ถ้าเรานั่งสมาธิมานานหลายปีเเล้ว เเต่เรายังบ้าผู้หญิง อยากนอนกับผู้หญิงไปเรื่อยๆนี่ถือว่าเรามาผิดทางรึเปล่าครับ ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 9 พฤศจิกายน 2008.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,608
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,017
    ถ้าเรานั่งสมาธิมานานหลายปีเเล้ว เเต่เรายังบ้าผู้หญิง อยากนอนกับผู้หญิงไปเรื่อยๆนี่ถื

    คือเเบบสมมุติว่า เรานั่งสมาธิทุกวันเป็นเวลาหลายๆปีเเล้ว เเต่เรายังตัดขาดจากการบ้าผู้หญิง จีบผู้หญิงไปเรื่อย อยากนอนกับผู้หญิงไปเรื่อยๆ เเม้ในใจลึกๆรู้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ดี มันจะทําให้เราไม่สามารถทําให้เรามีสมาธิได้ เนื่องจากเราหลงในกามราคะ เเต่เวลาปฏิบัติสมาธิ เรากลับนั่งได้อย่างสงบเเละมีสติ เเต่เเค่เวลาออกจากสมาธิเเล้ว เราก็กลายเป็นเสือผู้หญิงซะอย่างนั้น เเบบนี้นี่ถือว่า เราได้อะไรจากการนั่งปฏิบัติกรรมฐานบ้างเปล่าครับนี่ ? คือประมาณว่า รู้เเล้วยังทํา ฝากพี่ๆน้องชี้เเนะด้วยครับ ขอบคุณมากครับทุกคน
     
  2. pa6986

    pa6986 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +803
    เรื่องผู้หญิงนี้อาจจะตัดยากก็จริง แต่ในเมื่อเราได้นั่งสมาธิแล้ว เรารู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรเป็นโทษ และไม่เป็นโทษ อย่างน้อยก็ควรมีกรอบของตัวเอง ชอบได้แต่ขอให้อยู่ในกรอบศีลข้อ 3 หน่อยก็ดีนะครับ
     
  3. C Vanich

    C Vanich สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    548
    ค่าพลัง:
    +15
    นั่งไป ฝึกไป จะค่อยๆตัดหรือลดลงได้ จะรู้ตัวได้ง่ายขึ้นจึงควบคุมจิตได้ดีขึ้น
     
  4. ตะกอน

    ตะกอน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +26
    เเหม อ่านะ ถ้าตัดได้ก็ไม่ต้องมาอยู่แบบนี้เเล้ว บวชดีกว่า T_T'' มันก็เป็นเรื่องธรรมดาน่ะนะ อุอุ ถ้าอยากตัดขาดจริงๆก็นะ เเต่ก็ยากมาก~กก ให้นึกถึงความตายเเละอสุภะบ่อย
    เอาแบบนี้ คุณลองไปที่โรงพยาบาลตำรวจดูนะครับ แผนกชันสูตรพลิกศพนะครับ ขอเค้าเข้าไปดู ถ้าไปกับพระจะง่ายหน่อย ถ้าไปคนเดียวไม่รู้ว่าเค้าจะให้เข้าไปดูหรือเปล่านะ ที่พูดเเบบนี้ก็เพราะว่าเคยเข้าไปดูมาเเล้วสมัยเป็นเด็กวัด ไปกับหลวงพี่ เลยเข้าไปดูง่ายหน่อย โชคดีวันนั่นมีศพมาสามศพ คูณต้องไปดูเองนะครับ อิอิ
    เรื่องอาหารการกินก็สำคัญ พวกอาหารรสจัด กระเทียม นํ้าผึ้ง ของพวกนี้ทำให้เกิดความกำหนัดทั้งนั้น เเละก็ผ่อนอาหารลง เอาเป็นข้อๆนะ

    1 นึกถึงความตายบ่อยๆ

    2 คิดถึงเเต่ภาพอสุภะมากๆ

    3 คุมเรื่องอาหาร พวกรสจัดๆของมันๆ กระเทียม นํ้าผึ้ง เป็นต้น เกี่ยวกับศิลข้อ 5 รักษาให้ดี

    4 ผ่อนอาหารลง

    5 เจริญสติ หรือ ภาวนา



    โอวววว์ พระเจ้า !! มันยากมากเลยนะ ไม่งันหลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงตาจะสึกออกมาเอาเมียทำไม ^^


