ความลับของจักรวาล ในพระไตรปิฏก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 13 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    [​IMG]

    ความลับของจักรวาล ในพระไตรปิฏก

    ขนาดของจักรวาล

    จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)
    ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น
    แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ
    คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
    ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

    ขนาดภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป
    อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี
    ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
    ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ
    ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป
    (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ
    ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่

    ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด
    ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง)
    ก็ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ
    ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป
    ก็แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูร
    ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป
    ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
    (ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา
    ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้
    [​IMG]

    ขนาดภูเขาจักรวาล

    ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์
    สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น
    ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่

    ขนาดของภพและทวีป
    ในโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็
    เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น
    ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐
    สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ
    ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)

    ๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง
    รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑
    ๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑
    ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง

    [​IMG]

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า
    จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน
    จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย
    นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น)
    มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ
    โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล
    โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล

    ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย
    "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
    กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า
    เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน
    ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว
    นรกขุมต่างๆ เทวโลก และพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

    กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา
    เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"

    กำเนิดชีวิตในจักรวาลอื่น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังถกเถียงกันอยู่ว่ามีหรือไม่มี ?
    และยังคงไม่มีใครสามารถสร้างเครื่องมือติดต่อค้นหาเพื่อตอบคำถามนี้ได้
    แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แน่นอนมากว่าสองพันปีแล้วว่า "มี"

    นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า "ดวงอาทิตย์ มีเส้นผ่าศูยน์กลางประมาณ ๑,๔๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร
    หรือโตกว่าโลกประมาณ ๑๐๙ เท่า มีน้ำหนักประมาณ ๒ x ๑,๐๓๐ กิโลกรัม (หรือ ๒๐ ตามด้วย ๐ จำนวน ๓๐ ตัว)
    เนื้อตัวทั้งหมดของดวงอาทิตย์เป็นธาตุไฮโดรเจนซึ่งเป็นธาตุเบา เผาไหม้ตัวเองด้วยปฏิกิริยา
    เทอร์โมนิวเคลียร์ จากภายในใจกลางออกมาไม่ใช่เผาไหม้เฉพาะพื้นผิว
    สิ้นมวลของตัวเองวินาทีละ ๔ ล้านตัน เผาไหม้อย่างนี้มาแล้ว ๕,๕๐๐ ล้านปี
    และจะเผาไหม้อย่างนี้ต่อไปอีก ๕,๕๐๐ ล้านปี" เมื่อเป็นเช่นนี้ลองคิดดูว่าวันหนึ่งมีกี่วินาที ?
    ต่อให้ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม น่าจะย่อยยับหมดสิ้นภายในวันเดียว
    แต่ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นก็ยังอยู่ยืนยาวมานานนับพันๆล้านปี โดยยังมีขนาดเท่าเดิม "
    นี้คือความมหัศจรรย์ที่ยังคงเหนือการพิสูจน์

    อีกอย่างหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนว่า "เวลาอันยาวนานในอนาคต
    ดวงอาทิตย์จะขยายตัวบวมขึ้นจนมีขนาดโตถึงวงโคจรของโลก
    แล้วกลืนกินโลกและดาวเคราะห์วงในทั้งหมด และเมื่อเวลายาวนานอีกต่อไป
    ก็จะค่อยๆยุบตัวลงกลายเป็นดาวแคระ คือจะมีขนาดเล็กลงเท่าโลกแต่มีความร้อนจัด
    ดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นดาวนิวตรอนที่มีขนาดเส้นผ่าศูยน์กลางเพียง ๒๕-๓๐
    กิโลเมตร และดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นหลุมดำ"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ในอนาคตอันยาวไกลในสุริยะจักรวาล จะมีดวงอาทิตย์เกิดขึ้น
    เองเพิ่มขึ้นทีละดวงๆ จนครบ ๗ ดวง แล้วเผาไหม้โลกและดาวเคราะห์บริวารทั้งหมด
    นรกทุกขุม สวรรค์ทุกชั้น และพรหมโลกชั้นต่ำๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์ทั้ง ๗ ดวงนั้น
    ก็พินาศไปด้วย แล้วก็จะมีแต่ความมืดมิดจนนานแสนนาน ก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่อีก" (สุริยะสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๘๓)

    นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย คือปุถุชนผู้ที่ยังมีกิเลสตัณหา ตั้งทฤษฎีมาจากการคาดคะเน
    การนึกคิด การเดา การสันนิษฐาน การค้นคว้าทดลอง การสังเกตจดจำ
    การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เป็นจำนวนมาก แต่ทฤษฎีเหล่านั้นก็ยังไม่ตายตัว
    พร้อมที่จะถูกลบล้างได้ตลอดเวลา
    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือบุคคลพิเศษ วิเศษ เป็นอัจฉริยะมนุษย์ เป็นบุคคลเอก
    ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นผู้สิ้นกิเลสตัณหา เป็นผู้มีญาณวิเศษรู้อดีต ปัจจุบัน
    และอนาคต เป็นผู้ตรัสรู้ เป็นผู้รู้แจ้งโลก ดังนั้นพระสูตรหรือทฤษฎีต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว
    จึงตายตัวไม่มีใครลบล้างได้

    [​IMG]

    ลักษณะของจักรวาล คือ มีเขาสิเนรุเป็นแกนกลาง มี เขาสัตตบริภัณฑ์ คือ เขาล้อมรอบ ๗ ชั้น
    ซึ่งมี สีทันดรมหาสมุทร คั่นอยู่ในระหว่าง ตั้งเป็นรูปร่างขึ้นไว้ก่อน ภูมิสวรรค์อยู่พ้นทวีปทั้งหลาย
    ซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ เช่น ชมพูทวีปซึ่งมีอินเดียเป็นศูนย์กลาง จึงอยู่พ้นป่าหิมพานต์
    พ้นภูเขาหิมวันตะหรือ หิมาลัย พ้นมหาสมุทรแห่งทวีปทั้งปวง แล้วถึงภูเขาสัตตบริภัณฑ์
    ตั้งต้นแต่ภูเขาสุทัสสนะ จนถึงภูเขาอัสสกัณณะ จึงเป็นอันถึงสวรรค์ชั้นที่ ๑ เพราะยอดเขา
    สัตตบริภัณฑ์เหล่านี้เองเป็นที่อยู่ของท้าวมหาราช ๔ องค์กับบริวาร นับเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑ เรียกว่า จาตุมหาราชิก

    ท้าวมหาราช ๔ องค์นี้ แบ่งกันครอบครอง ดั่งนี้

    ๑)ด้านทิศตะวันออกของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าวธตรัฏฐะ
    มีพวกคนธรรพ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นปุพพวิเทหทวีป)

