นิมิต - กรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 พฤษภาคม 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ?temp_hash=49c7c0d565c1c0a8f5a739404f00898f.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    14947864_1017233865066435_4104978514506869429_n-jpg-jpg-jpg.jpg
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ?temp_hash=92647c9fedea73502684c6fb37e56647.jpg
    ?temp_hash=92647c9fedea73502684c6fb37e56647.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ภาพนิมิต

    การพิจารณาว่าพุทโธก็จะขอข้ามอารมณ์ต่างๆ ไป นี่ถ้ากำลังใจของเราทรงมั่นก็จะมีนิมิตปรากฏขึ้นโดยเฉพาะ นิมิตตรงๆ ก็คือต้องเห็นเป็นรูปของพระพุทธรูป หรือเห็นเป็นรูปของพระสงฆ์ มีรัศมีกายผ่องใส อย่างนี้เขาเรียกว่านิมิตของพุทธานุสสติกรรมฐาน อันนี้จับเอา
    ไว้ได้ ถ้านิมิตแบบนี้ปรากฏขึ้นมาในกาลต่อไปข้างหน้า ถ้าเราจะภาวนาว่าพุทโธ ก็ให้เอาจิตน้อมนึกถึงภาพนั้นไว้เป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่าเกิด #อุคคหนิมิต

    ถ้านิมิตนั้นเปลี่ยนแปลง ทีแรกเราเห็นเป็นพระพุทธรูป ดำบ้าง ขาวบ้าง เหลือง
    บ้าง แต่ไม่แจ่มใส ต่อไปถ้ามีสมาธิสูงขึ้น จะเห็นเป็นพระพุทธรูปใสขึ้น ใหญ่โตขึ้น เปลี่ยนแปลงมีความงดงามกว่า อย่างนี้เรียกว่า#อุปจารสมาธิขั้นสูง นี่จิตนึกถึงภาพนะ ถ้าภาพมันปรากฏชัดภายในใจ ไม่ใช่นั่งหาภาพที่จะมาปรากฏใหม่

    แต่ต่อไปเมื่อจิตนึกถึงภาพองค์สมเด็จพระจอมไตร ต่อไปจะเกิดรัศมีกายมีอารมณ์ผ่องใส แทนที่จะเป็นสีเหลือง สมมุติว่าเป็นสีเหลือง หรือสีเขียว สีดำ สีแดง อะไรก็ตามสีนั้นเปลี่ยนไปทีละน้อยจากสีเหลืองเข้มเป็นสีเหลืองอ่อนๆ มีความใส ต่อไปก็เป็นแก้ว แก้วใสเป็นประกายพรึกเต็มดวง และคล้ายๆ กับกระจกเงาที่ทอแสงพระอาทิตย์สะท้อน มีความชุ่มชื่น จะนึกให้ใหญ่ก็ได้ จะนึกให้เล็กก็ได้ อย่างนี้เรียกว่า #ปฏิภาคนิมิต #ขั้นระดับฌาน

    #ถ้าจิตจับอยู่แค่นี้จิตใจของเราชื่นบาน #จิตจะทรงฌานอยู่ด้วยอำนาจของพุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทรงอารมณ์ไว้ได้อย่างนี้นั้นจิตจะมีความสบาย จะมีอารมณ์
    เป็นสุขตลอดกาล ในเมื่อได้ภาพอย่างนี้จงอย่าคลายภาพนี้ทิ้งไป ให้ทรงภาพนี้เข้าไว้ ขณะใดทรงได้ขณะนั้นชื่อว่าจิตทรงสมาธิ จิตของท่านจะมีแต่ความสุข นี่ถ้าหากว่าทำจิตได้ถึงระดับนี้แล้ว ก็ปรากฏว่าปัญญาก็จะเกิด คำว่าอริยสัจจะปรากฏขึ้นกับใจของบรรดาท่านทั้งหลาย #ความรู้เท่าถึงการณ์ว่าการเกิดเป็นทุกข์ #ความแก่เป็นทุกข์ #ความตายเป็นทุกข์ #ความพลัดพรากจาก
    #ของรักของซอบใจเป็นทุกข์ #อย่างนี้มันจะเกิดขึ้นกับใจเอง #ความเบื่อหน่ายในความเกิดก็จะปรากฏ

    #ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเราและบอกว่านี่เป็นอธรรม คือความไม่ดี จิตใจของเราจะเห็นน้อมไปตามกระแสพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระชินศรีด้วยอำนาจของปัญญาอย่างแจ่มใส และธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา บอกควรประพฤติปฏิบัติ ควรทำให้เกิดมีขึ้น เพราะธรรมนั้นจะสร้างความชุ่มชื่น คือความสุขให้เกิดขึ้นกับใจ ใจคือปัญญาของเราก็จะเห็นธรรมนั้นผ่องใส ไม่เคลือบแคลง เกิดเป็นคุณ
    เป็นประโยชน์ #การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน #พระพุทธโฆษาจารย์กล่าวว่าเป็นกรรมฐานที่สามารถสร้างความดีให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ง่าย

    #เอาละสำหรับพุทธานุสสติกรรมฐานโดยย่อก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปขอทุกท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา สวัสดี..

