เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๓๔ : พบพระองค์ที่ ๑๐

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 สิงหาคม 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,269
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,519
    ค่าพลัง:
    +26,354
    34.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๓๔ : พบพระองค์ที่ ๑๐

    พระองค์ที่ ๑๐ เป็นใคร...? มาจากไหน...? มีความสำคัญอย่างไร...? "หลวงพ่อ" ท่านเล่าให้พวกเราฟังว่า...

    ครั้งหนึ่ง...มีโยมนิมนต์ท่านไปงานทำบุญบ้านที่จังหวัดราชบุรี พระที่ได้รับนิมนต์มีอยู่ด้วยกัน ๙ องค์ มีท่านเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน แต่พอไปถึงบ้านงาน ปรากฏว่ามีพระอีก ๑ องค์ ไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว...

    พระองค์นั้นเป็นพระหนุ่ม ดูแล้วอายุคงจะไม่เกิน ๓๐ ปี รูปร่างหน้าตาดีมาก ผิวขาวอมเหลือง ดูผ่องใสอย่างประหลาด ท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แม้พระองค์อื่นมากันครบแล้วท่านก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกจากที่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดจึงนั่งถัดมาเป็นคอสอง ตามลำดับไปจนถึง "หลวงพ่อ" ที่นั่งปิดท้ายอยู่...

    พอพระองค์นั้นให้ศีล "หลวงพ่อ" เล่าว่า ได้ยินแล้วทึ่งมาก เสียงท่านแจ่มใสกังวาน ฟังไพเราะรื่นหู ชื่นใจจนบอกไม่ถูก อักขระทุกตัวถูกต้องชัดเจน เสียงอย่างนี้ในตำราเรียกว่า “โฆสัปปมาณิกา” คือ มีเสียงไพเราะเป็นที่ชอบใจของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย...

    เมื่อกำลังฉันอยู่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดถามว่า บวชมากี่พรรษาแล้ว...? พระองค์นั้นส่งหนังสือสุทธิให้ดู ปรากฏว่าท่านบวชมากว่า ๓๐๐ ปีแล้ว...! ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีถึงกับพูดไม่ออก เรื่องอื่นที่คิดจะถามเลยไม่กล้าถามต่อ...!

    พอให้พรญาติโยมเสร็จท่านก็ลากลับ "หลวงพ่อ" ถามเจ้าของบ้านว่านิมนต์พระองค์นี้มาจากไหน...? เจ้าของบ้านตอบว่า ผมคิดว่ามาด้วยกันกับท่านซะอีก...! เอาละซี...มีเรื่องจนได้แล้วไหมล่ะ... "หลวงพ่อ" บอกให้เจ้าของบ้าน วิ่งลงไปดูซิว่าท่านไปทางไหน...?

    เพิ่งคล้อยหลังลงบันไดไปแท้ ๆ บ้านก็อยู่กลางทุ่งโล่ง ไม่มีที่ให้หลบมุมซักหน่อย แต่พระองค์นั้นหายไปทางไหนไม่มีใครรู้ อย่างกับท่านเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าดำดินได้อย่างนั้นแหละ เนื่องจากเจ้าของบ้านนิมนต์พระ ๙ องค์ แล้วท่านมาเพิ่มเป็นองค์ที่ ๑๐ "หลวงพ่อ" จึงเรียกท่านว่า พระองค์ที่ ๑๐ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...

    "หลวงพ่อ" เล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังนานมากแล้ว จนชักจะลืม ๆ กันหมด อยู่ ๆ ก่อนงานประจำปีของวัดท่าซุง ปี ๒๕๒๘ "หลวงพ่อ" ก็บอกกับลูก ๆ ทั้งหลายว่า งานนี้พระองค์ที่ ๑๐ จะมาโปรด พร้อมกับบรรยายรูปร่างลักษณะให้พวกเราได้ทราบเอาไว้ อาตมาตื่นเต้นมาก ที่จะได้พบกับพระพิเศษอย่างนี้ ชวนพรรคพวกไปวัดก่อนงานตั้ง ๓ วันแน่ะ...!

    "หลวงพ่อ" ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า จะมีพระดีมาเป็นจำนวนมาก “หลวงตาลา” กับ “หลวงตาบุตร” ก็มาด้วย หลวงตาลารูปร่างสูงใหญ่ผมหงอกประปราย หลวงตาบุตรผอมเล็ก ผิวดำ อาตมากับพรรคพวกยิ่งตื่นเต้นใหญ่...

    วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘ เวลาเช้ามืด...อาตมาตื่นตั้งแต่ตีสาม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจเจริญกรรมฐานตามปกติ แต่วันนี้อารมณ์มันแกว่ง ๆ พิกล นั่งกรรมฐานไม่ได้เลย จึงนั่งแกล้งพรรคพวกจนตื่นนอนไปตาม ๆ กัน พร้อมกับร้องเพลงงึมงำอยู่คนเดียว...

    ธรรมนูญ (อาจารย์ธรรมนูญ นาคส่องแสง) ร้องว่า “โอ้โฮ..พี่ร้องเพลงเชียวหรือ ?” แมมมี (ร.ท.หญิงรมณีย์ พยุงเวช) ที่นอนอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะคิก เพราะอาตมาถือศีล ๘ จนผอมกะหร่อง อยู่ ๆ ยอมศีลขาดร้องเพลงเล่น นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก...!