    ๒)ด้านทิศใต้เป็นที่อยู่ของ ท้าววิรุฬหก มีพวกกุมภัณฑ์เป็นบริวาร
    (ถัดออกไปเป็นชมพูทวีป) พวกกุมภัณฑ์นี้ ท่านอธิบายว่าได้แก่ ทานพรากษส

    ๓)ด้านทิศตะวันตกของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าววิรูปักข์ มีพวกนาคเป็นบริวาร (ออกไปเป็น อมรโคยานทวีป)

    ๔)ด้านทิศเหนือของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าวกุเวร มีพวกยักษ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นอุตตรกุรุทวีป)

    ท้าวมหาราชที่ ๔ ครองอยู่ ๔ ทิศของเขาสิเนรุ มีกล่าวถึงใน อาฏานาฏิยสูตร
    หน้าที่ของท้าวมหาราชที่ ๔ และบริวารตามที่ได้กล่าวไว้ คือเป็นผู้รับด่านหน้า
    ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อป้องกันพวกอสูรซึ่งเป็นศัตรูของเทพชั้นดาวดึงส์จะ
    ยกมาตีเอาถิ่นสวรรค์ชั้นนั้น แต่ใน สุตตันตปิฎก ติกนิบาต ได้มีแสดงหน้าที่ให้
    เป็นผู้ตรวจ ซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์อีกด้วย แสดงเป็นพระพุทธภาษิตมีความว่า
    ในวัน ๘ ค่ำแห่งอมาตย์บริษัทของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๔ ค่ำแห่งปักข์
    บุตรทั้งของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๕ ค่ำแห่งปักษ์
    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูโลกเองว่าพวกมนุษย์พากันบำรุงบิดามารดา
    บำรุงสมณพราหมณ์ เคารพนบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล รักษาอุโบสถ ทำบุญกุศล
    มีจำนวนมากด้วยกันอยู่หรือ เมื่อตรวจดูแล้ว ถ้าเห็นว่ามีจำนวนน้อย ก็ไปบอกแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์
    ซึ่งประชุมกันใน สุธรรมสภา พวกเทพชั้นดาวดึงส์ เมื่อได้ฟังดั่งนั้นก็มีใจหดหู่ว่า ทิพยกายจักลดถอย
    อสุรกายจักเพิ่มพูน แต่ถ้าเห็นว่าพวกมนุษย์พากันทำดี มีบำรุงมารดาบิดาเป็นต้น เป็นจำนวนมาก
    ก็ไปบอกแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์เหมือนอย่างนั้น พวกเทพชั้นดาวดึงส์ก็พากันมีใจชื่นบานว่า
    ทิพยกายจักเพิ่มพูน อสุรกายจักลดถอย ๑
    [​IMG]

    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีหน้าที่เป็น จตุโลกบาล คือ เป็นผู้คุ้มครองโลกทั้ง ๔ ทิศ
    ตามที่เชื่อถือกันมาเก่าก่อนพระพุทธศาสนา แต่เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้ว
    พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลกไว้ ๒ ข้อ คือ หิริ
    ความละอายใจ ที่จะทำชั่ว โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว เพราะเหตุนี้
    จึงไม่กล่าวให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทำหน้าที่คุ้มครองโลกโดยตรง จะไม่กล่าวถึงเลย
    ก็จะขัดขวางต่อความเชื่อของคนทั้งหลายจนเกินไป จึงกล่าวเปลี่ยนไปให้มีหน้า
    ที่เที่ยวตรวจดูโลกมนุษย์ ว่าได้พากันทำดีมากน้อยอย่างไร แล้วก็นำไปรายงาน
    พวกเทพชั้นดาวดึงส์ พวกเทพชั้นนั้นได้รับรายงานแล้วก็เพียงแต่มีใจชื่นบานหรือ
    ไม่เท่านั้น เห็นได้ว่าท่านผู้รวบรวมร้อยกรองเรื่องนี้ไว้ในพระสุตตันตปิฎก ต้องการ
    จะรักษาเรื่องเก่าที่คนส่วนมากเชื่อถือ ด้วยวิธีนำมาเล่าให้เป็นประโยชน์ในทางตักเตือนให้ทำดี
    เหมือนอย่างที่มีคำเก่ากล่าวไว้ว่า ถึงคนไม่เห็น เทวดาก็ย่อมเห็น คือ สดงจตุโลกบาลที่
    เขาเชื่อกันอยู่แล้วในทางที่อาจเข้าใจเป็นธรรมาธิษฐาน ซึ่งเป็นข้อมุ่งหมายโดยตรง
    ถึงจะเชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริงและคอยมาตรวจดูโลกว่า ใครทำดีไม่ดีอย่างไรก็ไม่เสียหาย
    กลับจะดีเพราะจะได้เกิดละอายกลัวเกรงว่า จตุโลกบาลจะรู้จะเห็นว่าทำไม่ดี หรือไม่ทำดี
    เป็นอันหนุนให้เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นได้ ผู้ที่ไม่ยอดเชื่อเสียอีกอาจจะร้ายกว่า
    เพราะไม่มีที่ละอายยำเกรง เว้นไว้แต่จะมีภูมิธรรมในจิตใจดีอยู่แล้ว หรือมีที่ละอายยำ
    เกรงอย่างอื่นแทนอยู่ วันที่ท่านกล่าวว่าจตุโลกบาลมาตรวจดูโลก เดือนหนึ่งมีไม่กี่วัน
    ดูเหมือนจะน้อยไป แต่คงไม่หมายความว่าตรวจกรรมของคนเฉพาะวันนั้น วันอื่นไม่เกี่ยวข้องด้วย
    ควรเข้าใจว่า ตรวจดูรู้ย้อนไปถึงวันอื่นๆ ในระหว่างที่ไม่ได้ลงมานั้นด้วย ตัวของเราเองทุกๆ
    คนนึกย้อนตรวจดูกรรมของตนเองภายใน ๗ วันยังจำได้ ไฉนโลกบาลจะไม่รู้กรรมที่ตนเองทำ
    แม้จะลืมไปแล้ว โลกบาลก็ต้องรู้ เมื่อเชื่อว่าโลกบาลมีจริง ก็ควรจะเชื่ออย่างนี้ด้วย
    จึงจะเป็นโลกบาลที่สมบูรณ์ สรุปลงแล้วทำความเข้าใจว่า โลกบาลมาตรวจตราดูที่จิตใจนี้เอง
    จะเกิดประโยชน์มาก.

