นิมิต - กรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 พฤษภาคม 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    #การสวดมนต์เป็นกิจวัตร #มีอานุภาพมาก

    จะบทไหนก็ดี
    พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงก็ดี
    เสียงสวดมนต์ จะช่วยขจัดมลทินต่างๆในที่นั้นๆ

    เสียงสวด ไปตกที่ไหน ดังไปถึงที่ไหน
    จะขจัดมลทิน ความขัดข้องในที่นั้นๆได้จนหมดจด

    คนที่สวดมนต์เป็นกิจวัตร
    จะมีเทพเทวดาคอยรักษาคุ้มครอง ทั้ง ๑๐ ทิศ

    -----

    โอวาทธรรม : หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร วัดสันติวนาราม อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี

    CR : เจ้าของภาพเทพเทวดา

    FZlnn5bf59Q_6LJJByvLVIRlvUVYx0Rni-aXAHBhDkWL&_nc_ohc=XlHbMVzL8goAX8RXEQK&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    screenshot_20200617-122113_chrome-jpg.jpg
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    วัดท่าซุง เริ่ม ฝึกมโนมยิทธิ กึ่งกำลังแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือน กันยา 63 แล้ว ท่านใดสนใจไปฝึกได้ หากมีเวลาควรไปติดต่อกัน อย่างน้อย 5-7 วัน ฝึกให้ได้ระดับญาณ 8 แล้วเก็ับความรู้มาฝึกต่อที่บ้าน จิตท่านจะมีกำลังมาก


    YsLB3RirIMbEjLhfJL_l2oto7EuJFCQqTNAxzH8VVZGz&_nc_ohc=TaOnLOUPUscAX_GAQEX&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    ฝึกมโนมยิทธิ ที่วัดท่าซุงวันนี้ (14 ก.ย.63)

    1. ฝึกมโนมยิทธิขั้นต้น จำนวน 11 คน
    2. ฝึกมโนมยิทธิขั้นที่ 2 (ฝึกท่องเที่ยวฯ) จำนวน 13 คน
    3. ฝึกมโนมยิทธิขั้นที่ 3 (ฝึกญาณ 8) จำนวน 115 คน

    ขออนุโมทนาสาธุกับผู้ฝึกและครูฝึกทุกท่าน (สาธุ)

    #มีเงินเป็นล้านก็ซื้อนิพพานไม่ได้
    #มโนมยิทธิกรรมฐานต้องฝึกด้วยตนเอง
    #ฝึกมโนมยิทธิเป็นการปฏิบัติบูชา
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้ดังนี้

    ดูทุกอย่างให้เป็นกฎของกรรม การปฏิบัติจักได้แคบเข้า ไม่กว้างออกไปให้จิตฟุ้งซ่าน หรือวุ่นว่ายกับสิ่งภายนอก ชีวิตร่างกายมาตามกรรม และไปตามกรรม ธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ อย่าไปกังวลกับสิ่งใด ๆ นอกเหนือจากการรักษาจิตของตนเอง บุคคลอื่นไม่สำคัญ การเป็นโรคทำให้เห็นชีวิตนี้สั้นเข้ามา ความประมาทจักต้องไม่มีในจิต ให้รู้จักเตือนตนเองเอาไว้เสมอ เวลาของชีวิตมีไม่มากนัก หายใจเข้าหายใจออก ให้ระลึกนึกถึงความไม่ดีของจิตของตนเองไว้เสมอ เรื่องของคนอื่นจิตอื่นในเวลานี้ พึงปล่อยวางให้มาก เพื่อจักได้มีเวลาให้กับจิตของตนเอง หาทางให้จิตวิเวกให้มากที่สุด การพิจารณาธรรมก็จักก้าวหน้าขึ้นไป ปล่อยวางภาระของกายกรรม วจีกรรม ให้มากที่สุด การฝึกสติสัมปชัญญะ จักทิ้งอานาปาไม่ได้

    การอยู่กับคนหมู่มาก ยากที่จักหลีกเลี่ยงการนินทาได้ ทรงตรัสว่า ที่เจ้าพิจารณาว่าการอยู่กับคนหมู่มาก โดยเฉพาะผู้หญิงด้วยกัน ยากที่จักหลีกเลี่ยงการนินทาได้ พึงให้รู้ไว้ว่า มิใช่แต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ชอบนินทา ผู้ชายก็เช่นกัน มักจักมีการกล่าวถึงคนโน้นคนนี้ ทำให้เขาเสียหาย ด้วยการเอ่ยพาดพิง กรณีนี้เรียกว่าจิตยังละเอียดในทางด้านกรรมบถ ๑๐ ยังมีไม่พอ ให้เห็นโทษของวาจา เพราะพิจารณาไม่รอบคอบ ให้พยายามตั้งสติ อย่าเป็นผู้ริเริ่มพูดถึงผู้อื่น หรือกล่าวถึงบุคคลที่ ๓ แต่ถ้าหากบุคคลอื่นกล่าวขึ้นก่อน ก็พึงมีสติว่าเราจักไม่เข้าร่วมผสมด้วยในด้านวจีกรรม เรื่องนี้จักต้องฝึกฝนตัวเอง ให้สติทันจิตทันวาจา ก็จักทำให้เลิกนินทา หรือพาดพิงถึงบุคคลที่ ๓ ไปได้เอง ด้วยปัญญาที่พิจารณาเห็นคุณและโทษของวจีกรรมอย่างแท้จริง

    จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๒ รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน คัดลอกโดย ด.ญ.ปุณยนุช ขจรนิธิพร

    bGm1a0UnLx1Uhk4gUUCESG1gIQ-bR980aVHM94oPOGK_&_nc_ohc=XEmMgG0J4a8AX_MHhB-&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    temp_hash-f2ac6645101e5cf3286f9ecfe66c2d21-jpg.jpg
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง
    นิมิตทำให้บ้าจริงหรือ


    มีเรื่องที่จะทำให้บ้าอีกเรื่องหนึ่งคือ นิมิต
    นิมิต คือ ภาพที่ปรากฏให้เห็น เพราะ
    เมื่อกำลังสมาธิเข้าถึงระยะอุปจารสมาธินี้ จิต
    ใจเริ่มสะอาดจากกิเลสเล็กน้อย เมื่อจิตเริ่ม
    สะอาดจากกิเลสพอสมควรตามกำลังของสมาธิ
    ที่กดกิเลสไว้ ยังไม่ใช่การตัดกิเลส อารมณ์
    เริ่มเป็นทิพย์นิดๆ หน่อยๆ ยังไม่มีความ
    เป็นทิพย์ทรงตัวพอที่จะเป็น ทิพจักขุญาณ ได้
    จิตที่สะอาดเล็กน้อยนั้นจะเริ่มเห็นภาพนิดๆ
    หน่อยๆ ชั่วแวบเดียวคล้ายแสงฟ้าแลบ คือ
    ผ่านไปแวบหนึ่งก็หายไป ถ้าต้องการให้เกิด
    ใหม่ก็ไม่เกิด เรียกร้องอ้อนวอนเท่าไรก็ไม่มา
    อีก ท่านนักปฏิบัติต้องเข้าใจตามนี้ ว่าภาพอย่าง
    นี้เป็นภาพที่ผ่านมาชั่วขณะ จิตไม่สามารถบังคับ
    ภาพนั้นให้กลับมาอีกได้ หรือบังคับให้อยู่นาน
    มากๆ ก็ไม่ได้เหมือนกัน
    ภาพที่ปรากฏนี้จะทรงตัวอยู่นาน หรือ
    ไม่นานอยู่ที่สมาธิของท่าน เมื่อภาพปรากฏ ถ้า
    กำลังใจของท่านไม่ตกใจพลัดจากสมาธิ ภาพ
    นั้นก็ทรงตัวอยู่นานเท่าที่สมาธิทรงตัวอยู่
    ถ้าเมื่อภาพปรากฏท่านตกใจ สมาธิก็พลัด
    ตกจากอารมณ์ ภาพนั้นก็จะหายไป ส่วนใหญ่
    จะลืมความจริงไปว่า เมื่อภาพจะปรากฏนั้น
    เป็นอารมณ์สงัด ไม่มีความต้องการอะไร จิต
    สงัดจากกิเลสนิดหน่อยจึงเห็นภาพได้
    ครั้นเมื่อภาพปรากฏแล้ว เกิดมีอารมณ์
    อยากเห็นต่อไปอีก
    อาการอยากเห็นนี้แหละ เป็นอาการ
    ฟุ้งซ่านของจิต

    จิตตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส
    จิตมีความสกปรกเพราะกิเลส อย่างนี้
    ต้องการเห็นเท่าไร ก็ไม่เห็น
    เมื่อไม่เห็นตามความต้องการก็เกิดความ
    กลุ้ม ยิ่งกลุ้มความฟุ้งซ่านยิ่งเกิด เมื่อความ
    ปรารถนาไม่สมหวัง ในที่สุดก็เป็นโรคประสาท
    บางรายบ้าไปเลย ที่เป็นอย่างนี้เพราะไม่
    เชื่อตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแนะ
    นำไว้ว่า จงอย่ามีอารมณ์อยาก หรืออย่าให้
    ความอยากได้เข้าครอบงำบังคับบัญชาจิต


    ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๔๙ เดือนเมษายน ๒๕๕๓ หน้า ๑ - ๒
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    temp_hash-0018a016ae8b0baf3d9113e44270db29-jpg.jpg
    สังฆานุสสติกรรมฐาน


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้ให้โอวาทธรรมเกี่ยวกับเรื่อง "สังฆานุสสติ" ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้หนังสือ "ธรรมปฏิบัติ 22" ไว้ดังนี้...ต่อไปนี้ก็มาพูดถึงสังฆานุสสติกรรมฐาน คำว่า สังฆานุสสติกรรมฐานแปลว่าการนึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์ที่นี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ถือว่าการโกนหัว แล้วก็ห่มผ้าเหลืองเป็นสำคัญ ถ้าเราเห็นการโกนหัวและห่มผ้าเหลืองเป็นสำคัญ ถ้าอย่างนั้นใครๆก็เป็นพระสงฆ์ได้ ทีนี้สังฆานุสสติการนึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ท่านกล่าวว่าการนึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์นี่ก็หมายความว่า ต้องนึกถึงความดีที่ทำคนให้เป็นพระสงฆ์ ไม่ใช่พอบวชปั๊ปลงมาแล้วก็เป็นพระ พอบวชลงมาแล้วท่านเรียกว่าสมมุติสงฆ์ ยังไม่เรียกว่าพระสงฆ์ สมมุติว่าเป็นพระแต่ไม่ใช่ว่าเป็นพระแท้ ท่านที่สมมุติว่าเป็นพระสงฆ์นี้อยู่ในอาการหนัก เพราะอะไร เพราะว่าจะต้องระวังตัวให้มาก ถ้าหากว่าทำผิดพระธรรมวินัย นั่นก็หมายถึงว่ามีโทษอย่างหนัก

    ทีนี้เรามาพูดถึงว่าคุณธรรมประเภทใดที่ทำคนให้เป็นพระสงฆ์ ถ้าเราพูดกันประเภทเลอะเทอะกันไปก็ฟังกันได้ แต่ทว่าเรามาเอาเนื้อแท้กันดีกว่าที่คุณธรรมประเภทไหนว่าเป็นพระสงฆ์ แล้วพระพุทธเจ้าทรงยกย่องคนประเภทใดว่าเป็นพระสงฆ์ นี่เราก็ไปดูตามแบบ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องคนที่ละสังโยชน์ ตั้งแต่ 3 ประการขึ้นไปว่าเป็นพระสงฆ์ แต่บุคคลนั้นจะเป็นฆราวาสก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฆราวาสพระพุทธเจ้าก็ทรงเรียกว่าพระ ดูตัวอย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นฆราวาส พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีพระโสดาบัน นางวิสาขาพระโสดาบัน เห็นไหมนี่หัวไม่ได้โล้นนะไม่ได้ห่มผ้าเหลือง ถ้าหากท่านที่ห่มผ้าเหลืองหัวโล้น ท่านเรียกว่าสมมุติสงฆ์ ฉะนั้นเป็นอันว่าคนที่จะเรียกว่าพระต้องละสังโยชน์ตั้งแต่ 3 ประการขึ้นไปได้ อันนี้พระพุทธเจ้าจึงจะทรงยกย่องเรียกว่าพระ

    ทีนี้การเป็นพระในพระพุทธศาสนาไม่ได้ยับยั้งอยู่แค่สังโยชน์ 3 คือพระโสดาบัน นี่เราต้องการคุณธรรมกันจริงๆการที่จะระลึกถึงนี่มันระลึกผ้าเหลืองระลึกถึงความเป็นผู้โกนหัวโกนหนวดถือว่าเป็นพระนี่ไม่ได้แน่ ดีไม่ดีเขาก็พาเราลงนรกไป เพราะการนึกถึงหมายถึงการยอมรับนับถือ การยอมรับนับถือก็หมายถึงว่าการปฏิบัติตาม ถ้าเรายอมรับนับถือแล้ว แล้วก็ยอมปฏิบัติตามคิดว่าเขาดี

    ทีนี้เราจะมานึกถึงคุณของพระสงฆ์กันตรงไหนมันถึงจะถูก ถ้าว่ากันว่าสุปฏิปันโน สาวกสังโฆอะไรกันนี่นะ ตามที่เรียกแบบนักธรรมนี่มันไม่ถูกหรอก เรียกมาแล้วนะไม่ถูก แต่ว่าครูไม่ได้สอนผิด เพราะครูของครูสอนต่อๆกันมา อันนี้ไม่ถูกทีนี้ถ้าเราจะนึกถึงคุณธรรมที่ทำให้เป็นพระสงฆ์กันจริงๆ ก็ต้องนึกถึงว่า สังโยชน์ 10 ประการ ที่เราควรจะยอมรับนับถือ แล้วไม่ต้องไปนั่งหาพระองค์ใดองค์หนึ่งเอาเนื้อเอาหนังมาเป็นสำคัญ ไอ้ไอ้การติดเนื้อติดหนังนี่ ไม่ได้ติดพระ อย่างพระวักกลิ จำได้ไหมล่ะ ติดผิวติดรัศมีของพระพุทธเจ้า ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็อัปเปหิ ไล่ไปให้เป็นพระอรหันต์ เพราะว่าถ้าขืนติดเนื้อติดหนังแล้วมันไม่เป็น

    **ป้ายแขวนหน้าร้าน**

    ทีนี้เราก็เหมือนกัน ถ้าเราจะพอใจในพระสงฆ์องค์ไหน ก็ต้องดูคุณธรรมท่านด้วย ถ้าพระองค์นั้นหนักไปในทางโลกียวิสัย พอใจในโลกธรรม คือพอใจในลาภ เวลาเสื่อมลาภใจก็ไม่สบาย พอใจในการที่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ ถ้ายศถาบรรดาศักดิ์เสื่อมไปก็ใจไม่สบาย ชอบสรรเสริญ ไม่ชอบนินทา ชอบความสุขแล้วไม่ชอบชอบสรรเสิญไม่ชอบนินทาชอบความสุขแล้วไม่ชอบความทุกข์ ถ้าอารมณ์ของท่านองค์นั้นถ้ามีนิสัยเป็นอย่างนี้เราบูชาไม่ได้ เพราะอะไร เพราะยังไม่เป็นพระ เพราะพระนี่เขาต้องวางโลกธรรมให้หมด

    โลกธรรมที่อยู่ประจำโลกก็ได้แก่ของ 8 อย่าง คือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ทั้ง 8 อย่างนี้ถือว่าไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ไม่มีความหมายที่เราจะเอาจิตใจของเราเข้าไปพัวพัน ลาภมันจะมีก็เชิญมี

