.เรื่องเล่า พลัง ในวัตถุมงคล หลวงปู่หมุน หลวงปู่สรวง คุณยายชีนวล แสงทอง หลวงปู่นวยถ้ำวัวแดง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kwich, 20 พฤษภาคม 2019.

  1. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    DBBBD4A3-D84D-4E4A-9ABD-6FC0E8056E84.jpeg

    #หลวงปู่คำคะนิงบุกเมืองบาดาลใต้แม่น้ำโขง"
    .
    หลวงปู่เป็นพระอีกรูปที่เคย ได้เล่าเรื่องพญานาคไว้อย่างน่าสนใจ

    หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่มุ่งเอาพระนิพพานเป็นที่ไป ท่านรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิตดังนั้นคำว่ามุสาเรื่องพญานาคท่านคงไม่มีอย่างแน่นอน หลวงปู่คำคะนิงถูกพวกทหารลาวแดงคอมมิวนิสต์ตามจับเพราะถือว่าเป็นคณะสงฆ์องค์เจ้าเป็นภัยกับคอมมิวนิสต์ ญาติโยมทางเมืองลาวพาหลวงตาคำคะนิงหนีข้ามโขงมาขอให้พระอาจารย์โชติอาภัคโคชวยอุปถัมภ์ค้ำชู ด้วยพระอาจารย์โชติจึงให้ไปอยู่แถบอำเภอโขงเจียมเพราะมีป่าเขาลำเนาไพรอุดมสมบูรณ์
    .
    เหมาะสำหรับเเสวงวิเวกเจริญจิตภาวนาตามอัธยาศัย เงื้อมผาป่าหินและเถื่อนถ้ำหลายแห่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พระกรรมฐานรุ่นก่อนเคยอยู่มาแล้วเป็นต้นว่าสัมเร็จลุน,สัมเร็จตัน,ท่านพ่อธรรมบาล,หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตหลวงพ่อพระมหาทองรัตน์ฯลฯ
    .
    หลวงปู่คำคะนิงได้เลือกเอาเงื้อมที่ภูเขาแห่งหนึ่งแถวๆบ้านด่านริมฝั่งแม่น้ำโขงเป็นที่พักอาศัยเจริญภาวนาใช้ชื่อว่าถ้ำคูหาสวรรค์ หลวงปู่คำคะนิงท่านอยู่เงียบๆรูปเดียวไม่เกี่ยวข้องกับใครใช้ชีวิตอย่างสมถะสันโดษ มีความสุขอยู่กับการเจริญกรรมฐานภาวนา เป็นพระที่มีเมตตาพรหมวิหารสูงมีชาวบ้านเลื่อมใสไม่น้อย
    หลายปีผ่านไปหลวงปู่คำคะนิงได้ทราบข่าวจากคำเล่าลือของชาวบ้านแลพระธุดงค์ว่ามีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งมีชื่อว่า ถ้ำมืด
    .
    ตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาปังซึ่งอยู่ในฝั่งประเทศไทยในเขตอำเภอโขงเจียมจังหวัดอุบลราชธานี เป็นถ้ำที่มีความลึกลับมากเพราะชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเมืองลับแลหรือเป็นที่อยู่ของชาวบังบด ถ้ำมืดนี้เป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากเพราะมีเหล็กไหลที่ชาวเมืองลับแลหวงแหนกันมาก ซึ่งวันดีคืนดีถ้าใครมีวาสนาหลงเข้าไปในถ้ำเมืองลับแลแห่งนี้จะได้รับแก้วแหวนเงินทองหรือไม่ก็ได้พระพุทธรูปทองคำไปบูชาที่บ้านกัน ลึกลงไปในถ้ำมืดเป็นนครเร้นลับใต้พิภพคือเมืองบาดาลของพญานาค

    อยู่ใต้แม่น้ำโขงเป็นเมืองใหญ่โตมโหฬาร ถ้าเข้าไปจากถ้ำทางฝั่งไทยจะลอดไปใต้แม่น้ำโขงเป็นอุโมงค์ใหญ่และมีทางแยกไปสลับซับซ้อนคล้ายรวงผึ้งสามารถทะลุขึ้นฝั่งโขงด้านประเทศลาว อุโมงค์บางสายทะลุไปออกแก่งลี่ผีสีทันดรซึ่งมีระยะทางนับร้อยกิโล คือเลยสถานที่แม่น้ำมูลไหลไปตกแม่น้ำโขงและเลยไปอีกนิดหนึ่งก็จะถึงแก่งมฤตยู ที่มีก้อนหินระเกะระกะจนเกิดเป็นน้ำตกกลางลำแม่น้ำโขงที่มีน้ำไหลเชี่ยวและลึกมาก
    .
    หลวงปู่คำคะนิงได้ออกเดินสำรวจดูด้วยตาในถ้ำมืดก็ไม่พบ ท่านจึงได้หามุมสูงบนก้อนหินก้อนหนึ่งภายในถ้ำ แล้วนั่งสมาธิเข้าฌานตามลำดับเพื่อตรวจสอบทางใน และท่านก็ได้เห็นในมิติปรากฏสว่างจ้าขึ้นตรงมุมถ้ำด้านหนึ่งเห็นคล้ายแผ่นกระจก ในผนังถ้ำนั้นมีบ่อน้ำหินและมีหินก้อนหนึ่งคล้ายจระเข้ ในนิมิตท่านยังรับรู้ด้วยว่าได้มีผู้อนุญาตให้ท่านข้ามไปหรือลดใต้ท้องจระเข้หินไปได้ หลวงปู่คำคะนิงจึงไปตามที่นิมิตบอกคือ เข้าไปในถ้ำได้พบหินย้อยลงมาคล้ายหลืบฉากเล็กๆ เป็นซอกมุมทำเลพิกลมีรูขนาดคนธรรมดาสามารถมุดคลานเข้าไปได้ทีละคน

    ต่อมาหลวงปูได้ออกจากสมาธิแล้วได้จุดเทียนเล่มใหญ่เทียนที่หลวงปู่เคยนำไปจุดเข้าถ้ำเพื่อเดินสำรวจดูภายในถ้ำ หลวงปู่ได้จุดเทียนเล่มใหญ่แล้วมุดคลานเข้าไปในโพรงดำมืดนั้นประมาณ 200 วาก็ทะลุออกถ้ำซึ่งมีความกว้างประมาณ5วาและมีเพดานสูงพอสมควร ในเพดานถ้ำก็มีหินย้อยจากเพดานสีขาวหม่นๆมีทั้งแอ่งน้ำใสปานกระจกและมีหินคล้ายรูปจระเข้
    .
    หลวงปู่คำคะนิงได้เดินลุยลงไปในน้ำแล้วข้ามจระเข้หินตัวที่ขวางหน้าอยู่แล้วคลานมุดเข้าไปในปากอุโมงค์ดำมืดนั้น อุโมงค์มีลักษณะลาดต่ำลงไปยาว30วาเห็นจะได้ และไปทะลุอโมงค์อีกด้านหนึ่งซึ่งตรงกลางมีพญางูใหญ่ตัวเท่าลำตาลชูคอขึ้นสูงท่วมหัวหลวงปู่ นัยน์ตาของมันเปล่งประกายคล้ายแสงมรกตอย่างน่าสะพรึงกลัวยิ่ง แต่หลวงปู่ท่านเล่าว่าท่านไม่รู้สึกกลัวและหวาดหวั่นอะไร มันแต่ก็ขนลุกซู่อยู่ตลอดเวลาและไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาทหรือพยายามระงับจิตใจให้มั่นคง
    .
    เป็นสมาธิอยู่เสมอและท่านก็กล่าวออกมาดังๆว่า อาตมาภาพถือสัจจะที่เข้ามานี้เพื่อขอมาชมดูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองของท่านเท่านั้นเพื่อจะได้เป็นบุญวาสนาไม่หวังจะเอาทรัพย์สินอะไรทั้งนั้น
    กล่าวจบพญางูใหญ่ก็ลดหัวต่ำลงแล้วเลื้อยเข้าไปข้างใน ตัวมันยาวและใหญ่มากหลวงปู่ยังคงยืนงงอยู่เพราะไม่คยปรากฏเห็นเช่นนี้มาก่อน จึงได้ยืนถือเทียนไว้เฉยๆจนกระทั่งพญางูได้เอี้ยวคอหันมาดูหลวงปู่แล้วมันก็ผงกหัว
    .
    คล้ายๆกับว่ามันจะบอกให้หลวงปู่เดินตามมันเข้าไปด้วยซึ่งหลวงปู่ท่านก็เดินตามอย่างห่างๆ แสงเทียนได้กระทบกับหนังถ้ำจึงเกิดแสงระยิบระยับไปหมด เหมือนกับดาวนับร้อยๆดวงและพอหลวงปู่เดินเข้าไปอีกก็เห็นเพดาน อุโมงค์ข้างบนเป็นหินสีขาวใสกระจายไปทั่ว พอท่านมองขึ้นไปก็เห็นเป็นแม่น้ำไหลเอื่อยจนเห็นท้องฟ้าอยู่เหนือน้ำ ในความรู้สึกของท่านเวลานั้นท่านเข้าใจว่าข้างในก็คงเป็นแม่น้ำโขงอย่างแน่นอน และเวลานี้ท่านก็คงกำลังอยู่ในอุโมงค์แก้วเมืองบาดาลใต้แม่น้ำโขงเป็นแน่

    จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยอยู่ใต้ภิภพซึ่งน้ำก็ไม่ลึก ท่านจึงมองเห็นกรวดทรายและพญางูใหญเลื่อยปราดลงไปในแม่น้ำนั้นแล้วหายวับไปตอหน้าตอตาหลวงปู่ ทันทีส่วนหลวงปู่ก็ได้ขึ้นไปถึงฟากฝั่งตรงข้าม ได้พบกับรอยเท้าของคนที่เพิ่งขึ้นจากน้ำแต่ไม่เห็นตัวถึงหลวงปู่ก็รู้ด้วยจิตของท่านว่า แม่น้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์ขวางกั้นด่านชั้นในเข้าสู่เมืองพญานาคใต้ภิภพ

    หลวงปู่ได้เดินตามรอยเท้าไปในคูหาอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นรูปโค้งคล้ายท้องฟ้าจำลองแสงสว่างรุ่งเรืองสดใส ทำให้จีวรของหลวงปู่ได้กลายเป็นสีทองไปเลย
    .
    ภายในคูหาแห่งนี้มีหาเจดีย์องค์ใหญ่เป็นทองคำทั้งแท่งสุกปลั่งอร่ามพร่างพราย รอบๆองค์มหาเจดีย์และมีพระพุทธรูปทองคำตั้งเรียงเป็นชั้นๆ มีกระถางธูปเชิงเทียนสีมรกตขนาดช่วงแขนโอบ ซึ่งภายในกระถางก็บรรจุไปด้วยทรายทองคำ ส่วนเชิงเทียนก็เป็นมณีสีแดง

    ถัดออกไปเป็นกำแพงแก้วฝังด้วยเพชรเม็ดใหญ่ ๆตามด้วยลายกนกและนอกกำแพงแก้วเป็นมหาวิหารคด และพระอุโบสถสร้างด้วยหินอ่อนประดับลาดลายด้วยเส้นลายทองคำและฝังด้วยแก้วเจ็ดประการ งามรุ่งเรืองน่าอัศจรรย์ยิ่ง ท่านยังได้ไปโอบกอดพระเจดีย์ทองคำเนื้อแน่นหนาทึบเย็นเหมือนน้ำ
    .
    หลวงปู่เดินชมบริเวณวัดเลยไปทางสระใหญ่มีดอกบัวมีสนามหญ้าและมีสวนดอกไม้กว้างสดลูกหูลูกตา และก็มีทางเดินปูลาดด้วยแผ่นแก้วสีขาวหม่นสองข้างทาง เป็นสวนผลไม้พอเดินไปถึงเบื้องผาแห่งหนึ่งก็พบบันไดทอดขึ้นไปข้างบน เป็นที่อยู่ของพระฤๅษีมีผมยาวถึงเอวนั่งพิงหมอนขวานใบใหญ่อยู่.....

    หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี"
    วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อำเภอโขงเจียม
    จังหวัดอุบลราชธานี
     
  2. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    69000577_1197456437089943_4001718022929645568_n.jpg

    Cr เพจ มหาพุทธานุภาพ
    "อานิสงส์...การทำบุญกับพระอริยสงฆ์...สามารถเปลี่ยนภพภูมิ ญาติพี่น้องได้"

    หลวงปู่พวง สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัฒนา อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
    ลูกศิษย์รูปหนึ่ง ของ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู)

    ท่านเล่าว่า ท่านเอง ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอยู่กับ หลวงปู่ขาว อนาลโย วันหนึ่ง นั่งสมาธิ เห็นโยมแม่ที่ตายแล้ว ได้เป็นอยู่อย่างอัตคัด ไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย จึงอธิษฐานกับพระประธานว่า

    “ช่วงเช้า ไปบิณฑบาต ขอให้ มีคนมาถวายผ้า”

    ครั้นไปบิณฑบาต ก็มีคนมาถวายผ้าขาวจริงๆ ท่านจึงนำผ้าขาว ไปย้อมด้วยหินสีแดง แล้วนำไปซักตาก พอแห้ง ก็นำมาย้อมแล้วซักตากอีกรอบ จากนั้นก็นำไปพับ ถวายหลวงปู่ขาว กราบเรียนท่านว่า

    “ขอโอกาส พ่อแม่ครูอาจารย์ บังสกุลแหน่ อุทิศให้แม่”

    หลวงปู่ขาว จึงชักผ้าบังสุกุลให้ คืนนั้นหลวงปู่พวง นั่งภาวนาเห็นโยมแม่ มีผ้านุ่งผ้าห่มผืนใหม่ แล้วยังมีผ้าอีกหลายผืน ห้อยเต็มไปหมด

    จากนั้น หลวงปู่พวง จึงคิดว่าทำอย่างไร โยมแม่ จึงมีที่อยู่ที่อาศัย หลายวันต่อมา มีโยมนิมนต์หลวงปู่ขาว กับพระที่วัด ไปสวดมนต์ที่บ้าน หลวงปู่พวง จึงได้มีโอกาสตามไปด้วย ญาติโยมได้ถวายปัจจัย หลวงปู่ขาว จึงบอกกับพระสงฆ์ว่า

    "อัฐบริขารเรา ก็มีอยู่พร้อมแล้ว ให้นำปัจจัยนี้ ไปสร้างกุฏิ และถาน(ส้วม)ตามที่ท่านพวง...อธิษฐานไว้"

    ครั้นเมื่อสร้างเสร็จ หลวงปู่พวง จึงได้น้อมถวายกุฏิ และถาน(ส้วม)แก่หลวงปู่ขาว อนาลโย

    จากนั้น ตกกลางคืน หลวงปู่พวงได้นั่งสมาธิ มองหาแม่ ออกตามหาทั้งคืน ก็ไม่เห็น ผ่านไป ๔ วัน จึงไปกราบเรียน หลวงปู่ขาว ว่า

    “ขอโอกาส พ่อแม่ครูอาจารย์ หาแม่ บ่เห็น”

    หลวงปู่ขาว บอกให้ “ขึ้นสูงๆ” หลวงปู่พวง จึงนั่งสมาธิหาตามยอดไม้ ก็ไม่เห็น หรือจะเป็นที่สวรรค์กันแน่ ท่านจึงรวบรวมพลังจิตทั้งหมด ขึ้นไปดู จึงเห็นวิมานของโยมแม่ บนสวรรค์ เห็นร่างกายที่เป็นทิพย์ ของโยมแม่ จึงสบายใจขึ้นว่า โยมแม่ พ้นทุกข์แล้ว ก็เพราะด้วยบารมีธรรมของ พระผู้มีศีลอันบริสุทธิ์

    หากเรา ได้ถวายทานแก่ พระภิกษุผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว อานิสงส์ย่อมส่งผล ไปถึงญาติของเรา แม้นอยู่ปรโลก ก็สามารถให้พ้นทุกข์ พ้นโทษภัยได้ อย่างองค์หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านเป็นเนื้อนาบุญเอกของโลก
     
  3. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    69355857_1175128319337470_2037207759925018624_n.jpg

    อานาปานสติ แบบฉบับ
    ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

    ท่านพ่อลี ธัมมธโร พระอาจารย์กรรมฐานชื่อดังและศิษย์รูปสำคัญของหลวงปูมั่น ท่านชอบธุดงค์ไปบำเพ็ญสมาธิตามป่าเขาลำเนาไพร ประสบการณ์ทางสมาธิของท่านลึกล้ำมหัศจรรย์ ครั้งหนึ่งเคยเดินธุดงค์ไปถึงอินเดีย ฝึกสมาธิกับพวกโยคี

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ยกย่องท่านว่า “เป็นพระผู้ทรงพลังจิตที่แข็งกล้า” ท่านเคยทดสอบความมหัศจรรย์ของจิต โดยใช้พลังจิตยกอาจารย์เฟื่อง โชติโก และศิษย์ฆราวาสให้ตัวลอย

    แนวปฏิบัติของท่านผสมผสานระหว่างการภาวนาพุทโธและการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก (อานาปานสติ) แนวปฏิบัตินี้ช่วยให้สติคมชัดเร็ว จิตสงบนิ่งไว มีกำลังกล้าแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ

    ผู้ที่ปฏิบัติตามแนวนี้ควรสร้างความรู้สึกที่ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่เห็นลมเข้าออกได้ชัดเจน แล้วทำดังนี้

    #แนวที่ 1 กำหนด “พุทโธ” 1 จังหวะลมหายใจ

    หายใจเข้าภาวนาว่า “พุท” ให้นับ 1 หายใจออกภาวนาว่า “โธ” ให้นับ 2 กำหนดลมหายใจ กล่าวคำภาวนาและนับพร้อมกันไปจนถึง 10 แล้วกลับมาตั้งต้นนับใหม่ แต่ลดลงเหลือแค่ 9 ทำอย่างนี้เรื่อยไปจนร่นลงมาเหลือ 0 ดังนี้

    (1) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 10

    (2) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 9

    (3) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 8

    (4) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 7

    (5) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 6

    (6) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 5

    (7) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 4

    (8) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 3

    (9) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 2

    (10) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 1

    (11) พุท (หายใจเข้า) 1 โธ (หายใจออก) 2 ฯลฯ ไปถึง 0

    #แนวที่ 2 กำหนด “พุทโธ” 2 จังหวะลมหายใจ

    หายใจเข้าภาวนาว่า “พุท” หายใจออกภาวนาว่า “โธ” ให้นับ 1 กำหนดลมหายใจ กล่าวคำภาวนา และนับพร้อมกันไปจนถึง 10 แล้วกลับมาตั้งต้นนับใหม่ ทำเช่นเดิมเรื่อยไปจนร่นลงมาเหลือ 0 ดังนี้

    (1) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 10

    (2) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 9

    (3) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 8

    (4) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 7

    (5) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 6

    (6) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 5

    (7) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 4

    (8) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 3

    (9) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 2

    (10) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 1

    (11) พุท (หายใจเข้า) โธ (หายใจออก) นับ 1 ฯลฯ ไปถึง 0

    เมื่อนับลงไปถึง 0 รู้สึกว่าจิตใจสงบนิ่งเป็นหนึ่ง ให้ทิ้งคำภาวนาและการนับเสีย กำหนดจิตดูลมหายใจเข้า-ออกที่ละเอียดอย่างเดียว จิตจะก้าวเดินเข้าไปสู่ความสงบตามกำลังของมัน จนกระทั่งความรู้สึกต่อลมหายใจขาดหายไป จิตจะเข้าสู่สมาธิเป็นฌานที่ลึกได้เอง

    ที่มา : สมาธิกุญแจไขความสุข – ส. ชิโนรส สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ
    Cr.วัดป่าคลองกุ้งฯ
     
  4. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    69358789_2674197299281128_3380272225549549568_n.jpg

    "สัมภเวสีอายุ 300 กว่าปีวิ่งตัดหน้ารถ"

    (หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)


    ครั้งหนึ่งพระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโมและคณะศิษย์กำลังเดินทางด้วยรถยนต์จากวัดป่าแก้วชุม เพื่อกลับไปยังวัดป่าโคกมน พอออกจากวัดป่าแก้วเบื้องต้นองค์ ท่านหลวงปู่ชอบจะไปแวะเยี่ยม หลวงพ่อบุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล พอออกจากอุดรธานีระหว่างทางบ้านปากดงเขตอำเภอเมืองอุดรธานี องค์ท่านบอกไม่ต้องแวะมัน ค่ำแล้ว องค์ท่านบอกให้คนขับรถและทุกคนแผ่เมตตา องค์ท่านก็นิ่งหลับตา..

    ผ่านวัดป่าสิริสาละวันบ้านโนนทัน วัดของ หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม พอถึงบ้านห้วยเดื่อก่อนขึ้นภูพานน้อยหลวงปู่ชอบท่านยื่นมือมากดแตรรถยนต์เป็นระยะๆ ถามองค์ท่านว่าหลวงปู่กดทำไม ท่านบอกกดเพื่อเตือนสติให้ระวัง เราก็งง ทุกคนก็งง ท่านบอกให้มีสติอย่ากระโต้กโฮ้กฮาก ท่านก็นั่งนิ่งเฉยไป..

    ผ่านศาลปู่หลุบไปไม่นานทุกคนที่นั่งรถมากับหลวงปู่ชอบเห็นผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาวสูงอายุเดินอยู่ข้างทางทุกอย่างเหมือนกับคนปรกติ พอรถที่หลวงปู่ชอบท่านนั่งมาวิ่งเข้าใกล้ผู้หญิงคนนี้ จู่ๆผู้หญิงคนนี้เขาก็วิ่งเข้ามาตัดหน้ารถที่หลวงปู่ชอบท่านนั่งมา จนคนขับรถผู้ใหญ่น้อยเบรกรถไม่ทัน เราตกใจจนร้อง เฮ้ย..ออกมาเพราะรถชนคน..

    แต่ตื่นเต้นที่สุดคือ ผู้หญิงที่ถูกรถชนตัวเขาทะลุพรวดไปกับรถทันที รถยนต์วิ่งผ่านผู้หญิงแก่ผู้นี้ไปเหมือนกับในหนังในละครไม่มีผิด เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ทุกคนที่นั่งรถมากับหลวงปู่ชอบตื่นตะลึงกับเหตุการณ์จะจอดรถลงไปดู..

    หลวงปู่ท่านบอกไม่ต้องลงไปดู ลงไปดูก็ไม่เห็นอีกหรอกอีนี่มันเป็นสัมภเวสีอยู่ภูพาน มันเป็นสัมภเวสีมา 300 กว่าปีแล้ว มันมาหลอกให้คนสติอ่อนเป็นอันตราย..

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก เกิดมาตนเองก็พึ่งจะเจอนี่แหละ เคยได้ยินแต่คนอื่นพูดให้ฟังว่า ผีวิ่งตัดหน้ารถ จนคนขับรถหักหลบจนเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บล้มตาย พอตัวเองได้มาเจอด้วยตนเองที่ใกล้หน้าวัดโนนภูทองหนองบัวลำภูนี้ถึงรู้ว่าเรื่องนี้มีอยู่จริง คนไม่เคยเจอกับตัวเองคิดไม่ได้อธิบายไม่ออกหรอก..

    ส่วนตัวเคยเจอพวกนี้มาทั้งข้างนอกข้างในก็ไม่เคยตกใจเหมือนกับครั้งนี้ ครั้งนี้เห็นกันจะๆทั้งห้าคนพร้อมกันคุยกันมากับรถ ถ้าไม่มีองค์ท่านหลวงปู่ชอบนั่งมาด้วยแล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรกันแน่..

    ถามหลวงปู่ทำไมพวกเราถึงเห็นสัมภเวสีตนนี้ด้วยตาเนื้อ ท่านบอกเป็นคราววาระกรรมของทุกคน สิ่งนี้เกิดขึ้นได้หมดเมื่อถึงคราววาระกรรมที่มีต่อกัน เป็นเรื่อง "อจินไตย" เกินคาดหมายที่จะเริ่มต้น และหาบทสรุปลงในเรื่อง พวกเรามีกรรมได้เห็นมัน แต่พวกเราไม่มีเวรกับมันจึงได้เจอแต่เหตุ พ้นจากเภทภัยเรื่องนี้ได้..

