ตันตระ = เทคนิค

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 17 ตุลาคม 2008.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]

    ตันตระ หมายถึง การเผยแพร่หรือแผ่ออกไป เป็นวิชชา เฉพาะกลุ่ม มีการศึกษาโดยการถ่ายทอดจากบุคคลหนึ่ง สู่ อีกบุคคลหนึ่ง ในฐานะ ตันเตคุรุ( ผู้ถ่ายทอดความรู้หรือผู้ชี้แนะ ) และ ตันตริก ( ผู้รับการถ่ายทอดความรู้หรือผู้ได้รับการชี้แนะ ) แบ่งออกเป็น 2 แขนงคือ

    1. พระเวทย์ หมายถึง การศึกษาภาคปฏิบัติ เช่น การประกอบพิธีกรรม การบวงสรวง สังเวย การรับพลัง การถ่ายเทพระเวทย์ การฝึกจิต การทำสมาธิ การทำคุณไสย รักษาคุณไสย เป็นต้น

    2. พระเวช หมายถึง การศึกษาภาคจิตใจ ความเข้าใจในชีวิต การหาคำตอบให้กับชีวิต เช่น ตัวเราเป็นใคร อยู่เพื่ออะไร กำลังทำอะไรอยู่ ต้องการทำอะไร ตายแล้วไปไหน ตายแล้วเป็นอย่างไร อะไรคือทุกข์ วิธีจัดการกับทุกข์ การอยู่กับกรรม การรับกรรม การเลี่ยงกรรม การหนีกรรม การหลบกรรม เป็นต้น
    [​IMG]

    ใครที่ต้องเป็นตันตระ

    ตันตระ คือ การหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเรา ศึกษาตันตระเพื่อหลุดพ้น จาก การเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรู้และเข้าใจ เพื่อใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในแบบของตนเอง เพราะแค่เพียงรู้จักชีวิตไม่พอต้องใช้ชีวิตให้เป็นด้วย บางคนรู้แต่ไม่ใช้ บางคนใช้โดยไม่รู้

    พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน การเป็นพุทธะคือ การเป็นผู้รู้ การเป็นผู้ตื่น การเป็นผู้เบิกบาน พุทธะแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ

    1 สัมมาสัมพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้ โดยการตรัสรู้ คือรู้ได้ด้วยตนเอง และ สามารถ นำสิ่งที่ได้ตรัสรู้ นั้น มาวางรากฐานให้ผู้อื่น สามารถ ศึกษาแนวทางและปฏิบัติตามได้

    2 อนุตะระพุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้ โดยการศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางของ สัมมาสัมพุทธะ จนได้รู้แจ้ง แต่ไม่สามารถ นำสิ่งที่ได้รู้ นั้น มาวางรากฐานให้ผู้อื่น สามารถ ศึกษาแนวทางและปฏิบัติตามได้

    3 ปัจเจกพุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้ ด้วยตนเองหรือได้รับการชี้แนะจากบุคคลอื่นจนสามารถรู้แจ้งได้ แต่ไม่สามารถ นำสิ่งที่ได้รู้ นั้น มาวางรากฐานให้ผู้อื่น สามารถ ศึกษาแนวทางและปฏิบัติตามได้
    [​IMG]

    ทำไมต้องตันตระ
    เมื่อเรารู้สึกว่า ทุกข์ของเราไม่เหมือนคนอื่น ทุกข์ของคนทุกคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นวิธีการดับทุกข์ของแต่ละคนจึงไม่มีทางเหมือนกันได้ เมื่อเรารู้สึกว่า เราอยู่คนเดียว ไม่มีใครเข้าใจเรา ทุกข์ของเราแก้ไม่ได้ ไร้ทางออก อยากหาทางดับทุกข์ของเราเอง เมื่อไม่อยากเวียนว่าย ตายเกิด อีก เมื่อเรารู้สึกว่า ตายไม่ใช่เรื่องสุดท้าย และเกิดไม่ใช่เรื่องแรกในชีวิต เมื่อเรารู้สึกว่า ไม่กลัวที่จะตาย แต่ กลัวที่จะเกิด เมื่อเรารู้สึกว่า เราจะอยู่เพื่อใครอยู่ต่อไปทำไม และทำไมต้องอยู่
    [​IMG]


    ข้อมูลจาก http://www.tantradevalai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=153870&Ntype=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การศึกษาวิชชาตันตระบทที่1

    ตันตระ แบ่ง ส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นตัวมนุษย์ เป็น สามส่วนด้วยกันคือ

    1 ร่างกาย หรือ สังขาร 2 วิญญาณ 3 ดวงจิต เมื่อมนุษย์ตาย(ตายอย่างสมบูรณ์)

    จะเกิด ปรากฏการณ์ ที่เรียกว่า “วัชร” โดยจะต้องประกอบด้วยเหตุการณ์3เหตุการณ์

    ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมๆกันคือ 1 การจบลงของสังขาร

    (จบการทำงานร่างกาย หมดสภาพรอวันเน่าเปื่อยสลายไป)

    2 การคงอยู่ของวิญญาณ (วิญญาณจะคงอยู่ตลอดไปนานเท่านานจนกว่าจะถูกปลดปล่อย)

    3 การเริ่มขึ้น ของ ดวงจิต (ดวงจิตจะไปเกิดใหม่ทันทีที่มีการจบลงของสังขารและมีการแยกดวงจิต

    ออกจากวิญญาณได้ แต่หากไม่ได้รับการฝึกฝนแล้ว ดวงจิต จะติดไปกับวิญญาณ

    ทำให้ไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ จนกว่าวิญญาณ จะได้ รับการ ปลดปล่อย )

    เมื่อเกิด ปรากฏการณ์ “วัชร” ขึ้น ซึ่งมีอานุภาพ รุนแรง รวดเร็ว เสมือน สายฟ้า

    ดวงจิตของผู้ฝึกฝนในหนทางของตันตระก็จะหลุดพ้น จากการเวียนว่ายตายเกิดในโลกกรรมนี้ได้

    โดยไม่แยกว่าจะเป็นชาย เป็นหญิง อายุ วรรณะ ฐานะ เพื่อเข้าสู่ดินแดนตันตระ

    ( เป็นเสมือนที่พัก ของชาวตันตระ ไม่มีกำหนดเวลา และอยู่เหนือกาลเวลา หากผู้ใดมีความประสงค์