    มีมาแล้วเราก็มองหน้าลาภ ว่าลาภส่วนนี้เราได้มาแล้วเราจะไปวางไว้ที่ไหน ไอ้สถานที่จะพึงวางก็วางในส่วนที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่สาธารณประโยชน์ แล้วของที่เราได้มา มันหายไป มันเสื่อมตัวไป มันพังไป ถือกันว่าเป็นเรื่องธรรมดา คือไม่เมาในฐานะในความมั่นคงของตัวเอง ถ้าสะสมทรัพย์นี่ใช้ไม่ได้ นี่เรื่องยศถาบรรดาศักดิ์จึงสำคัญ ไม่สนใจเป็นพิเศษ

    68657007_2125100990934966_1952247547258994688_n-1-1-jpg.jpg
    แล้วไอ้การตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ ความดีที่ได้มาจากการแต่งตั้ง มันไม่ใช่ดีมันเลว นี่ว่ากันถึงพระนะ ไม่ใช่ฆราวาสถ้าฆราวาสไม่มียศอดข้าวตาย เกิดมามียศเป็นลูกของเตี่ย พอมีน้องก็ต้องเลื่อนยศไปเป็นพี่แล้ว ใช่ไหม พอมีหลานก็เลื่อนยศไปเป็นน้า เป็นอาเห็นไหม มีลูกก็เลื่อนยศไปเป็นพ่อ คนทุกคนมียศทั้งนั้นไม่มีเสียท่าเขา ได้ตำแหน่งที่เด่นที่สุดคือ เป็นปู่เป็นตาคน แหม...หาคนเหนือยาก หาคนเป็นทวดมาข่มเรายาก ยศใหญ่ แล้วยกนี่ไม่ต้องมีใครมาตั้งเราตั้งมันเอง ถ้าเราตั้งเองแล้วเราไม่ถอด เชิญใครมาถอดไม่มี นี่ว่ากันถึงโลกธรรม

    ทีนี้คุณธรรมที่ทำให้เป็นพระสงฆ์ก็คือ 1.มีอารมณ์ไม่เกาะในลาภ ยศสรรเสริญ สุข ไม่พอใจหรือว่าไม่ดีใจเกินไปที่ ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ สุขรวมความว่าไม่เมาก็แล้วกัน ถ้าเขาให้ลาภมาก็พิจารณาลาภให้เป็นคุณ ไม่มาสะสมเพื่อความเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ได้ยศมาก็ปฏิบัติตามหน้าที่ที่เขาให้มา ไม่เอายศไปเบ่งใคร ไม่ทะนงตัวว่าเราเป็นผู้วิเศษกว่าคนอื่นว่ามียศ

    ทีนี้ถ้าใครเขาสรรเสริญก็มีอารมณ์คิดว่าเจ้านี่หวังต้องการเอาเราไปเป็นทาส ไอ้คำสรรเสริญนี่ถ้าเขาไม่ต้องการใช้เราก็ไม่มีใครมาชมเรา พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าหากได้ยินคำสรรเสริญให้คิดว่านี่เขาเอาหอกหรือแหลน หลาวเข้ามาเสียบหัวใจเรา ที่นี้ความสุขจากกามสุขเกิดขึ้น ก็รู้ทันทีว่าไอ้นี่มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ นำความทุกข์มาให้ ไม่มีอะไรดี

    ทีนี้ลาภเสื่อมไป ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาแล้วมันก็สลายตัวไปได้ ยศก็เหมือนกันไม่น่าจะเดือดร้อน เขานินทาเราว่าเลว ถ้าเราทำดีเสียอย่างเดียวมันก็ไม่เลว ไปตามคำเขาพูด ที่นี้ความทุกข์ที่เกิดมา เราก็รู้แล้วว่าคนที่เกิดมาในโลกจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม ไม่มีเวลาไหนที่จะมีความสุข มันมีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา

    ที่เราจะมองจริยาขั้นแรกของท่านที่ควรจะรับว่าเป็นพระสงฆ์นะ ไอ้นี่เขาเรียกว่าเป็นป้ายหน้าร้านเท่านั้นนะ เป็นยี่ห้อเท่านั้น คือการไม่เมาในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ สุข ไม่หวั่นไหวในการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ อาการอย่างนี้ ท่านบอกว่าเป็นป้ายแขวนหน้าร้านเท่านั้น ไม่ใช่ของในร้าน ชักยุ่งละ!

    **คุณธรรมภายใน**

    ที่นี้เราก็ต้องย่องเข้าไปในร้าน เข้า ไปในบ้านดูว่าคุณธรรมที่เราควรจะยอมรับนับถือ คือ 1.ท่านผู้นั้นไม่เมาอยู่ในสักกายทิฏฐิ มีอารมณ์คิดเป็นปกติว่า อัตภาพร่างกายที่เรียกว่าขันธ์ 5 อันนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา เรียกว่าวางร่างกายเสียได้ ถือว่าร่างกายนี้มันจะพัง มันจะทำลายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีความเกิดเป็นเบื้องต้น แล้วก็มีความเสื่อมติดตามมา แล้วก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ที่เราเรียกกันว่าตาย อันนี้ท่านถือว่าเป็นธรรมดา ขณะที่ทรงกายอยู่จะมีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียน มีอารมณ์ขัดข้องใจหรืออะไรก็ตาม มันเป็นเหตุของความไม่ปกติของร่างกาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่หวั่นไหวแล้วเวลามันจะตายจริงๆ ท่านก็เลยบอกว่าดีพังเสียได้นั่นแหละดี เพราะฉันเป็นทาสแกมานานแล้ว

    เป็นอันว่าไม่เห็นว่าร่างกายนี้มีประโยชน์เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเรามีร่างกายอยู่ก็ลองคิดดูซิ วันทั้งวันนี่เราหาความสุขอะไรไม่ได้หรือว่าใครมีความสุข ถ้าไม่โกหกตัวเองละก็บอกเวลาไหนที่มีความสุขที่สุด พออยากจะได้มันก็เริ่มตะเกียกตะกายน่ะสิ นอนไม่หลับถ้าไม่ได้มา ไอ้แหวนเพชรวงนี้ราคาเท่าไหร่หว่า ราคาพันบาท แหม.... นี่เงินเดือน 15 บาทเท่านั้น จะเก็บไปกี่ร้อยเดือนกว่าจะได้ ชักเริ่มลำบากละซินะ ทีนี้เราเคยใช้แค่เดือนละ 15 บาทสบายๆไม่ได้แล้ว กินแค่เดือนละ 10 บาท เก็บไว้เดือนละ 5 บาท เอาสิเริ่มกระแหม่วท้องแล้ว นี่อาการเป็นทุกข์มันเกิดตั้งแต่เราอยากได้

    ทีนี้พอมีเงินครบไปรับมาดีใจว่าเราได้แหวนเพชร พอมาถึง เอาแล้วสิ อันดับแรก อะไรมันเปื้อนหน่อยมันหมองเช็ดเสียอีกแล้ว ไม่สบายใจใช่ไหม ทีนี้ทำยังไงล่ะ ของหามาได้ยากเก็บซุกนะซิ กลัวขโมยจะลัก ทีนี้เอาประดับกายแต่งตัว ไปทางไหนเดินไปทางไหน เห็นไอ้โจรทั้งหลายเดินมา ชักไม่ไว้ใจ เพราะไอ้แถวนี้มันจี้กันเก่ง เอ๊...แหวนเพชรนี่ไม่เป็นเรื่อง ใส่กระเป๋าดีกว่า เป็นอันว่าตั้งแต่อยากจะได้มาและได้แล้วไม่มีความสุข ใช่ไหม นี่เป็นอันว่าเราตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายมันหาความสุขไม่ได้ คนที่หาความสุขได้อยู่ผู้เดียวคือคนโง่ ใช่ไหม พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า "สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ว่าท่านผู้รู้หาข้องอยู่ไม่"

    นี่แม้ว่าพวกท่านทั้งหมดโง่ทั้งนั้น แถมฉันอีกคนดันเสือกเกิดมาได้ นี่เราเกิดมาอย่างนี้ก็เพราะว่าเราโง่ เราโง่เพราะ กิเลส ความเศร้าหมองของจิต ที่ไม่ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ตัณหา อยากได้ในสิ่งที่เป็นโทษเข้าใจว่าเป็นคุณ อุปาทาน ยึดมั่นในสิ่งที่เป็นโทษที่มันจะต้องสลายตัวไป หาว่ามันจะทรงตัวอยู่ได้ แล้วก็อกุศลกรรม ความชั่วที่ทำขึ้น ทำด้วยอำนาจของความชั่วคิดว่าเป็นความดี

