มีวัตถุมงคลสายพระป่ากรรมฐานให้บูชาราคาเบาๆ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Somchai 2510, 8 กันยายน 2019.

  1. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 752 รูปเหมือนลอยองค์รุ่น 1 หลวงปู่บัว สิริปุณโญ พระอรหันตืเจ้าวัดป่าหนองเเซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี หลวงปู่บัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นยุคกลาง องค์พระสร้างปี 2537 เนื้อนวะ มีตอกโคีตหน้าองค์พระ มาพร้อมกล่องเดิม พระรุ่นนี้ประธานปลุกเสกอฐิษฐานจิตโดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เเละพระอริยเจ้าสายหลวงปู่มั่นหลวยองค์ ใต้ก้นองค์รูปเหมือนจะบรรจุผงอังคารธาตุหลวงปู่อยู่ด้วยครับ ,มีพีะธาตุหลวงปู่บัวเเละเกศาธาตุหลวงปู่เสน ปัญญาธโร ผู้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่บัวเเละเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ********บูชาที่ 685 บาทฟรีส่งems
    หลวงปู่บัว สิริปุณโณ




    PLP%20bao%20siri.jpg
    หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ
    วัดป่าหนองแซง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
    “พระอริยเจ้าผู้บรรลุโสดาปันน์ตั้งแต่ยังเป็นคฤหัสถ์”

    พระเดชพระคุณหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ศิษย์กรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่สำคัญรูปหนึ่ง ซึ่งได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในวัยชรา ท่านได้บวชเป็นตาปะขางถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด และติดตามหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ออกธุดงค์ จนได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบันตั้งแต่ยังเป็นคฤหัสถ์ ท่านมีวิถีจิตมุ่งสู่ความหลุดพ้น ท่านพระอาจารย์มั่นได้กล่าวทำนายไว้ว่า “ในกาลข้างหน้า ถึงเวลาบารมีสุกงอมเต็มที่ จะมีคนมาโปรด”...ต่อมาท่านได้รับอุยาบธรรมชั้นสูงจากหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ที่วัดป่าแก้วชุมพล อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ตามคำทำนายของท่านพระอาจารย์มั่น

    หลวงตามหาบัวฯ ท่านแนะวิธีปฏิบัติให้ในตอนเย็น พอรุ่งเช้า ท่านก็จบพรหมจรรย์ เป็นพระอรหันต์คนหนึ่งในพระพุทธศาสนา
    ท่านเล่าว่า “อวิชชาขาดมันรุนแรงถึงขั้นกายไหวประหนึ่งว่าคานกุฏิที่อยู่ได้ขาดไปด้วย อัศจรรย์พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์และอัศจรรย์อุบายธรรมที่หลวงตาแนะนำพร่ำสอน คืนนั้นทั้งคืนจิตตื่นอยู่ไม่หลับไม่นอน เสวยวิมุตติสุขหาสุขอื่นยิ่งกว่าไม่มี”

    ...หลวงปู่บัวเป็นผู้แก้จิตและแนะนำธรรมขั้นสุดท้ายให้แก่หลวงปู่ศรี มหาวีโร พระอริยเจ้าแห่งวัดป่ากุง จังหวัดร้อยเอ็ด หลวงปู่ศรีจึงเคารพรักท่านเป็นอย่างมาก

    ท่านสามารถระลึกชาติย้อนหลังได้หลายชาติ ท่านเล่าว่า เคยเกิดอยู่ที่บริเวณวัดป่าหนองแซงนี้เป็นเวลานานถึง ๔ ชาติ และชาตินี้เป็นชาติที่ ๕ อันเป็นชาติสุดท้ายในการวนเวียนในสังสารวัฏ

    ท่านเคยเกิดเป็นหมูป่า และชาติต่อมาเป็นควายป่า ถูกนายพรายผู้มีใจบาปยิงตาย ก่อนจะตายได้รับทุกข์ทรมานเป็นที่ยิ่ง นายพรายผู้มีใจบาปนี้เที่ยวล่าและฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมาก ไม่เคยก่อสร้างบุญกุศล เมื่อเขาตามไปได้เป็นเปรต เสวยผลกรรมอันเผ็ดร้อน อยู่บริเวณวัดป่าหนองแซงแห่งนี้

    ท่านไม่ได้ร่ำเรียนเขียนอ่าน แต่ธรรมภายในของท่านลึกซึ้ง ท่านภาวนาพุทโธตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส บวชเป็นผ้าขาว ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัดเป็นเวลา ๓ ปี ติดตามหลวงปู่อ่อน ญาณสิริไปธุดงค์ตามป่าตามเขา ผจญกับสัตว์ป่าและอันตรายต่างๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย

    ในระหว่างเป็นผ้าขาวได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์กรรมฐานหลายรูป เช่น พระอาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ, หลวงปู่สิงห์ ขนฺตฺยาคโม, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่จันทร์ เขมปตฺโต, หลวงปู่อ่อนสา สุขกาดร, หลวงปู่คำดี ปภาโส, หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน

    ท่านเป็นพระกรรมฐานที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ไม่ยอมท้อถอยให้แก่กิเลสมารแต่ประการใด ท่านสละชีวิตเพื่อธรรมอย่างแท้จริงถึงแม้อยู่ในวัยชราแต่ความเพียรพยายามเหมือนพระหนุ่มๆ ท่านมีความพึงพอใจต่อการรักษาสัจจะ และนับเป็นยอดปรารถนาของท่านเลยทีเดียวหากศิษย์คนใดมีจิตใจแน่วแน่ทีจะรักษาสัจวาจาแล้วจะเป็นที่นิยมและชอบใจของท่านเป็นยิ่งนัก

    ท่านเกิดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๑ ที่บ้านเขืองใหญ่ ตำบลหมูม่น อำเภอธวัชบุรี (โป่งลิง) จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นบุตรของ นายลาด และ นางดา น้อยก้อม มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๙ คน


    ชีวิตฆราวาสท่านมีอาชีพเป็นช่างประจำหมู่บ้านและเก่งในวิชาอาคมไสยศาสตร์ประกอบอาชีพเป็นหมอผี ปราบผีสางนางไพร เป็นที่นับถือของคนถิ่นแถวนั้น ท่านยึดมั่นในคุณธรรม ๒ ประการ คือ การมรสัจจะ และการรักษาศีลอย่างเคร่งครัด

    ท่านอุปสมบทในพุทธศักราช ๒๔๘๒ อายุ ๕๓ ปี ณ วัดบึงพระลานชัย อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เวลา ๑๕.๑๘ น. โดยมี ท่านพระครูคุณสารพินิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ปลัดแก้ว เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    หลังจากพิธีบวชแล้ว ท่านได้มาจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์เพ็ง พุทฺธธมฺโม ซึ่งเป็นพระลูกชายที่วัดป่าศรีไพรวัน จังหวัดร้อยเอ็ด


    ในกลางพรรษาแรกนั้นเอง ท่านมีอาการเจ็บในรูหูเป็นอย่างมาก ได้นั่งสมาธิพิจารณาทุกขเวทนา ใต้ต้นลำดวนในบริเวณวัด ติดต่อกัน ๓ วัน ๓ คืน จึงรู้แจ้งในอริยสัจจ์ จึงเอาชนะความเจ็บปวดได้

    จากนั้นได้เข้าไปถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดบ้านหนองผือ อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร เมื่อไปถึงท่านพระอาจารย์มั่นทักถามทันทีว่า

    “...นั่งอยู่ใต้ต้นลำดวนอยู่ ๓ วัน ๓ คืนนั้นท่านได้พิจารณาอะไรบ้าง...”

    ท่านถึงกับตกใจที่ท่านพระอาจารย์มั่น สามารถรู้ได้เช่นนั้น จึงกราบเรียนท่านว่า “...กำหนดดูปฏิสนธิตั้งแต่เริ่มแรก พิจารณาการเกิดตั้งแต่เข้าไปอยู่ในครรภ์มารดา ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน”

    จากนั้นท่านได้เดินธุดงค์ไปทางจังหวัดมหาสารคาม ได้ถวายตัวเป็นศิษย์เพื่อปฏิบัติพระกรรมฐานกับพระอาจารย์คูณ ธมฺมุตฺตโม ที่วัดป่าพูนไพบูลย์ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม

    ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๕ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ กับพระอาจารย์ศรี มหาวีโร รับนิมนต์จาก ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี เพื่อสร้างวัดกรรมฐานที่บ้านหนองแซง จังหวัดอุดรธานี


    อันว่า...วัดป่าหนองแซงนี้เดิมท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์มาจับจองไว้เพื่อสร้างเป็นวัดกรรมฐาน เดิมมีเนื้อที่ประมาณ ๕๐๐ ไร่ ห่างไกลจากบ้านผู้คน


    ป่าแห่งนี้ เป็นป่าโคก(ที่ดอน) มีต้นไม้เก้า ไม้ติ้ว ตูมกา เต็ง เป็นจำนวนมาก สัตว์ป่ายังชุกชุมมากโดยเฉพาะ เก้ง กวาง ลิง ค่าง บ่าง ชะนี เช้าสายบ่ายเย็นมีเสียงสัตว์ร้องสนั่นไพร

    สถานที่แห่งนี้เป็นที่เที่ยวผ่านไปมาของพระอาจารย์กรรมฐานเสมอ เช่น พรอาจารย์ชอบ ฐานสโม พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร พระอาจารย์คำดี ปภาโส ฯลฯ

    ท่านได้ละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานในปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ สิริอายุ ๘๗ ปี ๓๖ พรรษา

    LP%20bao%20siri.jpg
    ภาพพระธาตุหลวงปู่บัว สิริปุณโณ SAM_9149.JPG SAM_9150.JPG SAM_9151.JPG SAM_9152.JPG

    LP%20boa-2.jpg

    LP%20boa-3.jpg
    พระธาตุหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ส่วนอัฐิกำลังแปรเป็นพระธาตุ

    Lp%20boa-4.jpg

    Lp%20boa-5.jpg
    พระธาตุหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ส่วนที่เป็นองค์ใสเป็นแก้ว SAM_8198.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2021
  2. sunmk

    sunmk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    1,137
    ค่าพลัง:
    +868
    จอง752และพระหยกลต.แตงอ่อน
     
  3. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 753
    รูปหล่อเหมือนลอยองค์หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ พระอรหันต์เจ้าวัดผาเทพนิมิต อ.นิคมนํ้าอูน จ.สกลนคร หลวงปู่บุญพินเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถํ้ากลองเพล,หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นต้น องค์พระสร้างปี 2554 เนื้อโลหะผสมเเร่เหล็กไหลเกาะล้าน มาพร้อมกล่องเดิม มีตอกโค๊ต 3 โค๊ต โค๊ตตัวเลข 1310 เเละยันต์พระสิวลี เเละคำว่า ไตรมาส ใต้องค์พระ
    >>>>สืบเนื่องจากมีผู้ใหญ่ในศาลยุติธรรมได้ไปขอสร้างพระเพื่อเป็นที่ระลึกในงานปฏิญาณตนของผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานภาคสอง แต่อาจจะเป็นเพราะด้วยเหตุอย่างไรไม่ทราบหรือว่าท่านอาจจะมีเหตุให้ทราบว่าก่อนหลวงปู่ผ่านท่านจะมรณภาพท่านได้ฝากเรื่องนี้ไปกับหลวงปู่บุญหนาท่านจึงนิ่งเสียไม่ได้ปรารภอะไรและต่อมาพระที่จะสร้างเป็นที่ระลึกดังกล่าวก็ได้สร้างเป็นรูปหล่อของหลวงปู่บุญหนา หลังจากนั้นต่อมาท่านจึงได้พูดกับทางผู้ใหญ่ที่จะสร้างพระว่าถ้าได้แร่เหล็กไหลเกาะล้านมาเป็นมวลสารผสมคงจะดีถ้าอยากจะสร้างให้นำแร่ดังกล่าวมาผสม
    จึงเป็นที่มาของการสร้างพระหล่อรูปเหมือนรุ่นนี้
    แร่เกาะล้านเป็นแร่โครตรเหล็กไหลงอกเมื่ออยู่ในถ้ำจะแข็งมากแต่เมื่อถูกนำออกมาจะสามารถแกะเป็นรูปต่างๆได้และงอกได้บางทีงอกจนกรอบที่หุ้มไว้แตก
    เมื่อผสมแร่เข้าเป็นมวลสารจะทำให้ผิวของพระดำเป็นเงางามสวยมากส่วนพุทธคุณสิ่งสูง
    เพราะหลวงปู่ท่านเมตตาอธิษฐานจิตให้ถึง 1 ไตรมาส
    จำนวนการสร้างไม่มากสร้างเท่าไหร่เอากลับมาหมดเลยเพราะมีการจองหมดตั้งแต่ยังสร้างไม่เสร็จ
    หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ วัดผาเทพนิมิต จังหวัดสกลนคร

    8%8D%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%82%E0%B8%8D2.jpg

    หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ วัดผาเทพนิมิต จังหวัดสกลนคร




      • หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ วัดผาเทพนิมิต จังหวัดสกลนคร – “หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ” หรือ “พระครูสุวิมลบุญญากร” พระวิปัสสนาจารย์ชื่อดังแห่งวัดผาเทพนิมิต ต.นิคมน้ำอูน อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร และประธานสงฆ์ที่พักสงฆ์ดอยเทพนิมิต ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต
    ปัจจุบัน สิริอายุ 88 ปี พรรษา 66
    มีนามเดิมว่า บุญพิน เจริญชัย ถือกำเนิดเมื่อวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 27 เม.ย.2476 ที่บ้านนาบ่อ หมู่ที่ 6 ต.ปลาโหล อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร

    ช่วงวัยเยาว์เรียนหนังสือจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนบ้านนาบ่อแล้วออกมาช่วยครอบครัวทำนา

    ต่อมาได้ย้ายไปอยู่กับพี่สาวที่บ้าน นาทม จังหวัดนครพนม ช่วยพี่สาวค้าขายและเป็นช่างเย็บผ้า พอถึงฤดูกาลทำนาก็กลับไปทำนา พอถึงหน้าแล้งก็ต้มเกลือใส่เรือกระแชงไปขาย หมดหน้าเกลือก็รับจ้างขนข้าวล่องเรือตามแม่น้ำโขงไปขายในตลาดนครพนม

    ผ่านไป 5 ปี เกิดความเบื่อหน่ายในการค้าขาย ในช่วงนั้นมีศรัทธาอยากบวชอย่างแรงกล้า

    อายุครบ 23 ปี ตัดสินใจเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2498 ที่วัดป่าอิสระธรรม บ้านวาใหญ่ ต.วาใหญ่ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร โดยมี หลวงปู่สีลา อิสสโร วัดป่าอิสระธรรม เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงปู่อุ่น อุตฺตโม วัดอุดมรัตนาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป วัดปทีปปุญญาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ครั้นอุปสมบทแล้ว ได้อยู่กับ หลวงปู่สีลา พระอุปัชฌาย์ ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนา เริ่มแรกหลวงปู่สีลาให้ฝึกหัดทำสมาธิด้วยคำบริกรรมพุทโธ รวมทั้งได้ศึกษาพระปริยัติธรรม สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ ที่สำนักเรียนวัดสุทธิมงคล อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร


    B8%8D%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%82%E0%B8%8D.jpg
    หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ

    เมื่อสอบนักธรรมเสร็จ จึงได้กราบลากลับไปวัดป่าอิสระธรรม ในช่วงนั้น หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ กลับจากงานครบรอบ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าสุทธาวาส ได้มาพักที่วัดป่าอิสระธรรม

    ต่อมาพระอาจารย์บุญพินได้กราบลาหลวงปู่สีลาเพื่อออกธุดงควัตรกับหลวงปู่อ่อน ท่านได้จัดเตรียมอัฐบริขารเพื่อออกธุดงค์ จากนั้นได้ธุดงค์ไปที่ภูวัวพร้อมกับ หลวงปู่อ่อน, หลวงปู่ผ่าน และสามเณร

    จนถึงวันมาฆบูชา หลวงปู่ผ่านได้กราบลาหลวงปู่อ่อนกลับวัด จึงเหลือแต่เพียงหลวงปู่บุญพินเท่านั้น

    ผ่านไปได้ระยะหนึ่ง หลวงปู่บุญพิน ได้อาพาธเป็นไข้ป่ามาลาเรียอย่างแรง วันหนึ่งขณะนอนเป็นไข้บนแคร่ หลวงปู่อ่อนเดินเข้ามาหาได้บอกให้หลวงปู่บุญพินลุกขึ้นนั่ง หลวงปู่อ่อนได้เทศนาให้ฟัง เสร็จแล้วให้สามเณรเอามุ้งกลดลงและให้นั่งภาวนา ขณะที่นั่งภาวนากำหนดจิตต่อสู้กับเวทนาจนจิตสงบเป็นสมาธิ พอจิตถอนจากสมาธิ ปรากฏว่าอาการไข้ได้หายเป็นปลิดทิ้ง

    หลังจากนั้น หลวงปู่อ่อน ได้พาหลวงปู่บุญพินออกธุดงควัตรไปจนถึงอำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ช่วงนั้นเป็นเดือน 6 ใกล้เทศกาลเข้าพรรษา หลวงปู่บุญพิน จึงลาญาติโยมเพื่อหาที่จำพรรษา ญาติโยมจึงพาหลวงปู่มาส่งขึ้นเรือที่ปากน้ำไชยบุรีไป จังหวัดนครพนม เพื่อขึ้นรถไปหา หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์

    ออกธุดงค์ไปยังที่ต่างๆ มากมายหลายแห่ง และในปี พ.ศ.2517 หลังจากที่จำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ที่วัดภูทอก ได้ระยะหนึ่งได้ลาไปเยี่ยมพระอาจารย์ศรีนวลที่วัดรัตนนิมิต จ.อุดรธานี และจำพรรษาที่นี่

    พอดีมีญาติโยมได้มานิมนต์ไปสร้างวัดที่ป่าช้าบ้านดงเชียงเครือ อ.วาริชภูมิ บ้านเกิด และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลวาริชภูมิ

    พ.ศ.2534 ได้ไปจัดตั้งสำนักสงฆ์ที่ผาเทพนิมิตเขาภูพาน และต่อมาได้มีการยกฐานะเป็นวัดผาเทพนิมิต

    ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2541 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นโท ในราชทินนามที่ พระครูสุวิมลบุญญากร พ.ศ.2545 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

    >>>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ****** หมายเหตุ>>>>>>>หลวงปู่บุญพินวัตถุมงคลขององค์ท่านเท่าผมไปคลุกคลีกับหลวงปู่(ไปนวดประจำครับ) วัตถุมงคลหลวงปู่จะเน้นทางเมตตา โชคลาภครับ เพราะหลวงปู่จะสร้างเกี่ยวกับพระสิวลีเถระครับ>>>>>>>>บูชาที่ 355 บาทฟรีส่งems sam_0656-jpg-jpg-jpg-jpg-jpg-jpg-jpg.jpg sam_8497-jpg-jpg-jpg.jpg sam_8498-jpg-jpg-jpg.jpg sam_8500-jpg-jpg-jpg.jpg sam_8516-jpg-jpg.jpg sam_7605-jpg-jpg-jpg.jpg

     
  4. ธรรมศิล

    ธรรมศิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +800
    แจ้งโอนเงินรายการ 737 และ 738
    1061881.jpg
     
  5. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 754
    หรียญรุ่น 2 หลวงปู่ไม อินทสิริ พระอรหันต์เจ้าวัดป่าหนองช้างคาว อ.กู่เเก้ว จ.อุดรธานี หลวงปู่ไมชาติปัจจุบันท่านเป็นศิษย์หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ พระอรหันต์ศิษย์รุ่นใหญ่หลวงปู่มั่น เเห่งวัดป่านิโครธาราม อดีตชาติหลวงปู่ไมท่านเป็นศิษย์พระอุปคุตเถระ(ในสมัยนี้หลวงปู่ไมบวชเป็นเณร ได้ติดตามธุดงค์พระอาจารย์เเละเป็นไข้ป่าตายก่อนในระหว่างธุดงค์) พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ครั้งพุทธกาล พ. ศ. 200 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช หลวงปู่ไมเป็นพระอรหันต์ที่มีพลังจิตสูงมากองค์หนึ่งในสายหลวงปู่มั่น ผีเเค่ได้ยินชื่อหลวงปู่ก็กลัวเเล้วครับ เหรียญสร้างปี 2550 สร้างเนื่องหลวงปู่อายุครบ 60 ปี เนื้อทองเเดงรมนํ้าตาล(รุ่นนี้พระน้องชายผมบอกว่าเขาเอาไปทดลองยิงเเล้ว ปรากฏว่าปืนยิงไม่ออกเหมือนรุ่น 1 ) มาพร้อมพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ************บูชาที่ 405 บาทฟรีส่งems ปาฏิหาริย์แห่งธรรม...ของ.... ท่านพระอาจารย์ไม อินฺทสิริ ผู้มากไปด้วยคุณวิเศษ

