษย์ทั้งหลาย จะมีจิตใจฝักใฝ่ในการศึกษาข้อธรรมะเพื่อแสวงหาแสงสว่างทางปัญญาโดยไม่คิดหาอุตริปาฏิหาริย์ และจะยังคงเป็นผู้ฝักใฝ่ใรการปฏิบัติบำเพ็ญจิตสู่สุญญตาด้วยปณิธานแห่งนิพพาน แต่มนุษย์ทั้งหลายก็จะค้นพบความจริงของตนเองจากอดีตที่ผ่านมาว่า ถึงอย่างไรจิตวิญญาณของตนกับคนส่วนใหญ่ ก็ยังมิอาจก้าวไปสู่ประตูนิพพาน ที่เรียกว่า ด่านนภาลัย บานนั้นได้เลยตราบจนบัดนี้ ต่างต้องย้อนกลับมาสู่การเกิดมีภพชาติต่อมา หรือว่าต้องมีภพชาติใหม่กันอยู่ต่อไปเรื่อยๆเหมือนไม่รู้จักกับคำว่า เบื่อเอาเสียเลย สาเหตุแท้จริงล้วนอยู่ในสิ่งที่บอกกล่าวต่อไปนี้

    1. มนุษย์ค้นหาพลังอำนาจแห่งปัญญาญาณของตนไม่พบ ยังคงคิดแบบจิตมนุษย์กันอยู่ และคอยหาครูช่วยสอนให้
     
  8. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    จากข้อความข้อนี้ หมายความว่า หากตราบใดที่มนุษย์ยังเรียนธรรมะและศึกษาศาตร์ด้านปรัชญาทั้งหลาย ด้วยการใช้สมองซีกซ้ายนำซีกขวากันอยู่ นอกจากมนุษย์ทั้งหลายจะไม่รู้แจ้งเห็นแจ้งในข้อธรรมะอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ด้วยพลังอำนาจในตนเองได้แล้ว มนุษย์จะมีความก้าวหน้าได้เพียงแค่จดจำคัมภีร์หรือท่องโอวาทของพระศาสดาของตนได้กันเท่านั้น เพราะสมองซีกซ้ายของมนุษย์มิได้มีไว้ให้ใช้ศึกษา ข้อธรรมะใดๆที่เป็นกฏเกณฑ์ทางพลังงานในมิติของแก่นแท้เลย เนื่องจากความรู้ด้านรูปธรรมทางพลังงานหรือด้านจิตวิญญาณในจักรวาลนี้ เป็นสรรพสิ่งที่ไม่มีตัวตนทางกายภาพ คงมีคุณสมบัติของสรรพสิ่งเท่านั้น ที่แสดงว่ามีตัวตนอยู่ จึงทำให้สมองซีกซ้ายของมนุษย์ที่เคยชินและเชี่ยวชาญในการเรียนรู้แต่ละสรรพสิ่งใดๆที่มีตัวมีตนในมิติทางกายภาพ ไม่อาจเข้าใจเรื่องราวที่เป็นคุณสมบัติของตัวตนซึ่งไม่มีตัวตน อย่างเช่นธรรมะแห่งสัจธรรมทั้งหลายได้ เมื่อเป็นเช่นนี้การเรียนธรรมะจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับมนุษย์บางคน เป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับบางคน และเป็นเรื่องของการเข้าใจผิดในข้อธรรมะของบางคน จนนำไปสู่การสอนผิดๆของคนรุ่นหลังๆได้ ในขณะที่บางคนใช้ตนเองเป็นเครื่องวัดผู้อื่นว่า ธรรมะปรัชญา เป็นเรื่องของคนที่งมงายเหลวไหล โดยเฉพราะใครก็ตามที่กล่าวถึงเรื่องจิตวิญญาณ เขาคนนั้นต้องเป็นพวกอุตริไปเสียหมด
    มนุษย์ที่กล่าวร้ายผู้อื่นให้ผู้อื่นในกลุ่มท้ายของย่อหน้าที่ผ่านมานั้น คือพวกที่มักอ้างตนว่าเป็นคนเจริญแล้ว โดยเอาความเป็นวัตถุนิยมกับความคิดฉลาดๆแบบวิทยาศาสตร์ของตน ออกเที่ยวแสดงความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้อื่นด้วยการบังคับหรือจูงใจผู้อื่นให้เชื่อตาม เป็นต้น ทั้งๆที่บุคคลเหล่านี้ยังใช้ความคิดแบบจิตมนุษย์กันอยู่ ยังใช้สติปัญญาของเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนกันอยู่เลย
    พวกเขาจะเฉลียวฉลาดสูงสุดแท้จริงจนพอจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณผู้อื่นได้อย่างไร ในเมื่อตนเองก็ยังไม่สามารถเข้าถึงสติปัญญาอันสูงส่งของแก่นแท้ของตน ที่เรียกว่า สติปัญญาของวิญญาณ หรือ ปัญญาญาณ เหมือนผู้อื่นที่ตนเองดูแคลนเขาอยู่เช่นกัน....
     
