การปฏิบัติธรรมสายมโนมยิทธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Sawiiika, 12 ตุลาคม 2008.

  1. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557

    [​IMG]

    โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ธรรมะของสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและ นับสืบเนื่อง
    ในพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ทรงอุบัติขึ้นเป็นเนื้อนาบุญอันทรงค่าหาประมาณค่าไม่ได้นั้น
    พระอริยะสงฆ์ทั้งหลายท่านได้สืบต่อพระบวรพุทธศาสนาจนมาถึงกาลปัจจุบันนี้ก็เพื่อ

    " ประสงค์ให้หมู่มวลมนุษย์ และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ได้หลุดพ้นจากกองกิเลส กองทุกข์ทั้งในภพนี้ จนถึงภพหน้า
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเป็นที่สุด "

    เราในฐานะพุทธบริษัทสี่จึงสมควรรักษาประพฤติธรรมะเพื่อถ่ายทอดจากจิตสู่จิต
    จากรุ่นสู่รุ่น เป็นการรักษาพระบวรพุทธศาสนาและเป็นพยานแห่งผลในการปฏิบัติอัน
    กระจ่างแก่ใจของตนเอง สิ้นสงสัยในคุณพระพุทธคุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ยิ่งมี
    ผู้ปฏิบัติธรรมได้ตรงตามสัมมาทิฐิมากขึ้นเท่าไรพระบวรพุทธศาสนา
    ก็ยิ่งเจริญงอกงามรุ่งเรืองมากขึ้นเพียงนั้นเช่นกัน


    [​IMG]




    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    ขอพระธรรมอันพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมี
    พุทธประสงค์จงหลั่งชโลมดวงจิตของสาธุชนทุกท่าน " ผู้ตั้งมั่นในกุศลธรรม
    ความดีมี พระไตรรัตนคมน์ จงก้าวหน้าใน ผล แห่งการปฏิบัติเจริญในธรรม "
    แห่งพระศาสนา ขององค์พระสมณโคดมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ได้ธรรมมาพิสมัย
    ได้โดยง่าย ธรรมใดที่เป็นธรรมโลกุตระเครื่องหลุดพ้นก็ขอจงมีจิตรู้แจ้งแทง
    ตลอดด้วย ทิพย์ญาณ อันพิสุทธิ์ บรรลุธรรม ได้โดยง่ายด้วยเทอญ


    ---------------------------------------------------------------------
    อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
    ---------------------------------------------------------------------
    <!-- / message -->​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2009
  2. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ก่อนอื่นใดขอให้ทุกท่านปฏิบัติดังนี้ค่ะ

    [​IMG]
    chdhorn
    ทีมพลังจิตสากล

    [​IMG] [​IMG] ก่อนอื่นใดขอให้ทุกท่านปฏิบัติดังนี้ค่ะ

    1 ให้ทุกท่านจับลมหายใจสบายๆ สักพัก จนกว่าท่านจะรู้สึก เบาสบาย โล่ง โปร่ง
    ไม่มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น...ไม่ว่าจะเป็นลม 1 ฐาน ลม 3 ฐานหรือลมเป็นสายไร้ฐานก็ได้ค่ะ
    2 จับภาพพระให้แจ่มใสที่สุด เท่าที่แต่ละท่านจะทำได้ สำหรับท่านที่ไม่เคยปฏิบัติในแนวทางการจับภาพพระ หรือไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อน...ขอให้ท่านนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ที่ท่านชอบที่สุด
    จำได้แม่นยำชัดเจนที่สุดแทนค่ะ ทรงอารมณ์ใจนี้ไว้สักระยะ

    3. น้อมจิตยอมรับนับถือองค์พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุดไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว
    นึกน้อมยอมรับขอให้ข้าพเจ้าเป็น สัมมาทิฐิ ไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน หากเมื่อใด
    ก็ตามที่ข้าพเจ้ามีจิตเป็น มิจฉาทิฐิ ... เห็นชื่อเสียงประโยชน์สุขส่วนตน สำคัญกว่า
    งานการเผยแพร่พระพุทธศาสนา - วัฒนธรรม - อารยธรรมไทย - สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
    แล้วล่ะก็ ขอให้ข้าพเจ้าไม่สามารถทำงานนี้ได้สำเร็จ และ ต้องเลิกทำไปในที่สุดด้วยเถิด

    แต่ถ้าหากข้าพเจ้ามีจิตเป็นสัมมาทิฐิ ...มีเจตนาที่บริสุทธิ์ที่จะทำการนี้ ไม่คิดดัดแปลงแก้ไขพระสัทธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ คำสอนสั่งของครูบาอาจารย์ซึ่งมีองค์ หลวงปู่ปาน และองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด ขอให้ข้าพเจ้ามีความเจริญทั้งทางโลก ทางธรรม มีดวงตาเห็นธรรมเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน และ มีพระนิพพานเป็นหลักชัยด้วยเถิด
    เสร็จแล้วนึกให้เห็นภาพตัวเองก้มลงกราบที่พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และครูบาอาจารย์ทั้งหลายพร้อมๆ กัน โดยมีองค์หลวงปู่ปานวัดบางนมโค และพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นที่สุด... แต่ถ้ายังทำไม่ได้ก็นึกกราบพระเพียงแค่องค์เดียวไปก่อนค่ะ

    4 กราบขอขมากรรมต่อองค์พระรัตนตรัย โดยการอธิษฐานว่า
    " ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้ง
    ล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัยอันมีองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายด้วยกายกรรมก็ดีวจีกรรมก็ดี มโนกรรม
    ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็น อดีตก็ดี...ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่
    ถึงการณ์ก็ดีขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆพระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน
    ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่ บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบ
    เท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ " ก้มลงกราบพระบาททุกๆ พระองค์อีกครั้ง

    5. น้อมนึกถึงศีล ที่คุณเองถือปฏิบัติอยู่... ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 หรือ ศีล 8 ก็ตาม
    โดยปกติ เวลาที่ใช้ชีวิตประจำวันคุณอาจถือศีล 5 อยู่แต่คุณสามารถอาราธนาถือศีล 8ได้โดยกำหนดถือเฉพาะในช่วงเวลาที่คุณกำลังทำสมาธิอยู่ได้ เมื่อปฏิบัติธรรมเสร็จคุณก็กลับมาถือศีล 5 ตามเดิม
    ไม่เสียทั้ง ทางโลก และ ทางธรรม ค่ะ โดยน้อมนึกว่า...

    " ณ ขณะนี้ ศีล 5 (8) ของข้าพเจ้าสมบูรณ์บริบูรณ์ดีทุกประการ ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักขโมยผู้ใดไม่ได้ผิดลูกผัว - เมียใคร (รักษาพรหมจรรย์) ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆไม่ได้เสพสุราของมึนเมา หรือเล่นการพนันแต่อย่างใด... ( ไม่ได้ทานอาหารหลังเที่ยง, ไม่ได้ใช้เครื่องไล้ของหอม เว้นจากการฟ้อนรำ ดูสิ่งบันเทิงเริงรมย์ไม่ได้ใช้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ, ไม่ได้นอนบนที่นอนสูงใหญ่ ) "

    [​IMG]

    6. หลังจากนั้นให้คุณน้อมนึก อโหสิกรรม ให้แก่ผู้ที่เคยล่วงเกินคุณมา
    "ข้าพเจ้าอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่ พรหม - เทพเทวา สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิตมนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดีมโนกรรมก็ดี ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี ในชาติที่เป็นอดีตก็ดี ด้วยเจตนาก็ดีไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ข้าพเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น และ ขอให้พวกท่านทั้งหลายมีความสุขกาย สุขใจ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวลมีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมและมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ "

    7. น้อม นึกถึงกุศลผลบุญ อีกทั้งความดีงามทั้งหลายที่คุณเคยสร้างมาดี
    แล้วให้มารวมตัวกัน ที่ดวงจิตของคุณ นึกให้เห็นดวงจิตของคุณสว่างไสวแพรวพราว
    พร้อมกับอธิษฐานขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของคุณ ดังนี้

    " ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์จนมาถึงปัจจุบันนี้ รวมถึงงานการแปล เผยแพร่ และสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา - วัฒนธรรมไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และกุศลผลบุญที่จะทำต่อไปในอนาคต ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้ทุกๆท่านมาร่วมกันอนุโมทนาและได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านี้นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ''
    ตอนนี้ให้นึกเห็นรัศมีความสว่างของกุศลผลบุญความดีงามทั้งหลายจากดวงจิตของเรา
    แผ่ออกไปคลุมร่างของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา

    " ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพวกท่านไปด้วยกายกรรมก็ดีวจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอให้พวกท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมทั้งหลายเหล่านั้น และ ขอได้โปรดอย่าขการ เผยแพร่ และสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา - วัฒนธรรมไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่ข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจทำนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ "

    8 ท้ายที่สุดให้คุณน้อมนึกถึงความสุข สดชื่น ความอิ่มเอม เปรมปรีด์ความดีงามทั้งหลายที่คุณเคยสร้างมาดีแล้วอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งกุศลผลบุญทั้งหลายพรหมวิหารสี่ และอภัยทานที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในดวงจิตของคุณให้มารวมตัวกัน นึกให้เห็นดวงจิตของคุณสว่างไสวแพรวพราวพร้อมกับ อธิษฐานแผ่เมตตาอัปปมาณฌาน

    " ข้าพเจ้าขอน้อม ถวายส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งพรหมวิหาร 4 อันมี เมตตา กรุณามุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมาโดยมี...องค์หลวงปู่ปาน และองค์หลวงพ่อฤาษี เป็นที่สุด อีกทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย บูรพกษัตริย์ไทย บรรพชนไทย นักรบไทยทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ทุกๆ ท่าน พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยมีท่านท้าวจตุมหาราชและท่านพญายมราช เป็นที่สุด
    <O:p</O:p
    ขอทุกๆ พระองค์ ทุกๆองค์ ทุกๆ ท่าน ได้โปรดมาร่วมกัน รับและอนุโมทนาในส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้และขอได้โปรดมา เป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศล ผลบุญในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    น้อมนึกให้เห็นว่าในมือคุณมี ดอกบัวแก้ว สว่างไสวแพรวพราวซึ่งเกิดจากกุศลผลบุญของคุณ
    มารวมตัวกันเป็นดอกบัวนั้น... แล้ว น้อมถวายแด่ทุกๆพระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน

    '' ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้ง พรหมวิหาร 4 อันมี เมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อม อภัยทาน ให้แก่ เหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาลอนันตจักรวาลนี้ ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดีมิใช่ญาติก็ดี ขอให้ทุกๆท่าน จงมาร่วมกันอนุโมทนา และ รับซึ่งส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับนับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
    ขอให้ทุกๆ ท่านมีดวงตาเห็นธรรมและ เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลันเทอญ "
    .

    " เมื่อตั้งจิต ตั้งกำลังใจ ไว้ดีแล้ว ก็มาศึกษาการปฎิบัติธรรม
    ที่รวบรวมจากกระทู้ วิชชาที่จะทำให้อยูรอดจากยุคสมัยภัยพิบัติ กันเลยค่ะ "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  3. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    18-07-2006, 05:58 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    ผมจะเริ่มให้ข้อมูลทางด้าน วิทยาศาสตร์ทางจิต ที่อีกหลายๆคนจะนำไปใช้ และ ฝึกฝน
    เพื่อที่ จะใช้ช่วยตัวเอง และ ผู้อื่น ก่อนอื่นผมขอบอกไว้ก่อนว่าวิชา และ อภิญญาสมาบัติ
    ที่ผมจะ แนะนำนั้น ผมเรียนรู้จาก วิชชามโนมยิทธิ ครับ รวมกับวิชาที่ผมได้ศึกษามาอีกหลายสาย
    รวมทั้งสาย อาจารย์ในดง และ วิชชาธรรมกาย สาย วัดปากน้ำ วัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจ
    และต้องการเรียนรู้ได้นำไปใช้ปกป้องตนเอง และ ครอบครัวและใช้รักษาช่วยเหลือผู้อื่นให้ปลอดภัย
    ทั้งกาย และ จิต ครับ วิชชา และ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ผมเป็นเพียงผู้ส่งมอบ เป็นหน้าที่ ๆ ผมต้องทำ
    เพื่อบำเพ็ญบารมี ครับแต่ ความวิเศษ และ ศักดิ์สิทธิ์เป็น เพราะ พุทธานุภาพ ของพระเบื้องบน
    เป็นหน้าที่ที่ผมจะช่วย ติดอาวุธ ให้หมู่เพื่อนพุทธภูมิ ไว้บำเพ็ญบารมี ครับ

    [​IMG]

    ระดับหน้าที่ของผู้รับไว้ดังนี้

    1. รับได้ในระดับที่ จะช่วยให้ตนเองไปสู่ภพภูมิที่ดี 2. รับได้ในระดับที่จะใช้ปกป้องคุ้มครอง
    ตนเองให้ ปลอดภัยจากภัยพิบัติ และ เป็นพุทธบริษัทช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไป
    3. รับได้ในระดับที่จะใช้ปกป้องคุ้มครองตนเอง และ ครอบครัวบริวารให้ปลอดภัย และ เป็นการ
    สืบสกุลสัมมาทิฐิ รักษาพระพุทธศาสนาต่อไป 4. รับได้ในระดับ พุทธภูมิ ผู้ตั้งความปรารถนา
    บำเพ็ญบารมี สืบต่ออายุพระศาสานาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการอธิฐาน
    ลงมาเกิดใน มิคสัญญี ยุคนี้เพื่อช่วยมวลหมู่สรรพสัตว์ เพื่อสร้างบารมี ครับ

    ใครจะรับได้มากแค่ไหนขึ้นกับฟ้า และ ปุพเพกตปุญญตา ครับซึ่งไม่แน่ บางคนเริ่มที่ระดับตำแต่
    อาจจะทะลุระดับพรวดพราดขึ้นไปอย่างง่ายๆก็ได้ครับ บางคนอาจอยู่ระดับสูงแต่ยำอยู่กับที่ครับ

    ระดับสมาธิในปัจจุบัน

    1. มีจิตใจใฝ่ความดี ชอบทำบุญ แต่ทำสมาธิไม่เป็น ศีลรักษาได้บางข้อ 2. ตั้งใจรักษาศีล ทำสมาธิได้บ้าง
    แต่ไม่ค่อยนิ่ง 3. ทำบุญ รักษาศีลได้ ทำสมาธิได้ดี นั่งได้นานๆ แต่เสวยแต่สุขจากสมาธิ ไม่สามารถนำ
    พลังจากสมาธิไปใช้ประโยชน์ได้ 4. นำพลังสมาธิไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง เช่นอธิฐานง่ายๆ รักษาโรค
    ให้ผู้อื่น แต่ยังไม่มีญาณทัศนะ 5. มีสมาธิ ญานทัศนะ และ สามารถใช้พลังสมาธิทำประโยชน์ได้
    6. มีสมาธิ ญานทัศนะ วิปัสนา เต็มที่ ได้ อภิญญาสมาบัติ7. มีสมาธิ ญาณทัศนะ วิปัสสนาฯ เต็มที่
    ได้ อภิญญาสมาบัติ มีกำลังใจเป็น พระอริยโพธิสัตว์ สมบูรณ์ ครับ

    " ในขณะที่ถ่ายทอดนี้ผมก็ เรียนรู้ ไปพร้อมกับทุกๆคนด้วย "

    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  4. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ขอให้ท่านถามใจตัวเองดูดังต่อไปนี้ครับ

    18-07-2006, 08:51 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_568969", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
    [​IMG]

    ขอให้ท่านถามใจตัวเองดูดังต่อไปนี้ครับ

    1. เชื่อใน สวรรค์ นรก หรือไม่ 2. เชื่อใน กรรม ผลของกรรม บาปบุญ คุณโทษหรือไม่ 3. เชื่อใน
    คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ว่ามีจริงหรือไม่ 4. เชื่อใน พระคุณ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์
    ผู้ประสิทธิ ประสาทวิชาหรือไม่ 5. เชื่อใน ผลของการปฏิบัติและ มรรคผล นิพพาน หรือไม่

    หากแม้น มีความลังเลสงสัยไม่เชื่อข้อใดข้อหนึ่ง ไม่อยู่ในวิสัยที่จะปฏิบัติได้เนื่องจากเป็น
    ข้อกำหนดมีแรงครูกำกับ อยู่ ส่วนผู้ที่ไม่มีความสงสัยในทุกข้อ ผมขอแสดงความยินดีด้วย
    ขอโมทนา และ ขอให้ ท่านได้ " อธิฐานรักษาไว้ " ให้ได้ทุกชาติตราบเข้าสู่พระนิพพาน ครับ
    ส่วนท่านที่ยังสงสัยอยู่ ไม่ต้องตกใจครับ ศึกษาธรรมะ ให้มากๆขึ้นก็จะเข้าใจและหมดสงสัยใน
    สัมมาทิฐิ เองครับ เหตุผลที่ให้เช็คตรงนี้เพื่อให้ทุกท่าน ตั้งเข็มทิศให้ตรงตั้งแต่ต้น ครับ เพราะ
    พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้ารวมทั้งพระโพธิสัตว์ท่าน สอนให้คนไปนิพพาน พรหม สวรรค์
    เข้าถึง ไตรสรณคมน์ และ เป็น สัมมาทิฐิ ครับ และ เมื่อหมดสงสัยแล้วก็กลับมาศึกษาต่อได้ครับ
    สำหรับท่านที่ ปรารถนาพุทธภูมิ ผมขอถามคำถามพิเศษอีกข้อครับ ว่า
    ท่านปรารถนาพุทธภูมิเพราะอะไรครับ.. ?