    สมัยนั้นไม่มีใครรู้จักองค์ท่าน ไม่โด่งดังเหมือนสมัยนี้
    มองๆเผินเหมือนพระธรรมดาเพียงเท่านั้น
    ถ้าเทียบกับครูบาอาจารย์สมัยนั้น ท่านเทียบไม่ติดเลย
    เพราะคุณวิเศษขององค์ท่านยังไม่เป็นที่รู้จักเหมือนสมัยนี้
    และทางพรรษาถือ ว่าท่านห่างกับครุบาอาจารย์สมัยนั้นมาก
    เช่น หลวงปู่คำพอง หลวงปู่จันทร์โสม หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่หลอด หลวงปู่ท่อน หลวงปู่ต้น
    ที่ผู้เขียนรู้จักก็เพราะ หลวงปู่บุญมา บอกผู้เขียนว่า
    ให้ไปกราบ ท่านพระอาจารย์ไม เพราะ ท่านมีคุณวิเศษมาก
    ตอนที่ไปกราบท่านครั้งแรกดูเหมือนท่านจะดุกับผู้เขียนเป็นพิเศษ
    ในเรื่องข้อวัตร การเข้าหาครูบาอาจารย์
    แต่เหมือนไปกราบท่านบ่อยๆทำให้ท่านคุ้นเคยและสนิทกับผู้เขียนมากเป็นพิเศษ
    ผู้เขียนเคยนวดถวายท่านจนถึง เทียงคืน และระหว่างที่นวดท่านก็เมตตา
    เล่าประวัติและภูมิธรรมให้ฟัง มีสิ่งที่น่าตื้นเต้นหลายเรื่อง
    และยังมีอีกหลายเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง เวลาไปกราบ
    ผู้เขียนจะขอรวมรวบมาไว้ ณ. ที่นี้

    จุดแปรผันของชีวิตจากฆราวาสสู่พระภิกษุผู้มากไปด้วยฤทธิ์
    ท่านพระ อาจารย์ได้เล่าประวัติให้ฟังว่า
    สมัยเป็นฆราวาสท่านมีแฟนอยู่
    ทีนี้น้าชายหรือลุง(ผมจำไม่ค่อยได้ เนื่องจากฟังมาหลายปีแล้ว)
    อยากให้ท่านบวช ท่านก็ไม่อยากบวช
    ก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่อยๆจนน้าชายท่านบังคับ ท่านก็เลยบวชตามเรื่อง
    คิดว่า บวชแปบเดี่ยวเดี่ยวก็สึก บวชไปงั้น ๆ
    มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ท่านหนึ่งชื่อว่า หลวงปู่ศรี
    มาถามท่านพระอาจารย์ว่า ไมๆอยากได้ตาทิพย์ หรือเปล่า ?
    ท่านพระอาจารย์ก็ตอบไปว่า อยากได้ครับ
    หลวงปู่ท่านก็บอกว่า ให้ท่านมาภาวนา
    ปรากฏว่า ท่านพระอาจารย์ไมเล่าให้ฟังว่า
    นั่งภาวนาใหม่ๆมันไม่ง่ายอย่างที่คิด
    ท่านเหน็บชาจนไปถึงศีรษะ ทรมานมาก
    จนมีอยู่วันหนึ่งท่านเร่งความเพียรนั่งภาวนาจนจิตลง
    ทำให้ท่านได้ความสงบของใจและได้ตาทิพย์ตามที่หวัง
    ทีนี้ท่านเลิกคิดการสึก เลิกคิดเรื่องแฟน
    มุ่งแต่สนใจการปฏิบัติและเรื่องตาทิพย์ หูทิพย์
    ท่านพระอาจารย์ได้เล่าให้ฟังต่อว่า
    หลวงปู่ศรีนี่แหละเป็นคนสอนตาทิพย์ท่าน
    นับว่าเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์สำคัญของท่านองค์หนึ่ง
    โปรดติดตามตอนต่อไป ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขอโทษด้วย
    เนื่องจากเป็นสัญญาความจำไม่ได้ถอดเทป
    ขออภัยทุกท่านและขอขมาท่านพระอาจารย์ด้วย

    เรื่อง ตาทิพย์ หยั่งรู้วาระจิต และเรื่องเหนือธรรมดาของท่านนั้น
    ผมเองได้รับซีดีเทศน์ขององค์ท่าน มาฟัง
    เลยทำให้ได้รู้ เรื่ององค์ท่านมากขึ้น

    เรื่องนั่งภาวนาหมดคืน เรื่องไปหยั่งรู้เรื่องญาติโยมทั้งที่ท่านนั่งอยู่วัด
    เรื่องวัตถุเปรต และเรื่องอะไรๆอีกมากมาย....
    ท่านเทศน์นานมากครับ บางกัณฑ์ตั้ง 4 ชั่วโมง แต่ผมฟังไม่เบื่อเลย
    ท่านเทศน์ธรรมมะผสมกันไปกับเรื่องราวประวัติขององค์ท่าน
    จากนั้น ก็เลยกราบขออนุญาตองค์ท่าน ทำซีดีท่านแจกเพื่อนๆ
    องค์ท่านก็อนุญาต แจกจนตอนนี้ไม่เหลือกระทั่งต้นฉบับ เสียดาย
    ใครอยากรู้เรื่องมหัศจรรย์ เหนือวิสัยปุถุชนอย่างเราๆ
    แนะนำให้ลองไปฟังซีดีท่านดูครับ....

    มีโอกาสได้กราบเรียนปรึกษาท่าน เรื่องการปฏิบัติเล็กๆน้อยๆ บางครั้ง
    องค์ท่านก็เมตตาบอกว่า ต้องทำให้ได้แบบนี้ตลอด ถึงจะใช้ได้
    บางครั้ง องค์ท่านฟังแล้ว ก็หัวเราะ แล้วเมตตาบอกว่า
    เฮ้ย ไปดูแบบนั้นได้ยังไง ไปดูใหม่ แล้วก็เมตตาบอกวิธีให้ฟัง
    ไม่กี่เดือนก่อน องค์ท่านสอนเพื่อนผม ให้บริกรรมพุทโธ
    ท่านว่า ให้บริกรรมไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นมาร
    กราบองค์ท่าน ด้วยความเคารพ ด้วยเศียรเกล้า ครับ....

    ประวัติสามเณรไม อินทสิริ
    ท่านอยาก บวชตั้งแต่เรียนอยู่ประถมปีที่ 4 ขอพ่อๆไม่ให้
    พ่อขอให้ช่วยงานบ้าน ช่วยแม่เลี้ยงน้อง
    เพราะน้องยังเล็ก ต้องอาศัยท่านช่วยงานบ้าน ตักน้ำ ตำข้าว
    ท่านมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ชาย 6 หญิง 1
    คุณพ่อขอให้น้องๆโตเสียก่อนค่อยบวช

    ตอนอายุ ประมาณ 10-11 ปี ไปอยู่หนองบัวลำภู
    เช้านำควายไปเลี้ยงตามทุ่งนา ท่านชอบนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ “ใต้ต้นข้อ”
    ท่านชอบนั่งหลับตาเป็นนิสัย แต่ไม่ได้ภาวนา
    ท่านมักจะเห็นสวรรค์เป็นหอปราสาท
    และเห็นสักเทวราช (พระอินทร์) ใส่โจงกระเบน
    เหาะลงมาสอนท่านสวดมนต์คาถา จนท่านท่องจำได้
    จนอายุ 16-17 ปี ก็ยังเห็นท่านอยู่
    ท่านจะสอนธรรมะ คาถาป้องกันตัว อยู่ยงคงกระพัน คาถาเจ็บไข้ได้ป่วย
    เวลาท่านสักเทวราชจะกลับ ท่านจะสั่งว่า
    เวลามีเรื่องอะไรให้นึกถึงพ่อ ท่านเรียกตัวเองว่า พ่อ
    พระอาจารย์ท่านไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง นอกจากคุณพ่อ
    คุณพ่อท่านให้เขียนคาถาเอาไปท่อง
    เพราะเหตุนี้ เวลามีคนเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆน้อยๆ มาหาพระอาจารย์ไม
    ท่านเป่าให้ บอกหาย คนนั้นก็หาย

    อายุ 12-13 ปี ท่านทำงานบ้านทุกอย่างช่วยแม่
    ตำข้าว ตักน้ำ ทำอาหาร และ รับจ้างทุกอย่าง
    จนเก็บเงินซื้อควายได้ 2 ตัว ตอนอายุ 13 ปี
    ( เปรียบเทียบกับคนอายุ 60 สมัยนั้น บางคนยังซื้อควายไม่ได้เลย )
    ท่านเป็นคนที่ไม่กระตือรือร้นในการแต่งตัว ใส่เสื้อผ้าแบบไหนก็ได้
    ไม่ชอบเที่ยว ดูหนัง ร้องรำทำเพลง แต่รำกลอนเป็น
    เพราะพ่อสอนให้ พ่อเคยเป็นหมอลำ เรียก โจทย์แจ้
    ตอบปัญหาทางด้านประวัติศาสตร์ ธรรมะ ภาษาไทย บาลี มคธ
    พ่อสอนเก่งมาก พ่อสอนให้รำ
    เพราะว่าเป็นประวัติศาสตร์ คำสอนในทางศาสนา

    อายุ 14 ปี คุณพ่อเสีย ก่อนเสียพ่อป่วยอยู่เป็นปี
    วันนั้นเฝ้าพ่ออยู่คนเดียว ประมาณบ่าย 3 โมง
    พ่อสั่งว่าอีก 3 วัน พ่อจะตาย ให้เลี้ยงน้องให้โตก่อน แล้วบวชให้พ่อด้วย
    มีคำหนึ่งที่พ่อสั่งไว้ว่า ถ้าพ่อตายแล้วแม่คิดจะมีสามีใหม่
    อย่าไปห้ามแม่นะ แต่อย่าให้สามีใหม่มารังแกน้อง
    อยู่มาอีกปีเศษ มีคนมาชอบแม่จะขอแต่งงาน
    แม่ถามว่าจะให้แม่แต่งหรือไม่
    ก็ถามแม่ว่าจะแต่งทำไม
    แม่ว่าจะได้มาเลี้ยงน้อง ดูแลงานบ้าน

    พ่อเลี้ยงเป็นนักเลง เล่นการพนัน ชอบขโมยของมาเล่นการพนัน
    อยู่มาวันหนึ่ง น้องชายคนติดกัน กลับมาจากโรงเรียน
    แม่บอกให้ไปไล่ควายจากทุ่งนากลับเข้าบ้าน แต่น้องชายไม่รีบไป
    แม่ก็บ่น พ่อเลี้ยงเสริมว่าไม่เชื่อฟังพ่อแม่จะฆ่ามันตาย
    จับไม้ค้อนขว้างถูกส้นเท้าเป็นแผล น้องร้องไห้
    ตอนนั้นท่านอายุ 15 ปี เห็นพ่อเลี้ยงทำอย่างนั้นเสียใจมาก
    กลางคืนท่านฝนมีดยาว 15 ซ.ม. อยู่ 3 วัน 3 คืน
    คิดจะฆ่าพ่อเลี้ยง จะแทงตอนเขานอน
    แต่ก็คิดอีกว่า ฆ่าเขาแล้ว จะหนีอย่างไร
    เพราะตอนนั้นย้ายบ้านไปอยู่หนองบัวลำภู บ้านไกลจากบ้านเก่าที่ จ.อุดร
    ก็กลัวมีโทษ กลัวโดนจับ กลัวไม่ได้ดูน้อง
    ผ่านไป 2-3 วัน จนยับยั้งสติอารมณ์ไว้ได้
    เป็นจิตที่รักน้องมากที่สุดไม่อยากให้ใครมารังแก

    ต่อมาญาติพี่น้องทาง บ้านเก่าที่อุดร
    พากันไปรับมาที่บ้านเกิด บ้านเก่า ซื้อไร่ซื้อนาใหม่
    พ่อเลี้ยงก็ตามมาอีก ก็ยังเล่นการพนันเหมือนเดิม
    ช่วงนั้นเดือนมีนาคม ชาวอีสานแต่ละบ้านจะจัดงาน
    มีงานบุญ มีเทศน์ผะเหวต กลางคืนมีมหรสพ หมอลำ
    ตอนเช้าตื่นสาย แม่ปลุกว่าไม่ไปไร่หรือ
    เพราะปกติต้องไปขุดไร่ ไถไร่
    พวกเราตื่นสายประมาณโมงเศษๆ พอแม่บ่น
    พ่อเลี้ยงก็บ่น ทั้งๆที่พ่อเลี้ยงไม่เคยช่วยงานอะไรเลย
    พี่ชายคนที่ติดกัน ดึงปืน ท่านก็ชักมีด พี่ชายคนโตก็มาห้าม
    พ่อเลี้ยงก็หนีไปตั้งแต่บัดนั้น ไม่กลับมาอีก
    ชีวิตคนมีพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงก็เป็นแบบนี้แหละ

    อายุ 17 ปี ไปช่วยงานญาติพี่น้อง ลุง น้า บ้าง
    ปลูกอ้อย ข้าวโพด ถั่วลิสง ปลูกผักขาย ส่วนมากเป็นน้าของแม่
    ซึ่งท่านเรียกพ่อใหญ่ เพราะเขามีลูกเล็กช่วยงานยังไม่ได้
    สู่ร่มกาสาวพัสตร์
    อายุ 18 ย่าง 19 ปี ลุงอยากให้มาบวช
    เพราะที่วัดไม่มีพระเณรมาบวช อีกอย่างเห็นสาวๆมาคุยมาเล่นด้วย
    แต่พระอาจารย์มีจิตใจไม่คิดจะมีลูกเมีย
    ท่านชอบพูดเล่นกับหญิงสาวว่า ไม่คิดจะแต่งงาน
    แต่นิสัยจะรังเกียจผู้หญิงที่มาพูดให้ทางผู้ชาย
    แต่มีความคิดในใจว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีความรักจริง ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์
    แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์สุจริต บริสุทธิ์ต่อเรา เราจะไม่ยุ่งเด็ดขาด
    ผู้หญิงที่จะมาแต่งงานกับพระอาจารย์
    ถ้าไม่ได้แต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย
    จะไม่แตะต้องผู้หญิงคนนั้น ท่านมีความคิดเช่นนี้
    ก็เลยมีความมั่นใจตนเองว่าจะไม่ล่วงเกินผู้หญิงคนใดทั้งสิ้น
    แต่ลุงไม่เชื่อว่าจะมีคนคิดแบบพระอาจารย์
    ลุงขอร้องให้บวช กลัวจะมีเมียก่อน ลุงเคี่ยวเข็ญทุกวัน
    สุดท้ายจึงตกลงใจบวช ตกลงไปเข้านาค ก่อนเข้านาคสัญญากับลุงว่า
    ถ้าหลานไปบวช ออกพรรษาเมื่อไหร่ ก็สึกเมื่อนั้นอย่าห้าม
    ก็เลยไปเข้านาค 1 เดือน บรรพชาเป็นสามเณรไม
    เมื่อ 11 พฤษภาคม 2509 ที่ วัดศิริวัฒนา จ.อุดรธานี
    บวชเป็นเณรอยู่ 2 พรรษา ( 1 ปี 8 เดือน 19 วัน )
    ต่อมาปี 2511 อุปสมบทเป็นพระภิกษุ

    ระยะเวลาเป็นเณร อยู่อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ อาหารไม่ค่อยมี
    ไปตัดยอดหวาย หน่อไม้ ตอนเช้าไปทำอาหาร เช่น แกงขี้เหล็ก
    เลี้ยงถวายครูบาอาจารย์ พระอาจารย์ตอนเป็นเณร
    กิจวัตรประจำวัน ตักน้ำจากบ่อเป็นน้ำสรงครูบาอาจารย์
    ทุ่มหนึ่งทำวัตรเย็น 2 ทุ่ม เดินจงกรม 2 ทุ่มครึ่ง นั่งสมาธิ
    ท่านมีความตั้งใจปฏิบัติเข้มงวดกวดขัน บวชได้ 1 เดือน 20 วัน
    ก็รู้ธรรม เห็นธรรม สู้เป็นสู้ตาย ไม่หลับไม่นอนหลายวันหลายคืน
    ปฏิบัติจริงจัง ปฏิบัติเอาเป็นเอาตาย
    พอจิตเข้าถึงธรรมแล้ว จิตยึดมั่นอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ท่านปฏิบัติไม่ท้อถอย อดทนต่อสู้ งานวัดไม่ว่าวัดไหน
    งานก่อสร้าง ศาลาการเปรียญ จะตั้งใจช่วยงาน

    ขอต่อประวัติหลวงปู่ไม ซึ่งเป็นการคัดบางตอน
    มาจากการแสดงพระธรรมเทศนา
    ณ วัดป่าภูริทัต สิงหาคม 2548 ครับ

    ตอนที่ปฏิบัติใหม่ๆ เราเพิ่งจะฝึกปฏิบัติธรรม
    ตอนเดินจงกรมไม่เท่าไหร่
    แต่พอไปนั่งสมาธิ มันเห็นทุกข์ เห็นทุกข์ทันทีเลย
    พอนั่งไป 20-30 นาที นี่มันรู้เลย
    ทุกข์มันเกิดขึ้น เหน็บมันไม่รู้มาจากที่ไหน
    พอเรานั่งไปถึง 20-30 นาที มันจะขึ้นเลย
    ขึ้นที่เท้าเราเสียก่อน แล้วขึ้นมาตามขา
    จนขึ้นตามสันหลัง ขึ้นไปบนศีรษะ
    ทำให้จิตใจท้อแท้ไปหลายครั้งหลายหน

    นี่สู้ด้วยตนเองมา ตอนบวชเข้ามาใหม่ๆ ยังไม่รู้เดียงสาอะไร
    การศึกษาก็ยังไม่มี เพราะว่าเราเพิ่งบวชใหม่
    โอกาสที่จะได้ไปศึกษาธรรมะก็ยังไม่มี
    แต่วันไหนว่างๆ ก็พอได้อ่านประวัติพระพุทธเจ้า
    อ่านหนังสือพุทธประวัติเล่มหนึ่ง แต่ทำอย่างอื่นนั้นยังไม่รู้
    แต่ครูบาอาจารย์สอนให้เรานั่งสมาธิ
    นั่งสมาธินั่งแบบไหน เดินจงกรมเดินแบบไหน
    ท่านบอกเรา เวลาเดินก็กำหนดเอาต้นไม้ที่ห่างจากกัน 20-30 เมตร
    แล้วเดินจากต้นไม้ต้นนั้น ไปต้นไม้ต้นนั้น
    มีจุดหมายปลายทางเดินแล้วก็มานั่ง
    ตอนนั่งมันจะเป็นทุกข์ได้ง่ายกว่าเดิน
    เพราะอิริยาบถนั่งจะเป็นการนั่งอยู่ท่าเดียว
    ถ้าเรายังไม่เกิดความเคยชิน เราจะนั่งไม่ได้นาน
    อันนี้เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มปฏิบัติธรรม
    มองทางสุขไม่มีเลย มีแต่ทุกข์อย่างเดียว
    การปฏิบัติธรรมอันดับแรกมองเห็นแต่ทุกข์อย่างเดียว
    ไม่มีสุขเพราะมันเจ็บปวด มันทรมาน
    ทั้งที่เราอยากรู้อยากเห็นอยากได้ธรรมะ อยากให้จิตสงบเป็นสมาธิ
    แต่สิ่งที่รบกวนก็ดลบันดาลอยู่อย่างนั้น
    ทำให้จิตใจของเราท้อถอยอยู่ตลอดเวลา

    นั่งแต่ละวันได้ 20-30 นาที ก็ลุกขึ้นแล้ว
    ไปเดินแล้วเปลี่ยนอิริยาบถใหม่แล้ว
    เดินไปเป็นชั่วโมง มานั่งอีก 20-30 นาทีก็ไปอีกแล้ว
    พยายามอยู่อย่างนี้ก็แพ้อยู่อย่างนี้
    ทำเป็นเดือนก็อยู่อย่างนี้ ทีนี้ทำยังไงถึงได้ตัดสินใจ
    การตัดสินใจคือตัดสินใจด้วยการได้ยินได้ฟัง
    จากครูบาอาจารย์ท่าอบรมสั่งสอนเรา
    ครูบาอาจารย์ท่านแสดงอภินิหารให้เราเห็น แสดงอภินิหารแบบไหน
    ท่านมีความรู้พิเศษ ท่านสอนเราให้ปฏิบัติแล้วเราทำไม่ได้
    ท่านค่อยมาเตือนเราทีหลังพอเราเจอทุกข์
    ทีนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่จูงใจ
    ให้เราปฏิบัติกล้าตัดสินใจต่อสู้ จริงๆจังๆแล้วนั่น คือ

    พระอาจารย์ของเราท่านบอกว่า วันนี้ มีพระท่านกำลังเดินทางมา
    ระยะทางนั่น 7-8 กิโลเมตรจากวัดเราไปหาวัดท่าน
    ฉันเช้าเสร็จท่านบอกว่า ไปล้างบาตรแล้วเอาบาตรเราไปส่งกุฏิ
    อย่าเพิ่งไปนะ ท่านพูดอย่างนี้
    ทีนี้อาตมาก็เลยเอาบาตรล้างบาตรเสร็จเรียบร้อยก็เอาบาตรไปไว้ที่กุฏิ
    ก็นั่งคอยท่านอยู่ ซักพักท่านก็ขึ้นกุฏิไป

    พอท่านขึ้นกุฏิไป ท่านบอกว่า ตอนนี้มีพระท่านกำลังเดินทางมา
    พระองค์นั้นชื่อ อาจารย์บุญเกิด ท่านอยู่วัดป่าศรีคุณาราม บ้านจีบ
    ส่วนอาตมาอยู่วัดป่าศิริวัฒนา บ้านโนนถั่วดิน
    ท่านอาจารย์องค์ที่เป็นอาจารย์ของอาตมา ชื่อพระอาจารย์ศรีอุจโย
    ท่านบอกว่าพระอาจารย์บุญเกิดกำลังเดินทางมา
    ท่านจะไปบ้านเลาใหญ่ ไปขอไม้ไผ่กับท่านอาจารย์สาลี
    วัดป่ามัจฉิมวงศ์ ที่อำเภอกุมภวาปี มาทำซี่กลด
    เพราะว่าไม้ไผ่ในสมัยนั้น วัดป่ามัจฉิมวงศ์เป็นวัดเก่าแก่
    ไม้มันแก่ดี เอามาทำซี่กลดได้มอดมันไม่กิน
    แต่ส่วนวัดพวกเราเป็นวัดใหม่ ไม้ไผ่ยังไม่มี

