ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่๓๒(ตอนจบ) พระโพธิสัตว์กวนอิมพาท่องพรหมโลก และแดนนิรวาณ(นิพพาน) พบองค์อมิตตา (หน้า 3)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Beee_bu, 14 มีนาคม 2009.

  1. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ติดตามต่อตอนที่ ๑๒ พระเจ้าเมี่ยวจวงกลับใจ

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๑๒
    พระเจ้าเมี่ยวจวงกลับใจ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    เจ้าแม่กวนอิมกลางทะเลองค์ใหญ่สุดในโลก ความสูง 108 เมตร กลางทะเลหนันซัน ในเมืองซันย่า มณฑล ไห่หนัน (ไหหลำ) มูลค่า 1,000 ล้านหยวน (5,000 ล้านบาท)
    จากวันนั้นพระธิดาเมี่ยวซ่านได้ทำความสะอาดวัดจินกวงหมิงด้วยสองพระหัตถ์อย่างไม่ย่อท้อ ทำให้อารามและบริเวณวัดสะอาดเอี่ยม แม้บางส่วนจะผุพังจนยากจะซ่อมแซม เวลาที่เหลือพระองค์ก็ใช้ในการปฏิบัติธรรมท่องพระสูตรเรื่อยมา บรรดาชาวบ้านแถวนั้นเมื่อได้ยินเสียงท่องพุทธมนต์ ต่างพากันแปลกใจเพราะวัดนี้ไม่มีพระจำพรรษาอยู่เลย จึงคิดว่าอาจเป็นเสียงของพระธุดงค์ที่ผ่านมาแล้วแวะจำวัด แต่นานวันเข้าเสียงท่องพระสูตรนั้นก็มิได้หายไป ชาวบ้านจึงรวมกลุ่มกันเพื่อมาเตือนพระธุดงค์ให้ย้ายวัดไปเสียเพราะเกรงอันตรายจากเสือร้าย
    [​IMG]
    ทว่าเมื่อขึ้นเขามาถึงอารามกลับพบว่ามีสตรีโฉมงานวิลาศดั่งนางสวรรค์ท่องพระสูตรอยู่ตามลำพัง ชาวบ้านต่างแปลกใจยิ่งนัก ชายคนหนึ่งถามว่า "ท่านเป็นใครมาจากที่แห่งใด เหตุใดจึงมาอยู่ในวัดกลางเขาแห่งนี้ได้ ท่านรู้หรือไม่ว่าวัดนี้เป็นวัดร้าง เพราะพระที่เคยอยู่ต่างเกรงภัยจากเสือโคร่งกันทั้งนั้น" พระธิดาเมี่ยวซ่านได้ฟังจึงตอบว่า "เราชื่อเมี่ยวซ่านมาจากเมืองหลวงแห่งอาณาจักรซิงหลิง แต่มีเหตุให้มาอยู่ในอารามแห่งนี้ คงเป็นเพราะเคยเกี่ยวพันต่อกันแต่ปางก่อน ส่วนเรื่องเสือนั้นเรามิได้กลัวเลยเพราะเสือย่อมไม่ทำร้ายผู้มีสติ รักษาศีลแน่วแน่ต่อพระพุทธเป็นสรณะแน่นอน"

    เหล่าชาวบ้านต่างอธิบายว่าเสือนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่เข้าใจเรื่องศาสนา เคยกินพระสงฆ์ที่วัดนี้ไปหลายรูปแล้ว เหตุใดจึงว่าเสือมิอาจกินผู้ทรงศีลได้ พระธิดาอธิบายว่า "ผู้ที่กินมังสวิรัติเป็นประจำ ท่องสาธยายพระสูตรทุกวันนับว่าเป็นคนมีศีลปฏิบัติธรรมก็จริงอยู่ แต่ถ้ามิได้กระทำด้วยความสุจริต ไม่ซื่อตรงต่อศีลธรรม ย่อมไม่ใช่พระที่บริบูรณ์ นัยน์ตาเสือจึงเห็นคนเหล่านั้นเป็นเพียงเหยื่อ ซึ่งมันต้องตะปบฉีกกินเป็นอาหารตามเวรกรรมที่มีต่อกันในชาติปางก่อน ในทางตรงกันข้ามหากผู้นับถือพระพุทธองค์เป็นสรณะ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เสือย่อมเห็นว่า คนเป็นคน มิกล้ากัดกินอย่างแน่นอน ดังนั้นเรื่องเสือร้ายนี้ย่อมไม่เป็นอุปสรรคต่อเราในการปฏิบัติธรรม พวกท่านจงอย่ากังวลไปเลย" ทุกคนฟังคำกล่าวของพระธิดาแล้วต่างเข้าใจแจ่มแจ้งบังเกิดจิตศรัทธาต่อพระธิดาเมี่ยวซ่านโดยทั่วกัน

    [​IMG]

    [​IMG]
    ข่าวการถือศีลปฏิบัติธรรมของพระธิดาเมี่ยวซ่านได้แพร่สะพัดไปทั่วสารทิศ ผู้คนต่างช่วยกันวางแผนบูรณะซ่อมแซมวัดจินกวงหมิงให้เป็นที่ประทับปฏิบัติธรรมอย่างสมบูรณ์ บรรดานายช่างผู้มีฝีมือพากันเดินทางมาโดยไม่เห็นแก่เงินค่าจ้าง เพราะพวกเขามีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะทำเพื่อพระธิดาผู้เมตตา ยิ่งคนเฒ่าคนแก่นำเรื่องพระสุบินของพระมเหสีเป้าเต๋อก่อนทรงครรภ์พระธิดา เรื่องของนักพรตเฒ่าผู้เทศน์พระธรรมไม่กี่บทก็ทำให้พระธิดาหยุดกรรแสง และเรื่องโล้วนาปู้เจี้ยนชายลึกลับหายตัวไปจากห้องคุมขังและทิ้งโศลกสี่บรรทัดไว้ ต่างร้อยเข้าเป็นเรื่องราวความอัศจรรย์ของพระธิดาผู้มากด้วยบุญบารมี ทั้งช่างไม้ ช่างปูน และเศรษฐีต่างช่วยกันลงทุนลงแรงบูรณะวัดจินกวงหมิงเป็นการใหญ่
    [​IMG]
    Jin Guang Ming Temple
    และแล้วข่าวครึกโครมเรื่องการบูรณะวัดจินกวงหมิงให้แก่พระธิดาเมี่ยวซ่านก็เข้าพระกรรณพระเจ้าเมี่ยวจวงในวันหนึ่ง สร้างความแปลกพระทัยเป็นอย่างยิ่งเพราะทรงคิดว่าพระธิดาสามสิ้นพระชนม์ เมื่อคราวถูกเสือคาบเข้าป่าไปแล้ว แต่จู่ ๆ กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่วัดร้างจินกวงหมิงอันห่างไกล เหตุครั้งนี้ทำให้ทรงคิดไม่ตกอยู่ในพระทัยว่าจะทำประการใดต่อไปดี "ทุกหนทางแห่งความทรมานเราก็ได้ทำกับเจ้าสามจนสิ้นแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจในการเป็นนักบวชผู้ทรงศีลของเจ้าสามได้เลย" ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น พระธิดาเมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยนได้เสด็จมาคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์พร้อมกล่าวว่า "ลูกทั้งสองมาขอร้องให้เสด็จพ่อทรงอนุญาตให้น้องสามได้ออกบวชด้วยเถิดเพคะ"

    พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงตกพระทัยยิ่งนัก จึงตรัสว่า "พวกเจ้าพูดอะไรออกมา เสียสติไปแล้วหรือ" พระธิดาเมี่ยวอิมจึงว่า "โปรดฟังลูกก่อนเสด็จพ่อ แต่เดิมลูกทั้งสองก็ไม่เห็นชอบด้วยกับการกระทำของน้องสาม ทว่าเมื่อเห็นน้องทนทรมานจากการเป็นคนสวน คนรับใช้ หรือแม้แต่ได้รับภัยจากเพลิงกาฬก็มิได้ทำให้ความตั้งใจของน้องสามแปรเปลี่ยน ดังนั้นหากท่านพ่อยอมให้เธอปลงผมออกบวชสู่พุทธจักร น้องสามย่อมบรรลุหนทางที่ปรารถนา เช่นนี้แล้วเสด็จพ่อเองและเสด็จแม่บนสวรรค์ย่อมได้รับผลบุญอย่างแรงกล้านะเพคะ" พระธิดาเมี่ยวเวี๋ยนก็กล่าวสนับสนุนเช่นกัน พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงคล้อยตามและหวังผลกุศลจะไปถึงพระนางเป้าเต๋อผู้ล่วงลับ "ตกลงพ่อจะจัดการให้เมี่ยวซ่านได้บวชสมใจ"

    จบตอนที่ ๑๒
    ติดตามต่อตอนที่ ๑๓ การอำลาเพื่อมุ่งสู่ทางธรรม

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=20&group=9&gblog=34
     
  2. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๑๓ การอำลาเพื่อมุ่งสู่ทางธรรม

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๑๓
    การอำลาเพื่อมุ่งสู่ทางธรรม



    [​IMG]
    เจ้าแม่กวนอิม วัดคลองเปลว ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ สงขลา เป็นวัดที่ตั้ง อยู่ตรงข้ามภูเขา คอหงส์
    เพียงชั่วข้ามคืนข่าวเรื่องพระเจ้าเมี่ยวจวงยอมให้พระธิดาสามออกบวช และมีพระราชโองการให้ซ่อมแซมวัดจินกวงหมิงได้เลื่องลือไปทั่วทิศ เหล่าข้าราชการขุนนางในราชสำนักรวมถึงชาวเมืองทุกคนต่างยินดีปรีดาโดยถ้วนหน้ากัน เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นพระธิดาแห่งแคว้นแล้ว ย่อมมียศศักดิ์ ทรัพย์สมบัติ และเสวยสุขจนชั่วชีวิต หากแต่พระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นกลับเลือกที่จะออกบวชเป็นผู้ทรงศีล มีฐานะเยี่ยงสามัญชน ไพร่ฟ้าราษฎรจึงเคารพเทิดทูนอย่างจริงใจ ร่วมกันบริจาคเงินทอง เพชรนิลจินดาอันมีค่า พระพุทธรูปหินสลัก ภาพวาดพุทธประวัติไว้เป็นทาน ดังนั้น เมื่อรวมกับกลุ่มบูรณะชุดแรกแล้วก็ได้กลายเป็นกองทุนมหาศาล วัสดุก่อสร้างซ่อมแซม และแรงงานอันมาจากความศรัทธาอย่างล้นหลาม
    [​IMG]
    เจ้าแม่กวนอิมปางพันมือ อ นาทวี สงขลา
    พระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นยังไม่ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงในพระทัยของพระเจ้าเมี่ยวจวง จนกระทั่งนางกำนัลย่งเหลียนเดินทางมาแจ้งข่าวแก่พระธิดาอย่างยินดี "พระธิดาเพคะ บัดนี้องค์เหนือหัวมิได้ทรงกีดกันความต้องการของพระองค์อีกแล้ว เพราะทรงอนุญาตให้พระธิดาออกบวชได้ และมีพระราชโองการให้บูรณะวัดนี้ให้เป็นที่ประทับแล้วเพคะ เมื่อวัดนี้ซ่อมแซมเรียบร้อยพระองค์ก็จะได้บวชสมดังพระทัย โอ ! สวรรค์มีตาจริง ๆ พระธิดาทรงยินดีหรือไม่เพคะ" พระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นแสนยินดียิ่ง "ในที่สุดเสด็จพ่อก็ทรงเมตตาต่อลูก แล้วยังเป็นธุระบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ ผลบุญจะต้องตอบสนองในไม่ช้านี้" ย่งเหลียนปลาบปลื้มกับข่าวมงคลนี้จึงกระโดดโลดเต้น พลางร้องอย่างยินดีรอบ ๆ กายพระธิดาเมี่ยวซ่าน

    ย่งเหลียนทูลพระธิดาว่า "เรื่องราวคลี่คลายถึงเพียงนี้แล้ว หม่อมฉันขอสละทางโลกติดตามพระธิดาออกบวชด้วยเพคะ" พระธิดาเมี่ยวซ่านตรัสอย่างอ่อนโยนว่า "ข้าชื่นชมในความตั้งใจจริงของเจ้า แต่การออกบวชบำเพ็ญพรตนั้นมิใช่เรื่องง่าย เจ้าต้องมีสติตั้งมั่น มีศรัทธาแน่นแน่ไม่วอกแวกลังเล เพราะหากไม่มั่นคงเพียงเล็กน้อยเจ้าก็จักไม่บรรลุ ผลธรรมสิ่งที่สร้างมาก็จะสูญเปล่า" ย่งเหลียนตอบว่า "โปรดเชื่อในจิตใจของหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันสาบานต่อเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ และพระแม่ธรณีบนพื้นปฐพีว่า จะออกบวชโดยจิตใจไม่โลเล หากคิดบวชเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ ขอให้ไฟเผาร่างข้าเสีย" แล้วเธอจึงก้มลงเอาหัวโขกพื้นสามครั้ง แสดงความหนักแน่น พระธิดาเมี่ยวซ่านเห็นความศรัทธาของนางกำนัลคู่ใจแล้วจึงยินดีที่มีเพื่อนปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น

    [​IMG]
    เจ้าแม่กวนอิมวัดถาวร หาดใหญ่
    การซ่อมแซมวัดจินกวงหมิง ดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑๐ เดือน ๒ จนถึงวันที่ ๑๐ เดือน ๕ ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ ตลอดระยะเวลานั้นปรากฏว่าดินฟ้าอากาศปลอดโปร่งไม่มีอุปสรรคใด ๆ ช่างฝีมือจึงทำงานได้อย่างรวดเร็ว แปรสภาพจากวัดร้างทรุดโทรมกลายเป็นมหาวิหารที่งดงามเกินพรรณนา กระเบื้องที่ชำรุดบนกำแพงถูกซ่อมแซมจนเงาวับ หลังคามุงกระเบื้องส่งประกายสีทองยามต้องแสงแดด ภายในอารามมีพระพุทธรูปสลักมากมายไว้ให้บูชา อัญมณีจากแรงศรัทธาถูกนำไปประดับประดาบนพญามังกร รอบตัววัดมีกำแพงสีแดงชาดล้อมรอบทั้งสี่ทิศ ด้านหน้ามีบันไดหินทอดยาว ดุจทางขึ้นสู่สวรรค์ เหล่าช่างผู้บูรณะเฝ้ามองผลงานของพวกตนด้วยความภูมิใจ
    [​IMG]
    เจ้าแม่กวนอิม วัดคงคาเลียบ ต.ท่าช้าง อ. หาดใหญ่ จ.สงขลา
    ครั้นถึงวันที่ ๑๗ เดือน ๙ ขบวนเสด็จมารับพระธิดาไปยังสุสานบรรพชน เพื่อทำพิธีบูชาบูรพกษัตริย์ พระธิดาเมี่ยวซ่านเสด็จในกระบวนพิธีอย่างสมพระเกียรติ ภายในสุสานหลวงนั้นพระธิดาได้กล่าวต่อหน้าดวงวิญญาณบรรพชนว่า "ข้าผู้น้อยเมี่ยวซ่าน ขอกล่าวอำลาต่อดวงวิญญาณของเหล่าบรรพชน ข้าผู้น้อยจำเป็นต้องสละหน้าที่ของบุตรอันพึงกระทำต่อบิดา น้องพึงกระทำต่อพี่ และสละฐานันดรศักดิ์ เจ้าหญิงแห่งแคว้นเพื่อลาสู่ร่มเงาแห่งพุทธวิถี ด้วยความตั้งมั่นในการปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นห้วงทุกขเวทนา ขอดวงวิญญาณบรรพบุรุษทรงประทานอนุญาตและให้อภัยในความอกตัญญูต่อบิดาของข้าผู้น้อยด้วยเทอญ"
    [​IMG]
    เจ้าแม่กวนอิมหยกขาว วัดราชคีรีหิรัญยาราม พิษณุโลก เป็น พระโพธิสัตว์ กวนอิมแกะสลักจากหยกขาว จาก เมือง หางโจว ประเทศจีน โดยได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีน มีความสูง 3 เมตร
    วันต่อมาเป็นพระราชพิธีอำลาสำนักพระราชวัง พระธิดาเมี่ยวซ่านเสด็จขึ้นสู่ปะรำพิธีในประตูวังชั้นกลาง ทรงกระทำความเคารพต่อข้าราชสำนัก เสียงสรรเสริญจากข้าราชบริพารตอบรับกึกก้องยินดี พระธิดาตรัสต่อพระเจ้าเมี่ยวจวงและเหล่าขุนนางว่า "ข้าผู้น้อยอกตัญญู มิอาจอยู่สนองเบื้องบาทพระบิดาได้เพราะมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธองค์ จึงต้องละทิ้งหน้าที่ของบุตรออกบวชสู่พระพุทธศาสนา แต่การบวชนี้มีขึ้นเพื่อแผ่บารมีธรรม กุศลทั้งหมดย่อมตกแก่พระบิดาให้มีพระชนม์ยืนยาว ข้าผู้น้อยขอกราบถวายพระพรให้ทรงอายุยืนหมื่นปี ลูกขอกราบลา" กษัตริย์เมี่ยวจวงนั้นฟังคำอันนุ่มนวลของพระธิดารัก ถึงกับกลั้นน้ำพระเนตรไม่อยู่ ทุกคนในท้องพระโรงจึงพลอยเศร้าโศกไปตาม ๆ กัน
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    บ่ายวันนั้นเมื่อหมดภารกิจในพระราชพิธี พระธิดาเมี่ยวซ่านได้เสด็จลงมายังโรงครัวเพื่อเยี่ยมเยียนสหายยามต้องโทษเมื่อหลายปีก่อน เมื่อทุกคนเห็นองค์หญิงผู้เมตตาเสด็จมาหาถึงโรงครัวอันไม่น่าพิศมัย ความรู้สึกตื้นตันทั้งหลายได้ประดังเข้ามา ภาพความหลังครั้งพระองค์ทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างขะมักเขม้น มิเคยเห็นพวกตนต่ำต้อยกว่าหลั่งไหลอยู่ภายในจิตสำนึก ต่างปลาบปลื้มชื่นชมยินดีเต็มไปด้วยไมตรีจิตต่อพระธิดาอย่างล้นพ้น พระธิดาจึงกล่าวให้กำลังใจและให้ทุกคนมุ่งสร้างแต่ความดี เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย จนกระทั่งย่ำสนธยาจึงเสด็จกลับตำหนักส่วนพระองค์
    [​IMG]
    ครั้นตกค่ำสองพระธิดาเมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยน ได้เสด็จมาเยี่ยมพระธิดาเมี่ยวซ่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน "น้องทราบจากย่งเหลียนว่าพระพี่นางทั้งสองได้ช่วยพูดกับเสด็จพ่อให้น้องออกบวชได้ น้องไม่รู้จะตอบแทนพวกท่านอย่างไรดี" พระพี่นางจึงว่า "น้องสามเจ้าก็รู้ว่าพวกพี่ทำผิดบาปไว้มาก เคยกลั่นแกล้งเจ้าไว้ก็ไม่ใช่น้อย มาบัดนี้เราต่างเติบโตทั้งร่างกายและความคิด เมื่อเจ้าซึ่งเป็นน้องของพี่ต้องการแสวงหาทางธรรม พวกเราย่อมต้องการสนับสนุนและพูดให้เสด็จพ่อคล้อยตามโดยง่าย" พระธิดาเมี่ยวซ่านยินดีนักที่พระพี่นางเข้าใจตน ทั้งสามจึงอยู่สนทนากันจนดึกสงัด พระพี่นางจึงลากลับ

