สมาธิในบ้านทุกท่านทำได้จริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บดินทร์จ้า, 17 มิถุนายน 2008.

  1. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ช่วยพูดถึงประสบการณ์ อุปสรรค ในช่วงต้นๆ ที่เกิดขึ้น
    พร้อมวิธีแก้ไขได้มั้ยครับ จะเป็นประโยชน์มาก

    เช่น ฟุ้งซ่าน, โมโห, อยากได้นั่นอยากได้นี่, คิดนั่นคิดนี่, ง่วงเหงาบ้างหรือเปล่า, สงสัยขึ้นมา ฯลฯ
     
  2. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ขอขอบคุณท่านผู้ที่ตั้งคำถาม ท่านผู้ชี้แนะ และท่านผู้ร่วมอ่านกระทู้ทุกท่าน สำหรับวันนี้จะยังไม่ขอตอบคำถามอะไรนะครับ (ใจจริงแล้วผู้เขียนเพียงแค่บอกเล่าเท่านั้น ส่วนจะจริงหรือมีข้อสงสัยใดๆ ผู้เขียนเพียงต้องการให้ทุกท่านได้ลองทำดู เพราะตัวเองจะเข้าใจในเหตุและผล ของแต่ละบุคคลที่ดีอยู่แล้วครับ จงอย่าเชื่อสิ่งใดๆหากเรายังไม่ปฏิบัติให้ถึงจริงๆ เพราะเป็นอนิจจัง เป็นสิ่งไม่เที่ยง บางท่านอาจจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างกว่านี้ แต่สุดท้ายจะเป็นอนัตตาครับ) สำหรับช่วงนี้จะนำประสบการณ์การพิจารณาและการปฏิบัติสมาธิใน ฌานที่ 5 ว่าด้วยอากาสานัญจายตนะ
    มาบอกเล่านะครับ เพื่อเป็นธรรมทานที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
    ก่อนอื่นจะขอกล่าว ว่าด้วยเรื่องจตุตถฌาน(ฌานที่ 4) จากหนังสือ มาลัยเทพนิทาน<o></o>
    ตามข้อคารมที่พรรณนาว่า พระมาลัยเข้าจตุตถฌาน อันเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญานั้นอย่างไร<o></o>
    อธิบายว่า ธรรมชาติใดอันบุคคลรู้โดยวิเศษ ธรรมชาตินั้นชื่อว่าอภิญญา<o></o>
    อภิญญา คือปัญญารู้วิเศษนั้น มีห้าประการ คือ<o></o>
    อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ ๑ ทิพพโสต หูทิพย์ ๑ ปรจิตตวิชชา รู้จิตผู้อื่น ๑บุปเพนิวาสานุสติ ระลึกชาติหนหลังได้ ๑ ทิพพจักษุ ตาทิพย์ ๑ อภิญญาของพระมาลัยนั้น ประสงค์ซึ่งอิทธิวิธี คือ แสดงอิทธิฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศได้
    อนึ่งชื่อว่า ฌาน นั้น ด้วยอรรถว่าเผาเสียซึ่งธรรมอันเป็นข้าศึกทั้งมวล มีถีนมิทธนิวรณ์เป็นต้น
    อีกนัยหนึ่ง ว่า เพ่งซึ่งอารมณ์เป็นลักษณะ จึงชื่อว่า ฌาน
    ฌานนั้นมี 2 ประการ คือ อารัมมณูปนิชฌาน ๑ ลักขณูปนิชฌาน
    ---อารัมมณูปนิชฌาน ได้แก่ อัฏฐสมาบัติ 8 ประการกับอุปจารเหตุเพ่งกสินรูปเป็นอารมณ์
    อัฏฐสมาบัติ 8 ประการ นั้นคือ ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ อรูปฌาน 4
    คือ อากาสานัญจายตนะ ๑ วิญญาณัญจายตนะ ๑ อากิญจัญญายตนะ ๑ เนวสัญญายตนะ ๑ รวมเป็นสมาบัติ 8 ประการ<o></o>
    --- ลักขณูปนิชฌาน นั้น ได้แก่ วิปัสสนาญาณ 10 และ มรรค 4 ผล 4 เหตุเพ่งพระไตรลักษณ์ พิจารณาสังขารธรรมทั้งหลาย ทั้งปวง เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เนืองๆ จตุตถฌานอันเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญานั้นคือ อารัมมณูปนิชฌาน
    ปุจฉาว่า จตุตฌานนั้นเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญาอย่างเดียวหรือเป็นที่ตั้งแห่งสิ่งอื่นด้วย
    วิสัชนาว่า จตุตฌานจะเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญาอย่างเดียวหามิได้ บางทีเข้าจตุตถฌานแล้ว ก็เป็นเอกัคคตาสมาธิเสมอไปสิ้นกาลช้านานก็ได้ จะนั่งนิ่งอยู่ทีเดียวจนกำหนดดวงจันทร์จะสิ้นแสงก็ได้
    บังเกิดเป็นที่ตั้งแห่งสมาธิมั่นคง บางทีเจริญพระวิปัสสนาแล้วเข้าสู่จตุตถฌานเป็นที่ตั้งก่อนก็ได้ เป็นที่ตั้งแห่งผลนิโรธสมาบัติก็ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2009
  3. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ว่าด้วยเรื่องพระอรหันต์ 2 ประเภท
    ภันเต ข้าแต่พระคุณผู้เจริญ พระอริยสาวกทั้งหลายเหมือนพระผู้เป็นเจ้า ที่ได้สำเร็จแก่พระอรหัตต์ เป็นองค์พระอรหันต์ขีณาสพฉะนี้ มีกี่ประเภท
    ขอถวายพระพร : พระอรหันต์มีสองประเภท พระขีณาสพประเภทหนึ่งแจกเป็น 2
    ข้าแต่พระคุณผู้เจริญ พระอรหันต์สองประเภทนั้น คือ พระอรหันต์สุขวิปัสสก พิจารณาสังขารธรรม และกิเลสขาดเด็ด ๑ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณนั้น แตกฉานในอรรถธรรมนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ๑
    แต่พระคุณเจ้าว่า พระขีณาสพประเภทหนึ่งแจกเป็น 2 นั้น แจกอย่างไรกัน จะใคร่แย้งสักหน่อย มีนัยอธิบายประการใด
    มหาราช ขอถวายพระพร พระขีณาสพพวกหนึ่ง ชื่อว่า อุภโตภาควิมุตติ เจริญสมาธิจิตในอรูปสมบัติ ยึดหน่วงเอากายเป็นอารมณ์ ยึดหน่วงเอาจิตเป็นอารมณ์ ยึดหน่วงเอาสภาวะสูญเปล่าเป็นอารมณ์ ยึดหน่วงเอาสัญญาจิตเป็นอารมณ์ แล้วพ้นจากรูป จากกายเป็นพระขีณาสพอย่างหนึ่ง คือมีสันดานพ้นจากนามกาย
    อุภโตภาควิมุตติ มี ห้าอย่าง ด้วยพระอริยมัคคญาณ ขณะเมื่อสำเร็จพระอรหัตต์ผลนั้นอย่างหนึ่ง เป็นพระขีณาสพจำพวกเดียวแจกเป็นสองอย่างนี้