    ถามหลวงปู่ หลวงปู่โปรดมันบ่ได้บ่ องค์ท่านบอกเราไม่มีวาสนาที่จะโปรดมัน อาจารย์อ่อน (หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ) อาจารย์ขาว (หลวงปู่ขาว อนาลโย) ท่านเคยโปรดแล้ว แต่โปรดมันไม่ได้ จิตนางนี้มันมืดบอด แสงธรรมส่องไม่ถึง

    ถามองค์ท่านต่อไปสัมภเวสีตนนี้มันจะไม่ทำความเดือดร้อนให้คนอื่นอีกหรือ..หลวงปู่ชอบท่านบอก “กรรมใครกรรมมัน ก็ต้องรับ

    กรรมเอาเอง บุญบาปนี่บ่มีใผ๋ปันแจก มันบ่แหกเคิ่งได้คือจั๋งไม่ผ่ากลาง อย่าฝืนกรรมของตนเอง”

    คัดจาก ชีวประวัติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าโคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย

    เขียนบันทึกโดย..ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท

    ---------------------------------------
     
  5. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    69524863_715393002225161_8722386182203244544_n.jpg

    ✨"#เรื่องเล่าจากหลวงพ่อพิธ" ✨
    ฤทธิ์อภิญญา วาจาสิทธิ์ #หลวงพ่อเงิน #วัดบางคลาน


    ✨ยอดพระเถราจารย์เมืองพิจิตรผู้ทรงฌานอภิญญา บรรลุคุณธรรมวิเศษ มีตบะบารมีอันแก่กล้า ภิกษุผู้กลายเป็นตำนานแห่งศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของชาวพิจิตร ท่านเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง และเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

    กล่าวถึงหลวงพ่อพิธ ผู้เป็นศิษย์หลวงพ่อเงิน และยังมีศักดิ์เป็นหลานชายแท้ๆ ของหลวงพ่อเงินอีกด้วย เมื่อหลวงพ่อพิธเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ได้ศึกษาสรรพวิชาและวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อเงิน จนเชี่ยวชาญเจนจบในวิชาความรู้ของหลวงพ่อเงิน กลายเป็นพระผู้เรืองวิทยาคมเก่งกล้าสามารถมีชื่อเสียงโด่งดังในกาลต่อมา

    ✨ เรื่อง “#ฤทธิ์อภิญญา #วาจาสิทธิ์หลวงพ่อเงิน” หลวงพ่อพิธ ท่านได้เมตตาเล่าให้ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งฟังว่า เมื่อสมัยที่ท่านอยู่จำพรรษาเพื่อศึกษาเล่าเรียนสรรพวิชาและพระวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานนั้น อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อพิธท่านมีกิจธุระด่วน ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ซึ่งสมัยนั้นการเดินทางที่สะดวกที่สุดต้องเดินทางโดยรถไฟ หลวงพ่อพิธจึงเข้าไปกราบขออนุญาตหลวงพ่อเงิน เพื่อไปธุระต่างจังหวัด

    เมื่อหลวงพ่อพิธเข้าไปกราบลาหลวงพ่อเงิน จะด้วยเหตุผลกลใดก็มิอาจทราบได้ หลวงพ่อเงินท่านไม่อนุญาตให้ไป “ท่านบอกให้ไปวันหน้าเถอะ” และหลวงพ่อเงินท่านก็ย้ำอยู่หลายครั้ง

    ✨ แต่ทว่าหลวงพ่อพิธท่านมีกิจธุระด่วนจำต้องไปจริงๆ จึงขอฝืนคำสั่งของอาจารย์สักครั้ง หลวงพ่อพิธออกเดินทางจากวัดในคืนนั้นเลย เพื่อไปสถานีรถไฟ ท่านเดินทางทั้งคืน ไปจนสว่างก็ยังไม่ถึงสถานีรถไฟสักที หันมองกลับไปด้านหลังก็เห็นเแต่หลังคาโบสถ์วัดบางคลานปรากฏอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อพิธจึงเดินทางกลับวัดบางคลานและเข้าไปกราบขอขมาโทษกับหลวงพ่อเงิน เมื่อขึ้นไปบนกุฏิ ยังไม่ทันได้พูดอะไร หลวงพ่อเงินท่านก็หัวเราะชอบใจ พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “เป็นไงล่ะเหนื่อยมัย ฉันบอกแล้วไม่เชื่อ ให้ไปวันหน้าเถอะ” ปรากฏว่าวันนั้นมีข่าวจากชาวบ้านพูดกันมาว่า รถไฟเกิดอุบัติเหตุขัดข้องอย่างไรไม่ทราบได้ ทำให้ต้องหยุดเดินรถไปถึง ๒ วัน

    เรื่องเล่าจากหลวงพ่อพิธ เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงคุณวิเศษในตัวหลวงพ่อเงิน ที่ท่านหยั่งรู้เหตุการณ์ และมีวาจาสิทธิ์ กล่าวเรื่องใด มักเป็นไปอย่างนั้น

    สังฆัง นะมามิ

    ✍️ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ เจ้าของบทความ และที่มาเนื้อหาข้อมูลมา ณ ที่นี้
    Cr.ตำนานเล่าขานพระผู้ทรงฌานอภิญญาครูบาอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคม
    ✨เพื่อเผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชา และเทิดทูนเกียรติคุณครูบาอาจารย์✍️เรียบเรียงโดย : ศักดิ์ศรี บุญรังศรี
     
  6. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    84BC35C8-35BA-4447-8866-2B695CCE3A8D.jpeg

    “มหาชวน จุดไฟเผาวัด”

    สายตาของพระภิกษุวัยกลางคน ครองจีวรสีคร่ำ จับจ้องไปที่กองวัสดุที่กองพูนอยู่ตรงหน้า สรรพสิ่งที่กองอยู่นั้นคล้ายกับกองขยะ แต่สิ่งที่กองอยู่นั้นเป็นขยะที่มีค่า มีราคาทั้งสิ้น อาทิ เช่น สบง - จีวรผืนใหม่หลายผืน ธนบัตรใบละร้อย สีแดง ๆ ใบละยี่สิบ สีเขียว ๆ เป็นปึก ๆ โต๊ะมุกอย่างดี ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ มีทั้งเครื่องอุปโภค บริโภคอย่างดี รวมทั้ง แก้ว แหวน เงิน ทอง ของประดับที่มีค่าต่าง ๆ ฯลฯ ร่างของท่านยืนสงบนิ่ง เหมือนจะจ้องสิ่งเหล่านั้นให้มอดไหม้มลายไปด้วยสายตาอันคมกล้า

    กระป๋องใบเล็ก ๆ ที่ท่านถือมาด้วยถูกเปิดฝาออก แล้วสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในก็ถูกเทราดลงไปบนกองขยะอันสูงค่านั้น ลมพัดโชยกลิ่นฉุนกึก ใช่แล้ว น้ำมันก๊าดเชื้อเพลิงชั้นดีสำหรับเผาข้าวของต่าง ๆ ให้มอดมลายไปภายใต้ความร้อนแรง อะไรกันนั่น ท่านจะเผาทำลายของมีค่าเหล่านั้นหรือ ?

    ไม้ขีดไฟถูกขีดให้ลุกเป็นเปลวไฟ ถูกดีดวูบลงไปบนกองวัสดุอย่างรวดเร็ว เสียงพรึ่บเบา ๆ ดังขึ้น เปลวไฟสีส้มค่อย ๆ รวมตัวกันเผาไหม้ข้าวของที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำมันก๊าด จนกลายเป็นกองเพลิงแดงฉานส่องสว่างไปทั่วลานวัดบวรนิเวศวิหาร ด้านคณะรังสี

    “มหาชวน จุดไฟเผาวัดแล้วโว๊ย”

    ใครคนหนึ่งที่บังเอิญตื่นขึ้นมาพอดี ส่งเสียงร้องอย่างเต็มเสียงก้องไปทั่วทั้งวัดบวร ฯ ปลุกให้บรรดาพระและศิษย์วัดพากันวิ่งตรูมาที่จุดเกิดเหตุ ในขณะที่มหาชวนกำลังโปรยธนบัตรใบละร้อย ใบละยี่สิบลงไปในกองไฟอย่างไม่ยี่หระค่าของเงิน

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะมหาชวน คุณทำเกินไปแล้ว นี่มันเขตวัดนะคุณ ผมเป็นผู้ดูแล คุณทำเรื่องที่ไม่น่าทำ พรุ่งนี้ผมจะนำเรื่องขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ให้พระองค์ท่านจัดการชำระความ ผมทนต่อไปไม่ได้แล้ว”

    ร่างของพระผู้เผาของมีค่า ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับเสียงของเจ้าคณะกุฏิอันเป็นผู้ปกครองของพระรูปนั้น ท่านยังคงโยนของมีค่าเข้าไปเพิ่มในกองไฟต่อไปเรื่อย ๆ

    “ใครก็ได้ไปเอาน้ำมาดับเดี๋ยวนี้ ขืนให้เผาต่อไป วัดจะไหม้หมด นี่วัดหลวงนะ ไม่ใช่วัดบ้านนอก”

    พระผู้บูชาไฟหันหน้ากลับมาจ้องหน้าผู้ออกคำสั่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งเสียงที่ฟังดูประหลาดอย่างยิ่ง

    “มหาชวนไม่มีแล้ว มหาชวนตายไปแล้ว ไม่มีมหาชวนในโลกนี้ มีแต่โอภาสี โอภาสีไงล่ะ”

    “โอภาสง โอภาสีที่ไหนกัน พรุ่งนี้ก็รู้เรื่องกันล่ะ”

    ไฟดับมอดไปแล้ว ร่างของพระภิกษุโอภาสีค่อย ๆ เดินกลับไปยังกุฏิที่พำนักของท่าน ส่วนพระและศิษย์วัดที่ต้องพากันตื่นขึ้นจากที่นอน ก็พากันเดินกลับกุฏิของตนไปอีกทางหนึ่ง บางคนบ่นอู้อี้ว่า ทำไม ? ต้องมาปลุกกันตอนนี้ด้วย กำลังหลับสบายทีเดียว

    รุ่งเช้า เรื่องก็ถูกนำขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานะเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ผู้นำเรื่องขึ้นกราบทูลนั้น แจ้งข้ออธิกรณ์ถึงสึกออกจากภิกษุสภาวะ แต่สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงพระปรีชาญาณ มิได้ทรงฟังความเพียงฝ่ายเดียว รับสั่งให้พระมหาชวนขึ้นเฝ้าตอนสายวันนั้น

    การซักถาม และการวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์นั้น ทรงมีพระดำรัสว่า ข้อหารุนแรงถึงให้สึกจากภิกษุสภาวะนั้นไม่มี มีแต่เรื่องโลกวัชชะ (ชาวโลก หรือ ชาวบ้านเขาติเตียน) และหากไฟที่จุดเกิดไหม้ลามไปติดหมู่กุฏิ ก็จะพลอยเสียทรัพย์สินของศาสนาไป ขอให้พระมหาชวนเลือกเอาสองข้อ คือ

    ๑. อยู่จำพรรษาต่อไป แต่ต้องหยุดเผาไฟบูชาเพลิงให้หมดสิ้น

    ๒. ออกจากวัดบวรนิเวศวิหาร ไปอยู่ที่อื่น

    เลือกอย่างใด ให้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน พระมหาชวน กราบทูลสมเด็จพระสังฆราชเจ้าว่า “เกล้า ฯ ขอเลือกประการที่สอง คือ จาริกไปจากวัดบวร ฯ เพื่อให้ฝ่าพระบาทสบายพระทัย และคณะสงฆ์ส่วนรวมจะได้ไม่วุ่นวาย เกล้า ฯ ขอกราบพระบาทลาตั้งแต่บัดนี้”

    จากนั้นท่านพระมหาชวนก็กลับมาที่กุฏิ รวบรวมบริขาร และกลดธุดงค์ที่มีอยู่เข้าที่เข้าทาง เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง แล้วท่านก็เดินไปกราบนมัสการลา หลวงพ่อพระพุทธชินสีห์ ในพระอุโบสถ จากนั้น จึงแบกกลดธุดงค์ออกจากวัดบวรนิเวศวิหารไปในตอนบ่ายของวันนั้นนั่นเอง

    ตกเย็น ญาติโยมที่เคยมานมัสการพระมหาชวน ก็ต้องพากันผิดหวัง เมื่อพระที่อยู่กุฏิใกล้กันบอกว่า พระมหาชวนออกจากวัดไปแล้ว ไปไหนไม่ได้บอกจุดหมาย เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ได้

    พระมหาชวนแบกกลดธุดงค์ไปตามทางของท่าน ค่ำไหนก็ปักกลดที่นั้น ปักกลดที่ใดก็เอาสรรพสิ่งมาเผาไฟเป็นพุทธบูชาทุกแห่งไป ทั้งนี้ เพราะเมื่อก่อนจะมาเผาไฟเป็นพุทธบูชานั้น ท่านได้เคยไปนมัสการ “หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา” อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ได้เห็นว่า หลวงพ่อกบท่านนำเอาของมีค่าต่าง ๆ มาเผา ก็สนใจไปถามไถ่กับท่านตรง ๆ

    “หลวงพ่อไม่เสียดายหรือ ของมีค่าทั้งนั้น”

    “เสียดายไปทำไมเล่า ? ก็สิ่งของเหล่านั้นมันคือ กิเลส ความจริงมันก็คือ อ้ายเศษขยะธรรมดา แต่มนุษย์เราไปยึดติดมันให้มีค่า มีราคากันไปเอง โดยตัวของมันแล้วไม่มีค่าอะไร เรายึดติดมัน ก็พอกพูนกิเลสให้กับเรามากขึ้น กิเลสเป็นของร้อน ต้องเอาไฟมาเผาให้มันวินาศไปเป็นพุทธบูชาว่า พระองค์ทรงสอนให้ละกิเลส และนี่คือ กิเลส ล่ะ”

    พระมหาชวนได้ฟังแล้วก็เลื่อมใส จึงถวายตัวเป็นศิษย์เรียนกรรมฐาน เพราะไม่รู้มาก่อนเลยว่า การบำเพ็ญทางจิตนั้นเป็นอย่างไร นานพอสมควรที่พระมหาชวนเล่าเรียนกรรมฐานต่าง ๆ จากหลวงพ่อกบ อำนาจอันเกิดจากการเจริญสมาธิภาวนาจนถึงฌานสมาบัติ ทำให้พระมหาชวนสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ดุจเดียวกับอาจารย์ของท่าน จึงเดินทางกลับมายังวัดบวร ฯ จนมีเหตุต้องถูกให้ออกจากวัด

    พระมหาชวนแบกกลดมาจนถึงสวนลึกในเขตบางมด เป็นสวนส้มของคหบดีท่านหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้มานมัสการ และเกิดศรัทธา ได้ถวายที่ดินให้พระมหาชวน ซึ่งท่านได้แจ้งนามแก่คหบดีท่านนั้นว่า ท่านชื่อ “โอกาสี” ต่อมาท่านได้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้น ให้ชื่อว่า “สำนักสงฆ์โอภาสี” ปัจจุบันได้กลายเป็นวัดอย่างสมบูรณ์ ชื่อว่า “วัดโอภาสี”

    หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด
    Cr.เรื่องเล่าชาวสยาม
     
  7. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    F14A4205-8931-40D3-97A3-305413CEB246.jpeg

    !!!!หลวงปู่บุญฤทธิ์
    ***ระลึกชาติ...ให้ลูกศิษย์***

    คืนวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต(สำนักสงฆ์สวนทิพย์) ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี)ท่านพาเฮียเม้ง(คุณกวงเม้ง แซ่เล้า)พี่ชายเฮียเม้ง โยมดำ(คนขับรถให้เฮียเม้ง)มิสเตอร์จอน(เป็นฝรั่งชาวแคนาดา เคยบวชอยู่กับหลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ และเคยไปอยู่จำพรรษา ปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงตามหาบัว ที่วัดป่าบ้านตาดหลายปี ก่อนที่จะลาสิกขา)เข้ามาพักกับหลวงปู่ชอบ ที่กุฏิโรงเก็บรถ
    หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ท่านกราบเรียนหลวงปู่ชอบว่า ตอนกระผมอยู่วัดป่าบ้านใหม่ แม่ฮ่องสอน กระผมนิมิตเห็นตัวเองเป็นฤาษี เดินจงกรมอยู่บนอากาศ เหนือเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ในนิมิตนั้น กระผมเห็นท่านพระอาจารย์ เป็นฤาษีดาบส เห็นท่านพระอาจารย์ลี วัดอโศการาม(ท่านพ่อลี ธัมมธโร)ท่านทอง(หลวงพ่อทอง วัดอโศการาม)ท่านไพบูลย์ พะเยา (พระอาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล)พระบ้านนอก(ผู้บันทึก)พากันเป็นฤาษีดาบส ปฏิบัติด้วยกัน เรื่องนิมิตนี้ มันมีที่มาอย่างไร ขอท่านพระอาจารย์พิจารณา ให้เกล้ากระผมทราบด้วย
    หลวงปู่ชอบ "สิ่งที่บุญฤทธิ์เห็นในนิมิต ส่วนหนึ่งนั่น คืออดีตชาติหนึ่ง ของพวกเฮา เคยปฏิบัติถือศีลพรตมานำกัน ชาตินั่น เฮาเกิดเป็นอาจารย์ฤาษีสอนธรรมสมาบัติ ให้พวกท่าน อยู่เมืองยอนพม่า ชาตินั่นเฮามีบริวารลูกศิษย์ฤาษีหลาย ที่นั่งอยู่นี่ ท่าน(หลวงพ่อบุญฤทธิ์)โบ้ย(ผู้บันทึก)เคยเป็นลูกศิษย์เฮาในชาตินั่น ในชาตินั่นบุญฤทธิ์ตายอยู่แม่ฮ่องสอน เฮากับโบ้ย ตายอยู่เชียงดาว ท่านเปลี่ยน(พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป)ตายอยู่เชียงแสน ท่านไพบูลย์(พระอาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล)ตายอยู่ ภูกามยาว เมืองพะเยา"

    หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ท่านกราบเรียนหลวงปู่ชอบ “กระผมขอนิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ แสดงธรรมระลึกชาติให้ทุกคนในนี้ได้รู้ เพื่อเป็นธรรมมานุสติ เตือนใจในการปฏิบัติ ”

    พอหลวงพ่อบุญฤทธิ์ ขอโอกาส องค์ท่านหลวงปู่ชอบ เปิดใส่หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ทันที

    "สี่ชาติ ที่ผ่านมา...บุญฤทธิ์เป็นฤาษี อยู่พม่าหนึ่งชาติ ตายจากนั่น กะมาเกิดเป็นฤาษี อยู่เชียงใหม่ อีกหนึ่งชาติ ตายจากนั่น กะมาเกิดเป็นฤาษี ดาบส อยู่ภูหลวง เมืองเลย อีกสองชาติ ตายจากนั่น กะมาเกิดเป็นท่านบุญฤทธิ์ ในชาตินี่"

    หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ถามองค์ท่านหลวงปู่ชอบ "ระลึกชาตินี้ ท่านอาจารย์ใช้เวลานานมั๊ย"

    หลวงปู่ชอบ ตอบหลวงพ่อบุญฤทธิ์ ว่า

    "จิตเฮา เป็นวสี มีความชำนาญในสมาธิ ฟ้าแลบขึ้น ยังบ่ทันดับแสง เฮาระลึกชาติ ให้สัตว์โลก ทั้งไปหน้าย้อนหลัง ในวาระเดียวกัน ได้ ๙๑ กัป"

    "ท่านอาจารย์ใหญ่มั่น เพิ่นระลึกชาติ อดีตอนาคตได้ หนึ่งอสงไขย"

    หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ถามหลวงปู่ชอบ

    “ เถ้าแก่เม้งนี่ อดีตชาติเขาเป็นอะไร ตอนอายุ ๑๕ ปี มันยังเป็นเด็กลูกจ้าง ปั่นจักรยาน ส่งขนมปังอยู่ ทำไมมันถึงรวย เป็นเศรษฐีได้ในปัจจุบัน ”

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบ บอก

    “ แต่ก่อนเถ้าแก่เม้ง มันเกิดเป็นขอทาน อยู่เมืองอินเดีย อนาถบิณฑิกเศรษฐีตั้งโรงทาน นิมนต์พระพุทธเจ้ากับพระสาวกมาทำบุญอยู่บ้าน เถ้าแก่เม้ง มันไปขอทานอาหาร จากโรงทาน

    มันระลึกว่า เจ้าของนี่ เกิดมาทุกข์ยากบ่มีอยู่ บ่มีกิน ถือกะลาหาขอข้าวเขากิน จิตมันเกิดศรัทธาในพระพุทธเจ้า เอาข้าวสุกเจ้าของได้รับแจกทานมา ยกถวายพระพุทธเจ้าสมณโคดม ทั้งเบิ่ด

    พระพุทธเจ้า ฉันข้าวปั้นหนึ่ง ให้เถ้าแก่เม้งเห็น จิตมันเกิดปีติในบุญนี่หลาย ปรารถนาขอให้ผู้ข้าอย่าได้อด ได้อยาก นับแต่ชาตินี่เป็นต้นไป บุญนี่ จั่งให้เถ้าแก่เม้ง ได้เกิดมาเป็นเศรษฐี บ่อดบ่อยากในชาตินี่ อย่าทิ้งนิสัยศีลทานเจ้าของ ชาติต่อไปกะสิบ่ได้อดได้อยาก ”

    เถ้าแก่เม้ง พอฟังองค์ท่านหลวงปู่ชอบ บอกอดีตที่มาของตนเอง เถ้าแก่เม้ง น้ำตาไหลพรากออกมา

    เถ้าแก่เม้ง บอกหลวงปู่ชอบ กระผมขอเอาหลวงปู่ เป็นหลักใจ เอาหลวงพ่อบุญฤทธิ์ เป็นหลักใจในชาตินี้

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบ บอกเถ้าแก่เม้ง

    “ ดีๆบุญฤทธิ์ คือ เฮาเฮากับบุญฤทธิ์ คือแผ่นทองอันเดียวกัน ”

    หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ถามหลวงปู่ชอบ

    “ ทิดจอนฝรั่งนี่ อดีตมันเคยเกิดเป็นอะไร มันเป็นฝรั่ง ทำไมมันถึงได้มาบวช อยู่เมืองไทย ”

    องค์ท่านหลวงปู่ชอบ บอก

    “ ทิดจอน มันเคยเกิดเป็นไก่อยู่พม่า ตายจากเป็นไก่อยู่พม่า มันกะไปเกิดเป็นหมาอยู่อินเดีย ตายจากหมา มันกะมาเกิดเป็นคนขอทานอยู่อินเดีย เป็นหมู่ขอทานกับเถ้าแก่เม้ง มันเห็นพระพุทธเจ้ากับพระสาวกฉันข้าว มันอนุโมทนายินดี อยากบวช มันเลยได้บวชในชาตินี้ มันบ่ได้ตั้งปรารถนา บวชปฏิบัติให้พ้นทุกข์ วาสนามันเลยได้แค่บวช บ่พ้นทุกข์ ”

    หลวงพ่อบุญฤทธิ์ ท่านถาม แต่ก่อนนี่ พระบ้านนอกเป็นใคร องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอก

    “ แต่ก่อน มันเป็นลิงหัวหน้าวอกอยู่ผาจรุย(อ.ป่าแดด จ.เชียงราย)ถืกเขายิงตกหน้าผาตาย

    ๓๗ ชาติที่แล้ว มันเกิดเป็นพญานาคน้ำพุง เกิดเป็นพญานาคอยู่หนองหัวหมู(อุดรธานี)อีก ๖ ชาติ

    ชาติเฮา เกิดอยู่ท่าแขกเมืองลาว มันเกิดเป็นหลานเฮา ชาตินั่นมันเกิดเป็นลูกอีต๊ะ(เสริมสิริ ผสมพงษ์)

    ชาติเฮา เกิดอยู่ท่าแขก ประเทศลาว ในชาตินั่น ท่านจวน(พระอาจารย์จวน กุลเชษโฐ)เกิดเป็นลูกชายเฮา เฒ่าเซียงหมุน เป็นพ่อเสี่ยว ”

    จากประวัติ...หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    บันทึกโดย : ครูบากล้วย...พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท
     
  8. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855


    #พระเกจิที่ถูกลืมเลือน
    #ท่านเป็นพระเกจิที่หลวงปู่ดู่ วัดสะแกนับถือมากๆครับ และท่านเป็นหนึ่งในเกจิที่ได้รับเชิญให้ปลุกเสกพิธีจตุรพิธพรชัย ปี ๒๕๑๘


    ..........ท่านพระเกจิดังเงียบ พระหลวงตาบ้านๆ ที่เป็นดั่ง เสือซ่อนเล็บ ไม่อวดตัว ทั้งที่ฟังคนแถวนั้นเล่าแล้วจะนั่งปากหวอ...ท่านเก่งจริง แสดงฤทธิ์ได้ ...กำหนดจิตเสกสิ่งของต่างๆได้อย่างใจนึก คนอยุธยารู้ทั้งรู้ว่าท่านเก่งจริงเกจินามนี้มีนามว่า

    #หลวงปู่โปร่ง ฐิตธัมโม วัดขุนทิพย์ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นศิษย์ในสาย
    #ของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง
    #หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ(เป็นพระอุปัชฌาย์) แล้วท่านยังได้ไปเรียนวิปัสสนาอยู่ที่วัดพลับ ธนบุรี กับท่านเจ้าคุณพระสังวรานุวงษ์(ชุ่ม) ในเรื่องศาสตร์การฝึกวิชากรรมฐาน เก่าแก่ กรรมฐานโบราณ
    (ศาสตร์วิชากรรมฐานมัชฌิมา กรรมฐานสายพระเจ้าตากสิน ,สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) )

    ..........เนื่องจากหลวงพ่อโปร่ง ที่เป็นพระเกจิดังเงียบ พระหลวงตาบ้านๆ ที่เป็นดั่ง เสือซ่อนเล็บ ไม่อวดตัว ทั้งที่ฟังคนแถวนั้นเล่าแล้วจะนั่งปากหวอ...ท่านเก่งจริง แสดงฤทธิ์ได้ ...กำหนดจิตเสกสิ่งของต่างๆได้อย่างใจนึก คนอยุธยารู้ทั้งรู้ว่าท่านเก่งจริง แต่เหรียญไม่ยักกะแพง

    (เช่นเดียวกับพระสายอยุธยา อีกมากมาย หลายรูป ที่เป็นพระ ยุคเก่า เก่ง แต่ปัจจุบันราคายังไม่แพง)

    ว่ากันว่า สมัยหลวงปู่ ยังอยู่ท่านชอบแสดงอิทธิฤทธิ์โดยท่านชอบทำให้เด็กๆดู แต่คนโตๆก็เห็นกันทั่วว่า ท่านเอาผ้าจีวรมาม้วนๆใส่ในมือแล้วเสกเป่าให้วิ่งเป็นกระต่าย เสกจีวรที่ตัดขาดๆแล้วให้กลับมาเป็นผืนเดียวกันได้หมด ทั้งท่านยังชอบเสกก้อนดินใบไม้เป็นนู้นนี่ เล่นกับเด็กๆ

    หลวงพ่อโปร่ง ท่านเป็นพระเก็บตัว ทำให้เวลาท่านไปงาน พุทธาภิเษกที่ไหน ไม่ค่อยมีคนรู้จัก บางทีเวลาก่อน หลัง พิธีชาวบ้าน จะไปกราบหลวงพ่อ ต่างๆ ที่มางานพิธี แต่คนที่ไปกราบหลวงพ่อโปร่ง จะน้อยมาก เพราะคนไ่ม่ค่อยรู้จัก มีเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้นที่รู้จัก
    ............ท่านเป็นพระที่หลวงปู่ดู่ วัดสะเก นับถือและนิมนต์ให้ปลุกเสกพิธีจตุรพิธพรชัย ปี ๒๕๑๘ วัดรัตนชัย (วัดจีน) อ.เมือง จ.อยุธยา พลังจิต และคุณวิเศษทางอาคมของท่าน เป็นที่ยกย่องของศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก หลวงปู่ท่าน มีกำลังจิตสูง อาคมเข้มขลัง มีของดีหลายอย่าง หลวงพ่อใหญ่ วัดสะแก ได้เคยเล่าให้ฟังไว้ว่า หลวงปู่โปร่ง ท่านเคยเอามีดตัดใบตอง มากรีดจีวรของท่านให้ขาด แล้วนำจีวรมาพับ พอสลัดผ้าจีวร เท่านั้น ไม่ได้มีรอยขาดให้เห็นแม้แต่นิดเดียว