    อย่าคิดว่าตัดง่ายๆ เหมือนตัดกล้วย ความกำหนัดใครไม่โดนไม่เจอไม่รู้ เเต่เกิดมาเเล้วต้องเจอทุกคน คนเราเมื่อร่างกายมันสมบูรณ์ ทุกสิ่งมันพร้อมไปหมด มันก็พร้อมทีึ่จะสืบพันธุ์เป็นธรรมดา อุอุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2008
  5. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    .....โลกียธรรม.....สมาธิเริ่มต้น จนถึงสูงสุด ก็ยังไม่สามารถตัดความรู้สึกนั้นได้ เพียงระงับได้ ยังมีอยู่

    .....โลกุตรธรรม....ใช้สมาธิ เป็นกำลังในการตัดกิเลส ตามแนววิปัสสนาญาณ9 ,ตามหลักแห่งอริยสัจ4, โดยการพิจรณาตัดขันธ์5 ,ละสังโยชน์10ลงเสียได้

    มรรคผลที่ได้

    1.พระโสดาบัน มีสมาธิ และ ปัญญาในการตัดกิเลสเล็กน้อย มีศีลบริสุทธิ์ มีความรักเคารพในพระรัตนตรัยมาก มีความเข้าใจถูก แต่ยังมีความรู้สึกเช่นกับผู้ครองเรือน(อยู่ในขอบเขตของศีล) คือเป็นคนดีมีศีลธรรมนั่นเอง

    2.พระสกิทาคามี มีกิเลสเบาบางลง มีศีล+กรรมบท10 บริสุทธิ์ ยังมีความรู้สึกเช่นกับผู้ครองเรือนนิดๆ แต่เฉยๆ คือเป็นคนสมถะนั่นเอง

    ....ตั้งแต่พระอนาคามีไป ความรู้สึกเช่นผู้ครองเรือนหมดไปจากใจ...



    ...การนั่งสมาธิกี่ปีก็ตาม หากไม่ใช้กำลังของสมาธิมาตัดกิเลส ให้ได้ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน....ความรู้สึกเช่นนั้นก็ยังต้องคงอยู่ เพราะมันเป็นธรรมดากรรมของสัตว์โลก..

    ...หากต้องการหลุดพ้น ออกจากภัยแห่งวัฏฏะ พึงพากันเจริญสมาธิตามกำลัง แล้วใช้กำลังแห่งสมาธินั้นกำจัดตัดกิเลส ตามแนวแห่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์..จึงพ้นภัย
     
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กระผมขอเสนอความคิดเห็นอย่างกลางๆนะขอรับโปรดพิจารณาความคิดเห็นด้วย

    พึงพยายามละอกุศลจิตที่เกิดขึ้นให้หมดไป

    สหายธรรมท่านนี้คงคิดถึงตนหรือพิจารณาตนเองแล้วใช่ไหมขอรับ......คือการมองตนเองไม่ได้มองคนอื่น.....แสดงว่ารู้จักตนเองแล้วไม่ได้รู้จักคนอื่นเป็นที่น่าสรรเสริญนัก.....แต่หากเราไปมองคนอื่นเราจะไม่รู้หรือรู้ไม่จริงนะขอรับ.....เพราะหากเราไม่รู้จักตัวตนแล้ว.....ของตัวเองไม่รู้แล้วเราจะรู้เหตุหรือรู้ผลของคนอื่นได้อย่างไร

    กามข้อนี้และโมโหตัวสุดท้ายพุทธองค์ท่านชนะมารตอนสุดท้ายเลยนะขอรับก็คงไม่หมูแน่นอน....แต่อย่างไรก็อย่าละเมิดศิลนะขอรับเพราะศีลจะขาดไม่ได้

    กราบขอบพระคุณท่านยื่งแล้วขอรับที่มีกระทู้ดีๆ.....โปรดพิจารณาความเห็นด้วยขอรับอย่าประมาทกระผมอาจจะผิดพลาดได้ขอรับ....อีกนิดขอรับแค่คิดนี่ก็รั่วแล้วเมื่อรั่วก็ปะเสียขอรับ.....กราบขอบพระคุณครับ
     
  7. แบงก์จ้า

    แบงก์จ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +1,520
    เวลาเห็นผู้หญิง แล้วเกิดความกำหนัด หรือจิตคิดอกุศลแล้ว คุณต้องดักมันก่อนครับ