    ท่านก็เลยบอกว่าท่านกำลังเดินทางมา
    มีพระองค์หนึ่งใส่แว่นตาดำเดินตามหลังมา
    มีเด็กวัด ตัวเล็กๆ สะพายย่ามเดินอยู่กลาง ท่านว่าอย่างนี้
    แล้วท่านก็บอกให้เอาเสื่อมาปู เอากามากรองน้ำ
    พอท่านบอกอย่างนั้น
    พระองค์หนึ่งเป็นพระบวชใหม่พร้อมอาตมา ก็เลยพูดขึ้นว่า
    โอ๊ย ท่านอาจารย์นี่ ไม่รู้ว่าพูดอะไร คนไม่มีก็พูดไปเหมือนกับบ้า
    พระใหม่นี่เพิ่งบวชได้เดือนเศษๆ
    เฮ้! พระนี่พูดให้ฟัง มันไม่ฟัง ถ้าไม่ทำรีบลงกุฏิหนีนะ
    ท่านก็ดุเลยไล่ลงกุฏิ ถ้าไม่ลงไปโดนไม้ค้อนนะ พระนั่นก็เลยลงกุฏิไป

    ท่านก็เลยพูดว่า “ไม” อย่าไปกับเขานะ
    เอาเสื่อมาปู เอากามากรองน้ำ
    เราก็กลัวท่านดุ ก็เลยเอาเสื่อมาปูเอากามากรองน้ำ
    เอาไปจัดอาสนะเอาไว้เรียบร้อย
    ท่านก็บอกนั่งลง พอเราทำเสร็จ
    ท่านบอกว่าตอนนี้ท่านอาจารย์บุญเกิด
    กำลังจะเข้ามาในหมู่บ้านโนนถั่วดินให้
    ท่านเดินทางมาถึงโรงเรียน หน้าโรงเรียนจะมีต้นมะม่วงต้นหนึ่ง
    ท่านบอกว่า ถ้าท่านเดินมาถึงต้นมะม่วงหน้าโรงเรียน เราก็เดินลงจากกุฏิ
    เดินไปถึงริมรั้ววัดทางทิศตะวันออก ที่ประตูออกไปบิณฑบาต
    ท่านก็จะเดินจากต้นมะม่วงมาถึงนั่นพอดี เราก็ไปรับย่ามท่านมา ท่านบอกอย่างนี้

    วันนี้ท่านมาแล้วท่านจะมาพักที่วัดเราเสียก่อน
    เพราะวันนี้แดดมันร้อน ท่านพูดอย่างนี้
    บ่าย 3 โมงแดดอ่อนเสียก่อน ท่านถึงจะไปบ้านเลาใหญ่
    ท่านพูดอย่างนี้ อาตมาก็คิดอยู่ในใจ
    เฮ้! พระนี่บวชมาหลายๆพรรษาได้เป็นเจ้าอาวาส
    หาแนวทางที่จะมาหลอกศรัทธาญาติโยม
    หลอกพระสงฆ์องค์เจ้าอยู่อย่างนี้เหรอ หลอกพระเณรอย่างนี้หรือ
    หาเรื่องหลอกลวงอยู่อย่างนี้เหรอ
    ทำอย่างนี้คนก็มาหลงงมงายทำบุญทำทานกัน คนเรานี่มันก็โง่
    เราก็คิดไป คิดแล้วก็เดินไป ก้มหน้าเดินไป
    พอเดินไปถึงประตูที่ออกบิณฑบาตเงยหน้าขึ้นมอง
    หลวงพ่อบุญเกิดมาถึงที่นั่นพอดี ทำให้เรานี่ตกใจ ตกใจวูบเลย
    ท่านรู้ได้อย่างไร อาจารย์ของเรา ท่านไม่ได้โกหกเรานี่
    เราก็นึก หรือว่าท่านจะเขียนจดหมายไปบอกกันว่า
    ผมจะไปบ้านเลาใหญ่ ผมจะไปพักที่วัดท่าน
    บ่าย 3 โมงถึงจะเดินทาง เพราะวันนี้แดดมันร้อน
    เฮ้! ถ้าเขียนจดหมายมาบอก ทำไมถึงรู้ว่ามาถึงนั้นแล้วมาถึงนี้แล้ว
    ท่านเดินมาถึงต้นมะม่วงหน้าโรงเรียนกับกุฏิที่เราเดินลงไป
    ถึงประตูรั้ววัด ที่จะออกไปบิณฑบาต
    เหมือนกับท่านได้เอาตลับเมตรไปวัดไว้เลย มันตรงเป๊ะเลย

    เราอัศจรรย์ใจ ก็เดินออกไปรับย่ามจากหลวงพ่อบุญเกิด
    ท่านก็ถามว่าเณรมาอะไร
    ตอนนั้นอาตมาเป็นเณรนะ เพิ่งบวชได้เดือนเศษๆ
    เป็นเณรอยู่ บวชใหม่ด้วย
    ทีนี้หลวงพ่อบุญเกิดก็ถามว่า
    เณรมาอะไร
    มารับท่านอาจารย์
    ใครบอกมา
    บอกว่าท่านอาจารย์บอกมา
    เท่านั้นนะท่านก็ยิ้ม เดินตรงไปที่กุฏิเลย ยังไม่ขึ้นกุฏิ
    พอถึงหน้ากุฏิ ท่านอาจารย์อยู่บนกุฏิ ก็ลงมาถามว่า
    เอ้าท่านอาจารย์จะไปไหน
    หลวงพ่อบุญเกิดบอกว่า ผมจะไปบ้านเลาใหญ่
    ท่านอาจารย์จะไปอะไรบ้านเลาใหญ่
    จะไปขอไม้ไผ่ท่านอาจารย์สาลีมาทำซี่กลด
    เอ้า! นิมนต์ขึ้นมาฉันน้ำเสียก่อนไม่ดีเหรอ
    เฮ้อ! จะขึ้นไปพักที่นี่ก่อนวันนี้แดดมันร้อน บ่าย 3 โมงถึงจะไป
    ท่านพูดอย่างนี้

    เอ๊ะ! เราก็งงอีก บอกเราหมดแล้วทำไมถึงเดินลงมาถาม
    เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกลับ เราบวชใหม่ก็งงๆ เอ๊ะรู้ได้ไง
    ก็เลยคิดว่าท่านอาจารย์เรียนคาถาอะไรน๊อ !
    เราคิดอยากเรียน ก็คิดอยู่ในใจ
    ท่านก็คุยกัน คุยสักพักท่านก็นอนหลับ
    บ่าย 3 โมง หลวงพ่อบุญเกิดลุกขี้นมา
    เฮ้ย! ได้เวลาแล้วแดดอ่อนแล้ว เราจะเดินทาง กลัวมันจะมืดก่อน
    หลวงพ่อเราก็เลยบอกว่าเณรไปส่งท่าน ไปแล้วรีบกลับมานะ
    อาตมาก็เลยไปส่งท่าน

    พอไปส่ง ถึงทางออกวัดแล้วเราก็กลับมา
    พอกลับมาท่านก็นั่งคอยอยู่บนกุฏิ
    ขึ้นไปก็ไปกราบลง พอกราบลงเท่านั้นแหละ
    ท่านถามคำแรกขึ้นมา อยากมีมั๊ยหูทิพย์ตาทิพย์ ท่านพูดตรงๆอย่างนี้
    อยากมีครับผม เราก็ประนมมือขึ้น อยากมีครับผม เราก็กราบลง
    ถ้าอยากมีเดินจงกรมให้มันขาด้วน พูดแบบนี้
    นั่งให้มันตาย กิเลสไม่ตายคนตาย
    พูดแค่นี้เดินเข้ากุฏิใส่กลอนเลย ไม่พูดอะไรอีก ล็อคกุฏิไว้เลย
    เราได้แค่นี้ เราเป็นยังไง จิตใจของเรา หูทิพย์ตาทิพย์
    ได้มาจากเดินจงกรมนั่งสมาธิอย่างนี้หละ
    เรานึกอย่างนี้ คืนนี้เราจะเอามันให้ได้

    พอค่ำมาไปทำวัตรเย็นเสร็จ ลงมาทุ่มเศษๆ
    เข้าทางจงกรม เดินจงกรมก็อยากนั่ง
    คือจิตใจมันกำลังต้องการ เดินจงกรมก็อยากนั่งสมาธิแต่ต้องทำ
    เพราะว่า ก่อนที่จะนั่งต้องเดินเสียก่อน ทุกวันจะต้องทำอย่างนั้น
    อย่างน้อยก็ต้องได้ชั่วโมงหนึ่งเสียก่อน
    เดินยังไม่ถึงชั่วโมง จิตมันอยากนั่ง อยากมีหูทิพย์ตาทิพย์
    พอเดินจงกรมไปถึงชั่วโมง ก็รีบขึ้นกุฏิไปนั่ง
    พอไปนั่งปุ๊บ 20-30 นาที โอ๊ยมันจะตายเลย เหมือนเดิมเลย
    พวกเราเป็นไม๊เจ็บปวดทรมาน นี่เขาเรียกว่ามาร
    ตอนนั้นยังไม่รู้มารหรอก พอเจ็บปวดก็หลับตาลง
    รู้สึกว่าร่างกายของเรามืด ดำสนิทเลย
    กำหนดจิตเข้าไป พอกำหนด พุทโธๆ
    ลมหายใจเข้า พุทธ หายใจออก โธ มีสติควบคุมอยู่อย่างนั้น
    แต่ว่าร่างกายของเราตัวแข็งดำสนิทเลย
    ในร่างกาย มีแต่ความเจ็บปวด ทรมาน
    ผลสุดท้ายก็ลุกขึ้นไปเดิน ไม่เหมือนกับที่เราตั้งใจเอาไว้
    เราตั้งใจเอาไว้มันไม่เหมือนเลย
    พอไปเดินแล้วกลับขึ้นมานั่งใหม่ ก็เป็นอีกเหมือนเดิม
    วันนั้นพยายามอยู่อย่างนั้นจนอ่อนใจก็เลยหยุดพักผ่อน

    วันหลังมาก็ทำใหม่ จากนั้นมา ทำได้ 6-7 วัน
    สู้อยู่อย่างนั้น เจ็บอยู่อย่างนั้น ปวดอยู่อย่างนั้น
    ทีนี้ได้ 7 วัน กวาดตาดตอนเย็น ทั้งกวาดตาดทั้งคิด
    เอ๊ ทำยังไงน๊อ ถึงจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ ได้อย่างที่ท่านอาจารย์พูด
    ถ้าเป็นอย่างนี้เราไม่มีโอกาสที่จะได้หูทิพย์ตาทิพย์
    นึกในใจก็เกิดอ่อนใจ ก็เอามือหนึ่งจับคันตาด
    นั่งเขียนดินเล่นเหมือนกับคนไม่มีอะไรตายอยาก
    หมดอาลัยแล้ว หมดความหวังแล้ว ก็เอามือเขียนดินเล่น
    ซักพักหนึ่ง ท่านอาจารย์มายืนอยู่ตรงหน้าเรา
    ท่านมาเมื่อไหร่ไม่รู้ จิตมันเผลอถึงขนาดนั้น ลืมตัวขนาดนั้น
    เรามัวแต่ก้มเขียนดินเล่น
    ไม่รู้เขียนอะไรไม่เป็นตัวเป็นตนหรอก ก็ขีดไปงั้น ๆ แหละ
    ท่านก็เลยถามว่า
    เณรเป็นยังไงเดินจงกรมนั่งสมาธิ
    ตกใจแหงนหน้ามา ท่านมาได้ยังไงเราไม่ได้ยิน
    พนมมือขึ้นว่าจะตอบท่านว่า
    กระผมเดินจงกรมนั่งสมาธิ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงมีแต่ความเจ็บปวด
    นึกว่าจะพูดอย่างนี้
    ท่านบอกหยุดๆ ตามเราขึ้นไปกุฏิ
    ท่านพูดอย่างนี้ ท่านก็เดินกลับกุฏิเลย

    ก็เลยเดินตามท่านขึ้นไป ท่านก็ไปนั่งบนอาสนะ บนอาสน์สงฆ์
    เราก็มานั่งข้างหน้า ก็กราบท่าน พอกราบท่าน ท่านก็ถามเลย
    พระพุทธเจ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
    พอท่านถามอย่างนี้ เราได้ธรรมะแล้ว
    มันก็แปลกนะ มันแปลออกมาเลย
    เราก็ตอบว่าเป็นผู้ชายครับผม
    เราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
    เป็นผู้ชายครับผม
    คำแปลในใจพวกเราจะแปลว่าไง อยากจะให้ใครตอบซักคนหนึ่ง
    อันนี้เกิดขึ้นมาจากใจปุ๊บ
    พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชายเราก็เป็นผู้ชายทำไมถึงโง่ขนาดนี้

    ไม่ใช่ผู้หญิงเหรอใจอ่อนแออย่างนี้เหรอ
    ทำไมไม่ไปนุ่งผ้าถุงเหมือนอย่างผู้หญิง
    มันออกมาจากจิตเลย พอได้ตัวนี้ มันเข้มแข็ง จิตใจมันเข้มแข็ง
    นี้พระพุทธเจ้าออกบวชอายุเท่าไร
    ตอนนั้นไปอ่านพุทธประวัติเล่มหนึ่ง
    ก็เลยรู้ว่าพระพุทธเจ้าออกบวชตอนอายุ 29 ปี
    ตรัสรู้อายุเท่าไร
    35 ครับผม
    เราอายุเท่าไร
    18 ย่าง 19 ปี ครับผม
    มันโง่ขนาดนั้นเหรอ สู้ผู้เฒ่าไม่ได้
    อายุ 18-19 มาปวดแข้งปวดขา ปวดหลังปวดเอวอย่างนี้เหรอ
    ท่านพูดแรง ท่านพูดดุๆ
    แล้วท่านก็ถามอีกคำหนึ่งพระพุทธเจ้าเอาชนะอะไร
    ก่อนที่ท่านจะตรัสรู้เป็นศาสดาเอกของโลก
    เราตอบไม่ได้ เพราะเราไม่เคยปฏิบัติ
    เราก็นิ่ง พอเรานิ่งปุ๊บ ท่านก็พูดขึ้นมาว่า
    พระพุทธเจ้าเอาชนะมารไม่ใช่เหรอ กิเลสมาร สังขารมาร
    พระพุทธเจ้าเอาชนะตรงนี้ถึงได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกในโลก

    พอท่านพูดคำนี้ เรานี้ใจขึ้นเลย
    นี่เหรอมารที่เรานั่งปวดขาอยู่ทุกวันนี้รู้เลย
    คืนนี้กูจะสู้ให้มันตาย กูจะไม่ยอมหยุดมัน มันสู้เลย
    จิตมันต่อสู้เลย พอได้ฟังอย่างนั้น เหมือนกับได้ยาบำรุง
    มันมีคนจูงใจ มีสิ่งที่จะจูงใจ จิตมันถึงจะต่อสู้ คอยมีครูบาอาจารย์แก้ไข
    ถ้าเราไม่มีครูมีอาจารย์ ไปหยุดอยู่แค่นั้นมันก็ทำไม่ได้
    ถ้าแพ้ก็คือแพ้ไป ถ้าเราไม่สู้อีกก็แพ้ไป ได้ยินแล้วไม่ปฏิบัติก็คือแพ้ไป
    นี่มันจะเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นมีความตั้งใจ
    ก็เลยคิดว่าตอนนั้นมันใกล้จะค่ำแล้วก็อยากจะไปเดินจงกรม
    ยังไม่ได้สรงน้ำยังไม่ได้ทำวัตรเย็น
    คิดอยากจะเดินจงกรมอีกแล้ว ใจมันขึ้น
    อยากจะเดินจงกรม จากนั้นมาก็เลยลง

    ท่านก็สั่ง ไปไป สรงน้ำ ไปทำวัตร
    เราก็ลงจากกุฏิ ท่านก็ไปสรงน้ำ แล้วก็ขึ้นศาลา
    ไปจัดอาสนะที่ศาลา แล้วก็ทำวัตรเย็น
    พอทำวัตรเสร็จ ท่านก็สั่งให้เลิก ไป ไปภาวนา
    ท่านพูดอย่างนี้ มีพระเณร ปีนั้น 12 รูป ที่อยู่ด้วยกัน ทั้งพระทั้งเณร
    แต่องค์อื่นท่านไม่เคยบอก ไม่เคยเคี่ยวเข็ญ ท่านเร่งแต่อาตมาองค์เดียว
    ทีนี้พอลงมา ก็เดินไปที่ต้นไม้ที่เรากำหนดเอาไว้ เป็นทางจงกรม
    แล้วก็ไปเดินจงกรม
    ตอนเดินจงกรมได้ไม่ถึงชั่วโมงก็อยากจะไปนั่งแล้ว
    เหมือนเดิมแหละ เหมือนเดิม
    ใจมันขึ้นแล้ว มันอยากรู้มันอยากเห็น
    วันนี้จะต้องเอาชนะให้มันได้ เรื่องมารเรื่องกิเลส

    ทีนี้พอเดินจงกรมไปถึง 2 ทุ่ม ก็เลยขึ้นกุฏิ กุฏิก็กุฏิเล็ก ๆ
    ประตูที่กุฏิมันไม่มีกลอน เหมือนอย่างทุกวันนี้
    เอาไม้ขัดเอา ขัดบานประตู ขัดประตู ล็อคประตูอย่างดีแล้ว นึกในใจ
    กราบลงที่หัวนอนที่เราจะนอนนั่นแหละ ที่นอนของเรา
    กราบลงแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า
    ถ้าข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็นธรรมในวันนี้ คืนนี้ จะไม่ลุกจากที่นี่
    พอตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็นั่ง
    พอนั่งไป 20-30 นาที เหมือนเดิม มาอีกแล้ว มารมาอีกแล้ว
    แต่มาเที่ยวนี้ เราสู้ เราสู้ตาย พอมันเกิดขึ้นมาปุ๊บ นี่หรือมาร
    จำคำที่ท่านอาจารย์พูดให้ฟัง
    ว่ามารคือสังขารมาร นี่หรือมาร เราจะยังแพ้อยู่อีกหรือ
    พระพุทธเจ้าเอาชนะได้ เราต้องเอาชนะให้ได้
    พอนั่งไปกำหนดไป ก็เจ็บไป ปวดไป แต่สติไม่เคยขาดจากพุทโธ

    กำหนดรวมเลย รวมพุทธ หายใจเข้า โธ หายใจออก
    มีความรู้สึกจากหน้าอกมาถึงปลายจมูก
    นั่งอยู่นั่นแหละ กำหนดอยู่อย่างนั้น
    ตอนที่กำหนดอยู่นั้น ร่างกายสังขารของเรา
    ดำสนิทเลย ดำสนิทตัวแข็งทื่อ
    เหน็บขึ้นเป็นช่วงๆ ชากันไปถึงศีรษะ จนขนหัวลุกซู่ขึ้นมา
    แต่คิดว่า เราจะยอมตายถ้าเราไม่ชนะมารในคืนนี้
    จิตมันคิดต่อสู้ เราจะสู้ให้ตาย
    ถ้าเราตาย เราได้มีโอกาสมาเกิดในภพหน้า
    เราคงจะไม่ปฏิบัติได้ยากเหมือนอย่างปัจจุบันนี้
    เพราะว่าในอดีตชาติเราคงไม่ได้พบพุทธศาสนา
    ได้พบธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เคยรักษาศีลกินทาน
    เวลามาปฏิบัติในภพนี้ ถึงได้เป็นอย่างนี้จิตมันเลยย้อนอดีตไป

    ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้
    เราเป็นลูกชาวนา เกิดมาพอรู้เดียงสาไปนากับพ่อ ไปหาปูหาปลา
    จับกบจับเขียดสารพัดที่จะเป็นอาหาร จนมาบวชอายุ 18 ย่าง 19
    หากเอามารวมกองกันไว้สัตว์ทั้งหลายสูงท่วมกุฏิที่เรานั่งอยู่
    จิตก็เลยท้อแท้อ่อนแอ เกิดสงสารตัวเอง
    โห เราทำกรรมหนักถึงขนาดนี้เลยเหรอ ถ้าเราตายไป
    เกิดว่าไปใช้ชีวิตสัตว์แต่ละตัวละตนแต่ละชีวิต ชีวิตละภพเป็นยังไง
    เราจะใช้อยู่กี่แสนภพกี่แสนชาติ
    พอนึกอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ยอมออกจากสมาธิ
    ข้าพเจ้าจะยอมตายเลยในคืนนี้ จะไม่กลับไปทำบาปอีก
    ที่เราทำบาปมามากๆ นี่ เราก็เห็นชัดเจนแล้วในคืนนี้
    เรานั่งหลับตาลงไปตัวของเราแข็งทื่อมีแต่ เจ็บปวดดำสนิท

