เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 31 พฤษภาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ สิ้นเดือนอีกแล้ว คราวนี้พวกเรามีนาค ๑๑ ท่าน ที่จะอุปสมบทหมู่เพื่อปฏิบัติธรรมในช่วงสัปดาห์วิสาขบูชา การที่ท่านทั้งหลายบวชเข้ามา จุดประสงค์ก็มีต่าง ๆ กันไป แต่ว่าส่วนหนึ่ง ถ้าหากว่าบวชเข้ามาแล้วตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สิ่งที่จะพึงได้รับก็คือผลานิสงส์ต่าง ๆ จาก ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เราสั่งสมในช่วงของความเป็นพระ ซึ่งต้องบอกว่ามีอานิสงส์มากกว่าตอนทำในขณะที่เป็นฆราวาสหลายเท่า

    กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบว่า ฆราวาสมีศีล ๕ ข้อ พระมีศีล ๒๒๗ ข้อ ถ้าเปรียบกับนักลงทุน คนหนึ่งลงทุน ๕ ล้านบาท คนหนึ่งลงทุน ๒๒๗ ล้านบาท ในกิจการประเภทเดียวกัน ถ้าหากว่ามีกำไรเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เท่ากัน คนที่ลงทุน ๒๒๗ ล้านย่อมได้กำไรมากกว่าคนที่ลงทุน ๕ ล้านหลายเท่า

    ดังนั้น..การที่ท่านทั้งหลายบวชเข้ามา ถ้าหวังในเรื่องของบุญของกุศล ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา อย่างเคร่งครัด ถ้าหากว่าสามารถอยู่ต่อได้ อานิสงส์ตรงนี้ก็จะหนุนเสริม ให้ชีวิตนักบวชของเรามีความเจริญรุ่งเรืองสืบไปภายภาคหน้า ถ้าหากว่าสึกหาลาเพศไป อานิสงส์นี้ก็จะช่วยให้ทางชีวิตของเราสะดวกกว่าผู้อื่น เพียงแต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายบวช ๆ สึก ๆ เพื่อหวังจะเอาอานิสงส์ตรงนี้เท่านั้น โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะเข้าถึงมรรคผลก็ยากมาก..!

    เรื่องของการจะเข้าถึงมรรคถึงผลนั้น เป็นเรื่องของการที่ต้องเอาชีวิตเข้าแลกกับความดี เหมือนอย่างกับการต่อสู้กับศัตรู อยู่ในประเภทถ้าไม่ใช่เราตายก็เขาตาย ไม่มีการชนะคะแนน ก็แปลว่าใครก็ตามที่บวช ๆ สึก ๆ โอกาสที่จะเอาดีจริง ๆ ไมมี เพราะว่ากำลังใจยังไม่เพียงพอ

    กระผม/อาตมภาพเองตั้งใจบวชแค่ ๗ วัน แต่ว่าเงินทองที่เก็บสะสมไว้แบ่งให้น้องสองคน ๆ ละครึ่ง เพราะว่าเขายังเรียนหนังสืออยู่ เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ยกให้พี่ชายไปเลย กะว่าสึกออกมาเราจะเริ่มต้นจากศูนย์ นี่บวชแค่ ๗ วันเท่านั้น แล้วท่านทั้งหลายที่ตั้งใจจะบวชอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเดือน เป็นพรรษา หรือว่าหลาย ๆ พรรษาก็ตาม กล้าตัดทางถอยของตัวเองแบบกระผม/อาตมภาพหรือเปล่า ? ก็คือถ้าออกไปก็แปลว่าต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

    ถ้ากำลังใจของเราไม่เด็ดขาดพอ โอกาสที่จะชนะกิเลสนั้นยากมาก เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างเป็นกระแสที่ผูกมัดเราอยู่ ถ้าไม่ตัดอย่างเด็ดขาด โอกาสที่จะรอดนั้นไม่มีเลย

