วิชามหาสะท้อน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    15EDFFAF-2B9C-43ED-B4F5-5285DE61475D.jpeg

    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔

    วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เมื่อวานนี้ช่วงเช้า ผมทำการไหว้ครูประจำปี แล้วก็ปลุกเสกวัตถุมงคล ต้องบอกว่าเป็น "รุ่นมหาสะท้อน"

    การไหว้ครูประจำปีตามสายครูบาอาจารย์ ตั้งแต่ยุคหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เป็นต้นมา โดยปกติแล้วใช้วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนไหนก็ได้ แต่ถ้าหากว่าตรงกับเดือน ๕ ก็ยิ่งดี แต่ถ้าหากว่าวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำไม่สะดวก ท่านให้ไหว้ครูในวันวิสาขบูชา ถ้าวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำและวันวิสาขบูชาไม่สะดวก ท่านให้ไหว้ครูในวันมาฆบูชา ใช้ได้เพียง ๓ วันนี้เท่านั้น

    ผมเคยบอกกับทุกท่านว่า วิชาการที่ผมศึกษามา ก็ตำราเดียวกันกับที่พวกท่านศึกษามา แล้วทำไมผมทำแล้วได้ผลมากกว่าคนอื่น ? ก็เพราะส่วนใหญ่แล้ว เมื่อผมจะศึกษาอะไร ผมมักจะหาหลักการและเหตุผลว่า ทำไมโบราณาจารย์ถึงได้บัญญัติวิชานั้น ๆ ขึ้นมา ? ถ้าเข้าใจถึงหลักการและเหตุผลแล้ว เราก็สามารถที่จะทำได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของวิชานั้น ๆ

    คราวนี้วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำของปีนี้ คาดว่าการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ก็ยังคงมีอยู่ ไม่สะดวกที่จะจัดพิธีกรรม เพราะว่าบรรดาญาติโยมคงจะมากันมากอย่างทุกปี ในเมื่อมีเครื่องบวงสรวงครบสมบูรณ์ ผมก็เลยไหว้ครูไปเสียตั้งแต่เมื่อวาน แล้วก็ต่อด้วยการพุทธาภิเษก ซึ่งพิธีนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขอ "พระ" ให้ เพราะว่าผมโดนห้ามทำในสิ่งที่เป็นมหาสะท้อนไป เนื่องจากว่า "พวกคุณ" นั่นแหละเอาไปใช้ผิด ทำให้คนตายติด ๆ กันถึง ๒ ศพ..!

    โดยเฉพาะรายล่าสุด ถ้าหากว่าใครรู้เข้านี่เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศเลย ผมก็เลยโดนห้ามทำตะกรุดมหาสะท้อนมาหลายปี มาปีนี้ที่ท่านอนุญาตให้ เมื่อญาติโยมรับวัตถุมงคลไปแล้ว ผมก็เกรงว่าจะไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง แล้วจะเอาไปใช้ผิดกันอีก

    วิชามหาสะท้อนเกิดจากธรรมชาติก็คือกฎของกรรม ที่มีพุทธภาษิตว่า ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ ผู้ที่ทำความดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ที่ทำความชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว

    เพียงแต่ว่ากำลังใจของเรานั้น ต้องไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับทั้งความดีและความชั่วนั้น ปล่อยให้สิ่งที่เขากระทำสนองตอบเขาเอง ถ้ากำลังใจของเราทำตรงนี้ได้ วัตถุมงคลที่ท่านรับไปจะมีอานุภาพสูงสุด เหมือนกับว่าถ้าวัตถุมงคลเป็นวัตถุแผ่รังสีได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านทั้งหลายสามารถเปิดช่องให้รังสีนั้นแผ่กระจายได้เท่าไร ถ้ามีความเข้าใจอย่างแท้จริง เท่ากับว่าเราเปิดรอบด้าน ๓๖๐ องศา ไม่มีบนล่าง เหนือใต้ ออกตก ซ้ายขวา หน้าหลัง อานุภาพก็จะเกิดขึ้นมากเป็นพิเศษ

    แบบเดียวกับตอนบิณฑบาต โดยปกติผมก็ภาวนาจับภาพพระ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านแนะนำว่า เมื่อรับบิณฑบาตให้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ผลบุญที่ท่านทั้งหลายได้ใส่บาตรต่อพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาครั้งนี้ ท่านปรารถนาสิ่งใด ขอให้สิ่งนั้นสำเร็จด้วยพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ

    ผมเป็นคนขี้เกียจครับ แล้วก็มักจะดัดแปลงวิธีการของครูบาอาจารย์ไปตามใจชอบของผม ในเมื่อศึกษาวิชาการมาแล้ว ผมก็ใช้วิธีนึกถึงภาพพระ ขยายใหญ่ครอบคนทำบุญไปด้วย เขาต้องการอะไรก็แล้วแต่พระท่านจะสงเคราะห์ คือตัดตัวเองออกมาจากผลได้ผลเสียตรงนั้นเลย ก็แปลว่าปล่อยให้กฎของกรรมทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่

    คราวนี้ตรงจุดนี้ ท่านต้องเข้าใจนะครับว่ามีเราไปเสริมอยู่ตรงนั้น ในเมื่อเราไปเสริมอยู่ตรงนั้น กำลังใจของเราที่เข้าไปเสริมตรงนั้นแหละ จะส่งผลให้กับผู้อื่น เหมือนกับว่าคนอื่นถ้าหากว่ามีเงินไม่พอที่จะซื้อของอะไร แล้วเราให้เขายืมเพิ่มขึ้น ผลก็จะเกิดขึ้นเร็วมาก