    .......จนมีอยู่ครั้งหนึ่งงาน มีพิธีพุทธาภิเษกในตัวเมืองอยุธยา
    มีเกจิที่มีชื่อเสียงมาปลุกเสกกันเยอะ ชาวบ้านก็เข้าไปกราบขอของดี จากหลวงพ่อองค์อื่นๆ ที่มาในงาน บางหลวงพ่อ คนเข้าคิวกราบต่อแถวยาวเหยียด ส่วนหลวงพ่อโปร่ง คนเข้าไปกราบน้อยมาก ผู้คนไปกราบเกจิท่านอื่นๆกันและมีหลายคนพูดเชิงดูหมิ่นหลวงพ่อโปร่ง หาว่าท่าน

    "มาร่วมพิธี เป็นพระหลวงตาธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ"

    มีเพียงผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เพียงคนเดียวที่เอาน้ำชาไปถวายกับน้ำอัดลมเท่านั้นเอง

    เมื่อคนพูดดูหมิ่นท่านมากเข้า หลวงพ่อโปร่งท่านก็เอาจีวรใช้กรรไกรตัดทั้งผืนเป็นฝอยๆละเอียดยิบ แล้วท่านก็ภาวนาคาถาไม่กี่อึดใจ แล้วเป่าพรวดไปที่จีวรที่ตัดนั้นต่อหน้าผู้คนร่วมสองร้อยคนที่ไปวัดนั้นจีวรก็หายไปต่อหน้าต่อตาผู้คน

    ..........เท่านั้นเองจากที่ไม่มีใครสนใจตอนที่ท่านขึ้นรถกลับวัดไม่ต้องเดินเลย คนอุ้มท่านขึ้นรถแล้วยังมีคนนั่งรถตามไปด้วย
    ครั้งนั้นท่านได้เงินจำนวนมากไปใช้จ่ายในการสร้างเสนาสนะคนถามกันใหญ่ว่า ท่านเป็นศิษย์ของใครกันผู้ใหญ่ส่งบอกว่าท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง เท่านั้นเองจากที่ไม่มีใครสนใจตอนที่ท่านขึ้นรถกลับวัดไม่ต้องเดินเลยคนอุ้ม ท่านขึ้นรถแล้วยังมีคนนั่งรถตามไปด้วย
    ........จากตอนแรกที่ท่านมา นั่งมอไซค์เครื่องมา องค์เดียว แต่ขากลับ มีคนล้อมหน้า ล้อมหลังแทบจะอุ้มไปส่งวัด ถึงกุฏิ

    นี่คือ เรื่องราวของเกจิขลัง ดังเงียบอีกรูป ของเมืองอยุธยา พระดี ที่ไม่ควรมองข้าม ในอดีตนั้นมีการกล่าวกันว่า ขนาดที่ว่า คนอุทัย หวงพระหลวงพ่อโปร่ง ยิ่งกว่าหลวงปู่ดู่อีก ( คนรุ่นเก่าๆ )

    แต่พอมาปัจจุบัน มีเรื่องของเงิน ราคาเข้ามา ทำให้พระท่าน มีราคาไม่แพง เพราะเซียนส่วนกลาง ไม่รู้จัก แต่หลวงปู่ดู่ มีหนังสือพระ และสื่อให้คนได้ศึกษา ทำให้หลวงพ่อโปร่ง คนค่อยๆ ลืม คนรุ่นเก่า เซียนพื้นที่ ที่นับถือ และรับรู้เรื่องราวค่อยๆ ล้มหายตายจากไป ไม่แน่ใจ คนรุ่นเก่าๆ ที่ทันยังพอมีอยู่ไหม แต่ถ้าเป็นคนอุทัย สมัยก่อน เชื่อว่าปู่ ย่า คงได้เล่าให้ฟัง

    ปัจจุบันพระเครื่องท่าน ถือว่าราคายังไม่แพง พระดี น่าใช้ (ผมจะไม่ใช้คำว่า น่าเก็บ เพราะพระระดับนี้ ควรนำมาใช้ มากกว่าเก็บไว้บนหิ้ง หรือในตู้เซฟ)
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    #เพื่อเผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชา
    #เทิดทูนเกียรติคุณครูบาอาจารย์
    #กราบสักการะพระเถราจารย์ผู้ทรงอภิญญา
    #จดหมายเหตุพระเกจิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    C07D5286-595A-4912-95E1-C049CA50483A.jpeg

    แม่ชีแก้ว ศิษย์หญิงผู้เดียวที่หลวงปู่มั่นสั่งห้ามไม่ให้ภาวนา แต่สุดท้ายก็บรรลุธรรม ชมภาพอัศจรรย์อัฐิธาตุแม่ชีแก้ว งดงามมาก!

    เมืองไทยเรายังมีอุบาสิกาหญิง “แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ” ศิษย์หญิงสายพระป่า มาช่วยยืนยันว่า “เกิดเป็นผู้หญิง ก็บรรลุธรรมได้” วันนี้เลยได้นำประวัติ พร้อมภาพอัฐิธาตุของแม่ชีแก้ว
    แม่ชีแก้วท่านนี้ เคยถูกหลวงปู่มั่นห้ามไม่ให้ภาวนามาแล้ว และมีการพยากรณ์ล่วงหน้าด้วยว่าจะมีผู้มาสอนภายภาคหน้า เรื่องราวของแม่ชีแก้ว เป็นดังนี้

    ย้อนไปเมื่อ 89 ปีที่แล้ว (พศ.2460) ณ บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร หญิงสาวผู้หนึ่งได้ถางป่าเพื่อจับจองที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมหลวงปู่มั่นได้ธุดงค์ผ่านมาพร้อมคณะพระ ท่านได้เห็นที่บริเวณนั้นเหมาะที่จำทำเป็นที่พักสงฆ์ จึงได้ขอที่บริเวณนั้น หญิงสาวนั้นมีปิติยินดี ได้ถวายที่แด่ท่าน หลวงปู่ได้ให้พรว่า "ต่อไป เจ้าจะไม่มีวันอดอยาก" วัดแห่งนี้ชาวบ้านเรียกว่า วัดหนองน่อง (น่องคือเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง ใช้เป็นยาเบื่อยาสลบ)
    หลวงปู่มั่นและคณะพระได้อยู่ปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งนั้น สั่งสอนชาวบ้านแถบนั้น ให้ละจากการนับถือผีมานับถือพระพุทธศาสนา ยังให้เกิดศรัทธา เข้าใจศาสนามากขึ้น หนึ่งในนั้นก็มีเด็กสาวรุ่น อายุ 16 ผู้เป็นผู้ถวายที่ คือคุณแม่ชีแก้ว ในปัจจุบัน
    ก่อนหลวงปู่มั่นกับคณะพระจะธุดงค์จากไป หลวงปู่มั่นได้ปรารภกับคุณแม่ชีแก้วว่า
    "หากเจ้าเป็นผู้ชาย เราจะให้บวชเป็นเณรและให้ติดตามไปด้วย แต่นี่เป็นหญิง ไปด้วยก็ลำบากต่อพระธรรมพระวินัย และสั่งว่าให้หยุดภาวนา ตั้งแต่นี้ต่อไปให้ใช้กรรมไปตามประสาโลก กาลต่อไปข้างหน้าจะมีผู้มาสั่งสอน"
    หลังจากที่หลวงปู่มั่นจากไป แม่ชีแก้วก็ได้แต่งงาน เมื่ออายุได้ 17 ปี และได้ใช้ชีวิตผ่านสุขทุกข์ต่าง ๆ ตามประสาโลก สำหรับผู้มีวาสนาย่อมเห็นโทษของการครองเรือน จึงได้ขอสามีบวชชี แต่สามีไม่ยินยอม ได้พยายามอยู่ถึง 2 ปี สามีจึงยินยอมให้บวช ชีวิตนักบวชจึงได้เริ่มต้น เมื่ออายุได้ 36 ปี ณ วัดหนองน่อง บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร โดยมีหลวงพ่อกา (ปู่ของพระอาจารย์อินทร์ถวาย วัดป่านาคำน้อย) เป็นพระอุปัชฌาย์

    พรรษาแรกผ่านไป สามีจะให้สึก เพราะอนุญาตให้บวช 1 พรรษา คุณแม่ชีแก้วจึงได้ย้ายไปศึกษาปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์คำพัน ณ วัดภูเก้า ได้เกิดความรู้แปลก ๆ มากมาย ตามประวัติท่านกล่าวว่า จิตท่านผาดโผนมาก ออกรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย ทั้งเรื่องราวอดีต อนาคต ทั้งนรก สวรรค์ จิตดวงภาวนานี้ได้ทราบหมด

    8 ปีจากนั้น พระอาจารย์คำพันได้ลาสิกขาไป แม่ชีจึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านห้วยทราย ตั้งสำนักแม่ชีขึ้น เมื่อปี พศ.2488 คือสำนักชีในปัจจุบัน

    ต่อมาเมื่อปี พศ. 2493 คุณแม่ชีแก้วได้นิมิตดังที่หลวงปู่มั่นได้เคยกล่าวไว้ ว่า กาลต่อไปข้างหน้าจะมีผู้มาสั่งสอน แม่ชีแก้วก็ได้เล่าให้เพื่อนแม่ชีฟังเพื่อเตรียมจัดสถานที่และรอพิสูจน์ความจริงร่วมกัน ปรากฎว่า มีพระผ่านมา แต่แม่ชีแก้วก็ว่าไม่ใช่องค์นี้ จนกระทั่งหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เดินทางมากับพระเณรจำนวนหนึ่ง แม่ชีแก้วเห็นเข้ารู้ทันทีว่าเป็นพระอาจารย์องค์นี้ที่ปรากฎตามนิมิตแน่ จึงได้พากันนิมนต์ต้อนรับ

    หลวงตามหาบัว ได้เทศน์ไว้เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 ความตอนหนึ่งว่า
    "อย่างแม่ชีแก้วนั่นออกรู้ข้างนอก กระจายไปเลย พอไปก็ว่าหลวงปู่มั่นท่านเวลาท่านจะจากไปท่านห้ามไม่ให้ภาวนา เราสะดุดกึ๊ก ต้องมีจุดใดจุดหนึ่งเราจะคอยฟังจุดนั้น พอแกแย็บออกความรู้ของแก อ๋อ อันนี้เอง แน่ะอย่างนั้นละเข้าใจทันที แล้วที่ไล่แกลงภูเขาก็จุดนี้จะเป็นอะไรไป
    คือมันอยากภาวนามากเข้าๆ ก็เลยภาวนา แต่ระวังเอาแกว่างั้น บทเวลาเอากันจริงๆ แล้วก็นั่นละไล่ลงภูเขาร้องไห้ ก็คืออันนี้เอง แกไม่ยอม ความรู้ของแกดีไม่ดีเอามาทับหัวเราอีก ว่าเราเป็นลูกศิษย์ของแกไปอีก ใส่เปรี้ยงนี้ก็ไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงไป แกก็มีเหตุมีผลอยู่ ที่ท่านไล่ลงภูเขาเพราะอะไร ก็เพราะไม่เชื่อฟังคำท่าน เอาแต่ความรู้ของตนไปอวดท่าน ท่านก็ไล่เอาบ้างซิ ถ้าหากว่าจะปฏิบัติตามท่าน ในฐานะถือว่าเป็นครูเป็นอาจารย์แล้วก็ปฏิบัติตามที่ท่านสอนซิ ท่านสอนว่าไง ทีนี้ก็เลยปล่อยเรื่องของแกหมด เข้ามาหาจุดที่เราสอน อย่างนั้นนะ

    พอเข้ามามันก็ถูกนี่ ก็สอนด้วยความถูกต้อง ผู้นั้นผิด งมเงาไปเฉยๆ พอเข้ามาจุดนี้มันก็จ้า สว่าง อัศจรรย์เกินคาดเกินหมายแกว่า ก็อย่างนั้นแล้ว พอออกจากที่ภาวนาก็หันหัวไปทางโน้นกราบ เราอยู่บนภูเขากับเณรภูบาล ทางด้านตะวันตก วัดห้วยทรายอยู่ทางนั้น บ้านห้วยทรายอยู่ทางนี้ วัดอยู่ทางนั้นเราอยู่ทางนั้น สำนักชีเขาข้ามทุ่งไปเลย วันพระเขาไปยกขบวนไปเลย พอ ๔ โมงเขาก็ขึ้นไปถึง ๕ โมงกว่าๆ เขาก็ลงมา ไปพูดถึงเรื่องปัญหานั่นละ นี่ละที่ว่าไล่ลงภูเขา ควรไล่มันต้องไล่จะว่าไง เมื่อเอาไว้ไม่อยู่แล้วก็ซัดกัน นิวเคลียร์ก็มานิวตรอนก็มาเข้าใจไหม ร้องไห้ลงภูเขาไป

