เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 สิงหาคม 2024.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๗

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกเราก็ได้ทำบุญวันแม่แห่งชาติไปแล้ว ซึ่งถ้าเป็นก่อนหน้าที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ จะระบาด กระผม/อาตมภาพจะนิมนต์เพื่อนฝูงที่เป็นนักปฏิบัติธรรม มาให้ท่านทั้งหลายได้ทำบุญกัน

    แต่ด้วยความที่ว่าปี ๒๕๖๓, ๒๕๖๔ และ ๒๕๖๕ ต้องงดจัดงานไป เพราะเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ยังระบาดรุนแรงอยู่ พอมาปี ๒๕๖๖ และปี ๒๕๖๗ นี้
    กระผม/อาตมภาพก็มาติดงานเป็นกรรมการตรวจประเมิน โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล ๕) จึงทำให้ไม่สามารถที่จะจัดงานได้ เนื่องเพราะว่าไม่มีเวลาที่จะไปดูแลพรรคพวกเพื่อนฝูงที่จะมาก่อนเวลา หรือว่ามาในวันงาน

    อย่างวันนี้ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่า กว่าที่กระผม/อาตมภาพเดินทางมาถึงวัดก็ตี ๔ ไปแล้ว แล้วก็ยังมีกิจกรรมต่อเนื่องมาจนกระทั่งก่อนทำวัตรเย็น ก็เพิ่งจะประชุมติดตามแบบของสะพานเฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา ทสมราชาธิราช ซึ่งต้องบอกว่าแต่ละโครงการนั้น น่าทุบหัวไอ้คนประมาณการราคาก่อนออกแบบ..!

    ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายหลังนี้ ก่อนออกแบบเขาบอกว่าประมาณ ๔๐ ล้านบาท ทำเข้าไปจริง ๆ เจอไป ๘๓ ล้านบาท..! พิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน ตอนแรกก็อยู่ในประมาณการใกล้เคียงกัน แต่พอทำจริง ๆ ๑๕๕ ล้านบาท..! สะพานเฉลิมพระเกียรติแห่งนี้ ตอนแรกที่คำนวณไว้อยู่ที่ ๓๘ ล้านบาท แต่วันนี้ตัวเลขออกมาที่ ๑๔๖ ล้านบาท..! ต้องบอกว่าวัดท่าขนุนน่าจะร่ำรวยมาก ทำอะไรก็มักจะเกินงบประมาณการไปหลาย ๆ เท่าตัว..!

    คราวนี้ในเรื่องของการก่อสร้างนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจ เนื่องเพราะว่า
    ถ้าจำเป็นต้องใช้เงิน เงินก็จะมาเอง แต่สำคัญอยู่ตรงที่ว่า ระยะนี้ภาวะของบ้านเมืองและโลกเราไม่ปกติ อันดับแรกเลยก็คือจะหาบริษัทรับเหมามาก่อสร้างได้หรือไม่ ? อันดับที่สองก็คือในราคาที่ตกลงเซ็นสัญญากันเอาไว้ ถ้าถึงเวลาแล้วมีการเปลี่ยนแปลงราคาวัสดุก่อสร้าง เขาจะทิ้งงานของเราหรือไม่ ?

    กระผม/อาตมภาพเจอมาด้วยตัวเอง ก็คือการก่อสร้างมีอยู่ระยะหนึ่งที่เหล็กขึ้นราคากิโลกรัมละ ๗ บาท ฟังดูไม่มาก แต่เราต้องเข้าใจว่าขึ้นตันละ ๗,๐๐๐ บาท..! แม้กระทั่งตอนที่สร้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายหลังนี้ก็ตาม เหล็กข้ออ้อยที่เอามาทำโครงสร้าง มัดหนึ่งไม่ถึงโอบ มัดหนึ่ง ๔ - ๕ แสนบาท..!