    คือเมื่อจิตเริ่มคิดแล้ว คุณลองคิดเข้าไปถึงข้างใน ไม่ว่าจะ เลือด เส้นเลือด กระดูก น้ำเหลือง อุจจาระ ว่าทุกอย่างมันสกปรก ไม่น่าสัมผัส

    ความกำหนัดนั้น มันก็จะลดลงทันที แต่ต้องดักมันทันทีที่คุณเกิดจิตอกุศลนะครับ มันไม่ยากหรอก ถึงมันจะตัดไม่ได้ทั้งหมด 100%
    แต่มันก็คงจะตัดไปได้มากกว่าคุณปล่อยจิตให้คิดอกุศลไปเรื่อย

    และที่สำคัญ อย่าเลยเถิดไปทำผิดศีล ข้อ 3 นะครับ
     
  8. สรณัฐ

    สรณัฐ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2007
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +45
    เอาแบบไม่อ้อมค้อมเลยนะครับ สมาธิที่คุณทำอยู่เป็นลักษณะที่เรียกว่า สมถะกรรมฐาน คือ การหาอารมณ์มาเป็นจุดสนใจแล้วเพ่งอารมณ์นั้นจนจิตรวม ในขณะที่จิตมันรวมเป็น ฌาน กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะถูกกดทับไว้ชั่วคราว ดังนั้นเมื่อ คุณถอออกขากสมาธิ กิเลสมันก็เกิดขึ้นมาอีก ลองศึกษาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้ดีครับ การทำสมาธิที่คุณทำอยู่ในอดีต ก่อนพระพุทธเจ้าประสูติ พวกพราหมณ์เค้าก็ทำกันมาก่อนแล้ว พวกฌานสมาบัติ กระทั่ง อาฬารดาบส อุทกดาบาส ก็ยังเข้าสมาบัติ 8 ได้คล่องปร๋อเลย แต่สุดท้ายก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหม พระพุทธเจ้าท่านเคยใช้ญานตรวจดู ก็บอกเลยว่า ฉิบหายจากความดีไปแล้ว ดังนั้น สิ่งที่ทำให้กิเลสถูกละได้จริง ๆ ต้องทำสติปัฏฐาน จึงจะตรงเป้ากว่า เพราะ เมื่อสติเกิด กิเลสจะถูกละโดยอัตโนมัติ อยู่แล้ว และสตินั่นแหละคือตัวกุศล ดังนั้นการเจริญสติบ่อย ๆ ก็คือการ ละชั่ว ทำดี นั่นเอง ถ้ามีสติตามรู้กาย รู้ใจไปเรื่อย อย่างเป็นกลาง ถึงวันนึง เราก็จะมีความเข้าใจในกายใจ (ขันธ์5 ) ขึ้นมาเองครับ และทุกข์เกิดขึ้นที่ ขันธ์5 ไม่ใช่เกิดที่อื่น ดังนั้นเมื่อคุณตามรู้กายใจ จนจิตเค้าพอ จิตจะปล่อยวางเอง จุดสุดท้ายมันคือการรู้แจ้งอริยสัจนั่นเอง เมื่อรู้แจ้งอริยสัจ ก็จะหมดความยึดถือ กายใจ(ขันธ์5) สิ่งที่เหลือ คือ ธรรมหนึ่ง ที่เรียกว่านิพพานนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2008
  9. สรณัฐ

    สรณัฐ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2007
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +45
    อย่างที่คุณ แบงค์จ้า บอกก็ช่วยได้ครับถ้ากิเลสแรงจริง ๆ ในสมัยก่อน อสุภกรรมฐาน มักใช้กับพระหนุ่มเณรน้อย ที่บวชใหม่ ๆ และมีความต้องการ.. อยู่ ถ้าไม่ทำสมถะอย่างอสุภะช่วย มีหวังได้สึกก่อน บรรลุ แน่ ๆ ครับ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อาการนี้ผมลองมาแล้ว ตอนนั้นผมให้คำนิยามว่า ศีลทะลุ