    ว่าด้วยอุภโตภาควิมุตติห้า
    นัยหนึ่งว่าพระโยคาวจรกุลบุตรที่เป็นอุภโตภาควิมุตตินั้น มีห้าอย่าง คือ
    ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติ แล้วถึงพระอรหันต์ พวกหนึ่ง
    ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้วถึงพระอรหันต์ พวกหนึ่ง
    ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้วถึงพระอรหันต์ พวกหนึ่ง<o></o>
    ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ แล้วถึงพระอรหันต์ พวกหนึ่ง<o></o>
    เมื่อได้สำเร็จพระอนาคามีแล้วเข้าสู่นิโรธสมาบัติสิ้นเจ็ดวัน ออกจากนิโรธสมาบัติ แล้วถึงพระอรหันต์ พวกหนึ่ง เป็นอุภโตภาควิมุตติห้า อย่างด้วยประการฉะนี้
    ก็ขอจบหนังสือมาลัยเทพนิทานแต่เพียงเท่านี้ นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2009
  4. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ต่อไปนี้ก็จะเป็นเรื่องเล่าประสบการณ์ในหัวข้อ อากาสานัญจายตน
    จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ที่นิมิตเห็นหรือฝันไป แล้วแต่ทุกท่านจะพิจารณากันนะครับ <o></o>
    ท่านหลวงปู่เจี๊ยะ ท่านบอกให้ตัวข้าพเจ้าเลิกเล่นกสิน เล่นอภิญญา แล้วให้กลับมากำเนิดลมหายใจ ยึดองค์ภาวนา จนกระทั่งตัวข้าพเจ้าต้องเพิกเฉยภาพและแสงต่างๆ อันจะได้มาซึ่งอภิญญา ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิ แล้วหาเหตุ และ ผล ที่หลวงปู่ท่านได้ห้ามไว้ จนกระทั่งสมาธิเดินมาจนจบ ฌานตัวที่ 4 จนเป็น เอกคตา และ อุเบกขา หยาบ กลาง ละเอียด เกิดขึ้น พร้อมกับความว่างเปล่าไม่มีอะไรให้เห็น มีแต่ความสงบ ในการนั่งทำสมาธิ เวลาที่นั่งเหมือนตอไม้หรือหุ่นยนตร์ ไม่กระดุกกระดิก ไม่รู้หนาวหรือร้อน ไม่รู้สึกใดๆเลย แม้จะถอนจากสมาธิ แล้ว ก็นอนเหมือนคนที่นอนไม่มีลมหายใจ สงบมาก หากทำงานอีกวัน ก็ดูลมหายใจ ก็แปลกใจ ลมหายใจทำไมเบาจังเลย ก็พิจารณาจนได้ข้อสรุปว่า ลมหายใจนั้นเมื่อละเอียดมากนั้น จะถูกอัดแน่นด้วยอนุภาคเล็กๆ ของอากาศ ใส่เข้าไปจนเต็มหลอดลมหายใจแล้วล้นออกมา อุปมาเหมือนเติมน้ำใส่แก้วน้ำแล้วล้นออกมา หรือจะอธิบายให้กว้างกว่านี้ก็คือ ระหว่างใส่อาหารแห้งเป็นชิ้นๆ ลงในแก้ว กลับ ของเหลว ที่เป็นน้ำ ใส่ลงแก้ว อันไหนจะใช้พื้นที่ของแก้วได้มากกว่ากัน เช่น เดียวกัน ในขณะที่ทุกท่านยังไม่ทำสมาธิลมหายใจของทุกท่านยังหยาบอยู่ จึงมีช่องว่างของอุปทานเข้ามาแทรกได้ เปรียบดังอาหารแห้งเป็นชิ้นๆ จะตักออกมาข้างนอก เดี๋ยวเดียวก็หมด คือ ลมหายใจก็จะถี่ขึ้น แต่ไม่ทั่วท้อง เพราะเก็บลมหายใจได้นิดเดียว หากเติมน้ำลงไปแทน ตักออกกว่าจะหมดก็ใช้เวลาที่นาน นั้นคือ ผู้ที่ทำสมาธิจนละเอียด สามารถเก็บลมหายใจได้เต็มท้อง จึงหายใจเบามากๆ องค์ของฌาน ทั้ง 5 ก็เช่นเดี่ยวกัน คือ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข จะถูกรวมเข้ากับตัวเอกคตา จนกลายเป็นอุเบกขา ซึ่ง เวลาจะถอยสมาธิกลับก็ค่อยๆคลาย ออกมา ตามลำดับไป อันไหนเข้าก่อนก็ออกทีหลัง<o></o><o></o>
    ประสบการณ์ที่ 17 พิจารณา ความว่างเปล่า ก่อนจะเข้า ฌาน 5<o>:p></o>:p>
    ตัวผู้เขียนนั่งสมาธิดูความว่างเปล่าเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน เห็นจะได้ทุกๆวัน วันละ 2 ชั่วโมง จนกระทั่งเริ่มสังเกตเห็น ในความว่างเปล่านี้ทำไมมันไม่สะอาด อุปมา เหมือนกับผงฝุ่นที่ลอยในอากาศแล้วต้องแสงระยิบระยับ ด้วยอุปนิสัยส่วนตัว จึงเกิดคำถามขึ้นว่า ความว่างเปล่าที่พิจารณาดุอยู่ทำไมยังมีตำหนิอยู่ ยังไม่บริสุทธิ์ที่แท้จริง เราย่อมมีโอกาสตกอยู่ในมือท่านมัจจุราช เป็นแน่แท้ แล้วก็เกิดความลังเลสงสัยอีกว่า ทำไมท่านหลวงปู่ฤาษีลิงดำ และหลวงปู่เจี๊ยะ ท่านถึงไม่ให้เราฝึกอภิญญา แล้วเราจะฝึกต่อ ฌานที่ 5 ว่าด้วย อากาสานัญจายตน ได้อย่างไร จึงตั้งจิตอธิฐานถึงหลวงปู่ฤาษีลิงดำ ว่า หลวงปู่ครับ ทำไมคนอื่นเขาจะไปนิพพาน เขาไม่ต้องปฏิบัติถึง ฌานที่ 5 ก็ได้ อีกอย่างการที่จะต่อ ฌาน 5 ได้ ต้องฝึกกสินทั้ง 10 มาก่อน แล้วนี่ท่านหลวงปู่ ไม่ให้ผมเล่นกสินทั้ง 10 แล้วผมจะฝึก ฌานที่ 5 ได้อย่างไร ครับ เมื่ออธิฐานเสร็จ 2 ครั้ง ก็ทำสมาธิดูความว่างเปล่าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบ 2 ชั่วโมง หลังจากแผ่เมตตาเสร็จแล้ว ก็นอนกำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ ก็ฝันหรือนิมิต ก็แล้วแต่ท่านจะคิดกันนะครับ เหตุและผลอยู่ที่ตัวท่านเองอยู่แล้วครับ หลวงปู่ท่านบอกว่า ทำได้เหมือนกัน เจ้าก็เข้าสมาธิจนเป็น เอกัคคตา ฌาน 4 ไปเรื่อย แล้วก็จะถึง ฌานที่ 5 เอง เพราะเป็นของเก่าของเจ้า แล้วเจ้าก็จะสามารถเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ได้เหมือนกัน
    ;aa19;aa22
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2009
  5. sirapob