    ทีแรกก็ว่าองค์นี้แหละ แน่ะ แกก็แม่นยำดีอยู่ ว่าออกพรรษาแล้ว ปีนี้จะมีครูบาอาจารย์มาโปรดพวกเรานะ พระเณรมากมายคล้ายคลึงกับหลวงปู่มั่นมาจำพรรษาที่หนองน่องปีนั้นว่างั้น พระเณรมากมายคล้ายคลึงกันคอยดู พอครูบาอาจารย์องค์ไหนมาก็ไปดู เป็นไงใช่ไหม ไม่ใช่ๆ เรื่อยๆ เลย พอถึงวาระที่เราไป ออกไปดู ใช่ไหม บอกใช่เลยร้อยเปอร์เซ็นต์ นี้ละใช่แล้ว พูดให้เปิดเผยเสียว่าทั้งปวดหนักทั้งปวดเบามันอะไรพูดไม่ถูก ทั้งกลัวทั้งเคารพเลื่อมใสทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด เรียกว่าทั้งปวดหนักปวดเบา ถามว่าองค์นี้ไหม ใช่องค์นี้แหละคอยดูว่าท่านจะสอนพวกเราไหม คอยดูก็แล้วกันท่านจะสอนไหม
    บทเวลาไล่ลงภูเขาสอนหรือไม่สอน แน่ะ แกก็ได้ตรงนั้นละ ได้ตอนที่ไล่ลงภูเขา ไปได้สติละซิ ที่ไม่ยอมฟังเราเราก็ไล่ลงภูเขาไปเลยซิ เมื่อไม่มีทางไปว้าเหว่ เราหวังจะพึ่งครูบาอาจารย์องค์นี้แล้วท่านก็สลัดปัดทิ้งไล่ลงภูเขาเสีย เราจะไปพึ่งใคร แล้วการไล่ท่านนั้นเพราะเหตุไร นั่นแกก็จับเอาตรงนั้น ก็เพราะไม่ฟังคำท่าน เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็ฟังคำท่านซิ เราก็เอากันมาเสียพอแล้วก็ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร ก็ฟังท่านซิ นั่นละพอฟังแล้วลง แล้วก็ลงผึงเลย ได้สี่วันแกก็ขึ้นไปเราไม่ลืมนะ ขึ้นไปขนาบอีก จากนั้นก็ต่อให้ละที่นี่ต่อให้เรื่อย
    แกรวดเร็วอยู่นะ ออกทางด้านปัญญานี้ก็หมุนติ้วเหมือนกัน ๙๓ จำหนองผือ ๙๔ จำห้วยทราย ๙๕ จำห้วยทราย ๒ ปีนี้แกก็ผ่านปี ๙๕

    ใน ปี พ.ศ. 2534 ขณะนั้นคุณแม่ชีแก้วมีอายุได้ 90 ปี ด้วยธาตุขันธ์ในวัยชราและอาการป่วยที่รุมเร้า ท่านป่วยหนักในช่วง 3 ปีสุดท้าย และในที่สุดคุณแม่ชีแก้วก็จากไปด้วยอาการสงบ ในวันที่ 18 มิถุนายน 2534 เวลา 09.25 น. ที่สำนักชีบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร สิริรวมอายุได้ 90 ปี 54 ปีในเพศแม่ชี นับเป็นความสูญเสียบุคคลสำคัญของผู้ปฏิบัติธรรมในฝ่ายสาวิกาอย่างน่าเสียดายยิ่ง
     
  10. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    0D9C69D8-FC30-46DF-910E-9E8BD0A0E8DB.jpeg

    พระแท่นดงรัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เข้านิโรธสมาบัติ ครั้งสุดท้าย ( การเข้านิโรธครั้งนี้ พิเศษ ศักดิ์สิทธิ์แลอัศจรรย์ยิ่ง )

    ปี พศ 2499 คุณแม่บุญเรือน กับคณะศิษย์ ได้เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง ที่ จ. กาญจนบุรี


    เมื่อคณะเดืนทาง ถึงพระแท่นดงรัง แม้จะถึงเป็นเวลาค่อนข้างดึกอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้คนพลุกพล่านมากพอดู เนื่องด้วยกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลนมัสการพระแท่นดงรัง อยู่พอดี มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาร่วมงานนมัสการ กันอย่างคับคั่ง มีทั้งที่มาจากตัวเมืองกาญจนบุรีเอง หรือจังหวัดอื่นๆ ทั้งใกล้และไกล ซึ่งประเพณีนี้ ได้มีติดต่อสืบเนื่องกันมานานเป็นร้อยๆ ปีแล้ว....

    พอไปถึงวัดพระแท่นดงรัง คุณแม่บุญเรือนก็นำคณะศิษยานุศิษย์เข้าไปภายในวิหารพระแท่น ซึ่งมีหินแท่งทึบหน้าลาด รูปพรรณสัณฐานคล้ายกับแท่น หรือที่นอน

    ที่นี้บรรดาชาวบ้านชาวเมือง ต่างเชื่อว่า นี้แลคือ สถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางหรือหัวใจหลัก ของปูชนียสถานแห่งนี้
    และภายในพระวิหารนี้เอง

    ยังมี "รอยพระพุทธบาทไม้แกะ" สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ซึ่งปูลาดและห่อหุ้มขอบข้างด้วย "ชินตะกั่วโบราณ" อายุนับได้กว่า ๑๕๐-๒๐๐ ปีประดิษฐานอยู่เคียงข้างกับ "พระแท่น" ด้วย อันเป็นที่มาแห่ง "ชินตะกั่วเก่า" ที่ทางวัดได้นำมาจัดสร้าง "พระนางพญา เนื้อชินตะกั่วโบราณ" นั่นเอง

    เมื่อเข้าไปนั่งเป็นที่เรียบร้อยกันเป็นอย่างดีแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็จุดธูปเทียนถวายเป็นพุทธบูชา แล้วท่านกับคณะ ไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ค่ำอีกครั้ง หลังจากที่ได้สวดกันมาก่อนแล้วครั้งนึงบน รถระหว่างเดินทางมา

    "อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา..ฯลฯ..."

    กระแสเสียงของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อันกังวานชัดเจน ก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งวิหารพระแท่นดงรัง ขานรับด้วย สรรพสำเนียงสวดของเหล่าสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มานมัสการพระแท่นดงรังและถือโอกาสมาร่วมทำวัตรค่ำ กับคณะ "สามัคคีวิสุทธิ" ด้วย

    ในคืนค่ำดึกสงัดของวันเพ็ญมาฆมาส กล่าวกันว่า เสียงที่เจริญพระพุทธมนต์ในคราวนั้น ดูจะดังหนักแน่นและกึกก้องกังวานเป็นพิเศษ ยิ่งกว่าวันเวลาในครั้งไหนๆ ที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น

    การทำวัตรสวดมนต์ในวิหารพระแท่นดงรังในยามนั้น เล่ากันว่า ออกจะมีรสชาติสนุกสนานเบิกบานในธรรมเป็นพิเศษ ไม่มีการสวดมนต์ครั้งใดจะเสมอเหมือนเลยทีเดียว

    และเมื่อเสร็จจากการทำวัตรสวดมนต์ ณ วิหารพระแท่นดงรังในคืนนั้นแล้ว คุณแม่บุญเรือนก็นำคณะศิษย์ตรงไปยังเขาถวายพระเพลิง ซึ่งอยู่ห่างจากวิหารพระแท่นดงรังไปทางทิศตะวันตกไม่ไกลนัก มีบุคคลภายนอกติดตามไปด้วยเป็นจำนวนมากพอดู

    เข้านิโรธสมาบัติที่เชิงเขาถวายพระเพลิง

    "เขาถวายพระเพลิง" สถานที่นี้ เป็นจุดที่สำคัญยิ่งอีกแห่งหนึ่งของวัดพระแท่นดงรัง มีลักษณะเป็นเนินเขาย่อมๆ สูงประมาณ ๕๕ เมตร บนยอดเนินนี้มีมณฑปทรง ๑๒ เหลี่ยม ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง กล่าวกันว่า มณฑปนี้ สร้างครอบเชิงตะกอนที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระคราวเสด็จดับขันธปรินิพพาน และ ณ เชิงเขาถวายพระเพลิงนี่เอง คุณแม่บุญเรือนได้กระทำพิธี "เข้านิโรธสมาบัติ" อยู่เป็นเวลา ๑๕ นาที อันเป็นการเข้า "นิโรธสมาบัติแบบพิเศษ" ที่ไม่ซ้ำแบบหรือเหมือนกับท่านผู้ใดทั้งสิ้น (ที่ปกติจะเข้ากัน ๗ วัน)

    เชื่อกันว่า การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนนี้ เป็นปฏิปทา หรือแนวทางในการช่วยเหลือศิษยานุศิษย์ของท่าน โดยเมื่อคุณแม่บุญเรือน คิดจะ "อนุเคราะห์" ช่วยเหลือเขาเหล่านั้นเป็นพิเศษเมื่อใด ในโอกาสที่ได้ไปประกอบพิธีกรรมทางสถานที่สำคัญต่างๆ คุณแม่บุญเรือนก็จะมีการเข้านิโรธสมาบัติ ณ ที่นั้นตามสมควร

    ซึ่งตามที่มีการเล่าขานมา การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือน จะมีทั้งหมดเพียง ๔ ครั้งเท่านั้น โดยมีการเข้านิโรธฯ ที่วัดพระแท่นดงรังเมื่อคืนวันเพ็ญ เดือน ๔ ปีพ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นครั้งสุดท้ายที่สุดดังกล่าวไว้

    แม้คุณแม่บุญเรือน จะไปเข้านิโรธสมาบัติที่เชิงเขาถวายพระเพลิง ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากวิหารพระแท่นดงรังหลายสิบเมตรอยู่ แต่เพราะเหตุที่ "อำนาจจิต" ย่อมไม่อาจมีสิ่งใดกีดกั้น สมดังที่หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเคยกล่าวเอาไว้ว่า "แม้ภูเขาหนานับเป็นแสนโยชน์ ( ๑,๖๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร) ก็กั้นพลังจิตไว้ไม่ได้" ประกอบกับที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่คุณแม่บุญเรือนได้เลือก ที่จะเข้า "นิโรธสมาบัติ" เพื่อช่วยเหลือลูกๆ หลานๆ ของท่านให้สำเร็จประโยชน์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยตัวของท่านเอง

    อานุภาพของพลังแห่งนิโรธสมาบัติ

    พลังงานแห่งจิตพระอริยเจ้าของคุณแม่บุญเรือน ขณะทรงอยู่ใน "สัญญาเวทยิทนิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" ที่ทรงพลานุภาพอย่างมหาศาล ไม่มีสิ่งใดจะปิดกั้นต้านทาน จึงแผ่ซ่านครอบคลุมทุกสรรพสิ่งในเขตวัดพระแท่นดงรังไว้ทั้งสิ้น

    เรื่องนี้ แม้หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พระอริยเจ้าชั้นสูงที่เคยเข้านิโรธสมาบัติมาหลายครั้งก็กล่าวรับรองว่า “พลังแห่งนิโรธสมาบัติ” นั้น จะครอบคลุมไปทั้งภูเขาท่านเลยทีเดียว

    ทุกคนทุกสรรพสิ่ง ก็ย่อมพลอยได้รับอานิสงส์ของพลังแห่ง "นิโรธสมาบัติ" ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมในค่ำคืนวันนั้นไปทั้งสิ้นอย่างไม่มีใดต้องสงสัย ดังที่ได้ปรากฏเหตุแห่ง "ปาฏิหาริย์" ยืนยันการดังกล่าวกับตัวของ "ศิษย์" ของคุณแม่บุญเรือนท่านหนึ่ง ซึ่งแม้จะนั่งอยู่ห่างๆ แต่เมื่อโดนอัดด้วยกระแส พลังนิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนเข้าอย่างจัง ทำให้ "ศิษย์" คนนั้น ถึงกับได้ "ตาทิพย์" มองเห็นสิ่งอันพ้นวิสัยมนุษย์สามัญจะพึงเห็นได้ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน

    ในวันที่คุณแม่บุญเรือนเข้านิโรธสมาบัติครั้งสุดท้าย ที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรีนั้นเอง ก็ได้ปรากฏเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดกับบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะ "สามัคคีวิสุทธิ" ที่ติดตามคุณแม่บุญเรือนไปยังวัดพระแท่น ดงรังในคราวเดียวกันนั้นนั่นเอง ซึ่งมีชื่อว่า "นายผัน" ชาวตำบลย่านยาว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี (ถึงแก่กรรมไปหลายปีแล้ว) นายผันผู้นี้ มีอาชีพเป็นแพทย์ประจำตำบล ผู้คนจึงนิยมเรียกกันจนติดปากว่า "หมอผัน"

    "หมอผัน" หรือนายผันได้เล่าให้บรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เดินทางไปด้วยกันฟังว่า ขณะที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่นั่นเอง ตัวเขาก็ได้นั่งสมาธิในจุดที่ไม่ห่างไกลไปพร้อมกันด้วยฉับพลันนั้นเอง โดยไม่คาดฝันมาก่อน ก็ได้ มีลำแสงชนิดหนึ่ง พุ่งออกมาจากร่างของคุณแม่บุญเรือนตรงมายังตัวของหมอผันที่กำลังนั่งสมาธิ อยู่นั้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงปานสายฟ้าฟาด!และ พอลำแสงแห่งนิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนมากระทบตัวกับหมอผันเพียงเท่านั้น ก็เกิดแสงสว่างโชติช่วงชัชวาลในตัวของเขาในบัดดลนั้นเอง!