    แล้วขณะที่เราตั้งใจจะบวช สิ่งต่าง ๆ ก็จะมาขวางอยู่เสมอ เพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพบางคน ช่วงเป็นฆราวาสเมาเหมือนหมา นอนตากน้ำค้างทั้งคืน ไม่เป็นอะไร แต่พอบวชเข้ามาแล้วป่วยเช้าป่วยเย็น จนกระทั่งทำให้หลงผิด คิดว่าเป็นเพราะบวชเข้ามาแล้วตัวเองบุญไม่พอ ก็เลยเป็นอย่างนี้ แต่ทันทีที่สึกหาลาเพศไป ก็หายเป็นปกติ นั่นก็คือเรื่องของขันธมารที่มาขวาง บางท่านบวชเข้ามา ทางครอบครัวเกิดสารพันปัญหา ไม่เว้นแต่ละวัน แล้วเราก็ไปรับเอาปัญหามาแบกแทน แบบนั้นไม่กี่วันก็ต้องสึก..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลาย ถ้าตั้งใจจะบวชเพื่อเอาดี ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง ถ้าไม่เด็ดขาด โอกาสที่จะเอาดีเป็นไปไม่ได้เลย ยกตัวอย่างกระผม/อาตมภาพอีกครั้งหนึ่ง พออายุครบ ๒๐ ปี แม่ก็รบเร้าให้บวชอยู่เกือบทุกวัน ที่บ้านแม่มีลูกชายอยู่ ๖ คน บวชไปแล้ว ๔ คน แต่ต่อมาแม่โดนรถชน เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา กระผม/อาตมภาพต้องดูแลอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ กว่าที่จะดีเหมือนเดิม

    พอถึงเวลาปรารภว่าจะบวช แม่ถามว่า "ถ้ามึงไปบวชแล้วกูจะอยู่กับใคร ?" เห็นหรือยังว่าหนังคนละม้วนกับก่อนหน้านี้ ที่รบเร้าขอให้บวชอยู่ทุกวัน แล้วท่านทั้งหลายรู้ไหมว่ากระผม/อาตมภาพตอบแม่ว่าอย่างไร บอกว่า "แม่มีลูกตั้ง ๑๓ คน ตอนนี้เหลืออยู่ ๑๒ คน ถ้าผมไปบวชแล้วไม่มีใครเลี้ยง แม่ก็ยอมอดไปเถอะ..!" แล้วกระผม/อาตมภาพก็ออกจากบ้านไปอยู่วัดตั้งแต่วันนั้น เปรียบกำลังใจกันแค่นี้ ทุกคนก็รู้แล้วว่ากำลังของเราอยู่ในระดับไหน ควรแก่ธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ?

    อย่าลืมว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าคืออริยสัจ สัจจะ คือความจริงแท้ จึงต้องการคนจริงเท่านั้น ไม่ใช่บวชเล่น ๆ ถ้าคิดว่าบวชเล่น ๆ อย่าเสียเวลาบวชเลย อย่างที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกว่า "บวชมาซื้อนรกชัด ๆ..!" อย่าไปคิดว่าเราทำดีแล้วมีอานิสงส์มากกว่าชีวิตฆราวาสเป็นแสนเท่า เผลอชั่วเมื่อไรก็มีโทษมากกว่าฆราวาสเป็นแสนเท่าเหมือนกัน..! ดังนั้น..การบวชพระไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่เอาจริง

    สำหรับวันนี้มีญาติโยมท่านหนึ่งส่งภาพพระที่ท่านบิณฑบาต แล้วเอาข้าวปลาอาหารไปไล่แจกโยมตามบ้าน ถามว่าทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ ? กระผม/อาตมภาพตอบไปว่า "ถ้าทำถูกก็ได้ แต่ถ้าทำผิดก็จะซวยมาก..!" เพราะว่าสิ่งที่ได้รับการถวายมาจากญาติโยม ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหารที่บิณฑบาตก็ดี สิ่งของต่าง ๆ ที่โยมมาถวายที่วัดก็ตาม พระพุทธเจ้าอนุญาตพระให้กับพ่อแม่เท่านั้น และใช้คำว่า "ให้พอสมควรที่จะอยู่ได้" เท่านั้น ไม่ใช่บางท่านไปสร้างบ้านให้พ่อแม่ราคาสี่ห้าสิบล้าน ซื้อรถให้พ่อกับแม่คนละคัน..!

