เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย รักบุญ, 24 กรกฎาคม 2009.

  1. รักบุญ

    รักบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +160
    เหตุสมควรโกรธ… ไม่มีในโลก
    พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
    วัดสุนันทวนาราม
    บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
    ————————————-
    [​IMG]
    ภาพ : พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก


    ชีวิตคือทุกข์… ไม่มากก็น้อย

    ชีวิตคนเราดูแล้วหลากหลายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
    ชีวิตของ เด็กเล็ก ๆ อายุ 3-4 ขวบ
    ชีวิตของ คนเต่าคนแก่ อายุ 100 ปี
    ชีวิตของ คนยากจน ขอทานข้างถนน
    ชีวิตของ มหาเศรษฐี
    ชีวิตของ คนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
    ชีวิตของ คนจบปริญญาเอก
    ชีวิตของ นักโทษประหาร
    ชีวิตของ ผู้ได้รับเกียรติเป็นบุคคลตัวอย่าง
    ชีวิตของ นักเลงพนัน
    ชีวิตของ ผู้ดีในสังคม
    แต่ดูลึก ๆ แล้ว ชีวิตเราก็พอ ๆ กัน
    ในความรู้สึก สุข ทุกข์ ดีใจ พอใจ สุขใจ
    โกรธ น้อยใจ เสียใจ กลัว ฯลฯ
    ทุกข์ร้อน ทุกข์หนาว ทุกข์แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็มี แต่คนเราเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ พยายามหนีจากทุกข์ แสวงหาความสุขทั้งนั้น ตามสติปัญญาและความสามารถของแต่ละบุคคล หัวใจของมนุษย์ต่างก็เรียกร้อง “ความสุข ๆ ๆ” กันทุกคน แต่ที่เราหนีไม่พ้นจากทุกข์ เพราะพวกเราอยู่ในท่ามกลางไฟกันทั้งนั้น
    ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

    ไฟ คือ โทสะ
    ไฟ คือ โลภะ
    ไฟ คือ โมหะ

    เมื่อเราสามารถดับไฟได้ เมื่อนั้นก็เย็นสงบสุข
    ไฟโทสะร้ายกาจ เป็นข้าศึกต่อความสุข
    ถอนโทสะเพียงสิ่งเดียวออกจากจิตใจ
    ก็จะไม่ต้องต่อสู้กับคนรอบตัว โลกทั้งหมดจะสงบเย็น
    มีแต่คนน่ารัก มีแต่คนน่าสงสาร ควรแก่การเมตตากรุณา