    ตัวดำๆนี้คือตัวจิตที่มันเป็นบาป
    มันเศร้าหมองเหมือนกับก้นหม้อนึ่ง ที่เรานึ่งข้าวเราค้างเตาไฟ
    ถ้าเป็นปีเป็นยังไง ก้นหม้อมันหนาขึ้นมากมั้ย
    มันรมควันไฟอยู่นั้นเป็นปีสองปี
    ถ้าเทียบกับอายุของเรา 18-19 ปี หนามากมั้ย ควันไฟที่ติดที่ก้นหม้อนึ่ง
    นี่คือเราทำบาปเอาไว้เยอะถึงขนาดนี้เราจะมาขัดอยู่วันเดียว
    ก้นหม้อนึ่งจะไม่มีวันว่าขาวสะอาด จะต้องใช้เวลาหลายวัน
    เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะต้องยอมตายกับสมาธิในคืนนี้
    ขอให้ตายไปเถอะ แล้วก็ขอมาเกิดใหม่
    ภพชาตินี้ข้าพเจ้าพบพระพุทธศาสนาแล้วพบของจริง
    แล้วอย่างที่อาจารย์ได้แสดง ให้เราเห็น
    พอนึกอย่างนั้น จิตใจมันก็สู้
    พอจิตใจมันสู้ จิตมันน้อมเข้าไปสู่พุทโธ ดิ่งเข้าไป ดิ่งเข้าไป
    พอถึงเที่ยงคืน เราดูความทุกข์ของร่างกาย ที่มันเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น
    ที่มันตัวแข็ง ที่มันดำอยู่อย่างนั้น กำหนดจิตพุทโธ พุทโธ ไม่ยอมหยุด
    ไม่มีขาดระยะ ไม่มีเผลอตัว สติเพียบพร้อมหมด
    พอไปถึงเที่ยงคืนปุ๊บ ได้จุดเด่นขึ้นมาจากปลายจมูก โยงไปถึงหน้าอก
    เป็นสีขาวเหมือนกับด้ายเส้นเดียว
    นี่คืออะไรเส้นด้าย เส้นด้ายมันเป็นสีขาว
    ถ้าเส้นด้ายขาวๆนี้ขาดคือชีวิตของเรานี่ขาดแล้วก็ตาย
    เรายิ่งเร่งแหละยิ่งกำหนดดู

    พอเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นมาก็ดูแต่สีขาว ๆ
    สีด้ายเส้นเดียวนั้นนะ ส่วนพุทโธมันไปไหนหมดแล้วไม่รู้
    มาอยู่ที่จุดนี้เลยอยู่ที่เส้นด้ายขาวๆนี่
    พอมองดูเส้นด้าย ขาวๆ เพ่งอยู่ เกือบจะตีหนึ่ง
    เกิดเสียงดังเหมือนกับเราจุดเปิดที่เตาแก๊ส
    พอจุดแก๊สมีเสียงฟู่ที่ตรงหน้าเรามีแสงสว่างออกที่ตรงหน้าเรา
    ห่างจากหน้าเราประมาณซักแขนหนึ่ง ประมาณ 2 ศอก
    แล้วก็เป็นลูกกลมเหมือนดวงพระจันทร์สีสว่างนวลเหมือนอย่างพระจันทร์
    จิตของเราก็ตาม พอตามดูแสงสว่างเท่านั้นแหละ
    ซักพักหนึ่งเหมือนกับตัวของเรา อยู่กลางดงพระจันทร์
    พอไปอยู่กลางดงพระจันทร์ มันไม่มีข้างหน้าข้างหลัง
    พอไม่มีข้างหน้าข้างหลังนี่มันไม่มีอะไรขวางกั้นความรู้ของเราได้เลย
    อยู่ในกุฏิสามารถที่จะมองเห็นลานวัดทั้งหมด
    เห็นกุฏินั้นกุฏินี้ เห็นศาลา เห็นผู้คนเดินไปมา
    sam_6762-jpg.jpg sam_8705-jpg.jpg sam_8706-jpg.jpg sam_8108-jpg.jpg


     
  6. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 755 เหรียญรูปไข่หลวงปู่เพียร วิริโย พระอรหันต์เจ้าวัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี หลวงปู่เพียรเป็นศิษย์พระหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด พระเหรียญสร้างปี 2549 สร้างเนื่ององค์หลวงปู่อายุครบ 79 พรรษา มีตอกโค๊ต พ หลังเหรียญ เนื้อทองเเดงรมดำ มาพร้อมพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ >>>อนึ่ง ....หนวด,ฟัน,เกศาเเละเล็บของหลวงปู่เป็นพระธาตุตั้งเเต่หลวงปู่เพียรยังทรงธาตุทรงขันต์อยู่ครับ*** *******บูชาที่ 285 บาทฟรีส่งems อนึ่ง>>>>อดีตชาติของหลวงปู่เพียรก็เคยเป็นลูกชายคนหนึ่งของพระหลวงตามหาบัวครับ sam_8474-jpg-jpg.jpg sam_8475-jpg-jpg.jpg sam_8477-jpg-jpg.jpg sam_7793-jpg-jpg.jpg sam_0438-jpg-jpg-jpg-jpg.jpg


    หลวงปู่เพียร วิริโย {{{ฉายา}}})
    200px-por_pern-jpg.jpg
    เกิด 7 ตุลาคม พ.ศ. 2469
    มรณภาพ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552
    อายุ 82
    อุปสมบท 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2490
    พรรษา 61
    วัด วัดป่าหนองกอง
    จังหวัด จังหวัดอุดรธานี
    สังกัด ธรรมยุติกนิกาย
    ตำแหน่ง อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าหนองกอง
    30px-dharmacakra_flag_-28thailand-29-svg-png.png ส่วนหนึ่งของสารานุกรมพระพุทธศาสนา
    หลวงปู่เพียร วิริโย พระภิกษุฝ่ายวิปัสสนาธุระ อรัญวาสี อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าหนองกอง ศิษย์ของพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ท่านได้รับการยกย่องจากหลวงตามหาบัวว่าเป็นผู้มีวัตรเรียบร้อย ปฏิบัติเอาจริงเอาจรัง ไม่มีด่างพร้อย[1]

    ประวัติ
    ชาติกำเนิด
    หลวงปู่เพียร วิริโย นามเดิมของท่านคือ เฟือน จันใด ต่อมาพระอาจารย์ได้เมตตาเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็น เพียร[2] เป็นบุตรของนายพา - นางวัน จันใด เกิดวันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2469 ที่บ้านศรีฐาน ต.ศรีฐาน อ.คำเขื่อนแก้ว จ.อุบลราชธานี หรือ จ.ยโสธร ในปัจจุบัน
    อุปสมบท[แก้]
    บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดป่าศรีฐาน ตำบลกระจาย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2490 เมื่ออายุครบ 22 ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเดียวกัน โดยมีพระครูพิศาลศีลคุณเป็นพระอุปัชฌาย์[2]
    ศึกษาธรรม
    หลังศึกษาพระธรรมระยะหนึ่ง ก็ออกธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ จนได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสนาภาคอีสาน เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่มั่น หลวงปู่เพียรได้ตามหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนมาสร้างวัดป่าบ้านตาดจนแล้วเสร็จ ต่อมาได้ออกธุดงค์ไปจำวัดอยู่กับหลวงปู่บัว ปริปุณฺโณ วัดราษฎรสงเคราะห์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี กระทั่งมาพบสถานที่สร้างวัดป่าหนองกอง เห็นว่าเป็นที่สงบเหมาะสร้างวัดปฏิบัติธรรม หลวงปู่เพียรจึงสร้างวัด ณ สถานที่แห่งนี้จนมั่นคงสืบมา

    มรณภาพ
    หลวงปู่เพียร เริ่มมีอาการอาพาธเมื่อปี พ.ศ. 2546 กระทั่งในปี 2548 ได้เข้ารับการตรวจรักษาที่ รพ.ศูนย์อุดรธานี แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดและโรคหัวใจ ต่อมาในปี 2552 ก็เข้ารับการตรวจรักษาบ่อยขึ้น ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น. ของวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ลูกศิษย์ได้นำหลวงปู่เพียรที่มีอาการอาพาธส่ง รพ.ศูนย์อุดรธานี และได้รับการส่งต่อไปรักษาที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ก่อนที่หลวงปู่จะมรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา 01.28 น. ของวันที่ 23 มิถุนายน 2552

    งานฌาปนกิจศพหลวงปู่เพียรจัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 อัฐิหลวงปู่เพียรได้แปรสภาพเป็นพระธาตุในเวลาต่อมา
     
  7. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    ายการที่ 756
    เหรียญหล่อนั่งในซุ้มเรือนเเก้วหลวงปู่ขอบ ฐานสโม พระอรหันต์เจ้าวัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย หลวงปู่ขอบเป็นศิษย์ผุ้ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เหรียญหล่อสร้างปี 36 เนื้อทองเหลือง มีพระเกศา,พระธาตุหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคล ************บูชาที่ 455 บาทฟรีส่งems หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย
    อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลยเลย

    "พระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญา"




    2-png-png.png

    พระเดชพระคุณหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญาญาณ คือ ผู้ทรงความรู้ยิ่งในพระพุทธศาสนา มีคุณสมบัติพิเศษ ๖ อย่าง . อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ ๒. ทิพโสต หูทิพย์ ๓. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่น ๔. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ ๕. ทิพจักขุ ตาทิพย์ ๖. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป

    ท่านมีนิสัยชอบโดดเดี่ยวเที่ยวไปอยู่ในป่า ทำในสิ่งที่บุคคลอื่นทำได้ยาก ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับหมู่ชนพระเณร เป็นผู้มีความองอาจเด็ดเดี่ยว อดทนเป็นเลิศ ไม่กลัวความทุกข์ยากลำบาก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย กล้าได้กล้าเสียในการปราบกิเลส ถึงกับท่านพระอาจารย์มั่นออกปากชมท่ามกลางสภาสงฆ์ "ให้ทุกองค์ภาวนาให้ได้เหมือนท่านชอบสิ ท่านองค์นี้ภาวนาไปไกลลิบเลย"

    ท่านสามารถแสดงธรรมและสนทนาธรรมเป็นภาษาต่างๆ ได้หมด เพียงกำหนดจิตดูว่าภาษานั้นเขาใช้พูดกันว่าอย่างไร ท่านสามารถแสดงธรรมโปรดเทวดา พญานาค ตลอดจนภพภูมิต่างๆ ได้

    การธุดงค์ของท่านนับว่าโลดโผนมาก ชอบเดินทางในเวลากลางคืนหรือจวนสว่างในคืนเดือนหงาย เที่ยวไปอบ่างอนาคาริกมุนีผู้ไม่มีอาลัยในโลกทั้งปวง บางคราวมีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่สองตัวกระโดล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้ ท่านเร่งสติสมาธิ แผ่เมตตา กำหนดจิตเข้าข้างใน สมาธิลึกเข้าไปจนถึงฐานของจิต ปล่อยวางสิ่งทั้งปวง เมื่อถอนจิตออกมาปรากฏว่าเสือสองตัวได้หายไปแล้ว

    ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไปทางอำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง เข้าไปหมู่บ้านกะเหรี่ยงกลางหุบเขาเพื่อโปรดพี่ชายของท่านในอดีตชาติที่รักกันมาก ท่านระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นชาวกะเหรี่ยงที่ประเทศพม่า มีพี่ชายคนหนึ่ง บัดนี้เขาได้มาเกิดเป็นชาวกะเหรี่ยง ชื่อว่า "เสาร์" อยู่ที่ตำบลป่ายาง บ้านผาแด่น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยจิตเมตตาท่านจึงเดินทางไปโปรดดึงเขาเข้าสู่ทางธรรม และต่อมานายเสาร์ก็ได้บวชเป็นพระติดตามท่านจนตลอดชีวิต



    1-1-png-png.png

    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม


    ท่านเล่าว่าในบางคราวหลงอยู่ในกลางป่าเป็นเวลาหลายๆ วัน ท่านเป็นที่เคารพรักของเหล่าเทพยดา เดินทางจากประเทศพม่าจะเข้าสู่ไทย หลงป่าเจียนตายเพราะความหิว เทวดาได้นำอาหารทิพย์มาใส่บาตร อาหารนั้นมีรสอร่อยส่งกลิ่นหอม หายเมื่อยหายหิวไปหายหิวไปหลายวัน

    ท่านทำสมาธิทั้งกลางวันกลางคืน บางคราวพายุฝนตกหนักน้ำป่าไหลหลาก ท่านต้องนั่งกอดบาตรเอาไว้จนสว่าง ท่านพบวิมุตติบรรลุธรรมขั้นสูงสุดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ พรรษาที่ ๒๐ อายุ ๔๓ ปี ที่ถ้ำบ้านหนองยวน ประเทศพม่า

    ในระยะที่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นนั่น ท่านได้รับความไว้วางใจและมอบหมาย ให้ช่วยดูแลพระเณรที่คิดอะไรนอกลู่นอกทาง ไม่ถูกต้องตามครรลองของผู้ทรงศีลธรรมท่านก็จะตักเตือน เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นว่าท่านมีความรู้ภายในว่องไวไม่แพ้หลวงปู่มั่น พระเณรทั้งหลายจึงเกรงกลัวท่านมาก และท่านก็ยังสามารถระลึกชติ รู้อดีตชาติของท่านเองว่าเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เช่น เคยเกิดเป็นพระภิกษุรักษาศีลอยู่กับพระอนุรุทธะ เคยเป็นสามเณรน้อยลูกศิษย์พระมาหกัสสปะ เคยเกิดเป็นท้าวมหาพรหมในพรหมโลก และเป็นสัตว์หลายชนิดอีกด้วย หลวงปู่ชอบท่านบำเพ็ญภาวนาอยู่ตามป่าตามเขา ส่วนมากทางภาคเหนือหลายพื้นที่รวมถึงประเทศพม่าด้วย




    3-png-png.png

    ในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
    ทรงนมัสการหลวงปู่ชอบ


    ท่านเกิดเมื่อวันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีฉลู ณ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เป็นบุตรของนายมอ และนางพิลา แก้วสุวรรณ

    บวชสามเณรเมื่ออายุ ๑๙ ปี ณ วัดบ้านนาแก ตำบลบ้านนากลาง อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นสามเณรอยู่ถึง ๔ ปีกว่า และได้อุปสมบทเมื่ออายุ ๒๓ ปี วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ณ วัดศรีธรรมาราม อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร โดยมี พระครูวิจิตรวิโสธนาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แดง เป็นพระกรรมวาจาจารย์



    4-png-png.png

    รูปเหมือนหลวงปู่ชอบ


    ท่านได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ เสนาสนะป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม หลวงปู่มั่นได้ให่โอวาทสั้นๆ ว่า "ท่านเคยภาวนามาอย่างไรก็ให้ทำต่อไปเช่นนั้น อย่าได้หยุด ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้นั้นมันอยู่ที่ใจเรานี่แหละ ถ้าอยากรู้อยากเห็นธรรมเหล่านั้น ก็ให้ค้นหาเอาที่ใจของท่านเอง"

    ปีพุทธศักราช ๒๔๘๙ ขณะท่องเที่ยวธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือ สหธรรมิกคือหลวงปู่ขาว อนาลโย ชวนท่านกลับมาอีสาน ท่านจึงได้มาจำพรรษาที่ป่าช้าหินโง้น ปัจจุบันคือ วัดป่าโคกมน

    ปีพุทธศักราช ๒๕๐๑ มีชาวบ้านถวายที่สร้างวัดกว่าร้อยไร่ ท่านจึงได้รับสร้างเป็นวัดขึ้นมา ปัจจุบันคือ วัดป่าสัมมานุสรณ์ ท่านได้อยู่จำพรรษาที่นี่เรื่อยมาจวบจนวาระสุดท้ายของท่าน



    5-png-png.png

    อัฐิและพระธาตุของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม


    ปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ อายุ ๗๐ ปี ท่านป่วยเป็นอัมพาต

    ท่านละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ณ วัดป่าสัมมานุุสรณ์ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘ สิริรวมอายุได้ ๙๓ ปี ๑๑ เดือน ๒๗ วัน ๗๐ พรรษา sam_8647-jpg.jpg sam_8648-jpg.jpg sam_8649-jpg.jpg sam_8010-jpg.jpg

     
  8. ผู้ผ่านมา

    ผู้ผ่านมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2006
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +140
    ขอบูชาครับ
     
  9. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 757
    เหรียญหล่อศุภนิมิตรุ่นมอบตึกสงฆ์อาพาธ+พระผงรูปเหมือนพิมพ์ใบโพธิ์หลังลายเซนต์รุ่นเเรกหลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร พระอรหันต์เจ้าวัดป่าสุนทราราม อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร หลวงปู่สิงห์ทองเป็นศิษย์หลวงปู่ดี ฉันโน วัดถํ้าภูพระ เหรียญสร้างปี 2539 เนื้อกะไหล่ทอง สร้างเนื่องเป็นที่ระลึกมอบตึกสงฆ์อาพาธมาพร้อมกล่องเดิม,ส่วนพระผงเเช่นํ้ามนต์ สร้างปี 2546 ,มาพร้อมกล่องเดิม มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ**********บูชาที่ 345 บาทฟรีส่งems >>>อนึ่ง...หลวงปู่สิงห์ทองเป็นหลวงปู่ที่ผมเคารพมากไม่น้อยกว่าหลวงปู่จันทาครับ วาระท่านเร็วมาก มีฤทธิ์ด้วย ผีกลัว ชาวบ้านเเถบอุบล.อำนาจเจริญ,ยโสธร ชอบนิมนต์หลวงปู่ไปปราบผีครับ #ประวัติย่อๆหลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร
    442_o-jpg-_nc_cat-100-_nc_sid-ca434c-_nc_ohc-rnkn7pit41kax8-x7qu-_nc_ht-scontent-fkkc2-1-jpg-jpg.jpg
    paragraphparagraphparagraph__11_128-jpg-jpg.jpg

    ประวัติและปฏิปทา
    พระครูสุนทรศีลขันธ์
    (หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร)
    วัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่)
    ตำบลกุดแห่ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
    >>>>>๏ ชาติภูมิ
    “พระครูสุนทรศีลขันธ์” หรือ “หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร” มีนามเดิมว่า สิงห์ทอง ประมูลอรรถ เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๘ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีฉลู จุลศักราช ๑๒๘๗ ณ บ้านกลางใหญ่ ต.กลางใหญ่ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายบ่อง และนางอูบ ประมูลอรรถ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๓ คน ท่านเป็นบุตรคนโต มีรายชื่อตามลำดับดังนี้
    (๑) หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร
    (๒) นางรั้ว ประมูลอรรถ
    (๓) นางทองดำ ประมูลอรรถ (แม่ชีทองดำ)
    ก่อนที่ท่านจะมาปฏิสนธิในครรภ์โยมมารดานั้น ในคืนหนึ่งโยมมารดานิมิตฝันว่า มีชายแก่คนหนึ่งเอางาช้างยาวใหญ่สีขาวบริสุทธิ์มามอบให้ แล้วสั่งกำชับว่า “งาช้างนี้เป็นมงคล ขอให้รักษาไว้ให้ดีเพื่อเป็นมรดกของเจ้า ห้ามไม่ให้ผู้ใดใครคนหนึ่งเอาไปเป็นกรรมสิทธิ์อย่างเด็ดขาด” ไม่นานนักโยมมารดาของท่านก็ได้ตั้งครรภ์ และได้พยายามถนอมรักษาครรภ์เป็นอย่างดี จนครบทศมาส ๑๐ เดือนแล้วคลอดออกมา เมื่อถึงเวลาคลอดตามปกติของผู้มีบุญญาบารมี แต่โบราณว่าไว้จะผิดธรรมชาติ นั่นคือเวลาคลอดท่านเอาก้นหรือขาออกมาก่อน เป็นที่ลำบากของโยมมารดาอย่างยิ่ง เมื่อคลอดออกมาได้โยมมารดาเจ็บปวดอย่างหนักแทบขาดใจถึงกลับสลบไป ผู้เฒ่าผู้แก่ต้องเอาผ้าถุงมาพัดโบกให้จนฟื้นเป็นปกติ หมอตำแยได้ตัดสายรกสายสะดือ ล้างเช็ดตัวให้สะอาด เอาไปวางนอนในกระด้ง หลังจากนั้นโยมบิดา-โยมมารดาก็เลี้ยงดูด้วยความรักตลอดมา โดยมี “โยมป้าตาล” เป็นผู้อุปการะดูแลเปรียบเสมือนโยมมารดาอีกคนหนึ่ง เมื่อท่านอายุได้ ๒ ขวบโยมป้าตาลก็ตายจากไป โยมบิดา-โยมมารดาจึงได้เลี้ยงดูจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่
    ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ โยมบิดา-โยมมารดาได้อพยพย้ายครอบครัวมาอยู่บ้านกุดแห่ ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.อุบลราชธานี (จ.ยโสธร ในปัจจุบัน) เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ดี
    >>>>>>๏ การบรรพชาและอุปสมบท
    ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เมื่ออายุ ๑๙ ปี ท่านได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสำราญนิเวศ (พระอารามหลวง) ต.บุ่ง อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี (อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ในปัจจุบัน) โดยมี พระครูทัศนวิสุทธิ์ (พระมหาดุสิต เทวีโร) เป็นพระอุปัชฌาย์
    หลังจากบรรพชาแล้ว ได้มาจำพรรษาอยู่กับ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน ณ วัดป่าสุนทราราม ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เป็นเวลา ๑ ปี แล้วก็ได้ลาสิกขามาประกอบอาชีพเลี้ยงดูโยมบิดา-โยมมารดา และน้องสาวทั้งสอง เพราะโยมบิดาป่วยด้วยโรคเรื้อรัง โรคหืด ครั้นเมื่อน้องสาวทั้งสองของท่านมีครอบครัว ท่านได้มอบสมบัติให้น้องๆ ไปทั้งหมด แล้วท่านก็ออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุตามคำสั่งของพระอาจารย์ดี ฉนฺโน
    นิมิตก่อนที่หลวงปู่สิงห์ทองท่านจะตัดสินใจออกบวช มีความดังนี้ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ คืนหนึ่งท่านได้ฝันไปว่า มีผู้เฒ่าผมขาวทั่วหัวถือฆ้อนกระบองเพชรมีหนาม ไล่ตามหมายจะเอาชีวิตท่าน ท่านก็วิ่งหนีตั้งแต่บ้านของท่านจนถึงนานายแปลง ห้วยหินลับ วิ่งไล่กันขึ้นไปบนเถียงนา ท่านก็กระโดดจากเถียงนาหนีไปหลบซ่อนที่กองฟาง ผู้เฒ่าคนนั้นหาไม่เจอจึงไปถามนายเผย คูณศรี เพื่อนของท่านว่า “แกเห็นเซียงสิงห์ทองวิ่งมาทางนี้ไหม” นายเผยตอบว่า “ไม่เห็น” ผู้เฒ่าคนนั้นจึงเดินไปอีกทาง ส่วนท่านพอผู้เฒ่าไปแล้วก็วิ่งหนีกลับบ้านด้วยความกลัว จนสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกลัวอยู่ เหนื่อยจนหายใจหอบ
    เมื่อตั้งสติได้ ท่านก็ได้สวดมนต์ไหว้พระ ระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เมตตาพรหมวิหาร ๔ แล้วตั้งใจนั่งสมาธิ ตั้งแต่เวลาประมาณตีสองจนถึงเช้า พอสายท่านได้ไปกราบนมัสการเพื่อขอรดน้ำมนต์กับพระอาจารย์ดี ฉนฺโน ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น จากนั้นจึงได้พิจารณาถึงความตาย ว่าสัตว์ทั้งหลายหนีไม่พ้น ดังเพื่อนๆ หลายคนที่ได้ตายลงไป จึงมีความคิดที่จะออกบวช
    และในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านได้ฝันว่าตัวเองถึงแก่ความตาย ร่างถูกบรรจุลงโลงถูกหามจะนำไปเผาที่วัดป่าสุนทราราม มีผู้ชาย ๔-๕ คนหามไป ไม่มีพระมาสวดมาติกาบังสกุลเลย หามเวียนรอบกองฟอนครบสามรอบ ก็ยกโลงศพวางบนกองฟอนใกล้ต้นมะตูม วิญญาณของท่านออกจากร่างไปอยู่บนกิ่งต้นมะตูม แล้วมองดูร่างของท่านซึ่งกำลังถูกเผาไหม้ ท่านร้องตะโกนบอกว่า “สูเอากูมาเผา แต่กูไม่ร้อนดอก” แต่ไม่มีใครพูดตอบ ชายเหล่านั้นก็กลับบ้านไป ปล่อยให้ท่านอยู่เพียงคนเดียว ท่านจึงลงมาดูศพของท่านที่ถูกเผาจนหมด ไฟก็ดับมอดลง ในกองฟอนเหลือแต่เถ้ากับกระดูก จึงคิดตรองว่าจะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นก็คิดว่าเราจะเอากระดูกมาปั้นเป็นรูปพระ จึงหาเอาครกกับสากมาบดตำให้ละเอียด เอาน้ำสะอาดมาผสม แล้วปั้นเป็นรูปพระ เมื่อปั้นเสร็จไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน คงต้องทิ้งลงกองฟอนอีกเป็นแน่ แต่แล้วท่านก็สะดุ้งตื่นจากฝัน เมื่อตั้งสติได้จึงแปลความฝันว่า เราคงตายจากเพศคฤหัสถ์แน่ คงได้อุปสมบทเร็ววันนี้เป็นแน่แท้
    ครั้นมีอายุ ๒๖ ปี ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ณ อุโบสถวัดป่าสุนทราราม โดยมี พระครูภัทรคุณาธาร เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็อยู่ศึกษากับพระอาจารย์ดี ฉนฺโน และเป็นพระอุปัฏฐากรับใช้ตลอดมา
    พระครูวิมลสีลาภรณ์ (หลวงปู่เนย สมจิตฺโต) วัดป่าโนนแสนคำ ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ เขตวิสุงคามสีมาวัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่) จ.ยโสธร เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยมีพระครูภัทรคุณาธาร (บุญ โกสโล ป.ธ.๔) วัดพรหมวิหาร ต.สวาท อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสุนทรศีลขันธ์ (พระอาจารย์สิงห์ทอง ปภากโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์อุ้ย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่เนยท่านได้เข้ารับฟังธรรมจากพระอาจารย์ดี ฉนฺโน เจ้าอาวาสวัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่) ในขณะนั้น อยู่เป็นสม่ำเสมอและบ่อยๆ