    จะอยู่ ตลอดไปก็ย่อมได้ หรือ ประสงค์จะลงมาเกิดใหม่ในโลกกรรมนี้อีกก็ย่อมได้

    เนื่องจากการลงมาเกิดในโลกกรรมในครั้งใหม่นี้ ผู้ลงมาเกิดสามารถเลือกชั้น วรรณะ

    ระยะเวลาการอยู่ได้โดยกำหนดให้ร่างกายจบลงกี่ครั้งดวงจิตถึงจะทำการแยกตัวออกจากวิญญาณ

    ในทันที เพื่อให้เกิด ปรากฏการณ์ “วัชร” ขึ้น เพื่อกลับสู่ดินแดนตันตระ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    ขั้นตอนการเตรียมตัว

    1. หา ตันเตรคุรุ การเป็นชาวตันตระเป็น ปัจเจก คือ เป็นของใครของคนนั้น แต่ละคนจะมีวิธีการเรียน

    และหนทางไม่เหมือนกัน จึงต้องหาทางป้องกันการศึกษา ผิดแนวทางไว้ก่อน โดย จะต้องหา

    “ตันเตรคุรุ” ( ผู้ ฝึกสอน ผู้แนะนำหรือพี่เลี้ยงซึ่งจะต้องจับคู่กันไปตลอด กับตัวผู้ฝึกฝน

    เมื่อขึ้นสู่ดินแดนตันตระแล้วก็จะต้องสลับกันลงมาบนโลกกรรม หากต้องการ

    โดยที่ไม่สามารถจะลงมาพร้อมๆกันได้เพราะ อีกฝ่าย จะต้องหาทางช่วย อีกฝ่าย ให้กลับมา

    ยังดินแดนตันตระ ให้ได้ )

    2. จุดไฟพระเวทย์ ปกติดวงจิตของมนุษย์โดยทั่วไป มีลักษณะเป็นลูกกลมๆเล็กขนาดเท่าแก้วตาดำ

    ของคน ๆ นั้น มีลักษณะใส คล้ายแก้ว มี เส้นใย เล็กๆ และจุด ต่างๆ อยู่มากมาย

    (มีหน้าที่ในการบันทึกกรรม และ ความทรงจำต่างๆของแต่ละบุคคล) การฝึกฝนในแบบพุทธ

    มักนิยมให้ทำสมาธิ เพ่งดวงแก้วนี้ ให้ใส และสว่างเพื่อรู้แจ้งให้เหตุและผล เช่น

    เมื่อรู้ว่า ความรักเป็นทุกข์ ตัวอย่างอาจจะเห็นทุกข์ของตนเรื่องความรักในแต่ละชาติ ก็ จะละเว้น

    ความรักในชาตินี้เพื่อไม่เกิดทุกข์เป็นต้น แต่ ตันตระใช้ จุดไฟ(ไฟพระเวทย์) ที่ดวงจิต

    โดยไม่สนใจเรื่องของอดีตชาติ ไม่ละเว้นเรื่องใดๆ แต่ใช้วิธีเผาผลาญกิเลสแทน เช่น ชีวิตติดที่รัก

    ก็ รัก ๆๆๆรักจนกว่าจะรู้สึกอิ่มเบื่อ หน่าย กับรัก ชีวิตติดที่การกิน ก็กินๆๆๆๆ กินจนกว่าจะเบื่อหน่าย

    กับการกิน เป็นต้น ที่สำคัญ เมื่อจุดไฟพระเวทย์แล้วไม่สามารถดับได้ แต่หากไม่ศึกษาต่อ ไฟพระเวทย์

    จะค่อยๆหรี่ เล็กลงๆ ไปเรื่อยๆ แต่จะไม่มีวันดับโดยเด็ดขาด ดังนั้น ต้องคิดให้ดีก่อนที่จะเรียนตันตระ

    3. เลือกหนทาง ตันตระเชื่อว่า ไม่มีหนทางสำเร็จรูป ที่จะใช้ได้ สำหรับทุกคน ดังนั้น

    ทุกคนจึงต้องเลือกหนทาง ของตนเองก่อน ว่าตนเองเป็นคนแบบไหน ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนดี

    ต้องทำความดี ตันตระ เปิดรับและเปิดกว้างสำหรับทุกคน

    “คนดีขึ้นอยู่ว่าดีกับใคร คนชั่วขึ้นอยู่ว่าชั่วกับใคร” “พ่อเป็นโจรปล้นคนอื่นเป็นคนชั่วของสังคมแต่

    เป็นคนดีสำหรับลูกเมียพ่อแม่”

    (ในเมื่อไม่สามารถเห็นหรือรู้กรรมในอดีตชาติได้ก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าคนปล้นผิดก่อนหรือคนถูกปล้นผิดก่อน)

    หนทางมีด้วยกัน 4 ทาง ใหญ่ๆคือ

    1 ทำดี(ทำทุกสิ่งที่ดี ทำก่อนถ้ารู้สึกว่าดี ทำแล้วต้องไม่คิด)

    2 ทำชั่ว(ทำทุกสิ่งที่ไม่ดี ทำถ้าอยากทำ ทำทุกอย่างตามใจตนเอง ทำก่อนถ้ารู้สึกว่าอยากทำและ

    ทำแล้วต้องไม่คิด)

    3คิดก่อนทำดี (คิดก่อนทำทุกๆอย่างเลือกทำถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี)

    4คิดก่อนทำชั่ว (คิดก่อนทำทุกๆอย่างหาวิธีและทำทุกวิธีเพื่อให้ได้มาอย่างที่ตนเองต้องการไม่เกี่ยงวิธีการและรูปแบบ)





    ข้อมูลจาก http://www.pantown.com/content.php?id=9268&name=content3


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  4. โอ๊ตศ์

    โอ๊ตศ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,107
    โอววววววววววววววววววววววว แม่ เจ้า
     
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    นักรบแห่งตันตระ (1)

    [​IMG]

