ประสบการณ์ไสยเวทย์เมตตาเปิดโลก

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย เมตตาเปิดโลก, 13 พฤษภาคม 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    เรื่องเล่าเล่นๆๆตอน 40
    เพิ่งเห็นจำนวนตอน เล่ามาจะตอนที่ 40 แล้ว
    ก็ดีใจที่ยังมีคนติดตามอ่านเรื่อยๆๆ เป็นประสบการณ์
    ในชีวิตของผมที่พบเจอจริง อยากแบ่งปันให้ทุกคนได้
    สัมผัส บางเรื่องอาจเหลือเชื่อหรือเหมือนเรื่องบังเอิญ
    ก็แล้วแต่การพิจารณาของแต่ละบุคคล ไม่สามารถบังคับ
    ได้ แต่ถ้าดูแล้วมันไม่น่าใช่เรื่องจริง ก็ไม่ควรเสียเวลามา
    ติดตาม ควรไปติดตามพวกขายเครื่องรางที่อวดอ้างสรรพ
    คุณต่างๆๆดูแล้วจะมีค่าและน่าเชื่อถือกว่า ก็ว่ากันไป
    วันนี้มาเล่าเรื่อง
    โอปาติกะที่ติดมาในของอาถรรพณ์ต่างๆๆ ที่เกิดตามธรรม
    ชาติ เช่นในแร่เหล็กไหล อย่าไปนึกคิดว่าสิ่งนี้จะมีคุณ
    พวกนี้บางทีก็ต้องมีกรรม โดนลงโทษมาอยู่ในแร่นี้จน
    กว่าจะหมดวาระกรรม คนเราเห็นเป็นของวิเศษ เอามา
    สะสมเหมือนชวนคนเข้าบ้าน แต่ไม่รู้นิสัยของเค้า ยิ่ง
    สะสมเยอะๆๆ เรายิ่งไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ชีวิตของเรา
    บางทีก็ถูกพวกนี้กระทำ กลั่นแกล้ง พวกนี้ยิ่งเราเซ่น
    ถวายของ ยิ่งได้ใจ วันหนึ่งถ้าเราไม่สามารถเซ่นถวายได้
    วันนั้นแหละจะมาแกล้งเราทันที เฉกเช่นผมสมัยก่อน
    สะสมของพวกนี้ บางทีก็ไม่ได้ไปเอาเอง ดูตามอิน
    เตอร์เนต เหล็กไหลส่วนมากที่เอามาขายจะเป็นขี้
    ของมัน ตัวมันไม่อยู่แล้ว พวกนี้จะไปเอาตามผนังถ้ำ
    ใช้อุปกรณ์ไปตัดเจาะมาแล้วเอามาขาย แต่ไม่ใช่ว่า
    จะมีโอปาติกะอยู่ทุกก้อน เพราะบางก้อน ก้อนใหญ่
    แต่เอามาทุบออกให้เล็กลง เพื่อจะขายได้
    หลายก้อน บางทีก็เอาไปตัดแต่งให้เหมือนรูปนั่นนี่
    แล้วบอกว่าเกิดเองตามธรรมชาติ ผมสะสมหลาย
    ก้อนเลย ทั้งเหล็กไหล7 สี เหล็กไหลตาแรด
    เหล็กไหลขาว แก้วพญานาค มีอยู่ก้อนนึง
    ส่งมาทางไปรษณีย์ วันที่ไปรับที่ ปณ. งูเลี้อย
    ตัดหน้ารถ เราก็ไม่ได้คิดอะไร ตอนรับกลับมา
    แล้วจะขับกลับบ้าน งูเลื้อยมาตัดหน้ารถอีกแล้ว
    นี่ขับบนถนนนะ ไม่ได้เข้าสวนหรือเข้าป่า แค่
    แปลกใจเท่านั้น เวลาบูชาต้องใช้น้ำผึ้ง แต่ต้อง
    ระวังมดหน่อยเผลอไม่ได้มาขึ้นทุกที แล้วต้อง
    บูชาด้วยไฟด้วย เหล็กไหลเป็นแร่ของกายสิทธิ์
    ตอนไปตัดเหล็กไหลต้องเอาไฟลน แล้วมันจะ
    ยาวย้อยมาเล่นไฟ วันนั้นผมจุดไฟบนเตาน้ำมันหอม
    ระเหยหันมาอีกทีอ้าวไฟกินน้ำมันแล้วลุกท่วมเลย
    มันเป็นไปได้ไงไฟลุกเลย เอาล่ะสิวางบนตู้ไม้อัด
    กระดาษด้วย ด้วยความตกใจเอาขันน้ำสาดโครม
    ไฟเมื่อโดนน้ำยิ่งโหมแรงกว่าเก่า แต่ดับ
    ดีไม่ติดตู้ ติดกระดาษแถวนั้น จุดตั้งหลายครั้งแต่ครั้งนี้
    ดันติดไฟ ผ่านไปไม่นาน แม่ยายมาจาก ตจว. มา
    เยี่ยม ด้วยที่คนตจว.ไม่พกกระเป๋าเงิน แกพาเงิน
    มาด้วยกลัวจะหล่นหายเลยให้แฟนเอามาฝากผม
    ผมนอนที่ห้องนอนอยู่เลยรับเงินมานับได้หมื่นนึง
    แล้วก็วางไว้ที่หัวเตียงนอน เวลาผ่านไป
    1 สัปดาห์ แม่ยายจะกลับบ้านเลยบอกให้แฟนมาเอา
    เงินที่ฝากไว้ ผมก็เลยหาที่หัวเตียงนอน อ้าวไม่มี
    เงิน แฟนคงไม่ได้เอาไป เพราะถ้าเอาไปคงไม่มา
    ทวงเงินจากผม ผมก็พยายามหาเงิน และคิดไป
    ด้วยว่า ผมเอาไปไว้ที่ไหน ผมจำได้ว่า วางไว้ที่
    หัวเตียงนอน ไม่ได้เอาไปที่ไหนเลย
    จนช่วงค่ำแฟนมาทวงอีกครั้ง ผมก็บอกเช่นเดิม ขอแรง
    แฟนช่วยหาอีกที คราวนี้ หารื้อหมดทั่วหัวเตียงนอน ที่
    นอน หมอน ผ้าห่มยกออกมาดูหมด แม้แต่ด้านในปลอก
    หมอนก็ค้น ไม่พบเลย ก็ไม่ทราบหายไปได้อย่างไร คิดเอา
    ว่าพรุ่งนี้ค่อยไปเบิกเงินให้แม่ยายแล้วกัน เราอาจเอาเงิน
    ไปแล้วก็ได้ แต่จริงๆๆผมก็จำได้ว่าไม่ได้เอาไปไหนเลย
    จนตอนเช้าผมตื่นขึ้นมาลุกไปอาบน้ำ กลับมาแต่งตัวจะไป
    ทำงาน มาเอากระเป๋าเงินที่หัวเตียง ผมเจอเงินปึกหนึ่งวาง
    บนที่นอน และตำแหน่งที่วางคือที่กลางหลังของผม
    ที่นอนทับ ผมคิดว่าอ้าวมาอยู่ที่นี่ได้ไง หรือว่าแฟน
    ไปเจอแล้วมาโยนให้ผมบนที่นอน ผมเอาเงินมาคลี่ดู
    ใช่เลยเงินจำนวนนี้คือเงินของแม่ยาย ที่จำได้คือ
    ไม่ได้มีแบงค์พันล้วน จะมี ห้าร้อย1 ใบและแบงค์ร้อย
    4 ใบแบงค์ห้าสิบ 2 ใบ ผมเอาเงินไปคืนแม่ยายพร้อม
    ทั้งบอกด้วยว่าสงสัยแฟนไปพบเจอ แล้วเอา
    มาโยนให้ผมบนที่นอน ผมก็ต่อว่าแฟนว่า ทำไมเงิน
    ตั้งเยอะเจอแล้วไม่วางเก็บให้ดี มาโยนตรงที่ผม
    นอนทับ แม่ยายผมแกก็โทรไปว่าแฟนผม แฟน
    ผมบอกว่าไม่รู้เรื่องเลย เจอเงินแล้วหรอ อ้าวแล้ว
    ใครเอาไว้บนที่นอน จะว่ามันอยู่บนที่นอนก็ไม่ใช่
    เพราะเมื่อคืนรื้อหมดทั้งผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน
    ปลอกหมอน ก็ยังไม่เจอ เล่นผมซะแล้ว ดีนะไม่
    ทะเลาะกัน แหมมีการเอาเงินผมไปซ่อนด้วย
    เออถ้าเอาเงินคนอื่นมาให้นี่จะไม่ว่าเลย 5555
    หลังจากวันนั้นผมเอาเหล็กไหลทั้งหมด
    โยนลงบ่อน้ำข้างบ้าน ให้ไปอยู่นอกบ้านซะ
    อยู่ในบ้านแล้ววุ่นวาย ผ่านไปหนึ่งเดือนมีการหล่อ
    พระพุทธรูป ผมเลยมีโอกาสได้เอาของพวกนี้
    ไปฝังใต้ฐานพระ จะได้ไปอยู่ที่ที่เค้า
    ได้บุญมากขึ้น ใครที่มีของพวกนี้ก็ระวังไว้ด้วยครับ เรา
    ไม่เห็นเค้า แต่เค้าสามารถเห็นเราได้ มันแสบจริงๆๆ
    วันนี้ก็ขอจบเท่านี้ โอกาสหน้าจะมาเล่าให้ฟังใหม่ครับ
     
  2. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    เรื่องเล่าเล่นๆๆตอน 41
    เมื่อวันก่อนเจอประสบการณ์คาถาเงินล้านของ
    หลวงพ่อปานในยูทูป เลยเอามาลงให้ได้ฟังกัน หลาย
    ท่านอาจสงสัยว่าที่เล่ามามันจริงหรือไม่ หรือเค้าอาจจะ
    ทำได้จริง แต่คงไม่ใช่ทุกคน ก็เลยเป็นที่มาของเรื่อง
    เล่าในวันนี้ผมก็ไม่ต่างจากทุกคนหรอกครับ ที่สงสัย
    ว่าเราภาวนาแล้วจะได้เงินจริงไหม เค้าภาวนาทุกวัน
    วันละหลายสิบจบ แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนไปทำ
    ในเมื่อเราต้องดำเนินชีวิตทำงาน และต้องติดต่อ
    พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือติดต่อธุรกิจ เป็นเรื่องที่
    น่าคิด ประสบการณ์ของผมคงไม่เหมือนของเค้าที่
    เล่ามาเพราะผมไม่ได้ภาวนาทั้งวัน ผมเป็นคน
    อยากรู้ อยากลอง มัวแต่สงสัยก็ไม่พบคำตอบเสียที
    ต้องลงมือทำครับ แต่วิธีการการทำก็แล้วแต่ละคนจะ
    ค้นหากันไปว่าทำแบบไหน ถนัดยังไงก็ทำแบบนั้น
    เอาให้เหมาะสมกับตัวเรา พระท่านยังบอกว่าให้ว่า
    คาถา 9 จบแล้วใส่บาตรหรือตอนเอาเงินใส่ตู้ ก็ได้
    เหมือนกัน หรือจะภาวนาในใจทั้งวัน หรือกราบพระ
    แล้วท่อง 9 จบก็ได้ อธิบายยืดยาวแต่ผมไม่ได้ทำ
    แบบนั้น เพราะเราขอบทางสมาธิ ก็ใช้กำลังสมาธิ
    เอา ก็ลองดูว่าได้ผลเป็นยังไง ได้หรือไม่ได้ว่ากัน
    ไปเลย ก่อนทำก็บูชาและอาราธนาพระรัตนตรัย
    เสียก่อน จากนั้นให้ตั้งจิตอธิษฐานเอาว่า ข้าพเจ้า
    จะลองภาวนาคาถาเงินล้าน ของหลวงพ่อปาน
    ไม่ใช่เพื่อลองแต่อยากรู้ อยากทราบว่าได้ผลทาง
    โชคลาภจริงไหม จากนั้นก็วางจิตเข้าสมาธิ
    ไม่คิดอยากหรือสงสัย นั่งสมาธิ ภาวนาคาถาเงิน
    ล้านไปเรื่อยๆๆ วนไปไม่รู้กี่จบต่อกี่จบ จนครบ
    ชั่วโมงหรือรู้สึกปวดเมื่อยมากแล้ว ก็ออกจาก
    สมาธิ อย่าฝืนทนภาวนาต่อไปเพราะความเจ็บ
    ทำให้เราไม่เป็นสมาธิ เราไม่ได้ทำวิปัสสนา
    ดูความเจ็บปวด เราต้องการกำลังของจิตไปภาวนา
    คาถา หลังจากออกสมาธิแล้วก็คิด เอ้าออกมาแล้ว
    เงินจะมาทางไหนล่ะ มาอย่างไร นั่งคิดๆๆ มันไม่มี
    ทางรู้หรอกหรืออาจจะไม่ได้ผลก็เป็นได้ อย่าไปใส่
    ใจเลย ผมนั่งสมาธิบนเตียงเพราะมันนุ่มดี ตอนนั้น
    เผอิญผมมองไปที่หัวเตียงเจอกล่องใส่เศษกระดาษ
    วางไว้นานแล้ว ข้างในเป็นพวกสลิปธนาคาร
    เวลาเราฝากเงิน และพวกบิลค่าไฟ ค่าน้ำ ผมก็เห็น
    ว่ามันเป็นพวกเศษกระดาษที่เราไม่จำเป็นต้องเก็บ
    ไว้แล้ว มาตั้งไว้ให้ฝุ่นจับ เกะกะเปล่าๆๆ นั่น ทั้งๆ
    ที่มันตั้งมาสองปีแล้ว ย้ำว่า 2 ปีที่ผมไม่เคยสนใจมัน
    แต่วันนี้ผมจะเอามันไปทิ้งแล้ว เพื่อความสะอาดของ
    หัวเตียง ว่าแล้วก็หยิบไปจะทิ้งลงถังขยะ แต่เดี๋ยวก่อน
    มันมีอะไรข้างใน เผื่อมันจะสำคัญ ลองคลี่ดู
    มือล้วงๆๆออกมาเทบนพื้น แล้วววววววววววววววว
    ผมก็เจอ มันเป็นไปได้ไง ผมเจอเช็คธนาคารที่ลูกค้า
    จ่ายค่าสินค้ามาให้ผมเมื่อ เกือบ 2 ปีก่อน เป็น
    มูลค่า 5000 บาท ผมนั่งนึกลำดับความว่ามาอยู่ในนี้
    ได้อย่างไร ใช่แล้วผมนำมาใส่ในนี้ตอนนั้นเพราะจะ
    เอาไปเข้าธนาคารแต่ผมลืม หลังจากนั้นก็เอา
    เศษสลิป ค่าไฟ ค่าน้ำ มายัดรวมกันไปจนเป็นขยะ
    แล้วผมจะทำอย่างไรได้บ้างกับเช็คมูลค่า5000 บาทนี้
    ในเมื่อมันผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้ว อายุเช็คมันแค 1 ปี
    เท่านั้น ผมลองโทรไปที่ฝ่ายบัญชีบริษัทนั้นเพื่อ
    อธิบายและชี้แจงว่าผมยังไม่ได้ขึ้นเงิน ยังมีเช็คอยู่
    และผมก็มีหลักฐานใบซื้อที่ทางบริษัทสั่งซื้อมา
    ข้อมูลทุกอย่างครบถ้วนว่าผมไม่ได้โกง หรือ
    โมเมมาเอาเงิน ฝ่ายบัญชีตรวจสอบแล้วก็จ่ายเงินสด
    ให้ผมทันทีที่พบว่าทางบัญชีไม่ได้โดนหักเงินขากเช็ค
    ใบนี้ ไม่น่าเชื่อครับว่าคาถาเงินล้านจะทำให้ผมได้
    เงินจริงๆๆ แต่ก็เป็นไปแล้วหลายท่านคงสงสัยว่า
    อย่างนี้ผมก็ทำทุกวันสิจะได้รวย มีเงินเข้าตลอด
    ไม่ล่ะครับการนั่งภาวนาคาถานี่ ไม่ใช่หลับตาแล้ว
    ท่องไป คุณต้องทำสมาธิไปด้วย ไม่ให้ใจวอกแวก
    มันยากนะครับ ผมแค่ลองว่าใช้ได้ผลหรือเปล่าเท่านั้น
    พอรู้แล้วก็จบครับเวลาที่คุณทำอะไรยากๆๆ ถ้าไม่
    จำเป็นคุณก็ไม่อยากทำต่อใช่ไหม นั่นก็เหมือนกัน
    บางคนอาจจะคิดว่าการปลุกเสก คือการนั่งท่องมนต์
    คาถาไปเรื่อยๆๆ อันนั้นยังไม่เข้าถึงจิต ถึงกำลังสมาธิ
    มันก็เหมือนเราท่องสูตรคูณ อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ
    วัตถุมงคลจะใช้ได้อย่างไร เรื่องประสบการณ์ทางจิต
    ผมก็มีคราวหน้าจะเล่าให้ฟังกัน เผื่อใครจะพบเจอ
    แบบเดียวกันหรือเอาไปทดลอง ฝึกฝนกัน ไม่มีใคร
    สามารถปิดกั้นคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง ทุกคนทำ
    ได้แต่ต้องทำให้ถูกวิธีการแล้วคุณจะทำได้และ
    ไม่อยากทำอีกเพราะมันยากเหลือเกิน5555
    แต่ถ้าคุณไม่เบื่อก็ฝึกฝนให้ชำนาญก็ได้ แต่ร้อยทั้ง
    ร้อยมันมีเล่ห์กลของจิตซ่อนอยู่ด้วยความอยาก
    ความอยากนี่แหละที่จะปิดกั้นตัวคุณ ทำไปจะเข้าใจ
    ว่าการทำครั้งแรกว่ายากแล้วครั้งที่สองยากยิ่งกว่า
    เพราะคนที่คิดจะเอาดีทางนี้ต้องทิ้งทางโลกหรือ
    ทิ้งสิ่งที่คุณมี ทิ้งโลกียะแล้วคุณจะได้
    สิ่งที่คุณไม่เคยพบเจอมาก่อน ที่เค้าว่ากัน
    สูงสุดสู่สามัญนั่นแหละครับ เรื่องพวกนี้เป็นปัจจัตตัง
    รู้ได้เฉพาะตน พูดไปคนก็ว่าโกหกพกลม แต่ผม
    ไม่รู้จะโกหกเพื่ออะไรผมไม่ได้เน้นขายเครื่องราง
    หรือต้องการเงิน หรือให้ใครมานับถือ กราบไหว้
    ก็เล่าประสบการณ์ที่ผมเจอก็เท่านั้น ให้ทุกคน
    ได้ทราบว่า อย่าคิดว่ามันไม่มีจริง และสิ่งพวกนี้
    ก็อย่าไปงมงาย หลงเชื่อจนลืมใช้สติปัญญา
    มันมีทั้งจริงทั้งหลอกลวงเยอะแยะ ขอจบเพียงเท่านี้
     
