จะสิ้นทุกข์ต้องสิ้นยึดอะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 6 มีนาคม 2021.

  1. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,070
    ค่าพลัง:
    +372
    แวะมาแปะคำสอนหลวงพ่อท่านนึง ทายสิใครเอ่ย ให้อ่าน ยาวนิดนึง แต่อ่านเถอะ พอมีลู่ทาง
    ถาม : อยากทราบว่าสันตติคืออะไร เคยอ่านหนังสือประมวลธรรมของหลวงพ่อองค์หนึ่งบอกว่า ถ้าสติปัญญาแก่รอบกว่านี้จะเห็นเลย จิตเกิดที่ตาแล้วดับไป จิตเกิดที่หูแล้วดับไป จิตเกิดที่ใจคิดไป ไปคิดไปนึกก็ดับไป จิตหลงเกิดแล้วก็ดับไป แล้วท่านก็บอกในหนังสือว่า การที่เห็นมันเกิดแล้วมันดับ มันเกิดแล้วมันดับ ขาดออกไปเป็นท่อนๆ (หลวงพ่อ : ตรงนี้เป็นปัญหา) ขาดออกไปเป็นท่อนๆ ไม่ใช่จิตดวงเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย จะเห็นจิตขาดเป็นท่อนๆ เป็นตัวๆ เป็นดวงๆ ที่เขาเรียกเป็นดวงๆ เห็นอย่างนี้เพื่ออะไร เพื่อให้มันเห็นว่ามันไม่ใช่อันเดิม ท่านสรุปว่าสันตติคือการสืบเนื่อง สันตตินี่แหละสร้างภาพลวงตาขึ้นมา ถ้าสันตติขาด เราก็จะเห็นของจริง

    คำถามคือ เคยได้ยินคำสอนของหลวงพ่อเองและ หลวงพ่อท่านอื่นด้วยที่ว่าจิตมีดวงเดียว ไม่เกิดดับ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น สันตติมันคือการเกิดดับต่อเนื่องของอะไรคะ ขอให้หลวงพ่อช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ด้วยค่ะ

    หลวงพ่อ : เห็นไหม คำว่าสันตตินี้มันตีความแตกต่างกัน คำว่าสันตติ เวลาเมื่อก่อนปฏิบัติกัน ก็ไม่ได้คิดว่ามันมีอะไรเป็นความสำคัญหรือไม่มีความสำคัญ

    แล้วเวลาหลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติไปแล้วเห็นไหม เวลาคนไปถามว่าอวิชชามันอยู่อะไร ทุกอย่างเกิดได้ต้องมีพ่อมีแม่ แล้วอวิชชาความไม่รู้มันเกิดจากอะไร หลวงปู่มั่นบอกว่าอวิชชาเกิดจากฐีติจิต แล้วบอกว่าถ้าจะแก้อวิชชาเห็นไหม อโลโก อุทปาทิ วิชชาอุทปาทิ วิญญาณัง อุทปาทิ วิญญาณมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเกิดขึ้นมา นี่มันพูดถึงเวลาการแก้กิเลสนั้นแก้อย่างไร

    พูดถึงว่ามีครูบาอาจารย์อย่างเช่นหลวงปู่มั่น ในเมื่อสังคมยังไม่มีความเชื่อถือใช่ไหม ผู้ที่บริหารปกครอง ผู้ที่มีการศึกษาเขาจะไปถามปัญหาหลวงปู่มั่นเยอะแยะไป ฉะนั้นท่านถึงบอกว่าจิตนี้เป็นอย่างไร ที่ว่าจิตนี้มีกี่ดวงๆ อันนี้มันคืออภิธรรม ที่ว่าจิต ๑๐๘ ดวงหรือกี่ดวงนี่มันเป็นอารมณ์ ดวงๆ หนึ่ง อย่างเช่นน้ำ น้ำผสมสีอะไรก็จะเป็นสีนั้น

    จิตมันคิดอะไรก็เป็นดวงๆๆๆ อย่างนั้น แล้วตัวน้ำมันมีกี่ดวง น้ำก็คือน้ำ นี่แล้วสันตติล่ะ ในน้ำมันระเหยไหม ในน้ำมีการพัฒนาไหม น้ำนั่นคือน้ำ ในปัจจยาการเห็นไหม อิทัปปัจจยตา สิ่งนี้มีถึงมีสิ่งนี้ มันเกี่ยวเนื่องกัน มันเกี่ยวเนื่องกันเพราะอะไร แต่เวลามันเป็นความคิด เห็นไหมความคิดเกิดดับๆ เกิดดับเป็นดวง เป็นกองไง สังขารความคิดความปรุงความแต่งไง สันตติเป็นอันเดียว คำว่าปัจจยาการเห็นไหมเวลาขันธ์ ๕ พระอนาคามี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นกอง พอมันเป็นกองขึ้นมา เป็นกองนี่เป็นเปลือก พอเป็นเปลือก แต่ตัวพลังงานมันเป็นหนึ่งเดียว

    ถ้าหนึ่งเดียว พลังงานหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวมันอยู่ไม่ได้ หนึ่งเดียวมันอยู่ไม่ได้ หนึ่งเดียวก็อยู่ได้นะเขาว่านะ หนึ่งเดียวถ้าพูดถึงเป็นวิทยาศาสตร์ หนึ่งเดียวมันมีย่อยสลายแล้วมันจะมีอะไรต่อไปล่ะเพราะมันเป็นแร่ธาตุใช่ไหม แต่คำว่าสันตติมันเป็นหนึ่งเดียว แต่พอหนึ่งเดียวนี้ พอมันมีแล้วมันต้องแปรปรวนไป มันมีสิ่งเกิดใหม่ พอสิ่งเกิดใหม่มันเกิดซ้ำเหมือนจุดเทียน จุดเทียนมาเป็นไฟ สันตติคือดวงเดียว ไม่มีท่อนๆ หรอก ไอ้ท่อนๆ นี้

    คำพูดอย่างนี้เวลาหลวงตาท่านมาที่วัดนรนาถ สมเด็จวัดนรนาถเห็นไหม มหาดูนี่สิ ปัจจยาการ อวิชชา ปัจจยา สังขารา.. ไม่ดู ไม่ดู เพราะอะไร เพราะความจริงมันไม่เป็นอย่างนี้ คำว่าเป็นปัจจยาการ อวิชชา ปัจจยา สังขารา.. ปัจจยาการคืออวิชชา อวิชชาที่ปัจจยาการมันออกมาเป็นภพชาติ มันเป็นพุทธวิสัย มันเป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า มันถึงเห็นได้ถึงสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าพูดถึงสาวกสาวกะหรือผู้ที่เห็นจริง มันจะเห็นอย่างนั้นไม่ได้ อย่างเช่น เชื้อโรคหรือทฤษฎีต่างๆ ในทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม มันเห็นด้วยตาเปล่าไหม มันไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่านะ