    หัวใจแห่งวิถีแห่งพุทธะ คือ พลังแห่งการตื่นรู้ภายในเหนือข้อจำกัดแห่งตัวตน ที่เมื่อปุถุชนคนเดินดินธรรมดาได้ฝึกฝนอย่างมุ่งมั่น ชีวิตของเขาทั้งชีวิตก็จะกลายเป็นศักยภาพแห่งการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่อันไร้ขีดจำกัด
    <O:p
    วิถีการฝึกตนที่ว่านี้ได้ถูกส่งผ่านสู่ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า จากวัฒนธรรมสู่วัฒนธรรมบนพื้นฐานของความเรียบง่าย ด้วยหัวใจของการสร้างความสัมพันธ์กับทุกประสบการณ์ชีวิตอย่างถูกต้อง ผู้คนบนเส้นทางแห่งพุทธะเปรียบได้กับนักรบผู้ไม่เกรงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับความไม่รู้ อันเป็นสัจธรรมของการเดินทางแห่งชีวิต ไม่ว่ายามที่เขามีสุขหรือมีทุกข์ ยามประสบกับเคราะห์กรรมสาหัสเพียงไหน เขาก็ยังดำรงไว้ซึ่งหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยพื้นที่ว่างด้านใน ที่จะใช้ทุกวินาทีแห่งการมีชีวิตอยู่เพื่อการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อกลุ่มผู้ฝึกฝนกลุ่มหนึ่งได้เดินทางเข้าสู่ทิเบตในช่วงคริสตศตวรรษที่ ๗ พวกเขาได้ตระหนักว่า ดินแดนผืนนั้นเต็มไปด้วยความลี้ลับทางจิตวิญญาณที่พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับวิถีแห่ง
     
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    นักรบแห่งตันตระ (2)

    [​IMG]

    การใช้ชีวิตร่วมกินร่วมนอน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้คนชาวบ็อน ทำให้เหล่านักรบแห่งพุทธะตระหนักว่า โลกของชนพื้นเมืองนั้นช่างเป็นโลกที่แสนมหัศจรรย์ เต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ดูจะไม่แยกขาดออกจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาอันสูงตระหง่าน ท้องฟ้าผืนกว้าง สายธารอันคดเคี้ยว การเข้าถึงความเต็มเปี่ยมทางจิตวิญญาณของชาวบ็อนก็ดูจะไม่ใช่เป็นวิถีทางของหลักปรัชญาซับซ้อน ผู้คนที่นี่ทำงานหนักตลอดวัน เขียนไม่ได้อ่านไม่ออก แต่พวกเขาก็ดูมีความสุขอย่างเรียบง่ายในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติตามแบบของเขา<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี พวกเขาได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการร่วมใช้ชีวิตกับคนพื้นเมืองชาวทิเบต พวกเขาให้ความเคารพแก่ภูมิปัญญาพื้นบ้านเสมือนตนเองเป็นส่วนหนึ่งของวิถีวัฒนธรรมนั้น ขณะเดียวกันพวกเขาก็ยังไม่ลืมที่จะฝึกฝนตนเอง ใช้เทคนิคที่เขาได้เรียนมาจากอาจารย์ สร้างสัมพันธ์กับพลังแห่งการตื่นรู้ด้านใน ในทุกลมหายใจเข้าออก จิตใจที่เปิดกว้าง ว่างจากความคิดหมายมั่น ได้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนต่างภาษาและวัฒนธรรม งอกงามเป็นมิตรภาพบนพื้นฐานของการเคารพในศักดิ์ศรีและความดีงามของกันและกันอย่างไม่แบ่งแยกเราเขา<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    การเรียนรู้ร่วมกันก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ ชาวบ็อนได้สัมผัสถึงพลังแห่งการตื่นรู้แห่งพุทธะ และชาวพุทธก็ได้เรียนรู้ถึงมิติอันลี้ลับในวิถีแห่งบ็อน พวกเขาต่างเชื้อเชิญกันและกันให้เข้าร่วมในพิธีกรรม ลองฝึกฝนเทคนิคการปฏิบัติ สนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ราวกับเป็นพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า วิถีแห่งพุทธะค่อยๆ ซึมซับแง่มุมที่หลากหลายจากวัฒนธรรมบ็อนในทิเบตอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งในเรื่องของพิธีกรรม วิถีการปฏิบัติของพ่อหมอแม่หมอ ความสัมพันธ์กับเหล่าทวยเทพ ภูตผีและวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงเทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุ มนตรา และอาคมต่างๆ ในขณะเดียวกันวิถีปฏิบัติพื้นบ้านของชาวบ็อนก็ไม่ได้ถูกกลืนหายตายจาก ยังคงถูกส่งผ่านเป็นธารปัญญามาจวบจนปัจจุบัน ซึ่งหากใครได้มีโอกาสสัมผัสทั้งวิถีบ็อนและวิถีพุทธในทิเบต ก็ยากที่จะบอกถึงความแตกต่างที่เด่นชัด เพราะทั้งสองวิถีปฏิบัติได้ผ่านการแลกเปลี่ยนผสมผสานบนความเคารพซึ่งกันและกันมาเป็นเวลายาวนาน<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    บ็อน ถือเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดต่อการงอกงามที่เต็มไปด้วยจินตนาการ พลังอันเร้นลับ และความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของวิถีพุทธตันตระแห่งทิเบต ดังที่เราพบเห็นได้เช่นเดียวกันในวิถีพุทธในดินแดนต่างๆทั่วโลก ที่ต่างก็มีรูปแบบที่หลากหลาย แตกต่างไปตามพื้นฐานวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองดั้งเดิม<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p[​IMG]</O:p
    <O:p</O:p