    ทำอย่างไรใจก็ไม่ยอมสงบ อาตมาจึงทิ้งเพื่อน ๆ ให้นอนต่อ เปิดประตูออกไปเพื่อจะเดินเล่น ก็พบกับ สามเณรบุญชุ่ม ทาแกง ยืนจ้องเป๋งอยู่หน้าห้อง...อาตมาถามว่า “หลวงพี่เณรมีธุระอะไรกับผมหรือครับ...?” ท่านไม่ตอบ หันหลังเดินจากไปเฉย ๆ...

    สำหรับเณรองค์นี้ (ปัจจุบันคือ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร วัดพระธาตุดอนเรือง) อาตมาเลื่อมใสท่านมานานแล้ว ทราบว่าท่านเก่งแน่ แต่มาจ้องอยู่ที่หน้าห้องแต่เช้ามืดแบบนี้ ท่านมีอะไรจะบอกใบ้หรือเปล่าหนอ...?

    อาตมาคิดว่า “วันนี้ต้องมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน” มันรู้สึกสังหรณ์ใจผิดปกติ ตั้งแต่ตอนที่นั่งกรรมฐานไม่ได้แล้ว...

    ประมาณ ๑๗.๓๐ น. เลิกจากการงานของวัดแล้ว พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย อาตมาก็ชวนพรรคพวก ประกอบด้วย ธรรมนูญ แมมมี ติ๋ว (ร.ท.หญิงสิริพร จอมผา ยศในขณะนั้น) ตุ้ม (จำชื่อจริงไม่ได้) นัน (นันฑิญา เหลืองถาวรกุล) แข (ดวงแข คชภูมิ) นิพพา (นิพพา สืบสิงห์) คิ้ม (จงกล แจ่มแจ้ง) ออกลาดตระเวนกัน...

    จุดมุ่งหมายคือ ตามหาพระที่หลวงพ่อบอกไว้ ตอนนี้พระอาคันตุกะมาเป็นร้อยองค์แล้ว ลองสำรวจเผื่อจะโชคดี ได้พบองค์ที่เหมือนกับที่ "หลวงพ่อ" บอก จะได้ทำบุญกับท่านก่อนคนอื่น (ขนาดเรื่องทำความดีนะเนี่ย ยังไม่ยอมให้คนอื่นเกินหน้าเล้ย...ตูละหน่าย...)

    จากพระจุฬามณี เดินลัดเลาะเรื่อยมา พบพระหลายองค์แต่ไม่เข้าเค้า บางองค์โดนหมากัดซะเหวอะ ต้องเข้าไปช่วยทำแผลให้กับท่าน (ติ๋วกับแมมมีเป็นพยาบาลทหารอากาศ) จนข้ามมาฝั่งวัดเก่า ซึ่งตอนนั้นยังเป็นป่าอยู่ (ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งตึกรับแขกทั้งหมด)

    ขึ้นไปปฏิสันถารกับพระหลายองค์ ที่กางกลดอยู่บนศาลาไม้สัก (ปีถัดมาศาลาหลังนี้ถูกไฟเผาซะเรียบเลย) พอสมควรแก่เวลาก็กราบลาท่าน ลงจากศาลาเพื่อไปหาพระที่ตั้งใจไว้ พอเดินมาถึงหน้าโบสถ์เก่า อาตมาก็เห็น...

    พระหนุ่มองค์หนึ่ง ลักษณะท่าทางดีมาก อายุประมาณ ๓๐ ปี นั่งตัวตรงอยู่บนตอไม้ ที่ซึ่งท่านนั่งอยู่เป็นที่เด่นมาก อยู่ห่างจากศาลาไม้สักไม่ถึง ๑๐ เมตร อาตมาเป็นคนสายตาดีเป็นพิเศษ (พวกมือปืนต้องสายตาดีกันทุกคน) แต่เชื่อหรือไม่...? อาตมาเดินมาจนเกือบถึงองค์ท่านแล้ว ถึงได้มองเห็นท่านนั่งอยู่กับลูกศิษย์ ๓ คน...!

    ในสายตาอาตมา พระที่จะขลังต้องแก่ ๆ หน่อย (แบบนี้มีหวังถูกต้มทั้งชาติ) เมื่อเห็นเป็นพระหนุ่ม อาตมาก็จะเดินหลีกไป แต่เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น...คือ เท้ามันไม่ยอมเชื่อฟัง สั่งให้มันเดินหนี แต่มันกลับพาเลี้ยวเข้าไปหาท่าน โดยที่อาตมาฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่ได้...!

    อาตมานั่งลงกราบท่านอย่างเสียไม่ได้ ท่านก็โอภาปราศรัยด้วย ประโยคแรกซึ่งท่านถามอาตมาคือ “เธอมาจากไหน..?” พรรคพวกทุกคนฟังแล้ว สะดุ้งกันแปดตลบ เพราะไปเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสถามเปสการีธิดาเปี๊ยบเลย...!

    อาตมาตอนนั้นทั้งมืดทั้งบอดอย่างสนิท ไพล่ไปตอบท่านว่า “หลวงพี่ต้องการแบบไหนละครับ...? ถ้าจากวัดผมมาจากจุฬามณี ถ้าจากบ้านผมมาจากพระโขนง...” ท่านยิ้มน้อย ๆ พลางว่า “นี่เธอรวนฉันก่อนนะ ขอถามอีกที เธอจะไปไหน..?

    เพื่อนพ้องทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก...แต่อาตมาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ตอบท่านว่า “ผมมาหาพระดีครับ” “แล้วเจอไหมเล่า...?” อาตมาตอบเป็นเชิงกระทบกลาย ๆ ว่า “ยังครับ” ความหมายคือ พระดีที่ตามหา ไม่ใช่ท่านอย่างแน่นอน...!

