เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 28 ธันวาคม 2025 at 19:18.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23,619
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,978
    ค่าพลัง:
    +26,818
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23,619
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,978
    ค่าพลัง:
    +26,818
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่งของประเทศไทย แต่ส่วนใหญ่จะลืมกันไปแล้ว ก็คือเป็น "วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"

    เราท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าประเทศไทยของเรา ช่วงเสียกรุงครั้งที่ ๒ ปี ๒๓๑๐ นั้น ถ้าไม่ได้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ตัดสินใจได้ถูกต้อง ก็คือเห็นว่าเรือรั่วเกินที่จะเยียวยาแล้ว ก็มีแต่ต้องสละเรือเพื่อขึ้นฝั่ง แล้วย้อนกลับมากู้เรือกันทีหลัง แล้วพระองค์ท่านก็ทำได้สำเร็จ โดยใช้เวลาน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ก็คือใช้เวลาประมาณ ๗ เดือนเท่านั้น

    แต่ว่ากรุงศรีอยุธยานั้นเสียหายมาก จนไม่สามารถที่จะบูรณะซ่อมแซมให้คืนดีมาได้ เนื่องเพราะว่าทางกองทัพพม่า ในเมื่อชนะแล้วก็ต้องหาประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงทำการเผาวัด เผาเจดีย์เพื่อลอกทองคำไป ซึ่งจะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้ถ้าเราเข้าใจบริบทของประเทศในสมัยเก่า ๆ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องตำหนิกัน

    เราลองดูว่าสมัยที่พระเจ้าอลองพญายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ทรงตั้งกองทัพที่วัดหน้าพระเมรุ จนกระทั่งพระองค์ท่านต้องปืนใหญ่ที่แตก ได้รับบาดเจ็บสาหัส ยกทัพกลับไป ทหารพม่าไม่ได้แตะต้องอะไรเลย แม้แต่พระประธานในวัดหน้าพระเมรุ เนื่องเพราะว่านั่นคือทัพกษัตริย์ ไปไหนก็ต้องรักษาเกียรติยศ..!

    แต่ว่าเนเมียวสีหบดีกับมังมหานรธานั้นไม่ใช่ ทั้งสองเป็นขุนศึก ซึ่งถ้าหากว่าไม่ทำการรบเพื่อหล่อเลี้ยงกองทัพตนเองก็จะอยู่ไม่ได้ จึงลองมาตีมะริดก็ได้ ตีทวายก็ได้ ตีตะนาวศรีก็ได้ จึงล่วงเลยเข้ามาถึงกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และอยุธยา พูดง่าย ๆ ก็คือเขาตั้งใจหาเงินเลี้ยงกองทัพของตน

    ในเมื่อชนะก็ต้องกอบโกยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยเฉพาะไม่ต้องคำนึงถึงเกียรติยศ เพราะว่าไม่ใช่กองทัพกษัตริย์ แต่มาแบบกองโจรปล้นเมือง เพื่อหาเสบียงหาสิ่งของไว้เลี้ยงกองทัพตัวเองเท่านั้น..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23,619
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,978
    ค่าพลัง:
    +26,818
    คราวนี้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น ตอนนั้นตำแหน่งของพระองค์ท่านก็คือพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองตาก แต่คนไม่เรียกตำแหน่ง ไปเรียกสถานที่ซึ่งท่านครอบครองอยู่ ก็คือจังหวัดตาก ก็เลยเรียกกันง่าย ๆ ว่าพระยาตาก แม้แต่จารึกของพระองค์ท่านเอง ก็ระบุไว้ว่า

    อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก

    ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา

    ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา

    แด่ศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม

    ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี

    สมณะพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้พอสม ฯลฯ​

    ซึ่งพระองค์ท่านก็ใช้คำแทนองค์ท่านเองว่า "พระยาตาก"

    ต้องบอกว่าพระองค์ท่านเป็น "พระเจ้าแผ่นดินเฉพาะกิจ" ก็คือสถานการณ์พาให้เป็นไป เพราะว่าช่วงนั้นคนไทยของเราหาบุคคลที่จะก้าวขึ้นมาทำงานเพื่อประเทศชาติไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าพระยาฝางก็ดี เจ้าพระยาสรรค์บุรีก็ตาม หรือแม้กระทั่งเจ้าพระยานคร ทั้ง ๗ ก๊ก ก็ล้วนแล้วแต่ตั้งตนเป็นใหญ่ เพื่อพวกพ้องและตนเอง ทำให้พระองค์ท่านนอกจากต้องปราบปรามกองทัพพม่าแล้ว ยังต้องเสียเวลามาปราบปรามบรรดาก๊กต่าง ๆ ที่แข็งเมืองอีกด้วย..!