    อย่างเช่นดีเอ็นเอต่างๆ ที่เวลาเขาตรวจสอบกันด้วยอะไร เขาตรวจสอบกันด้วยกล้องจุลทรรศน์ เขาตรวจสอบกันด้วยเครื่องขยาย เขาไม่ได้ตรวจสอบกันด้วยตา นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันจะเข้าไปเห็นสภาวะอย่างนั้น สันตติ หนึ่งเดียว หนึ่งเดียว ไอ้เป็นท่อนๆๆ ไอ้นี่มันเป็นนิยาย มันเป็นจินตนาการไง ถ้าเป็นสันตติใช่ไหม ก็เหมือนกับแบบอวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง ใช่ไหม มันจะแยกออกจากกันได้แล้ว ไม่มีทาง

    มันไม่มีทางเพราะอะไร เพราะว่าถ้าเป็นปัจจยาการมันเป็นอารมณ์เกิดดับพร้อมกัน แต่ถ้าเป็นความคิด เป็นขันธ์อย่างนี้ อย่างเป็นความรู้สึก ความคิด ความคิดกับความรู้สึกคนละอันนะ ถ้ามันไม่คนละอันกันแล้วทำไมเราคิดเรื่องนี้ แล้วคิดซ้อนได้ล่ะ เราคิดเห็นไหม เราคิดแวบๆๆ ความคิดมันคิดได้หลายๆ เรื่องในสมองคนเดียวกัน เห็นไหม เขียนหนังสือด้วย พูดไมโครโฟนด้วย เห็นไหมทำไมเขาแยกได้ล่ะ อันนี้คือความคิดไม่เป็นตัวจิต แต่ถ้าตัวจิตทำอย่างนี้ไม่ได้ ตัวจิตมันเป็นตัวของมันอันเดียวเอง

    ฉะนั้นถึงบอกว่าสันตติคือการเกิดดับของจิตในดวงเดียว ในดวงเดียว ไม่มี!ฉะนั้นคนที่พูดอย่างนี้เพราะว่าตัวเองไม่เคยภาวนา ตัวเองไม่มีความรู้จริง พอไม่มีความรู้จริงปั๊บ ก็พยายามเอาคำพูดคำสอนของอาจารย์แล้วมาสาธยายไง

    สันตตินะ ถ้ามันยึดกันมันก็ฆ่ากิเลสไม่ได้ใช่ไหม เหมือนไส้เดือนเลย ตัดท่อนหัวกับท่อนหาง ไส้เดือนสองท่อนก็ดิ้นของมันไปใช่ไหม ไส้เดือนนี่ตัดสักสิบท่อนนะ ไส้เดือนมันก็ได้สิบตัวขยายออกไปเลย นี่ก็เหมือนกัน นี่มันไส้เดือน สันตติของไส้เดือนท่อนๆ สันตติจริงไม่เป็นอย่างนั้น สันตติมันเกิดดับๆ ในตัวมันเอง แล้วเกิดต่อเนื่อง การเกิดต่อเนื่องจิตถึงไม่เคยตายไง

    จิตไม่เคยตาย ไม่เคยตายอย่างไร ทำไมจิตมันไม่เคยตาย พลังงานอะไรที่ใช้ไม่เคยหมด พลังงานในโลกนี้ทุกอย่างใช้หมดเลย ธาตุรู้ไม่มีวันหมด พลังงานของจิตนี้มหาศาล ดูสิ ที่เขากำลังหาพลังงานมาใช้กันอยู่ พลังงานอะไร เอาพลังงานมาใช้ แล้วพลังงานของจิตเห็นไหม ดูเวลาจิตสงบขึ้นมา เวลาจิตสงบเข้าสมาบัติ ทำไมแค่ดวงจิตดวงเดียวนี้ ทำไมเหาะเหินเดินฟ้าได้ ทำไมมันถึงเกิดอภิญญารับรู้ทั่วโลกไปได้ ดูพลังงานของจิตสิ

    แล้วมาบอกว่าเป็นกี่ดวงๆ ไอ้คำว่าท่อนๆ นี่นะ เขาคิดเองแล้วแบบว่าจินตนาการไง ก็จินตนาการว่าถ้าเป็นสันตติมันก็เหมือนสิ่งใดที่มันเกาะเกี่ยวกันอยู่ ถ้าแยกออกมันก็จบ เขามีความคิดอย่างนี้ เราจะบอกว่าโลกเขาคิดกันอย่างนี้ กิเลสมีเพราะยึด ถ้าไม่ยึดกิเลสก็ไม่มี ฉะนั้นเราก็นอนหลับกันซะ ไม่ยึดแม่ง นอนไป กิเลสไม่มีเพราะนอนหลับหมดแล้ว ไม่ยึด มันคิดกันไปเองไง ว่าถ้ายึดมันถึงมีกิเลสนะ ถ้าไม่ยึดมันก็ไม่มี แล้วไม่ยึด ไม่ยึดอย่างไร

    พูดอย่างนี้มันพูดแบบวิทยาศาสตร์ไง พูดแบบสสาร สสารทางเคมีเราเอามาผสมกันทำให้เกิดเคมีตัวใหม่ขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าแยกเคมีออก แยกสารเคมีออก แยกออกจากกันมันก็จบ แล้วมันจบจริงไหมล่ะ เพราะอะไร เพราะว่าเคมีนี่ด้วยกรด ด้วยสิ่งต่างๆ ใช้กรด ใช้ปฏิกิริยามันจะแยกออกจากกันได้ มันจะคืนสู่ตัวมันได้ แต่กิเลสมันมีชีวิต กิเลสมันมีความรู้สึก กิเลสมันหลบหลีก มันเป็นเหมือนกับสิ่งที่มีชีวิต จะไปทำลายเท่าไร มันก็ฟื้นขึ้นมาได้ มึงทำลายมัน มันก็มีของมันขึ้นมาได้ แล้วมึงจะเอาอะไรไปทำลายมัน การฆ่ากิเลส ฆ่ากันอย่างนั้นหรือ สันตติเป็นท่อนๆ พอแยกออกจากกันแล้วจะเห็น มันไม่ใช่ตัวเดิม มันจะเห็น