  9. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    มนุษย์ต้องรู้ว่า สัจธรรม ในทุกเรื่องราว จะนำมาขบคิดแบบจิตมนุษย์ไม่ได้ จะต้องใช้สติปัญญาของวิญญาณตนเองทำความไม่รู้ให้กระจ่างด้วยตนเองเท่านั้น การแสวงหาผู้อื่นมาเป็นครู ของตนก็เช่นกัน จงอย่าคิดว่าเขาสามารถจะสอนเราให้รู้แจ้งเห็นแจ้งได้
    ครู มีหน้าที่เพียง 3 อย่างเท่านั้น คือ

    ชี้แนวทาง
    สร้างแนวคิด
    กระตุ้นจิตสำนึกที่ถูกต้องกว่าให้แก่ศิษย์ของตน

    ครูมิได้มีหน้าที่สอนให้รู้หรือบอกให้รู้ และสอนให้ทำหรือสั่งให้ทำ แต่ครูจะเป็นผู้ สอนให้คิด แนะให้ปฏิบัติ นั่นต่างหาก

    การเอาแต่ใช้สมองซีกซ้ายนำขวา
    การเอาแต่แลหาครูที่ไม่รู้บทบาทของตนเอง

    เงื่อนไข 2 ประการนี้ คือเงื่อนไขที่ทำให้มนุษย์ไม่อาจได้แนวทางที่ถูกต้องบนพื้นฐานของความเข้าใจแจ้ง ในอันที่จะนำจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของตน เข้าถึงสภาวะแห่งนิพพานได้

    2 ศึกษาสัจธรรมด้วยการอ่านตามเพื่อการปฏิบัติตามและเชื่อตามอย่างว่าง่าย
    ผู้ที่ศึกษาคำสอนของพระศาสดาทั้งหลาย มักจะมุ่งเน้นแสวงหาความรู้ใหม่ๆให้กับตนเองเสมอว่า
    พระศาสดาทรงสอนอะไรบ้าง?

    แต่ผู้ศึกษาทั้งหลาย น้อยครั้งน้อยรายทีจะมีใครถามตนเองว่า
    เหตุใดองค์ศาสดาจึงทรงสื่อสอนไว้เช่นนั้น?

    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนิสัยการเรียนรู้และศึกษาคัมภีร์ของศาสดาของมนุษย์ทั้งหลาย จึงมักจะไปสิ้นสุดลงตรงที่มีคำกล่าวอ้างกันเสียจนติดปากว่า
    เรื่องนี้ศาสดาไม่เคยได้กล่าวไว้
    เรื่องนี้ศาสดามิเคยได้ทรงสื่อสอนไว้