    ตามหลักในการจัดภูมิต่างๆ สัตว์ดิรัจฉานเป็นอบายภูมิต่ำกว่าภูมิมนุษย์และสวรรค์
    พระอาจารย์จึงกล่าวว่าในสวรรค์ไม่มีสัตว์เดียรัจฉาน การเกิดในสวรรค์ เกิดโดยอุปปาติก
    กำเนิดอย่างเดียว จึงน่ามีปัญหาว่า พวกนาคซึ่งเป็นบริวารของท้าวมหาราชจะจัดว่าเป็นภูมิอะไร
    นอกจากนี้ บริวารของท้าวมหาราชจำพวกอื่น เช่น พวกกุมณฑ์ ก็มีลักษณะพิกล
    ยักษ์บางพวกก็ดุร้าย เป็นผีเที่ยวสิงมนุษย์ก็มี ดูต่ำต้อยกว่าภูมิมนุษย์
    แต่ก็อยู่ในสวรรค์ชั้นหนึ่งนี้ด้วย ตามที่กล่าวมานี้ น่าเห็นว่าเก็บเอามาจากเรื่องเก่าๆ
    จึงฟังไม่สนิทตามหลักการจัดภูมิต่าง ๆ ดั่งกล่าว

    [​IMG]

    ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่อินเดีย-เนปาล
    อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ดังมีหลักฐานที่พระพุทธเจ้าแสดงดังนี้

    ทวีปต่างๆในจักรวาล

    ๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
    -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
    -แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
    -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาด
    ต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
    -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป"
    เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"
    -ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น

    ๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
    -มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
    -มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"

    ๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
    -มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้า
    และมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์
    มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
    -มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"

    ๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
    -มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้า
    และมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ
    ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)"
    ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
    -ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"

    [​IMG]

    มหาสากลจักรวาล


    ความเป็นจริงทางโลก


    ในสากลจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์มากมาย เหนือความสามารถของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ที่จะรับรู้ได้ นอกจากบุคคลที่มีจิตมั่นคง มีอำนาจสมาธิ จึงจะรับรู้สิ่งอัศจรรย์ที่มีอยู่ในสากลจักรวาล ที่นอกเหนือจากจักรวาลของมนุษย์เรานี้ ถ้าเรามองดูท้องฟ้าในคืนที่ปราศจากเมฆ จะเห็นดวงดาวเต็มไปทั่ว ซึ่งเป็นกลุ่มดาวขนาดเล็ก ๆ ของระบบสุริยะ (Solar System) มีความกว้าง 40,030 ปีแสง มีดาวประมาณ 10<SUP>9</SUP> ดวงหรือหนึ่งพันล้านดวง นับเป็นหน่วยย่อยที่เล็กมาก เมื่อเทียบกับจำนวนมหาศาลแห่งสากลจักรวาล


    นักดาราศาสตร์คำนวณว่า มีหมู่ดาวขนาดใหญ่อยู่ประมาณ 10 ล้านหมู่ และแต่ละหมู่มี 1 หมื่นแกแลคซี่ รวมกันแล้วมีถึง 10<SUP>11</SUP> แกแลคซี่หรือหนึ่งแสนล้านแกแลคซี่ แต่ละแกแลคซี่มี 10<SUP>11</SUP> ดวงดาวหรือหนึ่งแสนล้านดวง นอกจากดวงดาว ยังพบมวลสารใหญ่น้อย อีกมากมายเหลือคณานับ


    ที่น่าประหลาดก็คือ ทำไมสิ่งเหล่านี้ในจักรวาลของเรา จึงอยู่กันอย่างมีระเบียบ มีการเคลื่อนไหวโคจรที่ค่อนข้างคงที่ ทำให้นักดาราศาสตร์ สามารถคำนวณระยะทาง เวลา และทิศทางของดวงดาวได้อย่างแม่นยำ การที่จะเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น การชนกัน ก็มีน้อยมาก นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ได้อธิบายและยอมรับกันว่า มันเป็นไปโดยกลไกแห่งแควนตัม (Quantum Mechanics) ได้ตั้งขึ้นเป็นทฤษฎี เมื่อ ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) และนักวิทยาศาสตร์ได้พบว่ามีพลังควบคุมระหว่างกันและกันอยู่ ต่างให้แรงดึงดูด และแรงผลักที่มีดุลถ่วงกันพอดี มีผู้คำนวณว่าถ้าความพอดีนี้ ถูกกระทบกระเทือนด้วยแรงเพียงเล็กน้อย ก็จะเกิดการเสียดุล จะเกิดการโกลาหลในห้วงจักรวาลทันที พลังมหาศาลที่ควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาลนี้เรียกว่า พลังคอสมิค (Cosmic Energy)

    โลกใบนี้ของมนุษย์เป็นดาวเคราะห์บริวารของดวงอาทิตย์ ซึ่งได้รับรังสีรัศมีจากดวงอาทิตย์ และบางส่วนก็ได้พลังจากดาวนพเคราะห์ เช่น ดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ที่รับพลังจากดวงอาทิตย์แล้ว นำไปผสมกับแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ สัตว์ พืช และทุกสิ่งที่ไม่มีชีวิต รวมทั้งแร่ธาตุอัญมณีต่าง ๆ ที่สามารถดูดซับพลังคอสมิคนี้ รวมทั้งแรงสั่นสะเทือนได้ตลอดเวลา


    สำหรับมนุษย์เองจะมีรังสีรัศมีจากกายในที่เรียกว่ากายทิพย์ เป็นคลื่นอนุภาคเหนือการรับรู้ของมนุษย์ในสภาพปกติ รังสีรัศมีนี้เป็นคลื่นสั่นสะเทือนจากอำนาจสมาธิจิต ที่เชื่อมโยงกับอนุภาคของจักรวาล และจะดูดซับพลังที่มีคุณค่ามหาศาลนี้ เข้าและออกจากร่างกายได้ตลอดเวลา รังสีรัศมีเหล่านี้ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะใช้เป็นพลังงาน นั่นคือพลังคอสมิค ที่มีอยู่หนาแน่นรอบตัว พร้อมที่จะพุ่งเข้าสู่ภายในกาย เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต เพื่อซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดบกพร่อง เพื่อขจัดตัวเชื้อโรคเช่นไวรัสต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ สัตว์ และพืช นี่คือกลไกระบบของจักรวาล แห่งโลกมนุษย์ใบนี้