    เพราะ จะได้เป็นผู้เลิศ ประเสริฐที่สุดทั้งไตรภพ หรือ ปรารถนา เรียบง่าย แค่ ต้องการช่วยสรรพสัตว์
    ให้ หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ถ้าท่านปรารถนาในข้อแรก ผมขออนุญาตเตือนท่านว่า มีจิตใจที่ดีแต่ท่าน
    วางกำลังใจไว้ผิด ที่ทราบ เพราะผมเคยผิดมาแล้ว และ เพื่อนพุทธภูมิของผมหลายคนก็พลาดตรงนี้
    และ ถูกมารครอบงำจิตใจ จนกลาย เป็น มิจฉาทิฐิ โดยเอาความอิจฉาริษยามาเป็นเครื่องล่อให้ อิจฉา
    พุทธภูมิผู้บารมี สูงกว่าตนเอง เป็นความเข้าใจผิด

    เช่นเดียวกับ พญามาราธิราช ที่มีต่อพระพุทธองค์ นี้เป็นประการที่ หนึ่ง ส่วนประการที่สอง เมื่อท่าน
    ปรารถนาพุทธภูมิเพื่อตนเองท่านจะเหนื่อยในการสร้างบารมี และ ขอลาพุทธภูมิไปในที่สุด
    สำหรับท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิเพื่อช่วย โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นห้วงแห่งความทุกข์แล้ว ทุกครั้ง
    ที่ท่านได้โปรดสรรพสัตว์ทุกๆครั้ง ความปิติอิ่มเอมใจจาก พรหมวิหาร 4 จะเป็น เครื่องหล่อเลี้ยงใจ
    ของท่านให้มีกำลังใจในการสร้างบารมีในครั้งต่อๆไปให้ยิ่งขึ้นไปอีก มิติเวลาในชาติของการ
    เป็นมนุษย์นั้นอาจยากลำบาก ยาวนาน แต่ใน

    " มิติเวลาของความเป็นทิพย์นั้นแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น "
    ดังนั้น พรหมวิหาร 4 นี้เป็น อาวุธ และ เครื่องมือในการสร้างบารมีไม่ใช่อภิญญา แต่ อภิญญา เป็นผลแห่ง
    การเจริญ พรหมวิหาร 4 จนถึงที่สุด ผมขอโมทนาใน พระโพธิสัตว์ ผู้ตั้งจิตไว้ดีแล้วโดยประการฉะนี้ครับ


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  5. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    18-07-2006, 10:26 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_568969", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    --------------------------
    ไหว้ครู
    ------------------------------

    สำหรับผู้เป็นสัมมาทิฐิ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิผู้วางกำลังใจไว้ดี แล้ว เรามาไหว้ครูกันก่อนครับ
    เตรียม ดอกไม้ 3 สีเทียน ธูป เงิน 9 บาทว่า นะโม 3 จบ วางอารมณ์ใจ ว่าขณะนี้

    " ข้าพเจ้ามี ศีลบริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ไม่ได้ประพฤติผิดในกามไม่ได้พูดปด ไม่ได้ดื่มสุรา
    ศีล 5 ของข้าพเจ้าบริสุทธิ์ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชานี้ด้วยจิตเมตตาเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก พรหมวิหาร 4
    ข้าพเจ้าพร้อมบริบูรณ์ข้าพเจ้าขอน้อมจิตยึดถือไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งที่ระลึกตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน "

    จากนั้น เปิดซีดี " คำสมาทานพระกรรมฐาน " ของ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง
    ฟัง สมาทานพระกรรมฐาน พระรัตนตรัย.คอม

    '' ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชานี้ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ และ บำเพ็ญบารมี ด้วยความจริงใจ
    หากแม้นข้าพเจ้า มีจิตคิดร้ายนำวิชาไปใช้ในทางที่ผิดต่อ ชาติ ศาสนาพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์
    ผู้ประสิทธิประสาทวิชาแล้วขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เรียนวิชานี้สำเร็จถึงสำเร็จก็ขอให้วิชาที่ได้
    มาถูกส่งกลับคืนไปจนหมดสิ้นเมื่อข้าพเจ้า ผิดสัจจะ แต่หากข้าพเจ้าใช้วิชาในทางที่ถูก
    ที่ควรขอให้ข้าพเจ้าจงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ ''

    [​IMG]

    ส่วนดอกไม้ ธูปเทียน ให้นำไปบูชาพระ และนำเงินบูชาครูไปทำบุญใส่บาตรหากไม่มีดอกไม้ธูป
    เทียนเงินบูชาครู และการขึ้นครูตอนนี้ให้ รีบทำภายใน 3 วันหากพ้นจาก สามวันไม่บูชาครูแล้ว
    มีอาการเจ็บป่วยให้รีบ ขอขมาพระรัตนตรัยบูชาครูและใส่บาตร แล้วจะหายจากอาการป่วย

    เหตุผลที่ให้มีการไหว้ครู พระท่านสั่งลงมาให้ทำเป็นเครื่อง แสดงความยอมรับนับถือ
    ให้แรงครูผู้ประสิทธิประสาทวิชาสืบต่อกันมาทั้งที่มีกายเนื้อและ ไม่มีกายเนื้อส่งลงมาคุ้มครอง
    ศิษย์ได้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในวิชาและชีวิตของศิษย์นั่นเองถึงตัวผมเองก็ต้องทำเช่นกัน
    พร้อมๆกันกับทุกท่านเพราะมี " วิชาที่เบื้องบนประสิทธิประสาท มาให้ " พร้อมกันไปด้วยครับ


    ฟัง บวงสรวงและชุมนุมเทวดา ฟัง นมัสการพระรัตนะตรัย ฟัง สมาทานศีล 8
    ฟัง ขอขมาพระรัตนะตรัย ฟัง อุทิศส่วนกุศล ฟัง คาถาเงินล้าน


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  6. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    19-07-2006, 10:50 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_568969", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ


    ถ้าร่างกายแข็งแรง จิตใจก็จะเข้มแข็ง ไปด้วย ผมจะเริ่มปูพื้นฐานให้ตั้งแต่เบสิค
    ด้วยภาษา และ คำอธิบาย ที่คนในยุคนี้เข้าใจได้ง่ายมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบพิสูจน์
    ยืนยันตามที่ พอ. ชม สุคันธรัตน์ ท่านได้บัญญัติศัพท์ว่าวิทยาศาสตร์ทางจิตไว้ครับ

    จิต พลังจิต เป็น พลังงานชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะ และ คุณสมบัติของคลื่นจึงสามารถหักล้าง
    เสริมคลื่น และ เหนี่ยวนำได้ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเมื่อนั่งสมาธิ กับ อาจารย์ที่มีสมาธิสูงจึงสามารถทำให้ศิษย์
    และ ผู้ได้รับการถ่ายทอดนั่งได้ดีหรือมีสมาธิสูงขึ้นตามไป เช่นเดียวกับขณะที่ ยูริ เกลเลอร์ นักพลังจิต
    ใช้พลังจิตงอช้อน ผู้ชมในห้องส่งและที่บ้านก็สามารถงอ ช้อนได้ด้วยคุณสมบัติพิเศษอีกอย่าง ของ

    พลังจิต คือ มีความเร็วสูงสุดเร็วกว่าแสงเดินทางไปได้ใน ทุกมิติ รวมทั้ง มิติของกาลเวลานั่นคือ
    เหตุ ผล ในการใช้จิตใน อตีตังสญาณ และ อนาคตังสญาณ คือไป ดูอดีต และ อนาคต ครับ

    รวมทั้งการเดินทางไปยังภพภูมิอื่นด้วยจิตครับ

    วิธีที่จะฝึกจิตให้มีพลังเป็นพื้นฐาน ที่ง่ายที่สุดที่เหมาะกับทุกจริตก็คือการฝึกจิตด้วย
    การหายใจ อานาปานสติ นั้นเองสำหรับขั้นตอนนี้ ผมจะอธิบายความสัมพันธ์
    ของสมาธิกับการหายใจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ไว้ดังนี้

    [​IMG]
    <v:shape id=_x0000_i1027 style="WIDTH: 9.75pt; HEIGHT: 9.75pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\com\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/misc/tag.png"></v:imagedata></v:shape>
    คนทั่วไปจะหายใจ นาทีละประมาณ 25 - 30 ครั้ง ต่อนาที
    คนที่อยู่ใน สภาวะเครียด และ สับสน จะ หายใจติดขัดสั้นๆ ฮักๆนาทีละ 40 -50 ครั้ง
    ผู้ที่อยู่ในสมาธิขั้นต้น จะหายใจ ลดลง เหลือ 12- 25 ครั้งสามารถ ใช้สมาธิรักษาโรคง่ายๆได้
    ใช้ อธิฐาน ง่ายๆได้ครับ ทำให้มีการเต้นของหัวใจและ เมตาโบลิซึม ลดลง

    ผู้ที่อยู่ในสมาธิขั้นกลาง ลมหายใจละเอียด ช้าลงเหลือ 6 -12 ครั้ง
    ใช้สมาธิรักษาผู้อื่นได้ มีความเป็นทิพย์ตามสมควรผู้ที่เข้าสมาธิขั้นสูง จะหายใจช้าลงสั้นลงเหลือแค่
    เมล็ดถั่ว ต่อครั้ง และ มีการ หายใจผ่านผิวหนังสามารถใช้ รักษาโรคได้มากขึ้นจิตมั่นคงตั้งมั่น ใน
    การอธิฐาน ใช้ อภิญญา บ้างที่บอกว่าหายใจผ่านผิวหนังนั้นเพราะผมได้พิสูจน์มาแล้วโดยเข้า
    สมาธิใต้น้ำจะรู้สึกได้ถึงการติดขัดเล็กน้อยของอากาศที่ผิวหนังส่วนการเข้าฌานลึกๆ
    ร่างกายจะไม่หายใจ เลย 3 วัน 7 วัน ผมยังทำไม่ได้จึงขอละไว้ก่อนครับ

    เมื่อทราบความสัมพันธ์ของลมหายใจกับสมาธิแล้วเราจะใช้ลมหายใจเป็น I n d i c a t o r
    ชี้วัดระดับของสมาธิที่เราต้องการครับ ระดับที่เราต้องการ คือ " ลมสบาย "

    " อารมณ์ใจที่เบาสบายเพื่อให้เข้าถึงความเป็นทิพย์ของจิตครับ "

    <v:shape id=_x0000_i1033 style="WIDTH: 5.25pt; HEIGHT: 9.75pt" alt="" o:button="t" type="#_x0000_t75" href="http://palungjit.org/search.php?searchid=1381624" target="_blank"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\com\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif" o:href="http://palungjit.org/images/misc/paperclip.gif"></v:imagedata></v:shape>การฝึกอานาปานสติเบื้องต้นครับ
    ลองทำดูครับ ส่วนท่านที่ทำได้แล้วคิดว่ารู้ แล้ว ก็ลองทวนดูครับ
    เพราะ พุทธภูมิ ท่านต้องสอนให้ได้ทุกระดับ ทุกลีลา ทุกอาการครับ

    1.จับลม 1 ฐาน เริ่มจากนั่งสบาย ๆ มือใหม่ หลับตา ปล่อยลมหายใจ ตามสบาย เราเป็นผู้
    ติดตามลมหายใจเมื่อหายใจเข้าภาวนา พุทธ หายใจออกภาวนา โธ วางอารมณ์ใจเบา ๆ สบาย ๆ
    จับ ความรู้สึก ที่ ลมหายใจกระทบปลายจมูกนั่งจับลมหายใจจนรู้สึกโล่งเบาสบาย<v:shape id=_x0000_i1035 style="WIDTH: 9.75pt; HEIGHT: 9.75pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\com\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/misc/tag.png"></v:imagedata></v:shape>ตามดูลม และ
    คำภาวนาอย่างเดียวยังไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นถ้าใจอยากหยุดภาวนาก็ปล่อยหยุดจับลมอย่างเดียวครับ
    เมื่อทำได้สำเร็จแล้ว อธิฐานกำกับ ครับว่า " ขอให้ข้าพเจ้าได้ และ เข้าถึง อานาปานสติ
    ลม 1 ฐานทุกครั้งที่ต้องการทุกชาติไปจนถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ "

    2. จับลมสบาย 3 ฐาน ลักษณะ การฝึกเหมือนกันแต่มีเพิ่มเติมในการจับลมหายใจ สามจุด คือ
    จมูก อก ท้องทั้ง การหายใจเข้าหายใจออก ครับ สมาธิจะมีสติตามลมได้ละเอียดขึ้นครับทำจนใจ
    สบายแล้วจึง อธิฐานกำกับว่า " ขอให้ข้าพเจ้าได้และเข้าถึง อานาปานสติลม3 ฐาน
    นี้ได้ทุกครั้งที่ต้องการทุกชาติไปจนถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ"

    3. จับลมหายใจตลอดสาย ให้เหมือนกับ เส้นไหมพลิ้วผ่านจมูก
    ผ่านอกผ่านท้องพลิ้วออกไปผ่านอกผ่าน จมูก ออกไปแล้วย้อนกลับไปต่อเนื่องไม่สิ้นสุดทำจนรู้สึก
    ใจสบายเบาโล่ง แล้วจึงอธิฐานกำกับว่า " ขอให้ข้าพเจ้าได้และเข้าถึง อานาปานสติ ลมปราณตลอดสาย
    นี้ได้ทุกครั้งที่ต้องการในทุกๆชาติตราบเข้าถึงซึ่งนิพพานด้วยเทอญ "<!-- / message -->​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  7. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG] [​IMG] เมื่อได้ขั้นนี้แล้วท่านสามารถไปประยุกต์วิชชาใช้ได้ ดังนี้

    1. ดึงลมปราณจากธรรมชาติมาเสริมพลังลมปราณของตนเอง ได้โดย การอธิฐานขอกับ พระธรณี
    และ ธรรมชาติ และ ใช้จิตใจชักนำลมปราณจากธรรมชาติเข้ามา ฟอกธาตุเสริมปราณ ของเรา
    ในช่วงหายใจเข้า และ ชะล้างธาตุที่เป็นโทษ และ โรคภัยไข้เจ็บออกไปใน จังหวะหายใจออก

    ลองไปฝึกดูครับ ส่วนท่านที่ได้ มโนมยิทธิ ลองฝึกขั้นก้าวหน้าดูครับ

    2. อาราธนาบารมี พระให้เมตตาดึงปราณจากพระนิพพานลงมาผสานเป็นหนึ่งเดียวกับ
    ลมหายใจของเราโดยมีลักษณะเป็น ละอองเพชรใสระยิบ ระยับแพรวพราว เข้าไปในร่างกาย
    ของเราฟอกธาตุ ขันธ์ของเราให้ใสบริสุทธิ์ปราศจากกิเลศ จิตคุณจะสัมผัสได้เลยว่า อาทิสมานกาย
    ของคุณ สขึ้น สว่างขึ้น ครับ แล ะเป็นคำตอบที่ว่าเหตุใด อัฐฐิ ของ พระอรหันต์ท่านจึง ใสเป็นแก้ว
    เพราะ อารมณ์ และ สภาวะแห่ง พระนิพพาน ที่ท่านได้ สัมผัส ล้างธาตุขันธ์กายหยาบให้มี
    ความบริสุทธิ์ ครับ ลองไปฝึกฝนให้ชำนาญในแต่ละระดับของแต่ละคนนะครับ

    หลักอยู่ที่การวางอารมณ์ใจให้สบาย ๆ ครับ

    [​IMG]

    เพิ่มเติม ให้ลอง จับลมอานาปานสติ ใน ทุกอิริยาบท คือ ยืน เดิน นั่ง นอน หรือถ้าจพิสดารกว่านี้
    คือ ผมทดลองฝึกจับลมตอน ออกกำลังกาย ขี่จักรยาน ขึ้นเทรดมิล แล้วก็ตอนว่ายน้ำครับ ที่ให้ฝึกอย่างนี้
    มีเหตุผลครับ คือ คุณต้องฝึกให้ได้ทุกเวลา ทุกอิริยาบท ครับทั้ง หลับตา ลืมตา ไม่ต้องตั้งท่าหลับตานั่ง
    สมาธิ เพราะ ในยามคับขับคุณจะเข้าไม่ทัน อานิสงค์ อีกอย่าง คือ สมาธิ จะมั่นคงไม่คลายตัว
    หรือ ขณะออกกำลังกายจะมีพลังไม่เหนื่อย ง่ายครับ ได้แล้ว อย่าลืมอธิฐานกำกับ นะครับ
    เหตุผล คือ เป็นการปักหมุดจารึกไว้ในจิต ติดตัวไปทุกชาติครับ

    พุทธภูมิ บางท่านบำเพ็ญบารมีมาก็เยอะแต่ วิชชาที่ได้มาในอดีตชาติไม่กลับมารวมตัวในชาตินี้
    เพราะทำตกหล่นไว้ไม่ได้อธิฐานกำกับเพื่อนำกลับมาใช้ครับ ส่วนท่านที่ยังทำไม่ได้ทั้งหมดก็ไม่เป็นไรครับ
    ส่วนการใช้จิต ดึงลมปราณ และ ธาตุทิพย์จากพระนิพพาน นั้นสามารถอธิฐานจิตดึงมาใช้ได้พร้อมๆกัน
    โดยขอให้ ชำระธาตุธรรม รักษาโรค และ เพิ่มพลังลมปราณในกายเนื้อได้พร้อมๆกันครับลองไปฝึกดูครับ

    อีกอย่างหนึ่งคือผมขอใช้ ระบบการเรียนรู้แบบปริญญาโท ครับคือ จะไม่ป้อนให้ตรงๆถึงปาก ผมจะ
    แนะนำ ให้คุณไปฝึกฝนด้วยตนเอง ในส่วนของ การอธิบายธรรมมะในหัวข้อที่มีในพระไตรปิฎก และ
    หลวงพ่อสอน แล้วผมขอให้ไปค้นคว้าเองเพิ่มเติมเป็นการบ้าน และ ถ้าใครอาสาหาข้อมูลมาพิมพ์
    อธิบายเพิ่มเติมให้ เพื่อน คนอื่นได้อ่านได้รู้ ผมถือว่าเป็นการเอื้อเฟื้อในธรรม และ เป็น
    การพรีเซนต์หน้าชั้น ครับ เช่นช่วย เพิ่มเติมข้อมูลเรื่องการ ปฏิบัติ ฌาน 1 2 3 4 รวมทั้ง
    อาการ และ อารมณ์ ของหลวงพ่อจากหนังสือ กรรมฐาน 40 กอง ด้วยครับ

    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  8. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    การฝึกที่ผมแนะนำให้ไปในบทที่ 1 นั้น ผมขออนุญาตชี้แจงเพิ่มเติมครับว่าเป็น วิชชาของพระพุทธเจ้า
    ครับ นั่นคือ ฌาน 1 2 3 4 หยาบ และ ฌาน 1 2 3 4 ละเอียด ครับ เพียงแต่ผมอธิบายในรูปอาการ
    ของกาย และ การหายใจครับ เพราะ ต้องการชี้ อารมณ์ ที่ต้องการ ความเป็นทิพย์ ที่หลวงพ่อท่าน
    เรียกว่า ฌาน 4 ใช้งาน ครับ แต่ในหนังสือธรรมมะจะใช้การอธิบายจำแนกโดย องค์ของฌานครับ
    เป็นเรื่องเดียวกันครับ แต่ทำให้ง่ายขึ้นเพราะ ผมไม่คัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า และ หลวงพ่อ เพราะ
    [SIZE=+0]พระ[/SIZE][SIZE=+0]พุทธเจ้า[/SIZE]ทุกๆพระองค์พระอริยเจ้า และพระ โพธิสัตว์ทุกพระองค์ท่านสอนคนโดยยึดหลักว่า ..