    มนุษย์จะเห็นได้ว่าทุกอย่างมันเริ่มมาจากการที่มนุษย์เอาแต่คิดหาว่า ศาสดาสอนอะไร ?
    จนนำไปสู่คำกล่าวที่ว่า เรื่องนั้นสอนเรื่องนี้ไม่เคยสอนไว้ เป็นลำดับถัดมา ผลลัพธ์ก็คือ มันทำให้มนุษย์ทั้งหลายเกิดพฤติกรรมเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ
    ไม่กล้าที่จะคิดตามความคิดของศาสดา เพื่อให้รู้ความหมายและที่มาของสัจธรรมข้อใดๆที่ตนเรียนรู้อยู่
    เพราะไม่มั่นใจตนเองว่า จะคิดถูกหรือคิดผิด เพราะคิดว่า ธรรมะเป็นเรื่องยากคงมีเพียงพระศาสดาเท่านั้นที่จะเข้าถึงปัญญาญาณเช่นนั้นได้ ตนเลยไม่กล้าแม้จะคิดตาม ขอเพียงเชื่อตามอย่างเดียว แม้เรื่องนิพพานก็เช่นเดียวกัน หลายคนจะพากันเข้าใจว่า เป็นเรื่องทำยากและเป็นไปได้ยาก ผู้ทำได้น่าจะเป็นพระอริยะเจ้าหรือพระพุทธเจ้าเท่านั้น ซึ่งเป็นความคิดที่งมงายยิ่งนัก เพราะแท้แล้ว การเข้าถึงสภาวะนิพพานให้ได้ในภพชาตินี้ มันเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน จะต้องกระทำให้สำเร็จต่างหากเล่า
    นิพพาน มิได้ผูกขาดไว้สำหรับผู้หนึ่งผู้ใดเลย


    3 ไม่มีปณิธานแห่งนิพพานมาก่อน
     
  10. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    หากมนุษย์ ก้มลงมองดูที่ปลายนิ้วมือ ของตนเองบ้าง จะพบว่า บางนิ้ว จะมีรูปรอยเส้นสายคล้ายสิ่งที่้เรียกว่า มัดหวาย ขณะที่บางนิ้วรูปรอยเส้นสายแลดูคล้ายสิ่งที่เรียกว่า ก้นหอย หรือ ขวัญเมือง อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมันจะมีให้ดูครบถ้วนทั้ง 10 นิ้ว เลยทีเดียว เพราะไม่มีมนุษย์คนใดที่ผ่านการมีภพชาติมาแล้วมากมายหลายภพชาตินั้น ตรงปลายนิ้วทั้งสิบจะไม่มีการบันทึกรหัสลับบางอย่างจากอดีตชาติของตนเอาไว้เลย
    อย่างน้อยก็มี มัดหวาย กับ ก้นหอย นี่ละกระมัง
    ภาพเส้นสายลายก้นหอยบนปลายนิ้วทั้งสิบนิ้วไม่ว่าจะอยู่บนนิ้วใด ข้างใด และมีจำนวนกี่นิ้วก็ตาม ล้วนมีผลต่อรหัสลับที่สามารถอ่านออกมาได้ว่า
    มนุษย์ผู้นั้น จิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ เคยได้ใกล้ชิดองค์พระศาสดาของศาสนาแห่งโลกในยุคที่ตนเองมีเครื่องยนต์แห่งกรรมเป็นมนุษย์มาแล้วบ้างหรือไม่
    เคยแล้วกี่ภพชาติ
    มีปณิธานแห่งนิพพานอย่างแท้จริงมาก่อนหรือไม่
    บำเพ็ญจิตตนมานานหลายภพชาติแล้ว หรือเพิ่งจะไม่กี่ภพชาติที่ผ่านมานี่เอง

    มนุษย์จะต้องรู้ว่า ถ้าหากมนุษย์มองหาสิ่งใดมนุษย์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นเสมอ
     
  11. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
  12. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    นิยามของมันคือ กระบวนการที่เกิดจากอุบัติเหตุของเครื่องยนต์แห่งกรรม(ร่างกายมนุษย์) ที่มันทำงานผิดพลาดด้วยเหตุแห่งความประมาท บนเส้นทางสู่ความหลุดพ้นของนักรบแห่งแสงสว่างในห้องเรียนแห่งดาวเคราะห์โลก

    กฏแห่งกรรมของมนุษย์ จึงเป็นกฏเกณฑ์ทางกายภาพที่เกิดจากกระบวนการเปลื่ยนแปลงสู่การสร้างใหม่ ที่ผิดไปจากกฏเกณฑ์ทางกายภาพของสากลจักรวาล จนก่อให้เกิดกระบวนการเพื่อการดำรงอยู่ คือ กฏแห่งกรรมขึ้นด้วยการกระทำที่ผิดพลาดของมนุษย์เอง