    ก็นี่ไงก็บอกอยู่ที่เขาพูดว่า เห็นนิพพาน เห็นแว้บๆๆ มันก็จะได้มรรคได้ผล การพูดอย่างนี้ คำพูดคำสอนอย่างนี้เห็นไหม ที่หลวงตาบอกว่า ผู้รู้มีอยู่ ผู้รู้หมายถึงว่าคนที่ผ่านประสบการณ์ คนที่พิจารณามา คนที่ทำมา เขาเห็นของเขา เขาแยกของเขาได้ เขาฆ่ากิเลสได้ เขาถึงทำจริงของเขาได้ แต่นี้ไม่ได้ฆ่า ไม่ได้แยก แต่พยายามจะพูดทฤษฎีให้มีหลักมีเกณฑ์ไง จะพูดทฤษฎีขึ้นมาให้เห็นว่ากิเลสมันเป็นอย่างนี้ แล้วตายอย่างนี้ กิเลสเป็นท่อนๆ อย่างนี้ แล้วพอแยกออกไป พอแยกออกไปปั๊บ มันเข้าใจได้ใช่ไหม เพราะยึดถึงมีกิเลส ถ้าไม่ยึดก็ไม่มีใช่ไหม เราถึงพูดบ่อยนะว่านิพพานอย่างนี้ นิพพานของควาย เวลามันกินหญ้าเสร็จมันก็ไปนอนแช่น้ำ โอ้โฮ สงบเย็น สงบเย็น โอ้โฮ มันกินหญ้าเสร็จมันก็นอนแช่น้ำนะ

    มันไม่มีเหตุไม่มีผล แต่ถ้าคนมีเหตุผลนะเริ่มต้นอย่างที่ครูบาอาจารย์สอน มีสติ ทำความสงบเข้ามา แล้วพอจิตจะสงบเข้ามา เริ่มตั้งแต่การใช้อุบาย การพิจารณากาย พิจารณาเวทนา ถ้าจิตสงบเข้ามานะมันจะเห็นเวทนานอก เวทนานอกเห็นไหมดูสิ ตอนนี้สังคมปั่นป่วนเรามีความทุกข์ไหม นี่เวทนานอกมันมาจากข้างนอก แล้วใจที่ทุกข์นี่เวทนาใน มันมีเวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา เวทนามีอีกหลายชั้นนะ จนตัดเวทนาขาดหมด ขันธ์ ๕ ไม่มีในจิต จิตเป็นเอกภาพ จิตเป็นหนึ่งเดียว สันตติ อยู่เฉพาะจิตเดิมแท้ผ่องใส ผ่องใสนั่นคือสันตติ จิตเดิมแท้นี่สันตติ จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส ไม่มีอะไรกระทบมันเลย มันก็หงอย มันก็เหงา มันก็เศร้า มันก็สร้อย มันก็อาลัยอาวรณ์ นี่เวทนาละเอียด

    พระอนาคามีนะทิ้งทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ติดในสิ่งใดๆ เลยนะ แต่ไปอยู่คนเดียวมันก็เหมือนดวงไฟที่จุดไว้ เราจุดกองไฟไว้สิ กองไฟมันจะมอดนะ เพราะเชื้อเพลิงมันไม่มี มันจะมอดไป นี่คือกองไฟนะ เพราะกองไฟมันมีขึ้นมาเพราะมันมีเชื้อเพลิงใช่ไหม แต่สันตติมันติดของมันอย่างนี้ตลอด แต่เพราะด้วยความทรงตัวของมัน มันจะอาลัยอาวรณ์ ทุกข์ของพระอนาคามีคือความอาลัยอาวรณ์ อาลัยอาวรณ์ตัวมันเองไง เหมือนกับเวลาที่เราเหงา เราเศร้า เราสร้อยนี่แหละ แต่เหงาเศร้าสร้อยนี่มันเพราะว่าเหงาเศร้าสร้อยเพราะกิเลสอย่างหยาบๆ แต่นั่นมันใส แต่มันก็เฉาของมันนะ เพราะผ่องใสคู่กับเศร้าหมอง สะอาดคู่กับสกปรก จะใสขนาดไหนนะ เพราะมันใสใช่ไหม ดูสิ อย่างจุดพลุขึ้นไป พลุมันจุดขึ้นไปเห็นไหม แล้วพลุมันอยู่ได้ไหม มันก็ตก เป็นธรรมดา ไอ้นี่ใสขนาดไหนนะ มันใสของมัน แต่มันสันตติคือมันเกิดตลอดเวลา แต่ความรู้สึกมันก็เศร้าสร้อย

    เห็นไหมเวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา เวทนาของจิต เราถึงบอกว่านี่คือกายของจิต รูปของจิต ไม่มีใครรู้หรอก ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น อ่านตำราจนหัวแตก ให้คอมพิวเตอร์จำไว้อีก ๕๐๐ เครื่อง มันก็ไม่รู้ ไม่มีทางรู้ได้ รู้ได้ด้วยการพุทโธ

    ใครอยากรู้ต้องกลับมาพุทโธ อย่างที่เคาะกระโหลก เคาะแล้วจะรู้เลยว่าไปเกิดที่ไหน ก็อยากไปสู้กับพระพุทธเจ้าไง พระพุทธเจ้าให้ทายหัวกระโหลกไง เคาะกระโหลกก็รู้ เคาะกระโหลกก็รู้ พอพระพุทธเจ้าเอากระโหลกของพระอรหันต์มาให้เคาะ เคาะเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เห็นไหมเคาะอย่างไรก็ไม่รู้ อยากรู้ไหม อยากรู้ไหม อยากรู้ อยากรู้มาพุทโธซะ มาพุทโธ แล้วก็มาให้พระพุทธเจ้าสอนพุทโธๆ จนสุดท้ายรู้หมดเลย พอรู้แล้วไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว สันตติ สันตติ ไม่รู้แล้วอย่าพูด อายเขา พูดออกไปมันประจานตัวเอง สันตติเป็นท่อนๆ ถ้าเอามาตัดเป็นท่อนๆ แล้วมันจะเห็นกิเลส กิเลสมันเกิดดับ แล้วถ้ามันดับไปแล้ว