    268_1242818991-jpg_376-jpg-jpg.jpg
    พระอาจารย์ดี ฉนฺโน ผู้เป็นพระอาจารย์

    paragraph__144-jpg-jpg.jpg
    พระครูวิมลสีลาภรณ์ (หลวงปู่เนย สมจิตฺโต ผู้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สิงห์ทอง ................ >>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ( อนึ่ง.....หลวงปู่สิงห์ทองผมสำหรับตัวผมเองนับถือเป็นพระอาจารย์ผมรูปหนึ่ง ที่ผมเคารพมากม๊ากครับ ผมไปถวายนวดรับใช้เเละสรงนํ้าบ่อยมาก มีฤิทธิ์รู้วาระจิตด้วยครับ ย่นระทางได้ ) เปิดดูไฟล์ 5714725 เปิดดูไฟล์ 5714726 sam_8651-jpg.jpg sam_8652-jpg.jpg sam_8653-jpg.jpg sam_8655-jpg.jpg sam_8657-jpg.jpg sam_8658-jpg.jpg sam_2209-jpg-jpg.jpg

     
  10. ธรรมาวุธ

    ธรรมาวุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    364
    ค่าพลัง:
    +395
    บูชา 754 755ครับ
     
  11. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 758
    พระกริ่ง 86 ปี+พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่รุ่นพิเศษฝังพลอยเสกหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ พระอรหันต์เจ้าวัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย พระกริ่งสร้างปี 2541 เนื้อสำริด สร้างเนื่องจากฉลองพระเจดีย์หลวงปู่เหรียญ มีตอกโค๊ต 2 โค๊ต โค๊ตยันต์เเละโค๊ตตัวเลข ๑ ใต้องค์พระ ก้นอุดทองเเดง*********มาพร้อมกล่องเดิม *************บูชาที่ 445 บาทฟรีส่งems ประวัติโดยย่อพอสังเขป
    ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
    นามเดิม เหรียญ ใจขาน เกิดวันที่ 8 มกราคม 2455 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด ณ บ้านหม้อ ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย บิดาชื่อ ผา มารดาชื่อ พิมพา
    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
    จิตมีธรรมปรารถนาออกบวช
    เมื่อย่างเข้าอายุ 20 ปี เห็นจะด้วยบุญบารมีแต่ปางก่อน รู้สึกว่าชีวิตปุถุชนไม่มีแก่นสาร จึงลาบิดามารดาเข้าเรียนครองบวชอยู่สิบห้าวันก็ได้บวชที่อุโบสถวัดบ้านหงษ์ทอง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย มี ท่านพระครูวาปีดิฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์พรหม เป็นพระกรรมวาจารย์ บวชแล้วได้กลับมาอยู่ วัดโพธิ์ชัย บ้านหม้อ บวชเมื่อ เดือนมกราคม 2475 อาจารย์วัดโพธิ์ชัย สอนให้ภาวนา อนุสสติ 10 ด้วยวิธีท่องเอา แล้วบริกรรมในใจว่า พุทธานุสสติ สังฆานุสสติ ไปจนถึง อปสมานุสสติ จบแล้วตั้งต้นใหม่เรื่อยไป จิตสงบเบิกบานดี บริกรรมทุกอิริยาบถเป็นอารมณ์ติดต่อกันไป
    ในระหว่างนั้นโยมบิดาได้นำหนังสือเกี่ยวกับการเจริญสมถะและวิปัสสนาของ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม มาให้อ่าน ท่านอธิบายเรื่อง สติปัฏฐาน4 โดยเฉพาะเรื่องกายานุปัสสนา ให้พิจารณาร่างกายเพ่งดูแยกออกเป็นส่วนๆ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตลอดจนอาการ 32 แล้วให้ถามตัวเองว่า ตัวตน อยู่ที่ไหน แท้จริงก็ไม่มี เมื่อไฟเผาแลัว ย่อมเหลือแต่เถ้ากระดูก
    กำหนดเอากระดูกใส่ครกบดให้ละเอียดแล้วซัดไปตามลมพัดหายก็ไม่เหลืออะไร ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของตนสักอย่างเดียว มีแต่เกิดแล้วดับไปดังปรากฏ
    แล้วใครเป็นผู้รู้ว่าร่างกายเป็นอย่างนั้น ก็จิตนี้เป็นผู้รู้ เมื่อสติกลับมา รู้จิต จิตก็รวมลงเป็นหนึ่ง แสดงว่า จิตปล่อยวางร่างกายได้ตามสภาพ จึงประคองจิตให้สงบอยู่ต่อไปนานเท่าที่จะอยู่นานได้ ในขณะนั้นจะมีความรู้สึกว่า กายก็เบา จิตก็เบา คิดจะไปอยู่ป่า พอดำริจะไปอยู่ป่าเท่านั้น มาร คือ กิเลส ก็แสดงอาการขัดขวาง เกิดความรู้สึกนึกคิดเป็นสองทาง ใจหนึ่งอยากสึกออกไปครองเรือน ใจหนึ่งอยากออกปฏิบัติเจริญสมถะวิปัสสนาตามที่ตั้งใจไว้ วันแล้ววันเล่ายังตัดสินใจไม่ได้ จึงลองอดข้าวหนึ่งวัน พอตกค่ำเวลาประมาณสามทุ่ม ก็ห่มผ้าสังฆาฎิแล้วทำวัตร อธิษฐานจิตว่า บัดนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนาเพื่อพิจารณาตัดสินใจลงทางใด ทางหนึ่งให้ได้ ถ้าตัดสินใจไม่ได้จะไม่ลุกออกจากที่นั่งนี้เลย ภายหลังได้ตัดสินใจประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป ได้พบพระอารย์กู่ ธมฺมทินฺโน บ้านเดิมท่านอยู่อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ท่านเที่ยวธุดงค์ไปทางหนองคาย พักอยู่ที่วัดเดียวกัน ได้รับคำอธิบายในอุบายภาวนาเพิ่มเติมจนเข้าใจดี ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 ได้พบกับ ท่านอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม อยู่วัดสิริสาลวัน ได้พาบวชเป็นพระธรรมยุตที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี
    พ.ศ. 2476 จำพรรษาวัดป่าสาระวารี บ้านค้อ อำเภอผือ อุดรธานี
    เป็นที่ซึ่งพระอาจารย์มั่นเคยจำพรรษา ได้ตั้งใจทำความเพียรสงบใจมาก แต่วิปัสสนายังไม่แกกล้า ได้แต่สมถะ ออกพรรษาแล้วจึงธุดงค์ไปจังหวัดเลย พักวิเวกอยู่ถ้ำผาปู่ และ ถ้ำผาบิ้ง ได้ความสงบสงัดมาก
    พ.ศ. 2477 พรรษาสอง จำพรรษาวัดอรัญญวาสี อำเภอท่าบ่อ หนองคาย
    มีพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน เป็นหัวหน้า ตั้งใจไม่นอนกลางวัน ค่ำลงทำความเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิ ถึงตีสอง แล้วลุกขึ้นทำความเพียรจนสว่าง พอถึงเดือนหกเดินทางกลับมาจำพรรษาที่ วัดป่าบ้านค้อ ตามเิด
    พ.ศ. 2478 พรรษาสาม จำพรรษาที่วัดป่าสาระวารี
    พ.ศ. 2479-2480 พรรษาสี่และห้า จำพรรษาที่วัดอรัญญบรรพต
    ทำภาวนาจิตสงบแล้วพิจารณาขันธ์ห้าเป็นอารมณ์ เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาตามสภาพความเป็นจริง แล้วปล่อยวาง จิตสงบพร้อมกับความรู้เป็นอย่างดี คล้ายหมดกิเเลส แต่ต่อมามีเรื่องต่างๆ มากระทบ ก็รู้สึกจิดผิดปกติ หวั่นไหวไป ตามอารมณ์นั้นๆ อยู่บ้าง แต่ไม่รุนแรง ก็แสดงว่ากิเลสยังไม่หมดสิ้น พยายามแก้ก็ไม่ตก นึกในใจว่าใครหนอจะช่วยแก้จิตให้ได้ จึงนึกไปถึงกิตติศัพท์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต จึงชวนภิกษุรูปหนึ่งลงเรือจากหลวงพระบางขึ้นไปทางอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เดินทางไปหาท่าน
    พ.ศ. 2481 ได้พบท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    ที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ โดยความเมตตาของหลวงตาเกต ซึ่งเป็นสัทธิ วิหาริก ของท่าน ได้พาไปพบที่ป่าละเมาะใกล้ๆ โรงเรียนแม่โจ้ อำเภอสันทราย ได้เห็นด้วยความอัศจรรย์ใจเพราะตรงกับในนิมิตทุกประการ ท่านได้แนะนำว่านักภาวนา พากันติดสุขจากสมาธิจึงไม่พิจารณาค้นคว้าหาความจริงของชีวิตกัน
    ท่านซักรูปเปรียญให้ฟังว่า ธรรมดาเขาทำนาทำสวน เขาไม่ได้ทำใส่บนอากาศแลย เขาทำใส่บนพี้นดินจึงได้ผล ฉันใด โยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายควร พิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในนามรูป ด้วยอำนาจแห่งปัญญานั้นแหละจึงจะเป็นทางหลุดพ้นได้ ไม่ควรติดอยู่ในความสงบโดยส่วนเดียว
    เมื่อท่านให้โอวาทแล้วจึงพิจารณาดูตังเองว่าได้เจริญเพียงสมถะไม่ได้เจริญ วิปัสสนาเพียงรู้แจ้งในธรรมที่ควรรู้ คือ อริยสัจสึ่ จึงเจริญวิปัสสนาเรื่อยมา ตั้งแต่พรรษาที่ 6 อยู่ในเขตภาคเหนือจนถึงพรรษาที่ 16 แล้วเดินทางกลับธุดงค์ ผ่านหลวงพระบาง ประเทศลาว เข้าเวียงจันทน์ มายังหนองคาย
    พรรษาที่ 19 ถึง 26 จำพรรษาเผยแพร่ธรรมะปฏิบัติอยู่ภาคใต้ แล้วจึงย้ายไปอยู่วัดอรัญญบรรพต ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 เรื่อยมา

    >>>>>>ธรรมโอวาท
    1. นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ หมู่สัตว์นี้มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นโทษทั่งนักบวช ทั้งคฤหัสถ์ ถ้าใครสะสมกิเลอให้แน่นหนาทั้งในใจ ใจก็ให้ทุกข์ ให้โทษกับผู้นั้น ไม่ใช่ให้ทุกข์แก่นักบวชฝ่ายเดียว
    2. อันสตินี้ สัมปชัญญะนี้ ก็สมมติเป็นโชเฟอร์กำพวงมาลีย มีสติคอยระมัดระวัง กาย วาจา จิต อยู่เสมอๆ คอยระวังเรื่องต่างๆ ระมัดระวังไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเที่ยวประกาศ ห้ามใครมาติชมเรา ที่ว่าระวังนั้น คือ เมื่อมีเรื่องมากระทบให้รู้ทัน ในทันที เราจะห้ามจิตไม่ให้หวั่นไหวไปไม่ได้ แต่ให้ระวัง ต้องควบคุมจิตด้วยสติให้ถี่ๆ กระชับสติสัมปชัญญะให้มันถี่เข้ามา จะได้ไม่หวั่นไหวกับคำพูดเสียดแสงใจต่างๆ
    3. ถ้าจิตสงบมีกำลังพักผ่อนเต็มที่แล้ว มันก็จะอยากรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ควรรู้ ต้องกำหนดหาเรื่องที่ควรจะรู้ สิ่งใดที่เรายังไม่รู้ก็ต้องกำหนดพิจารณา เช่น กำหนดพิจารณาทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์ก็เบื่อในทุกข์ของขันธ์5 อันไม่เที่ยงแปรปรวน อาการหวั่นไหวกันไปมานั่นแหละ เรียกว่า ทุกขลักษณะ เมื่อจิตรู้อย่างนี้ ก็จะได้ไม่หวั่นไหว ไม่ยึดเอาของไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์ หลวงปู่เหรียญได้อาพาธด้วยโรคไต และต่อมลูกหมากโต เส้นเลือดในสมองและหัวใจตีบ ความดันโลหิตและโรคชรา ต้องเข้ารักษาอาการที่ รพ.เอกอุดร จ.อุดรธานี และโรงพยาบาลวิชัยยุทธอย่างต่อเนื่องมานานถึง 2 ปี ก่อนเข้าเป็นคนไข้ในพระราชินูปถัมภ์ และย้ายไปรักษาที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.48 จนกระทั่งเวลา 11.50 น.วันที่ 5 มิ.ย.48 หลวงปู่ได้ละสังขารด้วยอาการที่สงบ รวมสิริอายุ ได้ 93 ปี 73 พรรษา >>>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ ******มาพร้อมกล่องเดิม sam_7272-jpg-jpg-jpg.jpg sam_7113-jpg-jpg-jpg.jpg sam_7116-jpg-jpg-jpg.jpg sam_7117-jpg-jpg-jpg.jpg sam_7118-jpg-jpg-jpg.jpg SAM_9154.JPG SAM_9155.JPG SAM_9157.JPG sam_8128-jpg.jpg sam_1808-jpg-jpg-jpg.jpg


     
  12. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 759
    เหรียญครบ 80 พรรษาหลวงปู่หลุย จันทสาโร พระอรหันต์เจ้าวัดถํ้าผาบิ้ง อ.วังสะพุง จ.เลย หลวงปู่หลุยเป็นศิษย์รุ่นใหญ่หลวงปู่มั่น เหรียญสร้างปี 2524(ทันหลวงปู่ครับท่านละสังขาร 2532) เนื้อทองเเดงรมนํ้าตาล สร้างเนื่องหลวงปู่อายุครบ 80 ปี ,มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ************บูชาที่ 375 บาฟรีส่งems
    หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร

    วัดถ้ำผาบิ้ง บ้านนาแก ตำบลผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

    "พระอริยเจ้าผู้มีปฏิปทามักน้อยสันโดษหาผู้เสมอได้ยาก"


    1-png-png.png


    พระเดชพระคุณหลวงปู่หลุย จนทฺสาโร เดิมท่านนับถือศาสนาคริสต์ แต่มีนิสัยวาสนาน้อมมาในทางธรรมตั้งแต่วัยเด็ก

    อายุ ๗ ขวบ ธรรมเกิดเพียงเพราะการมองดูสายน้ำที่ไหลไปไม่มีวันกลับ ท่านคิดๆ พิจารณาเทียบชีวิตของคนที่ล่วงตายไป ไม่มีวันกลับคืนได้อีก จึงภาวนาโดยอาศัยสายน้ำนั้นเป็นอารมณ์

    อายุ ๙ ขวบ จิตตกภวังค์ นิมิตเห็นแสงสว่างคล้ายสีรุ้ง เกิดความชื่นชอบพระกรรมฐานและการออกบวชแบบพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก

    ท่านเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นที่ได้รับการยกย่องว่า "เป็นผู้ทรงธุดงค์ธรรม ว่าด้วยความเป็นผู้มักน้อยสันโดษ หาผู้ใดในยุคปัจจุบันเสมอได้ยาก" นอกจากความเป็นผู้มักน้อยสันโดษแล้ว ท่านยังเป็นผู้มีความเพียรกล้า เป็นผู้ที่มีบุญวาสนา ได้ร่วมสำนักปฏิบัติธรรมและได้อุบายธรรมกับสุดยอดพระบูรพาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานทั้งสองคือ หลวงปู่เสาร์ กนตฺสีโล และ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

    นิสัยของท่านอยู่ง่ายไปเร็ว ชอบท่องเที่ยวไปตามป่าเขา ไม่ติดสถานที่ ชอบอยู่ป่าและถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร และเป็นศิษย์ที่เข้าใจในอัชฌาศัยของท่านพระอาจารย์มั่นเป็นอย่างดี สามารถนิมนต์ท่านพระอาจารย์มั่น อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านหนองผือได้ จนกลายเป็นสำนักกรรมฐานที่เลื่องชื่อผลิตพระอริยเจ้าเข้าสู่ตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน

    ท่านได้รับอุบายธรรมอันสำคัญจากสหธรรมิกผู้เป็นพระดั่งเพชรน้ำหนึ่งคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย ด้วยอุบายธรรมอันแยบยลที่ได้รับจากเพื่อนนี้เอง หลวงปู่หลุยจึงได้กล่าวว่า "การภาวนาจะเป็นไปได้ด้วยดีนั้น นอกจากจะต้องมีครูบาอาจารย์ที่ดีแล้ว ก็คสรจะต้องมีกัลยาณมิตรที่ดีด้วย"

    ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ พรรษา ๔๐ ท่านถึงที่สุดแห่งธรรม ถึงการประหารกิเลสเข้าสู่นิพพานด้วยวิชาม้างกาย ที่ถ้ำกกกอก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย



    2-png-png.png

    ในหลวงทรงนมัสการหลวงปู่หลุย


    ท่านเกิดวันอังคารที่ ๓ ปีฉลู ณ ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย เป็นบุตรของ นายคำผ่อย วรบุตร (ลูกชายเจ้าเมืองแก่นท้าว แขวงไชยบุรี ประเทศลาว) และนางกวย วรบุตร (เจ้าแม่นางกวย ธิดาของผู้มีฐานะเขตเมืองเลย)

    อุปสมบทครั้งแรก เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๖ ณ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างพรรษาแรก ท่านได้พยายามศึกษาพระธรรมวินัย ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์บุญ ปญฺญาวุโธ เกิดความเลื่อมใสจึงขอถวายตัวเป็นศิษย์ และได้ญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุตที่วัดศรีสะอาด อำเภอเมือง จังหวัดเลย

    ต่อมาท่านได้พบกับ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่เสาร์ที่วัดพระพุทธบาทบัวบก