    แต่ว่าเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมากังวลล่วงหน้ากันไป เนื่องเพราะว่าปัญหามีไว้แก้ไข ไม่ใช่มีไว้เครียด เรื่องของการแก้ไขปัญหาหน้างานเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเรื่องนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเคยบอกเอาไว้นานแล้วว่า การทำงานก่อสร้างนั้น ถ้าหากว่าเราทำใจได้จะเข้าถึงมรรคผลได้เร็ว เนื่องเพราะว่าสารพันปัญหาจะประดังกันเข้ามา พูดง่าย ๆ ว่ามีให้ปวดหัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างที่คณะกรรมการตรวจรับงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนพบเห็นอยู่ ก็คือบางวันแทบอยากจะลุกขึ้นไปฆ่าคน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    คราวนี้ถ้าหากว่าเราทำใจได้ ปล่อยวางได้ สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติธรรมมา แปลว่า "มีผลอย่างที่เราต้องการ" ก็คือในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ต้องมีการทดสอบกับของจริงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่า สิ่งที่เราทำไปนั้น เวลาเจอการทดสอบจริง ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร ดังนั้น..นักปฏิบัติธรรมหลายท่าน ถ้าหากว่าอยู่ในป่าช้า อยู่ในป่าชัฏ ออกธุดงค์ ภาวนาแล้วจิตใจสงบดีมาก แค่ก้าวเข้ามาในเขตบ้านเขตเมืองเท่านั้นก็แกว่งไม่เป็นท่าแล้ว เนื่องเพราะว่าเจอแรงกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบด้าน..!

    บุคคลใดถ้าหากว่าอยู่กับผู้คนแล้ว สามารถที่จะรักษากำลังใจให้สงบระงับได้ นั่นถึงจะเรียกว่าของแท้ เพราะว่าผ่านการพิสูจน์ด้วยบทเรียนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเราปลีกตัวออกจากสังคม แล้วไปประพฤติปฏิบัติอยู่คนเดียว ถ้าไม่ใช่เข้าถึงมรรคถึงผลอย่างแท้จริง ยังจัดอยู่ในระดับโลกิยฌานแล้ว กระทบเมื่อไรก็พังเมื่อนั้น จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างสูง

    เนื่องเพราะว่าฌานโลกีย์นั้น ถ้าหากว่าทรงตัวมั่นคงจริง ๆ กิเลสต่าง ๆ จะโดนกดให้ดับลงชั่วคราว ทำให้มีคนหลงเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้วมากต่อมากด้วยกัน แม้กระทั่งเด็กที่กระผม/อาตมภาพดูแลอยู่ ก็ยังมา "เถียงคำไม่ตกฟาก" "หลวงพ่อบอกว่าถ้าหากว่าเป็นพระอรหันต์จะต้องตายภายใน ๗ วัน นี่หนูอยู่มาตั้งหลายเดือนแล้วไม่เห็นจะตายเลย..!" ปัจจุบันนี้ไอ้คนเถียงมีลูกไป ๕ คนแล้ว..!

    นั่นก็คือพระอรหันต์ที่เข้าใจผิด เพราะว่าตัวเองกิเลสสงบระงับด้วยกำลังของสมาธิ แล้วไปคิดว่าใช่ กำลังสมาธิที่เข้มข้นจริง ๆ ระดับฌาน ๔ หรือว่าสมาบัติ ๘ สามารถกดกิเลสให้ดับลงอย่างชนิดที่เหมือนกับหมดเชื้อ แต่ความจริงแล้วไม่หมด เหมือนกับหินที่ทับหญ้าเอาไว้ ถึงเวลาขยับเขยื้อนหินออกเมื่อไร หญ้าก็งอกงามใหม่

    แล้วคนอีกจำนวนมากด้วยกัน ที่เมื่อเข้าถึงสมาธิแล้วก็ไปติดอยู่แค่ตรงนั้น เพราะว่ากำลังใจที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราวนั้น มีความสุขเยือกเย็นจนบอกไม่ถูก ปฏิบัติเมื่อไรก็ต้องการอยู่แค่นั้น จึงทำให้บุคคลจำนวนหนึ่งที่นำไปกล่าวว่า สมาธิทำให้ขี้เกียจและหลงยึดติดอยู่ในนั้น ก็แปลว่า ของดีไม่ได้ดีสำหรับทุกคน