  3. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    เรื่องเล่าเล่นๆๆตอน 42
    ตอนนี้ว่างเลยว่าจะเล่าซักเล็กน้อยพอแก้เหงา
    เดี๋ยวความทรงจำที่ประสบเจอมามันจะเสียเปล่า พวก
    พรายที่แรงๆๆจะสามารถเข้าฝันเราได้ ถ้าเค้าได้รับ
    บุญกุศลไปบ่อยๆจะแรงขึ้น แต่ด้วยความแรงของเค้า
    จะสามารถมาเข้าฝันได้ แต่ไม่สามารถปรากฎตัวให้
    เห็นได้เพราะการปรากฎตัวให้เห็นต้องใช้พลังงาน
    สูงมาก ระดับพรายไม่สามารถทำได้ แต่คนที่เห็น
    นั้นจะมีสองสถานะ คือดวงตกและอยู๋ในสภาวะกึ่ง
    หลับกึ่งตื่น หรือในช่วงอยู๋ในภวังค์ มันไม่ใช่หนัง
    ผีที่เราดู เห็นออกมายืน มาไล่บีบคอแบบนั้น มัน
    ไม่มีหรอกครับ พูดถึงพราย เคยมีคราวหนึ่งช่วง
    เล่นสายพรายจัดๆ ได้เช่าขุนแผนเลี่ยมน้ำมันมา
    จากสำนักหนึ่ง นานมากแล้ว ปรากฎว่าเวลาสวม
    ใส่แรกๆก็ไม่มีอะไร ประสบการณ์ก็ไม่มี แต่เรา
    เป็นคนชอบทำบุญ ผ่านไปเดือนนึง ได้มา ตจว.
    พกมาด้วย เลยเอาไว้ข้างหัวนอน ธรรมดาอยู่ที่
    บ้านจะวางไว้ที่ลิ้นชักในโต๊ะ คาดว่าเพราะเรา
    เอามาวางไว้ใกล้ตัวเราและอยู่นอกสถานที่
    ไม่ใช่ที่บ้านเรา เจอประสบการณ์นอนฝันไปว่า
    มีสาวใส่ชุดนักเรียนม.ปลายมาคุยและให้ท่าเรา
    ตอนนั้นเราก็คิดว่าท่าทางจะง่าย กำลังคิดจะทำ
    มิดีมิร้ายน้องเค้า แต่พลันในใจก็คิดว่า เราก็
    มีครอบครัวแล้ว ทำอย่างนี้มันไม่ดี จะผิดศีลและ
    จะมีเรื่องเดือดร้อนตามมาทีหลังแน่แบบนี้ พอ
    คิดได้ก็หยุด ไม่ทำอะไร ซักพักภาพมันก็หายไป
    เรากลับรู้สึกตัว เราก็เอ๊ะ เราฝันไปนี่นา ก็นอน
    ต่อไม่มีอะไร ปรากฎว่าวันต่อมาก็ฝันทำนองนี้
    3 วันติด แต่แค่ผู้หญิงที่มาหน้าตาไม่เหมือนกัน
    แต่อายุไล่เลี่ยกัน แต่ก็ไม่ได้เสพกามในฝันสักครั้ง
    เพราะเรามีสติ รู้จักยับยั้ง สรุปพรายมันไม่ได้เราไป
    เรื่องเสน่ห์นั้นก็มีแต่เห็นชัดสุดตอนที่ไปบ้านน้าสาว
    เค้ามีลูกสาวอายุประมาณ ป.4 เข้ามานั่งข้างๆแล้วมา
    กอดมาหอมที่พุงหรือท้อง จนแม่เค้าดุว่าทำไมทำแบบนี้
    เด็กตอบว่าก็หนูชอบ แต่ก็หยุดเพราะโดนดุไปว่าทำตัว
    ไม่เหมาะสม ผมก็งงว่าไปทุกทีก็เฉย วันนี้มาแปลก น่า
    จะโดนพรายดึงจิต อย่าถามนะครับว่าผมยังมีอยู่ไหม
    ได้ถูกเปลื่ยนมือไปเรียบร้อยเพราะผมเป็นคนชอบลอง
    ชอบทดสอบ พอรู้แล้วก็เลิก ไม่พกนานหรือเก็บเอาไว้
    ตั้งแต่ใช้พรายมาไม่เคยเจอแบบนี้เลย น้ำมันที่เลี่ยมเป็น
    น้ำมันพรายเด็กสาวอายุ 18 ตายเพราะจมน้ำครับ มิน่า
    เลยมีสาวอายุประมาณนี้มาเข้าฝัน อีกเรื่องเป็นงั่ง ช่วง
    นั้นบ้างั่งเขมร แต่หายังไงก็ไม่มี มีแต่งั่งของไทยนี่แหละ
    งั่งนี่กับชาวอีสานเหมือนเครื่องรางประจำตัวชายชาตรี
    จะพบเจอพกเยอะมาก ขนาดคนแก่ยังพกงั่ง คิดเอาว่า
    เค้าชอบมากกันขนาดไหน ตอนนั้นมีงั่งของเกจิท่าน
    หนึ่งมีปะสบการณ์สูงแต่หมดจากตลาดเพราะคนนิยม
    แห่กันเช่า ราคาเปลื่ยนมือก็เริ่มสูงไปเรื่อยๆๆ ไม่เป็นไร
    เรารอรุ่นต่อไปก็ได้ เดี๋ยวน่าจะทำออกมาขายเพราะ
    ตลาดกำลังต้องการ และจริงๆไม่นานก็ออกรุ่นต่อมา
    ผมได้รีบไปเช่ามาทดลองใช้ รุ่นนี้คนไม่นิยมเพราะ
    ทำมาไม่เหมือนงั่งทัวไป เป็นงั่งยอดธง พิมพ์นี้คนไม่
    นิยมและเวลาพก มันพกลำบากเพราะไอ้ตรงยอดธง
    นี่แหละมันชอบทิ่มแทง ต้องเสียเวลาจัดระเบียบบ่อยๆๆ
    ให้เข้าที่ เมื่อได้มาก็ต้องเอาเชือกมาถักรัดเพราะไม่มี
    หูร้อย ก็น่าจะไม่มีคนชอบเพราะลำบากหลายอย่าง
    ได้มาก็ศึกษามีทั้งเซ่นเหล้าขาว ไข่แดง สารพัด มีพิสดาร
    หน่อยเอาวิธีงั่งเขมรมาใช้ ใส่ห่อผ้าประจำเดือนมั่ง แต่วิธี
    นี้ผมไม่ได้ทำเพราะมันดูจะสกปรกเกินไป ผมทำแค่ฉี่ใส่
    55555 มีคนเคยกล่าวว่างั่งชอบสกปรกและของสกปรก มี
    การห่อด้วยประจำเดือนผู้หญิงและฉี่ใส่ด้วย ผมเลยทำตาม
    มั่งฉี่ใส่เลย แล้วก็ได้เรื่องครับ ไม่ใช่แรงอะไร สังคังกินครับ
    โตป่านนี้ น้ำก็อาบทุกวัน สังคังกินครับ หายามาทาแสบ
    แล้วแสบอีกก็ไม่หาย ไม่ใช่ผมคนเดียวที่เป็น มีคนทำแบบ
    ผมด้วยและก็สังคังกินเหมือนกัน ต้องขอขมาถึงหาย
    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เค้าคุยกันสำหรับคนที่มีงั่งรุ่นนี้ว่า
    งั่งรุ่นนี้มันเป็นเทวดาระดับล่างชั้นจาตุมฯบ้ากาม
    เราไปฉี่ใส่ไม่ได้ถือว่าไปลบหลู่เค้า หลายท่านคงสงสัย
    ในใจว่าอย่างนี้ก็แรงสิ แรงครับใส่แล้วไม่ใช่หญิงสาวมา
    หลงรักขอหลับนอนแบบใครๆคิด แต่เราจะบ้ากาม
    ยิ่งใส่นานหน้าจะดำ บ้ากาม ต้องไปตีหม้อทุกวันเลย
    เอากะมันสิ เสร็จกิจนึกว่าจะจบ มันอยากอีก
    มันอยากได้ตลอด ตอนร่วมหลับนอนต้องร้อยเชือก
    ใส่เอวด้วย ห้ามถอด แต่มีประสบการณ์
    ที่มันดีอย่างหนึ่งคือ ผู้หญิงขายบริการที่เรานอนด้วย
    จะพึงพอใจและติดใจในรสกามของเรา เสร็จกิจไปกับ
    เราด้วย และถึงขนาดขอเราเป็นผัว ติดใจอะไรขนาดนั้น
    ดูความแรงของมัน เรื่องเสพกามก็ไม่ได้พิสดารอะไร
    ปกติ แต่ด้วยงั่งมันแฝงและเสพกามไปด้วย ทำให้สาว
    ที่โดนเสพนั้นมีอารมณ์และติดใจในรสกาม แต่แล้ว
    ผมก็ต้องมีอันที่จะให้มันจากไป เพราะแฟนผมมาเล่า
    ให้ฟังว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งในฝันพาไปเที่ยว
    แล้วมาจีบขอเป็นแฟน ซึ่งแฟนผมก็บ่ายเบี่ยงเพราะ
    เหตุผลคือมีครอบครัวแล้ว ผมก็ได้แต่ฟังไปงั้นๆๆ
    จนวันต่อมาแฟนก็มาเล่าอีกว่าพักนี้ทำไมชอบฝันว่า
    มีหนุ่มๆพาไปเที่ยวแล้วก็มาจีบ 3 คืนติด อีกแล้ว
    สงสัยจะเอามันไว้ไม่ได้แล้ว ผมเลยมีอันต้อง
    เอามันไปให้เพื่อนคนหนึ่งที่ชอบเรื่องแบบนี้
    พอผ่านไปเดือนกว่าลองไปถามดู ปรากฎว่าเค้า
    แกล้งบอกว่าให้คนอื่นไปแล้ว คงกลัวผมทวงคืน
    วันนี้เล่าไปเล่ามาเพลินซะยาวเลย ไว้คราวหน้า
    จะมาเล่าให้ฟังใหม่
     
  4. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    เรื่องเล่าเล่นๆๆตอน 43
    ห่างหายไปหลายวันที่ไม่ได้เล่า ติดภารกิจหล่อ
    แบบบรมครูปู่เจ้าสมิงพราย ซึ่งก็ต้องทำหลายขั้นตอน
    วันนี้พอว่างจะมาเล่าพอนิดหน่อยก่อนนอนกัน คงเคย
    มีใครหลายคนได้ยินมาว่านั่งสมาธิแล้วเห็นนั่นเห็นนี่
    แม้ว่าหลับตาอยู่ ทั้งๆที่เราหลับตาก็มืดแล้วมีคนบอกว่า
    เห็นภาพนั้น เห็นแสงสว่างมั่ง มันจะเป็นไปได้อย่างไร
    ผมก็สงสัยไม่ต่างจากพวกท่านแหละ แต่ถ้าเราสงสัยมี
    ทางเดียวคือต้องพิสูจน์หรือทดลอง จะได้หายสงสัยว่า
    จริงไหม สมัยนั้นผมก็ไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน ได้แต่
    ทำตามหนังสือที่มีอาจารย์มาเล่าบอกให้ฟัง ลองทำ
    ตามไป สมาธินี่ก็เรื่องแปลก ต้องโง่ถึงได้ดี ทำไม
    หรอครับถึงบอกแบบนี้ เพราะถ้ามันโง่มันก็จะอยู่ใน
    องค์ภาวนา จิตใจไม่วอกแวกไปไหน ไม่มีความ
    สงสัย ไม่มีความอยากรูู้ มันเลยเกิดสมาธิ ถ้าคน
    ฉลาดว่าภาวนาไปสุดท้ายลมหาย ง้ั้นก็ลัดขั้นตอน
    ไปเลยไม่ต้องภาวนา จริงๆมันก็ทำได้แต่เราต้อง
    ชำนาญก่อน เรายังจดจำสภาวะไม่ได้ ก็เท่ากับ
    ไปกลั้นหายใจ อึดอัดเปล่าๆๆ ผมลองอธิษฐาน
    ดูว่าอยากจะรู้อยากจะทราบว่า ที่เค้าเห็นกันทั้งๆ
    ที่นั่งหลับตาจริงไหม ก็อาราธนาบารมีพระรัตนตรัย
    แล้วหลับตา ใช้คำภาวนา หายใจเข้า นะมะ หายใจ
    ออก พะทะ นั่งภาวนาพร้อมดูลมหายใจไป ไม่คิด
    อะไรทั้งนั้น ผ่านไป 5 นาที พอจิตมันเข้าสมาธิ
    มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกเหมือนคนจมน้ำ คำภาวนา
    หายไป หายใจไม่ออก ก็แว๊บคิดไปถึงสิ่งที่เคยอ่าน
    ว่าตอนนี้กำลังเข้าสมาธิ จะเป็นอาการแบบนี้ ต้อง
    ยอมตาย อย่าไปดึงคำมาภาวนา ไม่อย่างนั้นจะไป
    เริ่มใหม่ เลยตัดใจปล่อยมันไป หายใจไม่ออกจะตาย
    ก็ช่างมัน ไม่สนใจ ดูมันไปอย่างนั้น แป๊บเดียวเกิด
    นิมิตเป็นเหมือนรูแสงสว่างเป็นหลุมหมุนวน เห็น
    เหมือนตามองเห็น ดูดตัวเราเข้าไป กำลังจะค่อย
    เคลื่อนไป ตอนนี้ตัวเราไม่มีแล้ว เป็นเหมือนไม่มี
    ร่างกาย ถูกดูดเข้าไป ด้วยความที่ไม่เคยเจอแบบนี้
    มาก่อน จึงตกใจลืมตาขึ้นมา มานั่งเสียดายทำไม
    เราไม่ไปให้มันรู้ไปเลย หลังจากวันนั้นนั่งทีไรมัน
    ก็เกิดความอยากก็เลยไม่เจออีก เลยเลิกคิดที่จะพบ
    เจอเหตุการณ์แบบนี้ วันนี้เล่าเท่านี้ก่อน คราวหน้า
    จะมาเล่าเรื่องการพบเจอโดยบังเอิญ การใช้กระแส
    จิตกำหนดปลุกเสกวัตถุมงคลที่ทำได้ครั้งแรก หลายคน
    คงอยากทราบ อยากรู้ เพราะนี่คือเคล็ดลับที่อาจารย์หรือ
    เกจิจะไม่บอกใครง่ายๆๆ
     