    ขณะที่พระธิดากำลังจะเข้าพักผ่อน ปรากฏว่ามีผู้มาเยือนยามวิกาลอีกองค์หนึ่ง นั่นคือพระน้านางของพระองค์นั่นเอง เพียงเมื่อได้พบทั้งสองพระองค์ก็สวมกอดกันอย่างรักใคร่ โดยเฉพาะพระน้านางซึ่งประทับอยู่ภายในเขตพระราชฐานมิทราบข่าวคราวของพระธิดาสามมานานแสนนาน "น้าไม่เคยได้ยินข่าวเจ้าเลยนับตั้งแต่ออกนอกวังไป มารู้อีกทีก็ได้ยินว่าเจ้าถูกเสือคาบเข้าป่าไปแล้ว น้าแสนเป็นห่วงไม่รู้ว่าหลานเป็นตายร้ายดีอย่างไร จนกระทั่งรู้ว่าเจ้าปลอดภัยและพระบิดายังประทานอนุญาตให้บวชสมใจ น้าดีใจกับเจ้าจริง ๆ เมี่ยวซ่านเอ๋ย ต่อไปนี้น้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากน้าไปที่ใดอีกแล้ว น้าจะออกบวชพร้อมกับเจ้า เพื่อศึกษาธรรมะและเผยแผ่พระพุทธคุณให้ไพศาลดังที่ตั้งใจไว้มาแสนนาน" พระธิดาแสนยินดีที่พระน้านางจะออกบวชพร้อมตน

    จบตอนที่ ๑๓
    ติดตามต่อตอนที่ ๑๔ พระธิดาเมี่ยวซ่านออกบวช

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=21&group=9&gblog=35
     
  3. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๑๔ พระธิดาเมี่ยวซ่านออกบวช


    <CENTER>ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๑๔
    พระธิดาเมี่ยวซ่านออกบวช


    [​IMG]</CENTER>

    เช้าวันรุ่งขึ้นอันเป็น วันที่ ๑๙ เดือน ๙ พระธิดาเมี่ยวซ่านพร้อมด้วยพระน้านางและนางกำนัลย่งเหลียนได้เข้ามาสู่พระราชฐานเพื่ออำลาพระเจาเมี่ยวจวง แต่พระธิดาเมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยนกล่าวว่า พระบิดาให้คารวะเพียงด้านนอก พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงก้มคำนับเก้าครั้ง และหันมาคารวะพระพี่นางด้วยบรรยากาศโศกเศร้า เพราะครั้งนี้นับเป็นการแยกจากกันสู่โลกแห่งธรรมเสมือนทางคู่ขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน

    จากนั้นขบวนพระธิดาเมี่ยวซ่านจึงได้ออกเดินทางสู่วัดจินกวงหมิงอันห่างไกล ท่ามกลางเสียงฆ้อง กลองมโหรี และเสียงแซ่ซ้องสาธยายมนต์ของเหล่าชาวเมืองที่คอยส่งเสด็จทั้งสองข้างทาง


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ขบวนเสด็จครั้งนี้มีขุนพลเจียเยี้ยเป็นผู้นำทางพร้อมเหล่าทหารราชองครักษ์สามร้อยนายคอยคุ้มกัน ฝูงชนที่มารอส่งเสด็จนั้นนำดอกไม้นานาพันธุ์มาถวายพระธิดา บ้างก็ไชโยโห่ร้องกระโดดโลดเต้น โปรยข้าวตอกดอกไม้สู่หนทางที่ราชรถเคลื่อนผ่าน บรรยากาศโดยรอบจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นไม้ดอกกำจายทั่วทุกอณู ต้นไม้และดอกไม้ที่เคยเหี่ยวเฉาก็กลับยืนต้นงามสะพรั่งอย่างน่าประหลาด หมู่นกและแมลงบินว่อนเบิกบาน แสงทองสาดส่องเป็นประกาย เป็นนิมิตหมายอันดีเกินพรรณนา


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    และแล้วก็ถึงเชิงเขาเยี้ยม้อซาน ซึ่งบัดนี้บันไดหินทอดขึ้นไปยังประตูวัดสีทองอร่ามเสมือนสะพานมังกรทอดคดเคี้ยวสู่ประตูสวรรค์กระนั้น พระธิดาเมี่ยวซ่านและสองผู้ติดตามขึ้นสู่บนไดจนถึงพระอุโบสถ สถานที่ประกอบพิธีอันเป็นลานหินอ่อนสีขาวนวล มีบรรดาภิกษุณีผู้ศรัทธาพระธิดาเมี่ยวซ่านขออุทิศตนมาอยู่ที่วัดแห่งนี้กว่าสามสิบรูป ยืนเรียงแถวรอเป็นสักขีพยานการบวชของพระธิดา

    โดยรอบยังมีฝูงชนที่แห่แหนมาเฝ้าดูพิธีด้วยความเคารพ ศรัทธา และเลื่อมใสยิ่งเมื่อเห็นพระสิริโฉมงดงามอ่อนหวานดั่งหยกชั้นเลิศทุกคนก็ยิ่งเบียดเสียดเข้ามาหวังชมบารมีอย่างใกล้ชิด


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    แต่แล้วฝูงชนก็ต้องแยกออกจากกันดั่งระลอกคลื่น เมื่อพระเจ้าเมี่ยวจวงเสด็จเข้ามาในพิธีพร้อมเหล่าขุนนางในราชสำนัก เจ้าพนักงานพิธีประกาศว่าถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว พระองค์ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปและเทวดาฟ้าดิน จากนั้นพระธิดาเมี่ยวซ่านก้มถวายบังคมพระบิดา พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า "ลูกเอ๋ย อีกชั่วครู่เราก็จะอยู่กันคนละเส้นทาง ซึ่งทางของลูกนั้นเป็นหนทางที่พ่อเองไม่รู้จักและไม่เข้าใจ พ่อขอให้เจ้าสำเร็จผลในการปฏิบัติธรรมเป็นที่เคารพกราบไหว้ของชาวโลก ประกาศธรรมะให้แผ่ไพศาล พ่อจะทำหน้าที่ของพ่อเป็นครั้งสุดท้ายนั่นคือ ปลงผมให้แก่เจ้า ณ บัดนี้" พระธิดาเมี่ยวซ่านและผู้ร่วมในพิธีต่างฟังพระดำรัสด้วยความปลื่นปีติ

    [​IMG]
    พระธิดาเมี่ยวซ่านคุกเข่าลงให้พระเจ้าเมี่ยวจวงปลงพระเกศา ซึ่งพระองค์ทรงกระทำด้วยความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียลูกสุดที่รักไป น้ำพระเนตรไหลอาบพระพักตร์อย่างสุดกลั้น พระภิกษุณีที่อยู่ใกล้จึงรีบถวายพานมารับพระขรรค์ทองก่อนที่จะหลุดจากพระหัตถ์ของกษัตริย์ชรา

    จากนั้นพระภิกษุณีอาวุโสจึงมาทำหน้าที่ปลงพระเกศาต่อ ชั่วครู่พระธิดาผู้มีพระเกศาดำมันขลับยาวสลวย ก็กลายเป็นภิกษุณีที่ศีรษะปราศจากเส้นพระเกศา

    [​IMG]
    พระเจ้าเมี่ยวจวงถวายผ้ากาสาวพัสตร์ หมวก และรองเท้าให้ด้วยพระองค์เอง พระธิดากราบคารวะพระบิดาและภิกษุณีอาวุโสแล้ว เป็นอันเสร็จพิธี บัดนี้พระธิดาเมี่ยวซ่านได้ละจากทางโลกก้าวเข้าสู่หนทางแห่งพุทธธรรมอย่างเต็มองค์ ในพระนาม เมี่ยวซ่านไต้ซือ

    ครั้นเสร็จสิ้นพิธีการ พระเจ้าเมี่ยวจวงก็เสด็จกลับ ฝูงชนทั้งน้อยใหญ่ต่างทยอยกลับบ้าง ภายในวัดจึงกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยอีกครั้ง ในการนี้มีภิกษุณีบวชใหม่อีกสองรูป คือ ภิกษุณีพระน้านางและภิกษุณีย่งเหลียน สองนางผู้เลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาและความเด็ดเดี่ยวของเมี่ยวซ่านไต้ซือ จึงขอปวารณาตนรับใช้เสมือนยามอยู่ในวัง

    จบตอนที่ ๑๔
    ติดตามต่อตอนที่ ๑๕ การปฏิบัติกิจของไต้ซือเมี่ยวซ่าน และภาพนิมิตในสมาธิ

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=22&group=9&gblog=36
     
  4. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๑๕ การปฏิบัติกิจของไต้ซือเมี่ยวซ่าน และภาพนิมิตในสมาธิ

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๑๕
    การปฏิบัติกิจของไต้ซือเมี่ยวซ่าน และภาพนิมิตในสมาธิ


    [​IMG]
    เจ้าแม่กวนอิมกลางทะเลองค์ใหญ่ที่สุด ในโลก
    รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ความสูง 108 เมตร กลางทะเลหนันซัน ในเมืองซันย่า มณฑล ไห่หนัน (ไหหลำ)
    มูลค่า 1,000 ล้านหยวน (5,000 ล้านบาท)

    ทุก ๆ วันเหล่าภิกษุณีจะทำวัตรปฏิบัติธรรมท่องสาธยายพระสูตร เมื่อไม่เข้าใจแจ่มแจ้งในตอนใดก็จะให้เมี่ยวซ่านไต้ซือชี้แนะทุกครั้ง เมื่อยามว่างจากกิจต่าง ๆ เมี่ยวซ่านไต้ซือจะคอยนำสนทนาเรื่องในพระธรรมให้กระจ่าง ความเย็นใจและไพเราะจากพระธรรมไม่ได้โน้มน้าวเฉพาะคนในวัดเท่านั้น ชาวบ้านใกล้วัดต่างเข้ามาฟังธรรมด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มขึ้น
    [​IMG]
    เจ้าแม่กวนอิม วัดคงคาเลียบ ต.ท่าช้าง อ. หาดใหญ่ จ.สงขลา
    จนกระทั่ง ๓๖๙ วันผ่านไป ผู้คนที่หลั่งไหลมาฟังธรรมอันมากคุณประโยชน์ ต่างเพิ่มพูนจิตศรัทธาและมุ่งหวังแสงสว่างแห่งธรรมจากเมี่ยวซ่านไต้ซือ ที่กรุณาชี้แนะหนทางอันประเสริฐ อานิสงส์แห่งการกินเจ ความไม่เอารัดเอาเปรียบทางการค้า และยังทรงจัดเตรียมข้าวต้มและอาหารเจไว้สำหรับคนยากจนที่เดินทางมาไกล เพื่อฟังธรรมด้วยความตั้งใจจริง กิตติศัพท์ความเมตตาและบารมีธรรมตั้งแต่ประสูติของไต้ซือ ส่งผลให้ประชาชนทั้งยากดีมีจนเดินทางมาเยือนวัดจินกวงหมิงกันอย่างคึกคัก เชิงเขาเยี้ยม้อซานจึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและชื่นบานกับความเจริญที่แผ่มาถึง
    [​IMG]
    ครั้นถึงฤดูหนาวอันทารุณ ลมจากทิศเหนือพัดพาความหนาวเหน็บจนปวดกระดูก เป็นที่น่าเวทนาสำหรับคนยากจนไร้เสื้อผ้าหนา ๆ มาป้องกันความหนาวเย็น ไต้ซือเมี่ยวซ่านรับรู้ความทุกข์ทรมานข้อนี้ดี ทรงห่วงใย และสงสารชาวบ้านผู้ยากไร้เหล่านี้ จึงให้คนไปซื้อผ้าสำลีจำนวนมากมาตัดแบ่งเป็นหลายขนาด แจกจ่ายให้ภิกษุณีรูปอื่น ๆ ช่วยกันตัดเย็บ ทุกคนร่วมมือกันอย่างขันแข็งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่กี่วันต่อมาก็ได้เสื้อหนาวผ้าสำลีจำนวนมากไว้แจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้

    เมื่อถึงคราวบรรยายธรรมไต้ซือได้จัดหม้อข้าวต้มขนาดใหญ่ไว้แจกแก่ผู้เดินทางมาด้วยความหิวโหย แม้ข้าวต้มเปล่า ๆ ไร้กับข้าวเคียงก็ยังอิ่มหนำ นอกจากนี้ยังได้รับเสื้อผ้าสำลีอันอบอุ่นโดยถ้วนหน้ากัน

    [​IMG]

    [​IMG]
    ในที่สุดคนทั้งอาณาจักรต่างมุ่งหน้ามายังเยี้ยม้อซานเพื่อถวายตัวเป็นศิษย์ไต้ซือเมี่ยวซ่านกันเป็นจำนวนมาก ไต้ซือเองก็มิได้ปฏิเสธ จัดหาที่พักให้ทุกคน จนห้องว่างในบริเวณวัดมีผู้อาศัยอยู่เต็มไปหมด แต่ผู้คนก็ยังหลั่งไหลมาฝากตัวอยู่เสมอ ไต้ซือเมี่ยวซ่านคิดว่า "พื้นที่รอบวัดยังมีอยู่มหาศาล เราน่าจะมอบสิ่งที่พวกเขาจะดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้โดยไม่ห่างไกลพระธรรม" แล้วจึงทรงมอบไม้ไผ่ หญ้าคา และเงินทุนเล็กน้อยให้แก่ชาวบ้านเหล่านั้นเพื่อนำไปปลูกกระท่อมพักอาศัยในบริเวณเชิงเขา หาเลี้ยงชีพตามวิถีธรรม ไม่นานนักเชิงเขาเยี้ยม้อซานก็ได้กลายเป็นเมืองขนาดเล็กที่สงบสุข ท่ามกลางความสุขใจของเมี่ยวซ่านไต้ซือ
    [​IMG]
    คืนวันเคลื่อนคล้อยไปย่างเข้าสู่ปีที่ ๓ ในอารามจินกวงหมิงยังคงสงบสุขด้วยบารมีธรรมของเมี่ยวซ่านไต้ซือ วันหนึ่งขณะที่ไต้ซือนั่งสมาธิบำเพ็ญฌานเฉกเช่นทุกวัน ทันใดนั้น สองเสียงของชายซึ่งไม่คุ้นเคยก็ได้แทรกเข้ามาในจิตว่า จิตอันเป็นเอกได้ผลิดอกบัวแห่งการตรัสรู้แล้วหรือยัง อีกเสียงตอบว่า ผลิออกมาแล้ว ขาดก็แต่พระโพธิสัตว์ เมี่ยวซ่านไต้ซือคิดว่าเหล่ามารมาลองดีจึงสำรวมจิตให้สงบนิ่ง พลันได้เห็นจิตของตนแปรเป็นดอกบัวบริสุทธิ์มีพระโพธิสัตว์นั่งอยู่ เมื่อเพ่งมองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปีติสุข เพราะพระโพธิสัตว์นั้นคือ ตัวพระองค์เอง !!

