ความสุข ก็เป็นแค่ความทุกข์ที่น้อยลงเท่านั้นเอง

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 มีนาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,129
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,506
    ค่าพลัง:
    +26,342
    IMG_8585.jpeg

    พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้นั่งทำงานอยู่ข้างบน ก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่องที่มีชาวตะวันตกหลายรายบอกว่า การทำความดีตามหลักพระศาสนาก็เพื่อความสุข แต่ทำไมพระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องทุกข์ ? แสดงว่าฝรั่งเขาไม่เข้าใจว่า สิ่งที่คิดว่าเป็นความสุขนั้น จริง ๆ แล้วก็คือความทุกข์ที่น้อยลงเท่านั้น

    ความจริงแล้วเรื่องของทุกข์ไม่มีใครอยากได้ ก็เลยพลอยผลักไสปฏิเสธไปด้วย แต่ว่าหลักของพระพุทธศาสนานั้นเป็นการย้อนทวนกระแส ความสุขทำให้คนหลงยึดติดได้ง่าย เพราะเห็นว่าสุขจึงรับเอาไว้ด้วยความยินดี หารู้ไม่ว่ามีโทษยิ่งกว่าความทุกข์อีก โดยเฉพาะบุคคลถ้าหวังความหลุดพ้น ไม่ว่าจะติดสุขหรือว่าติดทุกข์ก็ไปไม่รอดทั้งคู่

    ในเรื่องของความทุกข์นั้น ความจริงแล้วเป็นของที่มีค่ามหาศาล พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เกิดจนนับชาติไม่ถ้วน ถ้าเราคำนวณว่าแต่ละชาติใช้ทรัพยากรไปเป็นจำนวนเงินเท่าไร บวกลบคูณหารออกแล้วรับรองว่าจะได้ตัวเลขมหัศจรรย์ที่อ่านออกมาไม่ได้ เพราะมหาศาลจริง ๆ

    ทั้งหมดที่พระองค์ท่านเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ใช้ทรัพยากรไปจนประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ ก็เพื่อตรัสรู้ในเรื่องของความทุกข์นี่เอง เพื่อการรู้เห็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง รู้ว่าทุกข์เกิดจากสาเหตุอะไร แล้วสามารถที่จะออกจากทุกข์อย่างไร ในเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว จะเห็นว่าความทุกข์นั้นมีค่ามหาศาลที่ประมาณเป็นตัวเลขไม่ได้ เงินทองตลอดชีวิตที่เราทำมาได้ก็ไม่พอซื้อ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่าพอทุกข์อยู่ตรงหน้าแล้วพวกเราดันเผ่นหนีกัน แล้วเมื่อไรเราจะรู้เสียทีว่าความทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ในเมื่อเราไม่รู้ก็จะไม่เบื่อ ไม่เข็ด ไม่กลัว ก็ต้องทนอยู่กับทุกข์ต่อไป

    แต่หากว่ารู้แล้ว ถ้าเรามี สติ สมาธิ ปัญญา เพียงพอ ก็จะเกิดอาการเบื่อ อาการเข็ด อาการกลัว แล้วก็เร่งหาทางพ้นจากความทุกข์ ดังนั้น..ที่ฝรั่งเขาตั้งคำถามว่าหลักการของพระศาสนาต่าง ๆ เขาปฏิบัติเพื่อความสุข แต่ทำไมศาสนาพุทธพูดถึงแต่ทุกข์ทั้งนั้น ก็เพราะว่าความสุขที่ฝรั่งว่านั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นโลกียสุข เป็นความสุขที่เนื่องด้วยโลกียะ ไม่ใช่ความสุขที่เป็นโลกุตระ คือหลุดพ้นออกจากกองทุกข์ทั้งปวง

    ความสุขของโลกียะนั้นไม่ยั่งยืน พอขาดตัวกระตุ้น ขาดตัวหนุนเสริม ความสุขนั้นก็หายไป แต่ความสุขที่เป็นโลกุตรสุขนั้น เมื่อเข้าถึงแล้วคงตัวอยู่ไม่ไปไหน สิ่งที่เราวิ่งหากันอยู่ทุกวันคือความสุขในการหลุดพ้น แต่จะเข้าถึงความสุขในการหลุดพ้นได้เราต้องย้อนทวนความทุกข์ไปก่อน ก้าวทะลุกำแพงทุกข์เมื่อไรก็แปลว่าพบความสุขที่ยั่งยืนและแท้จริง

    อาตมาไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา อะไรที่ยากลำบากนี่จะวิ่งใส่เลย ถือเป็นความมันในชีวิต คิดไม่เหมือนชาวบ้านเขา คิดว่าเราสร้างบารมีมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าทำอะไรง่าย ๆ แล้วเสียศักดิ์ศรี เพราะฉะนั้น..อะไรที่ยากเท่าไรก็มันเท่านั้น ใครจะเลียนแบบก็ได้นะ แต่ต้องอึดพอ ถ้าหน้าไม่ด้านพอเผ่นไปตั้งแต่แรกแล้ว..!

    มีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าเรากระโดดเข้าหาความทุกข์ เราก็จะไม่ต้องโดนบังคับให้ทุกข์ ตรงนี้เคยพูดหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่คาดว่าญาติโยมทั้งหลายจะลืมไป บุคคลที่ตั้งใจจะไปพระนิพพาน ต้องเห็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เข็ดกลัว แล้วหาทางหลีกหนีให้พ้นจากความทุกข์นั้น ถ้าตราบใดที่ไม่เห็นความทุกข์อย่างชัดแจ้ง ก็จะหลุดพ้นไม่ได้

    แล้วพวกเราก็อธิษฐานกัน ขอถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ ไม่ดูความทุกข์สักทีแล้วเมื่อไรจะถึงพระนิพพาน พวกเราส่วนใหญ่ลงมาก่อนเวลา ในเมื่อลงมาก่อนเวลา ก็ต้องไปขออนุญาตเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ให้ท่านช่วยรับรองให้ เทวดาที่ท่านรับรองให้ก็ต้องเป็นเจ้านายใหญ่ ก็คือท่านปู่พระอินทร์แล้วก็รวมท่านย่าไปด้วย

    ท่านย่าเคยบอกว่า ถ้าใครไม่ยอมพิจารณาให้เห็นทุกข์แล้วอยากจะไปนิพพาน ก็จะต้องโดนบังคับให้ทุกข์ เพราะฉะนั้น..ใครที่รู้สึกว่าชีวิตกูลำบากฉิบหายเลย ถ้าอยากจะสบายขึ้นให้รีบพิจารณาทุกข์ให้ชัดเจน ท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาบังคับ

    ลองนึกดูว่าถ้าเราเลี้ยงวัว วัวตัวไหนที่น่ารัก เดินอยู่ในทาง จะไปโดนตีโดนเฆี่ยนได้อย่างไร ? ส่วนประเภทที่แวะเกะกะข้างทางไม่พอ แล้วยังไปกินข้าวชาวบ้านเขาอีก ก็ต้องโดนไม้ คราวนี้พอเจ็บพอลำบากขึ้นมาก็โวยวาย หารู้ไม่ว่าตัวเองไม่ยอมเดินไปดี ๆ เอง

    ฉะนั้น..รีบกลับไปพิจารณาเห็นทุกข์ให้ชัด จะได้ไม่ต้องถูกบังคับให้ทุกข์ วิธีบังคับให้ทุกข์ที่อาตมาเห็นมาส่วนใหญ่จะเป็นโรคมะเร็ง เจ็บปวดสาหัสดีนักแล อยากหายจากโรคมะเร็งให้รีบพิจารณาทุกข์ให้ชัด แต่อาตมาไม่ยืนยันว่าจะหายจากโรคมะเร็ง เพียงแต่บอกให้รู้ว่าถ้าตั้งใจไปพระนิพพานต้องเห็นทุกข์จนเบื่อร่างกายนี้ก่อน

    อาตมาวิ่งใส่งานทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่างวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาวิ่งรถ ๒,๐๐๐ กว่ากิโลเมตร ออกตีสามกลับมาถึงที่นี่เที่ยงคืน แล้วต้องมารับสังฆทานต่อ ยอมเหนื่อยเพราะรู้ว่า แค่นี้ตัวเองยังรับได้ พอทนได้กับความเหนื่อยแค่นี้ แต่ถ้าให้เขามาเองนี่ไม่รู้ว่าเขาจะมาหนักเบาเท่าไร เพราะฉะนั้น..วิ่งใส่งานดีกว่า ดีกว่าให้ความทุกข์เข้ามาบังคับเราเอง สรุปแล้วเมื่อครู่ขึ้นไปนั่งทำงาน เลยคิดอะไรได้ตั้งเยอะแยะ"
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...