    วิธีที่ผมทดลองก็คือ ทำสมาธิจนใจว่าง เจออะไรก็ว่าง ไม่มีการเคลื่อนของจิตไปจับ
    อารมณ์อื่นนอกจากว่าง และ สุข และ ปิติ ที่ได้จากการนมสิการสมาธิ หรือ ฌาณ
    เสร็จแลวก็ลองกระทบผัสสะ ผลปรากฏว่า เมื่อก่อนเคยแค่มองๆ แต่พอทำสมาธิ
    มาแล้วไปมอง มันจะไม่มองธรรมดาแล้ว มันจะฝุ้งซ่านกว่าเดิม จิตจะกำหนัดกว่าเดิม
    แรงกว่าเดิม ระเบิดอารมณ์ออกไปแรงกว่าเดิม

    พอไปเปิดอ่านปริยัติดู ก็ทำให้เข้าใจคำว่า ดับ นั้น เป็นการแปลที่ผิดผลาด หากอ่าน
    หลายๆอรรถาจารย์ โดยเฉพาะสายวิปัสสนา จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันคือ หินทับ
    หญ้า ต่อให้ทำสัญญาเวทยิตนิโรธณ(ฌาณ 9) ก็เหมือนกัน(ว่าตามตำรา)

    พออ่านไปอีกก็พบว่า มันเข้าข่ายการเป็น เจตนาวิรัติ เรียกว่าเหมือนการถือศีลของ
    คนที่ปฏิบัติธรรมไม่เป็นนั้นแหละ เป็นการกำหนดลงไปเป็นความคิด เป็นอารมณ์ผลิก
    ไปจากความเป็นจริง เช่น เห็นหญิง ก็พูดกับตัวเองว่าเห็นศพ แล้วไปฝึกดูศพ ดูแล้ว
    ก็เบื่อศพ แต่ไม่ได้เบื่อสาว ที่เห็นสาวแล้วพอให้เกลียดได้บ้างก็คือหลอกตัวเอง เป็น
    การน้อมใจดึงความสะอิดสะเอียนแทนอารมณ์พุ่งพล่าน เรียกแบบแรงๆ คือ ดัดจริต

    ดังนั้นการทำสมาธิเพื่อ ดัดจริต มันให้ผลแค่ชั่วคราว ไม่ใช้การพ้นกรรมด้วยเพราะยัง
    ใช้เจตนา และ เจตนา ก็คือ ตัวบอกว่าเป็นกรรม ดังนั้น เราแค่ทำกรรมเพิ่มเข้าไป ไม่
    ใช่ระงับกรรมแต่อย่างใด กรรมที่จิตยังชอบสาวมีอยู่ ดับไปแล้ว เราดัดจริตทำเป็นสะอิด
    สะเอียนแทน สร้างกรรมใหม่ หลอกตัวเอง แต่ดีหน่อยถ้าหลอกตัวเองด้วยกำลังของ
    ฌาณ จิตมันจะมีความเคยชินในการเป็นพรหม

    แปลกแต่จริง วิธีวิปัสสนายกปัญญาที่แท้จริง กลับเป็นการ ยอมรับความรู้สึก ยอมรับใน
    กิเลสว่าเรามี เรายังบ้ากาม ทันทีที่เห็นว่าเราเป็นคนแบบนี้ ก็พอจะเห็นกุศลได้บ้างแล้ว
    หากเราไม่คล้อยตามกิเลสจนไปสร้าง วจีกรรม หรือ กายากรรม เราก็ไม่ผิดศีลมาก

    หากเราหมั่นตามระลึกอาการของจิตที่ผุดเมื่อตาประทบรูป แล้วสำคัญว่าเป็น สาว นี่ก็จะ
    เป็นการฝึกสติให้ระลึกรู้หยุดที่รูป หากฝึกสติได้ดี คำว่า สาว จะไม่ผุดขึ้นในใจ นี่คือการ
    แยกรูปนาม

    แต่จะแยกรูปนามได้แบบวรรคบนนั้นยาก เพราะจิตเราเคยชินที่จะไหล มันจึงไม่ใช่แต่สาว
    แต่นามจะเกิดขึ้นยุบยับชั่วฟ้าแลบ ทันที่กระทบผัสสะ คำว่า สาวสวยน่าตาจิ้มลิ่มพริ้ม
    เพราอาโนเนะเนื้อละมุนแก้มละไมผมสยายในชุดสลวยแสดงถึงหุ่นที่แฉล่ม ...มาเป็นขบวน
    รถไฟ หากทำสมาธิสมถะกดข่มตัวเองมา ถ้ากำลังสมาธิหมด จะมีการปรุงเพิ่มเติมไป
    กว่านี้อีกหลายเท่าทวีคูณ