    เพราะอะไรจึงมั่นใจอย่างนั้น...? ก็ทันทีที่กราบท่าน อาตมาใช้วิธีดูใจแบบที่ "หลวงพ่อ" สอนเอาไว้แล้ว มืดสนิทอย่างนี้เป็นพระดีก็เกินไปละ... (ภายหลัง "หลวงพ่อ" ท่านชมว่าโง่ดีมาก คนที่เราจะดูใจได้ คือคนที่เสมอกันหรือต่ำกว่าเท่านั้น คนที่มีคุณธรรมสูงกว่าถ้าตั้งใจปกปิด เราจะไม่มีวันได้รู้กำลังใจที่แท้จริงของท่านเลย)

    เมื่ออาตมาประกาศสงคราม ท่านก็ลงสนามรบด้วย ลีลาของท่านแม้จะนุ่มนวล แต่ก็สง่างามเหมือนราชันย์สู่สงคราม ถึงลูกถึงคน เปี่ยมไหวพริบปฏิภาณ มีทั้งลูกล่อลูกชน หากว่าอาตมาไม่มีไม้ตาย คือยามคับขันอ้างว่า “ "หลวงพ่อ" ยังไม่ได้สอน” มีหวังจอดตั้งแต่ยกแรก ท่านต้อนจนฉิว บ่นว่า “ไอ้ลูกลิงนี่เหลือเกิน ติดมุมแล้วมุดดินหนีก็ยังเอา...!”

    ลูกเล่นลูกฮาของท่านก็เหลือเกิน พรรคพวกส่งเสียงเฮชอบอกชอบใจ นาน ๆ ถึงจะมีพระยอมเล่นด้วยซักที ความเกรงท่านแต่แรกหายไปหมด เหลือแต่ความปีติอิ่มเอิบใจ จึงนั่งเชียร์พระโต้ธรรมะกับฆราวาสอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน...

    จนเกือบสองทุ่ม ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะ ท่านก็ขอตัวไปพักผ่อน อาตมาพาพรรคพวกกลับที่พัก ทุกคนแจ่มใสเบิกบานโดยทั่วหน้ากัน อารมณ์ขุ่นมัวแต่เมื่อเช้าหายขาดเป็นปลิดทิ้ง ยังข้องใจกับคำพูดประหลาด ๆ บางประโยคของท่านที่ว่า...

    “ฉันมาจากวัดที่มีพระ” “ฉันมาที่นี่บ่อย แต่เธอไม่ได้เห็นฉันหรอก ฉันมาหาฤๅษีเขา” “ฉันเป็นผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ทุกวันนี้ก็ยังทำหน้าที่พระโพธิสัตว์อยู่” “ฉันคิดว่าคงจะช่วยใครให้พ้นนรกไม่ได้ ฉันมีหน้าที่บอกทางให้เท่านั้น” ... ฯลฯ

    รุ่งเช้า... วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๘ เป็นวันงานประจำปี พระเถรานุเถระทยอยกันมาตั้งแต่เมื่อคืน บางองค์ เช่น พระพรหมคุณาภรณ์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ ถึงกับลงไปฉันก๋วยเตี๋ยวร่วมกับพระทุกองค์ในวัด อย่างไม่ถือองค์เลย...

    อาตมาทำหน้าที่ประเคนอาหารพระ พอครบถ้วนดีแล้ว นึกถึงหลวงพี่องค์เมื่อคืนขึ้นมา จึงบอกพี่ประทุม (แม่ครัวกองทุน) ว่ามีพระอาคันตุกะกับลูกศิษย์ อยู่ทางฝั่งวัดเก่า ไม่เห็นท่านมาฉันที่นี่ ขออาหารไปถวายท่าน และขอเผื่อลูกศิษย์ท่านด้วย...

    พี่ประทุม (เสียชีวิตไปประมาณ ๓-๔ ปีแล้ว) ก็แสนดี รีบจัดอาหารให้โดยเร็ว เป็นเกาเหลาแห้ง ๘ ชาม อาตมาก็ไม่ทราบว่า ขนไปได้เรียบร้อยในเที่ยวเดียวได้อย่างไร ? (แต่ก็เอาไปแล้วล่ะ) ไม่เห็นท่านบนศาลา จึงชะโงกไปดูข้างนอก แล้วก็ได้เห็น...

    ข้างศาลาที่อาตมาเพิ่งเดินผ่านมานั่นแหละ ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่...อะไรกันวะ ? เมื่อกี้เดินมาเราไม่เห็นใครเลยนี่หว่า...รอบศาลาก็ว่างโล่งไม่มีอะไรบัง เราผ่านท่านมาโดยไม่เห็นเลยได้อย่างไรกัน ? ตาถั่วแล้วมั้งตู...?!?

    แต่ว่างานกำลังยุ่ง กระทั่งเวลาสงสัยยังไม่มี กราบเรียนท่านว่า “อาหารวางไว้บนอาสน์สงฆ์ จะฉันเมื่อไรหลวงพี่หาคนประเคนด้วยนะครับ” ท่านตอบยิ้ม ๆ ว่า “เดี๋ยวก็มีคนมาประเคนให้เองแหละ...” อาตมาจึงโกยแน่บไปช่วยงานที่ศาลา ๒ ไร่...