    ความดีใจทำให้จิตไม่สงบนิ่งพอ ภาพนิมิตนั้นจึงมลายหายไป ไต้ซือลืมตาขึ้นความปีติแผ่ซ่าน เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เห็นตามนิมิตนั้นจะบังเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านาน

    [​IMG]
    วันต่อมา เมี่ยวซ่านไต้ซือได้กล่าวแก่สานุศิษย์ทั้งหลายว่า "หลายปีก่อน เราได้พบพระพุทธเจ้าในนิมิต พระองค์ตรัสว่า หากเราต้องการบรรลุมรรคผลจำเป็นต้องตามหาบัวหิมะบนยอดเขาซีมี่ซาน และเมื่อคืนวาน เราก็บังเกิดนิมิตถึงบัวหิมะอีกครั้ง จึงคิดว่าบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะเดินทางเพื่อแสวงหาบัวนั้นดังพุทธฎีกา พวกท่านที่อยู่ทางนี้จงตั้งใจปฏิบัติธรรมและตั้งอยู่ในความไม่ประมาท" จากนั้นเมี่ยวซ่านไต้ซือได้แต่งตั้งภิกษุณีอาวุโสเป็นผู้รักษาการแทน ส่วนพระน้านางและย่งเหลียนได้ขอติดตามเมี่ยวซ่านไต้ซือไปด้วยจนกว่าจะสัมฤทธิผลตามประสงค์ เมี่ยวซ่านไต้ซือก็มิได้ขัดข้องแต่ประการใด

    ก่อนออกเดินทางทั้งสามได้จัดเตรียมสัมภาระที่จำเป็นใส่ในถุงผ้า ประกอบด้วยเสื้อผ้า ข้าวเปลือกตากแห้ง รองเท้าฟางหลายคู่ ซึ่งมาจากฝีมือของไต้ซือเมื่อยามถูกลดศักดิ์ให้เป็นคนครัว รวมทั้งบาตรทองสัญลักษณ์ในการประกาศว่าบัดนี้จะทรงออกจาริกแสวงบุญนอกอารามแล้ว

    จบตอนที่ ๑๕
    ติดตามต่อตอนที่ ๑๖ การออกเดินทาง และอันตรายที่รออยู่

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=23&group=9&gblog=37<!-- End main-->

     
  5. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๑๖ การออกเดินทาง และอันตรายที่รออยู่

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๑๖
    การออกเดินทาง และอันตรายที่รออยู่


    [​IMG]
    เจ้าแม่กวนอิม โชคชัย4 ประดิษฐานอยู่ที่ ตำหนักพระแม่กวนอิม มหาโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร ตั้งอยู่ที่ อาคารเลขที่ 4-73 ซ. สุขสันต์ 7 ถ.ลาดพร้าว 53 โชคชัย 4 เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ
    ครั้นวันรุ่งขึ้น ภิกษุณีทั้งสามต่างสวดขอพรในพระอุโบสถ แล้วจึงออกเดินทางท่ามกลางภิกษุณีและสานุศิษย์ที่ตามมาส่งอยู่เบื้องหลังด้วยความหวังว่า ไต้ซือเมี่ยวซ่านผู้เมตตาจะทรงกลับมาพร้อมความสำเร็จและหวนคืนสู่เขาเยี้ยม้อซานโดยเร็ว
    [​IMG]
    คณะของเมี่ยวซ่านไต้ซือเดินทางมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออก จนกระทั่งวันที่ ๗ ก็พบอุปสรรคเป็นเขาสูงตระหง่านขวางกั้นทางอยู่ ทั้งสามจึงเลี่ยงไปใช้ทางเส้นเล็ก ๆ แทน โดยลืมคำนึไปว่าเขาซีมี่ซานนั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ภิกษุณีทั้งสามกลับเดินทางลงใต้ไปเสียแล้ว !!
    [​IMG]
    เส้นทางต่อจากนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งหน้าผาสูงชัน ทางลาดดิ่งลงก้นเหว ยิ่งเดินก็ยิ่งต้องใช้พละกำลังมากเป็นพิเศษ ตกค่ำทั้งสามจึงเข้าพักใต้ชะง่อนหินเพื่อกำบังน้ำค้างและความหนาวเหน็บ เป็นเช่นนี้ทุกวันทุกคืน และก้าวพ้นจากเขตแดนแห่งหุบเขาเมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ ๕๗ ของการเดินทาง
    [​IMG]
    โชคชะตายังพอเข้าข้างคณะของไต้ซือบ้างเมื่อได้พบกับหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ผู้คนต้อนรับขับสู้เหล่านักบวชเป็นอย่างดี ทั้งผู้เฒ่าหรือคนหนุ่มสาวต่างนำอาหารเจมาถวายจนอิ่มหนำ เมื่อไต้ซือถามถึงหนทางไปยังเขาซีมี่ซาน ผู้อาวุโสของหมู่บ้านจึงกล่าวด้วยความตกใจว่า "พวกท่านได้เดินมาผิดทางเสียแล้ว หมู่บ้านของเราอยู่ห่างจากเขาซีมี่ซานลงมาทางตอนใต้ถึงสามร้อยลี้ ต่อให้เดินมากแค่ไหนก็ไม่มีวันถึงจุดหมายได้เลย" ย่งเหลียวผู้อ่อนล้าจึงว่า "หมายความว่าเราต้องขึ้นไปทางเหนือตามเส้นทางเดิมใช่หรือไม่" ไต้ซือกล่าวว่า "อมิตตาพุทธ ท่านผู้อาวุโสโปรดชี้แนะด้วย" ชายชราจึงว่า "พรุ่งนี้พวกท่านจงเดินไปทางตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห้าสิบลี้ ก็จะพบภูเขาชื่อเสิ่นอาหลิ่ง ให้เดินไปตามสันเขาสามร้อยลี้แล้วเลี้ยวไปทางตะวันออกสู่เขาซีมี่ซาน..."
    [​IMG] [​IMG]
    "แต่พวกท่านอย่าเพิ่งดีใจไป เพราะทางเส้นนี้ก็เต็มไปด้วยอันตรายเช่นกัน เพราะเมื่อท่านไปถึงยอดเขาจะพบภัยจากฝูงอีกาที่ดุร้าย ปราดเปรียวกว่าสามพันตัว ชาวบ้านแถวเชิงเขาต้องเซ่นบวงสรวงด้วยเนื้อดิบ ๆ ให้มันอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นหากมันหิว มนุษย์ก็จะกลายเป็นเหยื่อของมัน แต่หากท่านผ่านทางใต้สันเขาท่านก็จะพบภัยจากเสือและฝูงหมาป่าที่โหดร้าย ดังนั้น "หากเลือกไปขณะที่อีกากำลังจิกกินเนื้อสดของเซ่นบูชาอยู่ ข้าคิดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า" เมี่ยวซ่านไต้ซือกล่าวว่า "วิเศษจริง ๆ ที่ประสกชี้ทาง หาไม่แล้วพวกเราคงไม่มีทางไปถึงเขาซีมี่ซานเป็นแน่" อยู่สนทนาธรรมอีกครู่หนึ่งผู้อาวุโสและชาวบ้านจึงลากลับเรือนของตนให้คณะเดินทางได้พักผ่อนตามสบาย
    [​IMG] [​IMG]
    จวบจนรุ่งอรุณ ชาวบ้านและผู้อาวุโสได้นำอาหารเจมาถวายคณะของไต้ซือให้ฉันจนเรียบร้อย เมื่อเก็บสัมภาระแล้วจึงกล่าวอำลาชาวบ้านผู้อารีออกเดินทางต่อไป

    ทั้งสามเร่งฝีเท้าหนีภัยจากอีกามรณะอย่างรีบเร่ง เพื่อให้พ้นจากสันเขาแห่งนั้นโดยเร็วที่สุด หนทางนั้นเป็นหน้าผาชันและป่าดงดิบหนาทึบ มีชะง่อนหินที่โผล่ยื่นมาขวางมิให้การเดินทางราบรื่น คณะเดินทางไต่ขึ้นเขาพลางสวดมนต์แผ่เมตตาเป็นกำลังใจตลอดเวลา จนกระทั่งพบทางลาดต่ำลงไปสู่หมู่บ้านกลางหุบเขา ทั้งสามจึงวางใจว่าปลอดภัยแล้ว พละกำลังที่มีก็ดูจะหมดไปเสียเฉย ๆ จึงพากันหยุดพักคลายความเหนื่อยล้าตรงที่แห่งนั้นเอง

    [​IMG]
    ฉันพลัน เหนือศีรษะของเหล่านักบวชหญิง ได้มีอีกาฝูงใหญ่บินล้อมรอบอยู่ "กา ! กา " อีกาทั้งฝูงส่งเสียงร้องข่มขู่เหยื่ออันโอชะ บางส่วนกระโดดเต้นหย็องแหย็งอยู่บนพื้นคล้ายกับขวางทางไม่ให้อาหารหลุดรอดไปได้ เมื่อไร้หนทางหนีเมี่ยวซ่านไต้ซือจึงลงนั่งกับพื้นและกล่าวขึ้นว่า "พวกเจ้าจงนั่งลงทำสมาธิขับไล่ความกลัวความฟุ้งซ่าน รำลึกไว้ว่าเราคือผู้มีธรรม" สองภิกษุณีจึงกระทำตามคำสั่งของไต้ซือ ทั้งสามท่องพระสูตรเพื่อสร้างกำลังใจอยู่นานกว่าครึ่งชั่วยาม ก็ไม่มีกาตัวใดบินลงมาจิกกินเนื้อของเหล่านักบวชเลย
    [​IMG]
    เมี่ยวซ่านไต้ซือตั้งสมาธิหาทางออกจากฝูงกามฤตยูอย่างแน่วแน่ แต่ก็ไม่เป็นผล ทันใดนั้น ได้มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในมโนสำนึก พวกเจ้าโง่จริง ๆ อีกาเหล่านี้ไม่ได้ต้องการกินเนื้อเพียงอย่างเดียว ข้าวตากในถุงย่ามนั้นไม่ใช่ของโปรดของนกหรอกหรือ ไต้ซือใจเต้นด้วยความยินดี รีบลุกขึ้นล้วงเข้าไปในย่าม ขยุ้มข้าวตากออกมาหว่านบนพื้นที่โล่ง อีกาทั้งฝูงบินโฉบลงมาจิกกินข้าวตากอย่างเพลิดเพลิน ท้องฟ้ากลับมาสว่างโล่ง ไต้ซือส่งสัญญาณให้ศิษย์ออกเดินทางต่อไปด้วยความโล่งใจ ทั้งสามเดินลงเขาด้วยความอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง กระทั่งถึงหมู่บ้านเชิงเขา ชาวบ้านพากันออกมามุงดูนักบวชต่างถิ่นด้วยความพิศวง

    จบตอนที่ ๑๖
    ติดตามต่อตอนที่ ๑๗ มนต์สะกดแห่งขุนเขา และภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามา

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=24&group=9&gblog=38
     
  6. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๑๗ มนต์สะกดแห่งขุนเขา และภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามา

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๑๗
    มนต์สะกดแห่งขุนเขา และภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามา


    [​IMG]
    เจ้าแม่กวนอิม วัดศรีมหาโพธิ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เป็นรูปหล่อ พระโพธิสัตว์กวนอิม ที่ทำขึ้นจากทองเหลือง ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย ด้านใต้องค์พระประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม พันมือ
    ท่านหลิวหัวหน้าหมู่บ้านจัดแจงต้อนรับขับสู่คณะนักบวชเป็นอย่างดี ชาวบ้านต่างพากันซักไซ้ว่า เดินทางผ่านฝูงอีกาเจ้าแห่งขุนเขามาได้อย่างไร เมี่ยวซ่านไต้ซือเล่าความให้ฟัง ทั้งหมดจึงพากันตื่นเต้นประหลาดใจ ท่านหลิวบอกว่า "พวกท่านคงเป็นผู้วิเศษ มีบารมีน่าเลื่อมใส อีกาซึ่งเป็นสัตว์ยังเกรงกลัวไม่สามารถทำอันตรายแก่พวกท่านได้... มาเถิดโปรดมาฉันอาหารเจที่พวกข้าน้อยทำถวาย แล้วจึงพักผ่อนที่บ้านข้าน้อย ท่านจงอย่างได้รังเกียจชาวบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นพวกเราเลย" เมี่ยวซ่านไต้ซือและศิษย์ทำความเคารพขอบคุณในความอารีของชาวบ้าน เมื่อฉันอาหารแล้วจึงเข้าที่พักปฏิบัติธรรมนั่งกรรมฐานก่อนพักผ่อนอย่างสงบ
    [​IMG]
    พระแม่กวนอิมที่วัดถ้ำเสือวิปัสนา
    เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น คณะของไต้ซือฉันอาหารเจแล้วก็เก็บสัมภาระเตรียมออกเดินทางต่อ ท่านหลิวกำชับบอกทางไปเขาซีมี่ซานว่า "พวกท่านขึ้นตรงไปทางเหนือสามสิบลี้ จะพบภูเขาจินหลุนซาน จงเดินเลี่ยงไปข้าง ๆ อย่าส่งเสียงดังและไปให้เร็วที่สุด เมื่อผ่านไปได้ราวสิบแปดลี้จะพบป้อมไซซือ อันใช้เป็นที่พักแรมได้" คณะไต้ซือฟังจนเข้าใจแล้วจึงกล่าวอำลาชาวบ้านออกเดินทางต่อไป

    เส้นทางขณะนี้มีเพียงพื้นทรายอันร้อนระอุ ไม่มีร่มเงาของพันธุ์ไม้ใด ๆ หรือแม้แต่น้ำสักหยดยังยากจะพบ ทว่าสามนักบวชยังคงย่ำเท้าต่อไปอย่างหวั่นเกรง จนกระทั่งถึงเขาลูกหนึ่งตระหง่านอยู่ด้วยทัศนียภาพงดงาม เขียวขจี ทั้งสามจึงเดินเข้าไปดั่งต้องมนต์ลืมคำเตือนของท่านหลิวหมดสิ้น

    [​IMG]
    เมี่ยวซ่านไต้ซือกล่าวอุทานออกมาว่า "ดีจริง ๆ ตั้งแต่เดินทางมายังไม่เคยเจอที่ใดงดงามเหมือนเป็นฝีมือของทวยเทพเช่นนี้" ย่งเหลียนได้ฟังจึงฉุกคิดได้กล่าวว่า "ไต้ซือ ! ท่านกำลังถูกครอบงำหลงใหลสถานที่แห่งนี้ เหมือนท่านลืมที่ท่านหลิวสั่งไว้แล้วหรือว่า ระหว่างใช้เส้นทางนี้ห้ามหยุดชมและส่งเสียงดัง เราควรจะเดินทางต่อไปโดยเร็วนะเจ้าข้า" เมี่ยวซ่านไต้ซือจึงระลึกได้รีบเดินทางต่อไปทันที แต่ทว่าสายไปเสียแล้วเมื่อบัดนี้มีเสียงกลุ่มคนพูดกันดังมาจากชายป่า ตามมาด้วยเสียงลากของหนัก ๆ คล้ายขื่อคาสำหรับลงโทษนักโทษประหาร คณะไต้ซือหันไปมองแล้วก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด เมื่อพบว่าด้านหลังนั้นเต็มไปด้วยขบวนฝูงอมนุษย์อันน่าสะพรึงกลัว
    [​IMG]
    นาทีนั้นควรอย่างยิ่งที่จะวิ่งหนีแต่เท้าของทั้งสามต่างก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ขบวนของอสูรร้ายใกล้เข้ามาทุกที ย่งเหลียนได้สติก่อนเพื่อน ฉุดมือไต้ซือและพระน้านางออกวิ่งหนีสุดชีวิต เมี่ยวซ่านไต้ซือวิ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็สะดุดล้ม อสูรตนหนึ่งวิ่งตามมาตะครุบตัวไต้ซือไว้ได้ ย่งเหลียนวิ่งต่อไปโดยไม่รู้ว่าจะทำประการใดต่อไป

    เมื่อมาไกลพอควรแล้วจึงหยุดพักก็พบว่าพระน้านางก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน "นี่เราจะทำอย่างไรดี พวกผีป่าจับตัวไต้ซือได้ พระน้านางก็ไม่รู้พลัดหลงไปที่ไหน" พลันได้มีเสียงร้องเรียกมาจากด้านหลัง" ย่งเหลียนรอฉันก่อน" ย่งเหลียนเหลียวกลับไปด้วยความยินดี "พระน้านาง ท่านรอดพ้นภัยมาได้อย่างไรกัน" พระน้านางจึงว่า "เมื่อผีป่าพวกนั้นจับตัวไต้ซือได้แล้วก็พากันดีใจไม่ตามล่าฉันอีก...ย่งเหลียนเราต้องช่วยกันคิดหาวิธีช่วยเหลือไต้ซือจากเจ้าผีป่าพวกนั้นนะ"

    ทั้งสองจึงปรึกษากันว่าจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากป้อมไซซือ คิดแล้วจึงพากันเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าสู่ป้อมไซซือ

    [​IMG]
    เมื่อเข้าสู่ป้อมได้แล้วได้มีเหล่าคนงานซึ่งกำลังหาบน้ำและดินโคลนสร้างกำแพงป้อมอยู่ต่างเข้ามาสอบถามความเป็นมาของเหล่านักบวชแปลกถิ่น เมื่อฟังว่าเพิ่งรอดจากเหตุการณ์ที่ถูกมนุษย์ขนจับตัวมาได้ ยิ่งชื่นชมบารมีของสองภิกษุณีกันขนานใหญ่ หัวหน้าป้อมนาม ซุนเต๋อ ได้ยินเสียงเอะอะจึงออกมา "พวกเจ้าส่งเสียเอะอะในขณะที่มีงานล้นมือได้อย่างไร" คนงานจึงเล่าเรื่องสองนักบวชให้นายป้อมซุนเต๋อฟัง โดยเนื้อแท้แล้วซุนเต๋อผู้นี้เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว จึงยินดีที่จะช่วยเหลือสองนักบวช รีบเชิญให้ไปพักผ่อนที่บ้านตนเองทันที

    ครั้นได้ฟังความเป็นมาของภิกษุณีผู้จาริกสู่เขาซีมี่ซาน ทว่าบัดนี้เหลือกันอยู่เพียงสองคน ส่วนเมี่ยวซ่านไต้ซือมิรู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ซุนเต๋อกล่าวว่า "เราอยากช่วยเหลือพวกท่านก็จริง แต่ทว่าภัยจากอมนุษย์เหล่านี้ยังไม่มีผู้ใดเคยรอดจากเงื้อมมือของพวกมันได้เลย" แล้วซุนเต๋อจึงเล่าเรื่องพวกอมนุษย์ประหลาดให้ฟังว่า

    "...ผีป่าเหล่านี้ ความจริงแล้วก็คือคนจำพวก มนุษย์ขน ที่อาศัยอยู่บนเขาจินหลุน ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ กินทั้งขนและเนื้อเป็นอาหาร ไม่มีเสื้อผ้าคลุมกาย ไม่รู้จักการทำเกษตรกรรม ตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอก ใครคิดจะเดินผ่านเขาลูกนี้แล้วห้ามส่งเสียง เพราะหากพวกมันได้ยินจะถูกจับไปเป็นอาหาร..."