    ถ้ายังไม่มีที่ยึดเหนี่ยวก็สอนให้ได้ ไตรสรณคมน์ ถ้ายังไม่มีศีลก็ ให้มีศีล แม้ข้อเดียวหรือขณะใดขณะ
    หนึ่งก็ยังดี ถ้ายังไม่ได้ ฌาน ก็ให้ได้ฌาน ถ้ายังไม่ได้ สมาบัติ ก็ให้ได้ สมาบัติ ถ้ายังไม่ได้คุณธรรม
    วิเศษ ก็ให้ได้ คุณธรรมวิเศษ ถ้ายังไม่ได้มรรคผลนิพพานก็ให้ได้มรรคผลนิพพาน เพื่อให้เข้าถึง
    มนุษย์สมบัติ ในชาติปัจจุบัน เมื่อตายจากโลกนี้ก็ให้ ถึงซึ่งพระนิพพาน ถ้าเข้าถึงพระนิพพาน
    ไม่ได้ก็ให้ถึง รูปพรหมโลก และ ฟังธรรมจากจุดนั้น ถ้าเข้าถึง พรหมโลก ไม่ได้ก็ให้ได้ สวรรค์สมบัติ

    " ท่านไม่สอนให้คนไป นรก ครับ "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  9. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    20-07-2006, 06:55 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    บทที่ 2. ล้างลมหยาบ จำอารมณ์ละเอียด

    ในบทที่แล้วผมแนะนำ การฝึกอาณาปาณะสติโดยการฝึกแบบปกติ ครับ อาการปัญหาที่เกิด
    อาจขึ้นของแต่ละคนมีดังนี้ครับ จิตยังไม่นิ่ง จับลมไม่ได้ตลอดทุกฐาน หรือทุกสายลม
    มีความคิดแวบไปแวบมาคอยรบกวน ไม่เห็นจะมีลมหายใจละเอียด หรือ สั้นเท่าเมล็ดถั่วอย่างที่บอก

    ส่วนคนที่ทำได้จะมีอาการดังนี้ครับ ลม 1 ฐาน ลมหายใจจะนิ่ง เบาสบาย ลมหายใจทิ้งช่วงนานขึ้น
    อารมณ์ใจเบาสบาย ลม 3 ฐาน จิตรัดตัวขึ้น สติตามลมได้กระชับขึ้นแต่มีอาการสะดุดของจิตในจุด
    กระทบ ของลมแต่ละจุด แต่จิตจะตัดความสนใจภายนอกได้มากกว่าลมหนึ่งฐาน ลมตลอดสาย จิตจะ
    เพลิด เพลินกับลมหายใจ มากกว่า ลมหายใจละเอียด และ เนียนกว่า smooth ใจสบายกว่า

    ผู้ได้มโนฯ ฝึกจับลมหายใจดึงธาตุทิพย์จากนิพพาน ถ้ามีอารมณ์แนบกับพระนิพพาน มี วิปัสสนาญาณ
    เข้มแข็ง มีความฉลาดในธรรม แค่หายใจเข้าครั้งเดียว อาทิสมานกาย ก็แยกขึ้นไปอยู่บนพระนิพพานแล้ว
    ส่วนร่างกายก็ปล่อยมันไปตามเรื่อง ด้วยเหตุที่เป็น กรรมฐาน อานาปานสติ ควบ อุปสมานุสสติกรรมฐาน

    สำหรับท่านผู้ปรารถนามรรคผลนิพพาน สามารถประยุกต์ใช้ได้ เพราะผลการฝึกนี้คือ การตั้งจิต
    อธิฐาน [SIZE=+0]" ข้าพเจ้าจะขอไม่คลาดจากพระนิพพานในทุกลมหายใจเข้าออกครับ " [/SIZE]

    [​IMG]

    ตรงนี้พระท่านเพิ่งบอกผมตอนพิมพ์เองครับ คล้ายกับที่ท่านเคยถามพระอานนท์ว่า
    ระลึกถึงความตาย วันละกี่ครั้ง พระอานนท์ท่านว่า 7 ครั้ง แล้วพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
    น้อยไป ต้องนึกถึงความตายทุกลมหายใจ แต่เปลี่ยนเป็น กำหนดจิตให้
    ทุกลมหายใจเข้า - ออก ของเรา เชื่อมต่อกับ พระนิพพาน ครับ

    ส่วน พุทธภูมิ ขอให้ตั้งกำลังใจอธิฐานว่า
    " ขอให้ทุกชาติที่ข้าพเจ้า สร้างบารมีขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึง และ เข้าใจสภาวะนิพพาน
    ได้อย่างถูกต้องตราบบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณมีพระนิพพานเป็นที่สุด "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  10. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    เทคนิค ล้างลมหยาบ จำอารมณ์ละเอียด

    ในขั้นนี้จะมีขั้นตอน การอัดลม และ การบังคับลม ครับ ซึ่งขออนุญาตชี้แจงท่านที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ
    ก่อนว่าช่วงที่อัดลมและบังคับลมนี้ ใช้ชั่วคราวแล้วทิ้งครับไม่ต้องทำอีก แต่จุดที่ต้องการคือฌาน 4 ละเอียด
    และ ฌาน 4 ใช้งาน เพื่อความเป็นทิพย์ของจิต ครับ อุปมาเหมือนเราจะหุงข้าวสวย เราต้องใช้ถ่านเพื่อ
    หุงข้าวให้เป็นข้าวสวยแต่เราจะไม่นำถ่านหรือขี้เถ้านั้นไปใส่จานข้าวแล้วกินด้วยใช่ไหมครับ หลวงพ่อ
    ของเราท่านเลศ และมีเมตตากับเราที่สุดครับ และ แม้ในอดีตผมก็ได้สร้างบารมีและ ใช้พระนาม
    ของท่านเป็นอนุสรณ์ เป็น การบูชาพระคุณ ท่านครับ การฝึกนี้แบ่งเป็น 2 ช่วงครับคือ การกักลม +
    เก็บลม ซึ่งเป็นช่วงที่เรา ต้องบังคับลมหายใจ มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับคือมันจะเป็น การอัดเอา
    ออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ จนเต่งแล้วจึงหยุดให้ เป็นเวลานาน ร่างกาย จะปรับสภาพเมตาโบลิซึ่มม์ และ
    ปรับปริมาณการสันดาป ออกซิเจน ให้อยู่ในระดับตำทำให้มีการตัดการทำงานของกายเหลือแต่จิตล้วนๆ
    ในช่วงนี้ถ้าลมหายใจหายไปนานๆเป็นนาทีๆก็อย่าตกใจนะครับ ไม่ตายหรอกครับ ที่ต้องบอกเพราะมัน
    เป็นสภาวะที่หลายคนไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต ถึงบางคนจะนั่งสมาธิมา 20 - 30 ปี ก็ตาม อันนี้เป็น
    หลักสูตรเร่งรัดครับคล้ายกับ สมัยก่อน กว่าจะได้มโนฯกันยากเย็น เดี๊ยวนี้ เด็กๆ ฝึกครั้งเดียว
    ก็ได้เลย เป็นเรื่องที่พระท่านเตรียมการครับ ผมเป็น " ผู้นำสาร "

    เอาล่ะครับฝึกกันเลย ทุกครั้งที่ฝึกตั้งกำลังใจว่า" ขณะที่ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติสมาธินี้ ศีล ของข้าพเจ้า
    บริสุทธิ์ ข้าพเจ้ามีความเคารพใน พระรัตนไตร และคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ขอให้ข้าพเจ้า
    มีความเจริญในธรรมด้วยเทอญ " พยายามอธิฐานเองทุกครั้งนะครับ แล้ว


    1. นั่งสบายๆหายใจเข้าช้าๆลึกๆจนรู้สึกว่าลมหายใจลงไปถึงท้องจนเต็ม กักลมหายใจไว้สบายๆ
    ไม่ใช่กลั้นกันหน้าเขียวหน้าเหลืองนะครับ อุปมาใส่นำจนเต็มแล้วปิดฝา กักไว้ สบายๆ ในใจภาวนา
    พุทธโธ ธรรมโม สังโฆ วนไปเรื่อยๆจนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วก็ปล่อยลมหายใจออก แล้ว สูดลมเข้า
    ไปใหม่ช้าๆ ภาวนา ใหม่จนรู้สึกไม่ไหว จะสังเกตได้ว่า เราจะกักและเก็บลมได้นานขึ้น
    ผลที่ได้จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของปอด รวมทั้งเพิ่มพลังลมปราณครับ

    ทำการกักลมไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10 - 20 ครั้ง
    ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับ ตัวเรารู้สึกพอเมื่อไหร่ก็พอแค่นั้น

    [​IMG]

    2. เปลี่ยนครับจากที่เราเป็นผู้บังคับลม หายใจ เปลี่ยนมาเป็น ว่าเราเป็นผู้ติดตามลมหายใจ
    ทิ้งคำภาวนาได้ในช่วงนี้ เราในที่นี้คือ จิต ครับ ร่างกายมันอยากจะหายใจอย่างไรปล่อยมันงาน
    ของจิตอย่างเดียว ติดตามดูลมตลอดทั้งสาย ลงไปถึงไหนเราเห็นอาการหมด สั้นก็รู้ว่าสั้น ยาวก็รู้ว่ายาว
    ลมหายใจจะค่อยๆละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น และค่อยๆช้าลงจนแทบหายไปเหลือการหายใจเข้าออกเพียง
    แค่เมล็ดถั่ว หรืออย่างหยาบเท่าปลายนิ้วก้อย สภาพร่างกายเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ จิตใจแช่มชื่นและมี
    สติเต็มรอบ มีสภาวะเหมือนดวงจิตลอยอยู่อย่างเดียวในที่เว้งว้างว่างเปล่า บางคนลมหายใจหายไป
    ก็ไม่ต้องสนใจปล่อยมัน สนใจอยู่กับจิตที่หยุดนิ่งนี้ไม่ต้องภาวนาอีก ให้จำอารมณ์ใจ ความรู้สึก และ
    เสวยสุขในฌานให้เต็มที่ จนพอใจ ซักระยะ แต่อย่าให้นานเกินไป

    3. อนจิตจากสมาธิช้าๆ โดยการหายใจเข้าช้า ๆ ลึกๆ 3 ครั้ง
    ครั้งที่ 1 ภาวนา พุทธโธ 2 ธัมโม 3 สังโฆ จากนั้น ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ครับ จิตจะค่อย ๆถอนจาก
    ฌาน โดยลอยตัวขึ้นมาข้างบน จะมีความรู้สึกเหมือนเรากลับมาสู่โลก จะรู้สึกงง แปลกๆ ครับ การถอนจิต
    จากฌานต้องจำไว้นะครับ ห้ามออกจากสมาธิพรวดพลาดเด็ดขาด จะทำให้ กายทิพย์สะเทือน และ
    ทำให้กลับมาเข้าใหม่ยาก ยังไม่จบครับ ถอนจิตแล้วอธิฐานกำกับ ครับ

    4. ให้ใช้จิตเข้าสู่สภาวะ เดิมที่มีอาการนิ่ง ลมหายใจแค่นิดเดียวหรือไม่หายใจ ใหม่ทันทีครับ
    ในสภาพลืมตาครับ ขอให้ทุกท่านจำอารมณ์ใจขณะนี้ไว้ ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่า " ลมสบาย " ครับ
    แล้วให้ อธิฐาน ในฌานว่า " ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งฌานนี้ได้ ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ที่
    ต้องการเป็นวสี ติดตัวข้าฯทุกชาติ จนถึงซึ่งพระนิพพาน " ครับ ในขณะที่พิมพ์ผมก็เข้าอยู่ครับ
    เราเรียนไปด้วยกัน ผมคิดว่าน่าจะทำได้ แทบทุกคนนะครับ นอกจากคนที่ ช่างสงสัย และ วิตกกังวล
    เกินไป ไม่เป็นไรลองฝึกใหม่ได้ครับ ส่วนผู้ที่ทำได้ผมขอโมทนาบุญด้วยครับ ต่อไป บอกให้เข้าปุ๊บต้อง
    ทำได้ปั๊บนะครับ ม่ต้องตั้งท่า หลับตา ลืมตา ทุกอิริยาบถ เข้าได้หมด ไปลองซ้อมดูในอิริยาบทต่างๆ
    เพราะ ต้องใช้เป็นพื้นในวิปัสสนาญาณ สมาบัติ 8 และ มโนฯ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  11. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    21-07-2006, 06:14 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    บทที่ 3 การชำระล้างจิต และ การพลิกจิตสู่จิตระดับสูง

    จากบทก่อนๆ ที่ทุกคนได้ศึกษามา ตอนนี้คุณมี มีกำลังของสมาธิ มีปัญญาจากวิปัสสนาญาณ
    มีบารมีของ พระพุทธเจ้าคอยคุ้มครองจากการอาราธนาจับภาพพระเป็น พุทธานุสติ คุณรู้จักการ
    จับลมหายใจ รู้จักการใช้พลังจิต ดึงปราณ และธาตุทิพย์จากพระนิพพาน รู้จักการอธิฐานกำกับ
    การอธิฐานขอบารมี รู้จัก วสี ความชำนาญ ในการเข้า ออกฌาน กันแล้ว นับว่ามีพื้นฐาน
    ในการทรงฌาน และ วิปัสณาญาณ ดีพอขั้นตอนต่อไปจะเป็น

    การชำระล้างจิตให้บริสุทธิ์ขึ้น โดยการลด สลาย บรรเทากรรม
    ด้านอกุศล ให้ลดลง ด้วย กำลังของสมาธิ และ การอธิฐาน จากนั้นจะ เทคนิค

    การอธิฐานมหาโมทนา เพื่อ เป็น การรวมบุญใหญ่เข้าสู่จิตของเราต่อไปเป็น
    การอธิฐาน เบิกบุญ เรียกบารมีเก่าให้มารวมตัว

    ต่อด้วยฝึก
    วิชชาเมตตาอัปปมาณฌาณ ซึ่งคุณจะเข้าใจถึงการแผ่เมตตาอย่างแท้จริง

    (good)(good)(good)​

    ส่วนท่านที่ ปรารถนาพุทธภูมิ จะ เพิ่มเติมการอธิฐานสัมมาทิฐิ
    เพื่อการ พลิกจิตเข้าสู่ความเป็น พระโพธิสัตว์ ครับ


    เมื่อทบทวน และ อธิบายเนื้อหา ไปแล้วก็จะ เริ่มฝึกแล้วนะครับ

    1. ขอขมากรรม
    ขอให้ทุกคน จับลมสบาย จับภาพพระให้ใสเป็นเพชร แล้ว ตั้งจิตระลึกถึงศีล ว่าขณะที่ฝึกนี้ ศีล ของเรา
    บริสุทธิ์ จากนั้นคิดว่า มีตัวเราอีกคนกำลังกราบที่ตักของพระพุทธรูป แล้ว อธิฐานขอ ให้พระบารมี
    ของพระพุทธองค์ท่านมาสถิตเป็นหนึ่งเดียว กับ พระพุทธรูปในจิตของเรา ด้วยความศรัทธามั่นคง
    ไม่ลังเล จากนั้น ขอขมาพระรัตนไตยว่า '' กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงละเมิดต่อพระรัตนไตย และ
    สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา ใจ จะเจตนา และไม่เจตนา จะระลึกได้ หรือ ระลึก
    ไม่ได้ ก็ดี ได้ทำในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ข้าพเจ้าขอให้พระรัตนไตย ได้โปรดงดโทษที่จะพึงเกิดแก่
    ข้าพเจ้า ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ "

    จากนั้นให้กายในจิตกราบพระพุทธเจ้าท่าน สำหรับท่านที่ได้มโนฯให้ใช้กำลังใจ แยกอาทิสมานกาย
    ตามกำลังสูงสุด คือ พระวิสุทธิเทพ ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า และ พระอริยสงฆ์ บนพระนิพพานแล้ว
    อธิฐานขอขมาได้เลยครับ ให้ทุกท่านอธิฐานต่อไปว่าขอให้พระพุทธเจ้าท่านเมตตาเป็นประธาน และ
    พยานให้แก่ข้าพเจ้าในการอธิฐานดังต่อไปนี้ " ข้าพเจ้าขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวร และ บรรดาสรรพ
    สัตว์ทั้งหลาย ในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกิน ละเมิด ต่อท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา างใจ ก็ดี
    ในอดีตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี จะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี และมีเจตนาก็ดีไม่เจตนาก็ดี ขอให้ท่านเจ้ากรรม
    นายเวร และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้โปรดอโหสิกรรมงดโทษ
    ที่พึงเกิดแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

    บุญกุศล ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมานับแต่ อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และ ที่จะบำเพ็ญต่อไป
    ในอนาคต ข้าพเจ้าขออุทิศให้ท่านทั้งหลายได้โมทนา และ มีส่วนร่วมในบุญกุศล
    เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับทุกประการเทอญ "

    การขอขมากรรมนี้จะช่วยให้ การจองเวรกันลดลง หรือ อาจจะ สลายตัว เป็น โมฆะกรรม ได้ และ ส่งผลให้
    ชีวิตเราราบรื่น ปลอดโปร่งสะดวกขึ้น เป็นการช่วยลด สภาวะกรรมรวมของโลก ที่จะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติ
    ลดลง และในส่วนตัวบางท่านที่มีเจ้ากรรมนายเวร ที่กะว่าจะเช็คบิลท่านใน ภัยพิบัติรอบนี้ อาจจะอโหสิให้

    2. ขออโหสิกรรมให้แด่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ยังประคองจิตอยู่ต่อหน้าพระด้วยใจที่สบายนะครับ แล้ว อธิฐานต่อว่า " ข้าพเจ้านับแต่นี้จะมีแต่จิตใจ
    ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยจิตใจที่ดีงาม เปี่ยมไปด้วย ความเมตตาต่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ข้าพเจ้า
    ขออโหสิกรรม ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ใดข้าพเจ้าขออโหสิกรรม
    ให้กับเขาเหล่านั้นไม่ว่าเขาจะทำกรรม ล่วงเกินข้าพเจ้าไม่ว่าจะเป็นทาง กาย วาจา ใจ ในอดีตก็ดี
    ปัจจุบันก็ดี จะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้กับเขาเหล่านั้นขอให้เขาประสพ
    แต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ "

    คำอธิฐานนี้มีผล 2 ประการ คือ 1. เป็นการให้อภัยทานอันเป็นทานสูงสุด ใช้กำลังใจสูงสุดในการให้ครับ
    แต่ คุณก็ทำได้ จิตก็จะยิ่งเบาขึ้นครับ 2. คุณทุกคนบนโลกใบนี้นี่แหละครับ ที่เป็นคนทำให้เกิดกรรมแห่ง
    การอาฆาตล้างแค้นกันและกันสะสม จนเกิดภัยพิบัติครั้งนี้ แปลกนะครับที่คนเรากลัวเจ้ากรรมนายเวรกัน
    เวลาทำบุญกรวดนำอุทิศส่วนกุศลให้ แต่กลับไม่เคยรู้ตัวเลยว่า " เรานี่ละตัวดี เป็นเจ้ากรรมนายเวรของ
    ชาวบ้านชาวช่องเขา "เวลาไป โกรธ อิจฉา ริษยา อาฆาตแค้นคนอื่นเขา การสลายกรรมตรงนี้ส่งผลให้
    สภาวะกรรมรวมของโลกเบาบางลงครับ และการที่ตัวเจ้ากรรมนายเวรตัดสินใจลบบัญชีกรรมอโหสิให้
    เป็นโมฆะกรรม นั้นเป็นเรื่องที่ ง่ายกว่าการที่จะไปออนวอนขอให้ เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
    ให้ครับ เพราะบางคนก็ไม่ยอมง่ายๆครับ ต้องใช้เวลาและทำให้บ่อยๆครับ

    3. มหาโมทนามัย ประคองจิตให้อยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าตั้งจิตให้เบาสบายและมั่นคงอธิฐานว่า
    " ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานระลึกถึง บุญกุศล บารมีคุณงามความดี และจิตใจที่ดีงาม ของพระพุทธเจ้า
    ทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย
    เทพพรหมเทวาทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ตลอดจนความดีของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วมหาอนันต์
    จักรวาลที่ได้บำเพ็ญมา นับตั้ง แต่อดีต ปัจจุบัน และที่จะบำเพ็ญประโยชน์ต่อไปในอนาคต
    ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา ข้าพเจ้าขอกราบมหาโมทนา
    ในบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ด้วยความจริงใจ ขอให้อำนาจแห่งการมหาโมทนามัยนี้จงส่งผล
    เป็นกระแสบุญอันบริสุทธิ์หลั่งไหลสู่ดวงจิต ของข้าพเจ้านับแต่นี้ด้วยเทอญ "

    [​IMG]

    ขอให้ทุกท่านฉลาดในการทำบุญ ฉลาดใน การโมทนา ฉลาดในการ การอธิฐาน
    ฉลาดในการ สร้างบารมี ครับ พระท่านให้พรมาครับยังประคองจิตอยู่ต่อหน้าพระนะครับ

    4. เรียกบารมีเก่า อธิฐานต่อไปว่า " ข้าพเจ้าขอตั้งจิตระลึกถึง บุญบารมี คุณความดี สรรพวิชา
    และ สายสมบัติ ที่ข้าพเจ้าได้สร้าง ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติและได้บำเพ็ญมา ( เพื่อปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณ
    มีพระนิพพานเป็นที่สุด ) นับตั้งเเต่ อดีต ปัจจุบัน และจะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล
    สมาธิ ปัญญา สัมมาทิษฐิให้ มารวมตัวกัน ณ บัดนี้ เพื่อให้ข้าพเจ้าได้ใช้สร้างบุญ สร้าง บารมี เพื่อ
    ความรุ่งเรืองในทั้ง ทาง โลก และ ทางธรรม มีกำลังใจ กำลังบารมีทั้ง 30 ทัศน์ ได้ช่วยตนเองและ
    สรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ ประสพแต่ความสุข พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานด้วยเทอญ "

    ขั้นตอนนี้เป็นการเรียกบารมีเก่าที่เราอาจหลงลืมหรือตกหล่นไปในอดีตชาติให้กลับมาครับ
    จะช่วยให้ฝึกวิชาและสมาธิได้ง่ายขึ้น รวมทั้งบุญเก่าด้วยครับให้มาส่งผลเร็วขึ้น
    ต่อไปเป็นวิชาสำคัญในการพลิกจิตให้มี สภาวะจิตที่บริสุทธ์ยิ่งขึ้นครับ คือ

    5. เมตตาอัปปมาณฌาณ จับลมสบาย จิตจับภาพพระพุทธเจ้าให้ใสเป็นเพชร ครับ จากนั้นนึก
    กราบขอให้ท่านมาลอยอยู่ เหนือหัว ของเรา แล้ว กำหนดจิตของเราให้" รู้สึก " ถึง บุญกุศลความดีงาม
    ความงดงามแห่งจิตใจ ความชุ่มใจ ความอิ่มเอิบใจ ความปลื้มปิติ ความรัก ที่ บริสุทธิ์ ความตื้นตันใจ
    ความรักที่เรามีต่อพ่อแม่ ที่มี ต่อพระเจ้าอยู่หัวในวัน มหาปิติ 60 ปี ให้ความรู้สึกเป็นสุขปิติอิ่มเอิบใจนี้
    เติมให้เต็มหัวใจของเรา นึกถึง ภาพดอกไม้ที่ค่อยๆแย้มกลีบด้วยความงดงาม เมื่อจิตใจแย้มยิ้มชื่นบาน
    เต็มหัวใจ กายเราก็ยิ้ม เบิกบานมีความสุขอย่างที่สุด เรากำหนดจิตว่า บุญ คือ ความสุข ที่ข้าพเจ้า
    ปรากฏณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศความสุข ส่วนกุศลนี้ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั่วอนันตจักรวาล ขอให้
    สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ประสพแต่ความสุขพ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพาน
    อันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ แล้วค่อย ๆ ทำความรู้สึกว่าตัวเราสว่างมี แสงรัศมีสีทอง อันเป็นรัศมีแห่ง
    ความรักที่บริสุทธิ์ ความเมตตาที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีประมาณ ที่เรามีให้แก่สรรพสัตว์ไม่มีวันจบสิ้นให้
    แสงแห่งความเมตตาอันดีงามบริสุทธิ์นี้ แผ่ส่องสว่างปกคลุมห้องที่เราอยู่นี้ สว่างเรืองรอง จิตของ
    สรรพสัตว์ดวงใดได้สัมผัส กับ รัศมี นี้ก็ให้มีความสุข สงบ ชุ่มเย็นไปด้วย จิตเรา ยิ่งเปล่งรัศมีเท่าไหร่
    จิตเรา ก็ยิ่ง มีความสุขชุ่มเย็นยิ่งขึ้น แผ่รัศมีสีทอง ระยิบ ระยับ ค่อย ๆ ปกคลุมบ้าน
    หรือ อาคารที่เราอยู่ทั้งหลังครับ ค่อย ๆ ทำใจเย็น ๆ

    จากนั้นแผ่ปกคลุม อำเภอ จังหวัดที่คุณอยู่ ประคองใจให้ชุ่มเย็นอิ่มเอิบตลอดเวลา
    แล้วค่อย ๆ แผ่ให้กว้าง จนคลุมประเทศไทย จนมองเห็นเป็นขวานสีทอง
    แล้วอธิฐานให้ประเทศไทยจงสงบสุขร่มเย็น ผู้คนจิตใจดีงาม

    จากนั้น แผ่รัศมีแห่งความสุขนี้ปกคลุมโลกจนเป็น สีทองสว่างไสว อธิฐานว่า " ขอให้โลกนี้จงสงบ
    สุขร่มเย็น " แล้ว จึงแผ่รัศมีสีทองออกไปทั่วสุริยจักรวาล ไม่มีที่สิ้นสุดจนออกไป ยังอนันตจักรวา
    ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ จิตเรายิ่งแผ่รัศมีเท่าไหร่จิตเรายิ่งแย้มยิ้มอิ่มเอิบใจยิ่งให้มากมายเท่าไหร่
    จิตเราก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ประคองอารมณ์ใจที่แสนปิติสุขนี้ไว้ตามที่ต้องการครับ ส่วน
    พุทธภูมิ และ ผู้ที่ได้มโนฯ ให้ประคองจิตไว้แล้ว แผ่รัศมีแห่งความเมตตานี้จากขอบอนันตจักรวาล
    เข้ามาสู่ตัว แล้วแผ่ย้อนกลับออกไปใหม่ครับ

    " พุทธภูมินี้จะนำวิชชานี้ไปใช้เมื่อสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าครับ "

    ในการใช้ข่ายพระญาณในการตรวจหาบารมีผู้บรรลุธรรมครับ
    ห้ามทุกคนใช้หรือลองเล่นเด็ดขาดนะครับเพราะ เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
    บอกให้ทราบเป็นความรู้ อนุญาตให้ใช้ แผ่เมตตาอัปปมาณฌาณ เท่านั้น

    จากนั้น ขอบารมี พระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์
    ขอให้ท่านเปิดอนันตจักรวาลให้เห็นบรรดาสรรพสัตว์ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ และ
    มีผู้ผิดผู้ หลง ต้องเสวยกรรมให้วัฏฏสงสารเท่าไหร่ ใช้ ปัญญาพิจารณา ต่อไปว่า
    " มวลหมู่สัตว์ผู้แหวกว่ายในทะเลทุกข์นั้น มากมายมหาศาล ขณะนี้
    จิตของข้าพเจ้าเปี่ยมไปด้วย มหาเมตตาไม่มีประมาณ ต่อมวลหมู่สัตว์
    ข้าพเจ้าขอตั้งกำลังใจใหม่ ละมานะทิฐิ ที่สำคัญตนว่าดี สำคัญตน ว่า เลิศ
    บำเพ็ญพระโพธิญาณเพื่อตนเอง มาเป็น สัมมาทิฐิ ว่า จะขอสละ ร่างกาย
    ชีวิต สร้าง บารมี ด้วย เมตตา หวังเพื่อช่วยสรรพสัตว์ ทั้งหลาย
    ห้พ้นจากสังสารวัฏเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ "

    สำหรับ พุทธภูมิ ที่อธิฐานพลิกจิตนี้สำเร็จ นี้ จะมีอาการ ปิติ นำตาไหล ร้องไห้ด้วยความอิ่มใจ
    บางคนก็เหมือนได้ยินเหมือนฟ้าผ่าเสียงดัง บางคน ได้กลิ่นธูป หรือดอกไม้หอม สำหรับท่านที่สำเร็จ
    ผมขอน้อมเศียรกราบโมทนา ในความเป็น พระโพธิสัตว์ ของท่าน ด้วยครับ

    ตอนนี้ให้ทุกคนคิดเอาตัวเราในจิตไปกราบพระพุทธเจ้าครับ แล้ว
    ถอนจิตออกจากสมาธิช้า ๆ โดยการหายใจเข้า ลึก ๆ ช้า ๆ ครับ
    <!-- / message -->​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2009
  12. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    24-07-2006, 09:52 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    " วิชายกพระเสี่ยงทาย "
    วิชานี้หลายคนรู้จักและเคยใช้เป็นอย่างดีก็ขอให้คิดว่าได้ทบทวนใหม่นะครับ

    ข้อดีของวิชานี้คือ 1. เป็น การพิสูจน์ ว่า พุทธานุภาพของพระพุทธเจ้ามีจริง เป็นการสร้าง
    ศรัทธาความเชื่อมั่น ในคุณพระรัตนไตยได้ตั้งแต่ต้น 2.ทำได้ง่ายแม้จะเป็นผู้มีสมาธิไม่สูง ไม่มี
    ทิพจักษุญาณก็ สามารถทำได้ ขอมีความศรัทธาจริง 3. ทำได้ทุกที่ จะเป็นที่วัดหรือที่บ้านก็ได้
    4. เป็นวิชาที่สืบทอดกันมานับแต่โบราณกาล และเคยใช้ในการเสี่ยง บุญ วาสนา
    บุญญาธิการเพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองมาแล้ว

    สถานที่ที่มีการยกพระเสี่ยงทายนั้น เท่าที่ผมจำได้มี ที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพ พระธาตุเชิงชุม
    วิธีการฝึกมีดังนี้ครับ ก่อนอื่นหา พระพุทธรูป มาองค์หนึ่งหน้าตักกว้างประมาณ 6 ถึง 12 นิ้ว ดอกไม้
    หรือ พวงมาลัย ธูปเทียน และ ผ้าที่สะอาดผืนหนึ่ง ปูผ้าเบื้องหน้าเรา นิมนต์วางพระพุทธรูปท่านไว้เบื้องหน้า
    เรา จากนั้นนำดอกไม้ ธูปเทียนบูชาพระ ว่านะโม สามจบ ตามด้วยคำขอขมาพระรัตนไตย

    จากนั้นเข้า อารมณ์สูงสุดที่ฝึกมาคือจับลมสบาย ทำจิตให้อิ่มเอิบจับภาพพระให้ใสเป็นเพชรในใจ
    แล้ว อธิฐานว่า " ข้าพเจ้าขออาราธนาพระพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าท่าน ให้มาสถิตอยู่ ณ องค์
    พระพุทธปฏิมาเบื้องหน้าของข้าพเจ้านี้ และ ได้โปรดชี้ทางสว่าง ให้แก่ข้าพเจ้าประดุจได้อยู่เบื้อง
    พระพักตร์ขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเถิด " จากนั้นใช้จิตสัมผัสให้เห็นองค์

    พระเบื้องหน้าเรา ใสเป็นเพชร แล้ว ว่า คาถา
    " พุทธธัง อาราธนานัง ธรรมมัง อาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง "
    แล้วใช้มือของเราประคองจับที่ตักขององค์พระท่าน แล้ว อธิฐานว่า
    " หากแม้นพุทธานุภาพแห่งพระพุทธองค์ท่านเสด็จมาเมตตาข้าพเจ้าแล้ว
    ขอให้องค์พระปฏิมานี้จง หนัก ปานภูผาจนข้าพเจ้ามิอาจยกขึ้นด้วยเทอญ "

    [​IMG]

    จากนั้นจึงยกองค์พระขึ้น ลองดูว่ายกไหวหรือไม่ ?
    ถ้าไม่ไหวให้กราบท่านแล้วอธิฐานใหม่ว่า