  5. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    เรื่องเล่าเล่นๆๆตอน 44
    วันนี้เล่าช้านิดหนึ่ง เพราะต้องเรียบเรียง
    ลำดับความคิดในการเขียนออกมาเพื่อให้อ่านง่าย
    ตอนที่แล้วเล่าว่าจะมาบอกเคล็ดลับวิธีการในการ
    ใช้กระแสจิตปลุกเสกวัตถุต่างๆๆ วิธีนี้เป็นการใช้
    พลังงานของจิตแผ่ออกไปที่วัตถุที่เราจะทำการ
    ปลุกเสก ในสมัยหนึ่งผมได้เคยอ่านเรื่องราวของ
    พระได้กล่าวถึงเรื่องของการแผ่เมตตา ยิ่งเรามี
    ปัญหาโกรธเกลียดกับคนไหน ให้เราแผ่เมตตา
    ให้เค้า เราจะได้ไม่มีอะไรติดค้างและคนนั้นจะ
    ได้เบาบางเจือจางความเกลียดลง ผมมานั่งคิด
    ว่ามันจะทำได้ยังไง ในเมื่อเราก็มีอติกับเค้าใน
    ใจแล้ว แต่ทุกอย่างต้องมีการพิสูจน์ เพื่อหา
    คำตอบ เพราะมัวแต่สงสัยไม่ลงมือทำ มันก็
    เป็นแค่ความสงสัย เหมือนเราสงสัยว่า ใช้เครื่อง
    รางที่นั่นที่นี่จะดีไหม เราก็อาจไปถามคนอื่น
    แต่มันก็ไม่ช่วยให้คุณมั่นใจหรือพบคำตอบที่แท้จริง
    เท่ากับการลองด้วยตัวคุณเอง กลับเข้าเรื่องก่อน
    เดี๋ยวไปไกล ผมทำการอาราธนาพระรัตนตรัยก่อน
    อันดับแรก เราต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ก่อนการ
    จะทำสิ่งใด จากนั้นกำหนดจิตนึกถึงใบหน้าของ
    คนที่เราโกรธหรือเกลียด แล้วแผ่เมตตาออกไปให้
    เค้า ไม่ต้องกำหนดลมหายใจ ใช้ภาพใบหน้าของเค้า
    เป็นภาพกสิณ ตรงนี้อาจจะฝืนใจคุณเพราะเรามี
    อติกับเค้าอยู่แล้ว เราพยายามละลายทิฐิ และอัตตา
    ในตัวตนออกเสีย อย่าไปติดกับคำว่าถูกหรือผิด ให้
    คิดว่าสุดท้ายคนเราก็ต้องตาย จะไปยึดติดกับอารมณ์
    โกรธเกลียดทำไม ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน
    ก็ขอให้อโหสิกรรมกันไป จะได้ไม่จองเวรกันอีกต่อ
    ไป เราก็ตาย เค้าก็ตาย เกิดมามันน่าสงสารทั้งเรา
    และเค้าต้องมาเกลียดกันเพราะมีกรรมต่อกัน ผมคิด
    ไปตามนี้ จากเมตตามากๆๆจนเกิดคำว่าสงสารจับใจ
    อารมณ์สมาธิมันเข้าไปตอนไหนไม่ทราบ รู้สึกเกิด
    เป็นวงคลื่นเหมือนคลื่นน้ำออกจากร่างกาย มันเป็น
    ระลอกคลื่นออกไป เรารู้สึกได้ นี่เองที่เรียกว่ากระแส
    เมตตา เมื่อมันมากเข้าและจิตมีกำลัง มันก็จะแผ่ออกไป
    เองเหมือนน้ำที่มันล้นออกมา ผมขอเรียกมันว่า
    เมตตาญาณ แล้วกัน เมื่อผมรู้ได้ถึงพลังงานกระแสเมตตา
    ที่แผ่ออกไปเหมือนกันคลื่นน้ำ จึงมีความคิดว่าลองแผ่
    กระแสนี้คลุมบ้านที่ผมอาศํยอยู่สิ เมื่อกำหนดดังนั้นก็
    เกิดเป็นกระแสคลื่นปกคลุมบ้านของผม ผมรู็สึกเริ่มสนุก
    ไหนลองแผ่ไปยังบ้านของเพื่อนบ้านในซอยสิ มีกัน 8
    หลัง กระแสคลื่นก็แผ่ออกไปคลุมบ้านที่เราตั้งใจไว้ แหม
    ยิ่งสนุกคราวนี้ไหนลองแผ่คลุมไปทั้งหมู่บ้านเลยแล้วกัน
    สรุปคลื่นหายครับ 555 เกิดความอยากหลุดจากสมาธิ
    ทันที เวรกรรมกำลังจะสนุก นี่เป็นประสบการณ์ที่
    พบเจอโดยบังเอิญจากการทำสมาธิจิตเมตตา วิธีนี้เรา
    สามารถนำมาปลุกเสกเครื่องรางหรือพระเครื่องได้
    โดยการแผ่คลื่นเมตตาเข้าไปที่เครื่องรางหรือวัตถุ
    มงคล มันเป็นเรื่องของพลังงานของจิต วิธีนี้จะทำ
    ให้วัตถุหรือเครื่องรางเกิดผลหรือประสบการณ์ได้ไว
    เพราะเป็นการประจุพลังงานลงไปโดยตรง แต่วิธีนี้
    ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่เพราะถ้ากำลังจิตน้อยก็ทำ
    วัตถุได้น้อยชิ้น และต้องทำหลายครั้งเพื่อให้พลัง
    งานเต็ม สามารถเอาไว้ใช้เสกส่วนตัวได้ก่อนพก
    เครื่องรางติดตัว เมื่อฝึกบ่อยๆจะสามารถพลิกแพลงได้
    หลายแบบไม่ใช่กระแสเมตตาอย่างเดียว สามารถส่ง
    กระแสจิตไปให้คนที่เรารู้จักได้ด้วย หรือรับกระแสจิต
    จากคนที่เราต้องการ มันก็เป็นเหมือนของเล่นทางจิต
    ที่มันมีวันเสื่อมและหายไปได้ ดั่งเช่นที่ผมเล่ามา จิตที่
    บริสุทธิ์จะเป็นจิตที่มีพลังที่สุด ลองสวดมนต์ ถือศีล 5
    ทั้งทาง กาย วาจา ใจ ทุกวัน รับรองจะเห็นการเปลื่ยน
    แปลงของกระแสจิตไม่มากก็น้อย วันนี้ขอจบเพียง
    เท่านี้ครับ
     
  6. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    เรื่องเล่าเล่นๆๆตอน 45
    ว่าด้วยเรื่องของมนต์มหาเสน่ห์ หรือเรื่องของ
    พลังงานที่ประจุลงในเครื่องรางหรือวัตถุนั้น บางท่านอาจ
    คิดว่ามีผลต่อเฉพาะคน จริงๆๆแล้วมันมีผลต่อสัตว์ด้วย
    เหมือนวิชาหนูกินนมแมว อันนั้นไม่ใช่ตั้งชื่อกันเล่นๆๆ
    แต่ทำได้จริงๆ เฉกเช่นวันนี้มีเวลาเลยจัดของ จัดเครื่อง
    รางให้เข้าที่เข้าทาง เผอิญไปเจอกระปุกสีผึ้งนะหลงใหล
    แหมว่าแล้วก็เอาซะหน่อย อาราธนาขอเจิมสักนิด ลอง
    ดูเล่นๆๆ จากนั้นก็เดินออกจากบ้าน เจอแม่แมวและ
    ลูกแมวแห่มาร้องเหมียวๆๆเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
    มาขออาหารนะครับเวลาเค้าหิว จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง
    เลยเดินไปหยิบอาการเม็ดมาโรยวางให้ และนั่งรอ
    เพราะแมวพวกนี้ส่วนมากจะทานเหลือแล้วก็เดินจาก
    ไปแบบไม่ใยดี ให้ทาสแมวอย่างเราคอยเก็บกวาดตาม
    หลัง เพราะถ้าไม่กวาดมดจะขึ้นเร็วมาก อาหารแมวจะ
    มีกลิ่นเชิญชวนมดอย่างดีเลย ขณะนั่งรอแมวรับทาน
    อาหาร ทาสแมวเราก็นั่งเล่นโทรศัพท์รอไป เมื่อมัน
    ทานกันเสร็จ วันนี้มาแปลกไม่เดินสะบัดตูดหนีกลับ
    กระโดดขึ้นมานั่งบนตักเรา ไม่ใช่ตัวเดียว กระโดด
    ขึ้นมานั่งสี่ตัว นั่งทับกันบนตักไม่ยอมลง ตักเราก็แคบ
    มันก็ยื้อ ตะกายกันไปมา มีส่งสายตามามองหน้าแถมยื่น
    หน้ามาจุ๊บปากด้วย วันนี้มาแปลกมาก ตัวที่เหลือก็นั่งล้อม
    เหมือนไม่ยอมให้ไปไหน ผมนั่งงงว่าวันนี้มันมาแปลกจัง
    มานั่งนึก อ๋อเมื่อกี้เราเจิมสีผึ้งนะหลงใหลไป และที่มานั่ง
    ก็แมวตัวเมียทั้งนั้นเลย แหมถึงเป็นสัตว์พวกนี้ก็ไม่สามารถ
    รอดมนต์มหาเสน่ห์ไปได้ ที่เล่ามาไม่ได้จะขายนะครับ
    เพราะไม่ได้ขายอยู๋แล้ว ก็มาเล่าประสบการณ์ที่แม้แต่
    สัตว์ก็ต้องมนต์ได้ไม่แพ้มนุษย์ สีผึ้งนี้เป็นของตกทอด
    จากอาจารย์ที่ตระเวนนำมาจากเกจิอาจารย์พระดังแถบ
    อีสานและเขมร นำมารวมกันจึงมีไม่เยอะ ผมนำมาเสก
    มนต์นะหลงใหลลงไปอีกที เก็บไว้โอกาสสำคัญ วันนี้ขอ
    เล่าสั้นๆเท่านี้ครับ แล้วคราวหน้าจะมาเล่าใหม่ครับ ช่วงนี้
    อาจจะน้อยหน่อย มีงานเยอะเลยครับ
     
  7. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    เรื่องเล่าเล่นๆๆตอน 46
    ห่างหายไปนานสำหรับเรื่องเล่า เนื่องจากงานที่
    ล้นมือ อยากทำออกมาให้คุ้มค่าราคาเงินที่ผู้บูชาจ่ายไป
    แม้ว่ามันจะเหนื่อยมาก อยากให้ได้ใช้กันไปได้ผล ช่วยให้
    ชีวิตหรือการทำงานของท่านสะดวกขึ้นและดีขึ้น แต่ที่เคย
    บอกกล่าวไปว่าทุกอย่างต้องไม่เกินกรรม หลังปีใหม่ไป
    จะทำตะกรุดหนุนดวงรุ่นที่ 2 เพราะคราวที่แล้วมีหลายคน
    เลยที่พลาดเสียโอกาสไม่ได้จอง แต่อาจทำขึ้นจำนวนไม่
    มากเท่าไหร่ ก็คอยติดตามกันครับ เป็นตะกรุดยันต์
    พุทธคุณ หนุนดวงหนุนชีวิต จากที่ดวงตกก็จะดีขึ้น จากที่
    ดีอยู่แล้วก็จะดีขึ้นไป เรียกได้ว่าเป็นตะกรุดคู่ชีวิตก็ว่าได้
    ดีทุกทาง เมตตามหาเสน่ห์ โภคทรัพย์ แคล้วคลาด
    หนุนดวง สะท้อนกลับคุณไสย คุณผี คุณคน เป็นตะกรุด
    ของสูง ห้อยคอและวางที่สูง อย่างเดียวเท่านั้น
    สมัยก่อนนั้นบางคนอาจไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับ
    ของเสริมมงคลโชคชะตา มองแต่หาของเบื้องหน้า มหา
    เสน่ห์อย่างเดียว มันต้องมีติดรถ ติดตัว คู่กายซํกชิ้นครับ
    เพื่อป้องกัน ปกป้อง เราไม่ทราบว่าเราอาจเพลียงพล้ำได้
    วันไหน เรื่องผีเรื่องพรายนั้นมีจริง ดังเรื่องที่ผมเล่ามาที่
    ผ่านๆๆมาหลายตอนนั้น เรื่องจริงทั้งนั้นไม่ได้แต่งเติม
    เสริมแต่อย่างใด
    มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมพบเจอสมัยเด็กๆๆ ตอนนั้นอายุยังวัย
    รุ่นๆราวอายุ 17-18 ได้ ตามที่เราทราบมาจากคนบอกเล่า
    และพบเจอว่าผีชอบปรากฎตัวหรือมาในช่วงหลังเที่ยงคืน
    ไปแล้วนั้นก็ตามที่เราจะจินตนาการหรืออ่านเจอ
    ประสบการณ์ของคนอื่น แต่ผีที่ผมจะเล่านั้น แค่ช่วงหัวค่ำ
    ก็เจอแล้ว เฮี้ยนน่าดูเลย สมัยนั้นผมย้ายบ้านตอนอายุ
    17 ปี ประมาณปี 2534 ย้ายจากชุมชนแถวธนบุรีที่ดู
    แออัดและเจริญไปสู่ปริมณฑลอีกนิดเดียวก็เข้าสู๋เขต
    จังหวัดสมุทรปรการแล้ว แถวนั้นคือถนนประชาอุทิศ
    หรือบางมดนี่เอง สมัยนั้นยังเป็นสวนเยอะแยะ ผู้คนยัง
    ไม่พลุกพล่าน ไฟถนนเข้าซอยยังมีไม่ถึงกับกันดาร
    อะไร ซอยที่ผมไปอยู๋นั้นคือซอยวิเชียรหรือประชา
    อุทิศ 33 และซอยแยกที่ผมอยู่คือซอยวัดกลางนา
    คือเรียกตามที่เห็น มีวัดอยู๋กลางนา ตอนที่ไปอยู่ทีแรก
    ก็ยังไม่ทราบประวัติเรื่องราว แต่ก็มีคนพื้นที่บอกว่า
    สมัยก่อนที่นี่เป็นสวนเป็นป่า จะมีการฆ่ากันตาย
    เยอะมาก บางทีก็เอาใส่กุญแจมือ ล่ามโซ่ตรวนมายิงทิ้ง
    ที่นี่บ่อยๆๆ เรื่องนี้ผมทราบหลังจากที่ผมเจอแล้วครับ
    ในทุกวันตอนเย็นช่วงกลับจากเลิกเรียน จะมานั่งหน้า
    บ้านคุยจับกลุ่มกับเพื่อนๆๆ แต่ทุกทีก็มีอันต้องวงแตก
    เลิกแยกย้ายกัน ในช่วงวันพระและวันโกน ตอนนั้น
    ราวๆๆแค่ ทุ่มครึ่งถึง 2 ทุ่ม เท่านั้น นั่งคุยกันกับเพื่อน
    จะได้ยินเสียงร้องโหยหวน เป็นเสียงแหลมเล็ก จะเรียก
    ว่าเสียงกรีดร้องก็ได้ แต่เสียงแผ่วมากแต่ก็ได้ยินชัดเจน
    เต็มรูหู ผมก็คิดว่าได้ยินคนเดียว แต่ก็มองหน้าเพื่อนใน
    กลุ่มก่อนจะมองตากันแล้วพยักหน้าว่า ใช่ไหม ไม่พูด
    มากต่างเดินกันกลับบ้านโดยไว คนละทางอย่าง
    รวดเร็ว บางทีผมอยู๋ในห้องนอนก็ไม่พ้นที่จะได้ยิน
    มันเหมือนว่าเสียงนั้นจะเดินวนเวียนไปมาในบริเวณ
    ซอยแถวนั้น ที่สำคัญมีเสียงลากโซ่ด้วย ตอนแรกคิดว่า
    เราหูฝาดคิดไปเอง แต่ชาวบ้านแถวนั้นเค้าทราบดี
    แต่ไม่มีใครพูด และที่สำคัญพวกผีพวกนี้จะถูกปล่อย
    มาหากินทุกวันโกนและวันพระมีคนบอกว่าพระที่ท่าน
    เลี้ยงไว้ชื่อ หลวงเตี่ย เจ้าอาวาสวัดกลางนา ผมก็ไม่
    รู้จักหรอกสมัยนั้นว่าเก่งยังไง แต่คนแถวนั้นนับถือ
    ท่านมาก ท่านตาจะแดงคนบอกว่าท่านสำเร็จกสิณไฟ
    ท่านจะเก่งเรื่องคาถาอาคม เลี้ยงสะกดผีเอาไว้ใช้งาน
    และจะปล่อยออกมาในวันพระ วัดที่อยู่กลางทุ่งนา
    จะมีคนมาที่วัดเยอะมาก มาจากที่ต่างๆๆ
    แต่ท่านมรณะภาพไปแล้ว สาเหตุไม่ทราบแน่ชัด
    แต่มีคนลือว่า ท่านเล่นของแล้วของเข้าตัว สุดท้าย
    ร่างของท่านได้อยู่ที่วัด ไม่เน่าไม่เปื่อย แต่ก็มีมือดี
    มาขโมยเอากระโหลกของท่านไป คงเอาไปทำเครื่อง
    รางของขลัง ที่จะเอาชิ้นส่วนของผู้ที่มีอาคมและวิชา
    ไปสะกดใช้งาน ก็คิดเอาดูครับว่ากรรมมันน่ากลัวขนาด
    ไหน สุดท้ายทำอะไรไว้ก็ต้องมาชดใช้สิ่งที่ทำ
     