    แต่ถ้าเราหยุดวจีกรรมได้ หยุดกายากรรมได้ มันจะก่อกรรมอยู่ในมโนกรรม สร้าง
    จินตนาการที่เย้ายวลแทน แต่ก็ไม่วายนำสู่นรก

    ตรงนี้เองจึงต้องกล้าๆ พยายามดูสิ่งที่จิตเราปรุงในมโน เป็น มโนกรรมที่นำไปสู่นรก
    อยู่เฉยๆ หากมันปรุงก็ให้รู้ว่าปรุง รู้ว่าจิตมีราคะ ทำบ่อยๆ ทำเนืองๆ กรรมที่มีแค่ในมโนจิต
    จะค่อยๆถูกระงับ(เป็นอธิศีลที่ดีกว่าถือศีล) ยับยั้งด้วยการมีสติ(อินทรียสังวรณ์) เมื่อสภาวะ
    การไหลไปคิดปรากฏซ้ำ แล้วจิตเราละลึกรู้ตัวได้เองโดยปราศจากการจงใจ ตอนนั้นเรียกว่า
    สติตัวจริง เกิดขึ้น เมื่อสติตัวจริงเกิดขึ้น มโนกรรมที่นำเราไปสู่นรกจะดับทันที แล้วมันก็จะ
    ค่อยๆ ย่นกรรมลง จากที่มันยาวเป็นขบวนรถไฟ ก็จะหดสั้นลง(คำที่หาย ก็คือ ภพที่หาย) ลาก
    เราไปปรุงจิตสั้นลง(ชาติสิ้น) จนเหลือแต่ รูป(สีที่ตัดกันจนแยกรูปได้) กับ นาม(สาว)
    เมื่อ รูป-นาม ตัวนี้แยกกัน ราคะคุณก็จะน้อยลง คลายกำหนัดลง เพราะคลายกำหนัดลง
    จึงรู้ว่าพ้น เพราะรู้ว่าพ้นจึงทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2008
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แต่การที่อยู่ดีๆ เราจะตั้งเป้า ละกาม อันนี้ก็เป็นการดัดจริตปฏิบัติธรรม

    เราเป็นปุถุชน แต่ตั้งเป้าจะปฏิบัติไปเป็น อนาคามี ทำให้ไม่มีทางที่จะ
    ปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง ทำไปก็เท่ากับหลอกตัวเอง หากพึ่งสมถะเพื่อ
    ละกามราคะตัวนี้ ก็เท่ากับหลอกตัวเองไปเป็นชาติๆ ตายไปแล้วก็ละไม่
    ได้ ได้อย่างมาก็เป็นพรหม

    จึงควรตั้งเป้าหมายให้เหมาะสมกับ ฐานะ ให้กลับมาดูที่ระดับโสดาบัน

    สิ่งที่ต้องทำในระดับโสดาบันคือการ เห็นจิตเห็นกายไม่ใช่เราทั้งคู่ ทำตรง
    นี้ให้ได้ก่อน แยกรูปนามที่ทำให้เห็นผิดว่ามี ตัวตน(อัตตา) ให้ได้ก่อน ซึ่ง
    มันจะง่ายลงกว่าที่จะไปตัดกามราคะเลย เพราะอัตตานั้น เป็นเพียงทิฏฐิที่
    เกิดขึ้นเนื่องจากการสำคัญผิด คิดว่าทั้งกายเราและจิตเราคือตัวตนของเรา
    เหตุเพราะไม่แจ้งใน ขันธ์5 ไม่เห็นทุกขสัจจที่เกิดจากการมีขันธ์5 การจะ
    ไปทรงอารมณ์ละตัวตนนั้น ก็เป็นเพียงการทำสมถะไม่ต่างจากการเพ่งศพเพื่อ
    ละหนีสาว เป็นการดัดจริตที่ให้ผลดี คืออย่างน้อยเป็นพรหม