    [SIZE=+0]" ขอพระองค์ทรงเมตตาแสดงพุทธานุภานุภาพ ให้ข้าพเจ้าได้ยังศรัทธามั่นคง [/SIZE]
    [SIZE=+0]ข้าพเจ้าขอให้องค์พระปฏิมานี้ เบา ประดุจเทพยดามาช่วยยกด้วยเทอญ "[/SIZE]

    [SIZE=+0]จากนั้นยกองค์พระขึ้นใหม่ ดูว่าพระท่านเบาลอยต่างกันกับเมื่อสักครู่หรือไม่ ถ้าเบาหวิว [/SIZE]
    [SIZE=+0]ก็ขอให้สิ้นความสงสัยได้ และให้ระลึกว่า อำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณมีอยู่ จริงแท้แน่นอน[/SIZE]

    [SIZE=+0]จากนั้นผมขอให้ท่านตั้งคำอธิฐานเสี่ยงทาย 3 ข้อครับ[/SIZE]
    [SIZE=+0]1. อธิฐานว่า " หากแม้ ธรรมมะและคุณธรรมของข้าพเจ้าจะรุ่งเรืองก้าวหน้า ขอให้องค์พระท่านหนัก[/SIZE]
    [SIZE=+0]จนยกไม่ขึ้นด้วยเทอญ " จากนั้นอธิฐานซ้ำแต่ขอให้พระท่านเบา ข้าพเจ้านี้คือตัวคุณเองนะครับ[/SIZE]
    [SIZE=+0]2. อธิฐานว่า " หากแม้ข้าพเจ้าได้อธิฐานก่อนลงมาจุติในชาตินี้มีหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ขอให้[/SIZE]
    [SIZE=+0]องค์พระ ท่านหนักจนยกไม่ขึ้นด้วยเทอญ " จากนั้นอธิฐานอีกครั้งแต่ขอให้พระท่านเบา[/SIZE]


    [SIZE=+0]3. ผมให้ท่านอธิฐานในสิ่งตัวท่านเองต้องการเสี่ยงทายครับ[/SIZE]​

    [SIZE=+0]ทำได้แล้ว ผมขอให้กราบพระท่านที่ตักแล้ว อธิฐานว่า " ข้าพเจ้าสิ้นสงสัยในคุณพระรัตนไตยแล้ว[/SIZE]
    [SIZE=+0]และขอยึดไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งอาศัยตลอดชีวิตจนถึงซึ่ง พระนิพพาน ขอให้พุทธบารมีของพระองค์[/SIZE]
    [SIZE=+0]ท่านมาสถิต ให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้เป็นพระพุทธรูป ศักดิ์สิทธ์คุ้มครองข้าพเจ้าและครอบครัวจากภัย[/SIZE]
    [SIZE=+0]อันตรายทั้งปวง และ ให้เหล่าข้าพเจ้าได้น้อมบูชา แทนองค์พระศาสดาด้วยเท"[/SIZE]​
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  13. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    25-07-2006, 11:23 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    การอารธนาบารมีกำลังพุทธคุณ มาใช้ร่วมกับ พระเครื่อง และ
    เครื่องราง ของขลัง เพื่อใช้คุ้มครองรักษาตัวท่านและครอบครัวครับ
    ขอให้ข้อมูลตามที่พระท่านบอกครับ ให้ท่านไปใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองเองครับ

    [​IMG]


    [​IMG] [​IMG] ปัจจัยที่ทำให้ พระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ ประกอบไปด้วย จิตเจตนา
    ของผู้สร้าง ถ้าจิตเจตนาของท่านผู้สร้างเป็นไปเพื่อช่วยเหลือหรืสงเคราะห์ผู้คน
    แจกให้โดยไม่หวังผล พระท่านก็จะบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์

    [​IMG] [​IMG] ความบริสุทธิ์ และ คุณธรรมของผู้สร้าง ความศักดิ์
    สิทธ์จากธาตุ และ เนื้อมวลสารขององค์พระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้นเองขอยกตัวอย่างเช่น พระสมเด็จ
    จิตรลดาที่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงสร้าง เพื่อพระราชทานให้ข้าราชบริพารโดยรวบรวมจาก
    เส้นพระเกสา ของพระองค์ท่าน นำมนต์ จากทั่วประเทศ และ วัตถุขลังอย่างอื่น เช่น เหล็กนำพี้ ตะไคร้
    จากองค์ พระธาตุทั่วประเทศเป็นต้น พระของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านมีพระคำ ข้าว พระหางหมาก
    ที่ มีมวลสารจาก ธาตุอันบริสุทธื์ของพระอรหันต์

    [​IMG] [​IMG] จากพิธีพุทธาภิเษก การอธิฐานจิต และ
    การอาราธนาคุณพระอาราธนา ถ้าพิธีกรมที่ทำนั้น ทำเพียงรูปแบบของพิธีกรรมโดยไม่มีพลัง
    สมาธิของเจ้าพิธี ก็จะศักดิ์สิทธิ์น้อยกว่าการที่ เจ้าพิธี และ พระที่ร่วมในพิธีอธิฐานจิตประจุพลังลงไป
    ในองค์พระ แต่ก็ไม่เท่าที่เจ้าพิธีท่านอาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าให้มาสถิตอยู่ในเครื่องรางนั้นๆ

    [​IMG] [​IMG] คำอธิฐานจิตที่กำหนดไว้ในเครื่องรางนั้น ๆ อุปมาเหมือนการลงโปรแกรมคำสั่ง
    เพื่อวัตถุประสงค์ที่ปรารถนา เช่น พระองค์นี้ท่านดีทางด้านเมตตา มหานิยม องค์นี้ด้านอยู่ยงคงกระพัน
    เป็นต้น ซึ่งก็ต้องเลือกตามวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ ที่น่าสังเกต คือ พระหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และ
    เครื่องรางอื่นหลายอย่าง ท่านบอกไว้ล่วงหน้าหลายสิบปีเลยว่า พระของท่านใช้ป้องกันรังสีนิวเคลียร์ได้
    ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก หนังสือ สมบัติพ่อให้ครับ

    ส่วนปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้พระท่านแสดงความศักดิ์สิทธิ์ คือ ตัวของผู้ใช้ ครับ เพราะพระท่าน
    คุ้มครองช่วยเหลือได้ถ้าไม่เกินผลของกรรมครับ เป็นเหตุผลที่ โบราณจารย์ท่านจะ ขอสัจจะเวลาให้
    เครื่องรางของขลังแก่ผู้ใด เช่น ห้ามผิดลูกเมียเขา ห้ามด่าแม่คนอื่นไม่งั้นวิชาจะเสื่อม ต้องมีสัจจะเป็นคน
    จริง เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นศีลครับ เป็นอุบายที่ท่านจะให้ชาวบ้านได้มีศีลแม้ข้อเดียวก็ยังดี แต่ให้ ตั้งมั่น
    ได้ตลอดชีวิต จะได้เป็นบุญคุ้มครองผู้สวมใส่เครื่องรางครับ และ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความศรัทธา
    ในพระรัตนไตยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราสวมใส่ครับ

    ดังนั้นเราคงเห็นข่าวครับว่า เสี่ยบางคนทุ่มเงินเป็นสิบล้านเช่าพระสมเด็จมาแขวนสุดท้ายถูกถล่มด้วย M16
    คารถ และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ ผมเห็นในข่าวว่ามีบ้านหนึ่ง เกิดไฟไหม้บ้านวอดทั้งหลัง มีสิ่งเดียวที่ไม่ไหม้
    คือ รูปในหลวงที่ตัดจากหนังสือพิมพ์มา ใส่กรอบครับที่ไม่ไหม้ ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำให้พระท่านแสดง
    ความศักดิ์สิทธ์คุ้มครองเราได้นั้นเราสามารถทำได้ดังนี้

    ตั้งใจ รักษาศีล ให้ได้มากที่สุด ตามกำลังใจของตน จากไม่คิดรักษาศีล ให้คิดรักษาศีล รักษาไม่ได้
    สักข้อ ก็มา รักษาให้ได้สัก 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ ก็ยังดี รักษาตอนกลางวันทำงานไม่ได้ ก็รักษา ตอนกลางคืน
    ก่อนนอน หรือ ชั่วระยะเวลาเช่นขณะสวดมนต์ทำสมาธิ หรือ รักษาตามวัน เช่นเราเกิดวันจันทร์ ก็รักษาศีล
    วันจันทร์ ขึ้นชื่อว่าความดีแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลรักษาศีลเพิ่มขึ้นจน ครบศีลห้า รักษาศีลให้เป็นปกติ
    เหมือนเราต้องอาบนำ แปลงฟันทุกวัน รักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์แล้ว ไม่ส่งเสริมให้ผู้อื่นผิดศีลและไม่
    ยินดีที่ผู้อื่นทำผิดศีลด้วยครับ

    มีความเคารพศรัทธาในพระรัตนไตย เชื่อมั่นในพุทธานุภาพของท่านว่าคุ้มครองเราได้จริง
    เพราะถึงท่านจะใส่พระที่คนอื่นบอกว่าเก๊ แต่ถ้าท่านมีความดี มีความศรัทธา และ มีจิตสื่อถึงพระ
    ท่านได้ พระทุกองค์ท่านศักดิ์สิทธิ์เสมอครับ


    วิชาอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้ลงมา สถิตในพระ และ เครื่องรางที่เราแขวนหรือบูชา
    ควรทำในวันพระ หรือ วันพฤหัส หรือวันเสาร์ขึ้น ห้าค่ำ แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นหรือคับขัน อนุโลมใช้วันอื่น
    ได้ เตรียมดอกไม้ ธูป เทียน จุดบูชาพระ ว่า นะโม 3 จบ ต่อด้วย อิติปิโส จนจบ จับลม ภาวนา พุทธโธ
    จนใจสบาย นำพระที่ท่านจะใส่หรือ ให้ผู้ใด มาประนมจบไว้ที่หน้าผาก จะเป็นองค์เดียว หรือใส่ในพาน
    หลายองค์ก็ได้ มาจบไว้ด้วยอาการเคารพทั้งกาย ทั้งใจ ตั้งจิต " ระลึกถึงความดีที่เราทำมา นับแต่
    อดีต จนถึง ปัจจุบันและจะทำต่อไปใน อนาคต "

    ตั้งใจต่อไปว่า ขณะนี้ข้าพเจ้ามีศีล 5 บริสุทธิ์ มีจิตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และ
    ข้าพเจ้าถึงพร้อมซึ่งความเคารพในพระรัตนไตย ข้าพเจ้ามีจิตใจที่บริสุทธิ์ จากนั้น จับลมหายใจที่
    ละเอียดเบาสบายตามกำลังสมาธิสูงสุดที่ทำได้ แล้ว จับภาพพระพุทธรูป ที่เคยได้ฝึกมาแล้ว ให้ใส
    เป็นแก้วประกายเพชรแล้วอธิฐานว่า

    " ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์
    พระธรรม และอริยสงฆ์ทั้งหลาย คุณครูอุปัชฌาอาจารย์ทั้งหลาย นับแต่โบราณากาลเป็นต้นมาขอได้โปรด
    เมตตาประทานพุทธบารมี อันหาที่สุดมิได้ ลงมาสถิตอยู่ในองค์พระเครื่องของข้าพเจ้านี้ให้มีพุทธคุณ
    สูงสุดยิ่งขึ้นไป หนุนพลังที่คุณครูบาอาจาย์ที่ท่านได้อธิฐานไว้แล้วให้ล้ำเลิศ ประเสริฐสุดให้ปกปักรักษากาย
    ของข้าพเจ้าให้ปลอดภัย จากศาสตราวุธ เขี้ยว งา ธาตุ รังสี และ เชื้อโรคเชื้อร้ายทั้งปวง ขอให้แผ่รัศมี
    เป็นเกราะแก้วคุ้มจิตคุ้มใจข้าพเจ้า ให้ตั้งมั่นใน สัมมาทิฐิ และ ป้องกันกายจิตของข้าพเจ้าจาก บาปกรรม
    อกุศล และ คุณไสย ขออย่าได้มีภัยมาแพ้วพาน ขอให้ข้าพเจ้าเจริญยิ่งๆขึ้นไปทั้งทางโลกทางธรรม
    ขอให้ข้าพเจ้ามีสินทรัพย์ที่มั่งคั่งเพื่อเป็นพลังสร้างทานบารมี
    สิทธิกายะ สิทธิกายะ สิทธิกายะ "

    ตลอดเวลา ที่อธิฐานให้ทำใจให้เบาสบาย และ จับภาพพระอยู่ตลอดเวลา เมื่ออธิฐานเสร็จแล้ว
    น้อมจิตให้พระพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในจิตขณะนั้นเคลื่อนลงมาคลุมพระเรื่องที่เรา
    อาราธนา ไว้ในมือจนมีความรู้สึก ใน จิต ว่าองค์พระในมือท่านขาวใสบริสุทธิ์ใสสว่างเป็นเพชร เมื่อจะนึก
    ให้ท่านสว่างเปล่งรัศมี ท่านก็ยิ่งส่องสว่างได้ดังใจนึก ลองขอ ให้รัศมี ของพระท่านที่อยู่ในมือนั้นเป็น
    แสงสว่างใสมีประกาย คลุมร่างกายเราไว้ทั้งหมด อธิฐานว่า ขอรัศมีแห่งพุทธานุภาพนี้จงช่วยคุ้ม
    ครองข้าพเจ้า และ ครอบครัว จากอันตรายทั้งปวง ด้วยเถิดจากนั้น วางพระท่านกลับไว้บนพานหรือ
    บนหิ้งพระ เมื่อจะสวมคอ ( ในกรณีพระเครื่อง ) ให้เข้าสมาธิ

    " จับภาพพระองค์ที่ท่านจะสวม ให้ใสสว่างเป็นแก้ว อธิฐานให้ท่านคุ้มครอง " ก่อนจะสวมครับ

    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  14. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    27-07-2006, 07:55 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    ต่อไปพระท่านให้แนะนำเรื่อง มรณานุสติ
    อันเป็น วิปัสสนาฯ เพื่อทำให้เกิด ปัญญา ครับ

    จับ ลมหายใจให้เบาสบาย ครับ จับภาพพระให้ใสสว่าง เป็นเพชร จากนั้น นึกให้เห็นตัวเรากำลังนั่ง
    อยู่หน้าพระท่าน ตั้งจิตอธิฐานว่า เสมือนเราฟังธรรม ต่อหน้าพระพักตร์ ของ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
    แล้วใช้อารมณ์ใจสบาย ใคร่ครวญ พระธรรม ดังนี้ จงพิจารณาว่า ตราบเท่าที่เรามีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน
    เราได้ยินข่าว การตาย มากมายหลายครั้ง บางรายเป็นทารกตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางรายเมื่อ
    คลอดออกมาจึงตาย บางรายตายตอนเป็นทารก บางรายตายตอนเป็นวัยรุ่นบางรายตายตอนเป็นหนุ่มสาว
    บางรายตายตอนเป็นวัยกลางคน บางรายตายตอนแก่ พิจารณาว่า ไม่ว่าในวัยใดก็ตายได้ตลอดเวลา
    สรรพสัตว์เกิดขึ้นก็มีความตายในที่สุด เป็นธรรมดาของโลกคนอื่นก็ต้องตาย คนใกล้ตัวเราก็ต้องตาย
    ญาติพี่น้องเรา ก็ต้องตาย และ ถึงแม้ ตัวเราเองก็ต้อง ตาย ไปในที่สุดเราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่
    อาจจะในนาทีนี้ คืนนี้ เช้าพรุ่งนี้ หรืออาจจะเดือนหน้า ปีหน้า 10 ปีข้างหน้า เราไม่อาจรู้ รู้แต่ว่าเราตาย
    พระพุทธเจ้าท่านให้ระลึกถึง ความตายในชีวิตไว้เสมอ และเพื่อ ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมนั้น
    หมายถึง ว่า จงอย่าประมาทว่าตัวเราจะยังไม่ตาย แต่ให้ทำความดีให้มากที่สุดอย่าประมาทว่าพรุ่งนี้
    เราจึงจะทำความดี หรือ เมื่อแก่แล้วเราจึง จะเข้าวัด

    ถ้าเราจะต้องตายวันนี้เราจะทำอย่างไร ?
    ลองถามใจตัวเองว่า เรามีความกลัวตายหรือไม่ ?
    จากนั้นลองถามตัวเองว่าทำไม เราจึงกลัวตาย ?