  8. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    สมเด็จด้านหลัง.jpg
     
  9. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    ออร่าขุนแผน.jpg
     
  10. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    ขุนแผนออร่า.jpg
     
  11. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    เรื่องอักขระเลขยันต์
    พระยันต์ที่เห็น อยู่ตอนนี้เป็น "ยันต์จัตตุโร" ครับ เป็นยันต์ที่โบราณจารย์ใช้สำหรับ งานมงคล และใช้ได้หลายทางครับ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ายันต์ก้นหลุม ครับที่เรียกแบบนี้เพราะคนสมัยก่อนใช้รองก้นหลุมก่อนจะปลูกบ้าน สมัยปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ครับ พระยันต์นี้มีความหมายว่า ๑๕ ชั้นดิน เพราะไม่ว่าจะนับ(บวก)ไปทางใดก็จะได้ ๑๕ ครับ
    ผู้ที่จะลงสูตรยันต์นี้ ต้องทำการชักยันต์เป็นรูปสี่เหลี่ยมก่อน ในตอนที่ลากเส้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมนั้นจะต้องลากเส้นตามเข็มนาฬิกาแล้วกลั้นลมหายใจ พร้อมภาวนาคาถาว่า "จะตุยันตัง สันตัง วิกรึงคะเร " ในทุกๆด้าน ยังไม่ต้องขมวดมุมครับ ถ้าเกิดเส้นขาดในช่วงที่เราลากเส้นอยู่นั้น ให้ว่าสูตรต่อเส้นยันต์ว่า "สนธิยันตัง สันตังวิกรึงคะเร" แล้วจึงลากเส้นต่อ หรือจะขมวดมุมให้เสร็จที่เดียวให้ว่า "พรหมะสะ"
    เสร็จแล้วให้ทำการลากเส้นกระดูกยันต์ หรือว่า เส้นแนวตั้งและแนวนอนครับ ให้กลั้นลมหายใจว่า ภาวะนาว่า "อัฏฐิยันตัง สันตังวิกรึงคะเร" ที่นี้ถึงขั้นตอนลงเลขครับ ให้ลงเลข ๔ ก่อนแล้วก็ตามลำดับครับ เช่น ๔-๙-๒ ๓-๕-๗ ๘-๑-๖ ให้ภาวนาว่า ".............. กาโรโหติ สัมภะโว (เขียนเลขเสร็จพอดี) เลขะยันตัง อุปะปัชชะติ เลขะยันตังสันตัง วิกรึงคะเร ที่ว่างไว้คือให้ผู้ที่จะทำการลงเลขนำชื่อเลขไปลงต่อในที่ว่างไว้ "๔ จัตตุโร - ๙ นะวะโม - ๒ ทะเวโช - ๓ ตรีนิ - ๕ ปัญจะ - ๗ สัตตะถา - ๘ อัฏฐะ - ๑ เอโก - ๖ ฉะวัชชะราชา"
    ถ้ายังไม่ขมวดมุมให้ขมวดมุมว่า "จะตุโกณจา มหายันตัง พรหมภักตร์ มะเหสุรัง ยันตังสันตัง วิกรึงคะเร"ครับ
    ที่นี้เราได้พระยันต์จัตตุโรแล้ว มาถึงขั้นตอนเรียกนามพระยันต์ครับ ให้ว่า "นามะนังสะมาโส ยุตตะโถ ยุตตะถะ แห่งนามะอักขระและเลขยันต์ทั้งหลาย ด้วยเดชเดชะ พระอาจาริยะพึงหมายให้ชื่อว่า ยันต์จัตตุโร ยันต์............(ใส่ชื่อตามที่ต้องการครับ) อะนุปปะทิฏฐานัง วุตตะโยคะโต อุทาหรณ์ อันใดเป็นไปมิได้สำเร็จ พระอาจาริยะพึง สำเร็จให้แล้วด้วยสูตรนี้ "
    ให้ว่าทั้งหมดตามเครื่ิองหมายลูกน้ำนะครับส่วนในวงเล็บไม่ต้องพูด
    ขั้นตอนสุดท้าย ก็ให้ไปเสกเอาเองนะครับ ว่ามีความประสงค์จะใช้ไปทางไหน เช่น เมตตา โชคลาภ คงกระพัน กันเสนียดจัญไร เช่นใช้พระคาถา เมตตาภิกขะเว ฯ ปลูกเสก ก็จะเป็นพระยันต์เมตตามหามงคล แล้วแต่ความต้องการ เสกตามธรรมเนียม ๑๐๘ จบ
    dYAVQqVgqLZqh2sPqRJaLqIWrb4ygwuIhkf-z_MYroc-X7Ug-L_GLxKoZ4TrJZH1wC0_I1g&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
     
  12. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    "วิชาไสยศาสตร์" หลายคนจะมองว่าเป็นเรื่องงมงาย หรือมองว่า เป็นเรื่องไม่จริง ผู้ใช้ส่วนใหญ่อยาก ให้เครื่องราง สัมฤทธิผลกับตัวเองบ้าง กลับไม่มีใครกล้า ที่จะพิสูจน์ วันนี้ อาจารย์วรา ปราการ เป็นคนหนึ่ง ที่กล้ายืนยันว่า

    "ไสยศาสตร์มีจริง เพราะ เป็นเหมือนแรง สนับสนุนตัวเรา แต่ไม่ใช่ตัวนำ พูดให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ก็เป็นเหมือน กุศโลบาย ที่คอยโน้มน้าว จิตใจคน ให้ทำความชั่ว กันน้อยลง"

    อ.วรา เล่าว่า สมัยยังหนุ่มตอนอายุ ๑๔ ปี ได้เริ่มทำน้ำมันพราย และ ยาเสน่ห์ต่างๆ ทำให้เป็นคนเจ้าชู้ เนื่องจากไปเรียนวิชา เหล่านี้จากเพื่อน ของพ่อที่เป็นชาวเขมร โดยเขาสอน ให้ทำน้ำมันพรายและยาเสน่ห์ ครั้งแรก ที่ทำก็คือน้ำมันและสีผึ้ง โดยไปหามวลสารที่ จ.นครราชสีมา มาทำน้ำมันครั้งแรก และลองด้วยตัวเอง ก็ได้ผลเลย เมื่อทำแล้วก็อยากลองของ จึงได้ไปทดลองการใช้น้ำมันพราย มาอย่างต่อเนื่อง จนตัวเองมีภรรยาถึง ๓๒ คน

    ภาพรวมของตัวเองในหมู่เพื่อนฝูงเป็นคนหน้าตาไม่ดี ผอมแห้ง ไม่หล่อ เหมือนกับเพื่อนๆ จึงต้องอาศัยวิชาเหล่านี้เป็นผู้จุดประกาย ความรักมาตลอด ทำให้หันมาสนใจชอบในเรื่องของ เสน่ห์มากกว่า กระทั่งผู้เป็นพ่อ ได้ถ่ายทอดวิชามหาเสน่ห์ให้

    ส่วนการสักยันต์นั้นไม่ได้เรียนเพราะเห็นว่าเจ็บ จากนั้นทุกๆ ปีจะมีการสร้าง วัตถุมงคล เหล่านี้ไปถวายวัดมาโดยตลอด

    ช่วงวัยรุ่นเป็นคนที่คะนอง อยากรู้อยากลองว่าน้ำมันพราย ที่ทำขึ้น มาจากเชิงตะกอน เผาศพ ของคนต่างจังหวัดทางภาคอีสานนั้น ใช้ได้ผลจริงหรือไม่

    แต่หลายครั้งที่ทำน้ำมันพรายออกมา จะนำไปลองป้าย ผู้หญิงที่ชอบ เพื่อให้หลง ให้ชอบมา เป็นภรรยา เวลาผ่านไปอยากมีใหม่ก็จะถอนน้ำมันพราย ที่ป้ายด้วยการ ทำน้ำมนต์ให้ฝ่ายหญิงดื่ม เมื่อฝ่ายหญิงดื่มเข้าไปแล้ว จะมีความรู้สึกทน ความเจ้าชู้ของตัวเองไม่ไหว ก็จะขอเลิกราไปเอง

    "แม้ตอนนี้จะเลิกทำแล้วแต่ก็ยังมีหลายคนมาช่วยให้ทำน้ำมันพราย เพื่อไปทดลองกับผู้หญิง ตรงนี้ก็จะไม่รับทำอย่างเด็ดขาด เนื่องจากไม่รู้ว่า เอาไปใช้ในทางที่ดีหรือหวังเพียงได้ตัวผู้หญิงอย่างเดียว สิ่งสำคัญได้คำนึงถึงบาปกรรมที่อาจจะตามมา ใครจะว่าผมเป็นคนเจ้าชู้ หรือไม่เจ้าชู้ ก็สุดแล้วแต่ แต่ตัวผมเองนั้นเป็นคนชอบลองของที่สร้างขึ้นมาจากวิชาไสยศาสตร์เขมร ไปลองกับสาวๆ และได้เขามาเป็นเมีย มาวันนี้ผมเลิกลอง ทั้งหมดแล้ว เหลือภรรยาอยู่เพียงคนเดียว กับลูกอีก ๔ คนเท่านั้น" อ.วรา กล่าว พร้อมกับพูดให้คติไว้อย่างน่าคิดว่า

    เวลาผ่านมาได้สอนให้รู้ว่า ความคะนองที่เป็นอยู่นั้น คือ บาปกรรมที่ติดตัว มาจนถึงทุกวันนี้ ความขลังที่เคยมีมาก็เริ่มใช้ได้ไม่เต็มที่นัก ระยะหลังเชิงตะกอน ก็หายากขึ้น ส่งผลให้เลิก ทำน้ำมันพรายในที่สุด ส่วนน้ำมันพรายที่เหลือ ก็ปล่อยลอยน้ำไปแล้ว การทำแบบนี้ถือเป็นการทำที่ผิดวิธี เพราะตามโบราณแล้ว จะต้องนำน้ำมันพรายนี้ฝังลงดิน หากเราทิ้งไปแล้ว มีคนเก็บมาใช้โดยไม่มีคาถา กำกับในการใช้หากน้ำมันพรายนี้ไปถูกผู้หญิงคนไหน คนนั้นอาจบ้าหรือเพี้ยนได้

    เมื่อสะสมประสบการณ์ต่างๆ มากมาย กับพระเกจิอาจารย์ในประเทศเขมร ตลอดระยะเวลา ๑๐ กว่าปีไม่ได้เขียนประวัติของหลวงพ่อต่างๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังเก็บมวลสารที่เป็นอาถรรพณ์ และว่านต่างๆ ที่หาได้ยากในปัจจุบันนี้ จากหลวงพ่อต่างๆ ทุกภาคของประเทศไทยที่ได้เขียนประวัติแล้ว ยังมีการเขียนเรื่องเวทมนตร์คาถา และพระเวทอาถรรพณ์

    สำหรับวัตถุมงคล เหล่านี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น อ.วรา บอกว่า ต้องมี

    ๑.คนที่ทำพิธีนั้นเป็นคนอยู่ในศีล ในธรรมหรือไม่

    ๒.คนที่นำวัตถุมงคลเหล่านี้ไปใช้มีความเชื่อมั่นแค่ไหน

    ๓.ต้องรู้คุณบิดามารดา การสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาก็เพื่อให้เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มีวัตถุมงคลแล้วก็ไม่ให้พูดจาหยาบคาย คนที่มีวัตถุมงคลแล้วไม่สามารถปฏิบัติตัวตามนี้ได้ ต่อให้มีพระสมเด็จวัดระฆังกี่องค์ ท่านก็คงไม่คุ้มครอง

    ดังนั้นจุดมุ่งหมาย ของนักไสยศาสตร์คือ สอนให้รู้ด้วยปัญญา ไม่ได้ให้งมงาย

    สมมติว่า อาจารย์ให้สีผึ้งไปติดต่องาน แล้วเมื่อไปถึงแล้วมีการพูดจาไม่เพราะ การใช้สีผึ้งเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ สีผึ้งนั้นก็กลายเป็นสีผึ้งธรรมดา เนื่องจากของเหล่านี้จะใช้ให้ได้ผลดีต้องเป็นคนอยู่ในศีลในธรรม ทั้งผู้รับและผู้ให้ ไสยศาสตร์ไม่ได้เป็นเรื่องงมงาย แต่วัตถุมงคลเหล่านี้มัน เป็นแรงหนุน ไม่ใช่ตัวนำ บางคนมีความกล้า มั่นใจว่าสักหนุมานมาแล้วต้องเหนียวนั้น เป็นความคิดที่ผิด

    อ.วรา บอกด้วยว่า หลายคนบอกว่า การสร้างวัตถุมงคลแบบนี้ออกมาเพื่อให้คนเจ้าชู้นั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ เป็นความเชื่อของจิต เมื่อจิตมีความเชื่อ ก็จะเกิดความเชื่อมั่น ถ้าถามว่าไสยศาสตร์มีจริงไหม อาจารย์ขอยืนยันได้ทันทีว่า ไสยศาสตร์ที่อยู่ในโลกนี้มีจริง แต่เราจะเข้าถึงกันไหม ฉะนั้น ก่อนที่เราจะเล่นของเมตตานั้น เราต้องเป็นคนที่มีใจเมตตาด้วย ไม่ใช่เป็นคนบาป ไปทำเขาตาย แล้วมาโวยวายว่า เครื่องรางเหล่านี้ไม่ขลัง เราจะเห็นได้ว่านี่มันมีจิตที่ไม่อ่อนโยน

    "เหมือนผัวไปมีเมียน้อย เป็นเพราะภรรยาหลวง ถือว่ามีลูกแล้วก็สามารถมัดใจผัวได้นั้น มันเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก หลงผิด แท้จริงแล้วความเป็นเมีย ก็ต้องมีท่าทีที่ดีกับผัว คือการปฏิบัติตัวที่ดี เช่น กามหรือกามะก็ต้องเก่งด้วย พอผัวไปติดผู้หญิงที่ทำงานกลางคืน เพราะว่าพวกนี้เขาจะเอาใจเก่ง เห็นผู้ชายเหนื่อยมาเขาก็จะไม่พูดถึง เขาก็จะเรียกป๋าอย่างนั้นป๋าอย่างนี้ กินน้ำเย็นก่อนให้สบายใจ ผิดกับเมียหลวง ที่ผัวกลับบ้านก็ใส่ฉอดๆ เงินเดือนไม่เหลือ กลับผิดเวลา" อ.วรา กล่าวทิ้งท้าย

    "ภรรยาหลวง ถือว่ามีลูกแล้วก็สามารถมัดใจผัวได้นั้น มันเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก หลงผิด แท้จริงแล้วความเป็นเมียก็ต้องมีท่าทีที่ดีกับผัว คือการปฏิบัติตัวที่ดี เช่น กามหรือกามะก็ต้องเก่งด้วย"