    บนศาลานั้น หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หลวงพ่อบุญรัตน์ วัดโขงขาว กำลังช่วย "หลวงพ่อ" รับแขกอยู่ อาตมากราบท่านทุกองค์ แล้วไปช่วยงานที่ข้างองค์ "หลวงพ่อ" ...

    "หลวงพ่อ" กำลังคุยกับ พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ และพล.ท.เทียบ กรมสุริยศักดิ์ สองแม่ทัพภาคอยู่ อาตมาแจกหนังสือของขวัญวันรับสมณศักดิ์ แก่ญาติโยมที่มาทำบุญกัน ผู้คนมากันแน่นขนัดไปทั้งวัด ศาลา ๒ ไร่เล็กเกินไปซะแล้ว...!

    พระเถรานุเถระมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธาน กำลังจะเริ่มเจริญพระพุทธมนต์ พี่สุนันท์ (คุณสุนันท์ เจียรกูล) มากระตุกแขนเสื้อกระซิบว่า “พระองค์ที่ ๑๐ มาถึงแล้ว อยู่ที่ฝั่งวัดเก่าแน่ะ...!”

    อาตมาขนลุกด้วยความดีใจ รีบถามว่าท่านมีลักษณะอย่างไร ? อยู่ตรงไหน ? พอได้รับคำอธิบาย อาตมาก็งงเป็นกำลัง ลักษณะที่บอกมา มันตรงกับหลวงพี่องค์นั้นนี่นา...! ถามด้วยความไม่มั่นใจว่า “แน่ใจแล้วหรือพี่...?”

    “แน่ซิน่า...เมื่อคืนหลวงพี่วัชรชัย (พระวัชรชัย อินทวํโส) เห็นท่านเดินจงกรม เท้าลอยพ้นพื้นตั้งสูง...แล้วตาใหญ่ (คุณอรรถวุฒิ ภาณุพินทุ) ขอถ่ายรูปท่าน เห็นรัศมีออกมาเป็นประกายรุ้งเลย...!” พี่สุนันท์ยืนยันขันแข็ง ขณะที่อาตมายังลังเลใจอยู่...

    เรื่องของเรื่องก็ต้องพิสูจน์กันหน่อย อาตมาลากพี่น้องฝาแฝดมาทำหน้าที่แทน เหลียวมองหาพรรคพวก เห็นแต่ติ๋วกับแมมมีสองคนเท่านั้น คว้าแขนได้ก็ลากวิ่งลิ่วไปเลย อธิบายให้ทราบคร่าว ๆ ว่า พระองค์ที่ ๑๐ มาแล้ว มีคนพบท่านที่ฝั่งวัดเก่า...

    ที่หอกลองข้างศาลาการเปรียญ ซึ่งอยู่ติดกับหอฉันหลังใหม่นั่นเอง “หลวงพี่” นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ มีญาติโยมเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อเข้าไปทำบุญกับท่าน อาตมาขี้เกียจเข้าคิวจึงทิ้งเพื่อนทั้งสองเอาไว้ข้างล่าง ตัวเองปีนต้นมะม่วง ขึ้นไปนั่งแปะอยู่ข้างองค์ท่านเลย...

    ท่านเหลือบมาดูนิดเดียว แล้วกล่าวคำพูด ที่อาตมาเข้าใจคนเดียวว่า “มาแล้วรึ...? ตอนนี้ไม่เล่นด้วยแล้วนะ...!” อาตมากราบท่านแล้วมองไปรอบข้าง เห็นท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) พี่ปี๊ด (คุณกัลยาณี ไชยะโท) และใครต่อใครมากันจนแน่นหอกลอง ติ๋วกับแมมมีก็แสดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นมานั่งอยู่ข้าง ๆ เมื่อไรก็ไม่รู้...!

    ตรงหน้าท่านมีถุงใบใหญ่ ญาติโยมที่ทำบุญกับท่าน ต่างเอาปัจจัยหย่อนใส่ถุงจนแทบล้น อาตมาหมายมั่นปั้นมือว่า ถ้าท่านไม่เอาไปถวาย "หลวงพ่อ" แบบหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่น ๆ ทำละก็ อาตมาจะ “อัด” ท่านให้หนัก ท่านหันมาพูดยิ้ม ๆ ว่า “ไม่มีทางหรอก...!” อาตมาถึงกับสะดุ้ง ท่านรู้วาระจิตผู้อื่นจริง ๆ หรือนี่...?

    เห็นพี่ปี๊ดถือกล้องถ่ายรูปอยู่ อาตมาเลยอาสาถ่ายรูปท่านให้ รับกล้องมาแล้วอธิษฐานขออนุญาตในใจ ท่านหันมาบอกว่า “ขอให้คนอื่นเขาได้ยินด้วยซิ...!” อาตมาสะดุ้งกล้องแทบหลุดมือ...!

    พอถ่ายรูปท่านเรียบร้อย อาตมาก็กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระบรมครู ขอ “ดู” ท่านอีกวาระหนึ่ง คราวนี้เห็นแสงสีทองเป็นกรวยสามเหลี่ยม พุ่งจากข้างบนมายังศีรษะของท่าน มันชักจะยังไง ๆ ซะแล้ว ก็เมื่อคืนไม่เห็นแบบนี้นี่นา...

    อาตมามองเห็นใต้สังฆาฏิของท่าน มีลูกประคำโผล่ออกมาจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าท่านคือพระองค์ที่ ๑๐ จริง ๆ และวาสนาบารมีของลูกสามารถเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้จริง ๆ ขอให้ท่านแสดงออก ด้วยการมอบลูกประคำให้แก่ลูกด้วยเถิด...”