    ความจริงนั้น " ความกลัวเกิดจากความไม่รู้ " ราไม่รู้ว่า เราจะตายเมื่อไรตายอย่างไร เราจึงกลัวเราไม่รู้
    ว่า ความตายเป็นเรื่อง ธรรมชาติ ที่ทุกคนต้องพบ และ พลัดพรากจากทุกสิ่งในโลกนี้ เราจึงกลัวเราไม่รู้ว่า
    เมื่อตายไปแล้ว เราจะไปไหน เราจึงกลัว ดังนี้เอง ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว สองประเด็นแรกคือ เราจะตาย
    เมื่อไหร่ ตายอย่างไร เป็นเรื่องธรรมดาที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรยอมรับว่าเป็น ธรรมดาของโลก ที่เป็น
    " ความไม่เที่ยงทำให้พลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง "

    [​IMG]

    เราควรทำใจให้เป็นธรรมดา แต่สิ่งที่เราควรกลัวก็คือ ว่า เมื่อเราตายแล้วเราจะไปไหน ?
    ถ้าไป สู่สุขคติ มีสวรรค์ พรหม ก็ยังดีแต่ถ้าหมดบุญก็ยังต้องเวียนว่า ลงมาเสวยความทุกข์อยู่ดี
    ที่น่ากลัวคือ การไปเกิด ยังนรก และ อบายภูมิ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ความทรมาน ยาวนาน
    " ดังนั้นเราจึงไม่ควรกลัวตาย แต่ควรกลัว บาป และ เวรกรรมที่ทำให้ตกนรก และ อบายภูมิ ทำอย่างไร
    จึงจะพ้นจากอบายภูมิ ได้ ก็อย่างที่ทราบว่าเมื่อ ตอนต้น ผมได้บอกกับท่านแล้วว่า พระพุทธเจ้า
    และพระอริยสงฆ์ท่านสอน ให้คนไม่ตกนรก สิ่งที่จะกั้นมิให้ท่านตกนรกได้ คือ ศีล 5 ส่วนเครื่องหล่อ
    เลี้ยงศีล 5 คือ เมตตาพรหมวิหาร 4 ส่วน เครื่องคุ้มครองรักษาดวงจิต คือ คุณพระรัตนไตร ♥ ครับ

    ขอให้เข้าใจเรื่องความตายและการจุติก่อน จิตที่กำลังจะดับในขณะจิตนั้นจะไปจุติตามภพภูมินั้นๆ ท่าน
    อุปมาดังฝูงวัวในคอก วัวที่อยู่ปากประตูคอกจะเป็นตัวที่ออกจากคอกก่อน ฉันใด จิตขณะดับจิตถ้าระลึกถึง
    บุญก็ไป จุติ เสวยผลบุญ ถ้าอกุศลมาดลใจให้ระลึกถึงบาปกรรมชั่วก็ย่อมมี อบายภูมิเป็นที่ไปเช่นกัน
    การฝึกอบรมจิตนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่งใน การเลือกภพภูมิที่เราต้องการไปจุติ ด้วยการฝึกให้จิตมี
    ความบริสุทธ์ในระดับเดียวกับภพภูมินั้นๆถ้าจิตมีมนุษยธรรม มี ศีล 5 บริสุทธิ์ ย่อมทำให้เกิดเป็น
    มนุษย์ผิวพรรณวรรณะสวยงามมีความมั่งคั่งร่ำรวย ถ้าจิต มีหิริโอตปะ ความกลัวบาปกรรม และ ละอายใจ
    ต่อการทำเวรกรรมชั่วทั้งหลาย ย่อมมีผลให้ไปเกิดเป็น เทวดาถ้ามีจิต เมตตาพรหมวิหาร 4 เต็มหัวใจก็ย่อม
    ไปเกิดเป็น พรหมถ้าฝึกจิตใน สมาบัติ 8 พอใจในฌานจนเป็นปกติก็ย่อมไปเกิดเป็นอรูปพรหม

    ถ้าจิตเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ และ การเวียนว่ายตายเกิดอีก
    ก็ ย่อมเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่ง พระนิพพาน

    ในเหตุการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก่อนจิตจะดับ นั้นถ้าเราฝึกใจให้ระลึกถึง บุญ ศีล พรหมวิหาร 4
    พุทธานุสติ เสมอ เป็นปกติโดยไม่ประมาท และ อธิฐานถึงภพภูมิที่เราเลือกว่า เมื่อละจากโลกนี้แล้ว
    เราจะไปยังที่ใดภพภูมิใด ถ้าในขณะใกล้ดับจิตเราระลึกถึงบุญกุศล และศีลที่เราได้ทำมาจิตสบายย่อมไป
    สู่สวรรค์ ถ้าขณะใกล้ดับจิต เราทรงอยู่ใน ฌานสมาธิ หรือ ทรงใน เมตตาอัปปมาณฌาณ
    เราย่อมเข้าถึง การจุติใน พรหมโลก ได้

    อานิสงค์ของการเจริญมรณานุสติครับ

    ทำให้จิตมีความกล้าหาญ ไม่กลัวตาย ไม่ตื่นตระหนกจนขาดสติเมื่อมีเหตุคับขัน
    เป็นคุณธรรมที่ช่วยต่อยอดการปฏิบัติในวิปัสสนาญาณให้ยิ่งขึ้นไป จนถึงอารมณ์นิพพาน
    ทำให้เป็น ผู้มีสติ ไม่ประมาท ในชีวิต ในการทำความดี ในการปฏิบัติ ไม่หลงตาย

    ทำให้ ตัดสังโยชน์ 10 ได้ง่ายขึ้น

    หวังว่าเราจะเตรียมจิตของเราให้พร้อมรับมือได้ในทุกสถานการณ์นะครับ ความไม่รู้ทำให้เกิดความกลัว
    ความกลัว ทำให้ขาดสติ การขาดสติ ทำให้ตื่นตระหนก บดบังปัญญา การขาดปัญญา ทำให้ ตัดสินใจ
    ผิดพลาด การตัดสินใจผิดพลาด อาจนำไปสู่ความตายครับ .
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  15. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    28-07-2006, 09:46 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    การใช้คาถาให้ศักดิ์สิทธ์ และ การขออาราธนา
    กำลังพระพุทธคุณ คุ้มครองตัวเรา และ ครอบครัว ครับ

    เมื่อจะใช้คาถาอะไรต้องทราบก่อนว่าเป็น คาถาที่ใช้ทำอะไร ส่วนครูผู้ผูกคาถานั้น บางบทเราอาจไม่
    ทราบเนื่องจากเป็นคาถาที่ใช้สืบทอดกันต่อๆมา แหล่งที่มาของคาถา ลองค้นคว้าเพิ่มเติมจากหนังสือ
    สวดมนต์บางเล่มเช่น เจ็ดตำนาน ตำราพรหมศาสตร์ หนังสือสมบัติพ่อให้ ของสายพระอาจารย์ในดง
    ดูในหนังสือวิทยาศาสตร์ทางจิตของ อ.ชม ครับ แต่ถ้าไม่รู้จะหาคาถาที่ไหน มีอยู่ 2 บท หากินได้ทุกอย่าง
    ตามที่ขออธิฐานใช้ครับคืออย่างยาวใช้ บทอิติปิโส ครับ อย่างสั้นหรือใช้ในยามคับขัน ใช้ " พุทธโธ "

    เริ่มฝึกกันเลยครับ
    1.จับลมสบาย จับภาพพระพุทธเจ้าท่านให้ใสเป็นเพชร อธิฐานขอใช้คาถาโดย ตั้งจิต ระลึกถึงคุณ
    พระรัตนไตย คุณครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธ์ประสาทวิชา คุณครูบาอาจารย์ ให้มาช่วยให้คาถานี้
    ศักดิ์สิทธ์สัมฤทธิผลเช่น ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัว แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยพิบัติ ขอบารมี
    ของพระพุทธองค์ และ ศักดิ์สิทธ์ทั้งปวงได้คุ้มครองให้รอดพ้นจากศาตราวุธ อาวุธรังสี อาวุธเคมี อาวุธ
    เชื้อโรค และ ภัยพิบัติจากธรรมชาติทั้งปวง ด้วยพุทธานุภาพอันหาที่สุดประมาณไม่ได้ด้วยเทอญ

    2. จับอารมณ์สบาย ว่าคาถา อิติปิโส ไปเรื่อยๆ ถึง จนจบ บท สังฆคุณ ระหว่างที่ว่าคาถา จับภาพ
    พระพุทธเจ้าที่ท่านใสเป็นเพชร ค่อยๆแผ่รัศมี แผ่ฉัพพรรณรังสีลงมาคลุมร่างกายของเรา ครอบครัว
    หรือบุคคลที่เราต้องการจะขอให้พระท่านคุ้มครอง จนรู้สึกว่าร่างกายของเราและบุคคลอื่น
    ใสสว่างไปด้วย รัศมีของพระพุทธองค์ครับ

    จุดสำคัญคือ ความศรัทธาในคุณพระท่าน ครับคิดว่าคงไม่ยากเกิน
    กำลังของท่านตั้งใจฝึกมาตั้งแต่ต้นครับ อย่าลืมทบทวนวิชาเก่าๆที่เคย
    แนะนำมา และ เตรียมใจไปฝึก มโนมยิทธิ ที่บ้านสายลมนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  16. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    31-07-2006, 09:18 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    การทรงอารมณ์ฌานในพุทธานุสติกรรมฐาน [​IMG]

    เริ่มต้นเราเริ่มต้นจาก ลมสบายในการปฏิบัติทุกครั้งเป็นพื้นฐานครับ จากนั้นเราใช้ใจเรานึกถึงภาพ
    พระพุทธรูปที่เราพอใจ หรือพระพุทธรูปที่เรารักเราเคารพ จากนั้น นึกให้พระท่านใสสว่างขึ้นเปล่งรัศมี
    ระยิบระยับเป็นเพชรแพรวพราว เราเห็นความสวยงามจิตเราก็ยิ่งปิติชุ่มฉ่ำใจฝึกย่อขยายองค์พระท่าน
    ให้ เล็ก ใหญ่ เลื่อน ซ้าย ขวา บน ล่าง ได้ดั่งใจนึก โดยที่พระท่านก็ยังทรงรัศมีสว่างอยู่ตลอดเวลา

    ในขั้นที่ 1อธิฐาน ให้องค์พระท่านมาประดิษฐ์ฐาน อยู่เหนือศีรษะของเรา ให้ท่านคุ้มครอง
    ให้รัศมีของพระพุทธองค์ท่านแผ่ปกคลุมคุ้มกายใจเราไว้ ม่ให้มีสิ่งใดมาทำอันตรายเรา
    ได้ กำหนดจิตทรงฌานในพุทธนิมิตรนี้ไว้ตลอดเวลาเท่าที่จะทำได้

    [​IMG]

    ขั้นที่ 2 อธิฐาน ขอให้พระท่าน แยกองค์เพิ่มเป็น 2 องค์ องค์หนึ่งยังอยู่บนศีรษะเรา ส่วนอีกองค์เคลื่อน
    ตัวลงมา อยู่ภายในศีรษะของเรา ตลอดเวลานั้นทั้งสององค์ท่าน ยังคงความสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา

    ขั้นที่ 3 อธิฐาน ขอให้พระท่านแยกองค์เพิ่มเป็น 3 องค์ องค์ 1 บนศีรษะ องค์ที่ 2 อยู่ในศีรษะ
    องค์ที่ 3 เคลื่อนลงมาอยู่ในอก ของเรา ทำได้ถึงขั้นที่ 3 หลวงพ่อท่านเรียกว่า จับภาพพระ 3 ฐาน
    เป็นการทรงอารมณ์ใน พุทธานุสติกรรมฐาน บวก + กสิณ และ ได้อารมณ์ ฌาน 4 ใช้งาน และ มี
    อารมณ์ตั้งมั่นแนบแน่นเป็นพิเศษเนื่องจาก ผูกจิตไว้กับพุทธนิมิตร ถึง 3 ชั้น ( 3 พระองค์ ) ส่วนที่บอก
    ว่าได้ถึงฌาน 4 ใช้งานนั้น ให้ลองพิสูจน์ดูได้ด้วย การทรงอารมณ์สูงสุดตามที่ได้แนะนำมา จากนั้นใช้จิต
    กลับมามองกาย โดยสังเกตลมหายใจของตัวเองดู จะพบว่าในขณะที่จิตปรากฏภาพพระเปล่งรัศมีอยู่นั้น
    ร่างกาย เราหายใจน้อยมากๆ บางคนไม่หายใจเลย แต่ไม่ต้องตกใจหรือไปบังคับให้หายใจอีก เพราะ
    เลยขั้นตอนนั้นมาแล้ว ให้ปล่อยลมหายใจเป็นไปตามสภาวะไม่ต้องสนใจอีก
    กลับมาทรงภาพพระ 3 ฐาน ไว้ ด้วยอารมณ์ใจสบายๆ

    ขั้นต่อมา ให้ ลองขยับเปลี่ยนอิริยาบถ ดูว่ายังทรงภาพพระทั้งสามานได้หรือไม่ ลองทำให้ได้ใน
    ทุกเวลาทุกอิริยาบถ ได้ทั้งวันได้ยิ่งดี และยังถือว่าทรง มหาสติปัฏฐาน 4 ด้วยพร้อมกันครับ

    จุดสำคัญ
    ที่ต้องเตือนคือ การทรงภาพพระนี้ จิตจะยิ่งมีความชุ่มชื่นมีความสุข
    ทำให้ยิ่งอยากปฏิบัติแต่ถ้าทำแล้วเกิดอาการหนัก เครียด ปวดหัว ให้เลิก หยุดพัก
    ในวันนั้น แล้ววันอื่นค่อยตั้งอารมณ์ใหม่ให้ใจสบายลมสบายเป็นหลัก

    อานิสงค์ในการปฏิบัตินี้ จะใช้เป็นพื้นฐานใน การฝึก
    มโนมยิทธิทิพย์จักษุญาณ และ อภิญญา ในอนาคต

    ส่วนเทคนิคสำหรับ ท่านที่ยังรู้สึกว่ายังทรงภาพพระ
    ไม่ได้นาน หรือ ลืมทำให้ใช้เทคนิคนี้ คือ " การกำหนดเวลา "

    ครั้งที่ 1 ในตอนเช้าเมื่อตื่นขึ้นยังไม่ต้องลุกจากที่นอน ให้ทรงภาพพระ 3 ฐาน ให้ใจสบายก่อน แล้ว
    อธิฐานให้ท่านคุ้มครองชีวิตร่างกาย หรือขอเรื่องการค้า การขาย การติดต่ออาชีพ การงานตามต้องการ
    ถ้าใช้ประกอบคาถาเงินล้านจะได้ผลเป็นพิเศษ แล้วจึงค่อยลุกจากที่นอน จะสังเกตว่าวันนั้นจะเจอแต่สิ่ง
    ที่ดี ชีวิตและการงานราบรื่นกว่าเดิม ครั้งที่ 2 ตลอดเวลาที่สวดมนต์ ทำวัตร เช้า - เย็น


    ครั้งที่ 3 ช่วงก่อนนอนครับ

    ส่วนภาคปฏิบัติจริงๆนั้น ครูบาอาจารย์ โบราณท่านหาอุบายไว้ ให้ศิษย์ท่านเข้าถึงความดีในการปฏิบัติ
    พุทธานุสติกรรมฐาน ไว้ดังนี้ครับ เช้าตื่นขึ้น เสกน้ำลาย สามอึกด้วยพุทธโธ เสกนำมนต์ล้างหน้า
    หรือ อาบน้ำ ตอนเช้า ทำวัตรเช้า อธิฐานบูชาข้าวพระที่ใส่บาตร อธิฐานเสกข้าวที่ตัวเองกิน
    จับลม สุริยกลา จันทรกลา ก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน ว่าคาถาคุ้มครองรถพาหนะก่อนเดินทางฯลฯ

    จะเห็นว่า แทบในทุกอิริยาบถ และ กิจกรรมในชีวิตของชาวพุทธแต่ดั้งเดิมนั้น จะ มีอุบายให้จิตยึดติด
    อยู่กับพระพุทธคุณเสมอมา แต่คนเราในยุคใหม่มีสติปัญญาไม่ลึกซึ้งและไม่เข้าใจในอุบายของครู
    บาอาจารย์ได้ดีพอแถมยังตำหนิว่า เป็นความเชื่องมงายไร้สาระ ให้เกิดโทษกับตัวเองอีก ดังที่ผมได้
    ทราบมาว่า กรรมฐานโบราณของ วัดพลับ ที่ได้สืบทอดตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา มา และ ได้มี
    การสังคายนาพระกรรมฐาน ในต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ปัจจุบันแทบหาผู้เรียนไม่ได้
    แต่ มีชาวฝรั่งเศส แอบย่องมาทำวิจัยเรียบร้อยไปแล้ว

    ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องขยายสิ่งที่แฝงไว้ในวิชาในพระพุทธศาสนา
    ให้กลับมาปรากฏชัดอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจและสนใจที่จะฝึกครับ

    สรุป หลักการเรียนการจับภาพพระ 3 ฐาน คือ ใช้อารมณ์สบาย จับภาพพระให้ได้ทั้ง 3 ฐาน ให้ได้
    ทุกอิริยาบถ ให้ได้นานที่สุด ถ้ากำลัง ไม่พอให้ จับพระท่านองค์เดียวเหนือศีรษะ ถ้าทรงไม่ได้นาน ให้ทรง
    บ่อยๆ หรือ กำหนดเวลา อย่างน้อยที่สุดช่วง ตลอดเวลาที่เราสวดมนต์ ก่อนลุกจากที่นอน และ ก่อนนอน
    ถ้าทำได้ อารมณ์ความเป็นทิพย์ของจิต จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นครับ หวังว่าไม่ยากเกินไป และทำได้ทุกคนนะครับ
    ส่วนใครที่ประยุกต์ วิชานี้ได้ลองมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกันบ้างครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  17. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    การพิจารณาวิปัสนาญาณเรื่องร่างกาย ขันธ์ 5 ใน ฌาน 4 ใช้งาน

    01-08-2006, 07:46 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    สำหรับวันนี้พระท่านให้แนะนำใน
    [​IMG] การพิจารณาวิปัสสนาญาณเรื่องร่างกาย ขันธ์ 5

    เริ่มต้นให้ท่านจับลมสบาย ใช้อารมณ์สบายเป็นพื้นฐาน จากนั้น ตั้งจิตระลึกถึง ศีล ว่าขณะที่เรา

    ทำความดีอยู่นี้ ศีลห้าของเราบริสุทธ์ จิตเราเต็มไปด้วยความ เมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้ง
    หลาย เรามีความ เคารพในพระรัตนไตย และ ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งตลอดจนถึงพระนิพพาน

    [​IMG] อธิฐาน ขออาราธนาบารมีพระพุทธคุณ ท่านมาคุ้มครอง ใช้จิตจับภาพ พระท่าน 3 ฐานให้สว่างไสว
    แพรวพราวเป็นเพชร จนจิตใจเราชุ่มเย็นเป็นสุขสงบอธิฐานขอขึ้น กรรมฐาน 5 กับพระพุทธองค์ท่าน

    ภาวนา " เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ " และ ย้อนกลับ
    อนุโลม ปฏิโลม " ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา "

    จากนั้นนึกให้เห็นภาพตัวเราเอง กำลังนั่งสมาธิ อยู่ มีองค์พระ
    ท่านเปร่งรัศมีเป็นเพชร อยู่ทั้งสาม 3 คือ บนศีรษะ + ในศีรษะ + ในอก

    ภาวนาว่า " เกสา " กำหนดให้เห็นว่า ผมบนศีรษะของเรา
    หลุดร่วงจนหมด แล้วใช้อารมณ์ใจสบายๆพิจารณาว่าเมื่อร่างกาย

    ของเราได้ปราศจากผมอันดำสลวยมีรูปทรงที่งามตาแล้ว
    ร่างกายยังดูงดงามอยู่หรือไม่ ?