    ความเป็นจริงทางธรรม
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสรู้ และรู้แจ้งถึงความเป็นจริงของธรรมชาติ ในมหาสากลจักรวาล พระองค์ท่านได้สั่งสอนเรื่องของบาป บุญ คุณ โทษ สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ทรงแสดงกำเนิดของสัตว์ นรก เปรต อสูรกาย ที่จะต้องไปทนทุกข์ทรมาน ตามกรรมที่ทำมาในอีกหลาย ๆ จักรวาลที่เป็นภพภูมิของสัตว์นรก ซึ่งหมายถึงจักรวาลเหล่านั้น มีแต่ความเดือดร้อน ทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นนิจ สัตว์นรกเหล่านั้นได้แต่คร่ำครวญ ร่ำไห้ด้วยความทุกข์ ด้วยถูกไฟเผาตามทวารทั้ง 9


    บางจักรวาลเต็มไปด้วยฝูงสัตว์นรก ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ด้วยการไต่บนภูเขาเหล็กที่ร้อนแรง แล้วก็หล่นลงเบื้องล่าง ด้วยอำนาจของลมและไฟ ลงระหว่างแท่งเปลวไฟที่ร้อนแรง สัตว์นรกมีแต่ความทุกข์ที่ไม่มีว่างเว้นเลย เหตุของกรรมที่ก่อในขณะที่เป็นมนุษย์อยู่ โดยการทำลายลูกในครรภ์ของตน ไม่เชื่อในบุญบาป ไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก ไม่มีศีลไม่มีสัตย์ มนุษย์เหล่านี้ เมื่อถึงกาลกิริยา ก็ต้องไปเกิดในจักรวาลที่มีแต่ความทุกข์ มากน้อย ตามแต่ละจักรวาลที่ตนจะต้องไปรับกรรม

    บางจักรวาลก็เป็นภพภูมิของเปรต ซึ่งเปรตเหล่านี้มีความเดือดร้อนอดอยาก หิวโหย ไม่สามารถรับบุญกุศลที่ญาติมิตรได้อุทิศให้ ต้องทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นกรรม เปรตบางจำพวกที่มีรูปร่างเล็ก มีอำนาจอยู่บ้าง อาศัยอยู่ในจักรวาลของมนุษย์ เช่น อยู่ตามป่าเขา ตามต้นไม้ และตามศาลที่มนุษย์ปลูกสร้างไว้ มีฤทธิ์อำนาจที่จะแสดงได้ตามสมควร ซึ่งบางครั้ง ก็ทำให้มนุษย์หลงเชื่อว่า เป็นเทพเทวดาไปก็มี และก็มีมนุษย์บางจำพวก ที่ได้รับอุบัติเหตุโดยไม่รู้ตัว ถึงแก่ความตายกะทันหัน จิต เจตสิก และกายทิพย์ไม่สามารถ ที่จะไปสู่จักรวาลอื่นตามผลกรรมที่ทำไว้ เมื่อพ้นจากกายมนุษย์ที่ตนอาศัย ก็เกิดทันทีที่เราเรียกว่า สัมภเวสี โอปาปาติกะ อยู่ในอีกมิติหนึ่งใกล้เคียงกับมนุษย์ พวกนี้บางคนเมื่อเป็นมนุษย์ มีจิตใจชั่วร้าย เมื่อตายไปหาที่เกิดใหม่ไม่ได้ หรือลงไปเสวยกรรมในจักรวาลนรก ก็วนเวียนทนทุกข์ทรมานในโลกของจักวาลนี้อยู่ พวกนี้ยังมีจิตชั่วร้าย ก็คอยกลั่นแกล้งเข้าสิงมนุษย์ ทำให้เจ็บป่วยพิกลพิการก็มีอยู่มากมาย

    พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงผลของบาปไว้อย่างชัดเจน สำหรับบุคคลที่เมื่อมีชีวิตอยู่ ได้ประกอบกรรมทำความชั่วร้ายไว้มากมาย ก็ต้องไปเกิดในจักรวาล ที่เรียกว่า นรก ซึ่งมีอยู่หลายแสนจักรวาล ที่มนุษย์จะต้องเสวยกรรม ในแต่ละจักรวาลตามกรรมชั่วของตน

    ส่วนจักรวาลที่เรียกว่าภพภูมิที่ดีมีความสุข เป็นที่เกิดของมนุษย์ที่ประพฤติสุจริตด้วยกุศล ผู้ที่ปฏิบัติชอบ บำเพ็ญตบะ ถือศีลเจริญสมาธิ เรียกว่า จักรวาลแห่งสุคติภูมิ มี 3 ภูมิคือ
    1. กามสุคติภูมิ มี 7 ภูมิจักรวาล
    2. รูปาวจรภูมิ มี 16 ภูมิจักรวาล
    3. อรูปาวจรภูมิ มี 4 ภูมิจักรวาล


    1. กามสุคติจักรวาล
    ได้แก่ มนุษย์ และสัตว์ที่บังเกิดในจักรวาลนั้น เนื่องจากเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา มีอยู่ 7 ภูมิ
    มนุษย์ภูมิ 1 เทวภูมิ 6 ได้แก่
    1. จาตุมหาราชิกาภูมิ
    2. ตาวติงสาภูมิ
    3. ยามาภูมิ
    4. ดุสิตตาภูมิ
    5. นิมมานรตีภูมิ
    6. ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ

    มนุษย์ภูมิ คือ จักรวาล เป็นที่อยู่ที่อาศัยของคนทั้งหลาย เรียกว่า ทวีปใหญ่หรือพื้นแผ่นดินทั้ง 4 ทิศ คือ
    1. อุตตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือ มนุษย์ในทวีปนี้มีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม มีการรักษาศีล 5 มีคุณสมบัติ 3 ประการคือ
    1) ไม่ยึดถือเอาทรัพย์สินเงินทองเป็นของตน
    2) ไม่มีการยึดถือในบุตร ภริยา สามี ว่าเป็นของตน
    3) มีอายุยืน 1,000 ปี
    2. ปุพพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออก ใบหน้ากลมคล้ายบาตรมีอายุยืน 700 ปี
    3. อปรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตก มีใบหน้ากลมคล้ายพระจันทร์ อายุ 500 ปี
    4. ชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ มีใบหน้ารูปไข่ จิตใจของมนุษย์ในทวีปนี้ มีความกล้าแข็งทั้งฝ่ายด ีและฝ่ายไม่ดี ถ้าอยู่ในฝ่ายดี ก็จะมีอายุยืนยาว สามารถบำเพ็ญบารมีสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ตลอดจนเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ มนุษย์มีชื่อว่ามีความเข้าใจ รู้ในเหตุที่ควรและไม่ควร ถ้าอยู่ในฝ่ายไม่ดี ก็จะอายุสั้น และเมื่อตายลงก็จะไปยังจักรวาลนรก อายุขัยของมนุษย์ภูมินี้มีประมาณ 80 ปี