    ไฟเสมอด้วยความโกรธไม่มี

    พระพุทธเจ้าเปรียบความโกรธว่าเหมือนไฟ
    เช่นไฟไหม้ป่า เผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
    ความโกรธ มีพลัง มีอำนาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
    ยิ่งกว่าไฟไหม้ป่าเสียอีก มีแต่โทษ ไม่มีคุณแม้แต่นิดเดียว
    จะเห็นได้ว่าคนโบราณมีการอบรมสั่งสอนลูกหลานให้กลัว
    และระมัดระวังไฟ เพราะอันตรายมาก โดยเฉพาะ ไฟไหม้บ้าน
    ไฟไหม้ป่า ล้วนเผาทำราย พรึบเดียว ชั่วข้ามคืน
    ทำลายทั้งทรัพย์สมบัติจนหมดตัว และยังอาจทำลายชีวิตคนบางครั้งเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ คนทีเดียว
    แต่ความโกรธ อันตรายยิ่งกว่าไฟ ไฟเสมอด้วยโกรธไม่มี
    เพราะความโกรธจะทำลายแม้แต่น้ำใจเรา
    คนที่เรารักสุดหัวใจก็ดี คนที่รักเราก็ดี
    ชื่อเสียง คุณงามความดีที่สะสมไว้ตั้งแต่อเนกชาติ
    ถูกทำลายย่อยยับได้ด้วยความโกรธ
    ความโกรธ โมโห ครั้งเดียว สามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
    น่ากลัวยิ่งกว่าไฟไหม้ !!!!!
    ความโกรธนี้ฆ่าผู้มีพระคุณมาหลายต่อหลายคนแล้ว
    ฆ่าคนที่เรารัก คนที่รักเรา คู่รักที่ต่างรักใคร่ชอบพอกัน
    บางครั้งในที่สุด ความโกรธก็ทำให้เลิกร้างกัน
    ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องแตกแยก
    จนถึงทำให้ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูกก็มี
    ผู้ใหญ่ในระดับประเทศโกรธกัน จนเป็นเหตุให้กลายเป็นสงคราม
    ฆ่ากันตาย เป็นพัน ๆ หมื่น ๆ แสน ๆ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่เราเห็นกันด้วยตา
    นับแต่มด ยุง กบ เขียด แมว สุนัข วัวควาย มนุษย์
    อย่างน้อยชาติหนึ่งเคยเป็นพี่น้องกันในวัฏสงสารที่ยืดยาว
    ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเคยรักกันเกลียดกันมาอย่างนี้
    จนทุกวันนี้ และต่อไปอีกหลายภพหลายชาติ
    ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน
    เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรประมาท ทำใจให้สงบน้อมเข้ามาสู่ตน
    พิจารณาดูว่า มีใครบ้างที่เราอาฆาตพยาบาท ถ้ามีรีบให้อภัย
    อโหสิกรรมเสียแต่บัดนี้ อย่างน้อยก็ชาตินี้ ก่อนตาย
    จะได้ไม่ต้องเป็นคู่เวรคู่กรรมกันอีกต่อไป อย่าคิดว่า
    ต่างคนต่างอยู่ ไม่เป็นไร แม้จะอยู่คนละจังหวัด
    คนละประเทศก็ตาม ก็จะมีโอกาสพบกันในชาติหน้า
    และมีโอกาสมากด้วย ถ้าหากมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น
    ดูใจของตน ก็เห็นชัด คิดถึงใครก็ดี คิดแค้นอาฆาตพยาบาทใครก็ตาม
    นั่นแหละ! ระวังให้ดี
    ต่อไปจะเกิดมาพบกัน
    และทำความเดือดร้อนให้แก่กัน
    นับภพนับชาติไม่ถ้วน
    ฉะนั้น ไม่ให้คิดมีเวรแก่กัน จงให้อภัย และอโหสิกรรมแก่กัน
    ไม่ให้คิดอาฆาตพยาบาท ไม่ให้คิดเบียดเบียนกัน
    มีแต่ปรารถนาดีต่อกัน พยายามทำแต่กรรมดีให้ทาน
    เอื้อเฟื้อกัน มีปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ
    ทำประโยชน์ช่วยเหลือสังคม วางตนเหมาะสม
    เสมอต้นเสมอปลาย การประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างนี้
    จะทำให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในปัจจุบัน
    และเป็นการสร้างกรรมดีต่อกัน
    อนาคตถ้าเกิดมาพบกันอีก
    ก็จะเป็น พี่น้อง เพื่อนฝูงที่ดีต่อกัน
    เกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกันและกัน

    ไฟไม้บ้าน – ดับไฟก่อน

    เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ จะโกรธ อยากโกรธ
    หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ
    จนกว่าใจจะสงบสบาย เมื่อเราไม่พอใจ ไม่ต้องคิด
    อย่าคิดไปตามอารมณ์ คิดว่า ทำไมเขาทำอย่างนี้
    เข้าไม่น่าทำเช่นนี้
    พิจาณาดู… สมมติเมื่อเรากำลังกลับบ้าน
    มองเห็นควัน มีไฟลุกขึ้น ไฟกำลังไหม้บ้านของเรา
    ถึงแม้เรามองเห็นว่า มีใครวิ่งหนีไปก็ตาม
    เราไม่ต้องคิดสงสัยว่า เขาเป็นผู้ร้ายหรือเปล่า
    สิ่งที่ต้องทำก่อนทุกอย่างคือ วิ่งเข้าไปหาทางดับไฟ
    ให้เร็วที่สุด หาน้ำ หาเครื่องดับไฟ ผ้าห่ม ฯลฯ
    ทำดีที่สุดเพื่อที่จะดับไฟให้สำเร็จ
    เมื่อดับไฟแล้ว จึงค่อยคิดหาสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดไฟไหม้
    เช่น เป็นอุบัติเหตุ หรือมีใครลอบวางเพลิง
    มีใครประสงค์ร้ายคิดทำลายทรัพย์สมบัติของเราหรือไม่
    เมื่อเกิดอารมณ์ไม่พอใจ ไม่ต้องคิดหาเหตุว่าใครผิด ใครถูก
    ระงับความร้อนใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน
    หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ เมื่อใจสงบแล้ว
    จึงค่อยคิดด้วยสติ ปัญญา ด้วยเหตุผล

    ละความโกรธด้วยรักและเมตตา

    เมตตาตรงข้ามกับโทสะ และพยาบาท
    ซึ่งเป็นความโกรธ ความมุ่งร้าย
    เมตตาเป็นความรัก ความปรารถนาดีให้มีความสุข
    เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ความรักที่เป็นราคะคือความใคร่
    ดังนั้นหากเราหมั่นอบรมจิตให้เมตตาตั้งขึ้นในจิตใจได้
    จิตใจก็จะพ้นจากโทสะพยาบาท
    เพื่อให้มีเมตตาเป็นพื้นฐานของจิต เราควรพิจารณาว่า
    ตัวเรารักสุข เกลียดทุกข์ฉันใด
    คนอื่น สัตว์อื่นก็รักสุข เกลียดทุกข์ฉันนั้น
    ผู้ที่จะแผ่เมตตาได้ จะต้องทำใจตัวเองให้มีเมตตาก่อน
    คือทำจิตใจตัวเองให้อ่อนโยน สงบเย็น
    แล้วจึงแผ่เมตตาแก่ผู้อื่น
    เพราะการจะแผ่สิ่งใดออกมาได้
    จิตใจจะต้องมีคุณสมบัตินั้นอย่างแท้จริง
    การเจริญเมตตาภาวนา
    เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ธรรมชาติของจิตเป็นประภัสสร
    บริสุทธิ์ผ่องใส โดยธรรมชาติ ความเบิกบานใจ สุขใจ นั้นมีอยู่
    เป็นอยู่แต่ดั้งเดิม แต่ทุกวันนี้ ที่พวกเราไม่ค่อยสบายใจ ทุกข์ใจ
    เพราะมีอารมณ์ กิเลสเครื่องเศร้าหมองครอบงำจิต
    เราสามารถเจริญสติน้อมเข้าไปสัมผัสความเบิกบานใจ
    สุขใจที่มีอยู่ได้ หน้าที่ของเราคือ ต้องสร้างกำลังใจ เจริญสติ
    สมาธิ ปัญญา รู้จักกุศโลบายที่จะน้อมเข้าไปสุ่ธรรมชาติ
    ของจิตประภัสสร โดยมีวิธีปฏิบัติ
    ในการเจริญเมตตาภาวนา ดังนี้