    พรายและกุมารของ อ.วรา ปราการนั้น ไม่มีโทษต่อผู้เลี้ยงเพราะวัตถุอาถรรย์ต่างๆทั้งน้ำมันอาถรรย์หรือชิ้นส่วนอาถรรย์ท่านได้เรียกมาคุยสอบถามถึงความเต็มใจในการที่จะอยู่ด้วยกันเพราะถ้าอยู่ด้วยกันก็จะมีกินและทำบุญให้ไปอยู่กับคนที่เช่าบูชาไปก็มีกินเช่นกันไม่ได้ทำการบังคับสะกดไว้

    -ส่วนการเสกของท่านท่านเสกหนุนธาตุทั้งสี่หนุนอาการ 32 ให้กำเนิดเป็นตัวเป็นตนมีชีวิตขึ้นใหม่เพราะอย่างนี้ของอาถรรย์ตนเดียวจึงไปอยู่ในวัตถุมงคลเป็นร้อยเป็นพันชิ้นได้เนื่องจากท่านชุบชีวิตขึ้นใหม่ แม้อ.วรา ปราการท่านเสียแล้วพรายก็ยังอยู่ในวัตถุมงคลเหมือนเดิม แม้ใครไม่ได้เลี้ยงพรายก็ไปหากินหรือไปกินกับคนอื่นได้ ถ้านำกลับมาเลี้ยงใหม่พรายก็มาอยู่เหมือนเดิมครับ

    #อาจารย์วรา ปราการ
     
  13. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    คุณคิดว่าการพกเครื่องราง เพื่ออะไร มีอะไรเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่ดีที่สุด

    ถ้าคุณคิดว่าอยู่ที่ราคา ถ้าแพงจะดี
    พิธีกรรมใหญ่โตจะดี
    มวลสารที่ผสมหายากและราคาแพงจะดี
    มีวิชาเสกที่มีชื่อเสียงแล้วจะดี
    หรือเป็นลูกศิษย์ที่มีอาจารย์มีชื่อเสียงแล้วจะดี
    หรือคนขายแนะนำบอกว่าดี
    เป็นวิชานิยมเช่นสายเขมรแล้วจะดี
    หรือเป็นสายพรายแล้วจะดี
    คนแห่เช่าตอนเปิดจองแล้วจะดี
    เสกใช้เวลานานและมีฤกษ์เสกแล้วจะดี

    สิ่งเหล่านี้เป็นแค่สมมุติฐานหรือการประเมินเท่านั้น

    ไม่ได้จะสรุปได้ว่าคุณใช้แล้วจะได้ผลดี บางอย่าง

    บางสิ่งเป็นเพียงการตลาดและจิตวิทยาในการขาย

    ของของผู้ขาย แต่ความจริงแล้วเรื่องของพลังงาน

    ของเครื่องรางนั้นจะพิสูจน์ได้เมื่อมีการทดลองใช้

    งานด้วยตัวเองเท่านั้น โดยล้มความเชื่อทั้งหมดที่

    ผู้ขายพยายามฝังหัวเราลงไป พยายามป้อนข้อมูล

    ให้เราเชื่อว่าดีและคิดคล้อยตาม

    ผมแนะนำให้คุณพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง ไม่จำเป็นต้อง

    บูชาของที่นี่เพื่อพิสูจน์ เพราะนี่คือบทความที่เป็นแนว

    คิดของผมต่อเครื่องรางในปัจจุบัน และเพื่อให้คุณ

    หลุดออกจากกรอบที่ผู้ชายพยายามยัดความเชื่อใส่

    คุณ สิ่งไหนที่พิสูจน์แล้วว่าดี ก็จะดีตลอดไป มีดคม

    ฟันต้องขาดถือว่าคมและดีจริง ถ้าฟันแล้วขาดมั่งไม่

    ขาดมั่ง อันนี้คุณมโนคิดไปเองว่าดี

    ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ อย่าเชื่อผมจนกว่าคุณจะได้

    พิสูจน์หรือทดสอบ
     
  14. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    #พบพระพิฆเนศ

    ผู้ถาม:
    หลวงพ่อเจ้าขา ลูกนั่งสมาธิพบท่านพิฆเนศมีหัวเป็นช้าง ตัวเป็นคน ในสมาธินั้นท่านเอามือของลูกไปแบแล้วรมอะไรไม่รู้...สีแดงแจ๊ด! บอกว่า..."เอ็งจะต้องมีฤทธิ์มีเดชต่อไปข้างหน้า" ลูกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก ลูกสงสัยว่าในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เทวดามีหัวเป็นช้าง ลูกไม่เคยเจอเลย ไม่รู้ว่าลูกจะทำสมาธิเพี้ยนไปหรือเปล่า...หลวงพ่อช่วยชี้แจงความเพี้ยนของลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ:
    มาดีแล้ว ๆ ความจริงไม่เพี้ยน อย่างนี้เขาเรียกว่า..."โรคอุปาทาน" คือว่าตามธรรมดาที่เราเห็นน่ะ หัวเป็นช้างใช่ไหม...นั่นเป็น "ลัทธิของพราหมณ์" ในเมื่อเคยเห็นแบบนั้น ท่านมาท่านก็แสดงแบบนั้นก่อน อย่างเทวดาหรือพรหมนางฟ้าทุกคนน่ะ ความจริงท่านอาจจะตายสมัยแก่นะ คือเทวดา นางฟ้า พรหม...ไม่แก่ สาวหมด! ทีนี้เวลามาหาเราเขาแสดงภาพเดิมที่เราเห็น เขาตายเป็นคนแก่ก็ให้เห็นภาพคนแก่ ท่านพิฆเนศก็เหมือนกัน ท่านมารูปอื่นก็คงจำไม่ได้ ต้องมารูปหัวช้าง (หลังจากหลวงพ่อนำอุทิศส่วนกุศลแล้ว ก็มีเรื่องพระพิฆเนศมาเล่าให้ฟังอีก)

    หลวงพ่อ:
    ตอนอุทิศส่วนกุศล ถามว่าท่านพิฆเนศเป็นพรหมหรือเป็นเทวดาชั้นไหน เพราะเห็นมีทั้งพรหมและเทวดาเยอะแยะ ใสมาก ท่านบอกไม่ใช่พรหม ถามว่าเป็นเทวดาชั้นปรนิมฯ ใช่ไหม...ท่านบอกไม่ใช่ เป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ สวยมาก ท่านบอกว่าคนที่ถามเมื่อกี้นี้ เคยเป็นลูกท่านมา ท่านก็หวังจะสงเคราะห์ ต้องถอยหลังไปหลายชาติหน่อยนะ คือไม่น้อยกว่าพันชาติ (หลวงพ่อยังมีเรื่องพระนารายณ์มาเล่าให้ฟังอีก)

    หลวงพ่อ:
    เทวดากับสัตว์ เทวดากับมนุษย์มันต่อกันไม่ได้ เพราะมนุษย์ก็ดี สัตว์ก็ดี มันมีธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และเทวดาเขาไม่มีธาตุนี่ มีเหมือนอากาศธาตุ มันต่อกันได้ที่ไหนล่ะ ที่ว่าหัวเป็นช้าง เพราะว่าพราหมณ์แกหาเรื่องคุย อย่างพระนารายณ์นี่ก็เหมือนกัน พระนารายณ์นี่ฉันหาไม่พบ

    ผู้ถาม:
    แล้วมีไม่จริงหรือครับ?

    หลวงพ่อ:
    มี...สักประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว คืนหนึ่งมันว่าง คือไม่ได้ว่างมาก เขาเจริญกรรมฐานแบบนี้ละนะ พอเลิกแล้วประมาณ ๔ ทุ่มกว่า ๆ เวลาไปพักมันยังไม่หลับ ๖ ทุ่มหรือตี ๒ เป็นธรรมดา ถ้าถีง ๖ ทุ่มต้องอยู่ถึงตี ๒ ถ้าขืนหลับ ๖ ทุ่ม อาจจะเลยเวลา เพราะเจริญกรรมฐานตอนตี ๒ เมื่อถึงเวลาว่างก็เที่ยวไปเที่ยวมา เที่ยวมาเที่ยวไป ตามเรื่องตามราว ใช่ไหม...ก็ไปนึกถึงพระนารายณ์ได้ นึกนารายณ์อยู่ชั้นไหน แล้วเทวดาองค์ไหนเป็นนารายณ์ เข้าไปหาในกามาวจรทั้งหมด ไม่พบพระนารายณ์ ถามแต่ละชื่อไม่มีนารายณ์เลย ไอ้ความโง่ของฉันน่ะ ก็ย่องไปพรหมอีก ถามพระนารายณ์ที่พรหมไม่มี กลับมาหาโยม ถามโยม...พระนารายณ์ที่พราหมณ์ตั้งชื่อให้มีตัวจริงไหม ท่านบอกตั้งแต่ฉันเป็นเทวดาไม่เคยมีเลย โยมท่านเป็นเทวดา ๒ รอบ พระอินทร์ ๒ รอบนะ เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่หมดอายุไปทีแล้ว ฟังเทศน์แล้วจุติเป็นพระอินทร์ใหม่ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าพระอินทร์หนุ่ม ท่านอยู่ถึง ๒ รอบยังไม่รู้จักนารายณ์ ไล่ไปไล่มา ถาม...ถ้าเขาบนพระนารายณ์ เทวดาองค์ไหนรับ #ท่านบอกมีก็มเหสักขาไงล่ะ มเหสักขา แปลว่ามีฤทธิ์มาก

    #ท่านพิฆเนศชื่อปิยสิกขะ เพิ่งบอกเดี๋ยวนี้ละนะ มีสิทธิ์ในความรัก แม้แต่เขาให้หัวเป็นช้างยังชอบเลย

    ผู้ถาม:
    ยังงี้เราก็บนได้ซิ

    หลวงพ่อ:
    ถ้าจะบนท่านนะ ตอนให้พรท่านบอกให้หมูต้มชิ้นหนึ่ง ไม่ต้องโต กับข้าวปากหม้อเท่านั้นนะ

    ที่มา: หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
     
  15. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    อีกสถานที่ สำคัญในเมืองไทย "บึงน้ำศักดิ์สิทธิ์" แห่งอำเภอ องครักษ์ จังหวัดนครนายก ตำนานคู่วัด บูรพาจารย์" สืบเนื่องถึง ต้นตำนานสายวิชา พระเวทย์วิเศษสุด ของคุณพ่ออาจารย์ ฟ้อน ดีสว่าง และพระครูเมธีธรรมสาธก (หลวงพ่อหนู เกสโร)~°☆

    "บึงพระอาจารย์ อ.องครักษ์ นครนายก" เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ทางราชการ มาทำพิธีพลีน้ำหลวงใช้ในการประกอบพิธีกรรม สำคัญหลายอย่าง
    อาทิ เพื่อทำน้ำศักดิ์สิทธิ์ ในพิธีสรงมูรธาภิเษก ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และ เมื่อคราวฉลอง 25 พุทธศตวรรษ รัฐบาลได้มาพลีนำดินศักดิ์สิทธิ ในที่บึงน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ไปเข้าพิธีปลุกเสก ผสมรวมกับมวลสารอื่นๆในการจัดสร้างด้วย

    อีกทั้งเมื่อปี 2542 ทางจังหวัด นครนายก ได้รับมอบหมายจากสำนักพระราชวัง จัดทำพิธีน้ำศักดิ์สิทธิ์ จากบึงพระอาจารย์ เพื่อทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 9 เพื่อใชในพระราชพิธี มหามงคลสมัย ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ด้วยเช่นกัน

    ต่อไปเป็นตำนาน ประวัติ บึงพระอาจารย์ สืบเนื่องถึง วัดบึงพระอาจารย์ หรือวัดสุนทรพิชิตารามในปัจจุบัน

    ในอดีตกาลนานมาแล้ว

    ในเขตเมืองกรุงศรีอโยธยา.....มีพระครูเจ้าอาวาส ผู้เรืองวิชารูปหนึ่ง เป็นสมภารจำพรรษาอยู่ที่วัด ที่อยู่ไม่ไกลจากพระราชวังหลวงนัก เย็นวันหนึ่ง มีโยมนำเนื้อกระต่ายป่า ที่ล่ามาได้นำมาถวาย พระครูฯจึงเรียกให้ศิษย์คนหนึ่งมารับ และให้นำกระต่ายไปย่างเพื่อไว้ให้เนื้อสุก จะได้ไม่เน่าเสีย เพื่อใช้ถวายพระในวัด ได้ฉันมื้อเช้า เจ้าโตผู้เป็นศิษย์นำกระต่ายไปย่าง แต่ทนความเย้ายวนของกลิ่นหอมไม่ได้ จึงฉีกขากระต่ายออกไป กินเสีย ๑ ขา

    วันรุ่งขึ้นนำกระต่ายย่าง ๓ ขา ไปถวายแก่พระ ท่านครู ท่านจึง ถามว่าทำไมกระต่ายมี ๓ ขา เจ้าโตก็ยืนยันว่ามีแค่เพียง ๓ ขาเท่านั้น ถามอย่างไรกี่ครั้ง เจ้าโตก็ตอบเช่นเดิมนั้น เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จ จึงได้มีการทำโทษ อย่างหนัก เพื่อดัดนิสัยการพูดปด แต่เจ้าโตยังคงอดทนมีมานะยืนกราน เช่นเดิม จึงทำให้พระครูฯท่านกลับแลเห็น ความมานะเด็ดเดี่ยวของศิษย์ จึงเกิดสงสารจึง คิดว่าควรเลิกสอบสวนลงโทษ เอาไว้คราวหน้าค่อยหาทาง อบรมสั่งสอนวิธีอื่นจะดีกว่า เพราะเห็นว่าเจ้าโตคนนี้ ช่างมีมานะเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก แทนที่จะมีความโกรธ ท่านกลับมีเมตตาสงสาร และรักเอ็นดูเจ้าโตมากยิ่งขึ้น

    วันหนึ่งพระครูฯนึกสนุก จึงได้เอ่ยถาม เจ้าโตออกไปว่า เจ้าอยากจะไปกินข้าวร่วมโต๊ะกับพระราชา ในพระราชวังหรือไม่ เจ้าโตก็รีบตอบว่าอยากไปครับ ท่านจึงถามย้ำว่า ในวังมีทหารมากมาย เจ้าไม่กลัวถูกจับได้หรือ เจ้าโตตอบว่า ไม่กลัวครับ ถ้าหลวงพ่อบอกว่าไปได้ ก็ไม่กลัวครับ พระครูฯท่านเห็นว่าศิษย์คนนี้ มีความเด็ดเดี่ยว และความกล้าหาญมาก และสั่งอะไรก็ทำตามทุกอย่าง

    เวลาล่วงมาในที่สุดวันหนึ่งท่าน พระครูฯท่านนึกอยากลองใจ ทดสอบความกล้าเจ้าโต จึงได้ทำผงแป้งเสกให้ กับเจ้าโต และบอกว่าเมื่อเจ้าจะไปกินอาหาร พร้อมกับพระราชาในวัง ให้ใช้ผงแป้งนี้ชะโลมทาตัวให้ทั่ว คนจะแลไม่เห็นเจ้าเลย แต่เจ้าจะแลเห็นเขาทุกอย่างฝ่ายเดียว เจ้าโตก็รับไป ทดลองทำตามทุกอย่าง

    เมื่อถึงเวลาพระราชาเสวย เจ้าโตก็ใช้แป้งหนตัว เข้าไปร่วมโต๊ะกับพระราชาทุกครั้ง ด้วยความตระกละ ผ่านมาหลายครั้ง พระราชาทรงมีความสังเกตว่า หลายวันมานี้ พระกระยาหาร พร่องลงมาก ไม่ค่อยพอเสวยเหมือนเช่นเดิม

    จนผ่านมาหลายวัน เจ้าโตก็ติดใจ แอบเข้าในวังเรื่อยมา ทำให้พระราชาจึงเริ่มไม่พอพระทัย ได้สั่งให้มีการสอบสวนทวนความ หาสาเหตุ จนได้รู้ความจากปุโรหิตาจารย์ว่า มีคนเล่นของลองวิชา หนตัว แอบเข้ามา ขโมยกินพระกระยาหาร ของเสวย