    ก็ด้วยแนวทางแห่งพุทธหาได้ตั้งอยู่บนการยึดติดอยู่ในรูปแบบ พิธีกรรม หรือวิถีการปฏิบัติใดๆอย่างตายตัว แต่หัวใจกลับอยู่ที่การฝึกฝนให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงพลังแห่งการตื่นรู้ภายในอันไร้ข้อจำกัดแห่งตัวตน ไม่ว่าจะเป็นเพศ ภาษา วัฒนธรรม หรือชาติพันธุ์ใดๆ เมื่อปัจเจกบุคคลคนธรรมดาได้สัมผัสและดำเนินชีวิตด้วยความตื่นรู้ในทุกลมหายใจเข้าออก ชีวิตของเขาก็จะกลายเป็นพลังทางปัญญาที่บานสะพรั่งบนความอ่อนน้อม บนความพร้อมต่อการเรียนรู้ และความเอื้ออาทรในการร่วมทุกข์สุขกับทุกผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เกิดเป็นการสนทนาแลกเปลี่ยน กับเพื่อนต่างชาติเชื้อ ต่างความเชื่อ ต่างวัฒนธรรม เรียนรู้จากกันอย่างเป็นธรรมชาติ <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    วิถีแห่งพุทธที่แท้หาได้ตั้งอยู่บนความอหังการในฐานของอำนาจ บนความยิ่งใหญ่เหนือใครๆ หาใช่ความเป็นศาสนา หรืออารยธรรมนำความเป็นชาติ เพราะเมื่อความเป็นพุทธถูกตัดขาดจากการฝึกฝน จนไร้ซึ่งความเข้าใจในความหมายของการดำรงอยู่อย่างนอบน้อม ปราศจากความพร้อมที่จะสัมผัสและรับฟังทุกข์สุขของกัลยาณมิตรรอบข้าง สังคมบนความเป็นพุทธปลอมๆที่ว่าก็กำลังโงนเงนอยู่บนฐานของความประมาท เสมือนดั่งต้นไม้ใหญ่ที่ไร้แก่น ที่กำลังรอวันล่มสลายตายไปในไม่ช้า

    ข้อมูลจาก http://www.prachatai.com/05web/th/columnist/viewcontent.php?SystemModuleKey=Column&System_Session_Language=Thai&ColumnistID=86&ContentID=2043&ID=86
     
  7. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    นักรบแห่งตันตระ (3): ชีวิตหลุดๆของสิทธาทีโลปะ

    [FONT=Tahoma, sans-serif][​IMG][/FONT]​
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ทีโลปะเกิดมาในวรรณะพราหมณ์ ตัดสินใจออกบวชเมื่ออายุยังน้อย เขาศึกษาพระสูตรในวัดซึ่งลุงของเขา[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ผู้เป็นพระให้การอบรมสั่งสอนและดูแลอย่างใกล้ชิด จนวันหนึ่งทีโลปะเกิดนิมิตพบกับหญิงทาคิณีผู้หนึ่ง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif] เธอได้อภิเษกทีโลปะเข้าสู่คำสอนสูงสุดของตันตระในธรรมชาติเดิมแท้ของจิต แล้วบอกให้ทีโลปะนำคำ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]สอนที่ได้ไปปฏิบัติ [/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จงทำตัวเหมือนคนบ้า สละผ้าเหลือง แล้วแยกตัวไปฝึกฝนภาวนาในที่ลับ” พอพูดจบ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เธอก็หายตัวไปในพริบตา [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]เหมือนกับผู้ปฏิบัติตันตระคนอื่นๆ ด้วยการสละชีวิตนักบวช ใช้ชีวิตเหมือนคนบ้า[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ไม่สมประกอบ ฝึกฝนภาวนาในที่ลับตาผู้คน ทีโลปะได้เลือกเดินบนเส้นทางที่ผิดแปลกไปจากกระแสหลัก[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ของสังคม โดยเฉพาะการดำรงชีวิตเยี่ยงคนวิกลจริตนั้น ถือว่าไม่ต่างอะไรกับวรรณะจัณฑาลเลยก็ว่าได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]แม้จะโดนทารุณและดูถูกเหยียดหยามโดยผู้มีวรรณะสูงกว่า แต่เหตุปัจจัยอันยากลำบากเช่นนั้นได้ช่วยให้ที[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]โลปะได้มองเห็นธรรมชาติแห่งทุกข์อันไม่จีรัง อีกทั้งยังทำให้เขาได้ตระหนักถึงมายาภาพของความสะดวก[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]สบายและความปลอดภัยจอมปลอมที่มีอยู่ในชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]ทีโลปะได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของนางทาคิณีอย่างเคร่งครัด เร่ร่อนจากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif] แสวงหาความวิเวกเพื่อการฝึกภาวนา นอกเหนือจากการใช้ชีวิตอย่างไม่หวาดกลัวต่ออุปสรรคและความ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ยากลำบากใดๆ ทีโลปะได้ออกเดินทางแสวงหาอาจารย์ เขาได้พบกับคุรุผู้รู้แจ้งหลายท่าน รับแก่นคำสอน[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]มาฝึกฝนปฏิบัติอย่างอุทิศชีวิต ต่อมาเขาตัดสินใจเดินทางไปยังเบ็งกอล นำเทคนิคที่เขาได้รับจากอาจารย์[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ไปฝึกและดำเนินชีวิตอยู่ที่นั่นในฐานะคนรับใช้ของโสเภณีในเวลากลางคืน และงานประจำในเวลากลางวัน[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]คือ การตำเมล็ดงา[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]ตลอดการใช้ชีวิตที่ดูไม่ค่อยปกติของเขา ทีโลปะได้อุทิศเวลาทุกวินาทีให้กับการภาวนาอย่างลับๆ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เขาตัดสินใจที่จะสละวิถีชีวิตในแบบที่สังคมคาดหวัง อาศัยอยู่ในกระท่อมมุงจากเล็กๆพอกันแดดกันฝน [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ใช้เวลามุ่งมั่นกับการฝึกฝนจิตใจจนในที่สุดเขาได้ตื่นรู้สู่การพบกับธรรมชาติของสรรพสิ่งตามที่เป็นจริง [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ในนิมิตของ พระพุทธวัชรดารา ณ วินาทีนั้นทีโลปะปรารภว่า [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]“ ฉันไม่มีคุรุผู้เป็นมนุษย์ คุรุผู้เดียวของฉันคือพระสัพพัญญู ฉันได้สนทนาและรับคำสอนจากพระพุทธวัชรดาราโดยตรง”[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]หลังจากเข้าสู่ภาวะความตื่นรู้ของจิตโดยสมบูรณ์ ทีโลปะออกเดินทางร่อนเร่ไร้จุดหมายอีกครั้ง [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]สั่งสอนผู้คนเข้าสู่สายธรรมอย่างไม่เลือกชั้นวรรณะ ผู้คนรู้จักเขาในนาม สิทธาทีโลปะ ตันตราจารย์[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ผู้ดำเนินชีวิตนอกกระแสสังคม ดำเนินชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่างที่ไม่มีใครสามารถคาดหมายได้ว่า[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เขาคิดจะทำอะไรในวินาทีถัดไป บ่อยครั้งที่ทีโลปะพูดหรือทำอะไรที่สร้างความตื่นตระหนก[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]และความขุ่นเคืองให้กับผู้คนรอบตัวเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ภาวนาอยู่ตามป่าช้า [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ฝึกฝนและสอนภาวนาให้กับนักเรียนที่สนใจ ยามที่เขาต้องถกเถียงกับอาจารย์ในลัทธิและศาสนาอื่นๆ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เขามักจะแสดงปาฏิหาริย์จากพื้นที่ว่างอันศักดิ์สิทธิ์ของจิตที่เป็นอิสระ แทนที่จะมัวแต่นั่งโต้เถียงกัน[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ในหลักพุทธปรัชญาแห้งๆอย่างไม่มีวันจบสิ้น[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]แม้ก่อนหน้าการรู้แจ้งเขาจะได้พบกับคุรุมากมาย ความสำคัญของทีโลปะในฐานะต้นน้ำแห่งสายคากิว[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ของพุทธศาสนาทิเบตนั้น เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่เขาได้พบกับพระพุทธวัชรดาราโดยตรง [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]แก่นคำสอนของทีโลปะประกอบด้วยคำสอนในธรรมชาติเดิมแท้ของจิต [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]([/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]มหามุทรา[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]) [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]เขาได้รับถ่ายทอดโดยตรงจากวัชรดารา คำสอนในปราณโยคะ [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif](inner yoga) [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]ที่ประกอบด้วย ๖ เทคนิคสำคัญอันรู้จักกันในนามของ “โยคะทั้งหกของนาโรปะ” [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif](six yogas of Naropa) [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]และ คำสอนในเรื่องอนุตตรโยคะตันตระ ซึ่งถือเป็นคำสอนตันตระในขั้นสูงสุด [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]อันประกอบด้วย ปิตุโยคะ [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif](father tantra) [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]มาตุโยคะ [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif](mother tantra) [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]และอทวิโยคะ [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif](nondual tantra)[/FONT]