    sirapob สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +16
    ขอบคุณครับ
    ผมจะตั้งใจทำสมาธินะครับ
    เป็นประโยชน์ต่อผมมากๆเลยครับ

    อนุโมทนา สาธุ
     
  6. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ประสบการณ์ที่ 18เริ่มเข้าสู่ ฌานที่ 5จิตตกภวังค์อย่างลึก
    ในเมื่อเข้าสู่ความว่างเปล่าแล้ว ทำไมจึงเกิดอนุภาคเล็กๆ จะมืดก็ไม่มืด จะสว่างก็ไม่สว่าง คล้ายกลับความมืดสลัวๆ ในคืนพระจันทร์เต็มดวง แล้วเราจะพิจารณาอย่างไรดี จนกระทั้งสังเกตเห็น เม็ดแสงจะขาวก็ไม่ขาว จะว่าไม่มีสีก็ไม่ใช่ คล้ายๆผงฝุ่น เริ่มจับตัวกันเป็นกลุ่มขนาดเท่าวงกสินนิมิต ที่เคยปฏิบัติก่อนหน้านี้ มารวมตัวอยู่ข้างหน้า แล้ว ก็หยุดนิ่ง ซักพักหนึ่ง จิตก็ตกภวังค์ ดำดิ่งลึก คล้ายตกจากที่สูง ที่สูงกว่าภวังค์ในรูปฌาน 4 ที่ผ่านมา
    ยกตัวอย่าง<o></o>
    1.อาการภวังค์ สำหรับ รูปฌาน 4<o></o>
    1.1 คล้ายดั่งตกหลุม หรือ บ่อลึก ประมาณท่วมตัว<o></o>
    1.2 คล้ายดั่งขับรถ ขึ้นที่สูงแล้วลงต่ำ ในระยะประชิดกัน<o></o>
    1.3 คล้ายดั่งรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วแล้วขึ้นสะพาน แล้วลงในระยะสะพานสั้น <o></o>
    1.4 ขึ้นและลงลูกระนาด หรือตกหลุม<o></o>
    2.อาการภวังค์ สำหรับ อรูปฌาน 4 <o></o>
    2.1 นั่งรถขึ้นสู่ยอดเขา แล้วลงจากยอดเขาในลักษณะชัน <o></o>
    2.2 การกระโดดจากที่ สูงลงสู่ที่ ต่ำ การจะดึงจิตกลับ จึงใช้เวลาที่นานกว่า ฮึด....ฮึด... .แบบต้องลุ้น คล้ายลุ้นมวยเหรียญทองโอลิมปิก อย่างไรอย่างนั้น พร้อมกับการพุ่งออกไปข้างหน้าของภาพนิมิตที่เห็น จากนั้นก็หลุดจากภวังค์ ไม่ปรากฏอะไรอีกเลย (ตกภวังค์ในขณะที่องค์ภาวนายังมีอยู่)พอวันต่อมาด้วยความสงสัย จึงตั้งจิตอธิฐานถึงหลวงปู่ฤาษีลิงดำ อีกครั้งหนึ่ง แล้วท่านก็ให้คำตอบว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเมื่อได้คำตอบดังนี้แล้วผู้เขียนก็ไม่สนใจ ก็เพราะมันเป็นอนิจจัง จะไปยึดมั่นถือมั่นทำไม ก็ทำสมาธิไปเรื่อย ๆ จนได้ข้อมูลจากหนังสือพระวิสุทธิมรรค หัวข้อการฝึกอรูปฌาน 4 ว่าเหตุการณ์ที่ปรากฏนั้น เป็นลักษณะของบุคคลที่จะฝึกต่อสมาธิในฌานที่ 5 ได้ สรุปแล้ว ใช้เวลาพิจารณาความว่างเปล่า ตั้ง เกือบ 3 เดือน <o></o>
    2.3เมื่อปฏิบัติไปบ่อยๆ จิตจะตกภวังค์คล้ายกับ รูปฌาน 4 ที่กล่าวมาแล้ว<o></o>
    จากพระวิสุทธิมรรค หัวข้อ........รูปฌาน 4<o></o>
    ฌานอันพระโยคาพจรแรกได้นั้น บังเกิดขณะเดียวแล้วก็ตกภวังค์ จะได้บังเกิดเป็น ๒ เป็น ๓ เป็น ๔ เป็น ๕ ขณะนั้นหามิได้ฌานที่พระโยคาพจรแรกได้นั้น ไม่ตั้งอยู่จนถึง ๓ ขณะเลยเป็นอันขาด ต่อเมื่อได้แล้วเบื้องหน้านั้น ถ้าจะปรารถนาให้ตั้งอยู่สิ้นกาลเท่าใด ก็ตั้งอยู่สิ้นกาลเท่านั้น ที่จะกำหนดขณะจิตนั้นหามิได้ <o></o>
    ถ้ากุลบุตรนั้นมีวาสนาเป็นทันธาภิญญาตรัสรู้ช้า ฌานบังเกิดที่ ๕ <o></o>
    ถ้ากุลบุตรเป็นขีปปาภิญญาวาสนาเเร็วตรัสรู้เร็ว ฌานบังเกิดที่ ๔ <o></o>
    จากพระวิสุทธิมรรค หัวข้อ..........อรูปฌาน 4<o></o>
    ในปฐมวิถีแรกเริ่มเดิมที เมื่อจะได้สำเร็จอากาสานัญจายตนะนั้น อัปปนาจิตบังเกิดขณะเดียวก็ตกภวังค์ อุเบกขาฌานสัมปยุตตกามาพจรชวนะที่รอง อัปปนานั้นบังเกิด ๓ขณะบ้าง ๔ ขณะบ้าง โดยสมควรแก่วาสนาแห่งบุคคลอันเป็นทันธาภิญญาและขิปปาภิญญา<o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2009