    ความผิดพลาดในการกระทำของเครื่องยนต์แห่งกรรม จนก่อให้เกิดกระบวนการของกฏแห่งกรรม ในลักษณะของการเวียนว่ายตายเกิดสู่การมีภพชาติของมนุษย์แต่ละคน จักรวาลถือว่า เป็นอุบัติเหตุ อันเกิดจากความประมาทของตัวมนุษย์เอง แต่ถ้าพิจารณากันในกรอบมิติทางกายภาพของโลกแล้ว ถือว่า กฏเกณฑ์นี้มนุษย์สร้างมันขึ้นมาให้ตนเองด้วยเหตุเพราะ ความไม่รู้แจ้ง เป็นสำคัญ เหตุผลถัดมาคือ เกิดจาก ความประมาท เพราะไม่ยอมรับและไม่เชื่อเรื่อง กฏแห่งกรรม ที่ได้รับการชี้นำด้วยคำสอนของพระศาสดา ให้มนุษย์ทั้งหลายได้ล่วงรู้ความจริงที่พระองค์ตรัสรู้ได้ด้วยมหาปัญญา นับตั้งแต่สองพันกว่าปีที่ผ่านมา
    ทั้งความไม่รู้แจ้ง และความประมาทของมนุษย์ จักรวาลจัดเป็นอุบัติเหตุของนักรบแห่งแสงสว่าง ที่สามารถป้องกันได้และยับยั้งมันไม่ให้เกิดขึ้นได้ ด้วยตัวมนุษย์เองทั้งสิ้น
    การสร้างกระบวนการของกฏแห่งกรรมขึ้น เพราะความไม่รู้แจ้งของมนุษย์โลก มีสาเหตุจากเงื่อนไขสำคัญดังนี้ คือ

    1. ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร

    2. ไม่รู้ว่าตนเองมาจากไหน

    3. ไม่รู้ว่าตนเองมาเกิดบนโลกนี้ทำไม

    เงื่อนไขทั้ง 3 ประการที่กล่าวนี้ มนุษย์แต่ละคนไม่อาจล่วงรู้ได้ด้วยตนเองกันง่ายๆ เป็นเพราะว่า ถูกปิดบังมิติไว้ ตั้งแต่เข้ามาสู่รูปธรรมมนุษย์ภพชาติแรก บนดาวเคราะห์โลกนี้ ทำให้มนุษย์ทุกคนปิดบังสติปัญญาไว้ ไม่ให้รู้ความจริงของตนเองทั้งสิ้น ซึ่งความจริงเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้ที่เร้นอยู่เบื้องหลังที่มิติโลก อันเป็นมิติคู่ขนานกันกับมิติโลกหรือจะเรียกว่าเป็นมิติทางพลังงานซึ่งเป็นมิติที่สามของกาลเวลาก็ว่าได้
     
  13. freud_69

    freud_69 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +10
    รออ่านอยู่นะคะ
     
  14. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    นึกว่า ไม่มีใครอ่านครับ ชื่นใจขึ้นมาหน่อยเดี่ยวมาลุยต่อนะครับ อ่านแล้วก็อนุโมทนาด้วยนะครับ การเปลื่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลกเพื่อช่วยให้มนุษย์เข้าสู่นิพพานได้ง่ายขึ้น แต่มันจะมีผลทำให้โลกเราเกิดภัยต่างๆอย่างมากมายที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ครับ

    บางคนไม่เข้าใจทำไมภัยต่างๆมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมต้องเกิด ก็พยายามเดาไปต่างๆนาๆ พยากรณ์ไปต่างๆนาๆ แต่อาจารย์ปริญญาท่านไม่ได้พยากรณ์ท่านมาแจ้งข่าวสารเพราะว่า ท่านรู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นข้างหน้าบ้าง ถ้า
    มนุษย์ยังทำตัวอย่างนี้อยู่
    มนุษย์ไม่อยากนิพพาน
    มนุษย์ยังมัวหลงในกิเลส ตัณหา