    นี่สิ่งทั้ง 4 ประการนี้ ที่เราปฏิบัติมา เราปฏิบัติเพราะความโง่ เพราะเรามีความโง่เราจึงยึดถือกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ในที่สุดเราก็ต้องเกิด เกิดแล้วก็เต็มไปด้วยความทุกข์หาความสุขไม่ได้ นี่เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยนั้นเรายึดถือร่างกายคือขันธ์ 5 ที่เรียกว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสรณะ ถือว่าเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกายร่างกายมีในเรา ยึดถือว่ามันประเสริฐยึดถือว่ามันวิเศษ คนชาวบ้านเขาตายให้ดูเท่าไรก็ตาม เราไม่เคยคิดว่าเราจะตาย เขาแก่ให้เราดูทุกวันทุกเวลา ไปไหนก็พบแต่คนแก่ เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะแก่

    นี่อาการทรุดโทรมทั้งหลายเกิดจากร่างกาย ความลำบากทั้งหลายปรากฏเราไม่เคยคิดว่ามันลำบาก เพราะเราเมามันอยู่ในร่างกาย นี่เพราะอาศัยความโง่เป็นปัจจัยเป็นเครื่องสอนเราเราจึงเข้าไปยึดถือขันธ์ 5

    60529316_1964755173636216_4390495151143780352_n-2-1-jpg.jpg
    **นิพพานสูญจากกิเลส**

    ทีนี้มาระบบขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านมีความสุข คือพระนิพพาน นี่เป็นแดนที่มีความสุขที่สุด หาความทุกข์อะไรไม่ได้เลย ขึ้นชื่อว่าความทุกข์และความขัดข้องใจนิดนึงไม่มีในจิต ในพระนิพพาน เอ๊..พระนิพพานนี่เขาว่า สูญนี่น่ะ สูญหรือไม่สูญ ถ้าสูญเขาก็ไม่เขียนไว้ ใช่ไหม สูญก็ไม่มีชื่อซินะ ชื่อยังมี สูญไม่ได้ แต่ความจริงพระนิพพานเขาบอกว่าสูญน่ะจริง มันจริงตรงไหน จริงตรงที่กิเลสมันสูญ แต่ว่าสภาวะมี

    นี่ฉันสอนมันขวางตำราเขานะ แต่ทว่ามันขวางตำราของชาวบ้านที่เขาเขียน แต่ไม่ขวางกับพระไตรปิฎก เพราะพระไตรปิฎกทรงรับรองไว้ตั้งหลายสิบแห่งว่า พระนิพพานนี่มีสภาพไม่สูญ พระนิพพานเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด ลองมาคิดกฎธรรมดาๆดูก็แล้วกัน ไอ้คนตายที่ไม่มีความรู้สึกน่ะ มันสุขหรือมันทุกข์( ไม่เคยตายครับ) ไม่เคยตายไม่ยาก เอาหัวไปทิ่มถังน้ำเข้า เดี๋ยวตาย เอางี้ก็แล้วกัน ไม้ท่อนที่เราวางไว้กลางสนาม มันสุขหรือมันทุกข์ (ไม่มีความรู้สึกครับ) เออ...ไม่มีความรู้สึก มันจะสุข มันจะทุกข์ยังไง ใช่ไหม

    ในเมื่อมันไม่มีความรู้สึกมันก็ ไม่สุข มันก็ไม่ทุกข์ เราจะบอกว่าสุขก็ไม่ได้ ทุกข์ก็ไม่ได้ ไอ้ความสุขหรือความทุกข์นี่มันต้องมีความรู้สึก ทีนี้ถ้าไม่มีความรู้สึก ใครไปตอบว่าสุขหรือตอบว่าทุกข์มันผิดทั้งสองอย่าง เพราะไอ้คำว่าสุขหรือทุกข์ต้องมีความรู้สึก มีจิตเป็นเครื่องรับ ถ้าหากว่าหาจิตเป็นเครื่องรับไม่ได้ จะไปตอบว่าสุขหรือทุกข์ไม่ได้ ฉะนั้น คนตายก็เหมือนกัน จะบอกว่าสุขหรือบอกว่าทุกข์มันก็ไม่ถูก มันไม่มีทั้งสุขมันไม่มีทั้งทุกข์ เพราะไม่มีเครื่องรับ ไม้ท่อนก็มีสภาพเหมือนกัน

    ที่นี้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "นิพพานัง ปรมัง "นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"

    แต่ถ้าหากว่าภาวะพระนิพพานไม่มีแล้ว เอาอะไรมาสุขใช่ไหม มันไม่มีตัวรับ เมื่อไม่มีตัวรับ เอาอะไรมาสุขกัน ไอ้คำว่าสุขนี่มันต้องมีตัวรับ ที่นี้เราก็ไปดูในพระไตรปิฎก ไม่เห็นตรงไหนเลยที่พระพุทธเจ้าบอกว่าพระนิพพานสูญ

    ก็มีบาลีเป็นพุทธภาษิตอยู่ศัพท์เดียวว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง

    ไอ้ตัวอื่นมันแปลได้ แต่ไอ้ตัวสูญมันไม่แปล ไอ้คำว่าสูญ นี่เขาแปลว่าว่าง คือว่างจากเหตุที่จะเกิดความทุกข์ ได้แก่กิเลสใช่ไหม กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม นี่ไม่เข้าถึงใจพระ ไม่ถึงเขตพระนิพพาน นี่ไม่ต้องพูดถึงตาย เอาแค่มีชีวิตอยู่นี่

    นิพพานมี 2 อย่าง 1.สอุปาทิเสสนิพพาน 2 อนุปาทิเสสนิพพาน

    สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงดับกิเลสแต่ว่ายังมีเบญจขันธ์อยู่ คือร่างกายยังทรงอยู่ ยังพูดได้ทำได้ทุกอย่าง กับอีกพวกหนึ่งที่นิพพานแล้ว แต่ ส่งชีวิตอยู่ไม่ได้ ได้แก่พวกท่านที่ตายไปแล้ว

    ที่นี้นิพพานมี 2 อย่าง เขากล่าวว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นี่ถ้าเราถือว่าพระนิพพานมีสภาพสูญละก็ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีตัว พอถึงพระนิพพาน พอจิตเข้าถึงอรหันตผล เขาเรียกว่านิพพานแล้ว ต้องละลายไปในอากาศไปหมด แต่นี่พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เมื่อบรรลุความเป็นอรหันต์แล้ว ท่านก็เดินไปเดินมา เดินมาเดินไปตามอัธยาศัย อีตรงนี้ท่านเรียกว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง

    พระพุทธเจ้าก็ดีพระอรหันต์ก็ดี ก็มีความรู้สึกหนาวร้อน หิวกระหาย มีปวดอุจจาระปัสสาวะ มีป่วยไข้ไม่สบาย มีร่างกายทรุดโทรมเหมือนพวกเรา แต่ทว่าพระอรหันหรือว่าพระพุทธเจ้าก็ตามที่เป็นอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านวางภาระเสียได้ ที่กล่าวกันว่าเตสัง วูปะสโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั้นชื่อว่าเป็นสุข

    เพราะอะไร เพราะว่ามันจะเป็นยังไงก็เชิญเป็น ฉันรู้แล้วแกจะเป็นอย่างนี้ ร่างกายมันจะแก่ท่านก็ไม่หนักใจ เพราะท่านรู้มานานแล้วว่าร่างกายมันจะแก่ ถ้าโรคภัยไข้เจ็บมันเกิดแก่ร่างกายท่านก็ไม่หนักใจ เพราะท่านรู้ของท่านอยู่แล้วว่าร่างกายนี่มันเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโลก ปภังคุณัง ในที่สุดมันก็เปลื่อยมันก็เน่าไปมันก็สลายตัวไป