    3-png-png.png

    รูปเหมือนหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร


    ในพรรษานี้ การภาวนาของท่านจิตรวมแล้วเกิดอาการสะดุ้ง พระอาจารย์บุญสงสัยว่าการญัตติครั้งที่แล้วคงจะไม่ถูกต้อง จึงได้ให้ญัตติเป็นคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตใหม่เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เวลา ๑๓.๐๘ น. โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์บุญ ปญฺญวุโธ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ณ วัดโภธิสม๓รณ์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี

    หลังจากญัตติแล้ว พระอาจารย์บุญได้นำท่านไปกราบท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย หลังจากนั้นท่านจึงออกวิเวกไปทางจังหวัดเพชรบูรณ์ เลย อุดรธานี นครราชสีมา ร้อยเอ็ด ขอนแก่น สกลนคร หนองบัวลำภู จันทบุรี ปทุมธานี นครนายก สมุทรปราการ ชลบุรี หนองคายและประจวบคีรีขันธ์

    ปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ - ๒๕๑๕ ท่านจำพรรษาที่ถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย นานติดต่อกัน ๖ ปี นับเป็นการจำพรรษายาวนานกว่าที่แห่งไหน

    ปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ - ๒๕๓๒ ท่านได้จำพรรษา ณ ที่พักสงฆ์ พหลโยธิน กม. ๒๗ ดอนเมือง กรุงเทพฯ และที่พักสงฆ์เย็นสุดใจ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์



    4-png-png.png

    อัฐิธาตุของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ที่วัดอโศการาม



    5-png-png.png

    อัฐิธาตุของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร


    ท่านนิพพานเข้าสู่บรมธรรมในวันจันทร์ที่ ๒๕ พ.ศ. ๒๕๓๒ เวลา ๐๐.๔๓ น. ณ โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

    สิริรวมอายุ ๘๘ ปี ๑๐ เดือน ๑๔ วัน ๖๔ พรรษา



    6-png-png.png

    พระธาตุของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร



    7-png-png.png

    เกศาและพระธาตุของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร sam_8776-jpg.jpg sam_7644-jpg.jpg

     
  13. อโศกาชน

    อโศกาชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +447
    จองเหรียญหลวงปู่หลุยครับ
     
  14. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 760(อดีตชาติของหลวงปู่จามคือ ...พระนาราย์มหาราช.พระนเรศวรมหาราช,พระปิยะมหาราช เป็นต้นครับ ดูในยููปได้ครับหลวงปู่จามท่านเทศน์ลูกศิษย์ภาษาอีสานภูไท
    เหรียญกลมใหญ่หลวงปู่จาม มหาปุญโญ พระมหาโพธิสัตว์โตวัดป่าวิเวกพัฒนาราม จ.มุกดาหาร มีตอกโค๊ตหลังเหรียญ สวยๆ หายาก หลวงปู่จามเป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล,หลวงปู่มั่น ภูริทัติโต ตั้งเเต่บวชเป็นเณร เหรียญใหม่ไม่เคยใช้***********บูชาที่ 505 บาทฟรีส่งems
    0kppmtyfrwz-u-vbwzjva4tzxhijcfg9rue2wxjnrkzjvkxhoorcqmfafpwhvg-cs9eiodhw-jpg-jpg-jpg-jpg-jpg-jpg.jpg
    >>>>>>>ประวัติย่อๆพอสังเขปหลวงปู่จาม มหาปุญโญ เกิดในสกุล ผิวขำ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 พ.ค. 2453 ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ที่บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร บิดา-มารดา ชื่อ นายกา และนางมะแง้ ผิวขำ ครอบครัวมีพี่น้องร่วมอุทรรวม 9 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 3
    เมื่อวัยเยาว์ อายุได้ 6 ขวบ พ่อแม่พาไปกราบหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์สายพระป่า ซึ่งได้มาจำพรรษาอยู่ใกล้บ้านที่ภูผากูด คำชะอี
    กระทั่งอายุได้ 16 ปี โยมพ่อแม่ได้พาไปถวายตัวกับหลวงปู่มั่น ที่ จ.อุบลราชธานี ให้นุ่งขาวห่มขาวเป็นเวลา 9 เดือน
    ปีถัดมา เข้าพิธีบรรพชา อยู่รับใช้ หลวงปู่มั่น ที่บ้านหนองขอน อ.บุ่ง จ.อุบลราชธานี ได้มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงพ่อลี ธัมมธโร, หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม เป็นต้น
    แต่ผ่านไปได้เพียง 2 ปี จำต้องลาสิกขาออกมา เพื่อรักษาโรคเหน็บชา อันเนื่องมาแต่ตกบันไดกุฏิ และการประกอบความเพียรมากเกินไป เช่น นั่งภาวนาในน้ำ ถือไม่นอน และฉันน้อย เป็นต้น ทำให้ต้องหันกลับไปใช้ชีวิตเป็นฆราวาส ประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา ค้าขาย
    เมื่ออายุได้ 27 ปี พ่อกา (โยมพ่อ) ได้บวชเป็นพระภิกษุ (ใช้ชีวิตอีก 6 ปี ก็มรณภาพ) ส่วนแม่มะแง้ (โยมแม่) ได้บวชชี (ใช้ชีวิตอีก 36 ปี จนถึงแก่กรรม) ก่อนที่จะไปกราบไหว้พระธาตุพนม จ.นครพนม เพื่ออธิษฐานขอบวชในพระพุทธศาสนา
    เมื่ออายุได้ 29 เต็มปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2482 ที่วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมี พระเทพกวี (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์
    หลังอุปสมบท ท่านออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ได้จำพรรษาสังกัดวัดเจดีย์หลวง ถึง 32 พรรษา โดยอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวง ปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
    อีกทั้ง ยังเคยออกธุดงค์หาประสบการณ์ในเขตภาคอีสาน เคยปฏิบัติธรรมร่วมกับเกจิอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย, หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู, หลวงพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทร ปราการ, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าบ้านข่า จ.นครพนม เป็นต้น
    พ.ศ.2521 เดินธุดงค์กลับมาทางภาคอีสานและเดินธุดงค์มายังบ้านเกิด คือ บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี และจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
    ชาวบ้านและคณะศิษยานุศิษย์ นิมนต์ให้ท่านจำพรรษาปักกลดที่วัดป่าวิเวกวัฒนาราม และพัฒนาให้เป็นที่พำนักนั่งวิปัสสนากรรมฐานเผยแผ่พระธรรมปรมัตถ์แผ่เมตตาให้แก่ชาวบ้านในละแวกนั้นตลอดจนปัจจุบัน
    ส่วนผลงานที่เป็นรูปธรรมอันทรงคุณค่านั้น หลวงปู่จามได้สร้างไว้เป็นที่ประจักษ์ชัดมากมาย อาทิ สร้างพระเจดีย์ทรงจุฬามณีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และสร้างกุฏิเสาเดียว จำนวน 11 หลัง รวมทั้งสร้างศาลาการเปรียญ และหอฉันสำหรับไว้เทศนาญาติโยมในวันสำคัญต่างๆ
    ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2553 ชาวจังหวัดมุกดาหารพร้อมใจจัดทำโครงการก่อสร้างพระพุทธรูปเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ปางมารวิชัยก่ออิฐถือปูนสีขาว ขนาดหน้าตักกว้าง 39.99 เมตร องค์พระสูง 59.55 เมตร ความสูงจากเศียรพระ 84 เมตร ประดิษฐาน ณ วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ ต.นาสีนวน อ.เมือง จ.มุกดาหาร
    ซึ่งเป็นโอกาสเดียวกับที่หลวงปู่จาม มีอายุครบ 100 ปี หลวงปู่จามพร้อมด้วย พระธัมมธโร หรือ ครูบาแจ๋ว รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกวัฒนาราม เมตตาอนุญาตให้จัดสร้างเหรียญที่ระลึก 100 ปี หลวงปู่จาม มหาปุญโญ เพื่อหารายได้สมทบทุนสร้างพระพุทธรูปเฉลิมพระ เกียรติ
    >>>>หลวงปู่จามมรณภาพอย่างสงบด้วยโรคปอดติดเชื้อ สิริอายุ 104 พรรษา 75 ขณะนำตัวส่งโรงพยาบาลมุกดาหาร เมื่อช่วงเช้าวันที่ 19 ม.ค. 2556>>>>>>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคล ***********(........หายากเเล้วครับวัตถุมงคลของหลวงปู่ลูกศิษย์เก็บหมด) sam_7616-jpg.jpg sam_8777-jpg.jpg sam_8778-jpg.jpg
    SAM_9159.JPG SAM_9160.JPG
     
  15. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,965
    ค่าพลัง:
    +6,562
    ขอจอง760ครับ
     
  16. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    >>>>>เรียนเเจ้งเพื่อนๆสมาชิกที่มาดูทราบ เมื่อ 3 ปีก่อนผมได้ไปกราบหลวงปู่รินทร์ สันตมโน(พระอาจารย์ผมเอง) ที่หนองคาย หลวงปู่รินทร์ท่านเอ่ยออกมาเองว่าหลวงปู่เข้าญานสมาบัติเเล้วเกิดนิมิตเห็นภาพเกิดนํ้า่ท่วมใหญ่กรุงเทพนะสมชาย คนจะหนีตายออกมาเเถวโคราช,ชัยภูมิ เยอะ น่ากลัวมาก หลวงปู่่ท่านพูดด้วยเเล้วลูบเเขนบอกว่าหลวงปู่ขนลุกเลย จะเกิดปลายปีนะ ให้บอกเพื่อนหรือญาติตร้อมตัวให้พร้อม เติมนํ้ามันให้เต็มถังตลอดเวลา เพราะปั๊มนํ้ามันจะขาดเเคลนนํ้ามัน อนึ่ง...เรียนเเจ้งให้ทราบเพื่อนๆ สำหรับพระอรหันต์เจ้านั้น นิมิตไม่ใช่ฝันนะครับ พระผู้ไม่มีกิเลสเเล้ว ท่านจะนิมิตเห็นภาพในอดีตเเละอนาคตได้ หลวงปู่รินทร์นั้นท่านหมดกิเลสปี 2550 เเล้ว (ท่านบวชปี 2548) ได้พระอรหันต์ปี 2550 ว่างๆท่านไม่ได้ทำอะไร ก็เข้านิโรธสมาบัติไปเที่ยวนั้นเที่ยวนี้บ้าง บางครั้งไปเที่ยวพระนิพพานก็มี (ท่านเล่าให้ผมฟังเองครับ) เพราะฉะนั้นให้เพื่อนเตรียมตัวไว้ ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็เเล้วไปนะครับ ถิอว่าผมกลัวเกินเหตุก็เเล้วกัน ป้องกันไว้จะดีกว่า เพราะว่ายังมีพายุเข้าไทยอีก 2 ลูก เดือนนี้ เลยเเจ้งเผื่อทราบไว้ครับผม รักเเละเป็นห่วงทุกคนครับ หมายเหตุเกศาหลวงปู่รินทร์อาจารย์ของผม ี่ผมเเกะออกมาจากถุงผ้าครับ ถ่ายสดๆ องค์ที่สวมหมวกครับ นั่งเพ่งคำหมากในมือเเละวัตถุมงคลในกล่องใหญ่ เลยครึ่งชั่วโมงได้ครับ SAM_9161.JPG SAM_8157.JPG sam_2512-jpg-jpg.jpg sam_2541-jpg-jpg.jpg sam_9000-jpg-jpg.jpg sam_9167-jpg-jpg.jpg sam_9173-jpg-jpg.jpg SAM_9161.JPG SAM_9163.JPG SAM_9164.JPG SAM_9165.JPG SAM_9166.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2021
  17. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 761
    เหรียญหล่อกลมไข่หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป พระอรหันต์เจ้าวัดอรัญวิเวก (วัดบ้านปง) หลวงปู่เปลี่ยนเป็นศิษย์หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม,หลวงปู่เเหวน สุจิณโณ วัดดอยเเม่ปั๊ง เหรียญสร้างปี 2557 เนื้อทองเเดงรมดำมันปู สร้างเนื่องฉลองพระอุโบสถวัดบ้านโคกคอน เป็นวัดบ้านเกิดของหลวงปู่ครับ มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชา ************บูชาที่ 405 บาฟรีส่งems
    "พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป" อริยสงฆ์แห่งอรัญญวิเวก
    วันที่ 15 ก.พ. 2561 เวลา 21:45 น. วันละสังขารท่าน


    c79e6bbdaec5444caf97dfce1d7429e7-jpg-jpg.jpg

    ปีพ.ศ. 2470 ชาวบ้านปง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ได้ยินข่าวว่ามีพระกรรมฐานรูปหนึ่งจาริกมาพำนักอยู่ที่วัดไทยใหญ่ ในเขตอำเภอแห่งนั้น ชาวบ้านปงซึ่งเป็นผู้มีศรัทธาปสาทะในพุทธศาสนาเป็นทุนอยู่เดิมแล้ว จึงมอบให้ตัวแทน 9 คนไปนิมนต์พระภิกษุรูปนั้นมาโปรดชาวบ้านปง

    อาจารย์กรรมฐานรูปนั้นคือ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ บุรพาจารย์ของเหล่าพระป่าในยุคกึ่งพุทธกาล

    ในวันที่รับอาราธนานั้นเอง หลวงปู่มั่นก็เดินทางด้วยเท้า 6 กิโลเมตร กลับมากับผู้แทนชาวบ้านปงทั้ง 9 หลังพาท่านไปพักที่ป่าช้าได้ 3 วัน ก็พบที่สัปปายะเป็นเนินเขาเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งมีซากฐานของพระวิหารอันเป็นเครื่องหมายบ่งว่า สถานที่แห่งนั้นเป็นวัดร้างมาก่อน จึงได้ปลูกที่พักให้ท่านได้พำนักอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น

    นับแต่นั้นมาศิษยานุศิษย์ของพระอาจารย์มั่นจากทั่วสารทิศก็หลั่งไหลมาสู่บ้านปง

    ในพรรษาแรกมี 5 รูป หมดพรรษานั้นพระอาจารย์มั่นได้ออกเที่ยวธุดงค์ต่อ แต่ก่อนจะออกเดินทาง ท่านได้เมตตาตั้งชื่อสถานที่แห่งนั้นให้ว่า “สำนักอรัญญวิเวก บ้านปง” ซึ่งต่อมาเรียกกันสั้นๆ ว่า “วัดบ้านปง”
    พระอาจารย์มั่นยังสั่งไว้ด้วยว่า “ขอให้คณะศรัทธาญาติโยม จงพากันรักษาปฏิบัติดูแลสำนักแห่งนี้ไว้ให้ดี ต่อไปในอนาคตข้างหน้า จะมีเจ้าของเขามาสร้างพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง เป็นสถานที่ปฏิบัติกรรมฐาน และเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองในอนาคตภายภาคหน้าแก่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายสืบไป”
    หลังพระอาจารย์มั่นจากไป ก็มีพระกรรมฐานธุดงค์หลายรูปผ่านมาพำนัก ณ สถานที่แห่งนี้ ไม่ว่า หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่สาม อกิญจโน หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ฯลฯ โดยเฉพาะหลวงปู่แหวนนั้นมาจำพรรษาอยู่ ณ ที่นี่ถึง 10 พรรษา แต่ก็ไม่มีรูปใดส่อแววว่า จะเป็นเจ้าของผู้มาสร้างพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองดังที่พระอาจารย์มั่นระบุไว้

    กระทั่งวันอาทิตย์ที่ 12 ก.พ. ปีพ.ศ. 2509 พระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งก็มาถึง จากวันนั้นถึงวันนี้ ชื่อและนามของท่านก็ปรากฏเป็นที่เรียกขานคู่กันรู้จักกันทั่วไปว่า “พระอาจารย์เปลี่ยนวัดอรัญญวิเวก” หรือ “พระอาจารย์เปลี่ยนวัดบ้านปง”

    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป พระหนุ่มในพ.ศ.โน้น เป็นหลวงปู่เปลี่ยนแล้วในวันนี้ แต่ผู้ที่ได้พบมักจะกล่าวตรงกันว่า โดยรูปลักษณ์ที่เห็นนั้น ท่านไม่น่าจะมีอายุถึง 77 ปี

    พระอาจารย์เปลี่ยน เป็นคนบ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เกิดในสกุล วงษาจันทร์ เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ปีพ.ศ. 2476 บิดามารดาประกอบอาชีพค้าขาย ตาและยายซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูเป็นกำนัน ท่านเป็นผู้ฝักใฝ่ในเรื่องศาสนามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย อาจเพราะพื้นเพวาสนา มาแต่เก่าก่อนนั้นประการหนึ่ง การได้คลุกคลีกับพระสงฆ์มาแต่วัยเยาว์นั้นก็อีกส่วนหนึ่ง แต่ถึงจะเอ่ยปากขอบวชมาตั้งแต่อายุ 12 ปี จนกระทั่ง 20 ปี มารดาก็ไม่อนุญาต

    กระทั่งบิดาเสียชีวิตในปีพ.ศ. 2497 และอีก 5 ปีถัดมาลุงก็เสียชีวิตตามไป เมื่อสบโอกาสว่าจะขอบวชแทนพระคุณท่านทั้งสอง ทั้งตาและแม่เลยอนุญาตให้บวช 7 วัน แต่ 7 วันนั้นก็เป็นแต่เพียงกำหนดที่ไม่เป็นจริง

    พระอาจารย์เปลี่ยน อุปสมบทที่วัดพระธาตุมีชัย บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ปีพ.ศ. 2502 โดยมีพระครูอดุลยย์สังฆกิจเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพิธธรรมสุนทร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ โดยปฏิญาณต่อพระปฏิมากรว่า “การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เป็นหน้าที่ของพระทุกรูปที่ได้มาบวชในศาสนา”

    บวชครบ 7 วัน พอโยมแม่มาขอให้สึกก็ขอผลัดเป็นให้รอออกพรรษาไป 21 วัน คำปฏิญาณตอนบวชได้ย้อนมาเตือนใจอีกครั้งหนึ่ง เป็นเหตุให้ลงมือทำทางจงกรมเพื่อเจริญภาวนา และเพียงเดินจงกรมไป 2 ชั่วโมงและนั่งภาวนาอีก 3 ชั่วโมงในวันแรกของการจงกรม

    หลังนั่งลงโดยตั้งสัจจะว่า “ถ้ายุงตัวใดจะดูดกินเลือด ก็จะถือเป็นพระพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพื่อปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะต้องเป็นไข้มาลาเรียตายก็ยอม เพราะรุ่งขึ้นเช้าไปบิณฑบาตมาฉันแล้วก็เปลี่ยนเป็นเลือดได้”

    ท่านว่า หลังปล่อยวางจิตเข้าสู่สมาธิแล้ว ก็หายไปหมดทั้งร่าง แล้วความสงบครั้งแรกในชีวิตก็บังเกิดขึ้นและดำเนินไปกระทั่ง 3 ชั่วโมงเศษ ถึงรู้สึกตัว

    พระอาจารย์เปลี่ยนจำพรรษาแรกอยู่กับพระอาจารย์สุภาพ ธัมมปัญโญ และพระอาจารย์สุภาพนี่เองที่นำไปพบ หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ พระอรหันต์แห่งวัดบ้านดงเย็น หรือวัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี

    วันแรกที่ได้ไปกราบคารวะทำวัตรกับหลวงปู่พรหม หลวงปู่ได้เทศน์ให้ฟัง พอกลับมาภาวนาและเข้าที่ด้วยท่าสีหไสยาสน์ พอนึกไปถึงเทศนานั้นจิตก็ลงสู่ความสงบ ปรากฏว่า ตัวท่านไปนั่งอยู่หน้าหลวงปู่พรหมที่วัดบ้านดงเย็น แล้วหลวงปู่พรหมจึงเทศน์ให้ฟังเรื่องอริยสัจ 4 แล้วเร่งให้ปฏิบัติให้มาก

    หลังจากนั้นหลวงปู่พรหมจะมาชี้แนะวิธีการภาวนาให้ในสมาธิอย่างน้อยเดือนละ 2 หน

    พอออกพรรษาวันแรก โยมมารดาก็มาถามเรื่องสึกอีก หนนี้ท่านผลัดว่า ขอรับกฐินก่อน พอรับกฐินท่านออกธุดงค์ไปองค์เดียว จนพบหมู่คณะ พากันออกไปตามหาท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

    ท่านอาจารย์จวนชี้แนะว่า “ต้องเปลี่ยนสมมติให้รู้ ข้ามสมมติให้ได้”

    จากท่านอาจารย์จวน ตัดลงใต้ไปถึงภูเก็ตเพื่อไปศึกษากับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ระหว่างนั้นหลวงปู่พรหมก็ยังมาสอนในสมาธิอยู่เสมอๆ

    ขณะนั้นการดำเนินจิตของท่านมาถึงจุดที่นั่งภาวนาแล้วจิตดิ่งลึกไปโดยไม่รู้ว่า จิตอยู่ที่ไหน ทุกอย่างดับจนไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น แต่เกิดปีติมากจนไม่อยากฉันอาหาร

    หลวงปู่เทสก์แก้ปัญหาให้ว่า “อาการเช่นนี้เรียกว่า นิพพานพรหม จิตดับกระทั่งไม่ได้ยินเสียง ไม่รับรู้อะไรจากภายนอก จิตลงไปสู่ส่วนลึกที่สุดเป็นอัปปนาฌาน เรียกว่า พรหมลูกฟัก เป็นพรหมชั้นสูง ถ้าไม่แก้ไขผู้นั้นจะคิดว่าตนได้พบพระนิพพาน จะไปไหนไม่รอด...”