    เราถึงพูดเห็นไหม เกิดน่ะรู้ แต่ดับไม่รู้ เกิดดับๆ ใครเป็นคนรู้ เจ้าของ เพราะจิตไม่สงบ จิตไม่มีใครรับรู้ เวลามันดับถึงไม่มีใครรู้อะไร อย่างนี้เรามาเรารู้ แล้วเราไปที่ไหน มันมีเราอยู่ตลอดเวลานะ นี่ก็เหมือนกันถ้ามันรู้จริงของมัน มันไม่เป็นท่อนๆ อย่างนี้หรอก มันจะชำระล้างของมันเข้ามา มันจะสำรอกออก คายออกสำรอกออก คายออกสำรอกออก คายออก คายตัวมันออกมาเรื่อยๆ นะ คายสักกายทิฐิออกไปเป็นโสดาบัน คายอุปาทานออกเป็นพระสกิทาคามี คายกามราคะออกไป กามราคะนี่คายออกไป พอคายออกไปเป็นพระอนาคามี มันสำรอกคายออก คายออกด้วยมรรคญาณ แล้วคายออกอย่างไร คายออกไปจนเหลือความสะอาดของมันเอง

    นี่สันตติ สันตติ คือตัวจิตเดิมแท้ พอมันคาย มันสำรอกออกไปหมดแล้ว ตัวมันเองเป็นจิตเดิมแท้ที่ผ่องใส จิตผ่องใสคืออวิชชา นี่จิตเดิมแท้เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี้คือกิเลสแท้ๆ จิตเดิมแท้นี้คือตัวอวิชชา แล้วจิตเดิมแท้ถ้ามันทำลายตัวมันเองเห็นไหม นี่สันตติ แล้วมันทำลายตัวมันเองอย่างไร ที่มันสำรอกๆ ออกไปยังไง แล้วที่มันทำลายตัวมันเอง ทำลายตัวมันจนสิ้นไป สันตติ

    ฉะนั้นถึงบอกว่าบอกจิตเป็นดวงเดียว ใช่ ดวงเดียวแน่นอน จิตเป็นดวงเดียวอย่างไร ดวงเดียวเวลาทำสมาธิไง เวลาจิตมันสงบเข้ามานี่หนึ่งเดียว นี่จิต ทำสมาธินี่คือตัวจิตแท้ จิตนี้พร้อมกับกิเลสทั้งตัว แล้วจิตดวงนี้แล้วค่อยสำรอกมัน คายมันออก คายมันออกด้วยการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าทำถูกต้อง ทำวิธีการถูกต้อง ทำด้วยสมเหตุสมผลของมัน ด้วยมรรคญาณมันจะสำรอกตัวของมัน นี่จะเป็นโสดาบัน แล้วเป็นโสดาบันเพราะอะไร ขณะจิตที่มันเปลี่ยน จิตที่เป็นปกติกับจิตที่เป็นโสดาบันต่างกันอย่างไร จิตที่เป็นโสดาบันกับจิตที่เป็นสกิทาคามีต่างกันอย่างไร จิตที่เป็นสกิทาคามีกับจิตที่เป็นอนาคามีต่างกันอย่างไร จิตอนาคามีกับจิตพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีจิต ถ้ามีจิตก็คือภพ จิตอนาคามีกับธรรมธาตุที่เป็นอรหันต์มันต่างกันอย่างไร มันต้องมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ฟ้ากับดินแตกต่างกันมาตลอดเลย แล้วความแตกต่างนี้ขณะจิตที่มันเปลี่ยน ถ้าขณะจิตที่มันมี ขณะจิตที่มันมีนะ เราเป็นใคร เราก็รู้ตัวเราอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม เราเป็นใคร ทะเบียนบ้านเป็นใคร เราก็รู้ตัวเราตลอดเวลา จิตที่มันเป็นบุคคลใหม่แล้วมันไม่รู้ตัวมันเองหรือ นี่บุคคล ๘ จำพวกไง จิตมันเป็นได้ถึง ๘ ชนิด เวลามันเทศนาออกไปแล้ว โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล.. ๘ จำพวก มรรค ๔ ผล ๔ คือ ๘ นี้ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ แล้วนิพพาน ๑ หนึ่งอย่างไร

    ฉะนั้นไอ้ที่บอกว่าเป็นดวงๆๆ ถ้าคนมันปฏิบัติมันจะเข้าใจไง เวลาพระพุทธเจ้าพูดถึงปัจจยาการ พูดถึงอวิชชาเห็นไหม พระพุทธเจ้ายังแบ่งเป็น ๑๓ ระดับ แต่เวลาเราไปเห็น มันเหมือนกับเราจุดน้ำมัน จุดน้ำมันนะบอกว่าเอ็งเกิดทีละหนึ่งนะให้ ๑๓ ระดับแล้วไฟค่อยติดนะ ไม่มีหรอก พึ้บ พึ้บ พึ้บเลย เวลาจุดมันติดพร้อมเลย น้ำมันจุดทีเดียวมันจะติดทันทีเลย

    แต่นี่พอจิตมันละเอียดเข้าไปเห็นไหม ระดับความละเอียดของมันแตกต่างกัน ฉะนั้นเวลามันสำรอกเข้าไป ที่ว่าเวลาออกมาความรับรู้ที่ว่ากี่ดวงๆ พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ ไอ้จิต ๑๐๘ ดวง เวลาภวังค์เห็นไหม ตกภวังค์ระดับนั้นเป็นอย่างนั้น ตกมาเป็นอย่างนั้น เวลาพระพุทธเจ้าพูดถึง เวลาท่านพูดถึงนะว่าเราเคยเป็นพระเวสสันดร เราเคยเป็น เคยเป็น เราเคยเป็นเมื่อเสวยชาตินั้น แต่ในปัจจุบันเป็นพระพุทธเจ้า