    วิธีปฏิบัติ

    น้อมเข้ามาที่ลมหายใจ

    ข้าศึกต่อความสุข คือความคิดผิด ความคิดไม่ดีของตนเอง ไม่ใช่การที่เขากระทำดีหรือไม่ดีต่อเรา
    ไม่ว่าเขาจะไม่ดีขนาดไหน ถ้าใจเราดีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย
    ศัตรูร้ายกาจที่แท้จริ คือ ใจไม่ดี ความคิดไม่ดีของตนนั่นเอง
    ผู้เจริญเมตตาภาวนา ควรระวังรักษาใจ
    ระวังความคิดผิดให้มากที่สุด อะไรไม่ดี อย่าคิดเลย
    สุขภาพไม่ดี อากาศไม่ดี รัฐบาลไม่ดี
    ถึงแม้ใครทำอะไรผิดจริง ๆ ผิดมากขนาดไหน
    ก็ไม่ต้องคิดว่า “ใคร” หรือ “อะไร” ไม่ดี
    เริ่มต้นปรับท่านั่งให้สบาย ๆ หยุดคิด ทำใจสบาย ๆ หายใจสบาย ๆ
    บางครั้งจิตใจไม่เบิกบาน มีความรู้สึกไม่ดี เศร้า ๆ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ
    หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ
    ทำความรู้สึกคล้ายกับว่า หนีจากความรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ
    น้อมเข้าไปอยู่กับลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก
    ตั้งสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่วถึงลมหายใจ
    ปรับลมหายใจสบาย ๆ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย
    น้อมเข้าไปอยู่กับลมหายใจ ละลายความรู้สึกเข้าไปในลมหายใจ
    จนรู้สึกกลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลมหายใจ
    มีความรู้สึกตัวทั่วถึง ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
    พร้อมกับระลึกถึงปีติ สุข
    ทุกครั้งที่ หายใจเข้า หายใจออก
    จิตใจของเราจะเบิกบาน สงบ สบาย มีปีติสุข
    เท่ากับว่า หายใจเข้า หายใจออก คือ สุขใจ สบายใจ
    หายใจเข้าสบาย ๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ
    หายใจออกสบาย ๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ

    ดึงปีติสุขในใจออกมา

    เริ่มต้น ปรับท่านั่งสบาย ๆ
    หยุดคิด ทำใจสงบ ปรับลมหายใจสบาย ๆ
    น้อมเข้าไป ตั้งสติที่กลางกระดูกสันหลัง ระดับหัวใจ
    สมมติว่าศูนย์กลางของจิตใจ อยู่ที่นั่น
    เป็นจิตประภัสสร บริสุทธิ์ ผ่องใสโดยธรรมชาติ
    ความเบิกบานใจ ปีติสุข อยู่ที่นั่น
    ทำความรู้สึกว่า จุดนั้นเป็นจุดร้อน ๆ
    ความรู้สึกร้อน ๆ และปีติสุข
    ลักษณะเหมือนไอน้ำ ระเหยออกมาจากที่นั่น
    หายใจเข้า ดึงเอาปีติสุขออกมา
    คล้ายกับว่า ใช้นิ้วค่อย ๆ ดึงออกมาเรื่อย ๆ
    หายใจออก ตั้งสติอยู่ข้างใน
    ความรู้สึกที่ดี ดันออกมาข้างหน้าต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ
    อุปมาเหมือนกับว่ามีหมอนใบหนึ่งมีรูเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง
    เราเอานิ้วจับอยู่ที่ปุยนุ่นแล้วค่อย ๆ ดึงออกมาเรื่อย ๆ
    สมมติให้กลางกระดูกสันหลัง เป็นจุดศูนย์กลางของจิตประภัสสร
    เป็นจุดสัมผัสกับพุทธภาวะ คือภาวะแห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า
    และอริยะสาวกทั้งหลาย เป็นเมตตา กรุณา ปีติสุข
    ที่มีอยู่ในจักรวาล ไหลออกมาผ่านจุดศูนย์กลางจิตใจของเรา
    อุปมาเหมือนท่อที่มีสายน้ำไหลแยกออกมาจากทางน้ำใหญ่
    เมื่อเราฝึกจนชำนาญแล้ว จะรู้สึกว่าการหายใจคือปีติสุข
    ความรู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ใจ สัมผัสกับเราแต่เพียงส่วนหน้า
    เราน้อมเข้าไป ตั้งสติอยู่ที่สุดกลางกระดูกสันหลัง
    เมื่อความรู้สึกที่ดี ปีติสุข ไหลออกมาแล้ว
    ความรู้สึกที่ไม่ดี ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในใจเราจะมีปีติสุข
    เป็นความรู้สึกที่ดี สบายใจ สุขใจ
    เมื่อชำนาญแล้ว เราไม่ต้องตั้งใจหรือใช้อุบาย
    เมื่อหายใจเข้า หายใจออก ตามปรกติ
    ความรู้สึกที่ดี และปีติสุขจะไหลออกมาเรื่อย ๆ
    เหมือนลมหายใจและปีติสุขเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    ปล่อยวางความโกรธให้เร็วขึ้น