    และในทันใด หมอผันก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆที่เร้นลับ นอกเหนือสายตาปกติของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปจะเห็นได้

    "หมอผัน" จึงกลายเป็นคนได้ "ตาทิพย์" ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ด้วยอำนาจ "นิโรธสมาบัติ" ของคุณแม่บุญเรือนในบัดเดี๋ยวนั้นเอง

    ( กราบคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ด้วยเศียรเกล้า )

    ข้อมูลและภาพจาก โลกทิพย์
    Cr.ศักดิ์สิทธิ์
     
  11. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    เรื่องเล่า พลังพุทธคุณ หลวงพ่อเงินไหลมา วัดท่าซุง พลังพิเศษใต้ต้นโพธิ์ที่พระองค์ที่10ประทับ ณ วัดท่าซุง
    พลังพุทธคุณสมเด็จองค์ปฐม พระคำข้าว
    อานิสงค์ พลังงานที่ได้ในการสวดคาถาอิติปิโส เป็นยันต์เกราะเพชรติดรองตัว
    อานิสงค์พิเศษการสวดคาถาพาหุงฯมหากาฯตามแบบหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน การสวดบทจักรพรรดิ์ตรวจพลังพุทธคุณของพระผงจักรพรรดิ์หลวงปู่ดู่

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2019
  12. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    เรื่องเล่า การใช้ญาณขอดูความศักดิ์สิทธิ์ในพิธียกฉัตรยอดมหาเจดีย์ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    ประเพณีทำบุญเดือนสิบของภาคใต้ ที่มีปรากฎการณ์เหล่าสัมพเวสีมารับบุญ ความรู้จากโบราณที่ถ่ายทอดมาจากอดีต

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2019
  13. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    เรื่องเล่า อานิสงค์บุญซ่อมพระธาตุ ร่วมบุญสร้างพระธาตุหริภุญไชย
    ฆราวาสนักปฏิบัติธรรมที่สร้างบุญมากมายจนสามารถ ต่อรองกับพระยายมราช ขอให้มหาเศรษฐี ที่เสียชีวิต ได้ฟื้นกลับมาทำบุญสร้างกุศล

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2019
  14. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    " อยากให้บุญเข้ามาหลายๆทาง...ตลอดเวลาต้อง
    ทำยังไง "


    ศิษย์ : แล้วคำว่าบุญน้ำไหลล่ะคะ

    หลวงตา : บุญน้ำไหลก็บุญที่ #เข้าได้ตลอด เวลาคน
    ที่สร้างบุญไว้ในอดีต อย่างแม่ชีเคยสร้างไว้นี่นะฮะ
    #แนะนำให้คนสวดมนต์ภาวนาใช่ม๊ะ แนะนำให้คน

    ทำความดีอ่ะ...เหตุมันเกิดจากเรานะฮะ #พอเค้าทำที่
    #ไหนมันก็เข้าที่เราหมด จะเป็นการสร้างพระ สร้าง
    ถนนหนทาง...หรือจะเป็นการสร้างเจดีย์

    อะไรก็ช่างเหอะ...เกี่ยวข้องพุทธศาสนา เกี่ยวข้องกะ
    สังคม เกี่ยวข้องกับหมู่มนุษย์แนะนำมนุษย์ทำความดี
    ตั้งแต่เริ่มแรกอ่ะ #จนบางคนก็ไปไม่เกิดก็มี

    บางคนกำลังสร้างบารมีก็มี นั่นน่ะ #คนที่แนะนำคน
    #แรกอ่ะได้บุญตลอดเวลานะฮะ ในเวียนว่ายตายเกิด
    มันเข้าใจยาก...ไม่ใช่เข้าใจง่ายๆหรอกเข้าใจมั้ย

    คำว่าบุญน้ำไหลอ่ะ...บุญมันไหลเข้าตลอดเวลามัน
    #จะเข้าได้ก็ต่อเมื่ออารมณ์เราดี อารมณ์เป็นกรรมฐาน...มันจะบวกบุญที่เราทำในอดีตเข้าไปอีก

    ถ้าอารมณ์เราไม่ดี...มันก็บันทึกสิ่งที่ไม่ดีเข้าไปน่ะ บุญที่เราที่เคยทำไว้มันก็ฆ่าตัดตอนแหละ เหมือนกะ
    ฆ่าตัดตอนน่ะ...มันไม้ได้เข้าใจง่ายๆนะ

    #ถ้าเราไม่พิจรณาแล้วไม่ทำเนี่ยมันไม่เข้าใจหรอก
    ต่อให้หลวงตาอธิบายยังไงมันก็ไม่รู้หรอก มันก็ยัง
    สงสัยอยู่นั่นน่ะ...เพราะบางคนมันไม่เห็นไง

    มันไม่เห็นกระแสบุญ...มายัไงไงไปยังไงอ่ะเข้าใจมั้ย
    มันก็ยังสงสัยอยู่อ่ะ มันก็ต้องฝึกให้หายสงสัยนะท่าน
    บอก..ใจะฝึกให้หายสงสัยมันต้องขยันฮะ

    ศิษย์ : เบื้องต้นถ้าเราอยากเป็นคนมีบุญ...เราก็ต้อง
    #อารมณ์ดี

    หลวงตา : (หัวเราะ)หมั่นทำบุญ...แล้วก็หมั่นอารมณ์
    ดีด้วยนะ(หัวเราะ)บุญมันก็เข้าตลอดเวลา เป็นมนุษย์
    เนี่ยเข้าได้ตลอดเวลา...ตายแล้วนะมันเข้าไม่ได้นะ

    แม่ชี...เข้าได้เฉพาะบุญที่ตัวเองทำ เกี่ยวกะเรื่องของ
    นี่แหละ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างคนนี่แหละ
    สร้างคนให้ทำความดีน่ะ...มันถึงจะตามไป

    เราๆท่านๆไม่ได้สร้างอะไรเลยไว้...มันจะไปได้ยังไง
    อ่ะ บุญที่ได้ก็คือบุญที่ทำตอนเป็นมนุษย์ พอมันหมด
    มันก็หมดไปมันไม่มี...เกิดมาก็ไม่มีน้ำไหลอีกล่ะ

    เพราะมันหมดและ...กินจนหมดและเข้าใจม๊ะ สิ้นเดือนกินแล้ว ไม่ทำงานเดือนหน้าไม่ทำก็หมด
    ไม่มีอะไรจะกินล่ะ...อย่างนั้นน่ะมันหมดบุญล่ะ

    คนทำไมมันเกิดไม่เท่ากันอ่ะ มันก็ทำบุญไม่เท่ากัน
    อ่ะ สร้างเหตุการณ์เกิดไม่เท่ากัน สร้างเหตุการณ์
    เวียนว่ายตายเกิดไม่เท่ากัน...และจะเกิดมาเท่ากัน

    ได้ยังไงอะ...เท่ากันไม่ได้ยกเว้น คนที่บารมีเยอะๆ
    นู้นน่ะ เวลาท่านเกิดมานี่ท่านปรับ ให้มันสมดุลได้อยู่
    เทียบเท่ากันได้อยู่...แต่ว่าไม่เท่ากัน คือว่ามีความสุข

    เท่ากันหมดอ่ะ...แต่ว่าสุขมากสุขน้อยแค่นั้นเอง
    มีทรัพย์น้อยมีทรัพย์มาก เหมือนยุคพระศรีไงไม่มีคน
    จนไงลักษณะงั้นน่ะ...แต่บุญมากบุญน้อย
    ก็ดูที่แสงสว่าง
     
  15. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    70354478_116819946370973_964613452402262016_n.jpg

    ·
    ”สูตรปฏิบัติ” เพื่อให้ได้ผลสำเร็จ
    โดย หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท


    ถ้าเราภาวนา แบบใช้คำบริกรรม
    “ยิง” รัวแบบปืนกล อย่างต่อเนื่อง
    ไม่หยุดไม่ถอย

    เช่น บริกรรมว่า พุทโธๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
    รัวอย่างนี้ ชนิดที่เรียกว่าไม่ให้มีช่องโหว่
    ไม่เปิดโอกาส ให้จิตได้ฟุ้ง
    ปรุงไปคิดเรื่องอื่นใด นอกจากคิดพุทโธ

    ยิ่งถ้าจะให้ได้ผลเร็ว คือ ไม่ว่าจะทำ
    กิจการงานอันใด ก็พุทโธรัวในใจเข้าไว้
    ซักผ้า หุงข้าว ต้มแกง กวาดบ้าน นั่ง ยืน
    เดิน นอน กิน ดื่ม ทำ พูด ฯลฯ

    ทุกอิริยาบถ ให้มีแต่
    พระพุทโธรัวเป็นปืนกล อยู่ในใจ
    สติกับจิต ก็จะแนบแน่นอยู่ตลอด
    หาช่องโหว่ ที่จะพลั้งเผลอได้ยาก

    ทำบ่อยๆ อย่างนี้ ไม่นานนัก
    เวลาเราไปนั่งภาวนาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
    โอกาสที่จิตจะสงบเป็นสมาธิ ก็เกิดได้ง่ายขึ้น

    ไม่ใช่ว่าคิดเตลิดทั้งวัน แต่พอถึงเวลานั่ง
    ก็มานั่งเลย โดยไม่มีการเกลี่ยจิต มาก่อน
    ให้นั่งไปอีกร้อยปี มันก็ไม่มีทางสงบ

    ให้ได้ผลเร็ว ทุกอิริยาบถ
    ให้มีแต่ “พุทโธ” รัวเป็นปืนกลอยู่ในใจ
     
  16. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    70690735_10157952245681490_1448446788221534208_n.jpg

    เรื่อง "พระอรหันต์กลางกรุง ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ที่หลวงตามหาบัว ยกย่องชื่นชม"

    (ปกิณกธรรม ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต)
    (จากหนังสือ "ตามรอยธมฺมวิตกฺโก พระอรหันต์กลางกรุง และพระกรรมฐานกลางกรุง")


    ครั้งหนึ่งที่วัดนรนารถสุนทริการาม ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๘ ลูกศิษย์ได้มากราบฟังเทศน์ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งได้กล่าวกับท่านอาจารย์พระมหาบัวว่า “เขาไม่เชื่อว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ (หรือท่านเจ้าพระคุณธัมมวิตักโกภิกขุ) จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะท่านไม่ได้อยู่ป่า ไม่ได้เที่ยวธุดงค์ ไม่ได้วิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไม่เคยออกจากวัดไปไหนเลย”

    ท่านอาจารย์พระมหาบัวก็ตอบว่า “คนที่มีความรู้แค่ป.๓ จะไปมีความรู้เทียบชั้นป.๗ ไม่ได้คนมีความรู้ป.๗ จะไปมีความรู้เทียบเท่าคนที่จบปริญญาตรีไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะไปด่วนสรุปอย่างนั้นไม่ได้”

    แล้วท่านจึงเล่าให้ฟังว่าขณะที่ท่านลงมากรุงเทพฯท่านไปพักที่วัดเทพศิรินทราวาสเมื่อท่านมาอยู่วัดเทพฯเป็นพระอาคันตุกะพระทุกรูปของวัดเทพฯจะต้องลงโบสถ์ทำวัตรเช้า-เย็น ซึ่งท่านก็ได้ลงทำวัตรเย็นเหมือนกับพระรูปอื่นๆด้วย

    ท่านอาจารย์พระมหาบัวเล่าว่าวันนั้นท่านตั้งใจจะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ(ท่านเพียงแต่คิดไว้ในใจ)ขณะที่อยู่ในโบสถ์ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้หันมายิ้มกับท่านด้วยพอเสร็จจากทำวัตรลูกศิษย์ลูกหาก็มากราบท่านกันมากมายครั้นพอเสร็จธุระแล้วเวลาก็ล่วงไป ๓ ทุ่มเศษท่านก็ทราบว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไม่รับแขกที่กุฏิและเวลาก็ดึกแล้ว จึงไม่กล้าที่จะไปรบกวนท่าน

    วันรุ่งขึ้นท่านอาจารย์พระมหาบัวก็กลับอุดรฯ โดยไม่ได้พบกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯแต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ถามพระที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวไปพักอาศัยอยู่ด้วยว่า

    “ไหนว่าท่านมหาบัวจะมาสนทนากับผม
    ผมรอท่านตั้งนานไม่เห็นมา”