    แต่ถ้าเรายกวิปัสสนา แค่ระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ โดยดูมันเคลื่อนไหวแล้วให้ระลึก
    รู้ จิตมันสั่นไหวด้วยตัณหาก็ระลึกรู้ กิเลสเกิดขึ้นให้ระลึกรู้ โดยการรู้นี้ไม่ใช่รู้
    ว่าทำอะไรอยู่ มีกิเลสขื่ออะไร จิตสั่นไหวอย่างไร แต่เป็นการระลึกด้วยความรู้
    สึกลึกๆที่ไม่ต้องใส่ชื่อเรียก(นาม)ลงไป หากจำเป็นให้ใส่นามลงไปสั้นๆ เพื่อ
    อาศัยระลึก พอระลึกด้วยความรู้สึกได้เองแล้ว จิตจะรู้อย่างของจริงนิ่งเป็นใบ้
    เมื่อนั้น จะแยกการเห็น ขันธ์5 ทีมันทำงานแยกกันในแต่ละกอง โดยมีจิตเป็นผู้
    เข้าไปรู้(เหมือน ตามมองเห็นสาว แต่เปลี่ยนเป็น จิต เห็น ขันธ์) พอแยกจิตจาก
    ขันธ์5 พรากจิตจากขันธ์5 ได้ในรอบแรกโดยไม่จงใจ ไม่มีการเติมเจตนาช่วยคิด
    ช่วยเห็น จะทำให้เห็นอริยสัจจรอบที่ 1 ทำให้ รูปนาม แยกจากกัน ทำให้เห็นทัน
    ทีว่าสภาวะธรรมทั้งหลายในโลกเป็นเพียง สิ่งที่เรียกว่า ธาตุจิตธาตุรู้ ไปรู้รูปเข้า
    แล้วทำให้เกิดเป็นนาม เพราะมีปัจจัยกระทบ(เหตุ) พอเห็นแบบนี้ก็จะพบว่า กาย
    เราไม่ใช่เรา จิตเราไม่ใช่เรา(เป็นเพียงธาตุรู้) การสำคัญมั่นหมายว่าตัวเรามีเนื่อง
    จากมีกายและมีจิตเทียวไปในสังสารวัฏจะกระจ่าง ทำให้มิจฉาทิฏฐิถูกทำลาย สักกาย
    ทิฏฐิถูกทำลาย การสำคัญว่ามีอัตตาจะหายไปจริงๆ(ไม่ใช่แค่ทรงอารมณ์-ทำสมถะ)

    * * * *

    คนที่ทำสมถะ สมาธิ จนชำนาญแล้ว ตอนทำสมาธิให้ภาวนาดูจิตไหลเข้าไปทำสมาธิ
    แทนการดูอริยาบท การขัยบตัว หรือจิตมีกิเลส หรือ พอจิตมีนิมิตก็ระลึกเห็นว่าจิตไหล
    ไปมีนิมิตแทน ทำเนืองๆ ทุกๆครั้งที่จิตไหลไปสู่อารมณ์(สภาวะธรรมใดๆ) โดยไม่จำ
    เป็นต้องดัดแปลงการปฏิบัติไปจากเดิม ให้ทำไปอย่างเดิม แต่ให้ระลึก ทำความรู้สึก
    ระลึกดูสภาวะธรรมที่ปรากฏตามไปเรื่อยๆ เนืองๆ ก็จะเป็นการฝึกสติได้เหมือนกัน

    หลังจากนั้น เวลาหยุดทำสมาธิแล้วกระทบโลก ก็ค่อยเปลี่ยนสิ่งที่ใช้ระลึก เป็นจิตมี
    ราคะให้รู้ จิตมีโทษะให้รู้ จิตมีโมหะกำลังครุ่นคิดให้รู้ จิตเหม่อให้รู้ หรือแม้กระทั่ง
    จิตว่าง เพราะผลจากการทำสมถะมาจนสงบก็ให้ระลึกรู้เช่นกัน ทั้งหมดทำเพื่อให้จิต
    ค่อยๆสร้างสิ่งที่เรียกว่า สติ

    พอสภาวะธรรมใดเกิดซ้ำ จิตจดจำสภาวะธรรมได้ สติ จะเกิดเอง เมื่อนั้นจะเห็นว่า
    รูปนาม ขันธ์5 มีอยู่ในเราอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2008
  12. p.1979

    p.1979 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +49
    มีอุบายที่ ครูบาอาจารย์พระป่า ท่านแนะนํามา แบบแรงๆ ถึงใจ คือเวลาที่ ราคะมันฟูขึ้นในใจมากๆ วิธีไหนเอาไม่อยู่แล้ว......... ให้หา อุจจาระ ปัสสาวะ
    (ของเราเอง) ละเลงให้ทั่วขา ให้ดู ให้ดม ให้พิจารณา จนมันสงบ ครับ
     