    เมื่อเรามีนิสัย ขี้โกรธ ขี้โมโห เห็นอะไร ได้ยินอะไร กระทบอารมณ์
    คงจะห้ามความโกรธไม่ได้
    ก็ไม่ต้องห้าม ให้โกรธตามเคยนั่นแหละ
    แต่พยายามปล่อยวางให้เร็วขึ้น ไม่ผูกใจเจ็บ ให้อภัย
    ให้อโหสิกรรมให้เร็วขึ้น เช่น เรารู้อยู่ว่าปกติโกรธขนาดนี้ จะไม่สบายใจอยู่ 3 วัน
    พยายามปล่อยวางภายใน 2 วัน จากนั้นลดให้เหลือ 1 วัน
    3 ชั่วโมง จนเหลือ ครึ่งชั่วโมง เป็นต้น
    การต่อสู้กับอารมณ์โกรธ ให้เอาหัวใจนักกีฬามาสู้
    อย่าเอาจริงเอาจังกับเหตุการณ์ณ์จนเกินไป
    โอปนยิโก น้อมเข้ามาดูใจ ดูอารมณ์
    เอาสติปัญญา ต่อสู้กับอารมณ์ตัวเอง
    ให้มีความพอใจ ความสุขในการแก้ปัญหา แก้อารมณ์ของตน
    เมื่อเราเห็นความก้าวหน้า ในการต่อสู้กับอารมณ์แล้ว
    ลึก ๆ ภายในใจก็จะมีความพอใจ
    ในท่ามกลางความโกรธได้เหมือนกัน
    พิจารณาธรรมชาติของอารมณ์โกรธ
    ตามสติกำลังของตัวเองก่อน เมื่อเข้าใจดีแล้ว
    ปล่อยวางความรู้สึกโกรธ ตั้งสติที่ท้อง หายใจออกยาว ๆ สบาย ๆ
    หายใจเข้าตามปกติ เน้นที่หายใจออกยาว สบาย ๆ
    ทำเช่นนี้จะช่วยผ่อนคลาย กายเย็น ใจเย็น
    อารมณ์สบาย ๆ มีความสบายใจ

    ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข

    ความโกรธ ไม่ว่ามากหรือน้อย โกรธนาน หรือไม่นาน
    ล้วนทำลายความสุข ทำลายสุขภาพ เป็นโทษต่อตัวเอง และคนรอบข้าง
    สำหรับผู้มีสติปัญญาแล้วจะเห็นความโกรธ
    เป็นอารมณ์ของผู้ไร้ปัญญา ย่อมหลีกเลี่ยงคนมักโกรธ
    ตัดความโกรธด้วยความมีสติข่มใจ
    และถอนรากเหง้าของความโกรธด้วยเมตตาภาวนา
    พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญการฆ่าความโกรธไว้ว่า
    บุคคลฆ่าความโกรธได้ ย่อมอยู่เป็นสุข
    บุคคลฆ่าความโกรธได้ ย่อมไม่โศกเศร้า


    **************************

    สอนใจตัวเองก่อน

    เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่
    มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก
    สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่ มีลูก
    เมื่อลูกทำผิดจริงๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก
    สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี
    มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว
    และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม
    แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

    เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง
    จึงจะเกิดประโยชน์ เป็นการสอน

    ถ้าเราสังเกตดู บางครั้ง ใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน
    แต่ความจริงแล้ว เราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา
    สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ
    เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

    ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน คำพูดเดียวกัน นั่นคือโกรธ
    ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือสอน

    เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด
    อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน
    อย่ายินดี ยินร้าย ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
    พยายาม อบรมใจตนเองว่า
    ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง
    ชอบจับผิดแต่คนอื่น

    ..... ..... มองเห็นความผิดคนอื่นเหมือนภูเขาใหญ่
    เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม
    ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน
    ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร
    ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน
    ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร

    เรามักทุ่มเทใจ
    ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
    อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดียินร้าย
    พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลางๆ
    ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากันหรืออาจจะมากกว่าเขา
    แต่ความรู้สึกของเรา มักจะรังเกียจเขา
    และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลย น่ากลัวจริงๆ

    สังเกตดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโห ว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก
    ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม….. ก็อาจจะไม่
    เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ
    อย่าเชื่อความรู้สึก ให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลางๆ ไว้

    อย่าเชื่อความรู้สึก
    อย่าเชื่ออารมณ์
    อย่ายินดียินร้าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤษภาคม 2011
  2. ไอแดด

    ไอแดด Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2009
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +73
    จริงค่ะ

    นี่เป็นบทความของพระอาจารย์ มิตซูโอะ คาเวสโก

    ครั้งแรกที่อ่านเจอก็เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยค่ะ
     
  3. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    <CENTER>
    ความโกรธ</CENTER><CENTER>....................................................

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
    สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
    </CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" background="" align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TR><TD bgColor=darkblue width="100%" hspace="0" vspace="0">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <CENTER>อักโกสกสูตรที่ ๒.....................................
    อักโกสกภารทวาชพราหมณ์....... ได้ยินว่า พราหมณ์ภารทวาชโคตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระสมณโคดมแล้ว ดังนี้โกรธ ขัดใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษ ฯ.........................................
    พ. ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้ก็อย่างเดียวกัน ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่ ท่านหมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่ เราไม่รับเรื่องมีการด่าเป็นต้นของท่านนั้น ดูกรพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นก็เป็นของท่านผู้เดียว ดูกรพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นก็เป็นของท่านผู้เดียว
    ...........................................
    [๖๓๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ผู้ไม่โกรธ ฝึกฝนตนแล้ว มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ หลุดพ้น แล้ว เพราะรู้ชอบ สงบ คงที่อยู่ ความโกรธจักมีมาแต่ ที่ไหน ผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ลามก กว่าบุคคลนั้นแหละ เพราะการโกรธตอบนั้น บุคคลไม่ โกรธตอบ บุคคลผู้โกรธแล้ว ชื่อว่าย่อมชนะสงครามอัน บุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติ สงบเสียได้ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสอง ฝ่าย คือแก่ตนและแก่บุคคลอื่น เมื่อผู้นั้นรักษาประโยชน์ อยู่ทั้งสองฝ่าย คือของตนและของบุคคลอื่น ชนทั้งหลาย ผู้ไม่ฉลาดในธรรมย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า เป็นคนเขลา ดังนี้ ฯ...........................................