    นี่ก็เหมือนกันกี่ดวงๆ เราเคยคิดอย่างนั้น เราเคยคิดอย่างนี้ แต่ปัจจุบันก็กูอยู่นี่เว้ย ถ้าปัจจุบันกูบ้ากูก็ไม่รู้จักตัวกูเองน่ะสิ ถ้าปัจจุบันกูเป็นคนดีเห็นไหม กูมีสติพร้อมก็ดวงนี้แหละเว้ย จิตมีหนึ่งเดียวก็นั่งอยู่นี่แหละเว้ย แต่เวลาคิดเวลาจะทำอะไรมันก็เป็นอีกตำแหน่งหนึ่ง แล้วจิตกี่ดวงๆ อันนี้ประสาเราว่า มันเป็นการเอาไว้พูดกันทางวิชาการ เอาไว้พูดกัน พูดถึงเรื่องธรรมะแบบวิชาการ เราคุยกันได้ เหมือนคนเวลาทางวิชาการในการทำสวน แล้วเวลาลงไปทำสวนแล้วเขาไม่ต้องวิชาการหรอก เอาจอบมา เอาจอบมาขุดแม่งไปปลูกก็เสร็จ แต่ถ้าวิชาการนะ โอ้โฮ ต้องหาเม็ดพันธุ์พืช ต้องปรับพื้นที่ พูดกันไป ๕ ปียังได้กระดาษแผ่นหนึ่ง แต่ถ้าลงไปทำสวน จอบเล่มเดียวเท่านั้น ขุด เดี๋ยวกูปลูกขึ้นมา ข้าวโพด อ้อยได้กินหมด

    นี่ก็เหมือนกัน จิตกี่ดวงๆ ไว้พูดทางวิชาการไง จิตเป็นอย่างนั้นนะ ทำสวนต้องมีเมล็ดพันธุ์พืชนะ ต้องมียาฆ่าแมลงนะ ต้องมีปุ๋ยนะ ต้องมีพลังงาน ต้องมีคน ต้องมีน้ำ ต้องมีอากาศ ต้องมีแดด อีก ๕๐๐ ปี จิต ๑๐๘ ดวง ถ้าจิตดวงเดียวมันทำได้หมด เรารู้ได้หมด แล้วเขาจะเข้าใจได้

    เห็นไหมนี่พูดถึงสันตตินะ คนเขียนมาทีแรก เพราะมันมีเข้าไปในเว็บไซต์กันหลายคน เรากลัวว่าเราจะเป็นเหยื่อไง จริงๆ ตอบปัญหานี่กลัวเป็นเหยื่อนะ กลัวเขาเขียนหลอก เขียนหลอกให้ ฉะนั้นนี่วราพรนี่คือผู้หญิง แต่ผู้หญิงผู้ชายมันก็หลอกได้เนาะ ไอ้เรื่องอย่างนี้พูดถึงมันเคลียร์แล้ว แต่วันนี้เห็นว่าไอ้คำว่าสันตติเราก็พูดไว้บ่อย แต่มันไม่เป็นอย่างนี้ วันนี้ตั้งใจพูดให้มันชัดเจน ถ้าอย่างนี้มันไม่มีหรอก มันเป็นทางวิชาการ เป็นทางวิชาการหมายถึงว่าเราจินตนาการได้ เราคิดคาดหมายได้ แต่ถ้าเป็นความจริงไม่เป็นอย่างนี้หมดเลย

    ฉะนั้นทางวิชาการนี่ปริยัติ โดยตามเป็นจริงปริยัติศึกษามาแล้วจะกลัวปฏิบัติ กลัวปฏิบัติเพราะปฏิบัติมันจับต้องตัวเป็นๆ ไง กิเลสก็กิเลสตัวเป็นๆ เวลาฆ่าก็ฆ่ากิเลสตัวเป็นๆ แต่ถ้ามันเป็นปริยัติ กิเลสมันอยู่ในกระดาษ แล้วจะฆ่ามันเขาบอกว่าในกระดาษมันฆ่าเสร็จแล้ว แต่เราไม่รู้เรื่อง ในกระดาษมันฆ่าเสร็จเลยนะเพราะพระพุทธเจ้าบอกไว้แล้วว่ากิเลสเป็นอย่างนี้ มรรคฆ่ากิเลสอย่างนี้ กิเลสมันเกิดในกระดาษ แล้วก็ฆ่ากันในกระดาษ ไอ้คนศึกษามันไม่รู้เรื่อง พอไม่รู้เรื่องมาพูด มันถึงจะงง แล้วมันถึงกลัวปฏิบัติ

    ทีนี้ถ้าปฏิบัติเป็นข้อเท็จจริง มันก็จริง ถ้าปฏิบัติไม่เป็นข้อเท็จจริง มันก็เป็นฤๅษีชีไพรนะ เป็นนิยายธรรมะ แล้วพอเป็นนิยายธรรมะ ดูสิ เวลาเทศน์กัน พระที่เทศน์ออกมา มันเป็นเรื่องนิยาย เรื่องจินตนาการ พอเรื่องจินตนาการมันเลยตัดรากถอนโคนคือไม่มีข้อเท็จจริง แต่ครูบาอาจารย์ของเรานี้ มันมีที่มาคือข้อเท็จจริงตามธรรมนั้น

    เวลาพูดธรรมะออกมาจากผู้รู้จริง จับกิเลสตัวเป็นๆ ฆ่าเป็นๆ ตัวเป็นๆ ฆ่ามันตายต่อหน้าเห็นไหม หลักเกณฑ์อันนี้ถามมา หลวงตาท่านจะพูดคำนี้ ท่านไม่บอกว่าท่านรู้ แต่ท่านต้องการให้คนสงสัยถามท่าน เพราะคำถามคือถามด้วยความสงสัย คำตอบที่เป็นความจริงอันนั้นจะไปแก้ความสงสัยของคนถาม อันนั้นจะเป็นความจริง แต่ถ้าบอกว่ารู้ รู้อะไร ฆ่ากิเลสฆ่าอะไร กิเลสตัวเป็นๆ มันมีกี่ขา หัวกิเลสมันเป็นอย่างไร พูดกันอย่างไรมันก็ไม่จบ แต่ถ้าคนสงสัย กิเลสมันเป็นอย่างไร มึงถามกูมาสิ พออ้าปากมานั่นก็กิเลสมึงไง ก็มึงสงสัย มึงอ้าปากมาเพราะมึงสงสัยใช่ไหม นี่กิเลสเป็นอย่างนั้น กิเลสมันมีฟันเหมือนมึง มีลิ้นเหมือนมึง กิเลสก็อยู่ในใจมึง นี่ธรรมะปฏิบัติมันทันกันอย่างนี้ไง มันพูดปิดช่องทางที่จะแถได้เลย