    ท่านยิ้มพลางกล่าวเบา ๆ พอได้ยินว่า “ได้ซิ...แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ...คนเยอะ...” ได้ยินแล้วอาตมาหัวใจพองคับอก เป็นท่านจริง ๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อเลย...ท่านมาโปรดลูกหลาน ตามที่สัญญาไว้กับ "หลวงพ่อ" จริง ๆ อาตมานั่งดูท่านรับแขกอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีตอนท่านสั่งให้กันคนออกไปก่อน แล้วยกอาหารมาประเคนด้วย ท่านจะได้ฉันซะที...!

    อาตมารีบขอร้องทุกคน ให้ถอยออกไปชั่วคราว แล้วยกอาหารมาจะประเคนท่าน คนอื่นเห็นอาตมาได้ถวายอาหารท่าน ต่างก็เอาอาหารที่ตนมีอยู่ใส่ถาดร่วมถวายด้วย...ท่านดูถาดที่พะรุงพะรังด้วยอาหารแล้ว ถามยิ้ม ๆ ว่า “นั่นเธอจะเลี้ยงลิงหรือ...?!”

    อาตมาตีหน้าไม่ถูก ท่านรับประเคนแล้ว ไล่อาตมาไปเฝ้าทางขึ้นเอาไว้ อย่าให้ใครขึ้นมารบกวนตอนนี้ อาตมา ติ๋ว แมมมี นั่งเรียงหน้ากระดาน ขวางอยู่ตรงทางขึ้น สับสนไปหมด เหมือนฝันไปทั้งกำลังตื่นอยู่ (ลองกัดลิ้นตัวเองซักทีซิ...จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝัน)

    กำลังคิดเพลินอยู่ ก็มีหลวงตาร่างผอมบางองค์หนึ่ง เดินหลีกคนขึ้นมาข้าง ๆ อาตมา แล้วกราบพระองค์ที่ ๑๐ อย่างนอบน้อม อาตมามีคำถาม ๑๐๘ อยู่เต็มสมอง แต่หลุดปากไปแบบโง่สุดขีดว่า “หลวงตาชื่ออะไรครับ...?”

    “อาตมาคือ โหรอรุณ เทศถมทรัพย์” อาตมาได้ยินแทบหงายผลึ่ง สุดยอดหมอดูของเมืองไทยท่านนี้ ที่แท้เป็นพระหรือนี่ หลงเข้าใจว่าเป็นฆราวาสมานาน อาตมาถามท่านด้วยปริศนาว่า “องค์นี้ท่าน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แน่นะครับ...”

    “ยิ่งกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ซะอีก” หลวงตาอรุณตอบอย่างหนักแน่น อาตมาเหงื่อแตกพลั่ก...นรกกินหัวแน่กู...! เมื่อคืนล่วงเกินท่านไว้ขนาดหนักเลย พอดีท่านฉันเสร็จ เตรียมให้พร อาตมาคิดว่า ถ้าให้พรไม่ถึงนิพพานละสวยแน่ (เป็นซะอย่างนี้แหละ ไอ้ควาย...!)

    ท่านให้พรเป็นภาษาไทย ไพเราะกลมกลืน รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง แต่เชื่อหรือไม่ อาตมาเองจัดเป็นคนที่มีความจำเป็นเลิศคนหนึ่ง ฟังอะไรครั้งแรกจะจำได้เกือบครึ่ง ถ้าสามครั้งแปลว่าชาตินี้ไม่มีวันลืม แต่จำคำให้พรของท่าน ไม่ได้แม้แต่คำเดียว...!

    ท่านบอกว่า “จำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ ถึงเวลาจะได้เอง” อาตมายกถาดอาหารออกมา ไม่ทราบว่าท่านฉันอย่างไร ไม่ยุบเลยแม้แต่น้อย ส่งแอปเปิลให้ติ๋วกับแมมมีคนละ ๑ ลูก ตัวเองเก็บลูกที่ท่านฉันแหว่งไปลงกระเป๋า... (คอยคลำอยู่เรื่อย กลัวรอยแหว่งจะหาย...!)

    มีผลไม้ประหลาดลูกหนึ่ง ลักษณะคล้ายผลทับทิม แต่ดูเนื้อคล้ายสาลี่ คล้ายแอปเปิล ผิวเป็นสีน้ำตาลอ่อน ไม่ทราบว่ามือลึกลับที่ไหนถวายมา...อาตมาตัดสินใจถวายหลวงตาอรุณไป ท่านรับได้ก็หันหลังไปแน่วเลย เหมือนกับตั้งใจมารอรับผลไม้ลูกนี้เพียงอย่างเดียว...!

    พอไม่มีหลวงตาขวางทาง มือนับร้อยก็ยื่นมาทุกทิศทุกทาง คนละหมุบคนละหมับ พริบตาเดียวหมดเกลี้ยง แม้แต่ที่ตกลงบนพื้นก็กวาดเรียบ...อาตมายืนงง ดูถาดเปล่า ๆ ในมือซึ่งเมื่อกี้ยังมีอาหารเต็มถาด ตอนนี้หายวับไปกับตา ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ซะอีก...!

    ท่านบอกให้ทุกคนเปิดทาง ท่านจะไปนั่งที่ศาลาการเปรียญ เงินในถุงท่านให้รวบรวมเอาไปถวาย "หลวงพ่อ" พวกรูป-เหรียญของ "หลวงพ่อ" ที่ญาติโยมถวายท่าน ท่านสั่งให้อาตมาแจกแก่ญาติโยมจนหมด อาตมาขอผ้าขนหนูผืนเล็กจากท่านไว้เป็นที่ระลึก ๑ ผืน...