    พระท่านก็เล่าให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ฟังดังที่กล่าวมาว่ามีลูกศิษย์มากราบท่านอาจารย์พระมหาบัวจำนวนมากท่านจึงไม่มีโอกาสที่จะมาสนทนากับพระเดชพระคุณฯ และอีกอย่างเวลาก็มืดค่ำแล้ว และทราบมาว่าท่านไม่รับแขกที่กุฏิท่านพระอาจารย์มหาบัวก็รู้สึกจะเกรงใจ

    นี่ย่อมแสดงให้เห็นเด่นชัดว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ล่วงรู้วาระจิตของบุคคลต่างๆไม่เว้นแม้แต่ท่านอาจารย์พระมหาบัว นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากสำหรับปุถุชนอย่างเราๆท่านๆ ท่านอาจารย์พระมหาบัวได้กล่าวว่า

    “ใครจะมารู้วาระจิตของเราได้ นอกจากจะต้องเป็นผู้มีภูมิธรรมปัญญาธรรมเสมอกับเรา”

    ท่านพระอาจารย์อินทร์ถวายสันตุสสโกแห่งวัดป่านาคำน้อยเคยพูดว่าหลวงตามหาบัวได้พูดถึงท่านเจ้าคุณนรรัตนฯว่า

    “ท่านเป็นพระอรหันต์กลางกรุงฯ
    และเป็นพระที่สันโดษมาก”

    นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าธรรมแท้ไม่เลือกสถานที่ถ้าเป็นคนจริง ถึงอยู่กลางกรุงก็ปฏิบัติได้
     
  17. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    70851901_2345112075744234_1133437153540308992_n.jpg

    พระคาถาปิดทองคำเปลวที่องค์พระพุทธรูป
    พระคาถาหลวงปู่ศุขท่านสอนไว้


    ตั้งนะโม 3 จบแล้วกล่าว

    พุทธัง ธัมมังเปิด สังฆังเปิด เปิดด้วยนะโมพุทธายะ
    พุทธัง ธัมมังปิด สังมังปิด ปิดด้วยนะโมพุทธายะ
    พุทธังตัด ธัมมังตัด สังฆังตัด ตัดด้วยนะโมพุทธายะ
    โอม มะอะอุ นะโมพุทธายะ สะสุมัง

    ต้องการอะไร อยากจะได้สิ่งใดหรืออะไร ให้ตั้งจิตอธิษฐานบอก
    กล่าวตามที่ปรารถนาแล้วให้เอ่ยชื่อ...นามสกุล...อายุของคนคนนั้นประสงค์
    สิ่งใดก็จักได้ตามที่อธิษฐานจักได้ผลเป็นไปตามใจประสงค์
     
  18. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    087FB741-A386-46DD-BA3E-7B0BED0823F6.jpeg

    #ข่ายญาณของหลวงปู่..

    เมื่อประมาณกลางปี 2545 หลงปู่พิศดูได้ปรารภกับลูกศิษย์คนหนึ่งไว้ว่า..

    " ที่อำเภอท่าใหม่ (จ.จันทบุรี) มีพระอยู่องค์หนึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงตา(มหาบัว) ตอนนี้เร่งทำความเพียรหนัก กำลังไล่ตาม(ภูมิธรรม)อาจารย์ของเขา.."

    ลูกศิษย์คนที่ได้สนทนากับหลวงปู่นั้น แรกๆที่ได้ฟังก็ยังไม่ได้นึกเอะในอะไร เพียงแค่รู้สึกชื่นชมในความเพียรของหลวงพ่อรูปนั้นเท่านั้น

    และต่อมาเมื่อถึงเดือนกันยายน 2545 หลวงปู่พิศดู ก็ได้ปรารภกับลูกศิษย์คนเดิมนี้อีกว่า..

    " องค์.......(ขอสงวนนามท่าน) ตอนนี้(ภูมิธรรม)เขาก้าวขึ้นไปเท่ากับอาจารย์ของเขาแล้วนะ.. สำเร็จแล้ว "

    ลูกศิษย์คนนั้นเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวจึงทำให้ทราบว่า ข่ายญาณของหลวงปู่พิศดูท่านทราบได้กว้างไกล และละเอียดสูงมากๆ ทั้งๆที่หลวงปู่ก็อยู่ที่วัดไม่ได้ออกไปไหน แต่จิตท่านคอยตามดูและทราบเหตุการณ์นี้อยู่ตลอดเวลา เมื่อใดที่มีพระอริยสงฆ์ได้บรรลุธรรมเกิดขึ้นแล้ว ท่านก็สามารถทราบได้ทันที เสมือนเป็นสื่อสัญญาณทางจิต

    และไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม หากหลวงปู่ท่านต้องการจะทราบ ก็ไม่มีอะไรปิดบังองค์ญาณของท่านได้ ด้วยจิตอันโลดโผน อันนี้เป็นบารมีขององค์หลวงปู่ท่าน..

    หลวงพ่อรูปดังที่กล่าวในบทความนี้ ก็เป็นพระอีกหนึ่งรูปที่หลวงปู่พิศดูท่านรับรองในคุณธรรมแล้วว่า " เป็นพระอรหันต์ " คำรับรองของหลวงปู่ถือว่าเป็นหนึ่งไม่เป็นสองเช่นกัน

    แต่ผมต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย #ที่ต้องขอสงวนนามของหลวงพ่อรูปนี้เอาไว้ ด้วยเหตุผลจำเป็นบางประการ แต่ก็เชื่อว่าหลายคนที่ได้อ่านบทความนี้แล้วน่าจะรู้จักท่านกันหลายคน แต่เมื่อถึงเวลาฟ้าเปิดเมื่อใด ชื่อเสียงของท่านก็น่าจะเป็นที่รู้จักโดยทั่วกันเอง..
     
  19. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    EFACA8ED-2698-4CBC-A42B-5A6CF66E37E2.jpeg

    "พญานาค ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.มาฟังธรรมพระอาจารย์เปลี่ยน"

    ช่วงระหว่างที่พระอาจารย์เปลี่ยนท่านพักอยู่วัดญาณรังษี บ่อยครั้งหลังจากที่ท่านสรงน้ำเสร็จ ท่านจะมานั่งสนทนา เทศน์ธรรมะ กับญาติโยมที่ลานไม้ของวัด หน้ากุฏิที่ท่านพักเป็นประจำ แต่วันนี้อากาศแปรปวน ฟ้ามืดครึ้ม มีลมพัดแรง ทางวัดได้ตกลงกันว่า จะนิมนต์หลวงพ่อท่านงดแสดงธรรมในช่วงเย็นของวันนี้ เพราะกลัวฝนตก

    แต่ท่านบอก"ไม่เป็นไร ช่วงท่านเทศน์ให้ถ่ายรูปไว้" พระอาจารย์อ้วน หนึ่งในพระติดตาม ได้ถ่ายภาพตลอดช่วงเวลาที่ท่านเทศน์ และมีอยู่หนึ่งภาพ ขณะที่หลวงพ่อท่าน กำลังแผ่เมตตาให้สามีภรรยาชาวต่างชาติ เมื่อเช็คดูภาพที่ถ่าย เห็นแสงประหลาดที่เกิดขึ้น ก็ให้หลวงพ่อท่านดู

    ท่านก็บอกว่า "เป็นพญานาคที่มาฟังธรรม มาทำความเคารพเรา พรุ่งนี้ให้อัดรูปนี้มาแจกญาติโยม"

    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญปทีโป วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
     
  20. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    ABBDB6E5-63E5-4C70-8E10-61CF79CE0367.jpeg

    “ หลวงปู่เล่าถึงวิชาฝังเข็ม ”

    สมัยก่อน แต่ละหมู่บ้านเลี้ยงวัว - ควาย ไว้บ้านละเป็นฝูง อย่างน้อยแต่ละบ้านต้องมีควาย ๗ - ๑๐ ตัว ส่วนวัวไม่ต้องพูดถึงมีเลี้ยงเป็นฝูงเกือบทุกบ้าน ๑๐ - ๒๐ ตัว ที่เลี้ยงวัวได้มากเพราะป่ายังไม่ได้บุกเบิกทำไร่ทำนากัน ผู้คนก็น้อยและสิ่งหนึ่งที่มีมากชุกชุมคือโจรขโมยวัว - ควายส่วนมากเป็นโจรต่างถิ่น เมื่อขโมยไปได้แล้วก็นำไปขายหรือไม่ก็ชำแหละเนื้อขายและเอาไว้กิน

    ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน สมัยนั้นต้องคัดเลือกคนในหมู่บ้านที่ใจนักเลง และใจถึงสามารถคุยกับเจ้ากับนายได้ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อมีการขโมยควายเกิดขึ้นในหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันจะตีเกราะเคาะไม้เกณฑ์ชาวบ้านออกติดตามรอยควายที่ถูกขโมยไปและติดต่อเจ้านาย (เจ้าหน้าที่ตำรวจ) ออกติดตามเพื่อนำควายที่ถูกขโมยคืน ทั้งชาวบ้านที่ชำนาญการในเรื่องการแกะรอยควายที่หายพร้อมเจ้าหน้าที่ไป
    จนกว่าจะพบ

    ซึ่งถ้าหากไปยังไม่ไกลมากก็มีโอกาสได้คืน แต่ถ้าหากเป็นเวลานานเกินไปก็จะไม่ได้คืน หรือยิ่งมีฝนตกขณะตามก็จะลำบากในการแกะรอย แต่จะมี
    ชาวบ้านส่วนหนึ่งเดินทางล่วงหน้าโดยทางลัดในที่ที่คิดว่าขโมยเคยใช้เป็นทางเดินในการขโมยวัวควาย และขณะที่ติดตามไปนั้นเผอิญขโมยยังไปไม่ไกลมาก ทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ก็ติดตามไปติดๆ เพราะขโมยเดินช้ากว่าต้องจูงเชือกควายไปด้วย เมื่อขโมยเห็นชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ตามติดๆ คิดว่า คงจะไม่ทันการ จึงทิ้งควายที่กำลังจูงอยู่วิ่งหนีเข้าป่าละเมาะ ทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ก็วิ่งตามขโมยโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ฝึกการวิ่งการออกกำลังมา
    เป็นอย่างดีต่างนำหน้าชาวบ้านเพื่อจับเอาคนที่มาขโมยควาย

    วิ่งไปพักใหญ่เจ้าขโมยก็อ่อนล้าลง เจ้าหน้าที่ก็จับตัวเจ้าขโมยได้ ด้วยความโมโหที่ขโมยวิ่งหนีบอกให้หยุดก็ไม่หยุด จึงใช้กำปั้นต่อยที่แขนอย่างแรง ๑ ที พลันเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ตกใจเพราะกำปั้นที่ต่อยไปเหมือนกับต่อยเข้าไปที่หนามคมๆจำนวนมาก เจ้าหน้าที่คนนั้นถึงกับตกใจและต่อยไปอีกทีหนึ่ง ผลก็คือเหมือนเดิม

    ขโมยเห็นได้ที่ก็เลยวิ่งต่อ แต่ชาวบ้านที่ตามมาทันพอดีจึงช่วยกันจับขโมยคนนั้นไว้ได้ แต่กำปั้นเจ้าหน้าที่คนนั้นถึงกับเลือดซิบ เหมือนกับต่อยกับหนามหรือของที่เป็นของแหลม เมื่อสอบถามเจ้าขโมยถึงได้รู้ว่า เจ้าขโมยมีวิชาฝังเข็ม โดยเป็นวิชาอาคมหรือไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง จนเจ้าหน้าที่คนนั้น ยอมเรียกหัวขโมยคนนั้นว่า อาจารย์ทีเดียว !!

    “การลงคาถาฝังเข็ม”
    เมื่อเล่าจบ หลวงปู่สอบถามพวกเราว่า...
    "สนใจวิชานี้ไหม?" แต่มีสิ่งที่ต้องคะลำ (สิ่งต้องห้าม) หลายอย่างและแก่ตัวเข้าตาจะมองไม่เห็นถึงกับบอดเลยก็มี พวกเราบอกไม่เอากลัวตาบอด เลยถามหลวงปู่ว่า วิชานี้เขาทำอย่างไร หลวงปู่บอกว่า เขาก็หาเข็มมาแล้วให้นอนกลิ้งกับใบตองกล้วย ให้คนที่เป็นอาจารย์ หรือเป็นครูบริกรรมคาถาเข็มก็จะเข้าไปฝังอยู่ในร่างกายคนนั้นจนหมด เมื่อถูกทำร้ายเข็มคาถานั้นจะวิ่งมาป้องกันคนที่ฝังเข็มมิให้เกิดอันตราย เหมือนกับหัวขโมยคนนั้น

    “ ห้ามนำอาคมไปใช้ในทางที่ผิด ”
    หลวงปู่ สอนว่าเพราะไอ้หัวขโมยเอาไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรมถึงได้ถูกจับรับกรรมที่ตัวเองได้ก่อกรรมชั่วไว้ วิชาคาถาอาคมในปัจจุบันมีน้อยลงจนแทบหาไม่ได้ เนื่องจากครูหรืออาจารย์ผู้มีเวทย์มนต์ไม่ยอมให้ใครง่ายๆ กลัวว่าลูกศิษย์จะเอาไปใช้ในทางที่ผิด ขาดคุณธรรม

    คัดลอกจากหนังสือประวัติ
    หลวงปู่หนูเพชร ปัญญาวุโธ เมื่อปี ๕๗

    ผู้คัดลอก : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...