    ข้อมูลจาก http://www.prachatai.com/05web/th/columnist/viewcontent.php?SystemModuleKey=Column&System_Session_Language=Thai&ColumnistID=86&ContentID=2628&ID=86
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  8. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    นักรบแห่งตันตระ (4): นาโรปะ จากพระนักปราชญ์สู่มหาสิทธา

    [FONT=Tahoma, sans-serif][​IMG][/FONT]​
    [FONT=Tahoma, sans-serif]หากตัดสินกันอย่างผิวเผินแล้ว คนบ้าๆ บอๆ อย่างทีโลปะคงไม่สามารถอบรมสั่งสอนใครให้รู้แจ้งขึ้นมา[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ได้ แต่ที่น่าทึ่งก็คือ ศิษย์เอกของทีโลปะคือ [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]นักปราชญ์มหาบัณฑิตนาโรปะผู้เลื่องลือ[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]นาโรปะโตมาในครอบครัววรรณะกษัตริย์ โดยเขาถือเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลเลยก็ว่าได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]บิดามารดาต่างก็คาดหวังให้นาโรปะแต่งงานมีครอบครัว และสืบทอดอำนาจและทรัพย์สมบัติของครอบ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ครัวต่อไป นาโรปะทำตามความคาดหวังดังกล่าว แต่งงานมีครอบครัวไปได้นานถึงแปดปี จนวันหนึ่งเขา[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ตัดสินใจที่จะออกบวชจากโลกียวิสัย เขาได้แยกทางกับภรรยาเพื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ใช้ชีวิตสมณะ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ศึกษาพระธรรมอยู่ในมหาวิทยาลัยพุทธที่มีชื่อเสียงอย่างนาลันทา[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]นาโรปะใช้เวลาหลายปีศึกษาเรียนรู้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]พระธรรมวินัยจนทะลุปรุโปร่ง [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ไม่ว่าจะเป็นในคัมภีร์พระไตรปิฎก ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม คัมภีร์ปรัชญาปารามิตาสูตร[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ของฝ่ายมหายาน รวมถึงคำสอนในขั้นของตันตระ จนในที่สุดเขาได้ถูกเลือกให้เป็นอธิการบดี[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ของมหาวิทยาลัยนาลันทา ทุกคนรู้จักนาโรปะในฐานะพระนักปราชญ์มหาบัณฑิตที่เก่งกาจที่สุด[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]วันหนึ่ง ขณะที่นาโรปะกำลังนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับหลักปรัชญาและตรรกะ อยู่บนสนามหญ้าภายใน[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]มหาวิทยาลัยนาลันทา เงามืดได้ทอดผ่าน นาโรปะจึงผละจากหนังสือแล้วหันไปมองเงาอันน่าสะพรึงกลัว[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]นั้น เขาได้เผชิญหน้ากับหญิงแก่ ผิวหม่นคล้ำเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตาสองข้างสีแดงที่จมฝังอยู่ในเบ้าตาอัน[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เหี่ยวย่น ผมสีน้ำตาลจางๆสลับหงอกขาว ริมฝีปากเหี่ยวย่นและบิดเบี้ยว กับฟันที่ผุเน่าเหม็น เธอเดินกระ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เผลกๆ ด้วยไม้เท้าเก่าๆ เข้ามาหานาโรปะ [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]จากนั้นเธอจึงเอ่ยถามว่า “เจ้ากำลังอ่านอะไรอยู่” นาโรปะตอบไปว่าเขากำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหนังสือหลัก[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ปรัชญาพุทธศาสนาอันลึกล้ำ หญิงแก่จึงถามต่อไปว่า “เจ้าเข้าใจตัวอักษรหรือเข้าใจความหมายที่แท้” [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]นาโรปะจึงตอบไปว่าเขาเข้าใจทุกประโยค ทุกตัวอักษรที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้นเป็นอย่างดี หญิงแก่ได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ยินเช่นนั้นก็ดีใจ เต้นรำควงไม้เท้าไปมาอย่างลิงโลด นาโรปะเห็นเธอมีความสุขเช่นนั้น จึงบอกเธอเพิ่มไป[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ว่า เขามีความเข้าใจในความหมายที่แท้ของมันด้วย แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงแก่ก็เริ่มตัวสั่นเทา ร้องไห้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif] สะอึกสะอื้น แล้วทรุดฮวบลงไปกับไม้เท้าเก่าๆ ด้ามนั้น นาโรปะเห็นเช่นนั้นจึงถามหญิงแก่ถึงสาเหตุที่ทำ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ให้อารมณ์ของเธอเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน เธอจึงบอกนาโรปะไปว่า “เมื่อนักปราชญ์มหาบัณฑิตอย่าง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เจ้ายอมรับว่า เจ้าเข้าใจเพียงความหมายตามตัวอักษรของหลักธรรมะที่เจ้าอ่าน เจ้าพูดความจริง อันทำให้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ข้ามีความสุข แต่เมื่อเจ้าโกหกว่าเจ้าเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของหลักธรรมนั้นๆ มันทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ยิ่งนัก”[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]นาโรปะได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เขารู้แก่ใจว่าสิ่งที่หญิงแก่พูดเป็นความจริงทุกประการ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]แรงบันดาลใจแห่งการค้นหา “ความหมายแห่งชีวิตที่แท้” ได้ผุดบังเกิดขึ้นในใจ เขาจึงได้ถามหญิง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]แก่ไปว่า “แล้วใครกันที่เข้าใจความหมายที่แท้ แล้วฉันจะสามารถรู้แจ้งในความหมายที่ว่านั้นได้ด้วย[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]วิธีการใด” หญิงแก่ยกไม้เท้าชี้ไปที่ป่าทึบพร้อมกล่าวว่า “เขาผู้นั้นคือ “น้องชาย”ของข้า [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]จงออกเดินทางตามหาด้วยตัวเจ้าเอง แสดงความเคารพ แล้วขอให้เขาสอนความหมายที่แท้แห่งธรรมะให้[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]แก่เจ้า” [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]พอกล่าวจบทาคิณีในคราบหญิงแก่อัปลักษณ์ก็หายตัวไปในบัดดล “ราวกับเงารุ้งในฟากฟ้า” [/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]เราอาจจะปฏิเสธความน่าเชื่อถือของตำนานที่ว่านี้ เพราะมันออกจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินกว่าที่จะจริงจัง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ไปกับมัน โดยเฉพาะคนที่มีชื่อเสียงและความสำเร็จอย่างนาโรปะด้วยแล้ว ออกจะเป็นเรื่องง่ายที่จะ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]หันกลับไปยึดมั่นกับความสำเร็จทางโลกที่เขาสั่งสมมาอย่างที่ไม่จำเป็นจะต้องไปให้ความสำคัญกับคำพูด[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ของคนแปลกหน้าอย่างหญิงแก่นางนั้น แต่ในกรณีของนาโรปะ วินาทีนั้นบ่งบอกถึงบางสิ่งบางอย่างในตัว[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เขาที่อยู่เหนือความคับแคบของอัตตา อันเป็นสิ่งที่เขาโหยหามานานแสนนาน [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เขาพร้อมที่จะอุทิศชีวิตที่เหลือของเขาในการค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ที่แท้ นาโรปะจึงตัดสินใจ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ประกาศลาออกต่อหน้าที่ประชุมของเหล่าพระนักปราชญ์ทั้งหลาย เพื่อออกเดินทางตามหาบุคคลที่เขา[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]แทบจะไม่รู้แม้กระทั่งความจริงที่ว่า “น้องชาย” ของหญิงแก่ที่ว่านั้นมีชีวิตอยู่บนโลกนี้จริงๆ หรือไม่[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]พระสงฆ์ที่นาลันทาต่างก็คิดว่านาโรปะได้เสียสติไปแล้ว พวกเขาพยายามหว่านล้อมนาโรปะให้หันกลับมา[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ให้คุณค่ากับวิถีชีวิตของพระสงฆ์ที่ต่างเพียบพร้อมไปด้วยการศึกษาและศีลจรรยาที่สูงส่ง อันแสดงถึงเป้า[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]หมายที่ชัดเจนของพุทธศาสนา