    ️หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่มที่ ๑๔ หน้าที่๑๐๑~๑๐๒
    คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    luangpor49.jpg
    สงสัยเรื่อง "กรรมฐานบ้า"

    (คำถามใน pantip.com) หลักการปฏิบัติธรรมของวัดท่าซุง


    สงสัยเรื่อง "กรรมฐานบ้า" ครับ
    (2g.pantip.com/cafe/religious/topic/Y13053262/Y13053262.html)
    สาเหตุ 1.
    ผมมีโอกาสได้ไปเรียนนั่งสมาธิ ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    และวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี มาครับ ความรู้ยังเล็กน้อยมาก

    อยากจะหาโอกาสไปฝึกต่อยอดที่วัดอีก แต่เวลางานไม่เอื้ออำนวย
    สะดวกปฎิบัติเองที่บ้าน โดยเฉพาะทุกวันก่อนนอน

    สาเหตุ 2.
    ผมเคยได้ยินมาว่า คนที่ฝึกนั่งกรรมฐานเอง โดยที่ไม่มีครูคอยสอบอารมณ์บางคน
    นั่งกรรมฐานจนเป็นบ้าไปเลย

    คำถามคือ
    คำถาม 1.
    สาเหตุที่บางคนนั่งกรรมฐานจนเป็นบ้า คืออะไรครับ

    คำถาม 2.
    หากผมสะดวกที่จะฝึกนั่งกรรมฐาน ด้วยตัวเองที่บ้าน ควรจะทำอย่างไร
    หรือว่ามีทางป้องกันอย่างไรบ้าง ที่จะไม่ได้นั่งกรรมฐานจนเป็นบ้าครับ



    บางคนไม่กล้าทำสมาธิ..กลัวเป็นบ้า
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระชัยวัฒน์ อชิโต เรียบเรียง)


    ผู้ถาม:- “เวลาไปชวนเขาทำสมาธิ บางคนเขาบอกว่า กลัวเป็นบ้า กลัวจะไปเห็นของน่าเกลียดน่ากลัว อันนี้เป็นความจริงไหมครับ…?”

    หลวงพ่อ:- “ความจริงการเจริญสมาธิไม่มีอะไรน่ากลัว อย่าลืมว่าถ้าจิตเราดีแล้ว อย่างน้อยที่สุดจิตต้องเข้าถึงอุปจารสมาธิ มีปีติถึงจะเห็นภาพ แต่ภาพที่เราเห็นในสมาธินั้นเป็นภาพสวย เป็นภาพน่ารัก ไม่ใช่ภาพน่ากลัว ที่ว่าเป็นบ้าน่ะ ก็เพราะฝืนอาจารย์ ฝืนพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าบอกว่าการปฏิบัติต้องเว้นส่วนสุด ๒ อย่างคือ

    ๑. อัตตกิลมถานุโยค อย่าเครียดเกินไป
    ๒. กามสุขัลลิกานุโยค อย่าอยากเกินไป


    ต้องใช้ มัชฌิมาปฏิปทา คือต้องทำกลาง ๆ แบบสบาย ๆ ไม่บ้านะ”

    (แหม…ไอ้คนกลัวดีนี่มีเยอะจัง ทั้ง ๆ ที่เป็นของดี ถ้าไม่ดีก็คงไม่มีใครเขาแนะนำ ทีมีคนไปชวนกินเหล้า ไม่เห็นกลัวกันบ้างน่าแปลกแฮะ)
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ?temp_hash=62af08e2635449781e59649ace148e03.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    วัดพุทธพรหมยาน


    ความก้าวหน้า หรือไม่ก้าวหน้า
    ไม่ได้อยู่ที่ครูบาอาจารย์..มันอยู่ที่การปฏิบัติตัวของตัวเอง
    เข้าใจแล้วนำเข้ามาสู่ใจหรือเปล่า ถ้าน้อมเข้ามาสู่ใจก็ก้าวหน้า

    ไม่ใช่ว่าครูบาอาจารย์ดี แล้วลูกศิษย์จะดีด้วยนะ ...มันไม่ใช่
    • ถ้าลูกศิษย์เอาดี...ก็ดีจริง
    • ถ้าลูกศิษย์ไม่เอาดี...ก็ไม่มีทางดี

    ✍ ต่อให้อยู่กับพระอรหันต์ แต่ไม่ปฏิบัติตนแบบพระอรหันต์ ไม่มีทางได้พระอรหันต์
    มันไม่มีประโยชน์นะโยมนะ...

    ▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎✍
    #พระธรรมเทศนา ณ บ้านเจษฎา
    ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

    #พระอาจารย์เอกลักษณ์ ปญฺญาคโม
    #วัดพุทธพรหมยาน

    2fNckMD2U36iQeGB2KHzD4VhNJyr1gVWXMljZzgP5di6c2_t7uwvMt23ZCDtkteVlKZSsx5r&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    Xsmg_gAnVHjdOMD0QF_2VdUcmLnUhVepLWYw7rCsU7GMsytU2bs5IlnlrJNvy856ksQ8QIU6&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg



    กสิณไฟภายใน

    คำถาม : อยากเรียนถามหลวงพี่เรื่องทำเตโชกสิณอย่างง่ายๆเจ้าคะ

    ท่านจิตโต : อ๋อง่ายมากเลย เอาแบบกองเล็กกองใหญ่ ? ถ้ากองเล็กยากหน่อย กองใหญ่ง่าย

    ที่วัดนี้ในป่ามีฟืนเยอะ ก็เอาขอนฟืนห่มๆหน่อยนะ มันลุกง่ายดี เอามากอง กองๆไว้ เทินนะ เอานำ้มันราดเข้าแล้วเธอก็ไปนั่งอยู่บนกองไฟ แล้วเธอก็บริกรรม เตโชกสิณัง เตโชกสิณัง นะ แล้วก็จุดพรึ่บ เดี๋ยวก็เตโชขึ้นเลย

    นิมิตเตโชปรากฏสว่างไสวรอบตัวเลย เห็นไหมได้ผลแล้ว ง่ายไหมล่ะ รับรองไม่ลืมแน่เลยเตโชกสิณัง

    ไฟมันไฟภายนอก ไฟภายในมองเห็นไหมล่ะ จับกสิณไฟภายในได้ไหมล่ะ … ทำไม่เป็น ?

    ไฟโลภะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ เวลามันร้อนรุ่มในจิตใจ เห็นมันไหมล่ะ เห็นเป็นสีอะไร … มีสี เวลามันเผาแล้วดำเป็นตอตะโกเลย ใช่ไหมล่ะจิตใจเราเวลาเราถูกเผาด้วยไฟแบบนี้มันสีดำ ได้หรือยังกสิณ ?

    ไฟภายนอกน่ะ มันไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนักเหมือนไฟภายใน ไฟภายในเรา เวลาเราเกิดขึ้นมานะ เธอลองจับดูสิ ใจเรานี่มันจะรุ่มร้อนกระสับกระส่าย มันจะเห็นจิตเรากระสับกระส่ายรุ่มร้อนถูกเผาไปด้วยไฟ แล้วมันก็จะหม่นหมอง เศร้าหมอง ใช่ไหมล่ะ

    นั่นล่ะ ก็จับไว้เป็นกสิณ …

    โห จิตกูเองเป็นอย่างนี้เหรอ ทำไมมันดำปิ๊ดปี๋อย่างนี้วะ ทำได้ไหม ? ทำได้กี่วาระ ?

    ยังไม่ได้เกิดไฟจริงๆเลย ลองดูไหมล่ะ … ลองไฟโทสะดูก่อน

    ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕
    คำสอนของครูบาอาจารย์⚜️ท่านจิตโต⚜️
    ถอดความเสียง By Dhipya
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    คำพ่อสอน
    #เธออย่าเอาแต่ภาวนาเฉยๆโดยที่เธอไม่หวังผลอะไร
    #คนเขาเจอพระพุทธเจ้ามากมายแต่ไม่เคยอธิษฐานอะไรเลย #พระองค์ก็ไม่สามารถช่วยได้

    #ตั้งจิตอธิษฐาน

    ขอบารมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน
    ขอให้การภาวนาของลูกจงมีผลให้จิต
    ของลูกสงบเพื่อระงับ
    ขอลูกได้เห็นสัจจะธรรมความเป็นจริงในสิ่งที่ลูกกำลังไม่สามารถระงับความชั่วในใจของลูกได้ ว่าเหตุใดหนอจึงระงับไม่ได้ จะระงับได้ด้วยเหตุอันใด
    ขอพระองค์เมตตาดลใจลูกด้วยเทิด

    #เครดิตคุณ Bres Apisit

    เสียงธรรมพ่อสอน
    #พระเดชพระคุณหลวงพ่อสมปอง

    สุธัมมสันตจิตโต(บ้านสบายใจ)
    https://youtu.be/MhVpF0IkHr0

    ️คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
    จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    PHnwIdTE7rTZMLmEPLGujmWMveHCg5-yNuFMv-SLEudS6a0ExLvXbfxzf385Yw7kTgs52zIH&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    จากธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๔๖๘

    -m0E93voWqYx6M7cUSQdtcECPZxOkfAvmkLVbdJZCICrQqRcyYG3omTyaCX-OBDTuBDkA-9V&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    Motanaboon.Com


    วิปัสสนาญาน โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

    วิปัสสนาญาณสามนัย

    วิปัสสนาญาณที่พิจารณากันมานั้น ท่านสอนไว้เป็นสามนัย คือ

    ๑.พิจารณาตามแบบวิปัสสนาญาณ ๙ ตามนัยวิสุทธิมรรคที่ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ รจนาไว้

    ๒.พิจารณาตามนัยอริยสัจ ๔

    ๓.พิจารณาขันธ์ ๕ ตามในพระไตรปิฎก ที่มีมาในขันธวรรค

    ทั้งสามนัยนี้ ความจริงก็มีอรรถ คือความหมายเป็นอันเดียวกัน โดยท่านให้เห็นว่า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน

    ท่านแยกไว้เพื่อเหมาะแก่อารมณ์ของแต่ละท่าน เพราะบางท่านชอบค่อยทำไปตามลำดับตามนัยวิปัสสนาญาณ ๙ เพราะเป็นการค่อยปลด ค่อยเปลื้องตามลำดับทีละน้อย ไม่หนักอกหนักใจ

    บางท่านก็ชอบพิจารณาแบบรวม ๆ ในขันธ์ ๕ เพราะเป็นการสะดวกเหมาะแก่อารมณ์

    บางท่านที่ชอบพิจารณาตามแบบอริยสัจ อริยสัจนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเอง และนำมาสอนปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรก ท่านเหล่านั้นได้มรรคผลเป็นปฐม ก็เพราะได้ฟังอริยสัจ

    แต่ทว่าทั้งสามนี้ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ ให้เห็นอนัตตาในขันธ์ ๕ เหมือนกัน ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรค และในขันธวรรค ในพระไตรปิฎกว่า ผู้ใดเห็นขันธ์ ๕ ผู้นั้นก็เห็นอริยสัจ ผู้ใดเห็นอริยสัจ ก็ชื่อว่าเห็นขันธ์ ๕

    เอาสังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์

    นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ ว่าเราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่าเราเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัต ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง

    สังโยชน์ ๑๐

    สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง คือ

    ๑.สักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา

    ๒.วิจิกิจฉา สงสัยในผลการปฏิบัติว่าจะไม่ได้ผลจริงตามที่ฟังมา

    ๓.สีลัพพตปรามาส ถือศีลไม่จริงไม่จัง สักแต่ถือตามๆเขาไปอย่างนั้นเอง

    สามข้อนี้ ถ้าตัดได้เด็ดขาด ท่านว่าได้บรรลุเป็นพระโสดากับพระสกิทาคามี

    ๔.กามราคะ ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอาการถูกต้องสัมผัส