    [​IMG]
    สองภิกษุณีฟังแล้วก็เสียใจยิ่งนัก น้ำตาเอ่อล้นออกมาแทนความระทดใจ ย่งเหลียนตัดพ้อว่ามารมาดลใจให้อาจารย์หลงในทิวทัศน์สวยงามแท้ ๆ จึงเกิดภัยร้ายแรงตามมา พระน้านางยังพอมีสติอยู่บ้างจึงเตือนให้ย่งเหลียนหยุดคร่ำครวญและกล่าวว่า "อาจารย์ถูกชิงตัวไปก็จริง แต่อาจจะมีชีวิตรอดเพราะพุทธบารมีคุ้มครองก็เป็นได้ เราทั้งสามเดินทางฝ่าอันตรายน้อยใหญ่มาด้วยกัน เมื่อไต้ซือถูกจับเราก็ไม่ควรจะทอดทิ้งท่าน ไปกันเถิดย่งเหลียนเมื่อเรารวมจิตเป็นหนึ่งเดียวแล้ว เมื่อจะตายก็ควรตามด้วยกัน" พระน้านางกล่าวแล้วก็ลุกขึ้นเดินนำย่งเหลียนไปยังประตูทางออก หัวหน้าป้อมซุนเต๋อต้องรีบมาห้ามปราม "ช้าก่อน ! ไต้ซือถูกจับไปคนหนึ่งแล้ว พวกท่านจะเดินเข้าไปให้มันกินได้อย่างไร โปรดอยู่อย่างสงบที่นี่เถิด"

    จบตอนที่ ๑๗
    ติดตามต่อตอนที่ ๑๘ ไต้ซือเมี่ยวซ่านกับมนุษย์ขน และสมาชิกใหม่ร่วมเดินทาง

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=25&group=9&gblog=39
     
  7. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๑๘ ไต้ซือเมี่ยวซ่านกับมนุษย์ขน และสมาชิกใหม่ร่วมเดินทาง

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๑๘
    ไต้ซือเมี่ยวซ่านกับมนุษย์ขน และสมาชิกใหม่ร่วมเดินทาง


    [​IMG]
    แต่แล้วด้านหน้าป้อมก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นอย่างประหลาด คนงานผู้หนึ่งเข้ามารายงานซุนเต๋อ "ท่านหัวหน้าซุนขณะนี้มีภิกษุณีประทับอยู่บนช้างเผือกกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ไม่ทราบว่าใช่ไต้ซือที่ถูกชิงตัวไปหรือไม่ พวกท่านรีบออกไปดูเร็ว" ย่งเหลียนและพระน้านางมองหน้ากันอย่างงงงันเอ่ยว่า "ไม่ใช่นะ ไต้ซือของเราเดินทางด้วยสองเท้าเท่านั้น คงเป็นภิกษุณีจากแดนอื่นเป็นแน่" ซุนเต๋อขบขัน "ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน พวกเรารีบไปดูให้ประจักษ์เถิด" ทั้งสามตามคนงานออกมาดูที่ทางเข้าป้อม ห่างออกไปครึ่งลี้ ได้มีช้างเผือกและนักบวชผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลัง สองภิกษุณีได้แต่ใจระทึกภาวนาให้เป็นไต้ซือของตน
    [​IMG]
    เมื่อช้างเผือกเชือกนั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ย่งเหลียนกับพระน้านางต่างอุทานด้วยความยินดี "อมิตตาพุทธ นั่นคือไต้ซือของเราจริง ๆ" สองภิกษุณีวิ่งไปรับเมี่ยวซ่านไต้ซือขณะที่ช้างเผือกคุกเข่าให้ไต้ซือลงอย่างง่ายดาย ฝูงชนแห่เข้ามาชมบารมีเสียงอื้ออึงไม่ขาดสาย นายป้อมซุนเต๋อคารวะแล้วเชิญให้เมี่ยวซ่านไต้ซือเข้ามาในป้อมและขอให้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทรงรอดชีวิตมาได้ "ขอนมัสการไต้ซือผู้เจริญ ในวันนี้ไต้ซือได้แสดงให้พวกเราเห็นถึงพุทธานุภาพอันไพศาล โปรดเล่าเรื่องที่ทรงรอดชีวิตจากมนุษย์ขนมาได้ ให้พวกเราฟังเป็นบทเรียนด้วยเถิด" เมี่ยวซ่านไต้ซือแย้มสรวลอย่างมีพระเมตตาขอบคุณในไมตรีของทุกคนที่ห่วงใยแล้วจึงเล่าเรื่องราวให้ฟังว่า
    [​IMG]
    "...ขณะที่เราถูกจับไปนั้น สองมือสองเท้าถูกมัดด้วยเถาวัลย์ แต่แรกพวกมนุษย์ขนนั้นหามเราไป พอเหนื่อยก็ลากเราไปกับพื้นดิน จนถึงถ้ำที่อยู่ของพวกมัน ซึ่งมีลักษณะเป็นลานกว้าง มีต้นไม้ขึ้นโดยรอบ หนาทึบ ไร้ทางหนี พวกมันวางเราไว้กลางลานแล้วเป่าปากทำสัญญาณเรียกฝูง ครู่เดียวพวกมันทั้งหญิงชายเกือบสองร้อยก็กรูกันออกมาจากป่า คนเหล่านี้มีขนรุงรังทั่วตัวเหมือนมนุษย์วานร มีหนังสัตว์นุ่งห่มน้อยชิ้น เพศชายจะใส่ห่วงเหล็กที่จมูก เพศหญิงจะใส่ที่หู พวกมันมองมาที่เราแล้วก็กระโดดโลดเต้นโห่ร้องราวกับบ้าคลั่งเป็นเวลานาน เรารู้ดีว่าคงหมดหนทางรอดในคราวนี้จึงนั่งสมาธิแผ่เมตตารอความตาย
    [​IMG]
    เมื่อพวกมันหยุดเต้นรำแล้วก็ปรึกษาเสียงฮึมฮัม คล้ายกับว่าจะแบ่งเนื้อเราอย่างไรดี แล้วก็มีมนุษย์ตนหนึ่งเห็นรองเท้าฟางที่เราสวมใส่ จะเข้ามาคว้าไป เราจึงรีบถอดรองเท้าออกทั้งสองข้างแล้วผลักไปให้ไกล ๆ ตัว พวกมันแย่งชิงกัน แล้วตัวหัวหน้าก็ใช้กำลังแย่งไปสวมดู เมื่อลองเดินและกระโดดขึ้นลงมันก็ชอบใจ ส่งเสียงคำรามยินดี พวกที่เหลือต่างชี้นิ้วอยากได้บ้าง พอดีในย่ามของเรามีรองเท้าฟางเช่นนี้หลายคู่ จึงหยิบรองเท้าออกมาวางทีละคู่ ๆ พวกมันมองตามตาเป็นประกายส่งเสียงดีใจโกลาหล ทันใดนั้น พวกที่อยู่ใกล้ก็พากันคว้ารองเท้าไป คนอื่น ๆ ยิ่งดึงยื้อกันใหญ่ รองเท้าฟางเป็นของประดิษฐ์เมื่อถูกยื้อยุดก็ขาดกระจุย มนุษย์ขนต่างฉุนเฉียวที่ถูกทำลายของจึงต่อสู้กันเองอย่างบ้าเลือด

    เราฉวยโอกาสนี้หลบหนีออกมาทั้งเท้าเปล่า แม้จะถูกหินตำหรือหนามเกี่ยวบ้างก็ถือว่าเล็กน้อย เพราะรองเท้าฟางช่วยรักษาชีวิตเราไว้ได้ เดินทางฝ่าป่าดงมาจนถึงทางแยกจึงลังเลไม่รู้จะไปทางใด พอดีมีช้างเผือกเชือกหนึ่งค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามาหา ขณะนั้นเราคิดว่าคงไม่อาจรอดชีวิตได้ในคราวนี้แล้ว จึงยืนนิ่งไม่ไหวติง ช้างเผือกนั้นมาหยุดตรงหน้า ชูงวงขึ้น ก้มหัวลงต่ำ ย่อตัวลงประหนึ่งทำความเคารพ เราจึงแน่ใจว่าช้างนี้ไม่ใช่ศัตรูเป็นแน่ จึงกล่าวกับช้างว่า "เจ้าช้างเอ๋ย... หากเจ้าประสงค์จะช่วยเหลือเราให้พ้นจากอสูรร้ายก็จงชูงวงขึ้นสามครั้ง" ดังช้างจะรู้ภาษาดีจึงชูงวงตามที่เราบอก "ดีจริง เจ้าช่วยเราในคราวนี้หากเราบรรลุผลสำเร็จแล้วจะมาช่วยเจ้าให้เข้าสู่พุทธจักรสิ้นเวรจากการเป็นเดรัจฉาน..." ทันใดนั้น ฝูงมนุษย์ขนก็ส่งเสียงโห่ร้องดังมาจากแนวป่า ไต้ซือระงับความตระหนกกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า "ช้างเผือกเอ๋ย... เหล่าอสูรตามมาแล้วช่วยเราที"

    [​IMG]
    ช้างเผือกฟังแล้วก็ใช้งวงม้วนจับตรงเอวของเราชูไว้แล้วเริ่มออกเดิน จากเดินเป็นวิ่งรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ แต่เรารู้สึกนุ่มนวลเหมือนนั่งบนก้อนเมฆ เจ้าช้างวิ่งมาตลอดสามสิบลี้ จึงค่อย ๆ เดินอีกพักหนึ่ง เมื่อพ้นเขตเขาจินหลุนแล้วจึงวางเราลงกับพื้น เมื่อปัดฝุ่นตามเนื้อตัวออกหมดแล้วเราจึงกล่าวขอบคุณเจ้าช้างและสัญญาว่าจะมาโปรดให้พ้นทุกข์อย่างแน่นอน แต่เจ้าช้างก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเข้าป่า กลับหมอบคู้อยู่ข้าง ๆ เรา แม้ว่าเราจะเดินไปทางไหน ช้างก็ติดตามเราไปทุกทิศ เมื่อเราถามว่า ถ้าต้องการไปยังเขาซีมี่ซานด้วยจงผงกหัวสามครั้ง ช้างก็ผงกหัวครบสามครั้งจริง ๆ ทั้งยังชูงวงรัดเราขึ้นไปนั่งบนหลังและออกเดินทางมายังป้อมไซซือดังที่พวกท่านเห็นอยู่ขณะนี้..."

    ทุกคนเมื่อได้ฟังแล้วต่างพึมพำถึงพุทธบารมีของเมี่ยวซ่านไต้ซือกันไม่ขาดปาก ซุนเต๋อกล่าวว่า "ความลำบากที่พวกท่านผ่านมาได้อย่างไม่ย่อท้อ ข้าน้อยเชื่อว่าวันหน้าท่านจะต้องสำเร็จมรรคผลเป็นแน่ แต่จากนี้ขอให้ท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่สัก ๒ - ๓ วันก่อน ข้าน้อยจะได้เตรียมการให้ผู้คนสานรองเท้าฟางให้ทันการ เมี่ยวซ่านไต้ซือขอบคุณและกล่าวว่า "ประสกซุนอย่างลำบากเลย เพียงให้อาหารและที่พักก็เพียงพอแล้ว พุทธบัญญัติกำหนดไว้ว่าภิกษุผู้เดินทางจะยอมรับเพียงเรื่องกิน ดื่ม และที่อาศัยเท่านั้น นอกจากนี้รองเท้าฟางที่เราสานตั้งแต่ครั้งอยู่ในวัง ได้ช่วยชีวิตเราถือว่ามีบุญคุณจึงไม่ควรที่จะสวมเหมือนข่มเหงมันอีก ขอประสกโปรดเข้าใจ" ท่านซุนเห็นความตั้งใจจริงไม่เหยียดหยามแม้แต่รองเท้าฟางไร้ชีวิต จึงทวีความนับถือไต้ซือยิ่งขึ้นไปอีก

    จบตอนที่ ๑๘
    ติดตามต่อตอนที่ ๑๙ พบกองคาราวาน และกรรมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลลู่

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=26&group=9&gblog=40</FNOT><!-- End main-->​
     
  8. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
    ได้ความรู้มากมายจังเลย ขอบพระคุณค่ะ

    [music]http://palungjit.org/attachments/a.549432/[/music]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2009
  9. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๑๙ พบกองคาราวาน และกรรมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลลู่

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๑๙
    พบกองคาราวาน และกรรมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลลู่


    [​IMG]
    เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากฉันอาหารเจที่ท่านซุนถวายแล้ว คณะเดินทางจึงลาจากไป โดยท่านซุนตามมาส่งจนสุดเขตป้อมไซซือ ภิกษุณีทั้งสามกล่าวลาอย่างซาบซึ้งในความการุณของซุนเต๋อ ไต้ซือขึ้นหลังช้างเผือกมีพระน้านางและย่งเหลียนนั่งขนาบซ้ายขวามุ่งหน้าขึ้นเหนือ สองข้างทางเป็นทะเลทรายร้อนระอุ แต่ทั้งสามมีช้างเป็นพาหนะจึงทุเลาความเหน็ดเหนื่อยได้อย่างดี ย่งเหลียนนั้นกังวลว่ายามค่ำคืนจะพักแรมที่ใดเท่านั้น ไต้ซือต้องปลอบไม่ให้วิตกไปก่อน เพราะทางทั่วหล้าย่อมต้องพักแรมได้
    [​IMG]
    ครั้นพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ทั้งสามก็ได้พบกับคาราวานเลี้ยงสัตว์ร่อนเร่ กำลังปลูกกระโจมพักแรม ทั้งสามลงจากหลังช้างและเข้าไปซักถามกับหัวหน้าเผ่าจนทราบว่าชนเผ่านี้มีนามว่า เผ่าเจียลา มีอาชีพเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ต่างยินดีที่นักบวชมาขอพักแรมด้วย จึงจัดกระโจมที่พักและน้ำดื่มเหยือกใหญ่ให้เรียบร้อย หัวหน้าเผ่าได้นำเนื้อวัวอันโอชะมาถวายด้วยน้ำใจสูงสุด เมี่ยวซ่านไต้ซือต้องปฏิเสธอย่างอ่อนน้อมว่า "ผู้ทรงศีลย่อมไม่ฉันเนื้อสัตว์ใด ๆ" ต้องอธิบายอยู่นานกว่าหัวหน้าเผ่าจะเข้าใจ เหล่าภิกษุณีจึงฉันเฉพาะข้าวตากที่เป็นเสบียงติดตัวมา โดยมีน้ำเปล่าดื่มแก้ฝืดคอ จากนั้นทั้งสามต่างเข้าฌานสมาธิปฏิบัติกรรมฐานอย่างสงบ ครั้นรุ่งเช้าจึงอำลาเผ่าเจียลาไปยังทิศตรงกันข้ามตามจุดหมายที่ต่างกัน
    [​IMG]
    ช้างเผือกพาภิกษุณีทั้งสามมุ่งหน้าไปทางเหนือโดยไม่หยุดพัก หลายสิบลี้ต่อมาก็พ้นเขตทะเลทราย ทางเบื้องหน้ามีภูเขาสูงขวางอยู่ ฟ้าก็ใกล้มืดสนิท จึงยากแก่การเดินทางข้ามเขา ในที่สุดก็พบหมู่บ้านริมเชิงเขา ช้างเผือกพาตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ท่าทางมีฐานะที่สุดในหมู่บ้าน ทั้งสามลงจากหลังช้างซึ่งมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านก็ได้พบชายชราวัย ๗๐ เศษนั่งอยู่ตามลำพังสีหน้ามีความวิตกกังวลอย่างที่สุด ย่งเหลียนคำนับแล้วเอ่ยถามว่า "ท่านผู้เฒ่ากำลังวิตกถึงสิ่งใดอยู่หรือ" ท่านผู้เฒ่าอยู่ในภวังค์ครั้นได้ยินเสียงก็สะดุ้งเฮือก "พวกท่านเป็นใคร มาที่นี่ทำไม" ไต้ซือจึงกล่าวขอพักแรมดังเช่นทุกครั้งแต่ผู้เฒ่าปฏิเสธอย่างอ่อนใจ ไต้ซือสงสัยยิ่งนักจึงถามว่า "เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น" ผู้เฒ่ายอมเล่าความให้ฟังอย่างระบายความอัดอั้นว่า
    [​IMG]
    "...ท่านลู่เวี๋ยนเว่ย เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เดิมทีท่านลู่เป็นคนมีศีลสัตย์ยึดถือความดี ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากมาเป็นสิบ ๆ ปี ฟ้าจึงบันดาลให้คุณชายน้อยมาเกิดเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล แต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง ทารกน้อยมีอาการท้องเสียรุนแรง ไม่ว่าหมอกี่คน ๆ ก็รักษาไม่หาย หมอทุกคนบอกตรงกันว่าเป็นเพราะม้ามอ่อนแอ จึงไม่รับยาที่รักษา ไม่ว่าจะป้อนไปเท่าไหร่อาการก็ไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องใช้ข้าวเหนียวสามถ้วยชามาเคี่ยวให้กินแทนยา

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    ความจริงน่าจะรักษาคุณหนูได้นานแล้ว แต่เป็นเพราะหมู่บ้านเราไม่มีข้าวเหนียว ต้องข้ามไปเมืองหลิวสี โดยใช้เส้นทางป่าเทียนม่าเผิง และข้ามแม่น้ำปี่จี ไปไกลร้อยลี้ และที่สำคัญป่าเทียนม่าเผิงนี้มีเสือร้ายคอยดักจับผู้คนเป็นอาหารมานานนับปีแล้ว หมู่บ้านเราจึงเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ทารกน้อยก็อาการทรุดลงทุกวัน ท่านลู่เองก็ไม่กินข้าวกินปลาจะตายตามลูกไปเสียให้ได้ เหตุการณ์เช่นนี้แล้วใครจะมีแก่ใจต้อนรับนักบวชอยู่อีกเล่า..." เมี่ยวซ่านไต้ซือฟังแล้วอุทานด้วยความยินดี "ดีจริง ๆ พระธรรมบันดาลให้เราผ่านมาทางนี้โดยแท้ ท่านผู้อาวุโสโปรดรับข้าวเหนียวที่อยู่ในย่ามนี้เถิด อย่าว่าแต่สามถ้วยชาเลย มากกว่านั้นเราก็ให้ได้"

    ผู้เฒ่าฟังแล้วก็ยินดียิ่ง "ท่านคงไม่หลอกเราเพราะต้องการที่พักหรอกนะ" ย่งเหลียนชักจะโมโหกล่าวว่า "ไต้ซือผู้เมตตาไม่กระทำการไร้เหตุผลเช่นนั้นหรอก" ผู้เฒ่าดีใจยิ่งวิ่งเข้าบ้านตะโกนเสียงดังลั่น "ท่านลู่ ๆ คุณหนูรอดตายแล้ว มีคนนำข้าวเหนียวมาแล้ว โชคดีจริง ๆ" ขณะนั้นลู่เวี๋ยนเว่ยกำลังเป็นทุกข์สาหัสอยู่ในบ้าน เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่อยากปักใจเชื่อจึงว่า "ลู่เอ้อ ท่านฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ ค่อย ๆ พูดมาสิ" เมื่อผู้เฒ่าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว ท่านลู่ยินดียิ่งรีบออกมาต้อนรับไต้ซือทั้งสามทันที ไต้ซือเมี่ยวซ่านจึงกล่าวว่า "เราทราบจากผู้เฒ่าว่าทารกน้อยต้องการใช้ข้าวเหนียวเป็นยา ขณะนี้เรามีข้าวเหนียวอยู่จำนวนหนึ่งขอท่านจงรับไว้ด้วยเถิด" ท่านลู่ฟังแล้วรู้สึกมีหวังขึ้นมาทันที