    ท่านรู้ว่า อะไรมันจะเกิดขึ้นก็จริง แต่มันสามารถเปลื่ยนแปลงไปได้เพราะ มนุษย์ ครับ
     
  15. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    มายืนยันว่า ตามอ่าน อยู่ค่ะ
    ที่ไม่โพสต์เพราะเกรงว่า จะขัดจังหวะ สุนทรียะในการได้อ่านเนื้อความดีดีของท่านลงไป
    ขออนุญาตคัดลอกเก็บรวบรวมไว้นะคะ ได้ 'ความรู้ใหม่' เพียบเลยค่ะ ขอขอบพระคุณค่ะ
     
  16. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ครับ ยินดีครับ สงสัยตรงไหนก็ตามมาได้ครับเพราะศัพท์บางตัวจะใช้ภาษาของจักรวาลไม่ใช่ภาษาโลกที่เราคุ้นเคย เช่น เครื่องยนต์แห่งกรรม ..

    มนุษย์แต่ละคนจะถูกติดตั้งบานประตูมิติทางปัญญาเอาไว้ตรงต่อมไพนีล หรือ ตาที่สาม ซึ่งอยู่บริเวณหน้าผากกึ่งกลางระหว่างคิ้วขึ้นไปเล็กน้อย ประตูมิติบานนี้เมื่อแรกเกิดใหม่เป็นทารก มันยังสามารถใช้การได้ดีอยู่(ทารกสามารถมองเห็นสรรพสิ่งอื่นในมิติอื่น)
    พอเจริญวัยขึ้นสามารถพูดจาโต้ตอบกับผู้อื่นได้บ้างแล้ว ต่อมไพนีลนี้มันจะค่อยๆฝ่อเล็กลงไป ด้วยอำนาจแม่เหล็กโลกที่มีความเข้มข้นทางพลังอำนาจในระดับต่ำ

    อำนาจแม่เหล็กโลก จึงเป็นพลังงานที่คอยกำกับบานประตูมิติทางปัญญา เพื่อการรู้แจ้งของมนุษย์ทุกคนไว้นั่นเอง

    มนุษย์ในยุคพลังงานเก่า หลายพันปีที่ผ่านมาจึงเข้าถึงการรู้แจ้งได้ยากยิ่ง เนื่องจากดาวเคราะห์โลกมีอำนาจแม่เหล็กอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้บานประตูมิติที่ว่านี้ แทบปิดสนิทจนไม่อาจจะเปิดแง้มมันออกได้ง่ายนัก แต่ในยุคพลังงานใหม่ จักรวาลโดยรูปธรรมชั้นสูงที่เชี่ยวชาญด้านอำนาจแม่เหล็กจะกระทำทางเทคนิคเพื่อเพิ่มอำนาจแม่เหล็กโลกให้สูงขึ้นเป็น 2 เท่า ของยุคพลังงานเก่าที่ผ่านมาให้เป็นของขวัญอันล้ำค่าสำหรับมนุษยชาติด้วยความรัก ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการปฏิบัติการอยู่อย่างขะมักเขม้นทั้งกลางวันและกลางคืนเลยทีเดียว

    ทันทีที่อำนาจแม่เหล็กโลกได้เพิ่มขึ้นทางด้านบวก ต่อมไพนีลของมนุษย์แต่ละคนที่มันฝ่ออยู่ จะได้รับการฟื้นฟูตนเองขึ้นมาใหม่ ให้สามารถใช้การได้ดีขึ้นกว่ายุคพลังงานเก่าโดยอัตโนมัติโดยตัวมนุษย์เองไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการฟื้นฟูเลย(จะพบเห็นว่า มนุษย์ตาทิพย์จะเพิ่มมากขึ้น จะค้นพบศาสตร์วิชาต่างๆมากขึ้น โดยที่ไม่รู้ตัว)
     
  17. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ความลับเบื้องหลังมิติโลกอีกอย่างที่มนุษย์จะสามารถใช้สติปัญญาของตน เพื่อการรู้แจ้งได้จะต้องอาศัยช่องทางตาที่สาม คือต่อมไพนีลที่ว่านี้เท่านั้น โดนมนุษย์จะต้องสร้างคลื่นการคิดรู้ในเรื่องที่ต้องการรู้ ด้วยกลไกของจิตที่บริหารสมองซีกขวานำกระบวนการสมองซีกซ้าย ให้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาได้ คลื่นการคิดรู้ของกระบวนการนี้ จะถูกส่งผ่านไปยังต่อมไพนีลซึ่งเป็นบานประตูมิติได้เองอัตโนมัติ มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเปลืองพลังหรือเสียเวลาในการเพ่งจิตให้มันไปยึดติดกับตัวตนเข้าอีก จนสร้างความยุ่งยากในกระบวนการการหลุดพ้นของจิตที่จะเข้าสู่นิพพานในวันหน้าได้