    ๕.ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งใจ ทำให้ไม่พอใจ อันนี้เป็นโทสะแบบเบาๆ

    ข้อ ๑ ถึง ๕ นี้ ถ้าละได้เด็ดขาด ท่านว่าบรรลุเป็นอนาคามี

    ๖.รูปราคะ พอใจในรูปธรรม คือความพอใจในวัตถุ หรือรูปฌาน

    ๗.รูปราคะ พอใจในอรูป คือเรื่องราวที่กล่าวถึง หรือในอรูปฌาน

    ๘.อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง

    ๙.มานะ ความถือตนโดยความรู้สึกว่า เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา

    ๑๐.อวิชชา ความโง่ คือ หลงพอใจในกามคุณ ๕ และกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ ที่ท่านเรียกว่า อุปาทาน เป็นคุณธรรมฝ่ายทรามที่ท่านเรียกว่า อวิชชา

    สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ ๑๐ อย่างโดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผล

    เครื่องวัดอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบท่านสอน เอาอารมณ์มาเปรียบกับสังโยชน์ ๑๐

    ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนเข้าไปหาข้ออื่น ทำอย่างนี้ได้ผลเร็ว เพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย

    จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี้แหละ เพราะเป็นของใหม่ และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้

    ● ต่อไปจะนำเอาวิปัสสนาญาณสามนัยมากล่าวไว้ พอเป็นแนวปฏิบัติพิจารณา

    วิปัสสนาญาณ ๙

    ๑.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ

    ๒.ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ

    ๓.ภยตูปัฎฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว

    ๔.อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร

    ๕.นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย

    ๖.มุญจิตุกามยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย

    ๗.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร

    ๘.สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร

    ๙.สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ นั้น เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ

    ญาณทั้ง ๙ นี้ ญาณที่มีกิจทำเฉพาะอยู่ตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึง ญาณที่ ๘ เท่านั้น ส่วนญาณที่ ๙ นั้นเป็นชื่อของญาณบอกให้รู้ว่า เมื่อฝึกพิจารณามาครบ ๘ ญาณแล้ว ต่อไปให้พิจารณาญาณทั้ง ๘ นั้น โดยอนุโลมและปฏิโลม

    คือ พิจารณาตามลำดับไปตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึงญาณที่ ๘ แล้วพิจารณาตั้งแต่ญาณที่ ๘ ย้อนมาหาญาณที่ ๑ จนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ทุก ๆ ญาณ และจนจิตเข้าสู่โคตรภูญาณ คือจิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตนหรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อนก็ไม่มีความทุกข์ ความเร่าร้อน ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่าครอบงำความเกิด ความดับ ความตายได้ เป็นต้น

    คำว่า ครอบงำ หมายถึง ความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ใครจะตายหรือเราจะตายไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่านี่มันเป็นของธรรมดาโกรธทำไม แล้วอารมณ์โกรธก็หายไป นอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิดเคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใด สามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะ มีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ

    คล้ายกับชายหนุ่มหญิงสาวเพิ่งแรกรักกัน จะนั่ง นอน ยืนเดินทำกิจการงานอยู่ก็ตามจิต ก็ยังอดที่จะคิดถึงคนรักอยู่ด้วยไม่ได้ บางรายเผลอถึงกับเรียกชื่อคนรัก ขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆที่ไม่ได้คิดว่าจะเรียก ทั้งนี้เพราะจิตมีความผูกพันมาก คนรักมีอารมณ์ผูกพันฉันใด

    ท่านที่มีอารมณ์เข้าสู่โคตรภูญาณก็มีความใฝ่ฝันถึงพระนิพพานเช่นเดียวกันหลังจากเข้าสู่โคตรภูญาณเต็มขั้นแล้ว จิตก็ตัดสังโยชน์ ๓ เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหานคือตัดได้เด็ดขาดไม่กำเริบอีก ท่านเรียกว่าได้อริยมรรคต้นคือเป็นพระโสดาบัน

    ● ต่อไปนี้ จะได้อธิบายในวิปัสสนาญาณ ๙ เป็นลำดับไปเป็นข้อ ๆ

    ๑.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ
    ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาความเกิดและความดับของสังขาร

    คำว่า สังขาร หมายถึง สิ่งที่เป็นร่างทั้งหมดทั้งที่มีวิญญาณและวัตถุ ท่านให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอ ๆ ว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่เลย พยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้เห็นชัด

    ดูตัวอย่าง คนที่เกิดแล้วตาย ของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รัก ของที่มีชีวิตและไม่มี คิดว่านี่ไม่ช้าก็ต้องตาย ทำลายอย่างนี้และพร้อมเสมอที่จะไม่หวั่นไหว ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างนั้น

    พิจารณาทบทวนอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตาม แม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจก็คิดว่านี่ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลาย แม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณ อะไรที่ไหนที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาล ไม่มี รักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้ จนอารมณ์ไม่กำเริบแล้ว จึงค่อยย้ายไปพิจารณาญาณที่สอง

    จงอย่าลืมว่าก่อนพิจารณาทุกครั้งต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยจากฌานมาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณ จึงจะเห็นเหตุเห็นผลง่าย

    ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ว วิปัสสนาญาณก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรดีไปกว่านั่งนึกนอนนึก แล้วในที่สุดก็เลิกนึก และหาทางโฆษณาว่าฉันทำมาแล้วหลายปีไม่เห็นได้อะไรเลย จงจำระเบียบไว้ให้ดีและปฏิบัติตามระเบียบให้เคร่งครัด วิปัสสนาไม่ใช่ต้มข้าวต้มจะได้สุกง่าย ๆ ตามใจนึก

    ๒.ภังคานุปัสสนาญาณ
    ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาถึงความดับ

    ญาณต้นท่านให้เห็นความเกิดและความดับสิ้นเมื่อปลายมือ แต่ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นความดับที่ดับเป็นปกติทุกวัน ทุกเวลา คือ พิจารณาให้เห็นสรรพสิ่งทั้งหมดที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า คนสัตว์ ต้นไม้ ภูเขา บ้านเรือนโรง ของใช้ทุกอย่าง ให้ค้นหาความดับที่ค่อย ๆ ดับตามความเป็นจริง

    ที่สิ่งเหล่านั้นค่อย ๆ เก่าลง คนค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นจากความเป็นเด็ก และค่อยๆ ละความเป็นหนุ่มสาวถึงความเป็นคนแก่ ของใช้ที่ไม่มีชีวิตเปลี่ยนสภาพจากเป็นของใหม่ค่อยๆ เก่าลง ต้นไม้เปลี่ยนจากเป็นต้นไม้ที่เต็มไปด้วยกิ่งใบที่ไสวกลายเป็นต้นไม้ที่ค่อยๆ ร่วงโรย ความสลายตัวที่ค่อยเก่าลง เป็นอาการของความสลายตัวทีละน้อย ค่อยๆ คืบคลานเข้าไปหาความสลายใหญ่คือความดับสิ้นในที่สุด

    ค่อยพิจารณาให้เห็นชัดเจนแจ่มใส จนอารมณ์จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีความชินจิตว่าไม่มีอะไรมันทรงตัว ไม่มีอะไรยั่งยืน มันค่อยๆ ทำลายตัวเองอย่างนี้ทั้งสิ้น แม้แต่อารมณ์ใจก็เช่นเดียวกัน อารมณ์ที่พอใจและอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็มีสภาพไม่คงที่ มีสภาพค่อย ๆสลายตัวลงไปทุกขณะเป็นธรรมดา

    รวมความว่า ความเกิดขึ้นนี้ เป็นสภาพที่จำต้องเดินไปหาความดับในที่สุด แต่กว่าจะถึงที่สุดก็ค่อยๆ เคลื่อนดับ ดับทีละเล็กละน้อยทุกเวลาทุกขณะ มิได้หยุดยั้งความดับเลยแม้แต่เสี้ยวของวินาที ปกติเป็นอย่างนี้ จิตหายความหวั่นไหวเพราะเข้าใจและคิดอยู่ รู้อยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

    ๓.ภยตูปัฏฐานญาณ
    ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว

    ท่านหมายถึงให้กลัว เพราะสังขารมีสภาพพังทลายเป็นปกติอยู่เป็นธรรมดาอย่างนี้ จะเอาเป็นที่พักที่พึ่งมิได้เลย

    สังขารเมื่อมีสภาพต้องเสื่อมไปเพราะวันเวลาล่วงไปก็ดี เสื่อมเพราะเป็นรังของโรค มีโรคภัยนานาชนิดที่คอยเบียดเบียนเสียดแทงจนหาความปกติสุขมิได้

    โรคอื่นยังไม่มี โรคหิวก็รบกวน ตลอดวัน กินเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอ กินแล้วกินอีก กินในบ้านก็แล้ว กินนอกบ้านก็แล้ว อาหารราคาถูกก็แล้ว ราคาแพงก็แล้ว มันก็ไม่หายหิว ถึงเวลามันก็เสียดแทงหิวโหยเป็นปกติของมัน

    ฉะนั้น โรคที่สำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โรคนั้น คือ โรคหิว ดังพระบาลี ว่า ชิฆจฺฉาปรมา โรคา แปลว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง

    โรคภัยต่างๆ มีขึ้นได้ก็เพราะอาศัยสังขาร ความหิวจะมีได้ก็เพราะอาศัยสังขาร ความแก่ ความทุกข์อันเกิดจากภยันตรายจะมีได้ ก็เพราะอาศัยสังขาร เพราะมีสังขารจึงมีทุกข์ ในที่สุดก็ถึงความแตกดับ ก็เพราะสังขารเป็นมูลเหตุ สังขารจึงเป็นสิ่งน่ากลัวมาก ควรจะหาทางหลีกเร้นสังขารต่อไป

    ๔.อาทีนวานุปัสสนาญาณ
    ญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้เห็นโทษของสังขาร

    ความเจริญญาณนี้น่าจะจัดรวมกับญาณที่ ๓ เพราะอาการที่ทำลายนั้น เป็นอาการของสิ่งที่เป็นโทษอยู่แล้ว ฉะนั้นข้อนี้จึงไม่ต้องอธิบาย โปรดถือคำอธิบายของญาณที่ ๓ เป็นเครื่องพิจ

    ๕.นิพพิทานุปัสสนาญาณ
    ญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้มีความเบื่อหน่ายจากสังขาร

    เพราะสังขารเกิดแล้วดับในที่สุดนี้ประการหนึ่ง สังขารมีความดับเป็นปกติทุกวันเวลา หรือจะว่าทุกลมหายใจเข้าออกก็ไม่ผิด นี้ประการหนึ่ง สังขารเป็นภัยเพราะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นปกติ และ ทำลายในที่สุดประการหนึ่ง สังขารเต็มไปด้วยความทุกข์และโทษประการหนึ่ง ฉะนั้นสังขารนี้เป็นสภาพที่น่าเบื่อหน่าย ไม่เป็นของน่ารัก น่าปรารถนาเลย