    จักรวาลของเทวภูมิทั้ง 6

    1. จักรวาลแห่งภูมิเทวดาชั้นที่ 1 คือ จาตุมหาราชิกาภูมิ มีเทวดา 4 องค์
    1) ท้าววธตรัฎฐิ อยู่ทางทิศตะวันออก
    2) ท้าววิรุฬหก อยู่ทางทิศใต้
    3) ท้าววิรูปักขะ อยู่ทางทิศตะวันตก
    4) ท้าวกุเวระหรือท้าวเวสสุวรรณ อยู่ทางทิศเหนือ

    ทั้ง 4 องค์ เป็นผู้ดูแลรักษามนุษย์ในโลกนี้ด้วย มีชื่อว่า ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ทรงปกครองดูแลมนุษย์ และเทวดาที่มีที่อยู่อาศัยดังนี้
    เทวดาที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน เรียกว่า ภูมมะเทวดา
    เทวดาที่อยู่ที่ต้นไม้ เรียกว่า รุกขะเทวดา
    เทวดาที่อยู่ในอากาศ เรียกว่า อากาสะเทวดา
    และยังมีเทวดาในภพภูมิจักรวาลชั้นต่ำนี้ที่มีความโหดร้ายอีก 4 จำพวก ได้แก่

    1. เทวดาคันธัมมะ ที่สิงสถิตอยู่ภายในต้นไม้มีกลิ่นหอม เรียกว่า นางไม้ ชอบรบกวน มนุษย์ให้เกิดอุปสรรคขัดข้อง ทำให้เกิดเจ็บป่วย ทำให้ทรัพย์สมบัติเสียหายกับมนุษย์ผู้นั้น ที่นำไม้ที่มีนางไม้ของตนอาศัยอยู่มาใช้หรือนำมาปลูกบ้านเรือน
    2. เทวดากุมภัณฑ์ เป็นเทวดาที่รักษาสมบัติ เพชร พลอย รักษาป่า ภูเขา แม่น้ำ ถ้ามนุษย์ทำล่วงล้ำก้ำเกินก็ให้โทษต่าง ๆ
    3. เทวดานาค (นาคี) มีวิชาเวทมนต์คาถาต่างๆ ท่องเที่ยวอยู่ในจักรวาลของมนุษย์ บางทีก็เนรมิตเป็นคนหรือสัตว์สำแดงฤทธิ์ได้
    4. เทวดายักษ์ พอใจที่เบียดเบียนสัตว์นรก เทวดา และมนุษย์
    ซึ่งเทวดาทั้ง 4 ภูมินี้ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดตลอดไป
    อายุโดยประมาณของเทพเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา นับได้ 500 ปีทิพย์ เทียบอายุมนุษย์ได้ประมาณ 9 ล้านปี


    2. จักรวาลแห่งภูมิเทวดาชั้นที่ 2 คือ ตาวติงสาภูมิ เป็นที่อยู่ของมนุษย์ที่ทำกุศลในการสร้างถนนหนทาง ทำความสะอาดให้กับชุมชน ตั้งโรงทานเลี้ยงดูผู้คนที่อดอยาก ตั้งน้ำสะอาดให้ผู้คนได้ดื่มกิน สร้างศาลาที่พักให้ผู้สัญจรไปมา เมื่อถึงอายุขัยก็มาเกิดในชั้นที่ 2 นี้ ผู้ที่เป็นผู้นำทำการกุศลได้เกิดเป็นพระอินทร์ ผู้ที่เข้าร่วมได้บังเกิดเป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด ความเป็นอยู่ของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ หรือ ตาวติงสา ล้วนแต่เป็นผู้ผู้เสวยทิพย์สมบัติจากบุญกุศลในอดีตของตน มีความเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่มีความเจ็บไข้ บริโภคอาหารที่เป็นทิพย์ พร้อมทั้งวิมานเป็นที่อยู่ของตน มีรัศมีสว่างไกลถึง 100 โยชน์ และผู้ที่จะเกิดเป็นพระอินทร์ มีศักดิ์ใหญ่ในชั้นดาวดึงส์นั้นต้องประกอบด้วยคุณธรรม 7 ประการ คือ
    1) เลี้ยงดูบิดามารดา
    2) เคารพต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
    3) มีวาจาอ่อนหวาน
    4) ไม่กล่าวเท็จส่อเสียดนินทา
    5) ไม่มีความตระหนี่เหนียวแน่น ใจคับแคบ
    6) มีแต่ความซื่อสัตย์สุจริต
    7) ระงับความโกรธได้

    3. จักรวาลแห่งสวรรค์ชั้นที่ 3 ยามาภูมิ จักรวาลแห่งนี้ เป็นภูมิที่มีความสวยงามประณีตกว่าชั้นตาวติงสา จึงปราศจากความลำบากมีแต่ความสุขสำราญ มีความรื่นรมย์ที่เป็นทิพย์ มีวิมานที่งดงาม ทิพย์สมบัติและร่างกายของเทพเทวดาชั้นนี้สวยงามประณีต อายุยืนยาวกว่าชั้นตาวติงสามาก ยามาภูมินี้มีบริเวณแผ่กว้างไพศาล เสมอด้วยกำแพงจักรวาล มีวิมานอันเป็นที่อยู่ของเทพเทวดายามานี้อยู่ทั่วบริเวณ ผู้ที่ได้มาเกิดในชั้นยามานี้เป็นมนุษย์ที่ได้ประกอบกรรมดี มีใจเป็นกุศล มีใจช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก รักษาดูแลผู้เจ็บป่วยด้วยจิตที่เมตตา ทำทานด้วยใจบริสุทธิ์ ทำกุศลให้เจริญตลอดกาล เมื่อถึงกาลกิริยาก็จะมาเกิดในชั้นยามาจักรวาลนี้ด้วย
    เทพเทวดาชั้นยามามีกำหนดอายุโดยประมาณได้ 2 พันปีทิพย์ อายุยืนกว่าเทพเทวดาในชั้นตาวติงสา 4 เท่า