    ทันทีที่การสั่นสะเทือนเป็นคลื่นการคิดรู้เกิดขึ้น และเดินทางถึงบานประตูมิติที่ถูกแง้มไว้ให้แล้วด้วยอำนาจแม่เหล็กโลกยุคพลังงานใหม่ มนุษย์สามารถใช้คลื่นการคิดของตนเองเปิดประตูบานนี้ได้อย่างง่ายดาย เมื่อบานประตูมิติถูกเปิดออก คลื่นการคิดรู้ของมนุษย์ก็จะสามารถสื่อผ่านช่องทางนี้เพื่อไปค้นหาคำตอบใดๆที่เคยเป็นความลับเบื้องหลังมิติโลกจากมิติที่สูงกว่าได้ทันที
    คลื่นการคิดรู้ซึ่งเกิดจากกระบวนการนี้ เรียกว่า ภาษาจิต หรือ ภาษาที่สาม อันเป็นภาษาสากลจักรวาล ที่มนุษย์โลกทุกคนสามารถฝึกฝนตนเองได้ ในการใช้ภาษานี้สื่อกับมนุษย์ด้วยกันเองกับรูปธรรมคล้ายมนุษย์จากต่างจักรวาล และสื่อกับรูปธรรมชั้นสูงในสากลจักรวาลหรือจิตวิญญาณต่างๆในสากลโลกได้ทั้งสิ้น ไม่ได้จำกัดไว้เพื่อการคิดรู้สู่การรู้แจ้งแต่เพียงอย่างเดียว

    เมื่อมนุษย์สามารถเปิดบานประตูมิติ สื่อคลื่นการคิดออกมาเป็นภาษาสากลได้แล้ว กระบวนการทางเทคนิคที่เป็นอัตโนมัติที่มนุษย์ต้องรู้ในขั้นต่อไปคือ คลื่นการคิดรู้จะอาศัยแนวเส้นแรงแม่้เหล็กโลกของระบบโครงข่ายเส้นใดเส้นหนึ่ง ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างตัวมนุษย์ด้วยกันเองไว้กับทุกสรรพสิ่งภายในระบบโลกและประสานโครงข่ายแม่เหล็กโลกไว้กับโครงข่ายสนามพลังงานจักรวาล สากลไว้ได้อย่างลงตัวอยู่แล้วนั้นให้เป็นผู้นำทางไปหาคำตอบที่ต้องการอย่างลงตัวที่ระดับความสูง 60000 กิโลเมตรอยู่แล้วให้ช่วยเป็นผู้นำคลื่นการคิดรู้ของตนไปแสวงหาคำตอบจากองค์ความรู้ คือ จิตจักรวาล รูปธรรมใดรูปธรรมหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ในสนามพลังงานจักรวาลสากลเหนือจักรวาลโลกขึ้นไป ซึ่งบรรดาจิตจักรวาลทั้งหลาย ล้วนมีคุณสมบัติในการคิดรู้ได้เองในทุกสรรพสิ่งและเป็นผู้สั่งสมความรู้ทุกสรรพสิ่งเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมนุษย์ โลก และจักรวาล มีข้อมูลอันหลากหลายทั้งที่มนุษย์รู้แล้ว และที่มนุษย์อยากรู้แต่ยังไม่ล่วงรู้จนแม้กระทั่ง
    เรื่องที่มนุษย์ยังไม่รู้ว่าตนเองจะต้องรู้อีกมากมาย
     