    ญาณนี้ควรเอาอสุภสัญญาความเห็นว่าไม่สวยไม่งามมาร่วมพิจารณาด้วย เอามรณานุสสติธาตุ ๔ มาร่วมพิจารณาด้วย จะเห็นเหตุเห็นผลชัดเจน เกิดความเบื่อหน่ายได้โดยฉับพลัน เพราะกรรมฐานที่กล่าวแล้วนั้น เราพิจารณาในรูปสมถะอยู่แล้ว และเห็นเหตุผลอยู่แล้ว เอามาร่วมด้วยจะได้ผลรวดเร็ว และชัดเจนแจ่มใสมาก เกิดความเบื่อหน่ายในสังขารอย่างชนิดที่ไม่มีวันที่จะเห็นว่าน่ารักได้เลย

    ๖.มุญจิตุกัมมยตาญาณ
    ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเพื่อใคร่ให้พ้นจากสังขาร

    ทั้งนี้เพราะอาศัยที่เห็นแล้วจากญาณต้น ๆ ว่า เกิดแล้วก็ดับ มีความดับเป็นปกติ เป็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะโรคภัยไข้เจ็บ จนเกิดความเบื่อหน่ายเพราะหาความเที่ยง ความแน่นอนไม่ได้ ท่านให้พยายามหาทางพ้นต่อไป ด้วยการพยายามหาเหตุที่สังขารจะพึงเกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มีสังขารแล้ว ความทุกข์ความเบื่อหน่ายทั้งหลายเหล่านี้จะมีไม่ได้เลย

    การที่หาทางเบื่อหน่าย ท่านให้แสวงหาเหตุของความเกิด ดังต่อไปนี้

    ๑.ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย เป็นต้น มีขึ้นได้ เพราะชาติ คือความเกิด

    ๒.ชาติ ความเกิด มีได้ เพราะภพ คือความเป็นอยู่

    ๓.ภพ คือภาวะความเป็นอยู่ มีขึ้นได้ เพราะอาศัยอุปาทาน ความยึดมั่น

    ๔.อุปาทาน ความยึดมั่น มีขึ้นได้ เพราะอาศัยตัณหา คือความทะยานอยากคือ อยากมี อยากเป็น อยากปฏิเสธ

    ๕.ตัณหา มีได้ เพราะอาศัยเวทนา คือ อารมณ์ที่รู้สึกสุข ทุกข์และเฉยๆ

    ๖.เวทนา มีขึ้นได้ เพราะอาศัยผัสสะ คือ การกระทบกระทั่ง

    ๗.ผัสสะ มีขึ้นได้ เพราะอาศัยอายตนะ ๖ คือ ตาเห็นรูป หูฟังเสียงจมูกสูดกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส และอารมณ์ที่เป็นอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจที่เรียกว่า ธัมมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดแก่ใจ

    ๘.อายตนะ ๖ มีขึ้นได้ เพราะอาศัยนามและรูป คือ ขันธ์ ๕
    สิ่งที่เห็นได้ด้วยตา คือ ร่างกายเรียกว่า รูป
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนาม
    ท่านรวมเรียก ทั้งรูปทั้งนาม ว่า นามรูป

    ๙.นามรูป มีขึ้นได้ เพราะอาศัยวิญญาณปฏิสนธิ คือ เข้ามาเกิด
    วิญญาณในที่นี้ท่านหมายเอาจิต ไม่ได้หมายเอาวิญญาณในขันธ์ ๕

    ๑๐.วิญญาณ มีขึ้นได้ เพราะมีสังขาร

    ๑๑.สังขาร มีได้ เพราะอาศัยอวิชชา คือ ความโง่เขลาหลงงมงาย มีความรักความพอใจในโลกวิสัยเป็นเหตุ

    รวมความแล้ว ความทุกข์ทรมานที่ปรากฏขึ้น จนต้องหาทางพ้นนี้ อาศัย อวิชชา ความโง่เป็นสมุฏฐาน

    ฉะนั้น การที่จะหลีกเร้นจากสังขารได้ ก็ต้องตัดอวิชชาความโง่ออก ด้วยการพิจารณาสังขารให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้แน่นอน จึงจะพ้นสังขารนี้ได้

    ๗.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ
    พิจารณาหาทางที่จะให้สังขารพ้น

    ญาณนี้ไม่เห็นทางอธิบายชัด เพราะมีอาการซ้อนๆ กันอยู่ ควรเอา ปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละเป็นเครื่องพิจารณา

    ๘.สังขารุเปกขาญาณ
    ท่านสอนให้วางเฉย

    ในเมื่อสังขารภายในคือ ร่างกายของตนเองและสังขารภายนอกคือร่างกายของคน และ สัตว์ ตลอดจนของใช้ที่ไม่มีและมีวิญญาณที่ต้องได้รับเคราะห์กรรม มีทุกข์ มีอันตราย โดยตัดใจปลงได้ว่าธรรมดาต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ มีจิตสบายเป็นปกติไม่มีความหวั่นไหว เสียใจ น้อยใจเกิดขึ้น

    ๙.สัจจานุโลมิกญาณ
    พิจารณาญาณทั้งหมดย้อนไปย้อนมาให้เห็นอริยสัจ

    คือเห็นว่าสังขารที่เป็นแดนของความทุกข์ เพราะอาศัยตัณหา จึงมีทุกข์หนักอย่างนี้ พิจารณาเห็นว่าสังขารมีทุกข์ประจำเป็นปกติ ไม่เคยว่างเว้นจากความทุกข์เลย อย่างนี้เรียกว่า เห็นทุกขสัจจะ เป็นอริยสัจที่ ๑