    ทีนี้เข้ามาโลกธรรม 8 ประการที่เข้ามากระทบจิต มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทาสรรเสริญ สุขทุกข์ 8 อย่างนี้ ถ้าไม่ถือว่าเป็นสรณะ ถือว่าเป็นสิ่งที่ใช้อะไรไม่ได้เลย ไม่ยึดไม่ถือ เมื่อได้ลาภเข้ามา ใครให้ลาภเข้ามาท่านก็รับ พระพุทธเจ้า ท่านมีสมบัติตั้งเยอะแยะ เราจะดูวิหารสักหลังหนึ่งไม่รู้ราคาเท่าไหร่ เอาเพียงแค่ผ้าผืนเดียวก็แล้วกัน พระมหาวิหารที่นางวิสาขาสร้างถวายชื่อ บุปผาราม วิหารหลังนี้ทั้งหลังไม่รู้ว่าราคาเท่าไร

    51882-1-1-1-1-1-jpg.jpg
    **เพื่อนนางวิสาขาอยากถวายผ้ากัมพล**

    มีวันหนึ่งเพื่อนของนางวิสาขาคนหนึ่งมีผ้ากัมพลสีแดงราคา 5แสนกหาปณะ เท่ากับ 4 บาท ในสมัยที่ข้าวราคาเกวียนละ 16 บาท หรือเทียบกับราคาทองคำ ก็เท่ากับ ราคาทองคำของเราหนักบาทละ 20 บาทสมัยนั้น ถ้าสมัยนี้เทียบกันไม่ได้ นี่เธอมีผ้ากัมพลอยู่ผืนหนึ่งราคาประมาณ 5 แสนกหาปณะ ผืนเดียวตั้ง 5แสน 5แสนตำลึงสมัยนั้น ไม่รู้ราคากี่สิบล้านสมัยนี้นะ คว้ามาได้รวยเลย เสียดายเกิดไม่ทัน

    เธอก็มาถามนางวิสาขาว่านี่ฉันมีผ้าอยู่ผืนหนึ่ง อยากจะไปปูในวิหารเป็นอาสนะของพระ เธอจะอนุญาตไหม ในวิหารของเธอ นางวิสาขาตอบว่ายังไง ตอบว่าไม่เป็นไรหรอกเพื่อนเรามันเพื่อนกัน การทำบุญร่วมกันนี่เป็นของดี เธอไปดูผ้าในวิหารก็แล้วกันผ้าผืนไหน ราคามันต่ำกว่านี้เอามันออกไปเลยแล้วเอาผ้าผืนนี้ปูแทน

    ยายคนนั้นเดินรอบวิหารวางไม่ลงเลย เพราะถ้าแต่ละผืนที่เขาปูราคามากกว่านั้น หลายเท่า แล้วพระพุทธเจ้ารวยไม่รู้เท่าไหร่เลย นี่ผ้าผืนหนึ่งราคา 5 แสนยังวางไม่ลงเลย แสดงว่าผ้าของนางวิสาขาแต่ละผืนไม่รู้ราคาเท่าไร ที่พระพุทธเจ้ามีทรัพย์สมบัติราคาประมาณเท่าไร แต่ว่าท่านไม่สนใจ ยายคนนั้นเดินร้องไห้ออกมาเสียใจ ว่าตั้งใจว่าจะบูชาพระรัตนตรัยด้วยผ้ากัมพลผืนนี้แต่ไม่มีโอกาส

    พอดีพบพระอานนท์เข้า พระอานนท์ถามว่าโยมร้องไห้ทำไมกัน เธอก็เลยเล่าให้ฟัง พระอานนท์ก็เลยบอกว่าอ้าว...ไม่เป็นไรๆ ในวิหารยังมีผ้าขาดอีกผืนหนึ่ง แกบอกว่าเต็ม ฉันดูแล้วเต็มหมด หาบกพร่องไม่ได้ พระอานนท์ก็บอกว่ามี โยมมี เชื่ออาตมาเถอะ อาตมาเป็นคนดูแลวิหารนี้รู้

    ท่านก็เลยบอกให้เดินตาม แกก็เดินตามพระอานนท์ไป แกข้อสงสัยว่าพระอานนท์จะต้มแกหรือจะตุ๋นแกก็ไม่รู้ ไปดูมาแล้วมันไม่พร่อง พอถึงหน้าประตูพระอานนท์ก็ชี้ไปตรงประตูบอกว่า ตรงนี้แหละโยมผ้าเช็ดเท้าของพระไม่มี แหม...ยายคนนั้นดีใจเกือบตาย ไม่ได้เสียใจไม่ได้โกรธพระอานนท์นะ ดีใจว่าได้ทำบุญทำกุศลอีก ได้เอาผ้าผืนนั้นมาเป็นผ้าเช็ดเท้าเพื่อพระ

    นี่คือความจริงพระอานนท์ท่านไม่ได้ต้มนะ มันไม่มีจริงๆผ้าเช็ดเท้าความจริงนี่มีความลำบาก พระถ้าไม่มีรองเท้ามาหรือมีรองเท้าอย่างพวกเราใส่ ไอ้ฝุ่นละอองโคนมันเข้าไปถึงเท้าได้ แต่ว่าถ้ามีผ้าเช็ดเท้าอีกหน่อยก็จะดี เพราะผ้าที่เขาปูแต่ละผืนราคามันแพงมาก

    **เจริญศรัทธา**

    นี่เป็นอันว่า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วนี่มีทรัพย์มหาศาล ที่เขาถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าใจของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์สมัยนั้นมีความรู้สึกยังไง ท่านไม่เคยติดอยู่ในวัตถุเลย เขาให้มาก็ดีใจเพราะว่าเขาได้บริจาคทานการกุศลเป็นการทำลายโลภะ ความโลภ ก็รับเพื่อเป็นการเจริญศรัทธา เขาให้ใช้ท่านก็ใช้แต่ทว่าใจของท่านไม่เกาะในทรัพย์สินทั้งหลาย

    เมื่อท่านเดินเลยไปที่อื่น ท่านไม่เคยห่วงของข้างหลังแต่ก็ตั้งพระไว้เป็นผู้ดูแลไว้ เพราะของที่เขาให้มาถ้าไม่ดูแลรักษาเป็นการทำลายศรัทธาของญาติโยมให้เสื่อมไป อันนี้เป็นโทษต้องรักษาด้วยดี ไม่ใช่เขาให้มาก็โยนทิ้งไป ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าใจนี่ไม่ได้นึกว่ามันเป็นเราเป็นของเรา เป็นอันว่าพระอรหันต์ก็ดีพระพุทธเจ้าก็ดีไม่ทรงติดอยู่ในลาภ ที่เขาเรียกว่าเป็นป้ายหน้าร้านนะ

    เอาล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท ตามที่แนะนำมาในเรื่องสังฆานุสสติกรรมฐาน ก็ขอยุติกันแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน
    .....................................
    คัดลอกจาก ธรรมปฏิบัติ22โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    N9SmJ1HVaxMz3HfQOobKFAg_sQb1q0XrK0sidRp6_dwZ&_nc_ohc=leKBroSgH4gAX8UlRv8&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    อตีตังสญาณ ญาณในอดีต
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)


    ญาณในอดีตนี่ก็เหมือนกัน ทำอย่างไรมันก็ไม่ยาก รู้แล้ว ทางที่ดีนะครับให้ถามตรงองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว หรือว่าท่านผู้ใดมีเทวดาองค์ใด มีพระอริยเจ้าองค์ใด ที่ท่านจะสงเคราะห์บอกให้ ให้ถามเฉพาะองค์นั้น อย่าเปะปะเอะอะโวยวาย ถามใครก็ได้ อันนี้ไม่ได้แน่นอน ต้องถามเฉพาะบุคคล

    และเวลาจะเข้าถาม ทำจิตสะอาด วางเฉยเป็นท่ามกลาง ไม่ข้องแวะอารมณ์ใดทั้งหมด ใครดีใครชั่ววางทิ้งเสียก่อน ทำใจเป็นกลาง แล้วก็ถามท่าน อย่างนี้จะดี จะสะดวกมาก เพราะว่าคนที่รู้อะไรทั้งหมดคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค พวกเรายังเป็นโรคอุปาทานอยู่ ดีไม่ดีความหลงใหลใฝ่ฝันในอุปาทานมันจะกินเรา