    จึงทรงสั่งให้ทางฝ่ายต้นเครื่อง ปรุงอาหาร ที่มีรสเผ็ดร้อนมากๆอย่าง เมื่อถึงเวลาพระราชาเสวย เจ้าโตก็มากินอาหารอันเผ็ดร้อนนั้นด้วย ทำให้เหงื่อของเจ้าโตไหลออกมามาก ผงเสกที่ทาตัวอยู่ก็ถูกเหงื่อ ค่อยๆละลายออกจนหมด ร่างเจ้าโตก็ปรากฎเผยตัวให้พระราชา ได้ทอดพระเนตรเห็นในที่สุด เจ้าโตจึงถูกจับควบคุมตัว
    พระราชาตรัสสอบสวนเจ้าโต ว่าเป็นใครมาจากใหน เมื่อรู้ความแล้วจึงสั่งให้ทหารจับเจ้าโต ไปควบคุมขังตัวเอาไว้ในคุกหลวง เพื่อรอลงอาญา

    ต่อจากนั้นพระครูฯ ท่านก็รู้ข่าว จึงได้เดินทางมาที่วัง ขออนุญาตทหารเวร เข้าไปเยี่ยมเจ้าโต และด้วยความสงสารศิษย์ จึงได้เสกหมาก ให้เจ้าโตได้เคี้ยวเพื่อกำบังตัว แล้วแอบพาเจ้าโต หนตัวหนีออกจากคุกมาได้ และติดตามพระอาจารย์พากันกลับมาที่วัด อย่างปลอดภัย

    .......ต่อมาพระราชาทราบความ จึงทรงกริ้วมาก สั่งให้ทหารตามไปจับพระครูฯ และเจ้าโต จนถึงที่วัด และเมื่อทหารเดินทางมาถึงในเวลาเช้า ขณะที่พระสงฆ์กับสามเณร กำลังเตรียมฉันภัตตราหารเช้าอยู่ ทหารก็พากันมารายล้อมเอาไว้ พระครูฯจึงขออนุญาตทหารว่า ขอให้พระเณร ได้ฉันอาหารให้เสร็จก่อน

    ระหว่างที่กำลังกระทำภัตรากิจนั้น พระครูฯ จึงแอบถามลูกศิษย์ว่า ใครจะหนีไปกับพระอาจารย์บ้าง ลูกศิษย์ทั้งหมดก็ตกลงใจไปด้วยหมด เมื่อฉันเสร็จพระครูฯ จึงได้ทำน้ำมนต์ ประพรมลูกศิษย์ทั้งพระสามเณร ให้กลายเป็นลูกกุ้ง หลายสิบตัวกระโดดดิ้น อยู่บนพื้นของศาลาวัด ส่วนพระครูฯเอง ก็แปลงกาย เป็นนกเหยี่ยวมาเฉี่ยวโฉบ มาคาบและจับลูกกุ้งไว้ทั้งหมด บินหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อพ้นเขตทหาร จากนั้นก็คืนร่าง และพากันเดินเท้า มุ่งหน้าเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ทางตะวันออกหวังมุ่งสู่เมืองเขมร

    จวบจนถึง เขตติดต่อสามจังหวัด คือนครนายก ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี เป็นบริเวณลำบึงกว้างใหญ่ และระยะทางยาวแห่งหนึ่ง ซึ่งมีจระเข้อาศัยอยู่ ชุกชุมมากพอสมควร ซึ่งบริเวณนั้นไม่มีบ้านผู้คนอาศัยอยู่เลย ท่านเห็นว่าจะพากันลุยข้ามบึงนี้ไม่ได้แน่ จึงหยุดอยู่แล้วบอกกับเหล่าลูกศิษย์ว่า ท่านจะแปลงกายเป็นจระเข้ใหญ่ ให้จระเข้อื่นเกรงกลัว เพื่อจะได้ทอดกายลอยตัวขวางบึง ดุจแพขนาน ให้เหล่าลูกศิษย์ได้เดินข้ามยังฝั่งตรงข้ามเพื่อเดินทางต่อไป

    โดยท่านจะเสกน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ใส่บาตรไว้ให้ แล้วสั่งว่าพอถึงคนสุดท้ายได้ขึ้นฝั่ง ให้นำน้ำมนต์นี้รดราดลงที่หัวจรเข้ แล้วท่านก็จะถอนร่างคืนกลับร่างมาเป็นพระได้ดังเดิม แต่มีข้อแม้ว่าห้ามเหยียบที่หัวจระเข้เด็ดขาด เพราะหากให้หัวจระเข้จมลงใต้น้ำ เพียงแค่มิดจมูก ท่านจะลืมตนขาดสติชั่วขณะ และเผลอสำแดงอาการของจระเข้ เสมือนจิตใจท่านเป็นจระเข้ไปจริงๆแล้วนั่นเอง

    แต่ด้วยเหตุบุพกรรมชักนำพา เป็นเหตุให้เณรองค์ท้ายก้าวเท้าสั้น ได้เผลอเหยียบที่หัวจระเข้ ทำให้ปลายจมูกจระเข้จมลงในน้ำ จระเข้อาคมจึงขยับตัวดิ้น และเผลอส่งเสียงครางขู่ ฟูดฟาด มีเสียงดังออกมา เป็นเหตุให้ทุกคนตกใจ และสามเณร ที่ถือบาตรน้ำมนต์อยู่ ผวาตกใจ รีบกระโดดหนีขึ้นฝั่ง พร้อมทำบาตรน้ำมนต์ คว่ำหกลงบนพื้นดินจนหมดสิ้น

    ฝ่ายพระครูฯจระเข้ ท่านเห็นดังนั้น ถึงกับน้ำตาซึม ปลงจิตร ปลงสังขาร ว่าโอ้หนอคงเป็นบุพพกรรมเก่าของเราเอง แล้วท่านได้แต่แลมองเหล่าศิษย์ และผงกหัวสามที ราวกับบอกลาเหล่าศิษย์ ทั้งหลาย ฝ่ายพระและสามเณร และศิษย์วัด ครั้นหายตกใจ คืนสติก็นึกได้ว่า พวกเราได้สูญเสียพระอาจารย์ อันเป็นที่รักไปเสียแล้ว ต่างมองหน้ากันแล้วร้องร่ำให้ พร้อมก้มลงกราบจระเข้พระอาจารย์ ลงแทบพื้นแผ่นดินฝั่งตลิ่ง

    ด้วยสุดกำลังไม่รู้จะช่วยพระอาจารย์ ท่านอย่างไรได้ เพราะท่านกลายเป็นจระเข้ไปแล้ว จึงตกลงใจกันว่าจะไม่เดินทางต่อ แต่จะคอย เฝ้าดูแลจระเข้พระอาจารย์กันอยู่ที่นี่ ที่สุดจึงพากันสร้างเพิงพำนัก ทำสำนักปฏิบัติธรรม ไว้ที่โคกริมบึงแห่งนี้

    ส่วนจระเข้พระอาจารย์ ท่านก็กบดานจำศีล ไม่กินเนื้อสัตว์ หิวก็กินดิน กินรากบัว จวบจนสิ้นอายุขัย ณ.บึงแห่งนี้

    ด้วยการบำเพ็ญเพียรภาวนาในบึงนานหลายสิบปี ทำให้น้ำในบึงจึงขลังศักดิ์สิทธิ์ เต็มเปี่ยมด้วยฤทธาคม เป็นที่เรื่องลือ ชาวบ้านต่างขอพลีไปใช้แทนน้ำมนต์มาช้านาน จำเนียรกาลผ่านมานับร้อยปี เกจิคณาจารย์ และชาวบ้าน ต่างรู้ข่าวสารตำนานเก่าแก่ที่แผ่ขยายไปทั่วสารทิศ ต่างก็ขวนขวายหาทางมาชมบารมี พลีเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์ เอาไปใช้ประโยชน์กันต่างๆนานา เช่นอธิฐานเพื่อ รักษาโรคภัย สารพัด บ้างก็นำไปผสมกับมวลสารสร้างวัตถุมงคลต่างมานาน สถานที่แห่งนี้ จึงถูกขนานนามว่า “บึงพระอาจารย์ กลายเป็นจระเข้” นานวันเข้าจึงเหลือแค่นามว่า “บึงพระอาจารย์” ตราบถึงปัจจุบัน

    ส่วนสำนักสงฆ์แห่งนั้น ก็เป็นที่พำนักของพระภิกษุ ที่โคจรผ่านไปมา นานหลายสิบปี จนเริ่มมีชาวบ้านมาปลูกเรือนอยู่ ใกล้บริเวณนั้น จึงเข้ามาทำบุญ และที่สุดก็พัฒนากลายเป็นวัด มีชื่อว่า "วัดบึงพระอาจารย์" แต่เป็นวัดที่ยังมิได้ขึ้นทะเบียน มีเจ้าอาวาสเปลี่ยนมาหลายรูป จวบจนกระทั่งมาถึง รูปที่ 7 ชื่อพระครูเมธีธรรมสาธก (หนู เกสโร) จึงได้ขึ้นทะเบียนวัดเป็นทางการราวปี 2480 เป็นต้นมา

    แม้ทุกวันนี้แม้สภาพบึงเก่าแต่เดิม ได้ตื้นเผิน ขาดตอน ด้วยสภาวะธรรมชาติ จนรกร้างเป็นป่าละเมาะ และถูกเกลี่ยถูกถากถางไถถม กลายเป็นผืนนา ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตวัดบึงพระอาจารย์ ทั้งหมดกว่า100ไร่ เกือบ100%เป็นพื้นที่บึงเก่าทั้งหมด แม้รอบๆวัดมีชาวบ้านมาขอปลูกบ้านอยู่อาศัยกันบ้าง แต่ทางวัดก็ได้สงวนอนุรักษ์ส่วนของ “บึงน้ำศักดิ์สิทธิ์” ที่เป็นบางส่วนของบึงเก่าเอาไว้ และต่อมาทางส่วนราชการได้มีงบประมาณมาก่อสร้างพลับพลา สำหรับพิธีพลีน้ำหลวง จากบึงศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ไว้อย่างสวยงาม

    แต่อย่างไรก็ดีพื้นที่ทั่วทั้งบริเวณ วัดบึงพระอาจารย์หรือต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ เป็นวัดสุนทรพิชิตาราม คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึมซับพลังฌาณบารมี และกระแสอำนาจอิทธิจิตฤทธิ์วิชชา เป็นที่สถิตเสถียรแห่งดวงญาณ อันทรงฤทธิ์แก่กล้า ของเหล่าบูรพาจารย์ อาจาริยะเทวะ พระอาจารย์ และครูบาอาจารย์ มานับรุ่นสู่รุ่นจวบจนทุกวันนี้

    อาจารย์ เอกใหญ่ บึงพระอาจารย์
    24 ตค 2555

    52719295_1988374324601056_7641458676053573632_n.jpg


     
  16. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    จงอย่ากลัวคนนินทาหรืออายการทำความดี

    เพราะคนที่นินทาคนทำความดีควรจะน่าละอายมากกว่า

    เพจนี้หวังอย่างยิ่งจะให้ความรู้ในเรื่องต่างๆๆและแง่

    คิดมากกว่าความรู้ทางไสยเวทย์ เพราะที่นี่ไม่ใช่ผู้

    เก่งกาจหรือมีภูมิรู้สูงทางด้านไสยเวทย์ ถ้าคุณต้อง

    การเช่นนั้น ควรมองหาความรู้เรื่องเหล่านี้จากที่อื่นครับ

    v3VLf8vTNdCWtgWo33dhyZfyBUgtjhx5LlsKANNp3kHia7u0AX5iiwzgMMUqahwvcqTF3xA&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
  17. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    ฟ้าทะลายโจร
    ฟ้าทะลายโจร ชื่อสามัญ Kariyat





    ฟ้าทะลายโจร ชื่อวิทยาศาสตร์ Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)

    สมุนไพรฟ้าทะลายโจร (มักเขียนผิดเป็น ฟ้าทลายโจร, ฟ้าทะลายโจน) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ฟ้าทะลาย ฟ้าทะลายโจร น้ำลายพังพอน (กรุงเทพมหานคร), สามสิบดี เขตตายยายคลุม (ร้อยเอ็ด), หญ้ากันงู (สงขลา), ฟ้าสะท้าน (พัทลุง), เมฆทะลาย (ยะลา), ฟ้าสาง (พนัสนิคม), ขุนโจรห้าร้อย (ภาคกลาง), ซวนซิน เหลียง เจ็กเกี่ยงสี่ คีปังฮี โซ่วเซ่า (จีน) เป็นต้น

    ลักษณะของฟ้าทะลายโจร
    • ต้นฟ้าทะลายโจร จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีความสูงประมาณ 30-70 เซนติเมตร หรือประมาณ 1-2 ศอก ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม แตกกิ่งมาก ทุกส่วนของต้นมีรสขม กิ่งเป็นใบสีเหลี่ยม สามารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน และหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน
    %E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3.jpg

    %B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3.jpg

    • ใบฟ้าทะลายโจร ลักษณะเป็นใบเดี่ยว แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ลักษณะของใบรียาว ปลายใบแหลม


    %B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3.jpg %B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3.jpg


    • ดอกฟ้าทะลายโจร ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งและตามซอกใบ ดอกมีขนาดเล็กสีขาว มีดอกย่อย กลีบดอกมีสีขาวโคนกลีบติดกัน ปลายแยกเป็น 2 ปาก ปากบนมี 3 กลีบ (มีเส้นสีม่วงแดงพาดอยู่) ส่วนปากล่างมี 2 กลีบ
    • ผลฟ้าทะลายโจร ลักษณะเป็นฝัก ฝักจะคล้ายกับฝักต้อยติ่ง (หรือเป๊าะแป๊ะ) ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่ฝักจะเป็นสีน้ำตาลและแตกได้ ภายในฝักมีเมล็ดสีน้ำตาลอ่อนจำนวนมาก
    %B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%99.jpg

    • สมุนไพรฟ้าทะลายโจร มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ทางยาสมุนไพรอยู่ 3 สารด้วยกัน โดยเป็นสารในกลุ่ม Lactone ซึ่งก็คือ สารแอดโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide), สารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (Neo-Andrographolide), และสาร 14-ดีอ๊อกซี่แอนโดรกราโฟไลด์ (14-deoxy-andrographolide) โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้แก่ ใบสด ใบแห้ง และทั้งต้น โดยใบจะเก็บมาใช้ได้เมื่อต้นมีอายุได้ราว 3-5 เดือน
    %B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3.jpg

    สรรพคุณของฟ้าทะลายโจร
    1. สรรพคุณฟ้าทะลายโจรช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย รวมไปถึงช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวให้จับกินเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
    2. สรรพคุณฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
    3. สรรพคุณฟ้าทะลายโจร ใบใช้เป็นยาขมช่วยทำให้เจริญอาหาร (ใบ)
    4. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ต้นฟ้าทะลายโจร กระชาย และว่านเอ็นเหลือง นำมาทำเป็นยาเม็ดลูกรับประทาน (ต้น)
    5. ช่วยป้องกันและแก้อาการหวัด คัดจมูก ด้วยการใช้ใบและกิ่งประมาณ 1 กำมือ (สดใช้ 25 กรัม แต่ถ้าแห้งใช้ 3 กรัม) นำมาต้มกับน้ำดื่ม รับประทานก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือในขณะที่มีอาการ (กิ่ง, ใบ)