    [​IMG]
    ก่อนรับไปไต้ซือกล่าวว่า "ข้าวนี้ควรต้มโดยไม่ต้องล้าง แร่ธาตุจะได้ไม่ถูกชะล้างออกไปโดยเปล่าประโยชน์ ขณะต้มควรใช้ไฟอ่อน ๆ อย่าใจร้อน จึงจะได้ข้าวที่พอเหมาะ" ท่านลู่สั่งกับแม่ครัวตามคำชี้แนะของไต้ซือแล้ว จึงไปตามหมอมารักษาอาการของบุตรด้วยตัวยาต่อ

    แม่ครัวนั้นต้มข้าวด้วยไฟอ่อน ๆ ถึงครึ่งชั่วยามจึงได้ที่ แล้วนำไปให้ทารกน้อยกิน ทารกนั้นนอนหายใจรวยรินอย่างน่าสงสาร แม่ครัวป้อนข้าวต้มแล้วจึงให้ทารกนอนต่อ ส่วนตนกลับมาล้างทำความสะอาดครัวตามปกติ ทว่าเมื่อกลับมาดูแลทารกอีกครั้ง ก็พบว่า ทารกนั้นตัวเย็นเฉียบไม่มีสีเลือด เธอก็ร้องไห้โฮดังลั่นบ้าน พอดีกับท่านลู่พาหมอมาถึงบ้านพอดีเมื่อได้ยินว่าทารกตัวเย็นเหมือนคนตายแล้วก็รีบไปดูอาการทันที

    [​IMG]
    หมอเข้าตรวจชีพจรของทารกแล้วหันมาแจ้งแก่ท่านลู่ว่า "ยินดีด้วยท่านลู่ บุตรชายของท่านจะหายดีในอีกไม่ช้า เพราะน้ำข้าวไปประสานกับเลือดลมตัวจึงเย็นคล้ายคนตาย แต่อีกสักครู่ตัวคุณชายน้อยก็จะอุ่นและหายใจคล่องเหมือนคนปกติ" ทุกคนฟังแล้วจึงถอนใจอย่างโล่งอก หันไปขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณไต้ซือเมี่ยวซ่านตาม ๆ กัน ส่วนไต้ซือเองนั้นรู้สึกยินดีที่หนูน้อยปลอดภัย จึงหันมากล่าวกับท่านลู่ว่า "พื้นที่ว่างในหมู่บ้านของท่านนับว่ามีความอุดมสมบูรณ์ น่าเสียดายหากจะทิ้งร้างไว้ เราจะมอบข้าวเปลือกทั้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้าหลายชั่งไว้ให้ประสกทำพันธุ์เพาะปลูก ลู่เวี๋ยนเว่ยและคนในบ้านรีบคารวะไต้ซือด้วยความยินดี
    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    เช้าวันรุ่งขึ้นอาการท้องร่วงของทารกน้อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง คนในบ้านตระกูลลู่ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยเฉพาะท่านลู่เจ้าบ้านใหญ่ ขณะที่คณะเดินทางของท่านไต้ซือกำลังอำลาเพื่อออกเดินทางต่อนั้น ท่านลู่ได้ชี้แจงว่า "หนทางในป่าเทียนม่าเผิงนั้นเต็มไปด้วยพยัคฆ์ร้ายสี่ตัว คงเป็นการยากที่ภิกษุณีผู้อ่อนแอจะฝ่าฟันอันตรายไปได้ ดังนั้นผู้น้อยจึงว่าจ้างชายฉกรรจ์และพรานป่าสามสิบสองคน มีอาวุธครบมือคอยติดตามคุ้มภัยจากเสือร้าย ขอไต้ซือจงอย่าปฏิเสธความหวังดีและต้องการตอบแทนบุญคุณของข้าผู้น้อยเลย" ไต้ซือมิอาจขัดได้ จึงตอบตกลงและอำลาท่านลู่ขึ้นหลังช้างเผือกพร้อมสองผู้ติดตาม และเหล่าผู้คุ้มครอง ออกเดินทางสู่ป่าเทียนม่าเผิง โดยท่านลู่และเหล่าชาวบ้านตามมาส่งจนสุดเขตหมู่บ้าน

    จบตอนที่ ๑๙
    ติดตามต่อตอนที่ ๒๐ การเผชิญหน้ากับสี่พยัคฆ์ร้ายแห่งป่าเทียนม่าเผิง

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=27&group=9&gblog=41
     
  10. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒๐ การเผชิญหน้ากับสี่พยัคฆ์ร้ายแห่งป่าเทียนม่าเผิง

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๒๐
    การเผชิญหน้ากับสี่พยัคฆ์ร้ายแห่งป่าเทียนม่าเผิง

    [​IMG]

    คณะเดินทางมุ่งหน้ามาทางตะวันออกซึ่งเป็นป่าโปร่งเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะกับเสือร้าย การเดินทางเป็นไปอย่างรีบเร่ง เพื่อให้พ้นเขตชายป่าก่อนตะวันตกดิน เมื่อเดินทางมาได้ประมาณสิบลี้ก็ถึงสะพานหินงอกรูปกากบาท รอบด้านเป็นป่าเบญจพรรณที่รกทึบ นายพรานผู้นำทางกล่าวขึ้นว่า "ทุกคนจงเตรียมอาวุธให้พร้อมอย่าประมาทเด็ดขาด" ทันใดนั้นที่ปลายสะพานด้านหนึ่งได้มีเสือกระหายเลือดตัวหนึ่งยืนจังก้าอยู่ ภิกษุณีทั้งสามตกใจผวา พลัดตกจากหลังช้างลงมากองรวมกันที่พื้น กลุ่มชายฉกรรจ์ป้องกันแข็งขันมิให้เสือนั้นเข้ามาในวงล้อมได้

    [​IMG]

    แต่ทว่าอีกฟากหนึ่งของสะพานเสือตัวที่สองกระโจนมาหมายจะคว้าเมี่ยวซ่านไต้ซือเป็นอาหาร นาทีแห่งความตายนั้นเอง เจ้าช้างเผือกเข้ามายืนคร่อมปกป้องภิกษุณีทั้งสาม ใช้งวงคว้าร่างเจ้าเสือหิวโชคร้าย แล้วเหวี่ยงไปด้วยกำลังมหาศาล ร่างเจ้าเสือลอยลิ่วไปปะทะกับโขดหิน เสียงกระดูกหลังหักดังกร๊อบ ดิ้นอยู่พักหนึ่งก็สงบลง กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นดังนั้นแล้วก็ฮึกเหิม ระดมอาวุธใส่เสือตัวแรกจนร้องคำรามก้องป่า นกกาบินแตกตื่นขึ้นฟ้า เป็นนาทีเดียวกับที่เสือชะตาขาดนั้นหมดลม

    [​IMG]

    เสียงร้องคำรามของเสือปลุกให้สองพยัคฆ์อีกด้านหนึ่งของป่าตื่นขึ้นและรู้โดยสัญชาตญาณว่าเพื่อนร่วมฝูงของมันกำลังได้รับเคราะห์ มันจึงวิ่งทะยานออกจากถ้ำมุ่งไปยังทิศทางต้นเสียงโดยเร็ว ชั่วครู่กลิ่นสาบเสือได้โชยมาปะทะจมูกของนายพรานผู้ชำนาญการ "ระวังให้ดี พวกมันกำลังตรงมาทางนี้ มีมากกว่าหนึ่งตัวเสียด้วย" ทุกคนจึงกระชับอาวุธในมือนั้นรอนาทีตัดสินชะตาระหว่างมนุษย์และพยัคฆ์ร้าย ทันใดนั้น เสือตัวที่สามกระโจนมาทางเหล่าภิกษุณีอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกับงวงอันทรงพลังก็ได้คว้าร่างของสัตว์ร้ายฟาดลงกับโขดหินจบชีวิตเจ้าแห่งขุนเขาเทียนหม่าเผิงไปอีกตัว

    [​IMG]

    [​IMG]

    เสือตัวที่สี่นั้นเห็นเพื่อนของมันนอนนิ่งไปถึงสามตัวก็คำรามก้อง พุ่งเข้าตะปบที่ขาหลังของเจ้าช้างเผือกจนเซ กลุ่มชายฉกรรจ์กรูกันเข้ามาช่วยช้างรับมือกับเสือบ้าคลั่ง ต่างถูกลูกหลงจากเขี้ยวเล็บบาดเจ็บกันไม่น้อย แต่ในที่สุดมันก็ต้องพบจุดจบเช่นเดียวกับพยัคฆ์กระหายเลือดสามตัวก่อน ช้างเผือกชูงวงพาร่างไต้ซือและผู้ติดตามขึ้นหลังอีกครั้ง เพื่อเดินทางต่อไป ส่วนผู้คุ้มครองบางคนที่ได้รับบาดเจ็บนั้นขอแยกกลับไปรักษาตัวที่หมู่บ้าน เหลือแต่นายพรานและชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งอาสาไปส่งไต้ซือจนพ้นแดนพยัคฆ์ร้ายที่คงเหลือแต่ชื่อจนกระทั่งสุดเขตแดน

    จบตอนที่ ๒๐
    ติดตามต่อตอนที่ ๒๑ ภัยร้ายครั้งใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามา
    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=28&group=9&gblog=43
     
  11. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒๑ ภัยร้ายครั้งใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามา

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๒๑
    ภัยร้ายครั้งใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามา


    [​IMG]
    บัดนี้เหลือแต่เมี่ยวซ่านไต้ซือและสองภิกษุณีบนหลังช้าง เดินทางมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก ผ่านป่าเขาที่มีทิวทัศน์แปลกตา ผ่านหมู่บ้าน ชุมชน และเมืองใหญ่ ซึ่งมีผู้คนต้อนรับคณะไต้ซือเป็นอย่างดี ด้วยอาหารเจและที่พำนักสะอาดเงียบสงบ หากวัดจากจุดเริ่มต้นผนวกกับนับระยะการเดินทางของไต้ซือรวมทั้งหมดแล้วถือว่ามากกว่าพันลี้ทีเดียว และบัดนี้ยอดเขาละลานตาแห่งเทือกเขาซีมี่ซานก็ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าของผู้แสวงหาทั้งสามแล้ว กำลังใจ ความเข้มแข็งและความหวังที่ใกล้ริบหรี่ก็ได้บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
    [​IMG]
    นักบวชทุกคนได้พากันเดิน เดิน และเดิน จนถึงจุดหมายยังตีนเขาซีมี่ซานอันตระหง่านเสียดฟ้าดังยากจะไขว่คว้า แต่นั่นก็ไม่สามารถทำลายความบากบั่นในจิตใจของสามนักบวชลงได้

    ทั้งสามหารือกันว่าดอกบัวหิมะต้องอยู่บนยอดใดยอดหนึ่งในบรรดายอดเขาทั้งเจ็ดสิบสองลูกนี้ และต้องสุ่มเฉพาะยอดเขาที่สูง ๆ เท่านั้น แม้จะต้องค้นจนทั่วทุกเขาก็ต้องทำ ขณะค้นหาก็ต้องสวดภาวนาขออำนาจบารมีแห่งพระธรรมบันดาลให้บัวหิมะปรากฏขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งสามเริ่มต้นที่ภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่กลางเทือกเขาซีมี่ซาน พิจารณาดูแล้วนับว่าเขาลูกนี้มีขนาดสูงจนมองไม่เห็นยอด ทางขึ้นก็ราบเรียบดูไร้ซึ่งอุปสรรค ทั้งสามจึงขึ้นสู่เขาเบื้องหน้าทันที

    แต่ทว่าช้างเผือกพาหนะคู่ใจเกิดหยุดปีนเสียดื้อ ๆ ไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรเจ้าช้างก็ไม่ยอมก้าวขาแม้เพียงน้อย ซึ่งเป็นอาการที่น่าประหลาดยิ่งเพราะก่อนหน้านี้ช้างเผือกไม่เคยดื้อดึงฝ่าฝืนคำสั่งของไต้ซือเลย แม้ย่งเหลียนและพระน้านางจะให้อาหารหรือปลอบโยนอย่างไรเจ้าช้างก็ยังไม่ขยับนานเกือบชั่วยาม อาการที่บ่งบอกมีเพียงเสียงถอนใจและครางในลำคอดังจะบอกอะไรบางอย่าง บุคคลจากรั้ววังทั้งสามไม่อาจรู้ได้เลยว่า อาการเหล่านั้น บังเกิดเฉพาะในสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเท่านั้นที่รู้ถึงภัยจากสัตว์ป่าด้วยกันเอง กลิ่นสาบสางที่โชยมาแตะจมูกเจ้าช้างเตือนว่าภัยครั้งนี้จะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าครั้งใดที่ได้พบมา

    [​IMG]
    ไต้ซือเมี่ยวซ่านค่อย ๆ ปลอบประโลมอย่างอ่อนหวาน อธิบายให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเราทำกำลังจะสำเร็จอยู่แค่เอื้อมแล้วจะมาพังทลายเสียอย่างนี้ย่อมน่าเสียดาย ชี้แจงเช่นนี้หลายเที่ยวเจ้าช้างก็ส่ายหัวคล้ายกับจะบอกว่ามันไม่ได้เกียจคร้านหรืออยากฝ่าฝืนคำสั่งแต่มันพูดออกมาไม่ได้เท่านั้น

    ในที่สุดความพยายามของไต้ซือก็เป็นผล ช้างเผือกยอมก้าวเดินต่อไปแม้จะเชื่องช้าเต็มที ห้าสิบลี้ผ่านไปภิกษุณีทั้งสามก็ได้กลิ่นสาบสางฉุนกึกเข้าจมูก ย่งเหลียนทนไม่ไหวต้องบ่นออกมา ไต้ซือเมี่ยวซ่านกล่าวให้วางเฉยในทวารทั้ง ๖ เพราะนักบวชผู้สละโลกจักต้องสงบ สำรวม ทันใดนั้น กลิ่นสาบก็รุนแรงขึ้นสะกดช้างเผือกให้หยุดจังงังดังต้องมนต์

    [​IMG]
    ภิกษุณีทั้งสามลงจากหลังช้างอย่างแปลกใจ พร้อมกันนั้นป่าไม้รอบด้านก็สะเทือนด้วยแรงมหาศาลของสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนตัวอยู่ในแนวป่า ลมพัดกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจและฝุ่งผงคลุ้งจนแทบลืมตาไม่ได้ แล้วเงาของสัตว์ร้ายขนาดมหึมาก็พาดผ่าน แสดงความใหญ่โตโอฬารของมันให้คณะเดินทางเห็นเต็มตาและตกใจสุดขีด ภาพที่เห็นนั้นคือพญางูยักษ์ อสูรแห่งป่าลึกดวงตาของมันจ้องเขม็งยังเจ้าช้างเผือก อ้าปากขู่อวดเขี้ยวพิษขาววับทั้งคู่ ขนาดของปากมันไม่ผิดอะไรกับปากถ้ำแห่งมรณะ ลิ้นสองแฉกยาวใหญ่เท่าดาบเพชฌฆาต เกล็ดเป็นลายเล็ก ๆ ทั่วตัวน่าขยะแขยงยิ่งนัก ขนาดลำตัวใหญ่เกือบเท่าต้นไม้อายุร้อยปี ส่วนความยาวนั้นไม่รู้ว่าเท่าไหร่เพราะมันโผล่มาเฉพาะช่วงบนถึงกลางลำตัว ส่วนปลายของมันซ่อนอยู่หลังแนวป่า
    [​IMG]
    ไต้ซือรวบรวมสติร้องเตือนให้ทุกคนวิ่งหนี ทั้งสามต่างพากันวิ่งหนีเข้าไปในชายป่าด้านข้าง ส่วนเจ้าช้างนั้นเกร็งจนก้าวขาไม่ออก ยืนโงนเงนและล้มลง พญางูยักษ์จึงอ้าปากฝังเขี้ยวลงบนร่างเจ้าช้างผู้น่าสงสารจนถึงแก่ความตาย แล้วจึงอ้าปากกางขากรรไกรขยอกร่างเจ้าช้างกลืนลงท้อง ก่อนพาร่างมโหฬารเลื้อยหายไปหลังมื้ออาหารอันโอชะ ไต้ซือ พระน้านางและย่งเหลียนสัมผัสมรณกรรมของเจ้าช้างเต็มสองตา ต่างนิ่งงันพูดอะไรไม่ออก ด้วยรู้สึกว่าสูญเสียมิตรแท้ในยามยากไปโดยไร้หนทางช่วยเหลือ ทั้งหมดจึงร่วมกันสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้แก่ช้างเผือกผู้ซื่อสัตย์ ขอให้เจ้าช้างไปสู่สุคติด้วยความโศกเศร้า

    จบตอนที่ ๒๑
    ติดตามต่อตอนที่ ๒๒ มารในนิมิตร และเผชิญหน้าหมีขาว

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=29&group=9&gblog=49
     
  12. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒๒ มารในนิมิต และเผชิญหน้าหมีขาว

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๒๒
    มารในนิมิต และเผชิญหน้าหมีขาว


    [​IMG]
    แล้วทั้งสามจึงออกเดินไปตามทางวกวน ขรุขระ เดี๋ยวขึ้นเนิน เดี๋ยวลาดชันลงต่ำ ทำให้ต้องใช้สมาธิอย่างมาก จนกระทั่งพบถ้ำซึ่งพอจะเป็นที่บำเพ็ญฌานสมาธิได้ จึงตกลงใจเข้าพักปฏิบัติธรรม แม้ภาพของงูยักษ์อันน่าสยดสยองเมื่อกลางวันยังติดตา แต่ผู้มีธรรมย่อมไม่มีนิวรณ์มากล้ำกลาย ไต้ซือและพระน้านางจึงนั่งสมาธิเจริญฌานได้อย่างสงบ