    พอท่านออกเดินก็มีคนปูผ้าเป็นทางตลอดแนว เพื่อเก็บรอยเท้าท่านไว้บูชา อาตมารีบปูผ้าขนหนูผืนเล็กลง ก้มกราบขณะที่ท่านเหยียบผ้าพอดี จึงได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อีกวาระหนึ่ง ผ้าผืนนั้นกว้าง ๑ ฟุต ยาว ๒ ฟุต เท้าของท่านโตเต็มผ้าพอดี...!

    มัวแต่ตกละลึงอยู่ จนท่านเรียกให้อาตมาปูอาสนะ ๒ วาระ จึงได้สติ ปูอาสนะที่มุมศาลา...คลื่นมนุษย์รายล้อมเข้ามา แย่งกันถวายปัจจัยท่าน พรรคพวกของอาตมาก็มากันครบ ธรรมนูญขึ้นมาช่วยอาตมานับเงินอีกคน...

    นับเงินไปฟังท่านให้พรญาติโยมไป ตาก็ชำเลืองคอยดู ไม่เห็นจะต่างกับคนทั่วไปเลย เสียงท่านบอกว่า “อย่าดูเลย...ไม่ได้เห็นหรอก” อาตมาหลบตามานับเงินต่อ ท่านพูดอีกว่า “ไม่เชื่อรึ...? ลองคลำดูก็ได้นะ...” ไม่ว่าจะคิดอะไร ท่านเป็นรู้ล่วงหน้าไปซะหมด...!

    พี่วิไล (คุณวิไลวรรณ ภูมิธเนศ) ติดเครื่องบันทึกเสียงมาพอดี อาตมาขอยืมมาเพื่อบันทึกเสียงของท่าน แต่กดปุ่มเรคคอร์ดไม่ลง ต้องอธิษฐานขอเสียงท่านไว้เป็นหลักฐาน ทีนี้กดลง แต่เทปเดินแค่ ๑๐ นาที แล้วหยุดเอง...!

    อาตมาต้องขอท่านว่าให้ได้หมดทั้งม้วน เทปก็เดินต่อเอง เอากับท่านซิ...เห็นผู้คนมากันมืดฟ้ามัวดิน อาตมาห่วงงานที่ ๒ ไร่ก็ห่วง ห่วงลูกประคำที่ท่านจะให้ตามคำขอก็ห่วง จนท่านต้องหันมาบอกเองว่า “ร้อนตัวได้ แต่อย่าร้อนใจ” ...

    อาตมาอายท่านแทบแย่ มีอะไรอยู่ในใจท่านขุดออกมาซะหมด จึงเอ่ยปากบอกท่านไปตรง ๆ ว่า “ขอลูกประคำของหลวงปู่เถิดครับ ผมจะได้นำญาติโยม กราบขอขมาหลวงปู่ซะทีเดียว” ท่านบอกให้ขอขมาก่อน อาตมาจึงนำญาติโยมกราบพระ และกล่าวคำขอขมาดังนี้

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    ภันเต ภะคะวา ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า กรรมอันใดที่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ล่วงเกินไปแล้วต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะด้วยกาย วาจา หรือใจ ก็ดี จะโดยต่อหน้าหรือลับหลัง รู้หรือไม่รู้ เห็นหรือไม่เห็น ทราบหรือไม่ทราบ เจตนาหรือไม่เจตนา จะโดยต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี...

    ลูกทั้งหลายขอกราบขอขมากรรมนั้น ต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดเมตตาอดโทษนั้นแก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า...

    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ
    สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ

    พอกราบพระเรียบร้อย ท่านก็กล่าวตอบว่า “ขอบใจ...ขอบใจ เทวดาลิงน้อย ๆ ทั้งหลาย ที่มีแก่ใจขอขมาต่อเรา...” ท่านยินดีอโหสิกรรมทุกประการ ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานของตนเถิด...

    ตลอดเวลาที่ปฏิสันถารกับญาติโยม เสียงของท่านแจ่มใสกังวาน ลีลานุ่มนวลชวนมอง แต่แฝงด้วยธรรมะอันลึกซึ้ง...ใครกราบขอพรท่านก็ให้ ใครจะ “ดูใจ” ท่านก็ปราม ทุกคนต่างอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าว ที่ท่านรู้วาระจิตไปเสียทุกอย่าง...

    “พรใดในหล้าว่าประเสริฐ จงบังเกิดแก่เธอทั้งหลาย” ... “รักษาศีลให้ประเสริฐ ทำสมาธิให้เลิศ ทำปัญญาให้บริสุทธิ์” ... “คำว่าบารมีแปลว่ากำลังใจ จะมาขอบารมีฉันทำไม ? ทำให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวเองซิ ถ้าบารมีขอกันได้ ฉันก็กลายเป็นบารจนเท่านั้นเอง...”

    “นิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน เป็นภาษาใจ ถ้าอยากไปนิพพานให้เร่งปฏิบัติ เร่งขวนขวาย เร่งหาธรรม ใครทำใครได้ ไม่มีใครทำแทนกันได้” ... “พวกที่คิดว่าตัวเอง “แว่นตา” ดีน่ะ อย่าพยายามดูเลย เดี๋ยว “แว่นแตก” แบบเมื่อคืนนี้อีก...”