    ครั้นเมื่อย้ายมาสร้างกรุงธนบุรีได้ไม่นาน พระองค์ท่านก็ทำนุบำรุงพระศาสนาเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะสืบเสาะหาว่าประเทศใดมีพระไตรปิฎกที่สมบูรณ์ ก็ไปขอเขามา เพื่อที่จะได้ทำการปริวรรตเป็นภาษาไทย เอาไว้ใช้งานในบ้านเราเมืองเรา เป็นหลักในการศึกษาของพระภิกษุสามเณร แล้วจะได้นำมาสั่งสอนแก่ประชาชนสืบไป

    วีรกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต้องบอกว่ามีมากมายจนกระทั่งกล่าวกันไม่หมด เพียงแต่ว่าเราเองอาจจะห่างจากช่วงที่พระองค์ท่านทำการกอบกู้แผ่นดินถึง ๒๐๐ กว่าปี จึงทำให้ไม่ค่อยจะคิดถึง โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลัง ๆ ที่มาตั้งคำถามว่า "สถาบันกษัตริย์มีไว้ทำอะไร ?" ก็คงจะเห็นชัดแล้วตอนที่ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และสมเด็จพระบรมราชินีเสด็จประเทศจีน แล้วเมื่อสองวันที่ผ่านมาก็เสด็จประพาสประเทศลาว เพื่อเปิดสะพานมิตรภาพแห่งใหม่

    สำหรับคำถามที่ว่า "ทหารมีไว้ทำอะไร ?" ก็น่าจะรู้แล้ว ไม่เช่นนั้นป่านนี้เราอาจจะเสียดินแดนให้กับเขมรไปแล้วก็ได้..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23,619
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,978
    ค่าพลัง:
    +26,818
    ดังนั้น..บรรดานักการเมืองที่รุ่นใหม่จนเกินไป ลืมคุณค่าสถาบันหลักของบ้านเราเมืองเรา ที่อยู่ยงคงคู่ประเทศเรามาหลายร้อยปี โคตรเหง้าศักราชของเขาทั้งหลายเหล่านั้น ก็มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจนกระทั่งร่ำรวยมีฐานะขึ้นมา แล้วก็มาตั้งพรรคการเมืองเพื่อที่จะล้มล้างสถาบัน ต้องบอกว่าเป็นความอกตัญญูที่ไม่สามารถจะประณามได้เลยว่าเลวร้ายขนาดไหน..!

    แต่ว่าเรื่องทั้งหลายก็ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของใครของมันก็แล้วกัน เพราะว่าประชาชนที่มีปัญญา เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ดีอย่างไร เห็นว่าทหารตำรวจสำคัญต่อประเทศชาติอย่างไรนั้นมีอยู่ ถึงเวลาถ้าเลือกตั้งก็พยายามเลือกคนที่เลวน้อยที่สุดก็แล้วกัน..!

    ตัวกระผม/อาตมภาพเองต้องบอกว่ามีความภาคภูมิใจอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือไปเป็นทหารม้าอยู่ ๘ วัน ตอนช่วงนั้นต้องบอกว่าเบื่อทหารราบเต็มทีแล้ว เนื่องเพราะว่าสิ่งใด ๆ ที่ควรเรียนรู้ก็เรียนจนหมดแล้ว แถมได้ที่ ๑ มาตลอด ในเมื่อเขามีโควต้าให้สอบเปลี่ยนเหล่าได้ ๑๕ กองพัน ให้โควตา ๑ นาย ก็ยังอุตส่าห์สอบได้ ย้ายไปอยู่ที่ศูนย์การทหารม้าสระบุรีอยู่ ๘ วัน เหตุที่อยู่แค่ ๘ วันก็เพราะว่าพอไปถึง ทุกอย่างก็เหมือนเดิม คือทหารม้าก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากทหารราบยังไม่พอ สิ่งที่ได้รับการฝึกฝนมา รู้สึกว่าทหารราบที่กระผม/อาตมภาพสังกัดอยู่นั้น จะเข้มข้นกว่าเสียด้วย..!

    แล้วที่น่าเบื่อที่สุดก็คือบรรดาเพื่อนร่วมรุ่น ที่ผลักขึ้นไปเป็นหัวหน้าตอนทหารอีกแล้ว บอกเขาว่า "มึงรู้ไหม กูเบื่อเต็มที กูถึงได้หนีมาที่นี่ ยังจะมายัดเยียดให้กูอีก..!" ก็เลยไปแจ้งทางจ่ากองร้อยว่า "ขออนุญาตถอนชื่อกลับสังกัดเดิม" ปรากฏว่าท่านหยิบเอกสารคืนมาทั้งซอง บอกว่า "ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ เพราะว่าผมยังไม่ได้ทำเรื่องรับเข้าเลย" ก็คือมาแค่ ๘ วัน พอที่จะร้องเพลงมาร์ชทหารม้าได้เท่านั้น มีใครเคยได้ยินบ้างไหม ?