    ท่านว่า ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงปู่ขาวติดตามหลวงปู่มั่นไปยังภาคเหนือ หลวงปู่ขาวนั่งภาวนารวดเดียวตั้งแต่ 6 โมงเย็นไปถึง 6 โมงเช้า ที่สำนักสงฆ์อรัญญวิเวก น้ำค้างจับร่างหลวงปู่ขาวจนเปียกชุ่ม พอหลวงขาวออกจากสมาธิไม่รู้ว่า จิตไปอยู่ที่ไหน เลยไปเรียนถามหลวงปู่ใน

    หนนั้นหลวงปู่มั่นชี้แนะเพียงนิดเดียวว่า ให้ตั้งต้นใหม่ ติดตามดูจิตตั้งแต่เริ่มต้น เข้าสมาธิ ใช้สติปัญญาตามดูจิตให้ดีว่า วางอารมณ์อะไรจึงดับเสียงไปหมด ให้ดูว่าจิตไปอยู่ที่ไหน ต้องตามให้รู้

    พระอาจารย์เปลี่ยนก็ใช้กลวิธีเดียวกันนั้นแก้หลุมพรางของจิตที่ประสบอยู่


    95a34488988f4bb08d5642d2470075de_1000-jpg-jpg.jpg
    ขึ้นมาจากภูเก็ต ท่านไปกราบคาราวะรับการชี้แนะจากหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่ขาว ฯลฯ และหลวงปู่ขาวก็ย้ำว่าให้แก้ด้วยวิธีการเช่นว่า

    การเบนเข็มจากภาคอีสานมาสู่ภาคเหนือเกิดขึ้นหลังพรรษาที่ 4 เมื่อได้ยินข่าวว่า หลวงปู่ตื้อเทศน์เก่ง หลวงปู่แหวนไม่เทศน์ แต่เป็นนักปฏิบัติ การมุ่งขึ้นเหนือคราวนี้ ทำให้ได้พบและอยู่ศึกษากับ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร แล้วไปอยู่กับหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวนดังใจหมาย

    ท่านว่า หลวงปู่ตื้อนั้นมีความสามารถในการสอนธรรมะและไขปัญหาต่างๆ ให้ได้พบความกระจ่างแจ้งอย่างที่ร่ำลือ

    ค่ำบีบนวดถวาย ระหว่างนั้นหลวงปู่ตื้อจะเทศน์ ทั้งสอนทั้งแก้ไขปัญหาที่สงสัย เที่ยงคืนออกมาปฏิบัติถึง 02.00 น. ถึงพักนอนแค่ 2 ชั่วโมง 04.00 น. ตื่นทำวัตร หลวงปู่ตื้อสอนทุกอย่าง รวมทั้งฝึกให้ท่าใช้อนาคตังสญาณคือ แรกๆ จะบอกล่วงหน้าว่า ใครจะมาหา ถึงเวลาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อท่านฝึกตามที่ได้รับการชี้แนะ พระอาจารย์เปลี่ยนก็ได้ญาณนั้นเช่นกันคือ รู้ก่อนล่วงหน้าว่า ใครจะมาหา มากี่คน ใส่เสื้อสีอะไร

    ออกจากหลวงปู่ตื้อ ก็ไปพำนักกับหลวงปู่แหวน

    ในพรรษาที่ 6 ท่านควบคุมจิตได้

    กลวิธีที่ท่านใช้ คือ ทำความเพียรทั้ง 4 อิริยาบถ พอเมื่อยล้าเมื่อไหร่ก็หันไปอ่านหนังสือวิสุทธิมรรค

    ท่านว่า “การดูเข้าไปในจิตเรื่อยๆ มันจะเริ่มวางเสียงลงได้ เสียงจะเบาลงๆ จนกระทั่งดับนิ่ง จึงรู้ว่าจิตเราวางเสียงดังนี้นี่เอง เมื่ออยู่นิ่งๆ นานเข้า ใช้สติปัญญาเข้าไปครองจิตให้นิ่ง มันก็จะสงบลงไปหมด ว่างไปเหมือนไม่มีตัว ไม่มีกาย ว่างอยู่เฉยๆ มันนิ่งสบาย จึงรู้ว่าจิตมาอยู่นี่เอง ร่างกายก็เหมือนไม่มี อยู่ว่างๆ สบาย คอยดูจิตอยู่ มันเหมือนไม่มีใครอยู่ด้วย เหมือนจำพรรษาอยู่คนเดียว การดูจิตของเราไปตลอดเวลา ทำให้หนังสือที่เคยท่องมา เช่น วิสุทธิมรรคที่อ่านอยู่ เกิดตัวรู้ขึ้นมาทันทีตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้าย เหมือนกับอ่านบาลีและรู้ทั้งหมดในทันทีนั้นเอง”

    พระอาจารย์เปลี่ยนเจริญในธรรมมาตามลำดับ โดยได้รับการชี้แนะจากพ่อแม่ครูอาจารย์หลายรูป ไม่ว่า หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ขาว หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่สิม หลวงปู่พรหม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงปู่สาม อกิญจโน อาจารย์บัวพา ปัญญาภาโส หลวงปู่อ่อน หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต ฯลฯ

    หลายรูปที่สอนการภาวนาให้ทั้งมาโดยในนิมิตและการได้พบกันเป็นๆ ในจังหวะต่างๆ

    หลวงปู่แหวนนั้นบอกว่า “เอามันให้ได้ มรรค ผล นิพพาน มันยังมีอยู่ ไม่ได้ไปไหน ...”
    ทุกวันนี้พระอาจารย์เปลี่ยนยังโปรดญาติโยมทั้งใกล้และไกล นอกจากจะพัฒนาวัดป่าอรัญญวิเวกให้เจริญก้าวหน้าดังที่พระอาจารย์มั่นได้กล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ท่านยังเผยแผ่ธรรมะไปในที่ต่างๆ ทั่วโลกอีกทางหนึ่งด้วย ท่านเทศนาได้หลายภาษา ภาษาเวียดนาม ภาษาอังกฤษ ฯลฯ

    กับผู้อยู่ในโลกตะวันตกนั้น ท่านได้ไปสอนบรรดาโปรเฟสเซอร์ตามมหาวิทยาลัยชั้นนำ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกทั้งหลายให้รู้จักธรรมะของพุทธศาสนา ท่านว่า จับโจรต้องจับหัวหน้าโจร เมื่อผู้ที่เป็นหัวหน้า เป็นคนนำปัญญาได้รู้ได้เห็นธรรมะแล้ว ธรรมะก็จะเผยแผ่ได้ง่าย

    ผมเคยเรียนถามท่านว่า ท่านเรียนภาษาเหล่านั้นมาจากไหน ถึงเขียนหรือเทศน์เป็นภาษานั้นๆ ได้ ท่านว่า จะไปยากอะไร ก็ภาวนาเอาสิ ภาวนาแล้วมันก็รู้ขึ้นมาเองล่ะ อยากรู้ภาษาอะไรก็ได้รู้

    ท่านเคยเทศนาไว้ว่า ผู้เป็นพระโสดาบันนั้น จะรู้ตนว่ามีศีล 5 ศีล 8 ครบบริบูรณ์ ถ้ารู้ว่าปฏิบัติได้มากกว่านั้น ก็รู้ตัวว่าได้มากกว่านั้น ไม่สงสัย ไม่ลูบคลำว่าศีลข้อนั้นมันดีหรือไม่ดี พระสกิทาคามีนั้น ละความโลภ ความโกรธ ความหลงให้เบาบางลงได้แต่ไม่หมด พระอนาคามีนั้นอยู่ในฌานเป็นพรหมจรรย์อยู่โดดเดี่ยว เหมือนคนไม่มีคู่เรียงเคียงหมอน จิตวิญญาณมีอยู่ขันธ์เดียว อยู่กับความสุข ไม่ยุ่งกับใคร ศีล 8 สมบูรณ์

    สำหรับพระอรหันต์นั้น รู้แจ้งหมดแล้ว หายสงสัยในโลกหมดแล้ว รู้โลกแจ้งชัดเจนแล้ว ไม่หลงโลก ใครจะทำให้หลงก็ไม่หลง ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีความต้องการ ร่างกายก็รู้หมด รู้เฒ่า รู้แก่ รู้เจ็บ รู้ตาย รู้ทุกข์ รู้ยาก พอแล้ว อิ่มแล้ว ไม่เอารูปขันธ์นี้แล้ว เรียกว่าตัดกิเลสขาด ขาดจากความยึดมั่น ถือมั่น วิราโค คลายความกำหนด สิ้นความยินดี ไม่ยินดีกับอะไรในโลกนี้ ความรัก ความชังขาดลอยหมดแล้ว ไม่แต่อุเบกขาญาณ วางเฉยอยู่แต่ยังสอนคนอยู่ จะเอาไม่เอาช่างมัน สอนด้วยความเมตตาเฉยๆ แต่ตัวท่านนั้นทำงานเสร็จแล้ว ไม่มีงานจะทำแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือ การปฏิบัติธรรมอยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำไม่มีอีก ที่จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะมาเกิดอีกไม่มี จิตของท่านไม่ต้องพูดถึง เป็นสมาธิทั้งวันทั้งคืน เป็นอยู่ทุกขณะ รู้อยู่ตลอด พุทโธเต็มอยู่บริบูรณ์อยู่ตลอด มีธัมโม สังโฆอยู่ในตัวตลอด...

    ท่านว่า ผู้ที่รู้ธรรมย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตัง และวิญญูชน รู้ด้วยเฉพาะตัวเอง เหมือนว่า ร้อนเรารู้ หนาวเรารู้ เรารู้อยู่คนเดียว คนอื่นไม่รู้ด้วย ทุกข์เรา ก็รู้อยู่คนเดียวของเรา คนอื่นจะมารู้ไม่ได้..

    วิญญูชนรู้ได้ด้วยเฉพาะตนเอง ไม่ต้องไปวัดหรอก ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์มาวัดหรอก เขาจะวัดของเขาเอง ถ้าเขาหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ เขาก็จะรู้ของเขาเองว่าหลุดพ้นแล้ว ไม่มีอะไรขัดข้องกับจิตใจ”

    พระอาจารย์เปลี่ยนปฏิบัติมาถึงระดับใดท่านรู้ของท่านเอง แต่ที่แน่ๆ คือ เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ ควรแก่การสักการะ

    *************************************

    ในวันที่ 15 ก.พ. 2561 พระอาจารย์เปลี่ยนได้ละสังขารเข้าอนุปาทิเสสนิพพานอย่างสงบ สิริอายุ 84 ปี 2 เดือน 29 วัน พรรษา 59
    sam_8959-jpg.jpg sam_8956-jpg.jpg sam_8957-jpg.jpg sam_8958-jpg.jpg sam_7605-jpg.jpg

     
  18. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 762
    พระกริ่ง 90 ปี+เหรียญรุ่นสร้างโบสถ์หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม พระอรหันต์เจ้าวัดป่าสีห์พนม อ.สว่างเเดนดิน จ.สกลนคร หลวงปู่บุญมาเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถํ้ากลองเพล,หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม เป็นต้น องค์พระกริ่งสร้างปี 2561 สร้างเนื่องในวาระหลวงปุ่อายุครบ 90 ปี เนื้อนวะ มาพร้อมกล่องเดิม มีตอกโค๊ต ใบโพธิ์ด้านหลังองค์พระเเละโค๊ตตัวเลข 474 ใต้องค์พระ เหรียญเนื้อกะไหล่ทอง สร้างปี 2562 มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชา ***********บูชาที่ 535 บาทฟรีส่งems (หลวงปู่ยังทรงธาตุทรงขันต์อยู่ครับปัจจุบัน)

    2793-73ee-jpg.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม

    วัดป่าสีห์พนมประชาคม
    ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร



    “หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม” ท่านถือกำเนิดตรงกับวันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๑ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง ณ บ้านขาม ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร บิดาท่านชื่อ นายเข่ง ธิอัมพร มารดาท่านชื่อ นางชาดา ธิอัมพร สำหรับบิดาของหลวงปู่บุญมาภายหลังได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง มีชื่อและฉายาตามพระพุทธศาสนาว่า “หลวงปู่เข่ง โฆสธัมโม” ขณะนั้นหลวงปู่บุญมาได้พรรษาที่ ๑๐ แล้ว จากนั้นจึงได้ออกธุดงค์ไปในที่ต่างๆ และบั้นปลายชีวิตหลวงปู่เข่ง ท่านได้มาอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่บุญมา ที่วัดป่าสีห์พนมประชาคม จ.สกลนคร และได้มรณภาพลงเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.๒๕๓๗ ขณะมีอายุได้ ๙๐ ปี พรรษา ๓๓

    ชีวิตในวัยเด็กของหลวงปู่บุญมา ท่านได้เรียนจนจบชั้นประถมบริบูรณ์ แล้วได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำนา เมื่ออายุได้ ๑๗-๑๘ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรศึกษาธรรมอยู่ได้ ๑ พรรษา ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๘) หลังจากสึกออกมาช่วยบิดามารดาทำนานั้น ในใจท่านก็คิดเสมอว่า “ถ้ามีโอกาสเมื่อไร ก็จะรักษาศีลอุโบสถเมื่อนั้น” ท่านปฏิบัติอยู่อย่างนี้ จนเป็นที่เลื่องลือของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านว่า ทำไมเด็กหนุ่มนี้จึงมีอุปนิสัยแตกต่างจากคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่หันเหมาทางพระพุทธศาสนา เข้าวัดเข้าวารักษาศีลอุโบสถเหมือนคนเฒ่าคนแก่

    หลวงปู่บุญมาท่านได้เล่าถึงชีวิตเมื่อวัยหนุ่มว่า “เมื่อเข้าหาครูบาอาจารย์ท่านก็เทศน์ให้ฟัง ในเรื่องอานิสงส์ในการรักษาศีล ๕ และทุกข์โทษของการละเมิดผิดศีลผิดธรรมเป็นอย่างไร ก็นำมาพิจารณา และครั้นเวลาครูบาอาจารย์ชวนไปวิเวก ฝึกสมาธิ ศึกษาธรรมะ ก็สนใจปฏิบัติตาม ทำให้จิตเกิดความสงบเยือกเย็น” นับว่าท่านเป็นผู้มีวาสนาบารมีที่ส่อแววให้เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ

    หลวงปู่บุญมาเล่าถึงสมัยชีวิตฆราวาส ได้พิจารณาความตายถึง ๓ วาระ สมัยท่านเป็นฆราวาสได้แต่งงานมีเหย้ามีเรือน ใช้ชีวิตตามวิถีชาวโลก จนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน เหตุการณ์หลังจากนั้นวาสนาบารมีทางธรรมท่านได้ใกล้เข้ามา จึงดลบันดาลให้เหตุการณ์กระทบอารมณ์ เป็นทุกข์อย่างหนักทางโลก ปีแรก น้องสาวท่านตาย ปีที่สองมารดาก็มาตายอีก หลวงปู่บุญมาท่านเล่าว่าตอนนั้น จิตของท่านเกิดธรรมะ ได้คิดว่า “ความตายมันได้ใกล้เข้ามาหาเรา...ถ้าเราอยู่ต่อไป ไม่กี่วันก็คงตาย ถ้าจะตาย ขอให้ไปส่งความดีก่อนตาย เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งในอนาคต” เป็นทางออกที่ดีที่สุด ก่อนความตายจะมาถึง แต่ไม่ทันที่ท่านจะได้ออกบำเพ็ญความดีตามที่ท่านตั้งใจไว้ พายุโลกโหมกระหน่ำซ้ำเติมซ้ำสามในระยะเวลาไม่นาน ภรรยาท่านก็มาเสียชีวิตลง “ทุกข์เกิดขึ้น” เป็นทุกข์ที่ทำให้ท่านต้องตั้งคำถาม และพิจารณาปัญหาต่อไปว่า “ลูกที่่เกิดมา จะทำอย่างไร ใครจะเลี้ยงลูก”

    แล้วท่านก็พิจารณาเรื่องลูกว่า “ถึงแม้ว่าแม่จะตาย พ่อก็ยังอยู่ เด็กบางรายเกิดมาไม่กี่วันก็ตาย บางคนเดินได้ วิ่งได้ แล้วก็มาตาย แล้วแต่บุญวาสนาของแต่ละคน ไม่ถึงวันตายก็ไม่ตาย ถ้าจะให้ทานลูกแก่ผู้ต้องการ ลูกก็คงเติบใหญ่ขึ้นได้ด้วยบุญวาสนาบารมีของตนเองที่สร้างสมมาแต่ปางก่อน” ท่านคิดได้อย่างนี้ จึงยกลูกให้แก่พ่อตา แม่ยาย เป็นผู้เลี้ยงดู และตัดสินใจออกบวช ช่วงนั้นประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๔ ใกล้เข้าพรรษาแล้ว ระหว่างช่วงจัดงานศพให้ภรรยาท่านนั้น ได้นิมนต์ หลวงปู่สิงห์ สหธัมโม ไปสวดบังสุกุล หลวงปู่สิงห์ พระอาจารย์ผู้ที่ให้ธรรมะแนะนำการปฏิบัติแก่ท่านอยู่ก่อนแล้ว ได้ถามท่านว่า “จะบวชไหม” ซึ่งท่านก็ตอบหลวงปู่สิงห์ไปว่า “บวชแน่นอนครับ” หลังจากจัดการงานศพของภรรยาเสร็จ ท่านก็ลาบิดา พ่อตา แม่ยาย เข้าไปวัดพระธาตุฝุ่น ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เพื่อรอบวชในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๔

    ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๔ เวลา ๑๔.๑๕ น. ขณะอายุได้ ๒๔ ปี ณ วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมี พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูสมุห์สวัสดิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “คัมภีรธัมโม” ซึ่งแปลว่า ผู้มีธรรมอันลึกซึ้ง

    เมื่ออุปสมบทแล้วเสร็จ ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาศึกษาข้อวัตรปฏิปทากับหลวงปู่สิงห์ สหธัมโม วัดพระธาตุฝุ่น จ.สกลนคร ในพรรษาแรก หลวงปู่สิงห์ได้ให้ท่านฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาขนานใหญ่ ขนาดยอมอดนอน ไม่ยอมหลับในตอนกลางคืน ช่วงเข้าพรรษาตลอด ๓ เดือน พระเณรที่อยู่ด้วยต้องยืน เดิน นั่ง ๓ อิริยาบถตลอดทั้งคืน ห้ามนอนเวลากลางคืน จึงทำให้ได้รับผลจากการภาวนามากตลอดพรรษา

    พอพรรษาที่ ๒ พระบุญมา จิตท่านเกิดฟุ้งซ่านอยากจะสึก ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สิงห์ สหธัมโม จึงได้ให้ท่านไปหาหลวงปู่ขาว อนาลโย ซึ่งขณะนั้นท่านอยู่ที่ถ้ำค้อ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี ห่างจากวัดถ้ำฝุ่นไป ๒๐-๓๐ กิโลเมตร เมื่อไปถึงถ้ำค้อ ที่หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านพำนักจำพรรษาอยู่ พระบุญมาได้เข้าไปกราบคารวะ หลวงปู่ขาวจึงได้พูดขึ้นว่า “ทำไมถึงอยากสึก แยกจิตออกนอกทำไม” พระบุญมาท่านยังไม่ทันตอบ หลวงปู่ขาวก็พูดต่อไปอีกว่า “ออกก็ออกมาจากที่นั่น จะเข้าไปที่เดิม มันถูกรึ” หลวงปู่ขาวท่านรู้วาระจิต จากนั้นก็อบรมสั่งสอนให้ท่านอยู่ป่าเป็นวัตร อยู่กับช้าง กับเสือ กับผีสาง เป็นการให้มีสติอยู่กับตนไป ไม่ให้ฟุ้งซ่านส่งจิตออกไปไหน” หลวงปู่บุญมา ท่านเล่าว่า “ช่วงนี้กลัวมาก ถึงสวดมนต์อย่างไรก็กลัว กลัวตาย ช่วงที่อยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย จึงตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาตามคำสอนขององค์ท่าน ปรากฏผลดีมาก จิตใจสบาย วิเวกดี จิตไม่ปรุงแต่งอะไร ไม่ออกไปสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างครอบครัวอีก เพราะกลัวตาย คนกลัวตายต้องหาที่พึ่ง ถ้าได้ที่พึ่งทางจิตแล้วสบาย ไม่กลัวตายต่อไปอีกแล้ว”

    ครั้นออกพรรษาได้จาริกธุดงค์เข้ากราบรับข้ออรรถข้อธรรมจากพระเถระผู้ใหญ่ ศิษย์ในองค์หลวงปู่ใหญ่มั่น ภูริทัตโต หลายองค์ อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู, หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย และหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี เป็นต้น และได้จาริกธุดงค์ร่วมกันกับ หลวงปู่คำบุ ธัมมธโร ซึ่งเป็นพระอาจารย์รูปสำคัญของท่าน ออกวิเวกตามสถานที่ต่างๆ ไปยังป่าช้าง ป่าเสือ ฝึกจิตตามป่าตามเขาโถงถ้ำ ไปในที่ๆ ขึ้นชื่อว่าอาถรรพณ์ผีดุ เปลี่ยนที่จำพรรษาไปเรื่อยๆ ไม่ติดถิ่น ทั้งที่กันดารห่างไกลจากบ้านจากเรือนสลับกับการไปฝึกอบรมยังสำนักของพ่อแม่ครูอาจารย์ ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานถึง ๒๙ พรรษา

    เริ่มจำพรรษาที่ วัดป่าสีห์พนมประชาคม บ้านหนองกุง ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ในพรรษาที่ ๒๐ เป็นพรรษาแรก ตรงกับปี พ.ศ.๒๕๑๔ จากนั้นจึงออกจาริกธุดงค์ไปจำพรรษาในที่ต่างๆ แล้วเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ หลวงปู่บุญมาท่านก็กลับมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าสีห์พนมประชาคม มาโดยตลอดจวบจนกระทั่งปัจจุบัน