    “เธอกับฉันมีธรรมเสมอกัน คือมีความตายเหมือนกัน มันต่างกันตรงไหนล่ะ...?” ที่ได้ยินทุก ๓-๕ นาทีคือท่านบอกว่า ปัจจัยทั้งหมดที่ถวายมา ท่านจะมอบให้ "หลวงพ่อ" ไปทำอะไรบ้าง ขอให้ทุกคนโมทนา ท่านเน้นเรื่องปัตตานุโมทนามัยมาก...

    ผู้ที่ขอถ่ายรูป ท่านถามว่า “ถ่ายไปทำไม...? ถ่ายไปแล้วเธอไม่ตายรึ...?” เลยไม่มีผู้ใดกล้าขออีก จนกระทั่งถึงน้องเพิร์ล (สรัญญา แสงหิรัญ) อาตมาจึงตอบแทนว่า “ขอไว้เพื่อเป็นอนุสติครับ...” นั่นแหละ...ท่านจึงยอมให้ถ่ายได้...

    จนเวลาใกล้เที่ยงเต็มที ท่านจึงมอบหมายให้อาตมากับธรรมนูญนำปัจจัย และสิ่งของทั้งหมดไปถวาย "หลวงพ่อ" ขึ้นไปบนศาลา ๒ ไร่ งานเขาเลิกกันแล้ว แต่ "หลวงพ่อ" ยังนั่งรออยู่ พอเห็นหน้าท่านก็ถามว่า “ไอ้หนูเอ๊ย...เอามาจากไหนหว่า...?”

    “หลวงปู่ที่ฝั่งวัดเก่าริมน้ำ ให้นำมาถวายหลวงพ่อครับ...” “เออ..ใช่... ใช่...องค์นั้นแหละ...” หลวงพ่อตอบเหมือนรับรองว่าเป็นท่านแน่นอน อาตมากราบลาออกมาหาอาหารรองท้อง มันหิวจนไส้กิ่ว พรรคพวกก็แยกย้ายกันไป ตอนนี้เล่นบทตัวใครตัวมัน...

    ว่าจะพักผ่อนแต่ใจหนึ่งก็ห่วง เลยกลับไปฝั่งวัดเก่าอีก พบพระองค์ที่ ๑๐ ท่านย้ายไปนั่งที่โคนโพธิ์ มีญาติโยมล้อมแน่นเช่นเดิม อาตมาสังเกตท่าทีอยู่ห่าง ๆ ดูท่านแปลกไปมาก บางทีก็ดูเป็นองค์ท่าน บางทีก็ไม่ใช่ท่าน ไม่ทราบว่าอุปาทานไปหรือเปล่า...?!

    จนประมาณบ่ายสามโมง ท่านไล่ทุกคนให้หลีกไป แล้วไปนั่งพักที่ริมศาลาการเปรียญด้านติดกับแม่น้ำ อาตมาตามไปทวงประคำ ท่านล้วงพวงลูกประคำออกมา พลางกล่าวว่า “นี่เป็นของโบราณ ฉันทำด้วยมือของฉันเอง ฉันจะให้เม็ดที่ ๑๐๙ แก่เธอ...”

    ท่านดึงลูกประคำเม็ดที่ ๑๐๙ ออกจากสายแต่ดึงไม่ออก นายตี๋แว่น (ปัจจุบันนี้ท่านคือ พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) ใช้กรรไกรตัดฉับเข้าให้ ลูกประคำทั้งสายเลยขาดกระจาย หล่นลงเกลื่อนพื้น ผู้คนกรูกันเข้ามาเก็บ ธรรมนูญร้องห้าม แต่ท่านบอกว่า... “ช่างเขาเถอะ...ใครมีบุญเขาก็ได้ไปเอง...”

    ไม่น่าเชื่อที่ลูกประคำมากมายปานนั้น มีน้องเป้ (รังสิมะ แสงหิรัญ) เก็บได้ ๒ เม็ด หลวงพี่ชัยวัฒน์ (พระชัยวัฒน์ อชิโต) เก็บได้ ๑ เม็ด นอกนั้นอันตรธานไปไหนหมดก็ไม่รู้...!

    พอส่งเม็ดประคำให้อาตมาแล้ว ท่านก็ออกเดินตรงไปยังโบสถ์ใหม่ อิริยาบถการเดินดูแผ่วพริ้วนุ่มนวล เหมือนกับท่านลอยไปอย่างนั้นแหละ ผู้คนปูผ้าให้ท่านเหยียบเป็นทาง บางคนหาผ้าไม่ทัน ถึงกับถอดเสื้อลงปูให้ท่านก็มี...!

    ท่านไหว้พระประธานที่หน้าโบสถ์ แล้วหันหน้าไปทั้งสี่ทิศ ยืนสงบนิ่งอยู่ทิศละอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันมาถามอาตมาว่า “เธอรู้ไหม ฉันทำอย่างนี้เพื่ออะไร...?” “ขอความกรุณาอธิบายเพื่อความกระจ่างด้วยครับ...”

    ท่านตอบว่า... “ฉันทำอย่างนี้เพราะปรารถนาให้สัตว์โลกในทิศทั้งสี่ มีความสุขเสมอหน้ากัน” อาตมาถามว่า “ทิศสุดท้ายหมายถึงองค์หลวงปู่ใช่ไหมครับ...?” ทิศเหนือคือทิศอุดร อาตมาหมายความว่า ท่านคือหลวงปู่ใหญ่โลกอุดร ท่านตอบว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว...”