    คงมีแต่ย่งเหลียนเท่านั้นที่ขณะนี้จิตใจฟุ้งซ่านร้อนรนดั่งนั่งอยู่ในเตาไฟ ครั้นลืมตาขึ้นดูก็พบว่าหินและผนังถ้ำลุกโชนด้วยเปลวไฟร้อนระอุล้อมรอบและเผาร่างของสองภิกษุณี แต่ว่าทั้งสองมิได้รู้สึกหวั่นไหวอะไร ย่งเหลียนจึงรู้ว่าตนเองควบคุมจิตใจไม่มั่นคงพอเหล่ามารเลยมาผจญ เธอจึงสลัดความคิดอย่างอื่น แน่วแน่ในทางภาวนา ชั่วครู่จิตก็สงบ แต่ต่อมาย่งเหลียนกลับหนาวสะท้านเหมือนแช่อยู่ในทะเลน้ำแข็ง เมื่อลืมตา ก็พบว่าทั้งสามจมอยู่ในน้ำสกปรกโสโครก คลื่นซัดสาดกระทบผนังหิน ไต้ซือและพระน้านางยังคงสงบนิ่ง เธอจึงรำพันว่า "วันนี้มารจ้องผจญเราเสียจริง" แล้วจึงมุ่งจิตภาวนาอย่างแน่วแน่อีกครั้ง

    [​IMG]
    ในที่สุดภาพหลอนนั้นก็มลายหายไป ย่งเหลียนสงบจิตใจได้พักหนึ่ง พลันมีเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ! ดังสนั่น เธอตกใจลืมตาขึ้นก็พบกับเทวดาสวมเกราะทองถือฆ้องทองเป็นอาวุธ จ้องมองเธออย่างโกรธเกรี้ยว ถมึงทึง เทวดาองค์นั้นเหาะเข้ามาเงื้อมือฟาดฆ้อนทองลงมากลางศีรษะเธอ ย่งเหลียนควบคุมจิตไม่อยู่ร้องขึ้นเสียงดัง "โอ้ย !" ไต้ซือเมี่ยวซ่านและพระน้านางรู้สึกตัวหลุดจากภวังค์ ถามย่งเหลียนว่า "เป็นอะไรไปย่งเหลียน" ย่งเหลียนจึงเล่านิมิตทั้งหมดให้ฟังทำให้ไต้ซือทราบว่าศิษย์นำเหตุการณ์เมื่อกลางวันมาคิดวิตกกังวล จึงกล่าวว่า "ทั้งหมดที่เจ้าเล่ามาเป็นนิมิตชั่วขณะ บัดนี้เจ้าได้ล่วงพ้นจากมารผจญแล้ว เพราะเทวดาเกราะทองมาช่วยเตือนสติ" แล้วจึงให้ย่งเหลียนบำเพ็ญธรรมเพิ่มมากขึ้น"
    [​IMG]
    เมื่อตะวันพ้นขอบฟ้า คณะของไต้ซือก็ลุกขึ้นเก็บสัมภาระออกเดินทางต่อ พบผลไม้ป่าที่สัตว์ป่ากินได้จึงเก็บกินประทังหิว จนกระทั่งเที่ยงวันทั้งสามได้พบหมีขาวตัวใหญ่เดินงุ่นง่านหาอาหารอยู่เบื้องหน้า ไต้ซือรีบบอกให้ทุกคนนอนลงกับพื้น กลั้นลมหายใจหรือหายใจให้น้อยที่สุดเสมือนเป็นคนตาย เพื่อหลบภัยจากหมียักษ์ พร้อมกันนั้นเจ้าหมีเริ่มได้กลิ่นคนจึงตามกลิ่นมาถึงที่ทั้งสามแกล้งนอนตายอยู่ มันยืนดมซ้ายขวาพิจารณาร่างของทั้งสามเป็นเวลาเกือบชั่วยาม เมื่อเข้าใจว่าเหยื่อตายแล้วก็คำรามผิดหวังอยู่ในลำคอแล้วเดินตุบตับเข้าชายป่าไป ทั้งนี้เป็นเพราะธรรมชาติของหมีจะเกลียดซากศพคนตายที่สุด เมื่อพบแล้วจะไม่กินหรือเข้าใกล้เด็ดขาด
    [​IMG]
    หลังจากแก้วิกฤตหมีขาวแล้วทั้งหมดจึงพากันเดินทางต่อไปอีกหกสิบลี้ พบลำธารใสสะอาด จึงนั่งพักผ่อนดื่มน้ำแก้กระหาย ระหว่างนั้นได้หยิบก้อนหินเล็ก ๆ ขึ้นมาโยนลงน้ำเล่นกัน เห็นสายน้ำกระเซ็นเป็นฟองฝอยดูเพลิดเพลิน เมี่ยวซ่านไต้ซือเทศนาธรรมไปพร้อมกันนี้ว่า "ธรรมชาติของน้ำนั้นสงบนิ่งแต่เราโยนหินลงไปให้น้ำกระจายเป็นฝอย กระเพื่อมเป็นวงแล้วก็กลับสงบนิ่งเช่นเดิม นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ความเปลี่ยนแปลง จากเคลื่อนไหวสู่ความสงบและสงบสู่เคลื่อนไหวอันเป็นสัจธรรม" ย่งเหลียนยังไม่ค่อยเข้าใจ พลันก็มีหินก้อนหนึ่งลอยมาถูกศีรษะเธอ ธรรมะคราวนั้นจึงกระจ่างแจ้ง สงบสู่เคลื่อนไหว เคลื่อนแล้วก็สงบอีก พระน้านางเองก็พยักหน้าเข้าใจ ไต้ซือยิ้มพึงพอใจศิษย์ทั้งสองคน

    จบตอนที่ ๒๒
    ติดตามต่อตอนที่ ๒๓ พบฝูงลิงจอมเลียนแบบ การเผชิญความหนาวเหน็บ

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=03-2009&date=30&group=9&gblog=55
     
  13. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒๓ พบฝูงลิงจอมเลียนแบบ การเผชิญความหนาวเหน็บ

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๒๓
    พบฝูงลิงจอมเลียนแบบ การเผชิญความหนาวเหน็บ


    [​IMG]
    ทันใดนั้นได้มีฝูงลิงกว่าห้าสิบตัวกระโดดเข้ามาหาเหล่านักบวช ชูไม้ชูมือล้อเลียน ขว้างหินลงน้ำแล้วปาหินใส่นักบวชทั้งสาม เมื่อถูกตัวคนก็กระโดดโลดเต้น กรีดร้องอย่างชอบใจ ย่งเหลียนรู้ทันทีว่าก้อนหินที่ลอยมาโดนศีรษะเธอนั้นเป็นฝีมือของเจ้าลิงพวกนี้ เธอและพระน้านางจะวิ่งหนีแต่ไต้ซือห้ามไว้พลางว่า "ลิงพวกนี้กระทำเลียนแบบพวกเราที่ปาหินลงน้ำ แต่กลับนำมาปาคนแทน ถ้าพวกเราวิ่งหนีพวกมันต้องวิ่งไล่ตามอย่างแน่นอน และเราคงไม่มีทางหนีพ้นความว่องไวของพวกมัน ดังนั้น ทุกคนจงพนมมือ เดินไปตามทาง ก้าวครบสามก้าวก็ก้มลงกราบหนึ่งครั้ง พวกลิงย่อมเลียนแบบเรา และไม่ทำอันตรายใด ๆ" พระน้านางและย่งเหลียนจึงทำตามที่ไต้ซือกล่าว

    (หมายเหตุ: การเดินสามก้าวคุกเข่าลงไหว้ครั้งหนึ่งนี้เป็นกลอุบายที่จะหลบเลี่ยงพวกลิงที่ไต้ซือเมี่ยวส้านคิดขึ้น ต่อมาภายหลังคนที่นับถือพุทธศาสนาก็ยึดเอาเป็นแนวทางที่ต้องทำ ไม่ว่จะขึ้นเขาลูกไหนก็จะเดินสามก้าวไหว้หนึ่งครั้งจนกว่าจะถึงยอดเขาตำนานเกิดจากตอนนี้เอง)
    [​IMG]
    เพราะความรักสนุกโดยสัญชาตญาณ อุบายครั้งนี้พวกลิงจึงหลงกลอย่างง่ายดาย ทั้งมนุษย์และฝูงลิงเดินสามก้าวก้มกราบทีหนึ่ง ขึ้นเขาอย่างไม่ย่อท้อมาหลายลี้จนถึงบนเขา ฝูงลิงก็ยังติดตามกลุ่มนักบวชไม่ลดละเช่นกัน เพียงแต่ไม่ทำอันตรายผู้ใดอีก พลันก็มีลมพัดกรรโชกวูบใหญ่พาดผ่าน เงาดำทมึนของสัตว์ปีกทาบลงมาจากท้องฟ้า เมื่อมองขึ้นไปทุกคนก็ได้พบกับอินทรีย์ยักษ์ สยายปีกบินร่อนอยู่เหนือเหยื่ออันโอชะอย่างจดจ่อ ฝูงลิงรู้ได้ทันทีถึงชะตากรรมระหว่างเหยื่อกับผู้ล่า
    [​IMG]
    แต่ฝูงลิงก็ไม่หลบหนี แยกเขี้ยวข่มขู่นกยักษ์เสียงก้องป่า นกอินทรีย์ยักษ์หาได้เกรงกลัวไม่ กลับบินโฉบลิงได้ตัวหนึ่ง แรงจิกและพลังของกรงเล็บทำให้ลิงนั้นดิ้นรนต่อสู้ได้เพียงชั่วขณะก็สิ้นใจตายคากรงเล็บแหลมคม จากนั้นเจ้านกยักษ์ปล่อยลิงให้ตกลงกระแทกพื้นแล้วลงมาจิกกินมันสมองของลิงโชคร้ายนั้นอย่างเมามัน ลิงป่าตัวอื่นเห็นชะตากรรมของเพื่อนร่วมฝูงแล้วก็หวาดกลัววิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ส่งเสียงเจี๊ยกจ๊าก กลับเข้าแนวป่าไป คณะของไต้ซือเห็นพวกลิงแล้วก็ได้แต่เวทนากลับมาเดินตามปกติ พร้อมกับสวดแผ่เมตตาให้ลิงเคราะห์ร้ายแทน
    [​IMG]
    ยิ่งเดินทางขึ้นเขาสูงทัศนียภาพก็เริ่มเปลี่ยนไป หิมะจับตัวหนาบนทางเดิน ผลไม้ก็ไม่มีกิน พืชชนิดเดียวในขณะนี้คือต้นสนที่มีหิมะเกาะพราว ลมหนาวพัดบาดผิวจนแสบเหลือทน ใบหน้าตึงร้าวคล้ายถูกใบมีดกรีดเป็นริ้ว ๆ ย่งเหลียนและพระน้านางแสนทุกข์ทรมานจากพิษความหนาว คงมีแต่เมี่ยวซ่านไต้ซือเท่านั้นที่มุ่งมั่นอยู่กับการเดินทาง แม้สองเท้าจะเปลือยเปล่าท่านก็ไม่ปริปากบ่น ตกค่ำจึงพบผลไม้ที่กินได้ ย่งเหลียนเก็บมาถวายไต้ซือและพระน้านางได้ฉันจนอิ่มจึงหาถ้ำเข้าอาศัยพักแรม อากาศยามค่ำยิ่งหนาวจนปวดกระดูก ย่งเหลียนคิดจะหาฟืนมาก่อไฟไล่ความหนาว แต่ไต้ซือรีบห้ามไว้เพราะเกรงว่าความอบอุ่นจะพาสัตว์ป่าเข้ามาหาและอาจเกิดอันตรายได้
    [​IMG] [​IMG]
    ไต้ซือแสดงธรรมว่า "จงอย่าลืมว่าขณะนี้พวกเรากำลังแสวงหาธรรมอันวิเศษ จำเป็นต้องมีจิตใจซื่อตรง แน่วแน่ด้วยสติสัมปชัญญะอันสมบูรณ์ แม้ร่างกายต้อนทนทุกข์ทรมานเพราะความหิวโหย ความร้อน หรือความหนาวเหน็บ อันถือเป็นความทุกข์เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับความลำบากที่เราผ่านมาแล้วไม่น้อย พึงระลึกไว้ว่าความลำบากนั้น ๆ จะหล่อหลอมจิตให้แข็งแกร่งรวมเป็นหนึ่งโดยไม่แตกสลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วการบรรลุธรรมอันวิเศษก็จะอยู่แค่เอื้อม และความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านความล้มเหลวมาก่อน" พระน้านางและย่งเหลียนฟังธรรมข้อนี้แล้วต่างรู้สึกเกิดปัญญาสว่างไสวขึ้นในใจ ความหนาวเย็นใด ๆ จึงไม่อาจต้านทานความมุ่งมั่นแห่งฌานสมาธิของไต้ซือและศิษย์ทั้งสองได้อีกต่อไป

    จบตอนที่ ๒๓
    ติดตามต่อตอนที่ ๒๔ สู่ยอดเขา พบเทพชี้ทาง

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=04-2009&date=01&group=9&gblog=56
     
  14. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒๔ สู่ยอดเขา พบเทพชี้ทาง

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๒๔
    สู่ยอดเขา พบเทพชี้ทาง


    [​IMG]
    สามวันต่อมา คณะเดินทางก็ขึ้นสู่ยอดเขาได้สำเร็จ พบป้ายศิลาตั้งตระหง่านอยู่เหนือศีรษะ มีตัวหนังสือสลักว่า แดนชนะ ทั้งสามปีติยินดียิ่ง ก้มกราบป้ายศิลาคนละครั้งแล้วเดินต่อไปอีกประมาณหนึ่งลี้ ก็พบชะง่อนหินโค้งคล้ายหลังคา ให้ร่มเงาแก่ลานหินกว้างด้านล่างอย่างดี บนลานหินนี้เองมีผู้เฒ่าคิ้วยาว หนวดยาวสีขาวดังปุยสำลี ผู้เฒ่าทอดแววตาแจ่มใสและเมตตามายังคณะเดินทาง เมี่ยวซ่านไต้ซือคิดว่าผู้อาวุโสนี้หากมิใช่พระพุทธองค์แปลงกายมาโปรดก็ต้องเป็นผู้สำเร็จธรรมชั้นสูง จึงพาศิษย์เข้ากราบคารวะขอคำชี้แนะแนวทางแห่งการหลุดพ้น ผู้เฒ่าคิ้วยาวกล่าวว่า "ดีจริง ๆ พวกเจ้าลำบากสาหัสในการเดินทางก็ยังไม่เปลี่ยนความตั้งใจ เราคือเทพไท้ไป๋ มารอเพื่อจะบอกว่า ธรรมอันวิเศษแท้จริงแล้วมิได้อยู่ที่นี่"
    [​IMG] [​IMG]
    เมี่ยวซ่านไต้ซือถามว่า "ขอผู้อาวุโสโปรดช่วยชี้ทางหลุดพ้นจากกิเลสเถิด เพราะแต่เดิมมีท่านนักพรตนามโล้วนาปู้เจี้ยนกล่าวว่า ต้องมาขอพรต่อดอกบัวหิมะในดินแดนแห่งนี้จึงจะพบผลสำเร็จที่แท้จริง" ผู้เฒ่าคิ้วยาวจึงว่า "เขาเล่นทิ้งปริศนาไว้พวกเจ้าจึงต้องดั้นด้นมาจนถึงเขาลูกนี้ เราจะแจ้งให้รู้ก็ได้ว่า ปางก่อนเจ้าเป็นพระผู้เมตตามุ่งมั่นช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ กระทั้งจุติในอาณาจักรซิงหลิงก็ยังไม่ทิ้งความตั้งใจเดิม ทั้งยังสร้างบารมีเต็มเปี่ยม ไม่ช้านี้เจ้าจะบรรลุธรรม ส่วนดอกบัวหิมะนั้นมีคนนำไปยัง เกาะโปตละโลกา เพื่อสร้างแดนอันสงบสุขสำหรับเจ้า ซึ่งเจ้าจะได้สัมผัสในอีกไม่นานนี้ ส่วนศิษย์ผู้ติดตามทั้งสอง บารมียังไม่ถึงขั้นต้องบำเพ็ญธรรมอีกระยะหนึ่งก็จะบรรลุเช่นกัน"
    [​IMG]

    [​IMG]
    เทพไท้ไป๋กล่าวต่อไปว่า "หลังจากนี้เจ้าจงเข้าใจหลักธรรมด้วยตนเอง เพราะเราเพียงช่วยสะท้อนให้เจ้าเข้าใจหนทางเท่านั้น" ครั้นแล้วเทพไท้ไป๋จึงหยิบแจกันหยกขาวยื่นให้เมี่ยวซ่านไต้ซือ พลางว่า หากพบว่าในแจกันนี้มีน้ำขังและมีกิ่งหลิวโผล่ขึ้นมา แสดงว่าวันนั้นคือวันที่เจ้าจะบรรลุธรรม ไต้ซือรับแจกันมาแล้วจึงคารวะอำลาเทพไท้ไป๋

    หนทางกลับในคราวนี้มิได้ลำบากเลยผิดกับขามาลิบลับ ทั้งสามเพียงแต่มุ่งหน้าขึ้นเหนือ ไม่หลงทาง ไม่พบอุปสรรค เมี่ยวซ่านไต้ซือกล่าวว่า "เพราะบัดนี้เราสงบแล้วทั้งกาย ใจ ประกอบกับความกระจ่างแจ้งแห่งธรรมว่า ธรรมอันวิเศษสามารถช่วยให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารสู่นิพพานได้"

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    พระแม่กวนอิม วิสุทธิมรรคคีรี สระบุรี
    ในที่สุดคณะเดินทางก็กลับมาถึงเชิงเขาเยี้ยม้อซานในอาณาจักรซิงหลิง บรรดาชาวบ้านร้านตลาดต่างเปล่งเสียงไชโยดังกระหึ่ม เหล่าภิกษุณีตีระฆัง และตั้งขบวนรับอยู่ที่เชิงเขา ต่างเข้ามาห้อมล้อมต้อนรับอย่างยินดี เมื่อสู่ลานประชุมทุกคนซักถามถึงการเดินทางจากเมี่ยวซ่านไต้ซือ ต่างฟังเรื่องราวทุกเหตุการณ์อย่างตื่นเต้น อุทานอมิตตาพุทธอยู่ไม่ขาดปาก บ้างก็กล่าวว่า พุทธบารมีคุ้มครองขบวนนักเดินทางให้ปลอยภัย