    อนุสาวรีย์สร้างสดุดี..วีรชน

    อนุสาวรีย์วีรชน..ทั่วสกลแซ่ซ้อง

    ผยองเกียรติเป็นสง่า..บนหลังอาชาไนย


    ตากสินมหาราช..องอาจกาจเกรียงไกร

    เป็นต้นสืบสายเลือดกล้า..ทหารม้าชายชาญ ฯลฯ

    ต้องบอกว่าทหารม้าต่างจากทหารราบอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเวลาออกรบจะใช้รถถังเป็นหลัก ก็คือเป็น "ม้าเหล็ก" ไม่ใช่ "ม้าเนื้อ" เหมือนกับสมัยก่อน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    23,619
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,978
    ค่าพลัง:
    +26,818
    เรื่องนี้ก็น่าจะไม่เกินความสามารถของตนเอง เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพศึกษามาหมดแล้วตอนเป็นทหารราบ โดยเฉพาะเรื่องของแผนที่เข็มทิศ หรือว่าการยิงเครื่องยิงลูกระเบิด ซึ่งต้องอาศัยการคำนวณทิศทางต่าง ๆ ถึงขนาดสามารถขอการมาร์กจุดลงกลางหัวตัวเองได้..!

    สมัยก่อนเราต้องใช้จินตนาการว่า ๑ ตารางเซนติเมตรคือ ๖๒๕ ไร่ ก็คือ ๑ ตารางกิโลเมตร เราจะต้องซอยเส้นตัดตั้ง ๑๐ เส้น นอน ๑๐ เส้น แล้วก็มาร์กจุดว่าเป้าหมายหรือตัวเองอยู่ตรงไหน ? จากนั้นก็ขอให้ปืนใหญ่ยิงยืนยันจุดที่ตั้งของเรา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกระสุนควัน ปรากฏว่าแตกบนหัวพอดี ทำเอาผู้บังคับกองร้อยซึ่งทำหน้าที่สอนบอกว่า "กูสอนมาหลายสิบรุ่นแล้ว เพิ่งเห็นมึงนี่แหละ..ที่ขอชี้เป้าได้ขนาดนี้..!"

    เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายที่เห็นการรบระหว่างไทยกับเขมร จะเห็นว่าไม่ว่าจะเครื่องบิน ปืนใหญ่ ปืน ค. (เครื่องยิงลูกระเบิด) ของเราก็ตาม จะลงเป้าหมายเป๊ะ ๆ ทุกครั้ง เนื่องเพราะว่าถ้าแจ้งพิกัดถูกต้อง ขอให้ไว้วางใจ มอบให้เขาไปได้เลย..!

    กระผม/อาตมภาพเคยทำหน้าที่เป็น ผตน. ซึ่งย่อมาจากคำว่า ผู้ตรวจการณ์หน้า ที่จะต้องแฝงตัวเข้าไปใกล้หน่วยข้าศึกให้มากที่สุด เพื่อแจ้งพิกัดให้กับฝ่ายเรา เมื่อแจ้งพิกัดแล้ว ฝ่ายเรายิงมา กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ลด ๒๐๐" อีกฝ่ายด่ามาเลยว่า "จะลดไปหาพ่อมึงหรือ ๒๐๐..!" เพราะว่ากระสุนปืนใหญ่ รัศมีฉกรรจ์ก็คือตายแน่นอน รัศมี ๕๐๐ เมตร เขาถึงได้ถามว่า "จะลดไปหาพ่อมึงหรือ ๒๐๐..!" ความจริงเราแค่อยากดัง จะให้ลงกลางกบาลมันพอดีแค่นั้น..!

    ดังนั้น..วันสำคัญอย่างวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่พวกเราส่วนใหญ่มองข้ามกันไปหมดแล้ว แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ยังต้องเสด็จออกประกอบพระราชพิธีที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครคิดถึงตรงนี้ แล้วลองนึกย้อนหลังกลับไปดูว่า ถ้าบ้านเราเมืองเราต้องเป็นทาสเขา เขาจะทำอย่างไรก็บังคับให้เราทำตามนั้นทุกอย่าง ถ้าไม่ได้พระองค์ท่านเราก็ไม่สามารถที่จะมีผืนแผ่นดินนี้ ให้พวกเราได้อยู่สุขอยู่เย็นกันอย่างทุกวันนี้

    ดังนั้น..สิ่งใดที่เป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาที่พวกเราทำอยู่ เมื่อถึงเวลาต้องรำลึกถึงและอุทิศถวายพระองค์ท่านด้วย เพราะว่าทุกวันนี้ที่เราอยู่สุขอยู่สบาย ก็เพราะว่าพระองค์ท่านและบรรพบุรุษของเรา เอาเลือดเอาเนื้อทาแผ่นดินเอาไว้ เพื่อที่ให้พวกเราได้อยู่อย่างร่มเย็นมาจนถึงปัจจุบัน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...