    พิจารณาเห็นว่าทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นประจำไม่ว่างเว้นนี้ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัย ตัณหา ความทะยานอยาก ๓ ประการ คือ อยากมีในสิ่งที่ไม่เคยมี อยากเป็นในสิ่งที่ ไม่เคยเป็นอยากปฏิเสธ ในเมื่อความสลายตัวเกิดขึ้น ไม่อยากให้สลายตัว เจ้าความอยาก ทั้ง ๓ นี้แหละ เป็นผู้สร้างความทุกข์ขึ้นมา

    ทุกข์นี้จะสิ้นไปได้ ก็เพราะเข้าถึงจุดของ ความดับคือนิโรธ เสียได้

    จุดดับนั้นท่านวางมาตรฐานไว้ ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านเรียกว่า มรรค ๘ ย่อมรรค ๘ ลงเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้

    เพราะอาศัยศีลบริบูรณ์ สมาธิเป็นฌาน ปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริง หมดความเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและดับอารมณ์พอใจไม่พอใจ เสียได้ ตัดอารมณ์ใจในโลกวิสัยได้ ตัดความกำหนัดยินดีเสียได้ ด้วยปัญญาวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าเห็นในอริยสัจ ๔

    ทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ให้คล่อง จนจิตครอบงำความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมาในชีวิตเสียได้ ชื่อว่าท่านได้ วิปัสสนาญาณ ๙ และ อริยสัจ ๔

    แต่อย่าคิดว่าเราดีแล้ว ต้องฝึกฝนพิจารณาเรื่อยไป จนตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้แล้วนั่นแหละ ชื่อว่าเอาตัวรอดได้แล้ว.

    #วิปัสสนาญาน #
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    aQZ62MsdUofA8ZTJPABTmZo9G1yrrbxKPtSNeNH_26o5aT-QZHQNvJkWfzuftFjJ47jZZRAE&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    .. คำสอนหลวงพ่อ(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)ที่ประทับใจที่สุด

    “จำไว้นะ โลกนึ้มันเป็นกระแสกิเลสทั้งนั้น ถ้าหากสังเกตุให้ดี
    มันไม่มีอะไรหรอกในโลกนี้
    นอกจาก ขันธ์ ๕ ของเราจุดเดียว
    แล้วก็มีรูปที่ผ่านตา
    เสียงที่ผ่านหู
    (แล้วเกิด)เป็นอารมณ์ที่ผ่านใจ
    ผลสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือ
    มาจำ..มาเสียใจ ดีใจทีหลัง
    ก็เป็นพียงสัญญา..สังขาร..เป็นอารมณ์ของใจ
    พอเกิดเรื่องก็อยู่ที่ว่าจะเอาอะไรมาเป็นอารมณ์
    ก่อนที่อารมณ์นั้นจะสลายไป..เท่านั้นเอง
    ให้ระวังแค่นั้น..

    (เป็นคำสอนกรรมฐาน)ที่ประทับใจที่สุด
    เพราะเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องทำยาก
    แต่ว่าเป็นคำหลวงพ่อสอนนะ
    หลวงพ่อคงเห็นเงาหัวว่า ถ้าให้เพียรต่อไป
    ไม่ชาตินี้ ชาติหน้า ชาตินู้น ก็ให้ปฏิบัติเอาตามผังนี้ไป

    โดย พระครูภาวนาพิลาศ
    (พระคุณหลวงตาวัชรชัย อินทวังโส)
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ?temp_hash=3b2d5effaa2b7acf9626f3fd4238f932.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ?temp_hash=2adaf4d879392b63fe58be07d0f436c0.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    หลวงพ่อปานพิสูจน์ความจริงเรื่องพระพุทธฉาย สระบุรี
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    เมื่อถึงพระพุทธฉาย เรื่องก็เป็นไปตามเดิม
    หลวงพ่อปานท่านให้ทุกองค์เข้าอาโลกกสิณเต็มระดับ
    ฟังแล้วอย่าคิดว่ายากนะ เขาใช้เวลากันไม่ถึงครึ่งวินาที
    ก็เต็มแล้ว ด้วยปกติมันคอยจะเต็มอยู่แล้ว ยิ่งเดินผ่าน
    อารมณ์ยิ่งเต็ม ก่อนออกเดินต้องเข้าฌาน 4 เต็มอัตราก่อน
    แล้วถอยมาตั้งอยู่ระดับปฐมฌานหรืออุปจารฌาน
    พร้อมที่จะเข้าฌาน 4 ได้อย่างฉับพลัน
    เมื่อได้รับบัญชาทุกองค์จึงเข้าอาโลกกสิณเต็มระดับ
    ต่างก็ทราบว่าหลวงพ่อจะไห้พิสูจน์ความจริงเรื่องพระพุทธฉาย
    ต่างก็เข้าฌาน 4 ในอาโลกกสิณทันที ปัปเดียวถึงเลย
    หายใจเข้ายังไม่ทันหายใจออก ลมหายใจมันก็หายไปเลย
    เป็นอันว่าฌาน 4 มาถึงแล้ว ไม่เห็นยากเลย
    เมื่อหลวงพ่อปานท่านตรวจเห็นว่าทรงฌานดี
    อารมณ์สะอาด ท่านบอกให้ทดสอบเรื่องพระพุทธฉาย
    ว่าพระพุทธเจ้ามาฉายไว้จริงหรือเปล่า
    มีใครเป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้ามาฉาย