    ครั้นแล้วไต้ซือได้นำแจกันหยกขาวออกมาวางใกล้ ๆ พระพุทธรูป ทุกคนที่ฟังรู้ทันทีว่าแจกันนี้คือของวิเศษล้ำค่า ต่างเฝ้ารอคอยอย่างจดจ่อว่าเมื่อใดที่จะมีน้ำทิพย์เต็มเปี่ยมและกิ่งหลิวโผล่ขึ้นมา อันหมายถึงจะเป็นวันที่ไต้ซือเมี่ยวซ่านจะบรรลุธรรมแห่งความหลุดพ้น

    [​IMG]
    ระหว่างที่ไต้ซือเล่าเรื่องราวการเดินทางอยู่นั้น มีคนภายนอกมายืนออฟังเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีเด็กน้อยเจ้าปัญญาแต่ซุกซนและดื้อรั้นจนเป็นที่เลื่องลือนามว่า เซิ่นอิง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เด็กผีจอมซน ได้ฟังด้วย เซิ่นอิงคิดตามประสาเด็กฉลาดว่าแจกันเปล่า ๆ ตั้งอยู่อย่างนั้นย่อมไม่มีทางที่จะมีน้ำเต็มได้ ดังนั้น ไต้ซือย่อมไม่อาจบรรลุมรรคผลได้จริง พลันเขาก็คิดแผนขึ้นมาอย่างหนึ่งโดยไม่ปริปากบอกใคร เซิ่นอิงมาเที่ยวเล่นในวัดบ่อย ๆ จนสืบรู้ว่าแจกันหยกขาวอยู่หน้าพระประธานในห้องวิปัสสนา เวลากลางวันก็จะมีคนนั่งเข้าฌานอยู่เต็ม ตกค่ำประตูหนาหนักก็จะปิดสนิทยากที่คนนอกจะเข้าไปได้ จอมแสบรายนี้จึงรอวันเวลาที่เอื้ออำนวยต่อแผนการของตนอย่างจดจ่อ

    จบตอนที่ ๒๔
    ติดตามต่อตอนที่ ๒๕ เด็กซนทำเรื่อง และ การบรรลุธรรม

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=04-2009&date=02&group=9&gblog=57
     
  15. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    แงงงง โพสต์ม่ายได้ง่ะคะ มันบอกว่าเกิน 100 ตัวอักษรตลอดเลย ไม่ว่าจะตัดส้นยังไงก็ไม่ได้อ่ะ เศร้า หลังจากปิดบอร์ดไปเปิดมาก้อมะได้เลย *-*
     
  16. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒๕ เด็กซนทำเรื่อง และ การบรรลุธรรม

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๒๕
    เด็กซนทำเรื่อง และ การบรรลุธรรม


    [​IMG]
    วันหนึ่งเซิ่นอิงคิดหาวิธีเข้าไปแอบในวัดโดยไม่ให้คนล่วงรู้ แอบเก็บน้ำสะอาดและกิ่งหลิวไว้ในที่ลับตา จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บฟืน จุดไฟขึ้นเผาฟืนกองหนึ่งแล้วตนเองก็แอบออกมา ชั่วครู่ไฟก็ลุกไหม้ห้องเก็บฟืนควันโขมง ภิกษุณีลูกวัดต่างร้องตะโกนให้มาช่วยกันดับไฟ ทุกคนรีบคว้าถังตักน้ำมาช่วยกันดับไฟ ห้องวิปัสสนาจึงว่างเปล่า เด็กจอมซนรีบแอบเข้าไปปีนขึ้นโต๊ะบูชากรอกน้ำใส่ในแจกันและปักกิ่งหลิวอย่างบรรจง เซิ่นอิงพึงพอใจในผลงานของตนมาก รีบเช็ดรอยเท้าไม่ให้เหลือรอย ก่อนจะกระโดดแผล็วหนีหายไป
    [​IMG]

    [​IMG]
    ขณะนั้นชาวบ้านและสานุศิษย์ที่เชิงเขาต่างกรูกันมาช่วยดับไฟคนละไม้ละมือ เซิ่งอิงฉวยถังไม้ได้ใบหนึ่ง เข้ามารวมกลุ่มช่วยชาวบ้านดับไฟเช่นทุกคน ในใจก็คิดรอเวลาเยาะเย้ยไต้ซือที่ชาวบ้านชื่นชมบูชา หลงคิดว่าแจกันมีน้ำทิพย์และกิ่งหลิวเกิดขึ้นเองแล้วโอ้อวดว่าตนบรรลุมรรคผล เซิ่นอิงคนนี้ล่ะจะเปิดโปงความลวงโลกของไต้ซือเอง อนิจจา ! เด็กน้อยผู้ไม่รู้ประสา ไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ตนได้กระทำนั้นจะบังเกิดผลอันใดตามมา ...ครั้นไฟสงบลงทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ไม่มีใครได้เข้าไปหรือเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของแจกันในห้องวิปัสสนาเลย
    [​IMG]
    จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ภิกษุณีผู้ทำความสะอาดโต๊ะบูชาพบความผิดปกติในแจกันหยกขาว ก็ดีใจจนลืมหน้าที่เช็ดถู รีบวิ่งออกมาจะรายงานพระผู้ใหญ่จนชนกับย่งเหลียนที่สวนทางมา เมื่อบอกเหตุที่ตนดีใจจนผิดปกติแล้ว ย่งเหลียนยินดีเป็นอันมากรีบเข้ามาหาไต้ซือที่กุฏิ เมื่อพบหน้ากัน ไต้ซือกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า "ย่งเหลียนเอ๋ย เจ้ามาพอดีเรากำลังจะเรียกเจ้ามาบอกข่าวว่า เมื่อคืนนี้ขณะที่นั่งสมาธิอยู่เราก็รู้สึกว่ามีดอกบัวขาวบานอยู่ในใจ จึงคิดว่าวันนี้น่าจะเป็นวันที่เราสำเร็จมรรคผล" ย่งเหลียนขนลุกวาบด้วยความตื่นเต้นและปลาบปลื้มกล่าวว่า "หม่อมฉันรีบมาที่นี่ก็เพื่อจะบอกว่าบัดนี้แจกันหยกขาวมีน้ำอยู่เต็มปรี่และปรากฏกิ่งหลิวปักอยู่อย่างน่าอัศจรรย์เพคะ" ไต้ซือและพระน้านางฟังอย่างยินดี แล้วจึงให้จัดห้องปฏิบัติธรรมปลีกวิเวกเพื่อปลงสังขารในวันนั้นเอง (ปลงสังขาร หมายถึง การละจากร่างมนุษย์ หรือการตาย)
    [​IMG]
    ไต้ซืออาบน้ำด้วยแก่นจันทร์หอม เปลี่ยนผ้ากาสาวพัสตร์ พร้อมสำหรับการนั่งสมาธิมรณภาพปลงสังขาร เมื่อเข้ามายังห้องปฏิบัติธรรมก็พบเหล่าภิกษุณีลูกวัดเคาะกะโหลกไม้สวดมนต์อยู่ก่อน ไต้ซือเมี่ยวซ่านเข้าประจำที่เริ่มนั่งวิปัสสนาตั้งแต่ปฐมฌานสู่วิมุตติฌาน เวลานั้นชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นต่างรับรู้ข่าวไต้ซือจะสำเร็จเป็นพุทธะ ต่างมานมัสการรอดูความสำเร็จของไต้ซือที่พวกตนเคารพเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนี้มีเจ้าเซิ่นอิงจอมซนรวมอยู่ด้วย เด็กน้อยแปลกใจมากเบียดแทรกเข้าไปยืนดูอย่างถนัดตา ในใจก็รู้สึกขบขันไต้ซือที่ทำท่าเหมือนเคลิ้มหลับ เพราะบทสวดมนต์ยืดยาว จึงคิดจะแกล้งให้ไต้ซือโกรธจนตบะแตก เหมือนที่เคยแกล้งผู้ใหญ่คนอื่น ๆ สำเร็จมาแล้ว
    [​IMG]
    คิดแล้วเซิ่นอิงก็แทรกมายืนตรงหน้าไต้ซือพอดี ร้องตะโกนใส่หน้าเสียงดังแล้วกระโดดขึ้นขี่คอ คว้าไม้เคาะสวดมนต์ฟาดลงไปกลางศีรษะไต้ซือดังเปรี้ยง ! คนรอบข้างต่างตกใจหน้าซีด แต่ไม่อาจมีใครขัดขวางเหตุการณ์อันรวดเร็วนี้ได้ เสียงอุทานร้องตกใจดังขึ้นพร้อม ๆ กัน ฉับพลันได้มีสายสีแดงคล้ายเลือดพุ่งขึ้นจากศีรษะของไต้ซือ ทุกคนคิดว่าไต้ซือหัวแตกเสียแล้ว ทว่าแสงสีแดงนั้นเปล่งรัศมีลอยสูงขึ้น ๆ และรวมตัวเป็นรูปธรรมของไต้ซือเหนือร่างกายเนื้อเบื้องล่าง ไต้ซือเมี่ยวซ่านนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ เท้าเปลือยเปล่า มือถือแจกันที่มีกิ่งหลิวโผล่มา ทุกคนต่างเปล่งเสียสาธุในความอัศจรรย์ครั้งนี้
    [​IMG]
    ทั้งนี้เป็นเพราะความซุกซนของเซิ่นอิงเป็นเหตุแท้ ๆ เนื่องด้วยจิตวิญญาณของไต้ซือบรรลุธรรมนานแล้ว แต่ไม่สามารถละสังขารเดิมได้ เพราะควันธูปและฝูงชนปะปนมากมาย กระทั่งมีสิ่งภายนอกมากระทบ นั่นคือไม้ของเซิ่นอิงทำให้ทวารเปิดออกในทันที จิตจึงละสังขารได้ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นความบังเอิญแต่ก็มีเหตุผลในตัวของมัน เนื่องมาจากเซิ่นอิงนั้นจริง ๆ แล้วเป็นประทีปแห่งกุศลทางทิศใต้ มาจุติเป็นผู้มีบุญและเชาวน์ปัญญาดีเลิศ และครั้งนั้นเซิ่นอิงก็รู้สึกสว่างไสวในธรรมภายในเวลาอันสั้น สำนึกตนและเคร่งอยู่ในศีลธรรมมากกว่าใครในบัดดล

    จบตอนที่ ๒๕
    ติดตามต่อตอนที่ ๒๖ การเลือกผู้รับใช้เบื้องซ้ายขวา

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee&month=03-04-2009&group=9&gblog=58
     
  17. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒๖ การเลือกผู้รับใช้เบื้องซ้ายขวา

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๒๖
    การเลือกผู้รับใช้เบื้องซ้ายขวา



    [​IMG]
    ฝูงชนและภิกษุณีในวัดก้มลงกราบรูปธรรมของไต้ซืออย่างเลื่อมใสศรัทธา กายละเอียดของไต้ซือก็ลอยขึ้นหายลับไปในหมู่เมฆขาว ส่วนสังขารเดิมของไต้ซือนั้นเย็นดุจน้ำแข็ง ภิกษุณีจึงสวดสังวัธยายพุทธมนต์อย่างพร้อมเพรียงกัน ย่งเหลียนและพระน้านางเตรียมเข้าวังกราบทูลพระเจ้าเมี่ยวจวง พอดีกับมีม้าเร็วถือพระราชโองการมาว่า พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทราบการปลงสังขารของไต้ซือเมี่ยวซ่านแล้ว เพราะไต้ซือเสด็จไปอำลาพระบิดาถึงในตำหนักเมื่อครู่ที่ผ่านมา
    [​IMG]
    พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงทรงมีพระราชโองการว่าให้ลงรักปิดทองสังขารกายเนื้อของไต้ซือจุดกำยานอบตลอดเวลา เก็บรักษาไว้ในห้องวิปัสสนาและเปลี่ยนชื่อจากห้องหลิงหลงเป็นห้อง กวนอิมเมตตา วัดจินกวงหมิงจึงมีงานใหญ่อีกครั้งคือ การบูรณะวัด จัดการตกแต่งห้องวิปัสสนาตามพระราชโองการของพระเจ้าเมี่ยงจวง มีโคมประทีปแขวนประดับงดงาม ส่วนร่างเดิมของไต้ซือได้ให้ช่างลงรักชนิดพิเศษฉาบทาพระศพปิดทองทั่วองค์ มีการจุดธูปกำยานหอมอบอยู่ตลอดเวลา และแล้วในที่สุดป้ายชื่อห้องกวนอิมเตตา ก็ได้รับการติดตั้งสมบูรณ์
    [​IMG]
    ฝ่ายไต้ซือเมี่ยวซ่านนั้น เมื่ออำลาพระบิดาแล้วก็เหาะลอยไปยังทะเลใต้สู่เขาโปตละโลกา ไม่นานจึงถึงจุดหมาย เกาะแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งเขาพระสุเมรุ มีพันธุ์ไม้แปลกไปจากโลกมนุษย์ปกคลุมทั่วสารทิศ สัตว์ต่าง ๆ มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากที่ซึ่งพระองค์จากมา ถัดไปคือป่าไผ่สีม่วงสูงชะลูดเทียมเมฆ กลางดงไผ่นั้นมีวังดอกบัวขาวตระการตาส่องแสงฉัพพรรณรังสีทั่วทิศทาง กลางบึงมีดอกบัวชมพูบานดั่งบัลลังก์รอคอยการมาเยือนของพระองค์ เมี่ยวซ่านไต้ซือลอยเหนือบัลลังก์บัวลงประทับเป็นครั้งแรก
    [​IMG]
    ๙ ปีต่อมา คืนหนึ่งหลังจากทรงบำเพ็ญภาวนาติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน พระองค์ก็สัมผัสได้ถึงหนทางสีขาวบริสุทธิ์สุขสงบ ครั้นแล้วดวงจิตก็สามารถเพ่งมองทะลุไปทุกแดนทั่วพิภพ นับเป็นหนทางสู่นิพพานอันเป็นสุข แต่ทว่าพระองค์ทรงสดับเสียงคร่ำครวญปริเวทนาการของสัตว์โลกที่รับทุกข์ทรมานอยู่ในทุก ๆ แห่ง จึงทรงตั้งปณิธานมุ่งมั่นว่า เราจะไม่เข้าสู่ภูมิอันสันติโดยลำพังเป็นอันขาด เราจะอยู่เพื่อช่วยสรรพสัตว์ในโลกให้พ้นทุกข์ภัย แม้จะใช้เวลานานนับโกฏิล้านปี ดังสวรรค์รับรู้ความตั้งใจของพระองค์ดอกไม้แห่งสวรรค์พลันโปรยปราย เสียงทิพยดนตรีพิณสังคีตบรรเลงขับขาน แสงทองสาดส่องร่วมเป็นสักขีพยาน บรรดาพระอรหันต์ ได้ยินสังคีตดนตรีต่างเปล่าวาจาว่า ดีจริงเมี่ยวซ่านได้บรรลุเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมแล้ว จารึกไว้ในวันที่ ๑๙ เดือน ๖ ตามตำนานในพระสูตร
    [​IMG]
    ในการนี้ได้มีการเลือกผู้รับใช้เบื้องซ้ายขวา ซึ่งย่งเหลียนผู้ติดตามมาถึงแดนทะเลใต้ได้รับเลือกเป็นคนแรก ต่อมาภิกษุหนุ่มนาม ซ่านไฉ่ หรือเจ้าเด็กผีจอมซน เซิ่นอิง เมื่อ ๙ ปีก่อนได้อาสารับใช้พระโพธิสัตว์โดยกราบทูลว่า "เดิมทีข้าพระองค์มัวเมาในความสนุกสนานอย่างมืดบอด ครั้นเมื่อหันมาศึกษาพระธรรมอย่างมุ่งมั่นและออกติดตามหาพระองค์จนมาถึงดินแดนแห่งนี้ก็เพราะความภักดีเป็นที่ตั้ง ครานี้ข้าพระองค์จึงขอภักดีรับใช้พระองค์ตลอดไป" พระกวนอิมต้องการพิสูจน์ความมั่นคงของซ่านไฉ่จึงสั่งให้ไปรอที่ยอดเขารอคำพิจารณา ซ่านไฉ่ขึ้นเขาไปรอตามรับสั่ง แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อท้องทะเลเบื้องหน้ามีกองเรือโจรสลัดมหาศาลจอดอยู่ริมฝั่งและกำลังยกทัพขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้
    [​IMG]
    ขุนโจรคนหนึ่งกระชากร่างพระกวนอิมออกมาจากป่าไผ่สีม่วงได้ พระองค์รีบสลัดแขนจนหลุดแล้วปีนขึ้นมายังหน้าผา โจรสลัดตามขึ้นมาเป็นพรวน พระกวนอิมถูกอาวุธบาดเจ็บพลัดตกลงเหวไป ซ่านไฉ่คว้าร่างของพระองค์ไม่ได้ จึงตัดสินใจกระโดดลงไปหมายจะขอตายตาม และแล้วซ่านไฉ่ก็ฟื้นขึ้น เบื้องหน้าไม่มีโจรสลัด ไม่มีความตาย คงมีแต่แววตาเปี่ยมกรุณาของพระโพธิสัตว์กวนอิมทอดมายังเขา แล้วกล่าวว่า "นี่คือข้อพิสูจน์ความภักดีของเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ร่างเก่าของเจ้าเป็นธุลีอยู่ในเหวนั้นแล้ว ขณะนี้เจ้ามีร่างอันเกิดใหม่อันเป็นอากาศธาตุ สามารถจำแลงกายล่องลอยในอากาศไปถึงแดนแห่งพรหมโลกได้ เป็นการตอบแทนที่เจ้าพลีชีพบูชาอย่างภักดี" จากนั้นเป็นต้นมาย่งเหลียนและซ่านไฉ่จึงเป็นสาวกเบื้องซ้ายขวา คอยรับใช้พระโพธิสัตว์กวนอิมเรื่อยมา

    จบตอนที่ ๒๖
    ติดตามต่อตอนที่ ๒๗ พระเจ้าเมี่ยวจวงล้มป่วย

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=04-2009&date=04&group=9&gblog=59
     