    ภาวนาว่า " โลมา " กำหนดให้เห็นว่า ขนทั่วทั้งร่างกายของเรา
    อันมีคิ้ว ขนตา ไรขน ขน แขน ขนขาหลุดร่วงจนหมด แล้วพิจารณาว่า
    ใบหน้าอันว่างเปล่าของเรายังมีความงดงามอยู่หรือไม่ ?

    [​IMG]

    ภาวนาว่า " นะขา " กำหนดให้เห็นว่า เล็บมือ เล็บเท้า ของเรา
    หลุดร่อนออกจากมือ เท้า พิจารณาว่าเมื่อ มือ เท้า เราปราศจากเล็บที่ฉาบทา
    ด้วยสีสรรที่ดูสวยงามแล้ว มีเพียงปลายเนื้อแดงๆ ยังดูสวยงามหรือไม่ ?

    ภาวนาว่า " ทันตา " กำหนดให้เห็นว่า ฟันทั้งปากของเรา
    หลุดร่วงลงจากปากจนหมด พิจารณาว่า ใบหน้า และริมฝีปากของเรา
    ที่งองุ้มปราศจากฟันฟางยังมีความสวยงามน่าลุ่มหลงหรือไม่ ?

    ภาวนาว่า " ตะโจ " กำหนดให้เห็นว่า ผิวหนังที่ห่อหุ้มร่างกายทั่วร่างของเรา
    หลุดลอกออกทั่วทั้งร่าง พิจารณาดูว่า ร่างกายที่ปราศจากผิวหนังห่อหุ้มเหลือเพียงเลือดเนื้อ
    แดงๆทั่วทั้งร่างนั้น ยังน่ารักน่าหลงไหล ในผิวพรรณวรรณะที่ว่ากันว่าสวยงามอยู่หรือไม่ ?

    พิจารณารวม ต่อไปว่าร่างกายนี้ถูกห่อหุ้มไปด้วย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง และ ความโง่
    ความหลงพาให้เข้าใจผิดว่า ร่างกายของเราเป็นสิ่งที่สวยงาม แท้ที่จริง
    มีสภาพเป็นก้อน เนื้อ ชุ่มไปด้วย เลือด และ น้ำหนอง น้ำเหลือง

    จากนั้น กำหนดนึกให้ร่างกายชุ่มเลือดนี้ค่อยๆเน่าเปื่อย ขึ้นเขียว มีน้ำเหลืองน้ำหนองฉุอืดขึ้น จนเนื้อ
    และอวัยวะเน่าเปื่อยหลุดร่อนออกจากร่าง พิจารณาว่า นี่คือ สภาพความเป็นจริงในร่างกายนี้ ซักวันหนึ่ง
    เมื่อเราตาย ร่างกายของเรา ก็จะมีสภาวะเช่นนี้เช่นกัน เราจะมีปัญญาฉลาดในร่างกาย ขันธ์ 5 นี้ว่า
    เป็นสิ่งไม่สวยงาม เป็นของสกปรก มีความเสื่อมสลาย และ ถึงแก่ความตายในที่สุด จิต เราจะคลายจาก
    ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ขันธ์ 5 นี้ เราคือ จิต หรือ อาทิสมานกายที่มาอาศัยร่างกายนี้อยู่ชั่วคราว
    ในชาติภพนี้เท่านั้น เมื่อตายแล้วเราก็จะ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้อีกต่อไป

    พิจารณาต่อไป จนเห็นเนื้อเน่าเปื่อยแห้งเกรอะกรัง เหลือแต่โครงกระดูก จากนั้นโครงกระดูกค่อยๆแห้ง
    ผุพัง เมื่อมีกระแสลมพัดมา กระดูกก็ผุสลายเป็นผุยผง หายไปกับสายลม พิจารณาว่า ร่างกายนี้ไร้แก่น
    สารใดๆ ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ก็ล้วนแต่สิ่งสมมติ ทั้งสิ้น แท้จริงเรา คือ จิต สิ่งที่ติดตัวเราไปได้จริงๆก็มี
    เพียง บุญ กุศลบารมี สัมมาทิษฐิ เท่านั้น ส่วนที่พึ่งอาศัยอื่นไม่ว่าทรัพย์สิน เงินทอง หรือวิชาความรู้
    ก็ไม่อาจช่วยเราได้ มีเพียง บารมีพระรัตนไตย ท่านเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยให้เราได้ตลอดทุกชาติภพ

    จนถึง พระนิพพาน ...

    จากนั้นกำหนดให้เราเหลือเพียงดวงจิตเป็นแก้วใสระยิบระแพรวพราว อธิฐานว่า เรา คือ จิตดวงนี้
    มาอาศัยในร่างกายปัจจุบันตามแรงของกฏแห่งกรรมก็ดี ด้วย แรงอธิฐานก็ดี เพื่อการลงมาสร้างบารมี
    ก็ดี ณ บัดนี้จิตของเราได้ตื่นขึ้นจากการ ยึดติด ในร่างกายขันธ์ 5 แล้ว ขอให้วิชชา และ สัมมาทิษฐิ ใน
    อดีตชาติของข้าพเจ้า กลับคืนมาด้วยเทอญ แล้ว จับภาพพระ 3 ฐานอีกครั้ง และ กำหนดให้เห็นดวงจิต
    แก้วใสของเรา อยู่ในท้องของเราตลอดเวลา ระลึกรู้ว่าเรานี้คือ จิต เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
    แล้ว กำหนดจิต แผ่เมตตาในอัปปมาณฌาน โดยมีแผ่จากจุดศูนย์กลางจากดวงจิตของเรา เมื่อสำเร็จ
    แล้ว จิตใจเต็มไปด้วยความปิติ ชุ่มเย็นหัวใจ ด้วยความสุขจากการให้ การเสียสละแล้ว

    จากนั้น ค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิช้า ๆ พร้อมกับหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ
    ว่า " พุทธโธ ธรรมโม สังฆโฆ " ตามลำดับ




    ที่แนะนำไปนี้เป็น การพิจารณาวิปัสสนาญาณเรื่องร่างกาย ขันธ์ 5 ใน ฌาน 4 ใช้งาน ครับ
    ถ้าลองสังเกตุอารมณ์จิตของตนเองดู จะสังเกตุว่าอารมณ์ใจของเราจะมีความเข้าใจความจริงของร่างกาย

    และ เบื่อหน่ายในขันธ์ห้าเพิ่มขึ้น มากกว่าการอ่าน หรือ การพิจารณาในอารมณ์ ปกติครับ และ ถ้ายิ่ง
    อารมณ์วิปัสนาญาณยิ่งสูงก็จะ เกิด สังขารุเบกขาญาณ ญาณความรู้ความเป็นจริงในร่างกาย จนทำให้
    เกิดความวางเฉย หรือ อุเบกขา ในสังขารร่างกายทั้งของตนเองของบุคคลอื่น นั่นคือ จิตของเราก็จะยิ่ง
    บริสุทธ์เพิ่มขึ้น สภาวะดวงจิตของเรามีความใส สะอาดสว่างไสวยิ่งขึ้นครับ จิตดีขึ้น สมาธิดีขึ้นตั้งขึ้นขึ้น
    เนื่องจากกิเลส และ นิวรณ์ 5 ลดลง เป็นไปโดยความสัมพันธ์กันขององค์สมถะ และ วิปัสสนา ร่วม กัน


    พยายามปฏิบัติให้บ่อยเป็นปกติครับ อย่าลืมว่าในทุกอารมณ์

    ในการปฏิบัติล้วนแต่ทรงอยู่ใน อารมณ์สบาย เหมือนกันหมดครับ


     
  18. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ทบทวนหลักของ การฝึกปฏิบัติธรรม

    04-08-2006, 07:40 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    ทบทวนหลักของ การฝึกปฏิบัติธรรม
    เผื่อท่านที่เพิ่งมาอ่านทีหลังหรือท่านที่อ่านข้ามไปครับ


    1. มีสัจจะ คุณธรรม และ ความกตัญญูต่อ พระรัตนไตย
    พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายไม่ว่าจะ มีกายเนื้อ หรือ ท่านที่มีกายทิพย์
    ผู้มีคุณธรรม และ ความกตัญญู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านย่อมเมตตาคุ้มครองและสงเคราะห์ครับ

    [​IMG]

    2. อธิฐาน ให้วิถีชีวิตของเราทั้งในทางโลก และ
    ทางธรรมตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา
    เมื่อจิตใจเราตั้งมั่นอยู่ในทางที่ชอบ ถูกแนวตรงแนวแล้ว โอกาศที่
    จะผิดเพี้ยน ปฏิบัติผิดแนวเพี้ยนเป็น มิจฉาทิษฐิ ย่อมไม่มี

    3. มีศีลเป็นปกติ เป็นธรรมชาติ มีความเคารพในพระรัตนไตยยิ่งชีวิต

    4. หมั่นเจริญวิปัสสนาญาณสม่ำเสมอ มองเห็น การเกิด การแก่ การเจ็บป่วย และ ความตาย
    เป็นธรรมดา จนจิตใจเรานิ่งไม่กลัวความตาย แต่มองความตายว่า เป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่าเรา
    หรือผู้อื่นก็ไม่อาจหลีกหนีความตายไปได้สิ่งสำคัญก็คือเราตั้งใจอธิฐานว่าเมื่อเราตายแล้วเราจะไปไหน
    แล้วถ้าเราต้องตายไปในนาทีนี้ เรามีความดี และ บุญกุศล เพียงพอที่จะไปที่นั้นได้แล้วหรือไม่ถ้ายังเรา
    จะเร่งสร้างบารมีอย่างไร ปฏิบัติตนอย่างไร อบรมใจเราอย่างไร ... ?

    5. ฝึกสมถะสมาธิในอานาปานสติ เสมอ จำลมสบาย
    ที่จิตใจมีความสบายไว้เสมอต้องทำให้ได้ ระดับที่เข้าได้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ต้องการ ทุกอิริยาบทไม่
    ว่าลืมตาหลับตา ภายนอกเงียบ หรือ ดัง อากาศร้อน หรือ หนาว ไม่ใช่ข้ออ้างต้องทำให้ได้ทุกครั้งเสมอ

    6. อารมณ์จิต ที่ต้องการในการปฏิบัติคือจิตสบาย มีความสุข มีความปิติ มีความเมตตา เต็ม
    หัวจิต หัวใจมีความเบา มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ งรู้จักความสุขจากความสงบ ความสุข
    ที่เราไม่ ต้องแก่งแย่ง ไขว่คว้า ความสุขที่ไม่เจืออามิส คือไม่อิงด้วยวัตถุ เราสามารถมีความสุขได้ในทุกที่
    ทุก เวลา ทุกขณะจิต ส่วน อารมณ์ที่ไม่ต้องการในการปฏิบัติ คือ อารมณ์หนัก อารมณ์เพ่ง
    อารมณ์บีบอารมณ์กดทับกดดัน เพราะอารมณ์เหล่านี้จะทำให้จิตวิปปราส


    7. การเจริญ และ แผ่เมตตา เราต้องทำให้ความสุขความรัก
    ความเมตตาของเราเต็มล้นในหัวใจของท่านก่อนแล้วจึง กำหนดจิต
    แผ่อารมณ์ใจที่ดีนั้นออกไปทั่วอนันตจักรวาล ท่านจะได้รู้จักความสุข
    จากการให้ ความสุขที่เป็นวิสัยที่แท้จริงของ พระโพธิสัตว์ ครับ

    8.การ จับภาพพระพุทธรูป นั้น ต้องพยายามจับให้องค์พระท่านใสเป็นแก้ว
    ประกายพรึก คือ เป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราวจนใจของเรามีความสุขความสบายใจ จากนั้นจงอธิฐาน
    และ เชื่อมั่น ไม่ลังเลสังสัย ว่า บารมีของพระพุทธเจ้าท่านเมตตา ลงมาสถิตอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับ พุทธนิมิตร
    ในจิต ของเราครับและ ถ้าผมใช้คำว่าจับภาพพระ เราหมายถึงการทำจิตถึงอารมณ์นี้ครับ

    9. การจะทำการใดๆ เราอธิฐานขอบารมีพระท่านให้มาเมตตาสงเคราะห์ทุกครั้ง
    อย่าใช้กำลังใจเราเองอย่างเดียว เพราะ ไม่ว่าอย่างไรเราไม่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าท่านหรอกครับ และ
    อีกอย่างจะเป็นเครื่องป้องกันจิตเราไม่ให้หลงผิดคิดว่า เราดี เราเก่ง เพราะถ้าคิดอย่างนั้น ไม่ช้า
    อภิญญาจะเสื่อม
    ต้องกลับไปแก้จิตให้เป็นสัมมาทิษฐิ และ ขอขมาพระรัตนไตยครับ

    10. หมั่นศึกษาทบทวนการอธิฐาน การใช้กำลังใจการวางอารมณ์ใจให้สม่ำเสมอครับ



    การปฏิบัติในทุกสิ่งที่แนะนำไปมีผลทั้งสิ้นครับ
    หวังว่าทุกท่านจะ เจริญรุ่งเรืองในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ด้วยครับ
     
  19. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    07-08-2006, 05:04 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    ขอให้ท่านที่เคยได้มโนฯแล้ว และ มีความคล่องตัว
    กำหนดจิตแยก อาทิสมานกายพระวิสุทธิเทพ ขึ้นไป
    กราบพระพุทธเจ้าท่าน ที่พระนิพพานได้เลยครับ

    ส่วนท่านที่ยังใหม่ไม่คล่องให้จับลมสบายจนจิตสงบ
    กำหนดจิตตัดขันธ์ 5 ด้วยวิปัสนาญาณว่าร่างกายนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ มีความแก่เจ็บตาย ไปในที่สุด เมื่อ
    ตายแล้วก็ยังต้องวนเวียนใน สังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุดเราเห็นโทษภัยใน สังสารวัฏนี้แล้วตั้งจิตระลึกถึง
    พระนิพพานอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราจะมีพระรัตนไตยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
    ตลอดจนถึงพระนิพพานและในขณะที่เราปฏิบัติธรรม ในความดีอยู่นี้เรามีศีลที่บริสุทธ์เรามีจิตใจที่ดีงามและ
    มีเมตตาพรหมวิหารสี่เป็นปกติ จากนั้นทำใจให้ โปร่ง เบา สบาย ..

    ใช้จิตจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึกกำหนดจิตขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้แผ่พุทธบารมีลงมา
    เป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธนิมิตรในจิตของเรา แล้วแยกอาทิสมานกายของเราออกมากราบพระพุทธเจ้า
    ท่านแทบตักและอธิฐานขอให้พระพุทธเจ้าท่านเมตตาพาอาทิสมานกายของเราขึ้นไปบนพระนิพพาน

    ต่อไปให้ทุกท่านทั้งที่ เก่า และใหม่ ทำกำลังใจว่า
    [​IMG] เมื่อเห็นสภาวะบนพระนิพพานแล้วจิตใจเราสบาย ปราศจากกิเลส อธิฐาน ต่อไปว่าด้วยกำลังใจของ
    ข้าพเจ้าบัดนี้ขอให้พระพุทธเจ้า โปรดเมตตารักษากำลังใจของข้าพเจ้าให้มั่นคงใน สัมมาทิษฐิ
    สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ และ สามารถยกจิตขึ้นมาสู่พระนิพพานได้ทุกขณะจิตที่ข้าพเจ้า
    ต้องการขอให้ข้าพเจ้าได้ทรงอารมณ์นิพพานรักในพระนิพพานพอใจในพระนิพพานมั่นคงในพระนิพพาน

    [​IMG] ท่านที่ปรารถนาสาวกภูมิ ต้องการไปนิพพานชาตินี้ อธิฐานว่า " ขอให้การเกิดของข้าพเจ้าชาตินี้เป็น
    ชาติสุดท้ายเมื่อข้าพเจ้าสิ้นอายุขัยในชาตินี้ข้าพเจ้าขอเข้าถึงซึ่ง พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ "
    [​IMG] ท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ อธิฐานว่า " ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์นิพพานในทุกๆชาติในการ
    บำเพ็ญบารมี และ ขอให้ได้วิชามโนมยิทธินี้ในทุกๆชาติเพื่อได้เข้าใจ จดจำสภาวะที่ถูกต้องตามความ
    เป็นจริงของพระนิพพานได้ตราบจนเมื่อบรรลุถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณอันมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ "

    จากนั้นอธิฐานให้เกิด ดอกบัวแก้ว ใสสว่างในมือของกายพระวิสุทธิเทพ กำหนดจิตว่าดอกบัวนี้เป็นการรวม
    บุญกุศลบารมีของเรานับ จากอดีตชาติ ให้มาปรากฏขึ้นณบัดนี้เราขอน้อมถวายความดีทั้งหมดของเรานี้
    เป็นเครื่องบูชาพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าณ บัดนี้ แล้วน้อมถวายดอกบัวแก้วให้พระพุทธองค์
    ท่านกราบขอบูชาให้ท่านได้ เป็นบรมครูสั่งสอนธรรมมะความดีให้เราได้ก้าวหน้ยิ่งๆขึ้นไปโดยตรงด้วยเทอญ

    ลำดับต่อไป
    อธิฐานจิตให้ ปรากฏ เทพ พรหมเทวดาและบิดามารดา ท่านผู้มีคุณของเราในอดีตชาติให้ท่านมาปรากฏ
    อยู่เบื้องหน้า แยกอาทิสมานกายออกเท่าจำนวนท่านเหล่านั้น แล้วเนรมิต ดอกบัวแก้ว น้อมถวายท่าน
    ทุกๆพระองค์เพื่อเป็นเครื่องบูชาความดีและแสดงความกตัญญูต่อทุกๆท่าน ขอให้ท่านคุ้มครองกายวาจา
    ใจ ให้อยู่ใน สัมมาทิษฐิ เสมอปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวงมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อใช้สร้างบารมี
    สร้างกุศลจนถึงพระนิพพานต่อไป.