    4. จักรวาลแห่งสวรรค์ชั้นที่ 4 ดุสิตาภูมิจักรวาลแห่งดุสิตาภูมินี้ เป็นภูมิสวรรค์ที่ปราศจากความร้อนใจ มีความยินดีแช่มชื่นอารมณ์ในทิพย์สมบัติของตนอยู่ตลอดเวลา เป็นสวรรค์ภูมิ เป็นที่อยู่ของเทพเทวดาที่มีปัญญาเฉลียวฉลาด จากการได้เจริญสมาธิเมื่ออยู่ในภูมิมนุษย์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายทุกพระองค์ก่อนที่จะมาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ย่อมจะเกิดอยู่ในดุสิตาภูมินี้เป็นภพสุดท้าย ฉะนั้นเทพเทวดาในชั้นนี้จึงนับว่าเป็นภูมิที่ประเสริฐกว่าเทวดาภูมิชั้นอื่น ๆ
    เทพเทวดาในชั้นจักรวาลดุสิตานี้ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ได้ประกอบกรรมดี รักษาศีล มีจิตใจกล้าแข็งในการบำเพ็ญทาน มีสติตั้งมั่น เพียรเจริญสมาธิ ศึกษาในพระธรรม เพื่อรู้แจ้งในปัญญา ทำกุศลในพุทธศาสนาตลอด
    เทพเทวดาในชั้นดุสิตา มีอายุประมาณ 4 พันปีทิพย์ อายุยืนกว่าชั้นยามา 2 เท่า


    5. จักรวาลสวรรค์ชั้นที่ 5 นิมานรติภูม เป็นจักรวาลสวรรค์ชั้นที่ 5 เทพเทวดาที่เกิดในสวรรค์ชั้นนี้ มีความสนุกเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง 5 ที่ตนสามารถเนรมิตขึ้นมาได้ตามความพอใจของตน ในเทวภูมิตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ตาวติงสา ยามาและดุสิตา ทั้ง 4 ภูมิสวรรค์นี้ บรรดาเทพเทวดาทั้งหลายที่สถิตอยู่ ย่อมมีคู่ครองของตนเป็นประจำอยู่มากบ้างน้อยบ้าง ตามบุญญาธิการแห่งตน แต่ในชั้นนิมานรติ ไม่มีคู่ครองประจำ เทพบุตรหรือเทพธิดาในชั้นที่ 5 นี้ เวลาใดที่ปรารถนาใคร่เสพกามคุณ เวลานั้นก็เนรมิตเทพบุตรหรือเทพธิดาขึ้นมาตามความปรารถนาและเมื่อได้เพลิดเพลินกับกามคุณสมใจแล้ว สิ่งที่เนรมิตขึ้นมาก็หายไป
    นิมานรติภูมิจักรวาลนี้ อยู่เหนือจักรวาลของดุสิตาขึ้นไป เทพเทวดาที่อยู่ในชั้นนี้มีร่างกายสวยงามประณีตกว่าเทวดาชั้นดุสิตา มีอายุขัยยืนยาวกว่าเทวดาในชั้นดุสิตา 4 เท่า


    6. จักรวาลสวรรค์ชั้นที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ เป็นจักรวาลชั้นที่ 6 เป็นภูมิที่เทพเทวดามีความสุขความเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง 5 เมื่อปรารถนาใคร่เสวยกามคุณเมื่อใด เทพเทวดาองค์อื่นรู้ใจคอยปรนนิบัติ โดยเนรมิตให้ตามความต้องการ มีผู้คอยรับใช้ให้เสวยสุขอยู่ตลอดเวลา วิมานที่อยู่ทิพย์สมบัติ ร่างกายมีความสวยงาม ประณีตมากกว่าเทพเทวดาชั้นที่ผ่านมา มีอายุยืนยาวเป็นยอดจักรวาลแห่งเทวดาภูมิทั้งหลายในจักรวาลสวรรค์
    การเสวยกามคุณของเทพเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาและตาวติงสา ทั้งสองจักรวาลสวรรค์นี้ มีความประพฤติเป็นไประหว่างเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลาย เหมือนกับความประพฤติของพวกมนุษย์
    การเสวยการคุณของเทพเทวดาชั้น ดุสิตา นั้น เพียงแต่ใช้สัมผัสมือต่อกันก็สำเร็จกามกิจ
    การเสวยกามคุณขององค์เทพเทวดาชั้น นิมมานรติ มีการแลดูและส่งยิ้มให้แก่กันก็สำเร็จกามกิจ
    การเสวยกามคุณของเทพเทวดาชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี เพียงใช้สายตาจ้องดูกันก็สำเร็จกามกิจ แปลความว่า บรรดาเทพเทวดาทั้ง 4 ชั้นที่กล่าวมา ย่อมเสวยกามคุณด้วยการจับคู่ เช่นเดียวกับมนุษย์นั่นเอง แต่สำหรับพวกสัตว์นรกและพวกเปรตนั้น ในสองจำพวกนี้ไม่มีการเสพกามคุณกันเลย เพราะทั้งสองจำพวกนั้น ต้องเสวยทุกข์เวทนาแสนสาหัส ในจักรวาลแห่งนรก จนไม่มีเวลาที่จะนึกถึงกามคุณได้เลย
    เทพเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีมีอายุยืนยาว 1 หมื่น 6 พันปีทิพย์
    เทวดานุสติ

    เรื่องควรระลึกของสติแสดงไว้ 10 ประการ ในจำนวนนี้มีเทวดานุสติอยู่ประการหนึ่ง ให้ความระลึกถึงคุณของเทพเทวดาเป็นอารมณ์ของสมถะภาวนาที่ทำจิตให้สงบ ทั้งนี้เพราะเทพเทวดาทั้งหลาย ที่เกิดได้ด้วยอานิสงส์ผลบุญ 7 ประการ ได้แก่ ศรัทธา ศีล จาคะ สุตะ ปัญญา หิริและโอตตัปปะ
    เมื่อมีสติระลึกรู้คุณของเทพเทวดาเป็นสมาธิ ย่อมบังเกิดเป็นกุศล มีความอิ่มเอิบใจ สามารถลดละเลิกกิเลสตัณหาลงได้

    ในอังดุตตรบาลี แสดงไว้ว่า การเคารพเทพเทวดาที่สถิตอยู่ในบ้านเรือนในโบสถ์ วิหาร ในพระมหาเจดีย์ ย่อมเป็นมงคล

    ในรัตนสูตร แสดงว่าผู้กระทำสักการะบูชาเทพเทวดาทั้งปวงนั้นย่อมได้รับเมตตาจิตจากท่าน


    จักรวาลแห่งรูปาวจรภูมิ
    จักรวาลแห่งรูปาวจรภูมิ เป็นที่เกิดของพระพรหมที่มีรูปร่างลักษณะเป็นบุคคลผู้เจริญด้วยคุณวิเศษ มีฌาน เป็นต้น

    ความเจริญมี 2 ทางคือ

    ความเจริญทางโลก ได้แก่ มีความบริสุทธิ์ด้วยอายุ วรรณ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนาสารสมบัติ

    ความเจริญทางธรรม ได้แก่ ความเจริญของจิตใจ ตั้งอยู่ในกุศลธรรมมีทาน ศีล ภาวนา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา พรหมวิหาร 4 ฌาน อภิญญา มรรค ผล นิพพาน