  18. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒๗ พระเจ้าเมี่ยวจวงล้มป่วย

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๒๗
    พระเจ้าเมี่ยวจวงล้มป่วย


    [​IMG]
    จนกระทั่งวันหนึ่ง พระกวนอิมทรงทอดพระเนตรไปยังอาณาจักรซิงหลิง ก็พบว่าบัดนี้พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทุกข์ทรมานจากโรงมะเร็งร้าย ทั่วพระวรกายเต็มไปด้วยแผลพุพอง น่ากลัว ทั้งนี้เป็นเพราะผลแห่งกรรมที่ทรงทำไว้ พระกวนอิมทรงทราบดีว่าหากพระบิดาสิ้นพระชนม์ไปในยามนี้ ย่อมต้องตกนรกภูมิสู่ขุมสุดท้าย หนทางเดียวที่จะช่วยเหลือได้คือ ใช้แขนและดวงตาแห่งพระโพธิสัตว์ทำเป็นยารักษา ดำริแล้วก็ทรงมอบหมายให้ภิกษุซ่านไฉ่ไปยังอาณาจักรซิงหลิงและบอกวิธีรักษาแก่พระเจ้าเมี่ยงจวง เมื่อหายแล้วจงเกลี้ยกล่อมให้สละราชสมบัติ เดินทางมาที่เกาะโปตละโลกาแห่งนี้
    [​IMG]
    ภิกษุซ่านไฉ่หายตัวมาปรากฏกายขึ้นที่อาณาจักรซิงหลิง ซึ่งขณะนั้นกำลังมีทหารประกาศป่าวร้องว่า "ขณะนี้พระมหาจักรพรรดิทรงประชวรจากโรคประหลาด ถ้าใครสามารถรักษาพระองค์จนหายจะได้รับพระราชบัลลังก์เป็นการตอบแทน" ซ่านไฉ่เห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงออกมาหน้าฝูงชน รับอาสารักษาอาการของพระเจ้าเมี่ยงจวง เมื่อภิกษุซ่านไฉ่มาถึงห้องบรรทมก็พบว่ามีหมอหลวงหลายคนยืนล้อมรอบเตียงอยู่ พระธิดาสองพระองค์ยืนเฝ้าอยู่ห่าง ๆ อย่างเกรงโรคร้าย ที่มุมห้องโฮเฟงและเจาไควราชบุตรเขยยืนกระซิบกระซาบส่งสายตาดูถูกมายังภิกษุซ่านไฉ่ พระเจ้าเมี่ยงจวงนั้นนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพระที่ ทรงมีแผลหนองทั่วพระวรกาย
    [​IMG]
    ครั้นทอดพระเนตรเห็นภิกษุแปลกหน้าจึงตรัสด้วยเสียงอันแหบแห้งว่า "ท่านนักบวชท่านมารักษาเราหรือมาเพื่อเยาะเย้ยเรา ผู้เคยเกลียดชังศาสนาของท่าน" ซ่านไฉ่ทูลว่า "ความโกรธหรือพยาบาทจะถูกแทนที่ด้วยความเมตตาเสมอ มหาบพิตร อาตมาเดินทางมาเพื่อบอกว่าอาตมารู้วิธีลับในการรักษาอาการป่วยของพระองค์" พระเจ้าเมี่ยงจวงผุดลุกขึ้นนั่งอย่างมีหวังขึ้นมาทันที ทุกคนในห้องเงียบกริบรอฟังคำของภิกษุหนุ่มอย่างจดจ่อ พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า "ท่านจงว่ามาโดยเร็วเถิด" ซ่านไฉ่เอ่ยขึ้นว่า "การรักษานั้นไม่ยากอะไรเพียงแต่ตัวยานั้นยากที่จะเสาะหาได้ เพราะต้องใช้น้ำมันที่ทำด้วยแขนและดวงตาของผู้ปราศจากความโกรธเท่านั้น"
    [​IMG]
    พระเจ้าเมี่ยงจวงไม่เชื่อว่าจะมีบุคคลเช่นนั้นอยู่ในโลกจนกระทั่งซ่านไฉ่ทูลว่า "ท่านผิดแล้ว มหาบพิตร ไกลออกไปทางทะเลใต้มีเกาะชื่อ โปตละโลกา เป็นที่สถิตของพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ซึ่งยอมสละอวัยวะอินทรีย์ให้แก่ผู้ใดก็ได้ที่ต้องการ" พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังดังนั้นก็รีบสั่งการให้แม่ทัพเจาเจนและองครักษ์หลีฉิน เดินทางไปยังเกาะโปตละโลกาทันที จากนั้นจึงรีบสั่งให้จัดการรับรองซ่านไฉ่ภิกษุอย่างดีภายในพระราชฐานชั้นใน โฮเฟงและเจาไควกระซิบกระซาบอย่างมีเลศนัย แล้วพากันเดินออกมาจากห้องพระบรรทม
    [​IMG]
    ทั้งสองมาปรึกษากันภายในเทวสถานเทพแห่งสงครามอันลับตาคน โฮเฟงกล่าวว่า "น้องรอง หากเป็นดังที่ภิกษุว่ามีผู้ยอมสละแขนและดวงตาให้แก่ผู้อื่นจริง ๆ แล้ว แผนการของเรามิล้มเหลวหมดหรือ" เจาไควจึงว่า "เรื่องพระโพธิสัตว์อะไรนั่นอาจเป็นพระธิดาสามเมี่ยวซ่านก็เป็นได้ และถ้าเป็นนางจริง นางก็ต้องยอมสละอินทรีย์เพื่อรักษาพ่อตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้น หากเรารอให้เสด็จพ่อตายตามธรรมชาติก็ป่วยการเปล่า เราควรกำจัดเสี้ยนหนามเสียตั้งแต่ตอนนี้ทั้งเสด็จพ่อ ทั้งภิกษุบ้า ๆ นั่น"

    จบตอนที่ ๒๗
    ติดตามต่อตอนที่ ๒๘ แผนชั่วของสองราชบุตรเขย

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=04-2009&date=07&group=9&gblog=60
     
  19. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒๘ แผนชั่วของสองราชบุตรเขย

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๒๘
    แผนชั่วของสองราชบุตรเขย


    [​IMG]
    แผนการของสองราชบุตรเขยมีอยู่ว่า จะให้โฮ่หลีคนสนิทของเจาไคว นำยาผสมพิษร้ายขึ้นถวายโดยบอกว่าเป็นยาที่ภิกษุซ่านไฉ่ผสมให้มาเสวย ระหว่างนี้คนสนิทของโฮเฟงชื่อซูต้า จะลอบเข้าไปฆ่าซ่านไฉ่ หากแผ่นนี้ลุล่วงด้วยดี โฮเฟงและเจาไควจะได้เป็นจักรพรรดิ์และผู้กุมอำนาจทางการทหาร แล้วโฮหลีและซูต้าจะได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นการตอบแทน คนชั่วทั้งสี่ปฏิญาณตนร่วมกันต่อหน้าเทพแห่งสงครามในเทวสถานแห่งนั้นเอง โดยทั้งสี่หารู้ไม่ว่าอุบายของพวกตนจะถูกเทพอารักษ์ล่วงรู้จนหมดสิ้น
    [​IMG]
    ครั้นตกค่ำโฮ่หลีนำถ้วยยามาถวายพระเจ้าเมี่ยวจวง โดยบอกว่าภิกษุซ่านไฉ่ให้นำมาถวาย เทพอารักษ์หน้าตาดุร้ายก็ปรากฏตัวขึ้น คว้าถ้วยยานั้นขว้างแตกกระจาย ยาพิษกัดกร่อนพื้นจนควันขึ้น เทพอารักษ์บอกหตุร้ายแก่พระเจ้าเมี่ยวจวงแล้วหายตัวไป พระองค์รับสั่งให้ทหารจับกุมตัวโฮ่หลีไว้
    [​IMG]
    ขณะเดียวกันซูต้าซึ่งแอบเข้าไปในห้องพักของซ่านไฉ่ เห็นเงาตะคุ่มนั่งอยู่บนเตียงก็คิดว่าเป็นซ่านไฉ่ จึงจ้วงแทงไม่ยั้ง แต่ปรากฏว่าเงานั้นเป็นเพียงผ้ากาสาวพัสตร์ และผ้านั้นได้พุ่งเข้ามัดตัวซูต้าไว้แน่นจนขยับไม่ได้ ซูต้าร้องลั่นด้วยความกลัวตาย "ว๊าก ! พระผี กลัวแล้ว ! ใครก็ได้ช่วยด้วย" ทหารยามพุ่งเข้ามาจับตัวซูต้าพร้อมอาวุธได้ทันท่วงที
    [​IMG]
    เช้าวันรุ่งขึ้น โฮเฟงและเจาไควได้ถูกจับกุมตัวถึงตำหนักแต่เช้าตรู่ ทั้งสองถูกมัดมือไขว้หลังลากมาคุกเข่าหน้าพระพักตร์ ภายในห้องบรรทมมีเหล่าขุนนางเข้าเฝ้ารายล้อมอยู่ พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสขึ้นว่า "ท่านทั้งหลายคงคิดว่าในบรรดาจักรพรรดิทั้งหลาย เราคือผู้โชคร้ายที่สุดใช่ไหม ทั้งเรื่องเทพเจ้าชังเราจึงประทานโรคร้ายมาให้ ห้องบรรทมของเราก็มีผู้นำยามรณะมาให้ดื่ม แม้แต่ภิกษุผู้นำวิธีรักษามาบอกเราก็ถูกปองร้ายไปด้วย" เจาไควรีบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว พวกหม่อมฉันเป็นถึงราชบุตรเขยมีทรัพย์สมบัติมากมายแล้วเหตุใดจึงต้องปองร้ายพระองค์ด้วย นี่ต้องเป็นความคิดต่ำทรามของภิกษุบ้านั่นแน่ ๆ"
    [​IMG]
    ขาดคำทหารก็นำตัวซูต้าและโฮ่หลีเข้ามาพร้อมเสียงวิงวอนว่า "ทรงพระกรุณาด้วย ไว้ชีวิตพวกหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจะสารภาพทุกเรื่อง" โฮเฟงและเจาไควเห็นพยานทั้งสองปากโป้งก็หน้าซีดเหงื่อแตก เพราะเห็นลางมรณะมาใกล้แค่เอื้อม พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงดูไว้ ข้ายกพวกมันไว้ในตำแหน่งสูงสุด แต่พวกมันกลับคิดคดทรยศข้าได้ ทหาร ! จับไอ้ผู้บงการใหญ่ไปประหารชีวิตเสียทั้งคู่ ส่วนลูกน้องมันให้จองจำไว้ในคุกมืด ลูกสาวของข้าเอาแต่รักสนุกไปวัน ๆ ไม่รู้ว่าเห็นชอบกับแผนชั่วของสามีหรือเปล่า สั่งการลงไปให้ถอดยศจากเจ้าหญิงเป็นสามัญชน แล้วขังไว้ในตึกเย็นไม่ต้องให้เสพสุขเช่นเดิมอีก"

    [​IMG]
    รับสั่งจบก็ทรุดองค์ลงกุมพระอุระอย่างรวดร้าว ได้แต่ทรงรำพึงว่า "เมี่ยวซ่านลูกรัก ไม่มีใครทุกข์ใจยิ่งกว่าพ่ออีกแล้วในตอนนี้ กรรมสนองให้พ่อทนทุกข์ดั่งอยู่ในกองไฟ เป็นเพราะสงครามนองเลือดที่พ่อก่อไว้ใช่หรือไม่ อีกไม่นานพ่อคงได้รับทุกข์ในนรกจริง ๆ" ทุกคนในที่นั้นมององค์จักรพรรดิด้วยแววตาโศกสลดอย่างที่สุด

    ขณะนั้นเองเจาเจนและหลีฉินได้เดินทางกลับมาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์พอดี สิ่งที่ทั้งสองนำมาด้วยนั้นคือ ดวงตามนุษย์และมืออีกคู่หนึ่ง ทำให้พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงมีความหวังว่าจะหายจากโรคร้าย รีบรับสั่งให้ซ่านไฉ่ปรุงยารักษาพระองค์ทันที

    จบตอนที่ ๒๘
    ติดตามต่อตอนที่ ๒๙ การรักษาพระเจ้าเมี่ยวจวง และการสละราชสมบัติ

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=04-2009&date=09&group=9&gblog=61
     
  20. Beee_bu

    Beee_bu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +108
    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๒๙ การรักษาพระเจ้าเมี่ยวจวง และการสละราชสมบัติ

    ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

    ตอนที่ ๒๙
    การรักษาพระเจ้าเมี่ยวจวง และการสละราชสมบัติ

    [​IMG]
    ซ่านไฉ่ผสมตัวยาเข้าด้วยกัน กลั่นเป็นน้ำมันสำหรับทาพระวรกาย หลังจากนั้นพระเจ้าเมี่ยงจวงก็ทรงหายวันหายคืน พยุงตัวขึ้นนั่งและเริ่มเดินได้คล่อง แต่บาดแผลนั้นหายเฉพาะร่างกายซีกซ้ายเท่านั้น เมื่อถามซ่านไฉ่ด้วยความสงสัย จึงได้คำตอบว่า "ข้าพระองค์ผสมตัวยาเฉพาะตาซ้ายและแขนซ้ายเท่านั้น พระวรกายของพระองค์จึงหายแค่ซีกเดียว เมื่อหม่อมฉันทำน้ำมันจากมือและตาขวา ร่างกายซีกขวาของพระองค์จึงจะหายได้ดี เป็นเพราะบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ยอมสละอวัยวะให้สัมพันธ์กับวรกายของพระองค์โดยแท้"
    [​IMG]
    ซ่านไฉ่นำน้ำมันอีกขวดมอบให้หมอหลวงทาพระวรกายซีกขวา ก็ปรากฏว่าบาดแผลค่อย ๆ จางหายไปเป็นปลิดทิ้ง พระเจ้าเมี่ยวจวงยินดีเป็นที่สุด มีรับสั่งให้เรียกประชุมขุนนางทันที พระเจ้าเมี่ยวจวงเล่าความดีความชอบของภิกษุซ่านไฉ่ให้เหล่าเสนาฟัง ต่างสรรเสริญพระซ่านไฉ่ทั้งสิ้น แต่ซ่านไฉ่กล่าวว่า "ความสำเร็จครั้งนี้เป็นเพราะพระผู้เมตตาทางเกาะทะเลใต้ อาตมามิอาจรับคำยกย่องใด ๆ ได้" พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงว่า "เอาเถอะ ๆ อย่างไรเสียท่านก็เป็นผู้รักษาเราจนหาย เราจะแต่งตั้งท่านเป็นรัชทายาทแห่งอาณาจักรซิงหลิง" ซ่านไฉ่ทำความเคารพอยางสงบนิ่งแล้วกล่าวว่า "อาตมาไม่อาจรับข้อเสนอนี้ได้ ธรรมดาวิสัยของกระเรียนป่าย่อมไม่บินต่ำเหมือนเต่าว่ายในปลักโคลน เช่นเดียวกับผู้เป็นสาวกแห่งพุทธศาสนาย่อมต้องการความสุขสงบตลอดกาลมากกว่าสิ่งอื่นใด"
    [​IMG]
    ซ่านไฉ่กล่าวว่า "สิ่งที่อาตมาต้องการมีเพียงขอให้พระองค์ทรงปกครองไพร่ฟ้าราษฎรอย่างเที่ยงธรรม มีเมตตากรุณาและรักษาคุณธรรมเหล่านี้ไว้ตลอดไป" พระเจ้าเมี่ยวจวงแปลกพระทัยมาก ตรัสว่า "เราอยากรู้เหลือเกินว่าเกาะทางทะเลใต้ที่ท่านจากมานั้นเป็นที่สถิตของบุคคลเช่นไร ท่านจึงได้ยึดมั่นในความเมตตาและเสียสละถึงเพียงนี้ หากเรามีประสงค์จะเดินทางไปที่นั่นเพื่อส่งท่านให้ถึงที่หมาย และนมัสการผู้มอบดวงตาและแขนซ้ายขวาให้แก่เรา ท่านจะขัดศรัทธาหรือไม่" ภิกษุซ่านไฉ่คารวะดั่งน้อมรับบัญชา พระองค์จึงกล่าวต่อว่า "ท่านทั้งหลาย เราขอขอบใจที่พวกท่านทำงานให้แก่อาณาจักรด้วยความจงรักภักดี เราขอสละราชสมบัติลาไปยังเกาะลึกลับทางทะเลใต้ เพื่อชัยชนะที่แท้จริงแห่งชีวิต"
    [​IMG]
    เหล่าขุนนางก้มศีรษะรับบัญชาอย่างเศร้าโศก ผู้ที่จงรักภักดีหลายคนขอตามเสด็จไปด้วยพระองค์ก็ไม่ขัดข้อง หลังจากวันนั้น พระองค์มักจะสนทนาธรรมกับภิกษุซ่านไฉ่ เปลี่ยนพระทัยที่ลุ่มหลงในการสงความเป็นความรักความเมตตา ทรงคืนอิสรภาพให้แก่ทาสเชลยศึก ทรงนำทรัพย์สมบัติมาบริจาคให้แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก จนคนทั้งเมืองกล่าวขานกันว่า เสือร้ายกลายเป็นหงส์ เพราะไม่คิดว่าจักรพรรดิผู้สังหารชีวิตนับไม่ถ้วนในสงคราม สั่งประหารแม้แต่คนในครอบครัวของตนเอง จะหันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ช่วยเหลือราษฎรให้อยู่ดีกินดีเช่นนี้
    [​IMG]
    วันหนึ่งพระเจ้าเมี่ยวจวงก็ประกาสสละราชสมบัติอย่างเป็นทางการ มอบให้คณะอำมาตย์คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมต่อไป ส่วนพระองค์ได้พาสองพระธิดาผู้พ้นโทษและขุนนางผู้ภักดีอีกจำนวนหนึ่งติดตามภิกษุซ่านไฉ่ออกเรือสู่เกาะศักดิ์สิทธิ์

    จบตอนที่ ๒๙
    ติดตามต่อตอนที่ ๓๐ ผลกรรมแสดงฤทธิ์ และปาฏิหารย์แห่งการตั้งจิตภาวนา

    อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=04-2009&date=13&group=9&gblog=62

     

แชร์หน้านี้

Loading...