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ บรรทัดที่ ๕๑๘๕ - ๕๒๔๖. หน้าที่ ๒๒๔ - ๒๒๖.http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=5185&Z=5246&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=631 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕http://84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๑๕</U>http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/mean_reverse.php?text=15&Aindex=%CA%D2%C3%BA%D1%AD</U>http://84000.org/tipitaka/read/?index_15
    </CENTER></PRE>
     
  4. มาลาภรณ์

    มาลาภรณ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +22
    โกรธ ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่น ฉะนั้นแล้วจงอย่าโกรธ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. Canetion

    Canetion เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    528
    ค่าพลัง:
    +2,026
    กิเลสไฟน่ากลัวจริงๆ

    มีไว้ให้เห็น ไม่ได้มีไว้ให้เป็น

    อนุโมทนา สาธุคะ
     
  6. puttro

    puttro Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +66
    รามักทุ่มเทใจ
    ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
    อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดียินร้าย
    พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลางๆ
    อนุโมทนา สาธุค่ะ
     
  7. puttro

    puttro Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +66
    พลังการให้คะแนนทำอย่างไรคะ
     
  8. pandablahblah

    pandablahblah Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +71
    อนุโมทนาสาธุ จขกท นะคะ กำบังมาด้วยไฟโกรธอย่างแรงเลยค่ะ มาอ่านเจอพอดี ดีจังค่ะ ขี้เกียจโกรธแล้ว เลิกโกรธดีกว่าเนาะ มันน่ารำคาญตัวเอง ฮ่าๆ ^^



    อนุโมทนาสาธุค่ะ เฮ้อ แฮปปี้นี้มันโง่จริงๆ ขี้เกียจเป็นคนโง่แล้วค่ะ เบื่อแล้ว ไม่อยากโกรธละ ชิชิ :)
     
  9. เอคทัคคะ

    เอคทัคคะ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +8
    โมทนาบุญ

    เห็นด้วยค่ะ การที่เราโกรธ ไม่พอใจใครถึงเขาจะไม่ทราบก็จริงแต่เรานี่ล่ะค่ะที่ไม่สบายกายและใจ เผลอสติได้ ทางที่ดีอโหสิกรรมต่อกันเถิดค่ะ
     
  10. meamanee

    meamanee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +41
    เมื่อเหตุสมควรโกรธไม่มีในโลกแล้ว เหตุสมควรอิจฉาริษยา อาฆาตพยาบาท จองเวร ก็ไม่มีในโลกเช่นกันใช่หรือไม่คะ นอกจากความโกรธเราสามารถเอาไปพิจารณาเรื่องอื่นๆในชีวิตได้ด้วย เป็นการหาเหตุของความทุกข์ ตามหลัก อริยสัจ4 อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  11. meamanee

    meamanee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +41
    ฝึกตัวเองให้มีความรัก ความเมตตา ให้มากๆ คนที่ไม่มีเมตตา จะแผ่เมตตาได้อย่างไรกัน เราท่องบทแ่ผ่่เมตตากันมาตั้งแต่เด็ก แต่เราไม่เคยย้อนมองในใจเราเลยว่าเรามีเมตตาหรือเปล่า เรากำลังแผ่ความรู้สึกอะไรออกไป

    ขอให้ใจของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความสุข เต็มไปด้วยเบิกบานใจ ขอให้ข้าพเจ้าได้แผ่ความรู้สึกเหล่านี้ออกไปให้กับสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณ ขอให้สรรพสิ่งทั้งหลายจงได้รับความรัก ความสุข ความเบิกบานใจ เช่นเดียวกับข้าพเจ้าทุกประการเทอญ

    เมื่อใดที่เรารู้สึกมีความสุขก็แผ่ออกไปได้ตลอดเวลาเลยค่ะ เป็นการฝึกสติให้อยู่กับความรู้สึกด้วยว่าทุกขณะเรารู้สึกอย่างไรอยู่

    ช่วยกันส่งพลังงานดีๆ ออกมาให้โลกนะคะ แม้ว่าจะเป็นความรู้สึกเล็กๆเพียงเสี้ยววินาทีแต่มันจะิยิ่งใหญ่มากเมื่อพลังเล่านั้นได้ออกมารวมกัน
     
  12. คนรักชาติ

    คนรักชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +181
    [​IMG]
    ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้โพสกระทู้ ผู้อ่านกระทู้ และผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...