    ก็รวมความว่า เราใช้กำลังใจ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้ขึ้นใจ และการทรงรูป จับรูปพระพุทธรูปเป็นนิมิต อย่าทิ้ง ทำเป็นประจำทุกวัน

    ต่อไปเราไม่มีพระพุทธรูป เดินทางไปไหน จับภาพส่วนใดส่วนหนึ่งแล้วจำภาพนั้นไว้ เท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกอย่างจะเพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง

    อตีตังสญาณ คือ ญาณในอดีต สำหรับญาณในอดีต นี่ก็หมายความว่า สิ่งที่ล่วงมาแล้ว สิ่งที่ล่วงมาแล้วเราต้องการพบ เราต้องเอา อนาคตังสญาณ เข้าช่วยด้วย ถ้าเราตั้งใจจะรู้ “ทำใจสบาย”

    คำว่า ใจสบาย ตามที่พูดมาแล้ว คือ รักษาสะเก็ด รักษากระพี้ รักษาเปลือก ไว้ให้ได้ ใจจะเป็นสุข ใช้อารมณ์ได้ทุกวัน ตลอดทุกวินาที ที่เราต้องการอยากจะรู้

    ทีนี้ถ้าเราต้องการรู้อดีต สมมุติว่า เราไปเจอะวิหารร้าง เมืองร้าง สถานที่ว่างเปล่า เราก็อยากจะทราบว่าสถานที่นี้มีอะไรบ้าง มีใครที่มีความสำคัญเกิดในที่นี้บ้าง สมัยนั้นรูปร่างหน้าตาของบ้านเมืองเป็นอย่างไรความสุข หรือความทุกข์ของบ้านเมืองเป็นอย่างไร

    ถ้ายังไม่คล่อง อันดับแรก ให้นึกถึงภาพพระพุทธรูป คือภาพพระพุทธรูป หรือภาพพระพุทธเจ้าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินให้ทำเรื่อย ๆ ไป
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ดวงจิตจริงมีดวงเดียว

    ผู้ถาม:- “ล่อจิตตั้ง ๑๒๗ ดวง ๘๒ ดวง”
    หลวงพ่อ:- “ใช่…ฉันก็เคยเล่นมาก่อนเหมือนกัน”

    ผู้ถาม:- “หลวงพ่อน่ะหรือครับ”
    หลวงพ่อ:- “อ้าว…ถ้าไม่โง่เสียก่อนจะรู้เรื่องได้ยังไง”

    ผู้ถาม:- “นึกว่าแจ่มแจ๋ว…ตั้งแต่เล็กจนโต”
    หลวงพ่อ:- “แจ๋วมาก! ตอนนั้นแจ๋วมากจำได้ทุกดวง… (หัวเราะ) แต่ว่าพอไปเทศน์เข้าจริง ๆ เหลือ ดวงเดียว”

    ผู้ถาม:- “ตอนนี้พระที่เทศน์ด้วยกัน ไม่ค้านหูดับตับไหม้เลยหรือครับ ?”
    หลวงพ่อ:- “ใครจะค้านใคร เขาก็ค้านแค่ ๓ ธรรมาสน์นี่น่ะ ทีแรก ๒ องค์ก็ล่อจิตกี่ดวง ตอบ ๘๐ ดวงบ้าง ๑๒๐ ดวงบ้างน่ะ ล่อกันอีรุงตุงนัง ฉันก็ล่อกินหมาก บุหรี่ไม่สูบ เป่ายานัตถุ์บ้าง อะไรใช่ไหม.. นั่งหลับตาเสียบ้าง เดี๋ยวเขาหันมาว่า ไงธรรมาสน์โน้น ถามอะไร แกเทศน์อะไรกันนี่ ถามทำไม บอกข้ากินหมากบ้าง เป่ายานัตถุ์บ้าง…เพลินไป เขาถามว่า จิตมีกี่ดวง บอก เอ๊ะ! ของข้ามันมีดวงเดียวนี่นะ พ่อให้มาดวงเดียว เขาบอกผิดตำรา ถามตำราของแกมีกี่ดวง เขาบอกอย่างย่อมัน ๘๐ อย่างพิสดารมี ๑๒๐ กว่าใช่ไหม…ถามมันติดตรงไหนบ้างล่ะ ติดตั้งแต่ฝ่าส้นตีนขึ้นไปถึงหัวแกใช่ไหม ยังไม่หมดเลย…” (หัวเราะ) “พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เอกะจะรัง จิตตัง…จิตดวงเดียวเที่ยวไป” ไอ้ที่บอกเป็นหลายดวง คืออารมณ์เข้ามาสิงจิตอยู่ใช่ไหม.. อย่างจิตมีความโกรธ จิตมีความโลภ จิตมีความหลง ใช่ไหม.. จิตมีความรัก อารมณ์ของจิตก็ต่างกันไป นั่นมันเป็นอารมณ์ไม่ใช่ดวงจิต ดวงจิตจริงมันดวงเดียว”

    ผู้ถาม:- “ไอ้ที่มาเกิดก็มาดวงเดียว ตายแล้วก็ไปดวงเดียว”
    หลวงพ่อ:- “ใช่…ไอ้พวกนั้นมันหลายดวง มันต้องเกิดหลายอย่าง เกิดเป็นคนบ้าง เกิดเป็นหมาบ้าง เกิดเป็นนกบ้าง อะไรบ้าง ความจริงพระฎีกาจารย์น่ะ ท่านอธิบายไว้เพื่อความเข้าใจง่าย ทีนี้ไอ้คนเบื้องหลังไม่เข้าใจตามท่าน ความจริงจิตน่ะ มันดวงเดียว เหมือนน้ำใส ๆ ใส่แก้วใช่ไหม.. ถ้าสีแดงใส่เข้าไป ไอ้น้ำนั่นน่ะออกเป็นสีแดง ถ้าสีเขียวใส่ไปน้ำก็เป็นสีเขียว ไอ้นั่นน้ำเปลี่ยนสีไปเพราะใส่สีเข้าไป จริง ๆ แล้ว น้ำมันใส แก้วมันใส และที่เราทำเวลานี้ เราทำเพื่อให้จิตใสตามเดิม ถ้าจิตใสตามเดิมก็ไปนิพพานได้ เมื่อก่อนนี้มันใสเหมือนกัน แต่มันใสไม่มีประกายพรึก จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม…กระทั่งใสด้วยเป็นประกายพรึกด้วย อย่างดวงจิตคนนี่นะ อะไร….เจโตปริยญาณ ญาณตัวนี้ดูง่าย คนกี่พันคนก็ตามดู แป๊บเดียวจะรู้ทันที”

    ผู้ถาม:- “แค่เห็นแป๊บเดียวหรือครับ”
    หลวงพ่อ:- “เป็นหมื่นนะ นึกอยากจะรู้ รู้ใครจิตสีอะไร จิตจริง ๆ เขานับเป็น ๖ สี แต่ย่อแล้วเป็น ๓ สี สีแดงเข้มหรือสีแดงอ่อน ได้ทั้งสองใช่ไหม…สีดำ ดำปี๋หรือดำอ่อน ๆ มัว ๆ…สีขาวจัด หรือขาวมัว ๆ มันไม่เหมือนกัน เอาแค่นี้แค่ ๓ สีพอ ถ้าสีแดงเป็นจิตที่มีอารมณ์แจ่มใส ดีใจเพราะได้ของที่ชอบใจน่ะ ถ้าจิตสีดำมีทุกข์ จิตสีขาวจิตสบาย ถ้าจิตสีใสเป็นจิตของฌาน ๔ ถ้าจิตเป็นประกายพรึกเป็นจิตของพระอรหันต์”