ความคิดที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่านั้นจึงถูกมองเป็นบาปหนักต่อโพธิ์ใหญ่[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]แห่งพุทธธรรมที่งอกงาม[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]เหล่าเพื่อนๆ ของนาโรปะต่างช่วยกันทุกวิถีทาง ให้นาโรปะได้หวนคิดถึงช่วงเวลาและสิ่งต่างๆ ที่เขาได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ทุ่มเทไปกับการศึกษาร่ำเรียน หน้าที่การงานในมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งชื่อเสียงเกียรติยศที่เขาได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]สั่งสมมาในฐานะนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ อันไม่ควรถูกทิ้งขว้างอย่างง่ายดายด้วยเช่นนี้ กษัตริย์ในมณฑลนั้น[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]จะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และหากนาโรปะยืนยันต่อการตัดสินใจครั้งนี้ ก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ชื่อเสียงทั้ง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]หมดของเขาจะถูกทำลายป่นปี้ อย่างไม่มีทางจะเรียกคืนกลับมาได้เหมือนเก่า [/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]อย่างไรก็ดี นาโรปะไม่ได้หวั่นไหวไปกับคำขู่เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เขาสละหนังสือและพระคัมภีร์ทั้ง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]หลายทิ้งไปอย่างไม่เสียดาย หยิบเพียงบาตร ย่ามและสิ่งของติดตัวไม่กี่อย่าง แล้วมุ่งหน้าไปยัง [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]“ทิศตะวันออก” สู่ป่าทึบสลับกันทะเลทรายผืนกว้าง เพื่อตามหาคุรุของเขา[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]นาโรปะพบว่าการเดินทางแสวงหาอาจารย์ของเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก ความสับสน และความ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ท้อแท้ สิ้นหวัง หลายต่อหลายครั้งที่เขาพบกับเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่นาโรปะคิดไปว่ามันไม่เกี่ยวข้อง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]อะไรกับการตามหาอาจารย์ของเขา แต่กลับมาตระหนักได้ในภายหลังว่าเหตุการณ์เหล่านั้นคือร่องรอยการ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ปรากฏตัวของทีโลปะ ดูเหมือนยิ่งเดินท่องไปมากเท่าไร นาโรปะก็ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคภายในจิต[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ใจของเขาเองมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรมะที่มีอยู่เต็มหัว ความหลงทนงตนที่ถูกสะสมมาตลอด[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ช่วงเวลาของการร่ำเรียน และความอวดดีว่าตัวเองนั้นเข้าใจถึงความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ในที่สุดนาโรปะก็มาถึงจุดที่เขารู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทนกับการพยายามตามหาทีโลปะ จิตของเขาทั้งฟุ้งและ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]วิ่งวุ่นอย่างไม่มีหยุดพัก ร่างกายรู้สึกราวกับจะระเหิดหาย ส่วนจิตใจก็ตกสู่ภาวะสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]โชคชะตาดูเหมือนจะกำลังเล่นตลกกับเขา ชีวิตเก่าก็ได้โยนทิ้งไปหมดสิ้น ส่วนชีวิตใหม่ตามหาเท่าไรก็ไม่[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]มีที่ท่าว่าจะพบ[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]ในขณะที่รู้ดีว่า เขาคงไม่มีทางหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าได้อีก หนทางข้างหน้าก็ดูจะเต็มไปด้วยอุปสรรค[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ที่กีดขวางการค้นพบศักยภาพภายในตัวเขา ความสิ้นหวังได้พานาโรปะมาถึงจุดที่เขาเชื่อว่า [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]คงเป็นเพราะบาปกรรมที่เขาได้ทำไว้ในอดีตชาติ ที่ทำให้ชาตินี้เขาคงไม่มีทางที่จะได้พบกับคุรุที่เขาเฝ้า[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ตามหา เขาจึงตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย นาโรปะได้หยิบมีดขึ้นมาแล้วเตรียมที่จะปาดคอตัวเอง[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]ทันใดนั้น ทีโลปะในร่างของชายผิวน้ำเงินคล้ำได้ปรากฏตัวต่อหน้านาโรปะ ทีโลปะบอกกับนาโรปะว่า[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif] “ตั้งแต่วินาทีที่เจ้าตัดสินใจออกเดินทางตามหาคุรุ ข้าได้อยู่เคียงข้างเจ้าตลอดเวลา เป็นเพียงเพราะกิเลส[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ตัณหาพรางตาไม่ให้เจ้าเข้าใจความจริงในข้อนี้ แต่กระนั้นเจ้าก็ดูจะเป็นภาชนะที่คู่ควรต่อสายธารธรรม [/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถรับการถ่ายทอดคำสอนสูงสุดได้ ดังนั้นข้าจึงยินยอมที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์”[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]ช่วงเวลาสิบสองปีหลังจากนั้น นาโรปะผู้ได้กลายเป็นศิษย์ของทีโลปะ ได้ผ่านกระบวนการฝึกฝนที่ยาก[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ลำบากเหลือประมาณ ทีโลปะได้ให้แบบทดสอบทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ความเข้มข้น[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ของกระบวนการฝึกได้แสดงถึงความใส่ใจและความเข้าใจที่ทีโลปะมีต่ออุปสรรคภายในที่นาโรปะสะสมมา[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ในอดีต แต่ละถ้อยคำสอนดูเหมือนจะบาดลงไปยังตัวตนของนาโรปะอย่างไม่ปรานี จนหนีไม่พ้นกับความรู้สึกที่ว่าการกระทำของทีโลปะดูช่างไร้ศีลธรรม และได้ทำร้ายชีวิตและจิตใจของศิษย์ผู้นี้อย่างเลวร้ายที่[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]สุด แต่กระนั้นทีโลปะก็ได้เผยให้นาโรปะได้เห็นการดำรงอยู่ของชีวิตที่เป็นอิสระ กว้างใหญ่ ใสชัด[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif][/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ประภัสสร อันเป็นคุณลักษณะที่ก้าวพ้นทวินิยมถูกผิดและการเกิดดับของอัตตาที่คับแคบ ตลอดช่วงเวลาที่[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]ว่านี้ทีโลปะแทบจะไม่ได้พูดสอนอะไรมากมาย คำสอนที่นาโรปะได้รับเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ไม่ต้องการ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]คำอธิบาย เป็นประสบการณ์ตรงของความทุกข์ ความเจ็บปวด รวมถึงการกระทำที่ดูไร้ความหมายแต่กลับ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]มีนัยให้เขาได้ลองปฏิบัติตาม การเดินทางของนาโรปะดูจะปราศจากความปลอดภัย และคำยืนยันใดๆ [/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถยืนหยัด อดทน ด้วยความศรัทธาต่อตันตราจารย์ทีโลปะอย่างไม่สั่นคลอน นาโรปะไม่เคยมีความคิดที่จะย้อนกลับไปสู่ทางเลือกอื่น เพราะเขาตระหนักดีว่าเส้นทางชีวิตของเขาดูจะไม่มีทาง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, sans-serif]เลือกอีกต่อไป[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]สิบสองปีผ่านไป วันหนึ่งขณะที่นาโรปะกำลังยืนอยู่กับทีโลปะกลางพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง ทีโลปะกล่าวว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะส่งทอดสายธรรมอันลึกล้ำให้แก่นาโรปะ ผ่านคำสอนปากเปล่าที่ใครๆ ต่างก็ปรารถนา เมื่อทีโลปะถามถึงเครื่องบรรณาการ นาโรปะผู้ซึ่งไม่หลงเหลือของมีค่าติดตัวจึงตัดสินใจมอบนิ้วมือและเลือดของเขา ดังที่ลามะธารนารถกล่าวไว้ว่า[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]“[/FONT][FONT=Tahoma, sans-serif]หลังจากทีโลปะได้เก็บรวบรวมนิ้วมือของนาโรปะ ทันใดนั้นทีโลปะก็ถอดรองเท้าแตะออกมาฟาดหน้าศิษย์ของเขาอย่างแรง จนนาโรปะล้มหมดสติไป พอตื่นขึ้นมานาโรปะก็ได้พบกับสัจธรรมสงสุด อันได้แก่ ความเป็นเช่นนั้นเองของสรรพสิ่ง นิ้วมือของเขาถูกต่อกลับอย่างไม่มีร่องรอยของบาดแผล ณ วินาทีนั้นเขาได้รับการส่งทอดคำสอนปากเปล่าอันเป็นหัวใจแห่งสายธรรมเดิมแท้ นาโรปะได้กลายเป็นเจ้าแห่งเหล่าโยคี”[/FONT]