  7. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ประสบการณ์ที่ 19 เริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ ของ ฌานที่ 5
    หลังจากได้ข้อสรุปประสบการณ์ก่อนหน้านี้แล้วจึงเริ่มทำสมาธิ โดยเข้าสมาธิแบบเดิม จนเป็นเอกัคคตา แล้วเพ่งความว่างเปล่าอีก ครั้งนี้สังเกตเห็นอนุภาคเล็ก ๆ ของเม็ดสี ค่อยๆรวมกัน <o></o>
    เป็นวง ขนาดเท่าวงกสินชัดเจนยิ่งขึ้น แล้วพุ่งออกไปข้างหน้า พอพุ่งหาย ก็รวมกันใหม่ แล้วพุ่งออกไป อีกหลายครั้ง (แต่ไม่ตกภวังค์นะครับ) จึงเกิดความสงสัยอีก ก็มาพิจารณาดู แต่ก่อนที่ผู้เขียนเริ่มฝึกใหม่ๆนั้น เราเคยเพ่งดวงแสงสว่างเล็กๆ แล้วพยายามดึงเข้ามาให้อยู่ใกล้ๆ พอดึงเข้ามาแสงก็จะมีขนาดที่เปลี่ยนแปลงไป แล้วก็พุ่งเข้าหาหน้าเราแล้ว ก็หายไป (จากเล็ก....มาใหญ่) เป็นเช่นนี้หลายครั้ง แต่นี่กลับตรงกันข้าม เป็นการรวมตัวของอนุภาคเล็กๆ จนได้ขนาดเท่าวงกสิน แล้วพุ่งหายไป ออกจากหน้า ( จากขนาดใหญ่......ไปเล็ก) ด้วยความอยากรู้และสงสัยว่าเวลาหลับตาดู กับ นั่งลืมตาดูจะเหมือนกันหรือเปล่า ผลที่ปรากฏคือ เหมือนกันเกือบ 100 % ก็เลยนั่งดูเสียเลย ไม่ต้องหลับตา สบายดีแฮะ นั่งดูอากาศในห้องมืดโดยไม่ต้องหลับตา ดู สนุกดีครับ เหมือนอากาศเป็นฉากหนังอย่างงัย อย่างนั้น บางครั้งก็รวมเป็นรูปร่างต่าง ๆ ดูเพลินไปเลย (พิจารณาวิญญาณ) เป็นอยู่นานพอสมควร หากเป็นวันไหนอากาศดีหน่อย ตอนเช้าหรือตอนเย็น มองดูท้องฟ้า จะปรากฏเป็นวงกสินอากาศขึ้น โดยไม่ต้องทำสมาธิก็ได้ หรือจะเรียกว่า ภาพติดตาตลอดก็ได้ครับ<o></o>
    หากวันใดมีพลังสมาธิมาก ภาพวงกสินอากาศจะหยุดนิ่ง สามารถกระทำปฏิภาคนิมิต ขยายเล็กใหญ่ได้ตามต้องการ หากเพ่งวงกสินนั้นต่อไปอีกจะใสเหมือนแว่นแก้ว หากเพ่งเข้าไปอีกจะกลายเป็นภาพท้องฟ้า ยามฟ้าใส สวยงามมากครับ แล้วจิตก็ตกภวังค์ บางวันก็เกิดเป็นตะข่ายหลากสี คล้ายตะข่ายมุ้งลวด แล้วก็บางวันก็เกิดเป็นลุกคลื่นสีเป็นละลอกคลื่น หรือจะเรียกง่ายๆหน่อยคือ คลื่นสนามแม่เหล็กโลก ปรากฏ แปลกดีใช่ใหมครับ<o></o>
    ประสบการณ์ที่ 20 พิจารณาเหตุที่ทำให้เกิดสัญญา และ อุปปาทาน<o></o>
    อยู่มาในวันหนึ่ง ผู้เขียนต้องการทำสมาธิอาโลกสิน (กสินแสงสว่าง) หลับตาทำสมาธิยึดอาโลกสินเป็นอารมณ์ พอทำไปซักพักหนึ่ง สังเกตเห็นความผิดปกติของภาพกสิน คือภาพกสินนั้นค่อยๆแตกตัวออกจากกลุ่มก้อน เป็นชิ้นเล็กๆคล้ายผงฝุ่น กระจายออกมาจนเป็นความว่างเปล่า (อากาศ) ทันใดนั้นปัญญาก็เกิดขึ้นพร้อมกับการพิจารณาที่ว่า โอ้หนอที่แท้แล้วเหตุแห่งการเกิดภาพต่างๆ ..... สัญญาต่างๆ....... อุปปาทานต่างๆ ...... มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกว่า ฌานตัวที่ 5 นี้ จะสามารถตัดสัญญา และอุปปาทานต่างๆ ได้ โดยเด็ดขาด เข้าสู่มรรค 4 ผล4 เพราะสามารถรู้ซึ่งเหตุแห่งการเกิดสัญญา.....นี่เอง ก็เลยมั่นใจขึ้นมาทันทีว่านี่ล่ะ เราเพ่งอากาสานัญจายตน (ฌาน 5) เป็นอารมณ์ ที่ถูกต้อง แล้ว เพราะว่าก่อนหน้านี้ตัวผู้เขียนก็ดูความว่างเปล่ามาหลายเดือน แล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าจะถูกหรือเปล่า<o></o>