    สำหรับรูปาวจรพรหม มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม บรรดารูปพรหมทั้งหลายมีอายุยืนยาว มีผิวพรรณผ่องใส มีรังสีรัศมี กายงดงาม มีความสุขอันประณีต มีร่างกายแข็งแรง มีวิมานอันเป็นที่อยู่วิจิตรตระการตา มีบริวารติดตาม พรหมสมบัติเหล่านี้มีความประเสริฐกว่าสมบัติของเทพเทวดาในชั้นเทวภูมิทั้ง 6


    จักรวาลของพรหมปาริสัชชา
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมชั้นธรรมดา ไม่มีอำนาจอิทธิฤทธิ์ เป็นบริวารของมหาพรหม


    จักรวาลของพรหมปุโรหิต
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมปุโรหิต คือ พรหมผู้มีตำแหน่งฐานะสูง เป็นที่ปรึกษาและเป็นผู้นำในกิจการทั้งหลายของมหาพรหม


    จักรวาลของมหาพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของมหาพรหม ที่มีความเจริญด้วยคุณวิเศษ โดยมีพรหมปาริสัชชาและพรหมปุโรหิตเป็นบริวาร พรหมทั้ง 3 นี้ อยู่ในพื้นที่ชั้นผู้ที่บำเพ็ญเพียรในสมาธิได้ขั้นปฐมฌาน ได้ฌานขั้นแรก มีพรหมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีท้าวมหาพรหมที่เป็นใหญ่ในปฐมฌานภูมิทั้ง 3 นั้นเพียงองค์เดียว


    จักรวาลแห่งปริตตาภาพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมปริตตาภาที่อยู่เหนือเบื้องบนภูมิอื่น ๆ เป็นพรหมที่อยู่ในทุติยฌานภูมิ


    จักรวาลแห่งอัปปมาฌาภาพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมอัปปมาฌาภา พรหมที่มีรัศมีรุ่งโรจน์หาประมาณมิได้ เป็นชื่อของพรหมที่อยู่ในทุติยฌานภูมิ


    จักรวาลแห่งอาภัสสราพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมอาภัสสราที่มีรังสีรัศมีแผ่ซ่านออกมาจากกาย อาภัสสราพรหมเหล่านี้ ล้วนมีความยินดีในฌานของตนเป็นอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยอำนาจของปิติอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จิตใจของอาภัสสรามีความผ่องใสมาก จิตรูปก็มีความผ่องใส ทำให้เห็นรัศมีแผ่ซ่านสว่างไสวออกจากกาย จากการบำเพ็ญเพียรฌานถึงทุติยฌานภูมิ


    จักรวาลของปริตตสุภาพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมที่มีรัศมีสวยงาม ชื่อว่า ปริตตสุภาพรหม ปฏิสนธิในในภูมิตติยฌาน


    จักรวาลของอัปปมานะสุภาพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมอัปปมานะสุภา โดยปฏิสนธิในตติยฌานภูมิ มีรัศมีกายสวยงาม หาประมาณมิได้


    จักรวาลของสุภภิณหาพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมสุภภิณหา โดยปฏิสนธิในตติยฌานภูมิ รัศมีร่างกายมีลักษณะคล้ายรัศมีของดวงจันทร์ เปล่งรัศมีรวมกันอยู่เป็นวงกลมสวยงามตลอดร่างกาย

    ปริตตสุภาพรหม อัปปมานะสุภาพรหม และสุภภิณหาพรหม ทั้งสามองค์ปฏิสนธิในตติยฌานภูมิ ตั้งอยู่ในระดับเดียวกัน สำเร็จด้วยรัตนะทั้ง 7 พรั่งพร้อมด้วยวิมาน สวน สระ โบกขรณี และต้นกัลปพฤกษ์


    จักรวาลแห่งเวหัปผลพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมเวหัปผลาพรหม เป็นภูมิที่มีผลไพบูลย์ พ้นจากอำนาจอันตรายใดจากผลของกุศล เป็นจักรวาลที่มีความมั่นคงไม่หวั่นไหวเป็นพิเศษ เป็นจักรวาลที่พ้นจากการถูกทำลายจาก ไฟ น้ำ ลม ฉะนั้นเวหัปผลาพรหมที่สถิตอยู่ในจักรวาลแห่งนี้จึงมีอายุขัยเต็ม 500 มหากัป ทุกองค์ไปด้วยอำนาจบารมีของปัญจมฌานกุศลที่เกิดพร้อมด้วยอุเบกขา


    จักรวาลแห่งอสัญญสัตตาพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของอสัญญสัตตาพรหม ที่มีรูปแต่อย่างเดียว อันเป็นผลของปัญจฌานกุศลเป็นไปพร้อมกับสัญญาวิราดภาวนา มีความต้องการแต่รูปอย่างเดียว


    จักรวาลแห่งสุทธาวาสพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของผู้บริสุทธิ์จากกามราคะ ได้แก่ พระอนาคามี และพระอรหันต์ทั้งหลายที่ได้ปัญจฌาน

    จักรวาลแห่งสุทธาวาสภูมิมี 5 ชั้น คือ อวิหาภูมิ อตัปปาภูมิ สุทัสสาภูมิ สุทัสสีภูมิ และอกนิฏฐาภูมิ แต่ละภูมิจักรวาลสูงกว่ากันอีกขั้นละ 5 ล้าน 5 แสน 8 พันโยชน์ ตามลำดับ คือ


    จักรวาลแห่งอวิหาพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพวกพรหมที่ยึดมั่นในสถานที่ ยึดมั่นในสมบัติของตนไม่เสื่อมถอยจนหมดอายุขัย ทิพย์สมบัติต่าง ๆ ของอวิหาพรหมเหล่านี้ย่อมบริบูรณ์อยู่เสมอตลอดอายุขัยไม่มีการเปลี่ยนแปลง


    จักรวาลแห่งอตัปปาพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมที่มีแต่ความสงบเยือกเย็นไม่เดือดร้อนใจ บรรดาอตัปปาพรหมทั้งหลายมีความเพียรในการเข้าฌาน จึงมีแต่ความสงบไม่มีความเร่าร้อนใจ


    จักรวาลแห่งสุทัสสาพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมที่มีรัศมีร่างกายที่สวยงามมาก ผู้ใดพบเห็นย่อมเกิดความสุขใจ พรหมเหล่านี้มีร่างกายผ่องใสสวยงามมาก บริบูรณ์ด้วยปราสาทจักขุ ทิพย์จักขุ ธรรมจักขุ ปัญญาจักขุ อนึ่ง ตาของพรหมสุทัสสานี้มีอำนาจเห็นไกลสุดมหาจักรวาล