  18. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ทันทีที่คลื่นการคิดรู้ของมนุษย์ เดินทางไปถึงรูปธรรมจิตจักรวาลได้มันจะไปรับเอาคำตอบที่ต้องการจะรู้ซึ่งอยู่ในลักษณะของ ผลึกแห่งการคิดรู้ หรือ ผลึกแห่งความรู้ ลักษณะคล้ายสะเก็ดเพชรอันแวววาว มาเป็นคุณสมบัติของคลื่นการคิดรู้ของตนทันที การกลับตัวของคลื่นที่ถูกสื่ออกไปนั้นมันจะเกิดขึ้น เพื่อนำเอาผลึกคสามรู้ที่ได้ย้อนกลับทางเก่าผ่านช่องทางตาที่สามเข้าสู่จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนเพื่อการคิดรู้ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้นแล้วแปลความหมายออกมาเป็นข้อมูลเพื่อการรู้แจ้งในเรื่องนั้นต่อไป

    ถ้ามนุษย์รู้จักฝึกฝนตนเองให้เชี่ยวชาญในการใช้กระบวนการนี้ได้ ไม่เพียงแต่คำุถามทั้ง 3 คำถาม ที่เคยถูกปกปิดเป็นความลับเอาไว้ไม่ให้ล่วงรู้เหล่านั้น แม้คำถามที่เกี่ยวกับศาสตร์โลกหรือศาสตร์จักรวาลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความรู้แขนงต่างๆ ที่มนุษย์จะรับเอามาเพื่อการสร้างโลกใบนี้ มนุษย์ก็จำเป็นจะต้องได้จากองค์ความรู้ของจักรวาลทั้งสิ้น ความรู้ต่างๆบนโลกที่มนุษย์ค้นคว้ามาได้ หรือค้นพบมันจากการคิดคาดคะเนและจากการทดลองต่างๆ แม้มนุษย์ที่ได้เชื่อว่าค้นพบศาสตร์นั้นเป็นคนแรก จะไม่ล่วงรู้ความจริงในเรื่องนี้เลยก็ตาม แต่พวกเขาสามารถคิดรู้ได้จากความมุ่งมั่นและมีสมาธิ จนสร้างกระบวนการคิดรู้ดังกล่าวนี้ขึ้นโดยไม่รู้ตัว

    นักคิดค้นและนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ มักอ้างว่าความสำเร็จของพวกเขาเกิดจากแรงบันดาลใจกับการคิดสร้างสรรค์ อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เหนือกว่ามนุษย์คนอื่นๆไป ทั้งๆที่พลังอำนาจในการกระทำเช่นนี้ไม่ว่ามนุษย์คนไหนก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น หากมีพรสวรรค์ติดตัวมาจากภพชาติอดีต และมี พรแสวงในชาติปัจจุบัน

    มนุษย์พึงรู้ว่า ในการสื่อสารเป็นภาษาที่สามกับจิตจักรวาล เป็นภาษาสากลเพื่อการคิดรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น....
     
  19. Sittirat

    Sittirat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +821
    เรียนถามท่าน "ดูท่านอยู่นะครับ"
    อาจารย์ปริญญาท่านเคยบอกมั้ยครับว่า ภัยพิบัติจะเกิดในวันไหน, เวลาใด, และจะสิ้นสุดเมื่อไรครับ ?
     
  20. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ภัยพิบัติเริ่มเกิดมาตั้งแต่ปี 2545 ครับและจะเพิ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึง วันเวลาสุดท้าย 45 วัน 7 ราตรี
    โดยให้ดูที่ จำนวนจุดดำหรือจุดดับ บนดวงอาทิตย์เป็นเป้าหมาย

    ถ้าดวงอาทิตย์มีจุดดำหรือจุดดับครบ 11 จุดเมื่อไหร่ ตอนนี้ปี 2009 มีจำนวน 6 จุดปี2012 จะเพิ่มอีก 1 จุดเป็นจุดที่ 7 นี้แค่ 6 จุดภัยต่างๆก็มากขนาดนี้ ถ้าเพิ่มเป็น 7 จุดก็จะมากอีก 3 เท่าตัวครับ

    การเกิดภัยต่างๆ จะทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับตราบจนพระอาทิตย์มีจุดดำครบ 11 จุดจะเป็นวันเริ่มต้น 45 วัน 7 ราตรี จากนั้นให้นับไปอีก 3 ทุกอย่างจะสิ้นสุดครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...