    คณะสี่ลิงหน้าพลับพลาต่างก็ตรวจตามความสามารถ
    ผลงานที่เขียนไว้ตรงกัน คือเห็นแถวบริเวณพระพุทธฉาย
    เป็นเขตใกล้ทะเล มีคน 2 คน คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่
    ผิวขาว หน้ามน ๆ อีกคนหนึ่งผิวดำ สันทัดคน
    ร่างเล็กกว่าคนก่อน เป็นหัวหน้าสร้างที่พักด้วยไม้เหลือง
    เสร็จแล้วมีพระนิมนต์พระพุทธเจ้ามาพร้อมด้วยพระสาวก
    ไม่กี่รูป เมื่อพระองค์ทรงเทศน์จบแล้วจะกลับ เขา 2 คน
    ขอให้พระองค์ทรงทำของที่ระลึก ท่านเลยเนรมิตรูปท่าน
    กับพระอัครสาวกทั้งสองไว้เพื่อให้เขาบูชา
    พอผลงานปรากฏต่างก็ถวายอักษรสาร แต่ไม่ใช่ตราตั้ง
    เป็นสารผลงาน หลวงพ่อปานตรวจแล้วท่านชมว่าดี
    แต่ยังมีผลน้อยไป ควรรู้มากกว่านี้ แล้วท่านก็ว่าดีแล้ว
    พวกแกเอาตัวรอดได้ เดินห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว
    ระวังให้ดีนะ ถ้าเผลออาจลงนรกได้ไม่ยาก
    ท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านจะมาฉายไว้จริงหรือไม่
    ค่ำวันนี้ก็รู้กัน ฉันจะพิสูจน์อย่างที่พระพุทธบาท

    เมื่อยามค่ำปรากฏการพิสูจน์ก็มีขึ้น พิธีอย่างเดียวกัน
    แต่ผลที่ปรากฏ ไม่ใช่ดวงดาว ปรากฏเป็นรูปพระพุทธเจ้า
    อย่างพระสงฆ์ ไม่ใช่แบบเชียงแสนหรือสุโขทัย อู่ทอง
    เป็นรูปแบบพระสงฆ์ สวยบอกไม่ถูก พระทุกองค์จำได้
    เพราะเห็นเป็นปกติ มีรัศมีช่วงโชติพุ่งออกจากพระวรกาย
    สวยงามมากดูเหมือนคล้ายเอานีออนไปประดับ แต่สวยกว่า
    แสงไฟฟ้ามาก มีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรนั่งองค์ละข้าง
    ลืมตาดูสบาย ดูแล้วก็เกิดธรรมปีติ ไม่ต้องบรรยายดีกว่า
    พูดไปก็ซ้ำกัน รำคาญเปล่า ๆ เมื่อถึงเวลาดึกประมาณ 24 น.
    เรื่องเวลานี้ต้องถือว่าไม่ตรงเสมอไป ด้วยใช้คำว่าประมาณ
    เพราะกะเอา ไม่มีนาฬิกา ใช้แต่นาฬิกากะ คือกะเอาอย่างนั้นเอง
    เพราะฉันข้าวเวลาเดียว เรื่องอะไรจะต้องดูนาฬิกา
    เรื่องถึงไหน เมื่อไรไม่ใช่ธุระ ไปกันตามสบาย ไปตามอารมณ์
    อยากไปก็ไป ไม่อยากก็พัก ไม่มีกำหนดแน่ว่าจะเดินเมื่อไร
    พักเท่าไร เมื่อเวลา 24 น. ผ่านไป ต่างก็เข้ามุ้งนอนตามปกติ
    แต่ไม่มีใครหลับ เพราะธรรมปีติ

    UBgt1k6QfsBL4zqAzHjFTjDmhSLOgXqq7A30HJpQDsGH&_nc_ohc=bApDcuwFMlQAX8BsrBK&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,447
    9ambUDlTmc1pVzW06y_v1M2YvYym7wLkm3uY7_-gB15R&_nc_ohc=xHtfwnxhamQAX-riNjO&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    ◈ สังขารุเปกขาญาณ ◈

    คำถาม : เวลาเจ็บมาก ๆ ตุ๊พ่อทำใจอย่างไรครับ

    #ตุ๊พ่อท่านเมตตาตอบดังนี้

    #จิตคิดถึงองค์พระพุทธเจ้า พระธรรม องค์หลวงปู่ปาน องค์พระอาจารย์สมปอง องค์พระอาจารย์เล็ก

    #วางทั้งพรหมโลก เทวโลก มนุสโลก นรกโลก #วางร่างกายของตนของคนอื่นสัตว์อื่นและวัตถุธาตุทุกชนิด

    #ยกจิตขึ้นสู่อุเบกขา ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดใด แต่จะมีเมตตาจิตไปทั่วจักรวาลทั้งปวง ขอไปอยู่กับองค์พระพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์หลวงพ่อ องค์พระอาจารย์สมปอง องค์พระอาจารย์เล็ก

    #ภาวนาพระคาถาบรรเทาเวทนาของครูบาเจ้าศรีวิชัยว่า “โสภะคะวา สะระอะ ฯ “

    เขานิมนต์ฉันข้าวแล้ว
    สบายดี

    #พระเดชพระคุณตุ๊พ่อพระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ
    วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่
    อ.ลี้ จ.ลำพูน
    ___________________
    ขอบพระคุณ เรื่อง : เสียงธรรมจากถ้ำป่าไผ่
    ภาพ : พระคุณตุ๊พ่อ เข้ารับการผ่าตัดเมื่อหลายวันที่ผ่านมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...