    จักรวาลแห่งสุทัสสีพรหม
    เป็นจักรวาลที่สถิตของพรหมที่มีความบริบูรณ์ยิ่งกว่าสุทัสสาพรหมชื่อสุทัสสีพรหม มีความบริบูรณ์ด้วยจักขุทั้ง 4 มีกำลังแก่กล้ายิ่งกว่า แต่สำหรับธรรมจักขุนั้นมีกำลังเสมอกัน


    จักรวาลแห่งอกนิฏฐาภูมิ
    ในจักรวาลแห่งสุทธาวาสภูมิทั้ง 5 นี้ อกนิฏฐาภูมิเป็นภูมิที่สูงที่สุด เป็นที่สถิตของ อกนิฏฐาพรหม ที่ชื่อว่าเป็นพรหมที่มีคุณธรรมสูง เจริญด้วยคุณธรรม คือ ศีลคุณ สมาธิคุณ และปัญญาคุณ ยิ่งกว่ารูปพรหมในจักรวาลอื่นทั้งปวง จะไม่ไปเกิดในจักรวาลใด ๆ ในสากลจักรวาล จึงต้องปรินิพพานในจักรวาลของอกนิฏฐาภูมินั่นเอง

    รายละเอียดจักรวาลต่าง ๆ ในสากลจักรวาลต่าง ๆ ในสากลจักรวาลที่แสดงโดยย่อมานี้ จากคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้ในธรรมชาติของสากลจักรวาลที่มีมากมายเหลือคณานับ ซึ่งมนุษย์ในโลกของจักรวาลนี้ได้เรียนรู้ และแน่ใจว่าไม่ใช่จะมาเกิด มาตายในโลกนี้โลกเดียว พระองค์ท่านได้แสดงถึงจักรวาลแห่งภูมิของเทพเทวดาโดยละเอียด พระองค์ท่านแสดงปฐมเทศนาในวันนั้น ก็มีลำดับถึงชั้นของเทพเทวดาจนถึงรูปพรรณ อรูปพรรณ แสดงถึงจักรวาลของอบายภูมิที่เป็นที่เกิดของมนุษย์ สัตว์ ที่กระทำบาปไว้อย่างชัดเจน ฉะนั้นเป็นที่แน่นอนว่ามนุษย์ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นธรรมดา จนกว่าจะบำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุถึงนิพพาน


    เวลาแห่งการพินาศของโลก
    ก่อนถึงกาลที่โลกมนุษย์จะพินาศ จะมีเหตุเกิด 3 ประการคือ


    1. โลภเหตุ ในยุคสมัยที่มนุษย์สัตว์ทั้งหลายมีสันดานหนาแน่นด้วยความโลภ มีกามราคะ ยุคสมัยนั้นโลกมนุษย์ย่อมถึงคราวต้องพินาศเดือดร้อนด้วยไฟ เพราะเหตุด้วยอำนาจราคะนั้นร้อนแรงเหมือนไฟ


    2. โทสะเหต สมัยใดมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายมีสันดานมากด้วยโทสะ ยุคนั้น สมัยนั้นโลกมนุษย์ย่อมถึงคราวพินาศลงด้วยน้ำ เพราะเหตุของโทสะ ย่อมกัดกร่อนจิตใจคล้ายน้ำกรดที่กัดกร่อนโลหะให้ละลายสลายตัวไป ด้วยเหตุนี้โทสะจึงร้อนแรงเหมือนน้ำกรดฉะนั้น


    3. โมหะเหตุ สมัยใดยุคใดที่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายมีนิสัยสันดานที่มากไปด้วยโมหะ ยุคนั้นสมัยนั้นโลกย่อมถึงคราวพินาศลงด้วยลม เพราะเหตุด้วยโมหะนั้นแผ่ขยายครอบงำจิตใจมนุษย์ และสัตว์ทั้งปวงให้หลงใหลอยู่ในกองทุกข์ด้วยความหลงไม่รู้ การแผ่ขยายของโมหะมีสภาพคล้ายลม ด้วยเหตุนี้ โมหะจึงเป็นเสมือนลมกรดที่ทำลายโลกมนุษย์และสัตว์ให้พินาศลง


    สรุปว่า โลกมนุษย์ในจักรวาลนี้ย่อมพินาศลงได้ด้วยเหตุ 3 ประการ คือ โลภะเป็นเหตุ โทสะเป็นเหตุ และโมหะเป็นเหตุ

    ฉะนั้น เมื่อพุทธกาลผ่านไป 2,500 ปีแล้ว ขอให้มนุษย์ทั้งหลายจงอย่าตกอยู่ในความประมาท เพราะขณะนี้เกือบทั่วโลก ได้ประสบภัยพิบัติอย่างน่าสะพรึงกลัว บางแห่งก็ทนทุกข์ทรมาน ด้วยความอดอยากหิวโหย บางแห่งก็เจ็บป่วยล้มตายกันมากมาย


    ผลต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้รับ ก็คือผลกรรมที่ทำไว้ในอดีตหรือปัจจุบัน สิ่งเลวร้ายเหล่านั้น มนุษย์ย่อมไม่พึงปรารถนาเลย แต่ทำไมไม่แสวงหาหนทาง ที่จะเดินตรงไปสู่ความสุขที่มนุษย์เท่านั้นที่จะทำได้ เตรียมพร้อมที่จะไปเกิดใหม่ ในจักรวาลที่มีแต่ความสุข สงบ รื่นรมย์ มีอายุยืนยาว นั่นคือจักรวาลแห่งสวรรค์ ที่มนุษย์ทุกคนสามารถไปเกิดได้ และบางจักรวาล ก็ยังมีการบำเพ็ญเพียรเพื่อความสิ้นสุดแห่งทุกข์ คือ นิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
    http://www.khunya.in.th/Menu6.asp?intTopicId=43
     
  2. kantapol

    kantapol สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2007
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    ชอบมากเลยข้อมูลดีๆๆ
     
  3. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,681
    ค่าพลัง:
    +9,239
    ข้อมูลดีมากค่ะ
    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  4. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เฮียปอ ตำมะลัง*, Lukhgai+</TD></TR></TBODY></TABLE>


    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ . . . ดีแล้วชอบแล้ว ขอบคุณครับ ^^


    .
     
  5. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    ขอบคุณมากสำหรับข้อมูล วิทยาศาสต:cool:ร์
     
  6. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ข้อมูลดีมาก ๆ เลยค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับคุณ Lukhgai ด้วยค่ะ

    Numsai
     

แชร์หน้านี้

Loading...