    ฉะนั้นถ้าเป็นจริง เห็นไหมหลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์ที่เป็นจริง ท่านเทศนาว่าการเราจะเคารพบูชามาก แล้วพอเราปฏิบัติแล้ว เราจะไปเจอความจริงนั้น แล้วเราจะซึ้ง เราซึ้งในบุญคุณของครูบาอาจารย์มาก แต่ถ้าเราไปศึกษามาแล้วเอามาเป็นท่อนๆ เอามาเป็นแยกแยะ เอามาเป็นสมบัติของเราโดยที่ไม่รู้จริง ขายหน้าเขานะ ขายหน้าเขา แล้วถ้าเป็นปฏิบัติจริง มีครูมีอาจารย์ เช่น หลวงตาเห็นไหม หลวงตาเวลาพระองค์ไหนที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ท่านจะสั่งเลยบอกว่าเราสั่งไม่ให้เทศน์ เราสั่งไม่ให้สอน หลวงตาถ้าองค์ไหนผิดนะท่านจะบอกเลยว่าองค์นี้ให้หยุดซะ แล้วเราก็เชื่อกัน เคารพบูชากันเพราะเราถือนิสัย ถือความเคารพบูชา กตัญญูกตเวทีกับครูบาอาจารย์กัน

    นี่ในวงกรรมฐาน ในวงกรรมฐานเขาจะเชื่อฟังกัน อาวุโสภันเต เขาจะเคารพบูชากัน แต่ถ้ามันไม่มีนิสัยมันก็แถออกไปอย่างนี้ แล้วก็บอกว่าถ้าในวงกรรมฐานเขาเคารพบูชากัน แล้วทำไมเรากัดเขาเยอะมากเลย เรากัดเขาด้วยความเคารพนะ ไอ้เรานี่กัดด้วยความเคารพ คือกัดให้เขารู้สึกตัวว่าไอ้คนที่พูดนี้ให้มีสติปัญญาบ้าง ไอ้ที่เรากัดเราก็กัดด้วยความเคารพ เราไม่ได้กัดด้วยกิเลสหรอก เราไม่ได้กัดด้วยตัณหาความทะยานอยาก เรากัดด้วยความเคารพ เอวัง
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    กระบวนการของ วิปัสนาญาน จิตย่อมดำเนินไปเองอยู่แล้ว

    ก็อาศัยเหตุ ที่ส่งต่อให้ วิปัสนาญานได้แก่รอบขึ้น ก้คือการรู้เท่าทัน

    ซ้ำไปเรื่อย ซ้ำไปเรื่อย ก็มีแต่รู้เท่าทัน

    รู้เห็นอะไร ก็มีแต่ เกิด ดับ เกิด ดับ

    มีแต่เห้นซ้ำ
    แต่ที่เจริญขึ้น กลับเป็น ปัญญาญาน ที่ออกดอกออกผลไปเป็นลำดับ

    พวกเจริญวิปัสนาล้วน
    ตัดกิเลสเหมือนกะเทาะออกไปทีละนิดจนหมดไป ราบเรียบ
    เรียกว่า ปัญญามากกว่าสมาธิ ก้อาศัยแต่ รู้เท่าทัน

    สันนติปิดบังอนิจจัง
    อิริยาบทปิดบังทุกขัง
    ฆนสัญญา ปิดบังอนัตตา

    ล้วนแต่เชื่อมกันหมด อินู๋เอ้ย
     
  3. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,807
    มุ้งมิ้ง? ละมุนละม่อม? สันตติเช่นนั้นรึ? จิตตัดกระแสอารมณ์ออกมีจริงเช่นนั้นรึ? กัดด้วยความเคารพเช่นนั้นรึ? หึหึ หึหึ (^_^)

    ถ้าเช่นนั้นผมขออนุญาตรบกวนกัดทุกๆท่านด้วยความเคารพอย่างละมุนละม่อมนิดนึงนะครับ _/\_ … จงทำจิตใจให้มุ้งมิ้งและโปรด คลิ๊ก เบาๆโดยละม่อมที่ หมายเหตุ ด้านล่างนี้อย่างละมุนละม่อมดูซิครับ!
    C.PNG
    D.PNG
    B.PNG
    A.PNG
    มันคือศิลปะ.png
     
  4. Enzo Zen

    Enzo Zen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2021
    โพสต์:
    1,107
    ค่าพลัง:
    +675
    พี่เหวเข้าคำว่าความคิด กับสิ่งที่รู้คิดมั้ย



    เพราะมีการกระทบ จึงเกิดจิต เช่น หูได้ยินเสียงเกิดจิต
    จิตอาศัยเจตสิก จิตจึลเกิด ไม่มีตัวใดตัวนึงเกิดเองลอยๆ

    จิตหนือเจตสิกใครจะใหญ่กว่ากัน ตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับ จข.จิต ว่าฝึกจิตมายังไง จะให้จิตมีอำนาจเหนืออารมณ์ หรืออารมณ์มีอำนาจเหนือจิต
     
  5. Enzo Zen

    Enzo Zen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2021
    โพสต์:
    1,107
    ค่าพลัง:
    +675
    หวีก้อพูดมาตลอดนะ ว่าการสืบต่อของอารมณ์ใหม่ยังไม่เกิด หยุดชะงักแป๊บนึง ถ้าสันตติขาด

    จิตอวิชชาที่พระท่านนิยมใช้คำนี้กัน คุณสมบัติเขาคือยึดติดทุกขณะจิต ถูกมั้ย เช่น

    คนทำบุญก้อยึดบุญ ยึดความสุข ความอิ่มใจนั้น คนทำบาปก้อยึดความกลัว ความผิด ความไม่สบายใจนั้นไว้ คนถือศีลก้อยึดศีลที่ถือ คอยระวังจะผิด จะเผลอมั้ย นี่อำนาจจิตอวิชชา เขาจะมีการยึดเกิดขึ้นตลอดสายทุกขณะ ที่จิตขึ้นวิถีมารับอารมณ์ แต่เราจะเคยรู้สึกถึงการยึดเร็วๆ ตรงนี้กันมั้ย

    เรื่องดับเป็นจุดๆ ตามหู ตา แบบลพ. ป.บอก อันนั้นไม่รุ้ แต่ใจคิดว่าเป็นการเกิดดับธรรมดา สภาวะตัวนี้ก้อมีอยู่ แต่ไม่ตัด


    ส่วนที่หวีรุ้ คือเขาตัดการยึดที่เป็นขณะเล็กๆ เวลาจิตขึ้นรับวิถีออก ไม่ให้ฝังลงจิต หรือสิ่งที่ยึดติดถูกฝังเข้าไปในจิตแล้วออกก้อได้ คือจิตเป็นคนตัดพันธนาการตรงนี้ออกเอง เพราะจิตเราจริงๆ ไม่มีการยึด เขาก้อตัดสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเขาออกไป

    แต่สภาวะพวกนี้มี ต้องฝึกเยอะๆ มันจะเลยจิตรู้ทันแบบจิตเห็นจิตไปอีกขั้น

    เรื่องเห็น17ดวงไม่เห็น แต่ตรงจิตชนจิตมีช่องว่างคั่นคือภวังค์ที่ดักเก็บอนุสัย (ไม่ใช่ภวังค์หลับ) แล้วรู้ว่าจิตจริงๆ เฉยๆ ไม่คิดอะไร ไม่สะสม และไม่เกี่ยวกับเจตสิก ไม่รุ้ที่เห็นตรงกับอภิธรรมมั้ยนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2021
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ลุงแมวคลิ๊กดูหมายเหตุแล้ว
    พบว่าภาษาที่ใช้ปะทะกันเป็นภาษาเกรียนคีย์บอร์ดใช้ทั่วๆไปคับ
    ทำนองเดียวกับภาษาน้าค่อมด่าเล่นๆ
    แต่ในทางการปฏิบัติจิตก็จัดว่า ไม่ใช่
    เป็นอุบายอบรมฝึกหัด
    ขัดเกลาจิตแต่อย่างใดคับ
    ยังเป็นความฟุ้งซ่านไหลไปตามอารมย์
    ซะส่วนใหญ่คับ
    ฉะนั้น การดูที่ใจเรา รู้ที่กาย
    กับรู้ที่ใจเรา เป็นความเพียรที่ตะไปถึง
    ความสิ้นยึดคับ
     
  7. Enzo Zen

    Enzo Zen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2021
    โพสต์:
    1,107
    ค่าพลัง:
    +675
    ใช่เชื่อมกันหมด เช่นปริญญา3 ตามโพสภาพข้างล่าง เวลาเราอ่านตำราเหมือนจะทำงานแยก ทำงานช้าๆ แต่ในความจริงจิตจะรวบ3 ตัวแล้วทำงานจบในคาบลมเดียว (ขณะจิตเดียว) ทำงานเร็วมาก

    Screenshot_20210507-082233_Chrome.jpg
     
  8. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,070
    ค่าพลัง:
    +372
    ไม่ใช่คำพุดของผมหรอกคับ ผมเอาคำสอนเทศน์ญาติโยมของหลวงพ่อสงบ มาให้อ่าน เลยบอกให้ทายว่าคำเทศน์ใครคับ
     
  9. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,070
    ค่าพลัง:
    +372
    ส่วนจิต ขึ้นอยู่กับว่าทันหรือไม่ทัน กำหนดอะไรหรือไม่อย่างไร เรื่องนี้เกี่ยวกับ วาสนา และ สติปัญญา มันก็น่าจะมีทางออกนั่นแหละในท้ายที่สุด
     
  10. LiSaBDoDaYup

    LiSaBDoDaYup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,251
    ค่าพลัง:
    +657
    จิตเป็น ท่อนๆ มันไม่ได้เป็น ปัญหา หากกำหนด
    การสิกขาตรงตาม มุขนัย

    มุขนัยที่จะเห็น จิต เป็น ท่อนๆ เป็น ช๊อตๆ ไม่ใช่
    ต้องอาศัย พระสัพพัญญุตาญาณ

    อาศัยทันนะ ธรรมดา เหมือน คนมองใบพัดของ
    เฮลิคอปเตอร์ มองทีวีโดยมีพัดลมบัง หรือ มอง
    ทีวีผ่านมือถือกระจอกที่มี refresh ต่ำกว่า 24(ทีวี
    รุ่นเก่า จะ flush ภาพเป็น ท่อนๆ 24 ภาพต่อวินาที
    ทำให้เกิด สันตติกลายเป็นภาพเคลื่อนไหว)

    มุขนัยที่จะเห็น จิต เป็น ท่อนๆ คือ ฝึกการรับรู้
    ทางตา ทางหู ทางกาย ทวาร6 สลับกัน ไม่แช่
    ที่เดิม

    จิตจะทำกิจได้อย่างเดียว ขณะทีเห็น จิตเห็น
    จะทำกินได้กลิ่น สัมผัส ได้ยินไม่ได้ ย่อมทำกิจ
    เห็นอย่างเดียว ทำให้พูดได้ว่า จิตมีดวงเดียว
    เกิดทีละดวง ทำทีละกิจ การเห็นจึงไม่มีทาง
    เห็นได้แบบต่อเนื่อง แท้จริงแล้ว จิตจะสลับ
    ทำหน้าที่ตามทวาร6 วนๆไป ที่ละ อายตนะ

    เมื่อใส่ใจกำหนดรู้ จิตรู้ทางตา ด้วยใจสงบ
    ตั้งมั่น เวลามองไปที่ คนเดิน รถวิ่ง ยิ่งรถ
    วิ่งเร็วๆ โดยเราไม่แพนสายตาไปด้วย

    จะเห็นได้ทันทีว่า ภาพ ที่ส่งเข้าสู่ สมอง
    จะเหมือนกับ ภาพวิดีโอ คือ จับเป็นภาพนิ่ง
    ส่งเข้าไปทีละซ๊อต โดย(ตา)จะเป็น ช๊อตคู่
    จากภาพที่เหลื่อมกันนิดนึง ทำให้เกิด มิติ
    ลึกตื้น และ ภาพแต่ละช๊อตที่ต่างกัน ทำให้
    สมองแปรความเร็วของ เทหะวัตถุ ที่ปรากฏ
    ในภาพต่างๆ ได้ [ ถ้าไวพอ จะเห็น อดีต ปัจจุบัน
    หรือ ภาพอนาคตที่ยังไม่เกิดด้วย เห้นแล้ว
    ไม่ใช่ไม่เห็น ]


    การที่ ภาพ ทางตา เกิดเป็น ช๊อตๆ ก็คือ
    ตัวยืนยันว่า จิตเกิดเป็น ท่อนๆ ไม่ใช่
    ค้างเติ่ง เห็นภาพเดียว เป็น CD ค้าง
    งึกๆงักๆจะลงโรงกล้วยไข่เรียกพี่

    ดังนั้น คนที่เห็น ภาพทางตาได้เป็น ช๊อตๆ
    ไม่ใช่คนภาวนาไม่เป็น เพราะ คนธรรมดา
    เห็นสิ่งนี้ได้ เพียงแต่ ไม่ทราบการเอามา
    ฝึกซ้ำๆ เพื่อมนสิการ ธรรมปฏิบัติเพื่อ
    การแทงตลอด สิ้นตัณหา อุปทาน

    สมมตินะ สมมติ

    สมมติว่า มีเด็กนั่งเหมือนเหม่อ แล้ว
    กำลังสังเกตุภาพ ตัดขาดเป็น ท่อนๆ
    ขณะนั้น คือ จิตเด็กคนนั้น กำลังแหวก
    ตัณหา อุปทาน สัมผัสนิพพาน อยู่
    เพราะแลเห็นอยู่ จิตไม่เที่ยง โดยน้อม
    ใจไปเคล้าอยู่กับความสงัด หากเวลา
    นั้น มีพระสุรเสียงของศาสดาเข้าไป
    แทรกได้ กาลใดแล....