    ผู้ถาม:- “ทีนี้เลยถามต่อไปเลยว่า ถ้าเป็นพระโสดาบัน อทิสสมานกายแต่งตัวยังไง โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ แตกต่างกันไหมครับ”
    หลวงพ่อ:- “แตกต่างกัน…ไม่ต้องพระโสดาหรอก แค่คนที่จะตายเป็นเทวดานี่ ข้างในมันเป็นเทวดาก่อน ไม่ต้องดูเฉพาะจิตนะ ดูเฉพาะตัวข้างในนี่ เรียก “อทิสสมานกาย” นะ มันจะบอกเลย รูปร่างลักษณะเป็นอย่างนั้น อย่างจะเป็นสัตว์นรก ก็เห็นเลยเป็นสัตว์นรก มีสภาพอะไรบ้างรู้เลย…เรื่องเล็ก ๆ”

    ผู้ถาม:- “อ๋อ…นี่ไม่ใช่ใหญ่เลยหรือครับนี่”
    หลวงพ่อ:- “เล็ก…มันเล็กมากหยิบไม่ค่อยถูก หยิบไม่ติดมือ…” (หัวเราะ)

    ผู้ถาม:- “อย่างนี้ถ้าหากว่าได้เจโตปริยญาณนี่ มองคนปุ๊บ! จะรู้ทันทีเลยหรือครับ”
    หลวงพ่อ:- “คือว่าความจริงไม่ต้องมองคนหรอก แค่รู้ชื่อต้องการจะรู้เท่านั้นใช้ได้”

    ผู้ถาม:- “ไม่เคยเห็นหน้าเลยหรือครับ”
    หลวงพ่อ:- “ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักกัน ไม่จำเป็น!”

    หลวงพ่อ:- “ความจริงในพระไตรปิฎกท่านก็ยืนยัน เรื่องนรกสวรรค์นี่มีจริง เรื่องนรกยืนยันตั้งแต่เล่ม ๑”
    หลวงพ่อ:- “ไอ้นั่นแปลผ่านมาแล้วทั้งนั้น กลับมาเป็นมิจฉาทิฏฐิร้ายกาจมาก ก็เป็นเรื่องแปลก เรียนผ่านแล้ว แล้วเวลาไปเทศน์โปรดเขา แต่ว่าตัวเองไม่ทำ ไอ้นั่นยังดีกว่าไปคัดค้านพระไตรปิฎก…นี่หนักมาก”

    ผู้ถาม:- “และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บอกว่าไม่ดี แล้วยังสอนคนไม่ให้เชื่อ ทำลายล้างพระพุทธศาสนา”
    หลวงพ่อ:- “ไอ้ที่พูดแบบนั้นเห็นแก่แบ็งค์อย่างเดียว เห็นแค่ค่าจ้าง”

    ผู้ถาม:- “ต้องมีอะไรอยู่นะครับ”
    หลวงพ่อ:- “ใช่ ๆ ๆ”

    ผู้ถาม:- “ผมนึกว่าพวกมิจฉาทิฏฐินี่ ท่านปู่พระยายมน่าจะส่งลูกน้อง เอากระบองเล็ก ๆ มาอบรมสั่งสอนสัก…โป๊ก ๆ ๆ จะได้รู้เสียที”

    ผู้ถาม:- “ผมมานึกถึง เอ๊ะ! ทำไมเด็ก ๕-๙ ขวบไปกันคล่อง เที่ยวสนุกสนานเพลิดเพลิน ที่วัดอะไรที่ฝั่งธนบุรี เป็นมหา…ประโยคนี่ ไม่เชื่อและก็ปฏิเสธ พอสุดท้ายก็เจอเด็กดีวัดท่าซุง ลูกศิษย์วัดท่าซุง อายุประมาณ ๙ ขวบ เด็กได้มโนมยิทธิ ก็มีข้อแม้กันนะครับ ถ้าเด็กตอบได้ตอบถูกต้องตามความเป็นจริง พระตั้งแต่นี้เป็นต้นไปต้องเจริญกรรมฐานทุกวัน เขาต่อรองกันยังงั้นเลยนะครับ พระก็ถามว่า ไอ้หนู! ไอ้ที่ว่านรก สวรรค์ พรหม มีจริงไหม มีจริงมีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ เด็กก็บอกว่า เอายังงี้ซิครับ…หลวงอา ดื่มน้ำร้อนไม่ต้องเป่า ซดโป้งไปมันร้อนหรือเย็น มหานั่นบอกก็ร้อนซิ เด็กก็บอกว่า นรกนั่นมันร้อนกว่านั่นหลายแสนเท่า ไม่เชื่อหลวงอาไปเปิดพระไตรปิฎก ก็ไปเลย เปิด เออ…จริงว่ะ! เอ็งพูดถูกว่ะ เอาได้ข้อละ พอถามสวรรค์ แหม…พอพูดสวรรค์ เด็กปรื้ดเลย…พูดคล่อง ทีนี้มหาทำท่าจะกราบเด็ก เด็กก็บอกว่า มหากราบพระพุทธรูปแทนก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้มันกลับตาลปัตรกันแล้ว ก็ยังโชคดีสำนึกได้แล้วก็กลับตัวใหม่”

    หลวงพ่อ:- “ความจริงก็ต้องว่าเลวมาก เรียนตั้ง ๗ ประโยค แต่เสือกคัดค้านพระไตรปิฎก”


    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๙ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    บางคนกำลังทุกข์ใจนะโยมนะ
    มันเป็นความลับ มันเป็นรหัสว่า

    ระหว่างที่เรากำลังทุกข์ใจ กังวลใจ
    บุญกุศลมันจะเข้ามาหาเราไม่ได้
    ตอนนั้นเจ้ากรรมนายเวร เขาจะดาหน้ากันเข้ามาเลย เข้ามาหาเราเลยนี่แหละ
    แล้วก็ส่งผลให้เราเจ็บ เดือดร้อนต่าง ๆ ทุกข์ใจต่าง ๆ
    บางคนโดนโกง โกงแล้วก็โกงอีก โกงแล้วก็โกงอีก บ้านแตกสาแหรกขาด ลูกดื้อ ลูกเกเร ล้างผลาญอะไร
    พวกนี้มันมาจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งนั้นนะ
    สิ่งที่เราเดือดร้อน เราทุกข์ใจ มาจากเจ้ากรรมนายเวร

    ฉะนั้น เวลาที่เราทำกุศลผลบุญอะไรนี่
    รักษาใจเราให้แจ่มใสไว้เสมอนะ

    ▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎✌
    #พระธรรมเทศนา
    สวดพระคาถาเงินล้าน ๑๓ กันยายน ๒๕๖๓ ตอนที่ ๕

    #พระอาจารย์เอกลักษณ์ ปญฺญาคโม
    #วัดพุทธพรหมยาน

    Ncz2tGA5Vye7Fs1psceNTWJ4o9BNcJN457fwJN_oqDeG&_nc_ohc=TJ0buL7vSaQAX8POapw&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ?temp_hash=87187a459dff969ea44fa893c6c0bf8d.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ?temp_hash=f084d90a3b6623ea8f745871ad0c14a3.jpg


    เมื่อเราท่านทั้งหลาย นำพระพุทธรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตั้งไว้ ณ เบื้องหน้าของเราแล้ว.....