    [​IMG] กราบขอขมาพระรัตนไตยและ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
    ตามที่เคยได้ทำมาในตอนต้นแต่ข้อแตกต่างคือขณะนี้ให้กราบขอขมาในอาทิสมานกายพระวิสุทธิเทพ
    บนพระนิพพานต่อหน้าองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อได้ทำการขอขมาแล้วจะสังเกตุได้ว่าจิตใจเรา
    โปรงขึ้นเบาขึ้นอาทิสมานกายมีแสงสว่างเพิ่มขึ้นตามไปด้วย <O< font>รักษากำลังใจให้แช่มชื่น เบิกบาน อธิฐาน

    [​IMG] ขอขมาลาโทษต่อเจ้ากรรมนายเวร ขออโหสิกรรมไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านผู้ใดก็ตาม
    ที่ได้ เคยทำมาใน อารมณ์พระนิพพานเช่นกันจะสังเกตุเห็นว่าจิต ยิ่งโปร่งขึ้นเบาขึ้นอีกเนื่องจากกิเลส
    นิวรณ์ และ ปฏิฆะ เบาตัวสลายตัวไป อาทิสมานกายยิ่งสว่างยิ่งขึ้น

    [​IMG] มหาโมทนาบุญด้วยกำลังใจในขณะที่เราอยู่บนพระนิพพาน
    แห่งนี้ตามที่เคยได้ทำมาจะสังเกตุเห็นว่ามีลำแสงสว่างส่องตรงลงมายังอาทิสมานกายของเราด้วยอำนาจ
    บุญจากโมทนามัยมาทำให้กายเรา สว่างขึ้นอีกเมื่ออาทิสมานกายของเราเต็มไปด้วยแสงสว่างแห่งบุญกุศล
    <O< font>

    [​IMG] อธิฐานเจริญเมตตาอัปปมาณฌาน
    โดยมีจุดศูนย์กลางการแผ่เมตตาจิตนี้จากพระนิพพานจนสว่างทั่วทั้งพระนิพพานแผ่ปกคลุมลงมายัง
    พรหมโลก และ อรูปพรหมทั้งปวง สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ภุมเทวดา อากาศเทวดา โลกมนุษย์ทั่วอนันตจักรวาล
    ตลอดจนภพภูมิ แห่งเปรตอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ลงไปถึงมวลหมู่นรกทุกขุมให้เห็นเป็น คลื่นรัศมีสีขาว
    สะอาดระยิบระยับ ละเอียดแพรวพราวแผ่ไปทั่วแล้ว อธิฐานว่า " ขอให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มี
    ที่สุดไม่มีประมาณทั้ง สามไตรภูมิ หนึ่งนิพพาน ขอจงประสพแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์พ้น
    ภัยจากวัฏฏะสงสารและได้สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ " แผ่ความรู้สึกในอารมณ์นิพพาน
    ออกไปโดยใช้ความละเอียดปราณี และ ความเป็นทิพย์ของจิตให้แผ่ขยายออกไปยัง ดวงจิต ของสรรพ
    สัตว์ ทั้งหลาย ทำครั้งแรกๆใจเย็นๆไม่ต้องรีบเน้นที่ความรู้สึกละเอียดอ่อนเป็นรัศมีแผ่กว้างออกๆไป
    ยิ่งแผ่กว้างไกลเพียงไรจิตเรายิ่งสว่าง และ แย้มยิ้มเบิกบานยิ่งขึ้นเพียงนั้น

    [​IMG]

    วิชานี้จะได้ให้ช่วยนำไปใช้เมื่อถึงเวลาที่เกิดภัยพิบัติ มีคนตายมากมายกลายเป็นสัมภเวสีเต็มไปหมด
    ในทุกที่ ส่งคลื่นแห่งความอาฆาตแค้นพยาบาล และ ความผิดความหลงปั่นป่วนอยู่ในภาวะของโลกที่มีมิติ
    ทับซ้อนกันอยู่ ส่งผลให้คนเป็นเห็นแต่ภูติผีปีศาจโหยหวนครวญครางเป็นที่น่าหวาดกลัวของคนเป็น
    พวกเราจะได้ใช้วิชานี้ปลดปล่อยวิญญานเหล่านั้นให้หลุดพ้ จากอวิชชาและ ความยึดติดในโลกนี้ทั้งที่
    ตัวตายไปแล้วให้ไปจุติยังภพภูมิที่ดีด้วยอำนาจแห่ง เมตตาอัปปมาณฌาน นี้เอง

    ดังนั้นฝึกไว้ให้เป็นปรกติครับ

    สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน ให้ทรงอารมณ์ใจในพระนิพพานไว้เป็นปกติแยกอาทิสมานกายออกไปกราบลา
    พระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณจากนั้นทิ้งอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานแล้วกำหนดจิตว่าเรานี้จะมี
    จิตตั้งมั่นไม่คลาดจากพระนิพพานจากนั้นถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลหรือกรวดน้ำ
    ขอกราบโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ทำได้ด้วยครับ
     
  20. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    วิชชาพื้นฐาน จากกระทู้วิชชาฯ หน้า 4

    08-08-2006, 10:47 PM
    kananun<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_283065", true); </SCRIPT>
    หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ

    [​IMG] จุดประสงค์ที่ให้ทิ้งอาทิสมานกายไว้ที่นิพพานนั้นเพื่อที่ว่าให้ทุกท่านได้อธิฐาน
    เพื่อความไม่คลาดจากพระนิพพานไม่ว่ายามตื่น ยามหลับ

    เพราะการที่อาทิสมานกายของเราอยู่บนพระนิพพานนั้น จะมีสายใยโยงจิตอาทิสมานกายของเราไว้
    กับกายเนื้อบนโลกมนุษย์ สมมุติว่าถ้าขณะจิตหรือในคืนที่เราหลับอยู่นี้เราเกิดตายโดยปัจุบันทันด่วนโดย
    ไม่รู้ตัว สายใยนั้นก็จะขาดการเชื่อมกับร่างกาย อาทิสมานกายนั้นก็จะอยู่บนพระนิพพานเลยโดยอัตโนมัติ
    เป็นการเข้าถึงซึ่งพระนิพพานที่ง่ายที่สุดที่สำคัญจึงมีการอธิฐานในหมู่ท่านนัก ปฏิบัติผู้รู้ว่า ขอให้จิตไม่
    คลาดจากพระนิพพานนั่นเองเมื่อจิตใจเราตั้งมั่นอยู่ในเป้าหมาย เรามีความศรัทธาในพระรัตนไตยเรามี
    วิปัสสนาญาณ เห็นทุกข์ และ โทษภัยเบื่อการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน
    การใช้วิชามโนมยิทธินำอาทิสมานกายเข้าสู่พระนิพพานนั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วเพราะที่จริงมีกำลังของ
    ฌานสมาบัติและอภิญญาเข้ามาช่วยครับ แต่ ท่านที่บำเพ็ญบารมีมา ไม่พอที่จะได้ทิพย์จักษุญาณก็ ขอให้มี
    ความพากเพียรวิริยะต่อไปครับอย่าได้ไปตำหนิติเตียนการปฏิบัติของท่านผู้อื่นที่ทำได้เพราะจะยิ่งเป็น
    การผลักให้ตนเองถอยหลังลงจากความดีครับ

    [​IMG] ฝึกอารมณ์วิปัสสนาญาณบนพระนิพพาน
    เริ่มต้นจับลมสบาย มองเห็นร่างกาย ถูกลอก ผมขน เล็บ ฟัน หนัง ออกไปจนเหลือเนื้อ เลือด ที่ค่อยๆเน่า
    เปื่อย ผุพัง เน่า สลายกลายเป็นผุยผงไร้ แก่นสารกำหนดจิต ว่า ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยงมีความเสื่อม
    ไปในที่สุด เราคืออาทิสมานกายที่มาอาศัยร่างกายนี้สร้างบุญสร้างบารมีเพื่อปฏิบัติธรรมรับใช้พระศาสนา
    เราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเราจุดเดียวที่เราต้องการคือพระนิพพานเท่านั้น ไม่ว่าเราจะ ปรารถนา
    พุทธภูมิ หรือ สาวกภูมิ ก็ตาม ท้ายสุดเราย่อมถึงซึ่งพระนิพพาน เช่นเดียวกันจากนั้น

    [​IMG] กำหนดจิตถึงพระพุทธเจ้าท่านขอพุทธบารมีท่านมาสงเคราะห์
    ให้ ยกจิตอาทิสมานกายของเราขึ้นสู่พระนิพพานบัดนี้ เมื่อขึ้นไปถึงแล้ว
    ขอให้อธิฐานกราบพระพุทธเจ้าท่าน และ หลวงพ่อ จากนั้น อธิฐานว่า " หลวงปู่ หลวงพ่อครูบาอาจารย์
    ท่านใดที่ท่านเคยเมตตาเราและอยู่ในวิสัยที่จะอบรม สั่งสอนเราให้ถูกต้องในแนวทางปฏิบัติของ สัมมาทิษฐิ
    สัมมาสมาธิสัมมาปัญญา เพื่อความก้าวหน้า และ รุ่งเรืองในธรรม ขอให้ท่านเมตตา มาโปรดข้าพเจ้าใน
    นิมิตรด้วยเทอญ " เมื่อเห็นภาพพระพุทธเจ้า หลวงปู่หลวงพ่อองค์ใดปรากฏขึ้นในจิตให้แยกอาทิสมานกาย
    ออกไปกราบท่าน และ เนรมิตพานครู ดอกไม้ธูปเทียนแก้ว อันเป็นของทิพย์ขึ้นถวายท่านเป็นการไหว้ครู
    อธิฐาน " ขอให้ท่านเป็นครูบาอาจารย์ มาเมตตาสั่งสอนคุ้มครองตัวเรา ในสภาวะของกายทิพย์ด้วยเทอญ "
    จากนั้น อธิฐานจิต ต่อหน้า พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์บนพระนิพพานขอเจริญวิปัสนากรรมฐาน
    ในความเป็นจริงของร่างกายขั้นธ์ 5 ด้วยเทอญ

    [​IMG] เนรมิตร่างกายเนื้อของเราขึ้นมาอีกร่างให้ปรากฏบนพระนิพพาน
    เหมือนเป็นตุ๊กตาหรือหุ่นจากนั้นใช้จิต พิจารณาเปรียบเทียบ ผิวกายของร่างมนุษย์กับผิวของ
    อาทิสมานกายจากนั้นพิจารณาให้เห็นสภาวะ ของร่างกายเนื้อนั้นค่อยแก่ เสื่อมโทรมไปทีละน้อย
    ทีละน้อย ใช้จิตในอารมณ์ที่อยู่บนพระนิพพานนี้พิจารณาให้ละเอียดสบายๆให้เห็นจริงในสิ่งที่
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนเราไว้ ร่างกายนี้มีความเกิด แก่ เจ็บ และ ตาย ไปในที่สุด

    [​IMG] พิจารณาให้เห็น ร่างกายแก่ จนล้มนอน ป่วย จน ตาย แห้งเหลือแต่โครงกระดูก
    จาก กระดูกแห้งผุกร่อนจนเป็นผงถุลีจากนั้นมารวมตัว เป็นทารกแรกเกิดกำลังร้องไห้ค่อย ๆ โตขึ้น ช้า ๆ
    จนถึงวัยรุ่นกลายเป็นหนุ่มเป็นสาว ค่อยเสื่อมจนเป็นวัยกลางคน จนแก่และ เจ็บ ตาย ให้พิจารณาอย่างนี้
    ทบทวน โดยตัวคิดตัวพิจารณานั้น อาทิสมานกายเป็นตัวคิดพิจารณาด้วยอารมณ์ใจสบาย ไม่หนักเกินไป
    จนเห็นถึงสภาวะ ความน่าเบื่อหน่ายในร่างกาย และ ขันธ์ 5 นี้ว่า เป็นปัจจัย ให้เกิดทุกข์ให้เกิด อวิชชา
    ยึดติด และ การเวียนว่ายตายเกิดเราใช้ วิปัสสนาญาณ ตัดสินใจว่า ร่างกายนี้เป็นทุกข์เมื่อละจากร่างกายนี้

    " เราต้องการพระนิพพานเพียงจุดเดียว "

    จะสัมผัสได้ว่า อารมณ์ใจในการเจริญวิปัสนาญาณบนพระนิพพานนั้นจะมีอารมณ์ใจที่แนบแน่นเห็นจริงแท้
    ลึกซึ้งกว่าการที่กายเนื้อ อ่านหนังสือหรือใช้กายเนื้อคิดเป็นอย่างมาก เพราะ ความรู้ที่สักแต่ว่ารู้ กับ
    สังขารุเบกขาญาณ นั้น มีความเข้มข้นของอารมณ์แตกต่างกันมาก

    [​IMG]

    '' ขอให้จำอารมณ์วิปัสสนาญาณนี้ไว้ เพราะต้องใช้
    ในการพิจารณาตัดขันธ์ 5 ก่อนใช้ วิชามโนมยิทธิ นี้ทุกครั้ง "

    ยิ่งอารมณ์เข้มข้นเห็นจริงอย่างลึกซึ้งในวิปัสนาญาณแล้ว
    จิตก็จะยิ่งปราศจากกิเลสจิตปราศจากกิเลส ก็ยิ่งใสสะอาด จิตยิ่งใสสะอาดอาทิสมานกาย
    ก็ยิ่งสะว่างไสวและทำให้ภาพที่เห็นมีความชัดเจนถูกต้องยิ่งขึ้น

    ขออุปมา ความบริสุทธ์ของจิต ในวิชามโนมยิทธินี้ เสมือนกับคลื่นวิทยุถ้าจิตของเรามีความดีคุณธรรม
    ของเทวดาก็จะทำให้เราเห็น และ ใช้อาทิสมานกายไปยังภพภูมิของเทวดาได้ ถ้าจิตของเรามีพรหมวิหาร
    4 ความดีความบริสุทธ์ของ พรหม แล้วเราย่อมเห็น และ สัมผัส สภาวะของพรหม และ เทวดา รวมถึงภพภูมิ
    ต่ำๆลงมาได้แต่ถ้าเรามีความ บริสุทธ์ของจิตในขณะนั้น มั่นคงอยู่กับพระนิพพานจิตใจเราย่อม สัมผัส
    และ เข้าถึงในพระนิพพาน และ ภพภูมิทั้งมวล ท่านทั้งหลายขอให้รักษาความดีความบริสุทธ์ของจิตใจ
    ของเราไว้ให้ตั้ง มั่นอย่าหวั่นไหว หรือ ลังเลสงสัยใดๆเมื่อ ญาณทัศนะและ ความเป็นทิพย์ ปรากฏ
    ท่านจะเชื่อมั่นในการปฏิบัติได้ด้วยตัวท่านเอง

    สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน กราบลาพระพุทธเจ้าท่าน รวมทั้งทุกท่านที่มาเมตตา ากนั้น
    แผ่เมตตาอัปปมาณฌานไปยังสามไตรภูมิหนึ่งนิพพาน หรือ ตามกำลังของท่านที่ทำได้แล้ว
    ถอน จิตออกจากสมาธิโดยอธิฐาน ให้อาทิสมานกายของเราตั้งมั่นไว้ที่พระนิพพาน ครับ
    จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ ค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิครับ

    ท่านที่ปฏิบัติตรงนี้ได้จะรู้สึกได้ว่าตนเองมีอารมณ์ที่นิ่งขึ้นเห็นธรรมดา ในร่างกายิ่งขึ้นบางคนจะมีอารมณ์
    จืดในความอยากคือเมื่อก่อนอยาก ได้โน่นได้นี่ แต่ ตอนนี้จิตจะรักความสงบสงัดขึ้นไม่ค่อยอยากได้ได้ครับ
    ถือว่าก้าวหน้านะครับเพราะ ใจสบาย ใจสงบกิเลสน้อยลงไป ขอกราบโมทนาในการปฏิบัติของทุกคนครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...