    อาจารย์ประเสริฐ เกษตรเอี่ยม ขออนุญาตไปส่งท่าน ท่านถามว่า “เธอแน่ใจแล้วหรือว่า จะไปส่งฉันได้ตลอด...?” “ผมส่งหลวงปู่ยันนิพพานเลยครับ...!” ตอบได้เด็ดขาดมาก น่าเสียดายที่ไปแค่กลางทาง ท่านก็เล่นกลหายไปต่อหน้าต่อตาซะอย่างนั้นแหละ...!

    "หลวงพ่อ" เมตตาให้ความกระจ่างว่า “ฉันยืนยันองค์เดียวนะ องค์ที่ใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ คือพระองค์ที่ ๑๐ องค์อื่นฉันไม่รับรอง” อาตมาเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ตอนนี้เอง แต่ท่านไปถึงฟากฟ้าป่าหิมพานต์ไหนแล้วก็ไม่รู้...? อีกนานไหมหนอ...กว่าจะได้พบท่านอีก...!?

    ภายหลัง "หลวงพ่อ" ได้สร้างศาลาประดิษฐานรูปปั้นของท่าน ไว้ที่โคนโพธิ์ริมน้ำเพื่อให้ญาติโยมได้กราบไหว้บูชา เท่านั้นยังไม่พอ ยังสร้างมณฑปแก้ว เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของท่าน และพระองค์ที่ ๑๑ อีกหลังหนึ่ง งานหล่อรูปของท่าน ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน บริจาคทองคำช่วยหล่อรูปของท่านได้ถึง ๒๒ กิโลกรัม...!

    ผ้าพิมพ์รอยเท้าของท่าน อาตมามอบให้น้องแสงชัย (แสงชัย เพชรชื่นสกุล) ไปบูชาเมื่อคราวเดินทางไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ส่วนลูกประคำนั้น อาตมามอบให้กับ ติ๋ว (ปัจจุบันคือ น.ต.หญิง อิศรา กิติธีระกุล) เป็นของขวัญแก่ลูกในท้องของเธอ...

    หลังจากนั้นไม่นาน เถ้าแก่สุวิทย์ (คุณสุวิทย์ สวรรค์กสิกร) ไปพบพระองค์หนึ่ง ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายพระองค์ที่ ๑๐ มาก พระองค์นั้นท่านก็รับสมอ้างด้วย "หลวงพ่อ" ท่านบอกว่าไม่ใช่ แต่อาตมาชอบพิสูจน์ทราบ จึงเดินทางไปดูด้วยตาตนเอง... เห็นปุ๊บก็รู้ว่าไม่ใช่ เพราะว่าลีลาไปกันคนละโลกเลย

    แต่การพิสูจน์ครั้งนั้น เป็นเหตุให้อาตมาถูกเข้าใจผิด หาว่าสมรู้ร่วมคิดกับพระองค์นั้น หลอกเอาทรัพย์สินเงินทองจากลูกศิษย์ "หลวงพ่อ" ทั้งที่พวกเขาไปทำบุญกันเอง อาตมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่นิดเดียว...!

    สู้ทนให้เขาเข้าใจผิดไป เพราะจำลีลา "หลวงพ่อ" ได้ “ใครว่าร้ายท่านไม่เคยโต้ตอบ ไม่แก้ข่าว ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” ในที่สุด บรรดาผู้ที่ด่วนลงความเห็น ต่างพากันยิ้มแหย ๆ เวลาเห็นหน้าอาตมา แต่ยังไว้ท่า จะขอโทษสักคำก็ไม่มี นี่แหละมนุษย์...!

    ลูกกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดช่วยสงเคราะห์ให้ทุกท่านที่ได้พบกับพระองค์ที่ ๑๐ ก็ดี หรืออ่านพบและเลื่อมใสในองค์ท่านก็ดี จงเป็นผู้มีจิตอันเข้าถึงธรรมโดยถ้วนหน้ากัน ธรรมอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรรลุแล้ว ขอทุกท่านจงเป็นผู้มีส่วนเห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เทอญ...

    องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
    ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว
    หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
    ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร
    องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
    โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
    ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานติ์
    ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย....ฯ

    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ พุทฺโธ เม สรณํ วรํ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ ธมฺโม เม สรณํ วรํ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สงฺโฆ เม สรณํ วรํ
    เอเตน สจฺจ วชฺเชน โหตุ เม ชยมงฺคลํ...ฯ

    ๖ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    บันทึกเพิ่มเติม :
    ภายหลังพระรูปที่รับสมอ้างว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๐ ไปสร้างวัดอ้อน้อยธรรมอิสระ ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แล้วหลวงพี่ชัยวัฒน์ยังไปรับรองกับบรรดาลูกศิษย์ "หลวงพ่อ" ว่า “องค์นั้นแหละ พระองค์ที่ ๑๐...”

    เมื่อเป็นดังนั้นจึงมีลูกศิษย์ลูกหาของ "หลวงพ่อ" จำนวนมากแห่กันไปหา ท่านเองก็พลอยรับสมอ้างกันใหญ่โต จนท้ายสุดท่านสะดุดคำพูดตัวเอง เลยต้องลาสิกขาบท แล้วบวชใหม่เพื่อให้พ้นจากข้อหาโกงพรรษา ปัจจุบันนี้ท่านมีชื่อเสียงมากทีเดียว แต่ผู้ที่ไปหาต้องทำใจกับจริยาบางอย่างที่เป็นเฉพาะตัวของท่าน ถ้าคิดจะหาประสบการณ์ก็ทดลองไปดูได้

    ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙
    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...