    อาหารบิณฑบาตของพระเลี้ยงได้เฉพาะพ่อแม่เท่านั้น ถ้าจะเลี้ยงคนอื่น มีพระเถระรูปหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ มีลูกศิษย์ที่ต้องเรียนหนังสืออยู่ ๒ คน เมื่อบิณฑบาตกลับมาก็ใกล้เวลาเข้าโรงเรียนแล้ว ถ้ารอพระฉันเสร็จแล้วเด็กค่อยกินก็จะไม่ทัน พระเถระรูปนั้นให้เด็กประเคนข้าวปลาอาหารทั้งหมด แล้วท่านก็จัดใส่ถ้วยใส่จาน ตนเองตักไปอย่างละช้อน แล้วยกที่เหลือให้เด็ก ถ้าอย่างนั้นถือว่าเป็นของเหลือเดนแล้ว เด็กกินได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,539
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,537
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ไม่ใช่ว่าบิณฑบาตมาได้ก็ไปไล่แจกชาวบ้านเขา ถ้าลักษณะอย่างนั้น ถือว่าเป็นการประจบคฤหัสถ์หวังประโยชน์ มีโทษสาหัส เพราะว่าทำศรัทธาไทยให้ตก คนที่เขาถวายมา เขาหวังว่าพระจะเอาไปใช้จะเอาไปฉัน ส่วนญาติโยมที่รับมาจะทำอย่างไร ? ถ้าจะให้ปลอดภัยก็คืออย่ารับ ถ้ารับแล้วก็คืนไป

    ลักษณะประจบญาติโยมแบบนี้ กระผม/อาตมภาพเห็นมาเยอะมาก คือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น แต่ที่ทำเหมือนอย่างกับผูกใจญาติโยมเอาไว้ให้ศรัทธาตัวเอง เนื่องจากว่าได้ของอยู่ทุกวัน ถือว่าเป็นการหาความซวยใส่ตัวโดยใช่เหตุ เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไม่ค่อยที่จะบอกจะกล่าวกัน ญาติโยมบางส่วนก็ไม่รู้ ก็ยิ่งหนักกันเข้าไปใหญ่ จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องสังวรระวังเอาไว้

    กระผม/อาตมภาพเองตอนช่วงที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อความสะดวก เพราะว่าตัวเองมาบวช ไม่ได้เลี้ยงดูพ่อแม่ รอจนกระทั่งตัวเองเป็นเจ้าอาวาสแล้วถึงขอมติคณะสงฆ์ ว่าขอเอาเงินส่วนตัวมอบให้กับแม่เป็นค่าเลี้ยงดู คราวนี้ก็เลยขอให้คณะสงฆ์ช่วยกันพิจารณาว่า คำว่าพอสมควรนั้นคือประมาณเท่าไร ?

    เมื่อพระพุทธเจ้าอนุญาตให้สงเคราะห์พ่อแม่ได้ตามสมควร ก็มาพิจารณาดูว่า ถ้ามอบเป็นเงินไปให้ สักเท่าไรท่านถึงจะอยู่ได้ หลายคนหลายหัวช่วยกันคิด ในที่สุด สรุปว่า ๒๐๐ บาทต่อวันน่าจะอยู่ได้โดยที่ไม่ลำบากมากนัก กระผม/อาตมภาพก็เลยเอาเงินส่วนตัวมอบให้กับแม่เดือนละ ๖,๐๐๐ บาท

    นี่ขนาดเงินส่วนตัวยังต้องขอมติคณะสงฆ์ก่อน เพื่อไม่ให้เป็นโทษ แล้วพวกที่เอาของสงฆ์ไปไล่แจกญาติโยม ควรจะเป็นของที่เหลือแล้ว ไม่ใช่บิณฑบาตมาก็ไปไล่แจกเขาแบบนั้น โอกาสที่จะเกิดโทษมีมากกว่าหลายเท่า เราเองก็ประทุษร้ายตระกูลด้วยการประจบคฤหัสถ์ ถือว่าไม่เอื้อเฟื้อพระวินัย โดนอาบัติอยู่ทุกวัน

    เมื่อได้ยินแล้วก็กำหนดจดจำเอาไว้ด้วย ถึงเวลาเห็นใครทำก็อย่าไปคัดค้านเขา นั่นเป็นหน้าที่ครูบาอาจารย์ที่จะบอกกล่าว ไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่เราเองทำให้ถูกก็แล้วกัน

    สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...