    1. ช่วยแก้อาการปวดหัวตัวร้อน อาการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุ ด้วยการใช้ใบและกิ่งประมาณ 1 กำมือ (สดใช้ 25 กรัม แต่ถ้าแห้งใช้ 3 กรัม) นำมาต้มกับน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือในขณะที่มีอาการ (กิ่ง, ใบ)
    2. ฟ้าทะลายโจร สรรพคุณช่วยแก้ไข้ทั่ว ๆ ไป อาการปวดหัวตัวร้อน เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น (ใบ, กิ่ง)
    3. ช่วยรักษาไข้ไทฟอยด์ ด้วยการรับประทานฟ้าทะลายโจรก่อนอาหารครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้กินยาบำรุงเพื่อฟื้นฟูกำลังของผู้ป่วยร่วมด้วย
    4. ช่วยแก้อาการไอ ลดน้ำมูก และช่วยฆ่าเชื้อที่จมูก ด้วยการใช้ใบนำมาทำเป็นยาผงแล้วนำมาใช้สูดดม (ใบ)
    5. ช่วยลดและขับเสมหะ ด้วยการใช้ใบนำมาทำเป็นยาผงแล้วนำมาใช้สูดดม (ใบ)
    6. ช่วยระงับอาการอักเสบ แก้อาการเจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ด้วยการใช้ใบนำมาทำเป็นยาผงแล้วนำมาใช้สูดดม (ใบ)
    7. ช่วยแก้อาการติดเชื้อ ระงับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน เป็นบิด ด้วยการใช้ทั้งต้น (ส่วนทั้ง 5 ของฟ้าทะลายโจร) นำมาผึ่งลมให้แห้งแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 กำมือ (น้ำหนักประมาณ 3-9 กรัม) แล้วนำมาต้มกับน้ำดื่มตลอดวัน (ทั้งต้น)
    8. ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ใบฟ้าทะลายโจรตากแห้ง 15 กรัมและเตยหอมสดหั่นแล้ว 15 กรัม นำมาต้มกับน้ำพอท่วมยาจนเดือด ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น จะช่วยทำให้อาการร้อนในดีขึ้น แต่ถ้าอยากให้หายขาด แนะนำว่าไม่ต้องดื่มน้ำหลังอาหารมากเกินไป รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และออกกำลังกายทุกวัน อาการร้อนในก็จะหายไปในที่สุด (ใบ)
    9. ฟ้าทะลายโจรมีรสขมมาก โดยความขมจะเหนี่ยวนำช่วยทำให้ขับน้ำลายออกมามากขึ้น จึงทำให้ชุ่มคอ
    10. ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ
    11. ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการช่วยลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูก
    12. ฟ้าทะลายโจรมีส่วนช่วยลดการติดเชื้ออหิวาตกโรคในอุจจาระ แต่อาจจะไม่ดีเท่าการใช้ยาเตตราไซคลีนในการรักษา แต่ก็สามารถใช้ทดแทนได้
    13. ช่วยรักษากระเพาะลำไส้อักเสบ (ใบ)
    14. ฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณช่วยในการย่อยอาหารและช่วยเร่งให้ตับสร้างน้ำดี
    15. ช่วยบรรเทาอาการของโรคริดสีดวง ด้วยการรับประทานฟ้าทะลายโจรก่อนอาหารและก่อนนอนครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง จะช่วยทำให้อาการเลือดออกหรืออาการปวดถ่วงหายไป ทำให้ขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น
    16. ช่วยรักษาโรคตับ ด้วยการรับประทานฟ้าทะลายโจรก่อนอาหารวันละ 2-3 เม็ด วันละ 3 ครั้ง (และควรใช้ยาบำรุงชนิดอื่นด้วย)
    17. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ฝี แผลฝี ด้วยการใช้ใบค่อนข้างแก่ประมาณ 1 กำมือ แล้วเอาเกลือ 3 เม็ด นำมาตำผสมรวมกันในครกจนละเอียด แล้วเอาสุราครึ่งถ้วยชา น้ำครึ่งช้อนชาใส่รวมลงไป คนให้เข้ากันแล้วเทกินค่อนถ้วยชา ส่วนกากที่เหลือนำมาพอกแผลฝี แล้วใช้ผ้าสะอาดพักไว้ ตอนพอกเสร็จใหม่ ๆ อาจจะรู้สึกปวดบ้างเล็กน้อย (ใบ)
    18. ช่วยรักษาแผลอักเสบที่เกิดจากโรคเบาหวาน ด้วยการรับประทานเป็นยาฟ้าทะลายโจรแบบเม็ดและการใช้ทาเพื่อรักษาอาการ
    19. ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดหนองได้ (ใบ)
    20. ช่วยรักษาโรคงูสวัด ด้วยการรับประทานยาฟ้าทะลายโจรก่อนอาหาร 2-3 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ เนื่องจากงูสวัดคือเชื้อไวรัสที่จะอยู่นาน 3 สัปดาห์ ถ้าใช้รักษาให้ครบตามเวลา ก็จะทำให้ไม่กลับมาเป็นอีก
    ประโยชน์ของฟ้าทะลายโจร
    • ช่วยแก้ปัญหาผมร่วง ด้วยการใช้ฟ้าทะลายโจรแคปซูล โดยใช้ครั้งละ 1 แคปซูลด้วยการนำผงดังกล่าวไปละลายในน้ำอุ่น แล้วนำมาชโลมให้ทั่วหนังศีรษะ ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก
    • ปัจจุบันได้มีการนำสมุนไพรฟ้าทะลายโจรมาผลิตเป็น แคปซูลฟ้าทะลายโจร ซึ่งหาซื้อมารับประทานได้ง่ายและสะดวกในการรับประทานมากยิ่งขึ้น




    วิธีใช้ฟ้าทะลายโจร
    • ทำเป็นยาชง ด้วยการใช้ใบสดหรือใบแห้ง (ใบสดจะมีสรรพคุณที่ดีกว่า) ประมาณ 5-7 ใบ แล้วนำมาต้มกับน้ำเดือดลงจนเกือบเต็มแก้ว แล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่ออุ่นแล้วก็นำมารินดื่ม โดยให้รับประทานก่อนอาหารและก่อนนอนครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง
    • ทำเป็นยาลูกกลอน หรือ ยาเม็ดฟ้าทะลายโจร ด้วยการใช้ใบสดนำมาล้างให้สะอาด แล้วผึ่งในที่ร่มที่มีลมโกรกให้แห้ง (ห้ามตากแดด) นำมาบดจนเป็นผงละเอียด แล้วนำมาปั้นผสมกับน้ำผึ้ง (หรือน้ำเชื่อมก็ได้เช่นกัน) ให้เป็นเม็ดขนาดเท่ากับเม็ดถั่วเหลือง (หนักประมาณ 250 มิลลิกรัม) เมื่อปั้นเสร็จแล้วให้ผึ่งลมจนแห้ง (ถ้าไม่แห้งแล้วนำมารับประทานจะขมมาก) โดยรับประทานก่อนอาหารและก่อนนอนครั้งละ 4-10 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง
    • ทำเป็นยาแคปซูล ด้วยการใช้ผงยาที่ปั้นเป็นยาลูกกลอน ก็ให้นำมาใส่ในแคปซูล เพื่อที่จะช่วยกลบรสขมของยา ทำให้รับประทานได้ง่าย โดยขนาดแคปซูลที่ใช้คือ ขนาดเบอร์ 2 (250 มิลลิกรัม) ใช้รับประทานก่อนอาหารและก่อนนอนวันละ 3-4 แคปซูล วันละ 3-4 ครั้ง
    • ทำเป็นยาผงสำหรับใช้สูดดม โดยใช้ยาผงที่บดละเอียดนำมาใส่ขวด ปิดฝาเขย่าแล้วเปิดฝาออก ผงควันก็จะลอยออกมา ก็ให้สูดดมควันนั้นเข้าไป โดยผงยาจะติดที่คอช่วยทำให้ยาออกฤทธิ์ที่ลำคอโดยตรง จึงช่วยลดเสมหะ แก้อาการเจ็บคอ ช่วยลดน้ำมูก และช่วยฆ่าเชื้อในจมูกได้เป็นอย่างดี (ซึ่งวิธีนี้จะดีกว่าวิธีกวาดคอ วิธีเป่าคอ และวิธีการชง เพราะจะรู้สึกขมน้อย ไม่รู้สึกขยาดเวลาใช้ ใช้งานง่ายและสะดวก) โดยนำมาสูดดมบ่อย ๆ วันละหลาย ๆ ครั้ง แต่ถ้ารู้สึกคลื่นไส้ให้หยุดใช้สักพัก เมื่อหายแล้วก็นำมาสูดใหม่จนกว่าอาการจะดีขึ้น
    • ทำเป็นยาดองเหล้า หรือทำเป็นยาทิงเจอร์ ด้วยการใช้ผงแห้งที่ได้นำมาแช่กับสุราโรง 40 ดีกรี (แต่ถ้าใช้แอลกอฮอล์ที่สามารถรับประทานได้ หรือ Ethyl alcohol ก็จะดีกว่าเหล้า) โดยแช่พอท่วมยาผงขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นปิดฝาขวดให้แน่น ทิ้งไว้ 7 วัน และให้เขย่าขวดทุก ๆ วัน วันละ 1 ครั้ง เมื่อครบตามกำหนดก็ให้กรองเอาแต่น้ำนำมาดื่มก่อนอาหารครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ (รสชาติจะขมมาก) วันละ 3-4 ครั้ง (ส่วนที่เหลือก็ให้เก็บไว้ในขวดที่สะอาดและปิดให้สนิท)
    %B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B8%A5.jpg

    ผู้ที่ไม่ควรใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร
    • สตรีมีครรภ์
    • ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำ
    • ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคหัวใจรูห์มาติค (Rheumatic heart disease)
    • ผู้ที่มีอาการเจ็บคอเนื่องมาจากการติดเชื้อ Streptococcus group A
    • ผู้ที่มีประวัติเคยเป็นโรคไตอักเสบ เนื่องมาจากการติดเชื้อ Streptococcus group A
    • ผู้ที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากติดเชื้อแบคทีเรียและมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง มีอาการหนาวสั่น มีหนองในลำคอ
    คำแนะนำในการใช้ฟ้าทะลายโจร
    • ในต้นฟ้าทะลายโจรมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ซึ่งละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ แต่ละลายน้ำได้น้อย ดังนั้นตำรับยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรสูตรยาดองเหล้าหรือยาทิงเจอร์จึงมีฤทธิ์แรงที่สุด ส่วนชนิดชงจะมีฤทธิ์รองลงมา และแบบยาเม็ดจะมีฤทธิ์อ่อนที่สุด
    • ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับใช้รักษา "หวัดร้อน" (อาการเหงื่อออก กระหายน้ำ เจ็บ ท้องผูก ปัสสาวะสีเข้ม) แต่ฟ้าทะลายโจรจะไม่เหมาะกับการนำมาใช้รักษาผู้ที่มีอาการ "หวัดเย็น" (ไม่มีเหงื่อ ปัสสาวะบ่อย รู้สึกหนาวสะท้านบ่อย อุ้งมืออุ้งเท้าเย็น) เพราะอาจจะเกิดอาการกำเริบขึ้นได้ เช่น มีอาการหนาวสั่น คลื่นไส้ เป็นต้น
    • ข้อควรระวังในการใช้ ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจร เพราะฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณในการลดความดันโลหิตอยู่แล้ว ซึ่งถ้าหากใช้ฟ้าทะลายโจรอาจจะทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ หรือมีอาการมึนงง วิธีการแก้ก็คือให้หยุดใช้ทันที หลังจากนั้น 3-4 ชั่วโมงอาการก็จะดีขึ้นเอง เพราะตัวยาสามารถถูกขับออกไปได้และไม่ตกค้างในร่างกาย
    • ผลข้างเคียงของฟ้าทะลายโจร สำหรับบางรายที่ใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรแล้วเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย มีอาการปวดเอว หรือมีอาการวิงเวียนศีรษะ แสดงว่าคุณแพ้สมุนไพรชนิดนี้ หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดการใช้ยา และเปลี่ยนไปใช้ยาสมุนไพรชนิดอื่นแทน แต่ถ้ามีอาการแพ้ไม่มากก็อาจจะลดขนาดในการรับประทานลงตามความเหมาะสม
    • การใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรในการรักษาอาการต่าง ๆ หากใช้ติดต่อกัน 3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น คุณควรหยุดใช้และให้ไปพบแพทย์ทันที
    • ไม่ควรรับประทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรติดต่อกันนานเกินกว่า 1 สัปดาห์ เพราะอาจจะส่งผลทำให้ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแขนและขา และยังรวมไปถึงอาการท้องอืด หน้ามืดตามัว และมือเท้าชา (แต่จากงานวิจัยก็ไม่พบว่าจะเป็นอันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตหรือมีผลต่อระบบภายในแต่อย่างใด) เพราะสมุนไพรชนิดนี้ตามตำราเวชศาสตร์การแพทย์แผนโบราณระบุไว้ว่าเป็นยาเย็น ช่วยลดธาตุไฟในร่างกาย เมื่อรับประทานเข้าไปร่างกายที่ร้อนจากอาการไข้ก็จะเย็นลง แต่ถ้าหากร่างกายอยู่ในสภาพปกติ การรับประทานติดต่อกันนาน ๆ ก็จะทำให้ร่างกายไม่มีแรง แต่ถ้าหากคุณจำเป็นต้องใช้สมุนไพรชนิดนี้ติดต่อกันเกินกว่า 1 สัปดาห์ ก็ควรจะรับประทานคู่กับน้ำขิง เพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย (นพ.วิชัย ขัตติยวิทยากุล สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา, พญ.ดร.อัญชลี จุฑ รองผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข)

    แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล, องค์การเภสัชกรรม, ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์

    ภาพประกอบ : www.thaiherbalmed.com, เว็บไซต์ botanyschool.ning.com, เว็บไซต์ thaicrudedrug.com (Sudarat HomHual), เว็บไซต์ the-than.com

    เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)
     
  18. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี

    ชาติภูมิ หลวงปู่เขียวได้ถือกำเนิดในตระกูลชาวนาที่บ้านหนองยาว ต.ไสหมาก อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ในวันอาทิตย์ เดือนยี่ ปีมะเมีย พ.ศ.๒๔๒๔ บิดาชื่อนายปลอด มารดาชื่อนางแป้น มีพี่น้องด้วยกันสี่คนเป็นชายสองคนหญิงสองคน หลวงปู่เขียวเป็นพี่ชายคนโต น้องชายชื่อนายพลับ น้องสาวชื่อนางเอียด และนางปาน น้องชายและน้องสาวของท่านได้เสียชีวิตไปก่อนท่าน (นามสกุลไม่มีเพราะสมัยหลวงปู่เขียวก่อนอุปสมบทยังไม่ประกาศใช้นามสกุลซึ่งนามสกุลประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๖)

    บรรพชา อุปสมบท คุณยายแหวดอยู่ที่บ้านสะพานชะเมาตำบลท่าเรืออำเภอเมืองจังหวัดนครศรีฯซึ่งเป็นลูกยกของหลวงปู่เขียวได้เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่เขียวเมื่อสมัยเป็นหนุ่มแรกรุ่นท่านเป็นคนชอบศิลปะหนังตะลุงมโนรา ท่านอยากเป็นนายหนังตลุงหรือมโนราจึงได้ติดตามไปกับนายหนังตลุงและมโนราหลังจากเสร็จหน้านาแล้วหายไปทีละนานๆ แต่ว่าคุณย่าของหลวงปู่เขียวชรามากแล้ว จึงอยากให้หลานมาบวชให้ โดยคูณย่าของหลวงปู่เขียวได้ถักรัดประคตไว้ให้ท่าน คุณย่าของหลวงปู่เขียวจึงให้คนไปตามหลวงปู่เขียว เมื่อหลวงปู่เขียวทราบว่าคุณย่าตามหาให้กลับไปบวช จึงได้เดินทางกลับไปยังบ้านหนองยาว แต่ตอนนั้นหลวงปู่เขียวอายุแค่๑๘ปียังไม่ครบ๒๐ปีบริบูรณ์ จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ก่อนเป็นเวลา๒ปี เมื่ออายุได้๒๐ปีบริบูรณ์ หลวงปู่เขียวจึงได้อุปสมบทตรงกับ พ.ศ.๒๔๔๔ ตรงกับปีฉลู ซึ่งเรื่องพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่เขียวนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด ได้สอบถามตาร่วง สุขศีล ปัจจุบันอายุ๑๐๒ปีแล้ว ซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับวัดหรงบนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ได้เล่าไห้ฟังว่าหลวงปู่เขียวได้นั่งเรือไปอุปสมบทที่ปากพนังฝั่งตะวันออก ซึ่งประจวบกับที่วัดแจ้ง ต.บ้านเพิง อ.ปากพนัง จ.นครศรีฯ มีพระอุปัชฌาย์อยู่รูปหนึ่งที่ชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่าพระอุปัชฌาย์เฒ่า ชื่อว่าพ่อท่านนุ่น สิริมุนี ซึ่งชาวบ้านแถบวัดแจ้งเล่ากันว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระเกจิอำเภอปากพนังหลายรูปเช่น พ่อท่านเมือง วัดปากบางท่าพญา ปี๒๔๕๐ พ่อท่านขาว วัดปากแพรก พ่อท่านเพชร วัดป่าระกำเหนือ และหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี วัดหรงบน จากคำบอกเล่าของตาร่วง สุขศีล ก็ไปตรงกับชาวบ้านแถบวัดแจ้งพอดีจึงน่าจะเชื่อถือได้ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์ของหลวงปู่เขียวคือ พระเกื้อ ซึ่งเดิมเป็นชาวตำบลไสหมากแต่ภายหลังท่านได้ลาสิกขาไป พระอนุสาวนาจารย์คือ พระเต้ง ภายหลังท่านได้แปลญัตติใหม่เป็นนิกายธรรมยุติอยู่วัดสระเกษ ต.บางตะพง อ.ปากพนัง จ.นครศรีฯได้รับสมณะศักดิ์ที่ พระครูบริหารสังฆกิจ
    หลังอุปสมบทแล้วหลวงปู่เขียวได้ไปอยู่จำพรรษาที่วัดหรงบนฝากตัวเป็นศิษย์กับพระอาจารย์เอียด เจ้าอาวาสวัดหรงบนขณะนั้นเพื่อศึกษาสมถะภาวนาและวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ประมาณ๕พรรษา(๕ปี)จึงได้ขออนุญาตออกไปธุดงค์ หลวงปู่เขียวได้ออกธุดงค์ไปตามแนวป่าของภาคใต้แถบจังหวัดนครศรีฯ ตรัง พัทลุง ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพ่อท่านเอียด วัดในเขียวด้วย หลวงปู่เขียวท่านได้ออกไปจากวัดหรงบนนานถึง๘ปี จนพี่น้องและญาติโยมนึกว่าท่านอาจจะมรณะภาพไปในราวป่าเสียแล้วเพราะเงียบหายไปนาน
    มีเรื่องเล่าว่าในขณะที่หลวงปู่เขียวธุดงค์อยู่นั้นท่านได้เข้าไปนั่งพักภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ท่านได้เอามือค้ำยันตัวกับหินภายในถ้ำ ปรากฏว่าหินยุบลงเป็นรอยมือลึกลงไปเป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง ซึ่งขณะนั้นมีสามเณรติดตามหลวงปู่เขียวอยู่รูปหนึ่งได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วย หลวงปู่เขียวท่านจึงสั่งห้ามไม่ให้สามเณรนำเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้ไครฟังเด็ดขาด ภายหลังสามเณรรูปนี้ได้ลาสิกขาไปแต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเหตุการณ์ภายในถ้ำ และไม่นานก็ได้เสียชีวิตลง