    2794-17de-jpg.jpg
    หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม กับ หลวงปู่ล้วน จันทสาโร
    ในพิธีสรงน้ำและขอขมาสรีระสังขารหลวงปู่จาม มหาปุญโญ
    ณ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร




    2795-b1a8-jpg.jpg

    หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม

    sam_6386-jpg-jpg-jpg.jpg sam_5578-jpg-jpg-jpg.jpg sam_5579-jpg-jpg-jpg.jpg sam_5580-jpg-jpg-jpg.jpg sam_5581-jpg-jpg-jpg.jpg sam_8105-jpg.jpg sam_8106-jpg.jpg sam_3985-jpg-jpg-jpg.jpg

     
  19. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 763 เหรียญเจิญพรบนหลวงปู่เคน เขมาสโย พระอรหันต์เจ้าวัดป่าหนองหว้า อ.สว่างเเดนดิน จ.สกลนคร หลวงปู่เคนเป็นศิษย์หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม เหรียญเนื้ออัลปาก้า มีตอกโค๊ตยันต์ นะ หน้าเหรียญ เหรียญใหม่ไม่เคยใช้>>> เหรียญจริงสวยมากครับ มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคล ***********บูชาที่ 245 บาทฟรีส่งEMS
    *******ประวัติโดยย่อพอสังเขปหลวงปู่เคน เขมาสโย
    วัดป่าบ้านหนองหว้า อ.สว่างแดนดิน สกลนค
    ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่เคน เขมาสโย ท่านมีชาติกำเนิดในสกุล “นิ่งแนน” ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๑ ตรงกับ วันจันทร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ ณ บ้านนาเตียง ต.ตาลเนิ้ง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เป็นบุตรของคุณพ่อไพ คุณแม่บับ ท่านเกิดได้ไม่นานแม่ก็เสียชีวิต น้าสาวเลยเอาท่านไปเลี้ยงเป็นลูก แล้วเปลี่ยนนามสกุลเป็น “ฤกษ์งาม”
    ในสมัยเด็ก ๆ องค์ท่าน มีจิตใจในทางเมตตา ใฝ่ใจใคร่รู้ในทางธรรมมาก และมีจิตเมตตา สงสารในสัตว์เล็ก สัตว์น้อย และมีชีวิตที่ไม่โลดโผนมากนัก ผิดกับวัยรุ่นวัยหนุ่ม ที่คะนองตามแบบหนุ่มบ้านนอกลูกทุ่งโดยทั่วไป ด้วยใจที่ใฝ่ในทางธรรม จึงออกปากขอโยมพ่อ โยมแม่ ขอออกบวช ก็เป็นที่น่ายินดีกับทุกคนที่ได้รับฟังเวลานั้น ช่วงนั้นเป็นเดือน ๑๑ เป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าว พอตอนเย็น ท่านกับเพื่อน ๆ ที่พร้อมจะบวชด้วยกันทั้ง ๔ คน ก็มาฝึกขานนาคกับหลวงปู่หอม ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ที่วัดป่าสามัคคีบำเพ็ญผล บ้านนาเตียง
    ท่านอุปสมบทเมื่ออายุ ๒๓ ปี ณ สิมกลางน้ำ วัดป่าบ้านหนองดินดำ(ภายหลังเปลี่ยนเป็น วัดป่าคามวาสี) ต.ตาลโกน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตรงกับวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล โดยมีพระอธิการพุฒ ยโส (ภายหลังได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูพุทธิวาคม) เป็นอุปัชฌาย์ หลวงปู่นนท์ โกวิโท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่หอม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    พระอาจารย์เคน ได้รับฉายาว่า "เขมาสโย" แปลว่า "ผู้ยินดีอาศัยในธรรม" ในการบวชครั้งนั้นได้มีการเข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทพร้อมกัน ๔ นาค คือ
    ๑.นาคเคน ฤกษ์งาม หรือท่านพระอาจารย์เคน เขมาสโย
    ๒.นาคประสาร รำไพ หรือท่านพระอาจารย์ประสาร ปัญญาพโล
    ๓.นาคสมัย โสภาจาร หรือท่านพระอาจารย์สมัย ทีฆายุโก
    ๔.นาคชาลี โคตรสมบูรณ์ บวชเป็นสามเณร เพราะอายุยังไม่ถึง ต่อมาได้ลาสิกขาบท
    หลังจากท่านบวชแล้วก็ติดตามหลวงปู่นนท์ โกวิโท เที่ยวไปธุดงค์ที่ จ.นครพนม ได้ไปศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่บุญมา มหายโส ที่วัดอรัญญิกาวาส อ.เมือง จ.นครพนม อยู่พักหนึ่ง
    ภายหลังหลวงพ่อวัน อุตตโม แห่งวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ได้ฝากให้ท่านไปอยู่จำพรรษากับหลวงปู่คำ ยสกุลปุตโต เพื่อให้ท่านสอนวิปัสสนากรรมฐานในเบื้องต้นให้ ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่คำ มีอายุ ๖๐ ปี ที่วัดศรีจำปาชนบท บ้านพังโคน อ.พังโคน จ.สกลนคร เป็นพรรษแรก คือปี พ.ศ.๒๔๙๔ หลวงปู่คำ ให้อาตมาฝึกนั่งสมาธิเจริญคำภาวนาว่า “พุทโธ” ด้วยการให้พิจารณาการหายใจเข้าหายใจออกอย่างสม่ำเสมอ และให้มีสติกำหนดรู้อยู่ในการหายใจ ฝึกอยู่ได้หนึ่งพรรษาจิตยังหยาบอยู่ จึงต้องตั้งสติอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ
    จากนั้นจึงไปศึกษาธรรมอยู่กับท่านพระอาจารย์จันทร์ ไปอยู่บ้านนาเหมือง จ.สกลนคร ท่านพระอาจารย์จันทร์ ได้สอนการอ่านตัวธรรมที่จารอยู่ในใบลานต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการฝึกจิตเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนจิตใจสงบดีขึ้นเป็นลำดับ ทำให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่านเหมือนเมื่อก่อน จึงทำให้หูตาสว่างไสวไปอีกขั้นหนึ่ง คือมองอะไรก็เป็นธรรมดา จิตใจไม่ว้าวุ่นเป็นสมาธิดี ท่านพระอาจารย์เคนอยู่อบรมธรรมกับพระอาจารย์จันทร์อยู่ ๓ พรรษา คือปี พ.ศ.๒๔๙๕ ถึงปี พ.ศ.๒๔๙๗ จากนั้นก็ไปจำพรรษาที่วัดโนนแสนคำ บ้านทุ่งคำ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ณ ที่นี้ ก็เป็นสัปปายะดี คือเป็นสถานที่ดี มีความสงบสงัด เป็นที่ถูกใจ เหมาะแก่การภาวนาปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ท่านอยู่จำพรรษาที่นี่ ๑ พรรษ คือปี พ.ศ.๒๔๙๘
    จากนั้นจึงมาอยู่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่หอม ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ที่วัดป่าสามัคคีบำเพ็ญผล บ้านนาเตียง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ๔ พรรษา คือ ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ถึงปี พ.ศ.๒๕๐๒ จากนั้นท่านทราบข่าวว่าหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นลูกศิษย์รูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นพระที่มีปฏิปทาที่น่าเลื่อมใส จึงได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาอบรมธรรมอยู่กับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี อีก ๑ พรรษา คือปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปู่อ่อน ได้อบรมสั่งสอนในเรื่องทางการฝึกจิต ความเจริญทางจิตใจนั้น เราจะปล่อยไปเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพราะใจจะไหลลงต่ำ ไม่ดีงาม เราต้องรู้จักควบคุมบังคับ ฝืนไม่ให้อาหารในทางเสื่อม ไม่อย่างนั้นจิตใจจะไม่เจริญก้าวหน้า ท่านสอนให้ยึดคำบริกรรม “พุทโธ” เป็นหลัก เพราะไม่มีคำบริกรรมอย่างใดจะดีเท่าการสรรเสริญพระพุทธเจ้า
    หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ อบรมเรื่องการอยู่ป่าเป็นวัตร เมื่อไปอยู่ป่าแล้ว อย่าไปยึดป่า อย่ามีอุปาทานในป่า เรามีนี่เพื่อทำปัญญาให้เกิด ถ้ายังไม่มีปัญญา ก็จะเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น เป็นปฏิปักษ์กับเรา เป็นข้าศึกกับเรา ถ้าปัญญาดีแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น ไม่ใช่ข้าศึก แต่เป็นสภาวะที่ให้ความรู้ความเห็นแก่เราอย่างแจ้งชัด เมื่อสามารถกลับความเห็นอย่างนี้ แสดงว่าปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อท่านพระอาจารย์เคน รับการอบรมจากหลวงปู่อ่อนแล้ว ก็ได้กราบลา แล้วธุดงค์ไปที่ดงหม้อทอง แล้วไปอยู่ตามเขาตามถ้ำต่าง ๆ ที่ อ.บ้านผือ
    สมัยนั้นยังมีป่าไม้ให้ร่มเย็น สมัยที่องค์ท่านออกเดินธุดงค์ ไม่ต้องกล่าวถึงความสะดวกสบายในการเดินทาง เรียกว่า มีแต่ป่ากับป่า ท่านเล่าว่าสิงสาราสัตว์ อย่างเสือ กวาง เก้ง แม้ช้างป่า มากมายจริง ๆ แต่ก็ไม่ทำให้องค์ท่านท้อในการเดินทางเข้าหาพ่อแม่ครูอาจารย์ การไปอยู่ ณ ที่ใด ก็ได้พิจารณายึดเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ท่านได้แนะนำให้ไปปฏิบัติตามครรลองของพระพุทธศาสนา การบิณฑบาตในสมัยนั้นก็ได้แต่ข้าวเหนียว ไม่มีกับข้าว อดบ้างอิ่มบ้างก็อดทนอดกลั้น แม้จะพบความยากลำบาก ก็ไม่กังวลกับสิ่งใดใด
    ท่านพระอาจารย์เคน เขมาสโย ได้ธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว ขึ้นไปธุดงค์อยู่รุกขมูลตามร่มไม้ เพิงหิน โถงถ้ำที่ภูเขาควาย ประเทศลาว ที่ภูเขาควายนี้เป็นที่มีอาถรรพณ์ และศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยภูตผีวิญญาณร้าย พระธุดงค์มากมายเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นจำนวนมาก ท่านเล่าว่า ที่ภูเขาควายนี้เป็นภูเขาที่สูงมากของฝั่งลาว สูงกว่าดอยสุเทพเสียอีก เป็นภูเขาที่น่ากลัวจริง ๆ เพราะเป็นป่าทึบดงดิบหนา มีสัตว์ป่ามากมาย เช่นช้าง เสือ หมี งู และสัตว์มีพิษอื่น ๆ อยู่มาก ที่สำคัญอากาศบนยอดเขาภูเขาควายหนาวเย็นมาก ถ้ามองรอบตัวจะไม่เห็นอะไรเลย เพราะป่ามันทึบมาก
    เวลาขึ้นเขาไปต้องค่อย ๆ มีสติเหยียบก้อนหินขึ้นไปทีละก้อนอย่างเชื่องช้า เพราะหินบางก้อนลื่นมาก เขาก็สูงชันมาก กลัวจะพลาดตกลงไป ทั้งบนบ่าก็แบกกลด แบกบาตรอัฐบริขารหนักมาก ท่านนึกถึงตนเองสมัยนั้นก็น่าสงสารตนเองยิ่งนัก แต่เราเป็นพระที่ขึ้นชื่อว่าเสียสละในทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยปลงได้ เพราะถือว่าครูบาอาจารย์ก็เคยลำบากมาก่อนแล้ว ท่านจึงได้ดีมีอรรถมีธรรม ครูบาอาจารย์ที่เคยมาเยือนที่ภูเขาควายแห่งนี้ในสมัยก่อน ได้แก่ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่เครื่อง ธัมมธโร หลวงปู่ขาว อนาลโย และพระอาจารย์ของท่านคือ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม ก็เคยมาเยือนที่ภูเขาควายเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แล้วทั้งนั้น
    เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขา ท่านพระอาจารย์เคน ได้เห็นตาผ้าขาว กำลังกวาดใบไม้อยู่บนพลาญหิน จึงรู้สึกดีใจว่าบนยอดภูเขาควายนี้ ก็มีผู้มาบำเพ็ญสมณธรรมเช่นกัน ท่านจึงรีบเดินตรงเข้าไปหาหวังพูดคุยเจรจาด้วย เพราะไม่ได้พูดคุยกับใครมานานแล้ว แต่พอไปถึงที่นั้นกลับไม่พบใคร มีแต่ความว่างเปล่า หรือจะเป็นเทพเทวดาอารักษ์รักษาป่าก็เกินจะคาดเดาได้ คืนนั้นท่านพระอาจารย์เคน พักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำที่ท่านไปอยู่ก็มีโครงกระดูก ไม่ทราบเป็นของพระธุดงค์หรือของโยมชาวบ้านที่มาล่าสัตว์ คงจะมาพักแล้วโดนงูกันตายก็เป็นได้ เพราะมีสิ่งของบางอย่างวางทิ้งไว้เช่นกาน้ำ การมาอยู่ที่ภูเขาควายก็ได้ความสงบสงัด ความวิเวกดี ได้ความก้าวหน้าในสมาธิตามลำดับ ท่านได้เที่ยวไปที่ต่าง ๆ ในเขตฝั่งลาวอยู่ถึง ๒ พรรษา คือปี พ.ศ.๒๕๐๔ ถึงปี พ.ศ.๒๕๐๕
    ในช่วงนั้นเกิดความไม่สงบของบ้านเมืองในประเทศลาว ชาวบ้านจึงให้ความเห็นให้ท่านเดินทางกลับมาฝั่งไทยจะดีกว่า ท่านธุดงค์ข้ามมาทางบึงกาฬ-ปากคาด-โซ่พิสัย เรื่อยมาทางคำตะกล้า-บ้านม่วง ผ่านวานรนิวาส จนมาถึงสว่างแดนดิน ท่านพระอาจารย์เคน เขมสโย ได้มาวิเวกมาบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่บ้านหนองหว้าครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๕ บริเวณด้านหลังกุฏิไม้(หลังเก่า)ขององค์ท่าน ท่านว่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เคยมาปักกลดอยู่ที่นี่ เมื่อก่อนแถบนี้เป็นป่ารกชัฏ แล้วก็ยังมีเสืออยู่ แต่ปัจจุบันก็เป็นอย่างที่เห็น กลายเป็นไร่นาของชาวบ้านหมดแล้ว สมัยที่ท่านพระอาจารย์เคน มาวิเวกอยู่ที่นี่ครั้งแรก มีชายรูปร่างสูงใหญ่ เป็นคนโบราณ ตัวดำทมึน เดินเข้ามาหา บอกว่าตามมาดูแลรักษา มิให้เกิดอันตรายใดใดทั้งสิ้น ขอให้ปฏิบัติธรรมไปด้วยความสบายใจ เขาบอกว่าเขาตามมาจากฝั่งลาว จะมาขออยู่ด้วยตลอดไป ท่านพระอาจารย์เคน ก็ไม่ได้ว่าอะไร
    จากนั้นท่านพระอาจารย์เคน ได้เข้าไปศึกษาอบรมธรรมอยู่กับท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม ที่ถ้ำพวง ภูผาเหล็ก อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ท่านพระอาจารย์วัน เป็นพระที่มีเมตตาธรรมมาก เป็นพระปฏิบัติดีเคร่งครัดพระธรรมวินัยรูปหนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านพระอาจารย์วัน นับเป็นอาจารย์ใหญ่ของท่านพระอาจารย์เคน ที่ท่านมีแต่ให้มาตลอด ข้อธรรมที่ไม่รู้ ท่านก็สอนให้รู้โดยไม่ปิดบังแต่อย่างใด ท่านสอนให้พิจารณษสังขารร่างกายนั้นเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ อย่าไปยึดติดในสิ่งที่อยู่นอกกาย เช่น เนื้อหนังมังสาที่สวยงาม ล้วนแต่เป็นอนิจจังเป็นของไม่เที่ยงแท้ทั้งนั้น
    ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๐๖ ท่านได้มากลับมาอยู่กับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี มีโยมอุบาสกคนหนึ่งชื่อ “จันทร์เรียน” ได้มาฝึกขานนาคด้วย มีท่านพระอาจารย์เคน และท่านพระอาจารย์สมัย ทีฆายุโก ช่วยกันสอนการออกเสียงอักขระ การขานนาคให้กับท่านจันทร์เรียน ท่านพระอาจารย์เคน จึงถือได้ว่าเป็นพระอาจารย์ และเมื่อครั้งท่านอาจารย์จันทร์เรียน อุปสมบทที่วัดโพธิสมภรณ์ ท่านพระอาจารย์เคน ก็ได้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ของท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร แห่งวัดถ้ำสหาย อีกด้วย
    จากนั้นท่านพระอาจารย์เคน ได้กลับไปวิเวกอยู่ที่ป่าช้า บ้านหนองหว้าอีกครั้งนึง แล้วจึงได้อยู่โปรดญาติโยม จนได้สร้างเป็นวัดป่าหนองหว้า ได้อยู่จำพรรษาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๖ หลวงปู่เคน เขมาสโย ท่านไปจำพรรษาที่วัดถ้ำสหายกับหลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร เนื่องจากหลวงปู่เคนท่านอาพาธ หลวงพ่อจันทร์เรียนเลยอาราธนานิมนต์ท่านไปอยู่ด้วย ท่านเล่าว่าสมัยอยู่วัดป่านิโครธาราม ญาติโยมเอาหลวงพ่อจันทร์เรียนไปฝากท่านให้สอนขานนาคเนื่องจากหลวงปู่อ่อน ญาณสิริไม่อยู่ เพราะหลวงปู่อ่อนไปทำธุระที่กรุงเทพ ฯ ที่แรกท่านว่าจะไม่รับ รอหลวงปู่อ่อนกลับมาค่อยเอามาฝากหลวงปู่อ่อนใหม่ ญาติโยมไม่ยอม จำเป็นท่านเลยรับไว้ และก็สอนขานนาคให้ หลวงพ่อจันทร์เรียน นึกถึงบุญคุณครูบาอาจารย์สมัยหลวงปู่เคน ท่านเคยสอนนาค และอยู่อบรมธรรมด้วยกันมาเสมอ
    หลวงปู่เคน เขมาสโย มีเพื่อนสหธรรมิกที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เป็นเด็ก คือ
    ๑.หลวงปู่ประสาร ปัญญาพโล วัดคามวาสี บ้านหนองดินดำ ต.ตาลโกน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ท่านมรณภาพแล้ว เมื่อวันพุธที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑
    ๒.หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก วัดป่าโนนแสงทอง ต.แวง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ท่านมรณภาพแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
    ๓.หลวงปู่เกิ่ง วิทิโต วัดป่าสามัคคีบำเพ็ญผล บ้านนาเตียง ต.ตาลเนิ้ง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ท่านมรณภาพแล้ว วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
    หลวงปู่เคน เขมาสโย ท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรมสูง อารมณ์ดี เยือกเย็นเสมอ พร้อมให้การสังเคราะห์ต่อศรัทธาญาติโยม ท่านมีอัธยาศัยเป็นพระที่ไม่ค่อยเก่งในการปฏิสัณฐานกับศรัทธาญาติโยมมากนัก เรียกว่าไม่ค่อยพูด นอกเสียจากว่านาน ๆ ครั้งองค์ท่านก็มีเมตตาสอนให้ข้อคิดคติธรรมบ้าง ในลักษณะคำสอนสั้น ๆ แต่ก็ถึงใจกับลูกศิษย์ลูกหา เมื่อได้น้อมใจที่พยายามเข้าใจในธรรมที่องค์ท่านเมตตาสอน ทั้งผิวพรรณขององค์ท่านก็สดใส ขาวผ่อง สมกับความเป็นพระอริยเจ้าผู้มีคุณธรรมขั้นสูง หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร ศิษย์ผู้มีความผูกพันกับหลวงปู่เคน เคยกล่าวไว้ว่า "พระผู้เฒ่าไม่ต้องห่วงแล้ว ท่านสบายแล้ว”
    หลวงปู่เคน เขมาสโย ท่านได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จยุพราชสว่างแดนดิน เนื่องจากลื่นหกล้มที่กุฏิ ในช่วงก่อนวันคล้ายวันเกิดในวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ซึ่งทำให้สะโพกท่านหัก ภายหลังจึงได้นำตัวท่านส่งไปโรงพยาบาลสกลนคร และได้ละสังขารเข้าอนุปาิเสสนิพพานลงด้วยสาเหตุไตวาย เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เวลา ๐๘.๔๕ นาฬิกา ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา สิริรวมอายุ ๘๖ ปี ๗ วัน พรรษา ๖๓ sam_8960-jpg.jpg sam_8961-jpg.jpg sam_7750-jpg.jpg

    _n-jpg-_nc_cat-102-_nc_sid-2d5d41-_nc_ohc-laes_fxmx4ax80hvwd-_nc_ht-scontent-fkkc2-1-jpg-jpg-jpg.jpg
     
  20. อโศกาชน

    อโศกาชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +447
    จิรัฏฐ์ ฉัตรศิริสกุล

    บริษัท ไทยซีมอนเซฟตี้อินดัสตรีส์ จำกัด

    571หมู่.4 ซ.11 บี นิคมอุตสาหกรรมบางปู

    ถ.สุขุมวิท ต.แพรกษา อ.เมือง

    จ.สมุทรปราการ 10280

    084-4276241
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...