    [FONT=Tahoma, sans-serif]นาโรปะได้รับการถ่ายทอดหัวใจคำสอนแห่งมหามุทราจากทีโลปะ รวมถึงโยคะทั้งหก และอนุตตรโยคะตันตระ จนท้ายที่สุดเขาได้กลายเป็นสิทธาผู้รู้แจ้งในสายการปฏิบัติที่สืบทอดมาจากอาจารย์ของเขา บ่อยครั้งที่ผู้คนเห็นนาโรปะเดินท่องไปอย่างไร้จุดหมายในป่าทึบ บ้างก็สะพายธนูออกล่ากวาง บ้างก็อยู่ในกามามุทรา บ้างก็ราวกับเด็กน้อยกำลังเล่นสนุก หัวเราะ สะอื้นไห้ [/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]ในฐานะตันตราจารย์ผู้รู้แจ้ง นาโรปะรับศิษย์เข้าฝึกกับเขา และแม้พฤติกรรมของเขาจะดูประหลาดพิลึกในมุมมองคนทั่วไปสักเพียงไร นาโรปะก็ได้แสดงถึงพลังแห่งการตื่นรู้เหนือหลักการ เปี่ยมด้วยปัญญาญาณ ความรัก ความเมตตา และพลังแห่งจิตอันลึกล้ำเหนือคำบรรยาย อีกด้านหนึ่งนาโรปะยังคงความเป็นนักปราชญ์ผู้สามารถประพันธ์งานเขียนในขั้นวัชรยานอันทรงคุณค่า ดังเห็นได้พระคัมภีร์เท็นเจอ ที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่โยคีผู้ปฏิบัติ[/FONT]