    คราวนี้วัตถุมงคลที่ท่านทั้งหลายจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จองค์ปฐมมหาสะท้อนเนื้อเงินชนวนก็ดี หลวงพ่อสุคโตที่บรรจุเม็ดเงินมหาสะท้อนก็ดี หรือว่ามีดลูกพราหมณ์พรหมพิทักษ์ก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านตั้งใจที่จะให้ส่งผลในด้านดีด้านชั่วกับคนอื่น แสดงว่าวางกำลังใจผิด อานุภาพของวัตถุมงคลก็จะมีน้อย

    แต่หากท่านมอบความไว้วางใจให้กับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใครทำอะไรก็แล้วแต่เขา เราวางกำลังใจเป็นกลาง มีอุเบกขา ไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย แล้วแต่บารมีพระที่ท่านสงเคราะห์ว่าจะเป็นอย่างไร ก็จะเป็นหน้าที่ของกฎของกรรมเอง เหมือนกับว่าเราเปิดวัตถุมงคลนั้นรอบด้าน ๓๖๐ องศา เป็นรูปทรงกลม พลังงานสามารถออกมาได้ทุกทิศทุกทาง อานุภาพก็จะมากเป็นพิเศษ

    เรื่องนี้ที่ต้องมากล่าว เพราะผมเกรงว่าเมื่อคนรับไปแล้วจะเอาไปใช้ผิดอีก นอกจากจะมีอานุภาพน้อยแล้ว ก็ยังกลายเป็นการทำร้ายคนอื่น วิชามหาสะท้อนนี้ คนทำดีกับเรา ก็ได้รับผลดีตอบ คนทำชั่วกับเรา ก็ได้รับผลชั่วตอบ เป็นตัวเขาทำตัวเขาเอง ไม่ใช่เราตั้งจิตไปทำร้ายเขา ถ้าลักษณะอย่างนั้น กำลังใจของเราก็เศร้าหมอง เพราะว่าประกอบไปด้วยวิหิงสาวิตก มีความคิดอาฆาตพยาบาทคนอื่น ตายตอนนั้นมีหวังลงอบายภูมิอย่างแน่นอน..!

    ดังนั้น...สิ่งที่ท่านทั้งหลายพยายามที่จะศึกษา ถ้าหากว่าปัญญาไม่ถึง ให้ทำอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก คือครูบาอาจารย์บอกอย่างไร เราทำแค่นั้น ทำแบบคนโง่ แต่ถ้าหากว่าปัญญาถึง หาเหตุหาผลอย่างผมแล้ว เราก็จะสามารถทำได้ดีกว่าคนอื่น แต่อาจจะเสียเวลาตอนที่ไปนั่งหาเหตุ เพราะว่าถ้าปัญญาเราไม่พอ การประมวลผลจะช้า อาจจะเสียเวลานานมาก

    ผมเองตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่า เมื่อบวชเข้ามาหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งฉายาว่า สุธมฺมปญฺโญ แปลให้เสร็จสรรพว่า เป็นผู้มีปัญญาในการปฏิบัติธรรมดีมาก แล้วท่านยืนยันว่า รุ่นนี้ "พระ" ท่านบอกว่าตั้งฉายาให้ตรงทุกคน ใครมีความประพฤติ กาย วาจา ใจ อย่างไร ตั้งตรงตามนั้นหมด ผมก็ไม่เข้าใจว่าผมมีปัญญาตรงไหน ?

    พอมาถึงตอนนี้ ผมเริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่าในสิ่งที่พวกท่านไม่คิด...ผมคิด ในสิ่งที่พวกท่านมองไม่เห็น ผมพยายามมองจนเห็น ในเมื่อเราเข้าใจตรงนี้ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราถึงระดับที่เพียงพอ สั่งสมสมาธิไปได้ระดับหนึ่ง จะก้าวหน้าเร็วมาก เพราะว่ามีเข้าใจอย่างแท้จริง

    ดังนั้น...ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านวางเอาไว้ด้วยความไว้วางใจใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง ทุกอณูรอบข้างของท่าน คือบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย ถ้าตั้งใจอาราธนาด้วยความเคารพจริง ๆ จะเสกอะไรก็ขลังหมด จะเป็นพระ เป็นชี เป็นฆราวาส ก็ทำได้หมด

    คุณอาจจะได้ยินว่า ในสมัยก่อนมีอาจารย์ฆราวาสชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง หรือแม้กระทั่งเสด็จในกรมหลวงชุมพร ก็เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ เข้าใจในเคล็ดลับของวิชาการต่าง ๆ เพราะว่ามองเห็นเหตุและผลในวิชานั้น ๆ

    แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้ว ถ้าเราไม่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ไม่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีต จะเสียเวลาในการปฏิบัติของเรา แต่ถ้าหากว่าท่านมีการสั่งสมมาแต่ในอดีต เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ดีมาก สามารถปรับเอาเข้ามากับแนวการปฏิบัติของเราได้ และโดยเฉพาะถ้าหากว่าสามารถวางกำลังใจเป็นสังขารุเปกขาญาณ ไม่ไปปรุงแต่งให้เป็น รัก โลภ โกรธ หลง กำลังใจระดับนั้น อะไรก็กระทบกระเทือนเราไม่ได้ แล้วคุณลองคิดดูว่า เรื่องของทางโลก ๆ จะมีอะไรมากระทบกระทั่งเราได้บ้าง ?

    ก็ขอฝากไว้เป็นข้อคิดว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ความจริงแล้วเหตุผลนั้นมีอยู่ และเป็นไปตามหลักกฎของกรรมที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราเชื่อกรรมจริง ๆ ขอบคุณมากครับ
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...