    " ลืมตามอง.... หลับตาจำ.... "
    " ลืมตามอง.... หลับตาจำ.... "

    #ขอเพียงแต่ว่า___อย่าเปลี่ยนองค์ที่เรากำหนดจิตจำ #ถ้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทำให้เรามีความสับสน เลือกองค์หนึ่งองค์ใดองค์เดียวให้ชัดเจนที่สุดก่อน

    2757.png ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องเร่งรีบ ทำให้มีความสม่ำเสมอต่อเนื่อง #มิใช่ทำวันนี้แล้วพรุ่งนี้จะเห็นชัดเลย ค่อยๆทำไป .....
    ▪︎อย่าใจร้อนเกินไป
    ▪︎อยากเห็นชัดมากเกินไปก็ใช่ว่าจะได้
    ▪︎ย่อหย่อนไม่สม่ำเสมอ ทำวันหนึ่งเว้นไป ๓ วันก็ใช่ว่าจะได้

    #รักษาความสม่ำเสมอฝึกปฏิบัติทุกวัน เวลามากน้อยไม่สำคัญ จะมากจะน้อยไม่ต้องกังวล " #พยายามรักษาความสม่ำเสมอ"

    2757.png 《ลืมตามอง...หลับตาจำ....》 เมื่อหลับตาจำสัก ๕ นาที ๑๐ นาที มีความรู้สึกเครียด ปวดหัว ตึงเกินไป เราไม่ไหว ก็พักก่อน พอก่อนให้ใจเราสบาย
    1f539.png ปรับเปลี่ยนอิริยาบถให้มีความสุข จึงเริ่มกำหนดจิตจำภาพพระใหม่ จะอริยบทไหนก็ได้ เดินไปเดินมาทำงานต่างๆ #ก็จับภาพพระไว้ในใจเสมอ ก็จะทำให้พุทธนิมิตรของเรามีความแจ่มใสชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเราพยายามนึกถึงพระองค์ไว้ตลอดทั้งวัน #จิตของเราจะเป็นสุขและหยุดอยู่กับพระพุทธเจ้า
    1f539.png วันนั้น วันทั้งวัน...เราจะมีความสุขเป็นที่สุด กิจการการงานหรือสิ่งที่เราทำ ก็จะสำเร็จลุล่วงได้ อย่างดีที่สุด

    ________________________________

    #ลูกนอกวัง
    #ไออุ่นพุทธพรหมยาน
    ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓

    พระอาจารย์เอกลักษณ์ ปญฺญาคโม
    วัดพุทธพรหมยาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    XX-ZdlqkUdhhBCGPP9n1A6MCwMY7rG5muMoVyrZpuJud&_nc_ohc=GzUzF9QXKrkAX9_-R3O&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    YSHJ1KqSCaVi7chtatPuykKCs4IxHhh1sdJRmAE-sqfw&_nc_ohc=VgPAmTH6v2QAX_Qxxxs&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    #ธรรมะลูกนอกวัง

    ตอน : พุทธนิมิตเพื่อพระนิพพาน
    ตอนที่ ๑๘

    เมื่อท่านทั้งหลายเจริญพุทธานุสติฝึกพุทธนิมิตแล้ว... #ไม่มีความก้าวหน้า_ไม่สามารถจดจำพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แสดงว่าท่านทั้งหลายยังขาดความเพียรอยู่มาก

    ต้องเร่งความเพียรให้มากขึ้นพยายามใช้กิจวัตรในระหว่างวันให้เข้าถึงพระพุทธเจ้าไว้เสมอ...
    เช่นตอนเช้าเราจะรับประทานอาหารก็กำหนดใจนำอาหารนั้นใส่พานแก้วถวายต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...
    #โดยกำหนดจิตนึกถึงพระองค์อยู่ด้านหน้าของเราแล้วถวายพระองค์ก่อน แล้วจึงค่อยลามารับประทาน

    เราจะเดินทางไปไหน #ก่อนจะเดินทางก็กำหนดภาพพระพุทธเจ้าคลุมศีรษะเราไว้_คลุมรถเราไว้ อย่างนี้เสมอแล้วจึงค่อยเดินทาง

    เราจะทำกิจการการงานสิ่งใดก็กำหนดภาพพระพุทธเจ้าให้คลุมในกิจการ_การงานนั้นของเราไว้

    พยายาม #กำหนดจิตเป็นการนึกถึง_แม้ภาพไม่ชัดก็ขอให้ใจเรานึกถึงว่าพระองค์อยู่ตรงนั้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเร่งให้เกิดพุทธนิมิตได้ไวขึ้น
    ▪︎ให้พุทธนิมิตอยู่ในหัวใจ อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเราอยู่ตลอดเวลาทุก ๆ กิจกรรมที่เราทำ #อย่างนี้เป็นการเร่งรัดความเพียรให้เกิดพุทธนิมิตได้ไวขึ้น

    ขอแนะนำท่านทั้งหลายว่า การเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธนิมิตได้ตลอดเวลาสม่ำเสมอแม้ไม่ชัด... #ก็กันเราตกนรกได้อย่างแน่นอน และหากเกิดความชัดเจนแจ่มใส สว่างไสวเป็นแก้วประกายพฤกษ์ จะเป็นหนทางเดียว ที่เป็นทางลัดที่สุดและง่ายที่สุด... ที่ทำให้เราก้าวข้ามการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ไปได้

    ฉะนั้น... ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนเจริญพุทธานุสติ เจริญด้วยพุทธนิมิตให้มีความแจ่มใสไว้เสมอ... ในไม่ช้าท่านจะเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสนิทใจ

    ไม่ว่าพระองค์จะสอนด้วยคำหนึ่งคำใดก็ตามเราจะเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา #เราจะมีความเคารพศรัทธา ในพระองค์อย่างสูงสุด #ดวงปัญญาที่ผุดขึ้นมา จะสามารถจะทำให้เราขัดเกากิเลส_ตัณหา_อุปาทานในใจของเรานั้น_ค่อยๆลดลงไป_ลดลงไป

    ในที่สุดกิเลสทั้งหลายก็จะหมดไป ใจเป็นสุขขึ้น โดยฉับพลัน พร้อมกับความสำเร็จในการเจริญธรรม บรรลุถึงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ในพุทธศาสนา นั้นเอง

    พระอาจารย์เอกลักษณ์ ปญฺญาคโม
    วัดพุทธพรหมยาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    XwoQlz5dAvieIYmJPUwxIRTKrBozaQk2xUNPrzEOcbhikRVE_j0jmA37W3tWHgiVZd7597FS&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,252
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    คล้ายใจแยกเป็นสอง

    ผู้ถาม : ขณะที่ทำงานอยู่ คล้ายๆ ใจมี 2 จิต คือใจหนึ่งก็ทำงาน ใจหนึ่งก็ทำสมาธิพร้อมกัน อย่างนี้จะเรียกว่าขาดสติหรือเปล่าเจ้าคะ..?
    หลวงพ่อ : อย่างนั้นสติมันสมบูรณ์ เพราะว่าทำงานด้วย จิตก็มีอารมณ์เป็นสมาธิด้วย คือว่า อยากทำสมาธิแล้วทิ้งงานทิ้งหน้าที่ใช้ไม่ได้นะ ให้มีความเข้าใจเสียใหม่ว่า การทำงานด้วยความตั้งใจจริงเวลานั้นเรามีสมาธิไปในตัว ใช้งานเป็นสมาธิ ให้เปลี่ยนอารมณ์เสียใหม่นะ คือว่างานอะไรก็ตามที่ทำด้วยความระมัดระวังด้วยความตั้งใจจริงเฉพาะงานนั้น เป็นการฝึกสมาธิไปในตัว แต่ว่าอารมณ์ของผู้ถามอาจจะเป็นกุศลว่าเวลานี้เราทำสมาธิทำงานแล้วอยากทำจิตให้สงบใช่ไหม พอจะทำจิตให้สงบก็เบื่องาน อย่าเบื่องานนะ พระพุทธเจ้าท่านทรงแนะนำว่า
    "อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมัง คะละมุตตะมัง"
    การงานดีไม่เลอะเทอะ ไม่เกลื่อนกล่นคืนไม่เสีย จัดว่าเป็นอุดมมงคล การงานที่เราจำเป็นจะต้องทำ มันต้องกิน ต้องใช้ ต้องอาศัยงาน ต้องพยายามตั้งใจให้ดีเวลาที่จิตอยากจะฝึกสมาธิ เวลานั้นเราก็ใช้งานเป็นสมาธิไปเลย ว่างานที่เราทำหนังสือควรจะเขียนแบบไหน ก็ทำให้มันถูกต้องด้วยความตั้งใจจริง นั่นแหละเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว อารมณ์นั้นเวลากลับบ้านจิตจะเป็นสมาธิดีมาก
    อันนี้ก็เป็นความรู้ใหม่ที่เพิ่งเข้าใจเหมือนกัน ฉะนั้นการตั้งใจทำงานจัดได้ว่าเป็นสมาธิด้วย และถ้าทำงานดีก็เป็นมงคลด้วย
    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 135 เดือนพฤษภาคม 2535 หน้า 68-69)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...