    [FONT=Tahoma, sans-serif]นาโรปะถือเป็นธรรมาจารย์คนสำคัญในวิวัฒนาการของสายคากิว โดยเฉพาะการรวมเอาเทคนิคตันตระกับหลักปรัชญาพุทธดั้งเดิมเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ก็คือสายปฏิบัติอันมีชีวิตที่เปี่ยมด้วยการอุทิศตนสู่สายธรรมเดิมแท้เหนือหลักตรรกะ กับหลักปรัชญาพื้นฐานอันแสดงความเข้าใจที่ถูกต้องในเส้นทางการฝึกตน ก็เพราะนาโรปะนี่เองที่ทำให้คำสอนอันลึกซึ้งตามวิถีโยคีอนาคาริกของทีโลปะ สามารถเดินทางออกจากป่าทึบในอินเดียตะวันออก สู่รูปแบบการฝึกฝนในแบบโยคีผู้ครองเรือนที่ได้ถูกปรับให้เหมาะสมตามเหตุปัจจัยในยุคสมัยโดยศิษย์เอกของนาโรปะที่ชื่อมาร์ปะ[/FONT]





    ข้อมูลจาก http://www.prachatai.com/05web/th/columnist/viewcontent.php?SystemModuleKey=Column&System_Session_Language=Thai&ColumnistID=86&ContentID=2742&ID=86
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  9. pucca2101

    pucca2101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    5,805
    ค่าพลัง:
    +20,896
    ตันตระนี่เป็นกรรมฐานกองนึงหรือป่าวคะ แล้วดินแดนตันตระนี่ ใช่สวรรค์ชั้นไหนซักชั้นนึงหรือป่าวคะ หรือว่าไม่ใช่

    อย่างคนที่ตายไปแล้ว แต่ใจยังยึดติดเป็นห่วงลูกเมีย คือ ดวงจิตยังติดกับวิญญาณใช่ไม๊คะ แล้วจะปลดปล่อยได้โดยวิธีใดคะ
     
  10. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ;aa20 ครูจอย ก็เป็น ตันตระ สำหรับผม อิอิ
     
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ตันตระ คือ เทคนิค เป็นอุบาย ในการหลุดพ้นในทางมหายาน หรือ วัชรยานคะ

    ถ้า เป็น ของ ฮินดู เรียกว่า ฮินดูตันตระ ถ้าเป็น พุทธ ก็เรียกว่า พุทธตันตระ




    หากใช้ ผิดวัตถุประสงค์ ก็เหมือนการ ดื่มเหล้าเเรงๆ คือ ทำให้ล้มทั้งยืนได้คะ
     
  12. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    อ่านแล้วตาลาย
     
  13. โอ๊ตศ์

    โอ๊ตศ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,107
    หากสนใจศึกษา ศาสตร์ตันตระ pm. มาได้ค่ะ

    เดี๋ยวให้ที่อยู่ของ "ตันตระเทวาลัย"

    อยู่ใน กทม.นี่แหละ
     
  14. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    พุทธมี กสิน 10 กรรมฐาน 40

    ตันตระ มี 112 ประการ ในการ จุติสู่สภาวะใหม่อันเรียกว่า ญาณ คือ การรู้
     
  15. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10
    ตันตระ แปลว่า ถักทอ วัชรยาน แปลว่า ยานพาหนะที่เป็นเพชร ลำงดงาม น่ามหัศจรรย์ยิ่ง
    มหายาน - ลำใหญ่ น่ายกย่องยิ่ง / หินยาน - ลำเล็ก น่ารังเกียจยิ่ง
    (ตามคติของ บัญญัติ ยุคหลัง)

    ไม่ปฎิเสธการหลับ (ไสยศาสตร์) และไม่ปฎิเสธการตื่น (พุทธศาสตร์)
    มีพิธีไสยกรรม(ลวงหลับลึก) กามสูตรปฏิบัติ(หลักร่วมเพศเพื่อบรรลุธรรม) พร้อมๆกับ กรรมฐาน สติปัฎฐานปฏิบัติ
    หลอมรวมความเชื่อของพราหมณ์-กลุ่มดั้งเดิมของลุ่มแม่น้ำสินธุ แต่ไม่ใช่ฮินดู(สินธุ ในสำเนียงไทย)
    ทั้งๆที่ พุทธศาสตร์ กำเนิดมาเพื่อปลดพันธณการจาก ไสยศาสตร์

    แล้วแต่จริตของบุคคลนะ เพราะ หลับๆตื่นๆ ก็เหมาะกับพื้นนิสัยของบางกลุ่มจริงๆ ล้วนทำให้หลุดพ้นได้เช่นกัน
    ตามวิสัยทัศน์แต่ละภูมิของคน ไม่เชิงปราม แต่ให้พิจารณาเอาตามควร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2008
  16. nice57230

    nice57230 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +163
    ขอบคุณครับผม^_^
     

แชร์หน้านี้

Loading...