    (เป็นความคิดเมื่อไม่ได้อยู่ในองค์สมาธินะครับ หากผู้เขียนทำสมาธิจริงๆจะไม่เปิดช่องให้นิวรณ์ทั้ง 5 เข้ามาเลย เพราะหากตัวใดตัวหนึ่งเข้ามา เขาก็ไม่เรียก ฌาน แล้ว) คิดอย่างเดียวตำราท่านบอกต้องได้กสิน 10 อย่าง หรือใช้ 2 อย่าง คือ (1 ใน 9) อย่างใดอย่างหนึ่ง และ อากาศกสินอย่างหนึ่ง แล้วเราจะทำได้อย่างไร ก็ท่านเขียนไว้ดังนี้ แล้วอีกอย่างต้องเข้านิมิตกสินกองใดกองหนึ่งก่อน ยกเว้นอากาศกสิน แล้วเพิกเสียกสินที่เข้าครั้งแรกนั้น ให้อากาศกสินเข้ามาแทนที่ บัดนี้แล้วจึงเข้าใจชัด และแจ่มแจ้งมาก เพราะการแตกตัวของกสินที่ตั้งในตอนแรก จะแตกตัวกลายไปรวมอยู่ในอากาศ คล้ายๆผงฝุ่นที่ประปนอยู่ในอากาศ จากนั้นอากาศกสินจะค่อยๆเข้าไปรวมตัวกันจนมีขนาดที่ใกล้เคียงดวงกสินนั้นทีละนิด ทีละน้อยจนเต็มดวง เพื่อพิจารณาซึ่ง ตัวสัญญาหรือ ตัวอุปปาทาน นี่เอง (การรวมตัวของอากาศกสินในบางครั้งจะมีขนาดที่ไม่แน่นอน จึงไม่ต้องไปสนใจใดๆจะเล็กหรือใหญ่ก็ชั่งมัน ) <o></o>
    ตัวผู้เขียนพิจารณาอยู่ในขั้นนี้ก็ประมาณ 2 เดือนเหมือนกัน บางทีก็จับตัวเป็น วิญญาณแลบลิ้นเสียยาว ให้ดู ก็นั่งดูมัน หัวเราะมัน ก็เราเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา มันจะหรอกเราให้กลัวทำไม ถ้าเรากลัวก็บ้าแล้วละครับ และปราถนาดี บุคคลที่ยังต้องฝึกใหม่ ที่กลับแพ้ใจตนเอง แพ้ภาพที่เห็นทางสมาธิ ทั้งที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้นั้น เมื่อท่านถึงเวลาต้องจากโลกนี้ไป(ตาย) ภาพที่ท่านเห็นก่อนจากโลกนี้ไปนั้น เป็นตัวบอกว่าท่านจะได้ไปสู่ภพ ภูมิ นั้นๆ หากไม่ต่อสู้วันนี้ แล้วเมื่อถึงเวลาจริงๆ แล้ว ท่านจะนำเรี่ยวแรงที่ไหนไปชำระบาปกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ อย่ามัวท้อแท้อยู่เลยยังมีแรงอยู่ ก็สู้ต่อไป สักวันจะถึงที่หมายดังใจหวัง คิดอย่างเดียวนั่งดูทีวียังดูได้ นั่งดูหนังผียังดูได้ แล้วกับจิตของตัวเองทำไมเราจะดูไม่ได้ ก็เราเป็นผู้กำกับเอง เล่นเอง รู้เองเข้าใจเอง แสดงเอง แต่ไม่หลงนะ เพราะทุกอย่างเป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา เกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่แล้ว มันก็ดับไป จะไปยึดมั่น ถือมั่นทำไมแม้แต่พระธรรมที่พระองค์สั่งสอนมาก็ยังให้ปล่อยวาง อุปมาเหมือนดัง บุคคลที่มีแผนที่อยู่ในมือ แล้วไปยังสถานที่หนึ่งที่ไม่รู้จัก ย่อมใช้แผนที่ เป็นเครื่องชี้ทาง หนทางแม้จะลำบากเราก็ต้องไป กี่ 100 โค้ง 1000 แยก เราก็ไป บางครั้งรถเสีย น้ำมันหมด ยางแตก ยางแบนเราก็ไป บางครั้งก็แวะถามคนในพื้นที่ เมื่อถึงที่หมายแล้ว จะไปและกลับอีกซักกี่รอบก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้แผนที่นั้นอีกต่อไป <o></o>
    จากหนังสือพระมาลัยเทพนิทาน<o></o>
    ปุจฉาว่า จตุตฌานนั้นเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญาอย่างเดียวหรือเป็นที่ตั้งแห่งสิ่งอื่นด้วย<o></o>
    วิสัชนาว่า จตุตฌานจะเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญาอย่างเดียวหามิได้ บางทีเข้าจตุตถฌานแล้ว ก็เป็นเอกัคคตาสมาธิเสมอไปสิ้นกาลช้านานก็ได้ จะนั่งนิ่งอยู่ทีเดียวจนกำหนดดวงจันทร์จะสิ้นแสงก็ได้<o></o>
    บังเกิดเป็นที่ตั้งแห่งสมาธิมั่นคง บางทีเจริญพระวิปัสสนาแล้วเข้าสู่จตุตถฌานเป็นที่ตั้งก่อนก็ได้ เป็นที่ตั้งแห่งผลนิโรธสมาบัติก็ได้ <o></o>
    <o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2009
  8. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ตอบคำถาม ในห้องข้อความ