  13. Nyan Vitee

    Nyan Vitee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +68
  14. Add-on

    Add-on Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2008
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +64
    เราก็จินตนาการว่าเป็นคนแก่ หาความสวยความงามไม่ได้
    ผู้หญิงเดี๋ยวก็แก่จะไปอยากได้อยากมีไปทำไม (แต่ถ้ามีรสนิยมทางคนแก่ก็คงไม่มีผล- -*)
    นึกถึงความตาย นึกให้เห็นว่าเขาเป็นศพไปเลย (คงไม่มีใครมีรสนิยมทางเพศกับศพหรอกนะ)
     
  15. สาวกสังโฆ

    สาวกสังโฆ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +12

    พระผู้มีพระภาคเคยตรัสไว้ว่า

    'มาตุคาม(สตรี)แม้เป็นศพ ก็ยังอาจทำให้บุรุษเพศกำหนัดได้ครับ'

    ฮือ มาตุคามเป็นข้าศึกแห่งพรหมจรรย์เห็นปานนี้นะครับ <label for="rb_iconid_15">[​IMG]</label>
     
  16. BATIOHM

    BATIOHM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +114
    ผมเองก็เป็นเหมือนกันครับ พูดอย่างไม่อายเวลากำหนัดมากๆ เพ่งอสุภะ บางที่ก็เอาไม่อยู่เหมือนกันครับ มันทำให้เห็นเป็นของสวยน่ารื่นรมย์ดีแท้ ขนาดเพ่งให้เห็นเป็นศพแล้วแต่อยู่ๆ ก็กลับมาสวยเปล่งปลั่งอีก ยากเหลือเกิน บางทีผมต้องขังตัวเองไว้ในห้อง (เหมือนคนบ้ามาก เดินกระสับกระส่ายกระวนกระวาย) แล้วก็แพ้มันอีก จนต้องมาดูหนังสือหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านบอกว่ายังไม่เป็นพระอนาคามีตราบใดก็ยังไม่อาจจะตัดกามราคะได้ แม้แต่พระโสดาบันก็ยังตัดไม่ได้ ท่านยกตัวอย่างให้ดูนางวิสาขาท่านเป็นพระโสดาบันแต่ท่านก็มีลูกตั้ง 20 คน ท่านบอกให้ค่อยๆ ตัดไปอย่าตัดทีเดียวเด๋วเป็นบ้า ให้ยึดทางสายกลางไว้ถ้าอารมย์เครียสมากเกินไปก็ให้เลิกซะ อย่าหักโหมครับ
     
  17. nerazzurriboyz1908

    nerazzurriboyz1908 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +763
    อย่างน้อยก็มาถูกทางแล้วครับ ดีกว่าหลงความสวยโดยไม่รู้จักโทษ ค่อยเป็น ค่อยไปละกัน
     
  18. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    รู้ว่าไม่ดี ก็เริ่มๆ เรียนรู้แล้วครับ ตอนนี้อยู่ในช่วง หาทาง ลด ละ ครับ

    ส่วนที่บอกว่านั่งสมาธินั้น เป็นการนั่งเฉพาะเวลา แต่ไม่ได้เอามาใช้ในชีวิตจริงครับ

    ฉะนั้นก็จะสงบแค่ตอนที่นั่ง ลองเปลี่ยนมาทำสมาธิ ทุกอิริยาบท ดูนะครับ

    แล้วก็ควบวิปัสสนา เข้ามาด้วย เช่นเวลาเห็นผู้หญิงสวยๆ ก็มองให้เห็นเป็น โครงกระดูก

    หรือซากศพ หรือคนแก่หนังเหี่ยวย่น แล้วพิจารณาต่อว่า ความสวยงามนี้ไม่ยั่งยืน อยู่ได้ไม่นาน

    เหตุใดเราจึงต้องติดอยู่กับความไม่เที่ยงนี้ด้วย ฯลฯ
     
  19. SaveMax

    SaveMax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +578
    สติ = ระลึกได้
    ถ้ามีสติและระลึกได้ ถึงแม้จะมีความรู้สึกมันก็หายไปเอง
     
  20. rux

    rux เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    308
    ค่าพลัง:
    +990
    ก็ยังดี...
     

แชร์หน้านี้

Loading...