    ผั๊วะ !!!

    ไม่ต้องไปนั่ง งุดโงๆ เดียวบอกจิตไม่เกิดไม่ดับ
    เดี๋ยวบอกจิตเกิดดับในตัวมันเองเป็นตัวเอง

    ....... !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2021
  11. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    หลวงพ่อสงบ ราชบุรี ศิษย์หลวงตามหาบัว
     
  12. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เอาจริงๆนะ เรื่องจิตอวิชชา
    ผมเขียนบ่อยเหมือนกัน
    แต่เขียนสั้นๆ และจะไม่อธิบาย

    เพราะอะไร

    เพราะต้องเห็นด้วยตัวเอง
    มานั้งอธิบายไม่เกิดประโยชน์อะไร

    อีกอย่างต้องใช้ความเพียรอย่างมาก
    จึงจะเข้าไปเห็นไปรู้การทำงานของมัน
     
  13. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    พอ คิด เอา ก้เป็นตัวแดงเนี๊ยะ
     
  14. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,807
    ชะอุ๊ย (^__^) อิครึ อิครึ [^_^] ผมขออนุญาตสงวนท่าทีไม่ตอบรับ และ ก็ไม่ปฏิเสธในความเห็นที่คุณลุงแมวโพสต์กล่าวไว้ในประเด็นนี้นะครับ อิครึ อิครึ (^_^)
    ... เห็นด้วยตามนั้นกับคุณลุงแมว และ คุณ @กล่องไม้ขีดไฟ ครับ… สาธุครับ _/\_ ผมขออนุโมทนาบุญในการโพสต์อธิบายข้อธรรมะอย่างละมุนละม่อม และ สาระความเห็นที่เป็น “สัมมาวาจา” ที่ทั้งสองท่านได้โพสต์กล่าวไว้ดีแล้วโดยละม่อม... ทำให้ผมอ่านแล้วเกิดความรู้สึก "มุ้งมิ้ง" หรือ ปิติ” ขึ้นมาในจิตใจ (^__^) ซึ่งหาได้ยากยิ่งในในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ครับ _/|\_
     
  15. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,807
    Roger that, Sir. รับทราบครับ

    ขอนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย และ ขอน้อมกราบอนุโมทนาในข้อธรรมคำสอนของพระเดชพระคุณท่านพระอาจารย์สงบ มนสฺสนโต วัดป่าสันติพุทธาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ด้วยความเคารพครับ _/\_
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    มันก็มีทั้ง 2 จิตนั่นแหล่ะ(แล้วแต่เจตนา
    ของผู้พยายามอธิบายเข้าใจ แต่บังเอิญ
    งงกะตัวเองเสียก่อน)

    จิตสังขาร(จิตปรุงแต่ง)ที่เกิดจากตากระทบ(รูป)
    หูกระทบ (เสียง)จมูกกระทบ(กลิ่น) ลิ้นกระทบ(รส)
    กายกระทบ(สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง) มันก็เป็นไปตามไตรลักษณํ
    คือมีการเกิดดับเปลี่ยนแปลไปตลอด 24 ช.ม.จนกว่าจะกายแตกสลาย
    จึงจะหมด
    การกระทบ หมดปัจจัยการปรุงแต่ง
    แต่จิตเองยังติดข้องอยู่กับการปรุงแต่ง
    จึงต้องการหาภพใหม่เพื่ิอสืบต่อ
    (ตรงนี้แหล่ะคือต้องใช้ปัญญาตัดวงจร
    หรือแหกโค้งออกไปให้ได้
    สำหรับผู้ที่มองเห็นว่านี้เป็นทุกข์
    นี้เป็นภัย)

    ส่วนจิตเดิมแท้หรือจิตพุทธะ หรือจิตบริสุทธิ์ หรือธาตุรู้ หรืออมตะธาตุ
    สิ่งนี้ไม่เกิดไม่ดับ อยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัย
    ปัจจัยปรุงแต่ง
    มีอยู่ในทุกอัตภาพที่เป็นตัวเป็นตน
    แต่มองไม่เห็นเพราะถูกปิด
    บังโดยสิ่งปรุงแต่งทั้งหมด(คือขันธ์ 5)
     
  17. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ผมทายถูกแล้ว
    ลุงแมวกดไม่เห็นด้วยทำไม?..อิอิ
    หรือว่าไปโดนป่มเอา. ไม่เป็นไร
    แค่ทักเฉยๆ..อิอิ
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    มือลั่นฮับ
    (คนละหงบ)
     
  19. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,807
    มือลั่นฮับ!!! มือลั่น? … หลังจากที่ผมได้อ่านโพสต์นี้ของคุณลุงแมวแล้ว… มันทำให้ผมเสียความรู้สึก "มุ้งมิ้ง" ในจิตใจไป และ ผิดหวังในตัวลุงแมวเล็กน้อย… คุณลุงแมวต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมตามความเป็นจริงในปัจจุบันขณะมากกว่านี้นะครับ [^_^]

    แมวกระโดดข้ามตึก.gif
    ... มืออย่าลั่นบ่อยนะครับ (^__^)
    คนละหงบ?... ผมหวังว่าคุณลุงแมวคงจะไม่ได้นึกถึงหลวงพี่ หงบ ที่จังหวัดกาฬสินธุ์นะครับ (^_^)
     
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    แว๊บแรกนึกคับ
    แต่อีกแว๊บก็รู้ว่ายังไม่น่าจะ.มีโอวาทที่
    นำมาอ้างอิงกัน
    แต่ต่อไปอาจจะมีก็ได้ฮับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...