    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ได้อ่านในหัวข้อที่ท่านได้เอ่ยถึงการปฏิบัติเข้าถึงฌาน 4 ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มใจมากๆ ที่ท่านได้นำประสพการณ์มาบอกเล่า และดีใจที่ได้รู้จัก ผมก็มีหนังสือคู่มือปฏิบัติคู่วัดท่าซุงเหมือนกัน แต่ผมอยากถามท่านว่า อภิญญาเป็นอันตรายต่อคนในครอบครัวอย่างไรครับ ท่านถึงห้ามคุณไว้ไม่ให้ไปเล่นผมอยากทราบจริงๆ ขอให้คำแนะนำล่วยนะครับ;welcome2
    ที่พระอาจารย์ท่านห้ามผู้เขียนเล่นอภิญญา เพราะว่าผู้เขียนมีจริตนิสัย ของฆราวาส ที่ยังมากอยู่ อยู่ในหนทางที่คับแคบ จนอาจกระทำอันตรายใดๆ แก่คนในครอบครัวได้ง่าย
    เช่น หากฝึกกสินไฟ จนสำเร็จ เวลามีปัญหาภายในครอบครัว อาจจะใช้พลังแห่งกสินไฟ ตัวนี้ทำร้ายคนในครอบครัว และบุคคลรอบข้างได้ ง่ายๆ จะเป็นการสร้างตราบาปโดยไม่รู้ตัวครับ
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2008
  9. mandark

    mandark Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +100
    อนุโมทนา คุณบดินทร์จ้า ครับ

    ผมเคยสัมผัสได้เพียงครั้งเดียวไม่รู้ว่าฌาน หรือป่าว คือเหมือนเราภาวนาถึงจุดเหมือนจะหลับครับแล้วก็ตกภวังค์เหมือนที่ คุณอธิบายไว้ถูกต้องเลยครับ ลมหาย ภาวนาหาย ไม่รู้สึกแห่งกาย ผมเลยหาลมหายใจแต่ไม่เจอ ครับสุดท้ายคิดวาตายแล้วพยายามกลับมาภาวนาใหม่ สุดท้ายอยู่ที่ปลายจมูกครับ เริ่มภาวนาก็กลับไปเหมือนเดิม ไม่รู้สึกใด ๆนิ่งอย่างเดียว ไม่พบนิมิตใด ๆ สุดท้ายก็ต้องออกจากสมาธิ ตอนเราออกเนี้ยผมลำบากมากกว่าจะออกได้ครับ ต้องออกเพราะว่าไปต่อไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรต่อครับ ส่วนช่วงนี้ ปฎิบัติไม่ก้าวหน้าครับ เริ่มท้อครับ
     