    แต่ว่าดีสำหรับคนที่ใช้ถูกต้อง ก็คือเมื่อกดกิเลสให้สงบระงับลงได้แล้ว เราต้องรีบพิจารณาวิปัสสนาญาณต่อไปเลย อาศัยกำลังของสมาธิในการช่วยตัดละ ถ้าหากว่ากำลังพอเพียง ก็จะตัดละได้ตามวาสนาบารมีของตนเอง ถ้ากำลังไม่พอเพียงก็เป็นแค่หินทับหญ้าอยู่ต่อไป เจอแรงกระทบขยับเขยื้อนออกจากจุดเดิมเมื่อไร กิเลสก็งอกงามใหม่ทันที..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    หลายต่อหลายคนก็เลยเกิดอาการที่ว่า "ตบะแตก จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก" เหล่านี้เป็นต้น ก็เพราะว่าสภาพจิตของเรามีความดิ้นรนเป็นปกติ ถ้าเราเผลอตัวเมื่อไร กิเลสก็จะตีกลับ แล้วทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง ที่โดนเก็บกดไว้นั้น ทะลักทลายมาอย่างชนิดที่ห้ามไม่ไหว ทำให้กำลังใจตก พังไปเป็นเดือน ๆ บางคนก็พังไปหลายปี..!

    เราต้องเข้าใจว่าธรรมดาของจิตเป็นอย่างนั้น อยากจะพังเราก็เริ่มต้นใหม่ อย่าเสียเวลาไปโอดครวญเสียดายกับสิ่งที่เคยผ่านมาแล้ว เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เดี๋ยวนั้นทันทีว่า "ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์" ประคับประคองรักษาสมาธิของเราต่อไป ถ้าสามารถทำเช่นนั้นได้ จิตใจของเราก็จะหวั่นไหวกับสิ่งผิดพลาดน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้วท้ายที่สุดก็เห็นเป็นธรรมดา วางอุเบกขาลงได้ กำลังใจของเราตกเท่าไรก็จะไม่ต่ำไปกว่านี้ ก็คือเหมือนกับมีพื้นไว้รองรับ เมื่อถึงเวลาตกก็อยู่แค่พื้น แล้วก็ลุกขึ้นยืน ก้าวต่อขึ้นเบื้องสูงต่อไป

    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมจึงเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า ขนาดท่านทรงสมาบัติ ๘ คล่องตัวแล้ว มีอยู่วันหนึ่ง ไม่ทราบว่าเผลอตอนไหน หลุดออกมาเหลือแค่อุปจารสมาธิ ท่านบอกว่าบ้านหลังใหญ่ที่มีเสา ๘ ต้นช่วยกันค้ำ อยู่ ๆ เสาเหลือแค่ครึ่งต้น รสชาติแบบนั้นหนักหนาสาหัสแค่ไหน ก็ลองไปเดากันเอาเอง..!

    กระผม/อาตมภาพเองเคยทรงสมาธิ ทั้งกลางวันกลางคืนต่อเนื่องกันทุกลมหายใจเข้าออก มีสติรู้ตัวอยู่ตลอด ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเผลอตอนไหน ผ่านไป ๒ เดือนกว่าหลุดเอาดื้อ ๆ ของพวกเรานี่ทรงได้ต่อเนื่องกันสักครึ่งชั่วโมงแล้วหลุด ก็น่าจะดีมากแล้ว

    เรื่องเหล่านี้เป็นบทเรียนในการปฏิบัติของเราว่า ถ้ากำลังใจตก อย่าเสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่ตรงนั้น ให้ทิ้งความเสียดายความดีเก่า ๆ ที่เคยทำได้ แล้วเริ่มต้นตะเกียกตะกายทำใหม่เดี๋ยวนั้นเลย โอกาสที่เราจะดึงกำลังใจกลับมาให้เท่าเดิมก็จะมีมากขึ้น แต่ถ้ามัวแต่ไปคร่ำครวญอยู่ตรงนั้นเมื่อไร ก็จะเสียเวลาไปหลายวัน บางทีก็หลายเดือน อีกหลายคนก็เจอเป็นหลายปี ตายตอนนั้นจะขาดทุนเสียเปล่า ๆ

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     

แชร์หน้านี้

Loading...