    เป็นเจ้าอาวาสวัดหรงบน หลังจากหลวงปู่เขียวธุดงค์อยู่นานก็กลับมาวัดหรงบนขณะอายุได้๓๓ปีตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๗ แต่ปรากฏว่าพระอาจารย์เอียด ได้มรณะภาพเสียแล้วหลายปี ทำให้วัดหรงบนไม่มีพระที่ปกครองดูแลพระภิกษุสามเณรและวัดวาอาราม ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ให้หลวงปู่เขียวอยู่วัดหรงบนเป็นที่พึ่งของพระเณรและชาวบ้านต่อไป และต่อมาหลวงปู่เขียวก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดหรงบนสืบต่อมาจากพระอาจารย์เอียด ตลอดมาจวบจนหลวงปู่เขียวมรณะภาพ

    ปฏิปทาหลวงปู่เขียว หลวงปู่เขียวเป็นคนมีอุปนิสัยมักน้อย สันโดษ พูดน้อย เคร่งขรึม ชอบความสงบเมื่อปลอดจากญาติโยมก็จะสวดมนต์นั่งสมาธิหันหน้าเข้าหาฝากุฏิอย่างสงบ ท่านยังขยันหมั่นเพียรท่านมักจะผ่าไม้ฟืนแล้วผูกไว้เป็นมัดๆอย่างเรียบร้อยโดยไม้ฟืนแต่ละอันจะยาวเสมอกันแล้วกองไว้เพื่อเอาไว้ต้มน้ำร้อนชงชาตอนเย็นๆจนไม้ฟืนกองท่วมศรีษะ ใบชาที่จะชงน้ำร้อนกินสมัยก่อนนั้นหาได้ยากมากสำหรับวัดบ้านนอกอยู่กลางทุ่งนาไม่มีถนนหนทางแม้แต่ไฟฟ้าก็ไม่มีอย่างวัดหรงบนสมัยนั้น ชาวบ้านจึงใช้ใบมะม่วงต้นหน้ากุฏิหลวงปู่เขียวมาย่างไฟใส่น้ำร้อนแทนใบชาดื่มกันโดยมีน้ำตาลกรวดที่นำมากวนไส่หัวหอมนิดหน่อยกวนจนเป็นฟองแล้วตั้งให้เย็นก็จะแข็ง(เรียกว่ากวนปลวก)จึงกะเทาะมากัดเคี้ยวดื่มกับน้ำชา หลวงปู่เขียวท่านมีความขยันท่านจะเก็บขยะเศษไม้ต่างๆและก้อนดินกับทั้งก้อนดินในนาที่ชาวบ้านนำเข้าวัดตามความเชื่อไม่ให้เป็นบาปเพราะดินที่ติดเท้าออกไปนอกวัด หลวงปู่เขียวก็จะเก็บโยนไปถมที่ลุ่มบริเวณวัดจนตื้นเขินเพราะวัดหรงบนเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในที่ลุ่มท้องนา ชาวบ้านใกล้วัดเล่าให้ฟังว่ามีสระน้ำเก่าอยู่สระหนึ่งหลวงปู่เขียวท่านเก็บขยะเศษไม้ก้อนดินเอาไปถมจนมิดสระ
    หลวงปู่เขียวนอกจากท่านจะเป็นคนพูดน้อยแล้ว ท่านจะเป็นคนพูดจริงเสียงดัง แต่ใจดี เมื่อญาติโยมเพิ่งเจอท่านครั้งแรกอาจจะตกใจ แต่เมื่อได้พูดคุยกับท่านแล้วจะรู้ว่าท่านมีเมตตาสูง เล่ากันว่ามีแม่ไก่มาไข่บนที่นอนเหนือศรีษะท่านๆก็ไม่ไล่ปล่อยให้แม่ไก่ฟักไข่ออกลูกพาลูกไก่ไปเอง
    มีอยู่ครั้งหนึ่งมีขโมยขึ้นมาขโมยของบนกุฏิซึ่งหลวงปู่เขียวนอนอยู่ในมุ้งท่านก็ใช้เท้าถีบย่ามของท่านออกนอกมุ้งให้ขโมยมันเอาไป
    หลวงปู่เขียวท่านเป็นพระเคร่งครัดพระธรรมวินัยไม่จับต้องเงินทองและขยันในการศึกษาพระธรรมคำสอนบทสวดมนต์ต่างๆ ท่านจะคอยเดินตรวจสอบดูพระเณรในวัดอยู่เสมอๆว่าขยันท่องบ่นบทสวดมนต์หรือไม่ หากไครนอนหลับหรือจับกลุ่มคุยกันก็จะโดนท่านดุโดนเขี่ยนได้
    วาจาสิทธิ์ ชาวบ้านทั้งหลายต่างเชื่อกันว่าหลวงปู่เขียวท่านมีวาจาสิทธ์พูดอย่างไรจะเป็นอย่างนั้น จึงเป็นที่เกรงกลัวกันไม่กล้าขัดขืนโต้เถียงท่านกลัวว่าหากหลวงปู่เขียวท่านหลุดปากพูดไปไม่ดีอาจจะเป็นจริงได้จึงทำให้ชาวบ้านทั้งหลายทั้งกลัวเกรงและเคารพนับถือหลวงปู่เขียวอย่างมาก
    เรื่อง อีห้วงมึงมีแต่เข่งไม่มีข้าว ที่ทางทิศตะวันออกของวัดหรงบนไม่ไกลมากมีโยมอุปัฏฐากหลวงปู่เขียวอยู่คนหนึ่งชื่อ นางห้วง คอยยกปิ่นโตหรือสำรับมาถวายหลวงปู่เขียวอยู่เสมอๆกับทั้งวันพระวันโกนไม่ได้ขาด นางห้วงได้สามีเป็นคนจีนทำอาหารเก่งและขยันทำงาน จะเช่าที่นาหรือทำแบ่งข้าวกันภาษาถิ่นใต้เรียกว่าทำหวะจนมีข้าวเก็บจนเต็มยุ้งฉาง ข้าวที่เก็บไว้เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องการใช้เงินทองจึงจะนวดขายกันคราวนึง มีอยู่วันหนึ่งเป็นช่วงตรุษจีนนางห้วงก็ยกปิ่นโตมาถวายหลวงปู่เขียวในวันพระ ซึ่งมีแกงและขนมเข่งแต่ลืมใส่ข้าวสวยมาด้วย เมื่อหลวงปู่เขียวเปิดปิ่นโต ท่านจำได้ว่าเป็นปิ่นโตของนางห้วง ท่านจึงพูดบอกขึ้นดังๆว่า “อีห้วงมึงมีแต่เข่งไม่มีข้าว”หลังจากนั้นมาไม่นานจากที่นางห้วงและสามีทำนาได้ข้าวมามากมายจนเต็มยุ้งฉาง ก็ค่อยๆหดหายไปไม่มีข้าวมาใส่ยุ้งฉางเลย ทำนาๆก็ล่ม เช่านาก็ไม่ได้เหมือนแต่ก่อน นางห้วงจึงคิดว่าคงเป็นเพราะวาจาหลวงปู่เขียวเมื่อคราวครั้งนั้นเป็นแน่ นางห้วงได้แต่เสียใจพูดขึ้นมาทีไรก็เอาแต่ร้องให้ ว่าที่แกต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะวาจาของหลวงปู่เขียว โดยปกติชาวบ้านก็เชื่ออยู่แล้วว่าหลวงปู่เขียวท่านมีวาจาสิทธิ์ แต่ถึงอย่างไรนางห้วงก็ไม่กล้าไปพูดกับหลวงปู่เขียว เอาแต่พูดเสียใจอยู่ข้างนอกกับคนอื่นๆเพราะกลัวหลวงปู่เขียวจะได้ยิน

    เรื่อง ปากกาปาร์กเกอร์ลอยน้ำ พระประมูล จนฺทูปโม อดีตพระวัดหรงบนได้เล่าให้ฟังว่าสมัยท่านหนุ่มๆกำลังทำงานที่สหกรณ์สวนยางทุ่งสง ท่านมีบ้านเดิมอยู่บ้านสระโพธิ์ทางทิศตะวันตกของวัดหรงบนนี่เอง ท่านได้มาเยี่ยมญาติพี่น้องและเข้ามากราบหลวงปู่เขียวที่วัดหรงบน ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูฝนมีน้ำท่วมขังบริเวณวัด ท่านได้เดินลุยน้ำไปที่กุฏิหลวงปู่เขียว ใกล้จะถึงกุฏิหลวงปู่เขียวแล้วท่านทำปากกาปาร์กเกอร์ตกลงไปในน้ำจึงควานหาอยู่พักใหญ่แล้ว หลวงปู่เขียวเห็นเข้าจึงถามว่าทำอะไร ท่านตอบว่าหาปากกาอยู่มันตกน้ำ หลวงปู่เขียวจึงพูดว่า “ไปงมหาอยู่ทำไมมันก็ลอยอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ” ได้ยินดังนั้นท่านจึงหยุดงมหาและยืนดูก็เห็นปากกาปาร์กเกอร์ลอยน้ำอยู่ตรงที่ๆมันตกนั่นเอง พระประมูล จนฺทูปโม เล่าว่ามันแปลกมากก็ท่านหาอยู่ตั้งนานไม่เห็น จึงเชื่อว่านี่เป็นเพราะวาจาสิทธิ์ของหลวงปู่เขียวนั่นเอง

    ปลงอายุสังขาร

    ปลายชีวีตของหลวงปู่เขียวท่านต้องเดินทางไปกิจนิมนต์ต่างๆมากมาย บางครั้งมีนิมนต์ไปพุทธาภิเสกพระยังต่างจังหวัด ต่างภาค ถึงจังหวัดนครปฐมที่วัดกลางบางแก้วช่วงปีพ.ศ.๒๕๑๗และปีพ.ศ.๒๕๑๘ ทีจังหวัดสุพรรนบุรีปีพ.ศ.๒๕๑๘ วัดชลอ จังหวัดนนทบุรีปีพ.ศ.๒๕๑๘ทั้งๆที่ท่านชราภาพมากแล้ว อายุตอนนั้นปีพ.ศ.๒๕๑๘ถึง๙๔ปีแล้ว แต่ด้วยความเมตตาของท่านและความศัทธาของผู้ที่มานิมนต์ท่านยังต้องเดินทางไกล แต่ด้วยหลวงปู่เขียวท่านเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงจึงสามารถเดินทางไกลๆได้ทั้งๆชราภาพมากแล้ว
    ประมาณกลางปีพ.ศ.๒๕๑๘ซึ่งขณะนั้นพระครูพิบูลย์ศีลาจารย์(พ่อท่านเกลื่อม ฐานิสสโร)เจ้าอาวาสวัดคงคาวดี(วัดกลาง)วึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่เขียวท่านหนึ่ง และพ่อท่านขำ เจ้าอาวาสวัดหงส์แก้ว พระอาจารย์เพชร จิตฺตเสโน พระเถระวัดหรงบนศิษย์ของหลวงปู่เขียว พร้อมทั้งพระภิกษุสามเณรวัดหรงบนได้อยู่กันพร้อมหน้า หลวงปู่เขียวจึงได้บอกกับพระภิกษุสามเณรและลูกศิษย์พระเถระในที่นั้นให้ทราบว่าท่านจะมรณภาพในปีหน้า(พ.ศ.๒๕๑๙)ตรงกับวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ แต่บรรดาพระภิกษุสามเณรในที่นั้นกลับคิดกันว่าหลวงปู่เขียวยังแข็งแรงดีอยู่คงยังไม่มรณภาพในระหว่างนั้น เพราะไม่มีอาการป่วยไข้หรือบอกเหตุอะไรว่าจะมรณภาพได้ จึงไม่มีใครคาดคิดว่าหลวงปู่เขียวจะมรณภาพตามที่ท่านบอกไว้
    สั่งทำโลงศพ เมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๘หลังจากหลวงปู่เขียวได้บอกว่าท่านจะมรณภาพแล้ว ท่านก็ได้สั่งให้ ตาร่วง สุขศีล ซึ่งเป็นช่างไม้มีบ้านอยู่ไกล้วัดหรงบนต่อโลงศพให้ท่าน ตาร่วงได้นำเอาไม้จำปามาต่อโลงศพให้หลวงปู่เขียว หลวงปูเขียวท่านก็จะมาช่วยตาร่วงขัดไม้ด้วย จนแล้วถึงต้นปีพ.ศ.๒๕๑๙โลงศพที่หลวงปู่เขียวสั่งให้ตาร่วงต่อนั้นยังไม่เสร็จเรียบร้อย หลวงปู่เขียวจึงสั่งให้ตาร่วงเร่งมือเข้าโดยบอกว่า “ให้เร่งมือเข้าเราใกล้ที่จะถึงวันมรณภาพแล้ว” และหลวงปู่เขียวเองก็ช่วยเอากระดาษทรายช่วยขัดโลงศพของท่านให้เรียบร้อยสวยงามให้แล้วเสร็จก่อนที่ท่านจะมรณภาพ
    405970_345486932135887_1674750635_n.jpg
     
  19. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    ความรู้ทางจิตนั้นแตกต่างจากความรู้ของสมอง

    โดยสิ้นเชิง การนำความรู้ทางจิตมาใช้ได้ต้อง

    ปล่อยวาง เข้าสู่สภาวะว่าง ไม่ใช้สมองมาคิด

    ความรู้ทางจิตจะผุดขึ้นมาเอง เหมือนการทำ

    วิปัสสนา แต่เดี๋ยวนี้คนจะใช้วิปัสสนึกมากกว่า

    นึกเอา จำมาคิด นั้นใช้ไม่ได้ ต้องวางเข้าสู่โหมด

    ว่างเท่านั้น
     
  20. เมตตาเปิดโลก

    เมตตาเปิดโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +547
    ความสงบทำให้จิตมีความสุข แต่ความวุ่นวายคือ

    บททดสอบจิต อย่าไปหนีหรือเบื่อ เราต้องเจอบท

    ทดสอบไปเรื่อย ยิ่งจิตแข็งแกร่งเท่าไหร่ผ่านมันไปได้

    ก็จะมีบททดสอบที่ยากขึ้นไปอีก จนไม่มีสิ่งใดมา

    กระทบให้จิตหวั่นไหวได้ เมื่อนั้นเราชนะมันแล้ว

    Rb9-WsxKXWPNIB8UteEwXXM07_OC0747qjDkTr_DHyi-MFsG3hhiai_dR3IAe32lDkgS7Rw&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...