  10. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ภวังค์มีหลายระดับ ตั้งแต่เริ่มก็ตกภวังค์ เป็นอุปจารสมาธิก็ตกภวังค์ เป็นฌานก็ตกภวังค์ เริ่มต่อฌาน 5 ก็ตกภวังค์ ตอนจบฌาน 5 ก็ตกภวังค์ ส่วนในกรณีของท่านหากพบลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูกแล้ว มีอาการที่สามารถรู้และไล่จากท้องขึ้นมา จนสุดที่ปลายจมูกได้ พร้อมการหายไปของภาพและแสงต่างๆที่ท่านเคยพบมา ก็แสดงว่าท่านเริ่มเข้า ฌาน 4 แบบหยาบ พร้อมกับความผิดปกติของลำไส้ ที่เคลื่อนตัว เพื่อปรับความสมดุลภายในร่างกาย ในขั้นนี้ท่านต้องใช้เวลาพิจารณาความว่างเปล่า ที่ต้องใช้ความอดทนหน่อยครับ แต่อย่าไปเร่งหรือสนใจมาก แล้วท่านจะเข้าภวังค์อีก 2 ครั้ง ตามประสบการณ์ที่พบของผมนะครับ แล้วท่านจะสังเกตเห็นเม็ดแสงตามที่บอกครับ และจงอย่าท้อใดๆ ยังมีสิ่งดีๆอีกมากครับ หากไม่เป็นดังนี้ก็ขออภัยครับ
    ผมก็ใช้เวลาพิจารณาความว่างเปล่าอยู่ ก็ 8 เดือนได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2008
  11. lithai

    lithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอถามนะครับแล้วเข้าถึงฌาน 4 กี่เดือนครับ
     
  12. j-laylice

    j-laylice Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +87
    ขอโมทนาด้วยครับ ผมกำลังเริ่มครับ แต่รู้สึกท้อแท้เป็นบางครั้งครับ
    ผมจะพยายามต่อไปครับ ขอบคุณมากครับ ที่ให้กำลังใจครับครับ
     
  13. อวยชัย จิรชัยธร

    อวยชัย จิรชัยธร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +662
    สวัสดีคับคุณบดินทร์
    ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดตามการ post ของคุณตั้งแต่ต้น
    ผมสนใจในการทำสมาธิ แต่ก็ด้วยแหละเหมือนคุณบดินทร์เขียน
    กำลังใจไม่ถึงจริงๆ กลัวผีบ้าง กลัวอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทำให้ไปได้ไม่ถึงไหน
    บทความของคุณผมชอบจริง เนื่องจากเล่าประสบการณ์ที่ได้กระทำมาเอง
    ทำให้เข้าใจอะไรได้ดีกว่าการอ่านจากตำราหรือเสือกระดาษอย่างเดียว
    ผมเลยคิดว่าน่าจะคัดลอกบทความของคุณไว้อ่านเพื่อเป็นกำลังใจในการฝึก
    หรือเป็นแนวทางเผื่อไปเจออะไรที่เป็นประสบการณ์คล้ายๆ กับของคุณเองจะได้ไม่หลงทางไม่ทราบว่าจะอนุญาตได้ป่าวคับ
    โมทนาบุญที่ได้ทำมาตลอด เพื่อพระนิพพานคับ
     
  14. mandark

    mandark Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +100
    ผมใช้เวลา 3 เดือนเต็มครับ กว่าจะได้อารมณ์ที่ผมสัมผัสจากที่คุณ บดินทร์บอกมาครับ
    ผมบอกเลยว่าคุณบดินทร์บอกมาตรงกับผมหลายอย่างครับ แต่ต้องทำทุกวันนะครับถึงจะทรงสมาธิ ถ้าสามารถเข้าถึงฌาน 4 ได้ พอเราออกจากสมาธิ จะพบอะไรที่แตกต่างเวลานอนก็เหมือนไม่ได้นอนแต่ไม่เพลียไม่เหนื่อย เหมือนนอนอยู่ในฌานครับ ตืนตรงเวลาที่กำหนดได้ครับ แล้วก็รู้สภาวะของตัวเองทันทีครับ อันนี้ประสบการณ์ผมครับ
    แต่ก็ยังต้องทำต่อไปครับ
     
  15. อวยชัย จิรชัยธร

    อวยชัย จิรชัยธร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +662
    โมทนาบุญคับ


    โมทนาบุญด้วยคนคับ
     
  16. ComeFromSaturn

    ComeFromSaturn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2007
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +330
    กำลังเจริญรอยตามคุณพี่ไปเจ้าค่ะ ไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไหร่ ค่อยๆไป ขอบคุณและอนุโมทนาเจ้าค่ะ ^ ^
     
  17. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ตามสบายนะครับ ไม่ใช่ของผมหรอกครับ เป็นของครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกเจ้า พระอรหันต์ หลายๆรูป ที่ท่านเมตตาตัวผู้เขียนครับ หลายๆครั้ง จนนับไม่ถูกเหมือนกัน ครับ โดยเฉพาะท่านหลวงปู่ฤาษี ท่านเมตตาบ่อยมาก อาทิตย์หนึ่งก็ 2 ถึง 3 ครั้ง ตั้งแต่เริ่มเข้าถึงฌาน รับไปแล้วก็จุดธูปยอมถวายตัวต่อหน้าพระพุทธ ที่ท่านเคารพ นับถือ นะครับ ขอให้ท่านเมตตาลูกหลานในการเจริญสมาธิ ดังเช่นผู้เขียนที่ปฎิบัติอยู่เสมอครับ เวลาเจริญสมาธิครับ อนุโมทนาบุญครับ ขอให้ท่านสำเร็จดังใจหวังครับ
     
  18. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    นี่ก็เป็นอีกประสบการณ์เช่นเดียวกันครับ ตอนนั่งสมาธิ ให้ท่านลองตั้งจิตอธิฐานถึงครูบาอาจารย์ ซัก 2 ครั้ง หลังจากนั่งสมาธิแล้ว เวลาจะนอน ก็ยึดองค์ภาวนาไปเรื่อยๆ จนคล้ายตกภวังค์ ก็ปล่อยไปเลยเหมือนหลับ แต่ไม่หลับหากเคยนั่งสมาธิวันละ 1 ชั่วโมง ก็จะออกจากสมาธิ ทุกๆ ชั่วโมง ครับ ยันเช้าเลยครับ หากต้องการหยุด ก็อธิฐานบอกว่า ขอหยุด ก็จะหลับไปเองโดยไม่ต้องตื่น ทุกๆชั่วโมงครับ (หากชำนาญแล้วนะครับ)
     
  19. ราชแสง

    ราชแสง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +85
    ขออนุโมทนา อีกครั้งครับ
    ผมก็เป็นคนหนึ่งที่คัดลอกโพสของคุณมาเก็บไว้ศึกษาครับ
    มีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ที่อยากจะถามครับ
    คือเมื่อเร็วๆนี้ ผมนั่งสมาธิแล้วมีความรู้สึกเหมือนมีอะไร ขยับเคลื่อนมาที่ตรงหัวใจ เป็นอย่างนี้อยู่ 2 ครั้ง แล้วก็หายครับ
    ต่อมามีความรู้สึกวูบที่เหนือสะดือ แล้วก็หายแต่มีอาการโยกของร่างกาย แล้วก็จะเกร็งและสั่นที่ต้นขาครับ แต่เมื่อโยกตัวมาข้างหน้าแล้วก็หาย
    อาการใหม่มาอีกครับ คือพอหายสั่นแล้วร่างกายจะรู้สึกสบายมาก ไม่ปวดไม่เหมื่อย และก็จะรู้สึกเงียบมาก คล้ายจิตสงบขึ้นมาก แต่ยังได้ยินนะครับ (มีอาการคล้ายเสียงวิ้ง 1 ครั้ง แค่ครั้งเดียวนะครับ) องค์ภาวนายังอยู่ แต่สับสนมาก คล้ายจับลมหายใจไม่ถูก เหมือนจะหายใจเร็วและสั้นมาก แต่เบา
    พอถึงตรงนี้ไปไม่ถูกเลยครับ อยากให้ช่วยแนะนำให้ด้วยนะครับ จักขอบพระคุณอย่างสูง
     
  20. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    มีหลายๆ ท่าน ที่ได้อ่านประสบการณ์ แล้ว นำไปยึดติด เป็นการเข้าใจผิดนะครับ จุดประสงค์ผู้เขียนเพียงเพื่อ ไม่ไห้ทุกท่านเกิดความท้อแท้ใจ และไม่หลงทางเท่านั้นนะครับ
    อ่านแล้วปล่อยวาง ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็น ฌาน หรือไม่ใช่ฌาน เพราะเป็นอนิจจัง แต่ก่อนที่ผู้เขียนฝึกสมาธิใหม่ๆนั้น ผู้เขียนจะอ่านประสบการณ์ จากหนังสือประวัติอาจารย์ของแต่ละท่าน แล้วพิจารณาธรรมเฉพาะบทนั้นๆ แล้วพยายามจะปฏิบัติให้เข้าถึงจริงๆ แล้วถึงเชื่อ เราก็ทำสมาธิไปเรื่อยๆ ไม่สนใจใดๆ คือปล่อยวางไม่ยึดติด
    สรุปคือ พยายามเข้าถึงธรรมที่แท้จริง แล้วพิจารณาธรรมบทนั้นๆหรือบทต่อไป สุดท้ายก็ปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่าง เรานับลมหายใจอยู่ก็นับไป มีภาพหรือแสงหรืออาการต่างๆ ให้เห็นก็ดูไป แต่ไม่สนใจ ใดๆนับได้ 108 รอบ ก็เปลี่ยนอริยาบท จากยืนเป็นนั่ง เดิน นอน เป็นต้น เมื่อครบแล้ว เราก็ไม่สนใจใดๆ ทำอย่างนี้ทุกๆวัน จนเคยชิน แล้วเมื่อถึงเวลา จะมีอาการดังประสบการณ์ทั้งหลายที่อยู่ในกระทู้ครับ คล้ายๆการอ่อยเหยื่อ ปลาไว้เพื่อจะรอจับปลา ซึ่งคือเจ้าตัวจิต เมื่อเจ้าจิตนี้เริ่มเชื่องก็ค่อยๆ กำจัดเจ้ากิเลสทั้งหลายด้วยวิปัสสนาญาน อีกทีหนึ่ง ครับ ช่วงเริ่มใช้วิปัสสนานี้ ผู้เขียนเริ่มใช้เมื่อจิตเข้าถึงปิติ คือมีความสงบ สามารถนั่งได้นานขึ้น คือเราเคยนั่ง 2 ชั่วโมง เราก็แยกมาใช้วิปัสสนาญาน 1 ชั่วโมง แล้วอีก 1 ชั่วโมงที่เหลือ จะไม่ยึดติดใดๆ คล้ายๆกลับทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วสมาธิจะเก้าหน้าขึ้นเป็นลำดับลำดับไป ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...