เรื่องเด่น พลาดไปแล้ว ทำยังไงให้กำลังใจไม่ตก

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 16 สิงหาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    ปัณฑรสฤาษี ถามว่าในอนาคต
    ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จักมีความพอใจอย่างไร
    พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบ
    ดูก่อนปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังจงจำคำของอาตมาให้ดี ถึงอนาคต คือในกาลข้างหน้า ภิกษุเป็นอันมากจักเป็น คนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณเท่านี้ หัวดื้อ โอ้อวด ริษยา มีวาทะต่าง ๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึง คิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา
    ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพกันและกัน
    ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก ก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้ให้เศร้าหมอง ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลวโวหารจัด แกล้วกล้า มีกำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล ภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่เนื้อความ
    มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมีกำลังน้อย ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นา ที่ดิน แพะ แกะ และคนใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษคนอื่น ไม่
    ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแต่การทะเลาะวิวาท จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียวแดง เป็นคนลวงโลก กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล เที่ยวชูเขา คือมานะ ทำตนดั่งพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่ เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน ทำให้มีเส้นละเอียด เหลาะแหละ ใช้ยาหยอดและทาตา มีร่างกายคลุมด้วยจีวรที่ย้อมด้วยสีงา สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่ จักพากันเกลียดชังผ้าอันย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นของไม่น่าเกลียดพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้วยินดียิ่งนัก เป็นธงชัยของพระอรหันต์ พอใจแต่ในผ้าขาว ๆ
    จักเป็นผู้มุ่งแต่ลาภผล เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม
    เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็นความลำบาก จักใคร่อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉาชีพ จักได้ลาภเสมอๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น (เที่ยวคบหาราชสกุลเป็นต้นเพื่อให้เกิดลาภแก่ตน) ไม่สำรวมอินทรีย์เที่ยวไป
    อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจะไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย จักไม่สมคบภิกษุที่เป็นนักปราชญ์มีศีลเป็นที่รัก จักทรงผ้าสีแดง ที่ชนชาวมิลักขะชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้าอันเป็นธงชัยของตนเสีย
    บางพวกก็นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นธงของพวกเดียรถีย์ อนึ่งในอนาคตกาล ภิกษุเหล่านั้นจักไม่เคารพในผ้ากาสาวะจักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคาย บริโภคผ้ากาสาวะเมื่อทุกข์ครอบงำ ถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่พิจารณาโดยแยบคาย แสดงอาการยุ่งยากในใจออกมา มีแต่เสียง
    โอดครวญอย่างใหญ่หลวง เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์ได้เห็นผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่นายโสณุตระพราน นุ่งห่มไปในคราวนั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย
    ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์มากมายว่า ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะและสัจจะจักนุ่งผ้ากาสาวะ ผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดคายกิเลสดุจน้ำฝาดออกแล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีลอย่างมั่นคงประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นจึงสมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดมีศีลวิบัติ มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่อย่างเดียว มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่ขวนขวายในทางที่ควร ผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ
    มีใจตั้งมั่น มีความดำริในใจผ่องใส ผู้นั้นสมควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดไม่มีศีล ผู้นั้นเป็นคนพาล มีจิตใจฟุ้งซ่าน มีมานะฟูขึ้นเหมือนไม้อ้อ ย่อมสมควรจะนุ่งห่มแต่ผ้าขาวเท่านั้น จักควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะอย่างไร
    อนึ่ง ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักเป็นผู้มีจิตใจชั่วร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ จักข่มขี่ภิกษุทั้งหลายผู้คงที่ มีเมตตาจิต แม้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่
    ถึงพระเถระให้ศึกษาการใช้สอยผ้าจีวร ก็จักไม่เชื่อฟังพวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น อันพระเถระทั้งหลายให้การศึกษาแล้วเหมือนอย่างนั้น จักไม่เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อนายเพระอุปัชฌายาจารย์ จักเป็นเหมือนม้าพิการไม่เอื้อเฟื้อนายสารถีฉะนั้น ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้.



    ครั้นพระปุสสเถระแสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้นในกาลภายหลังอย่างนี้แล้ว เมื่อจะให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก จึงได้กล่าว คาถา ๓ คาถา ความว่า
    .......


    ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน

    ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย
    จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย มีความเคารพกันและกัน
    มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน
    จงสำรวมในศีล
    ปรารภความเพียร
    มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์

    ขอท่านทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัยและจงเห็นความไม่ประมาท

    โดยความเป็นของปลอดภัยแล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะ
    บรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย.




    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔




    [​IMG]
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    15965919_315305525530887_5495044031871582716_n.jpg
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    16195660_1765559200438061_1750453526010145750_n.jpg
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    20840748_1443547305724370_32395431050696666_n.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    +++ ส่วนใหญ่พวกเราพอได้ยินว่ายากแล้วก็ท้อถอย +++


    พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่พวกเราพอได้ยินว่ายากแล้วก็ท้อถอย การท้อถอยเกิดจากกำลังใจไม่พอ #กำลังใจที่ไม่พอเกิดจากกำลังสมาธิมีน้อยเกินไป ฉะนั้น...ใครท้อง่าย ถอยง่าย พยายามนั่งสมาธิเข้าไว้ #ถ้ามีกำลังสมาธิก็สามารถตื๊ออยู่ได้ทุกงาน ถ้ากำลังสมาธิดีก็ตื๊อจนสำเร็จทุกงาน"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑


    *******************************************************
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    ตัมพทาฐิกะ เพชฌฆาตเคราแดงแดงบรรลุธรรม

    สมัยหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเวฬุวันวรวิหาร พระพุทธองค์ได้ตรัสพระกถาว่า.. "...สหสฺสมปิ เจ วาจา อนตฺถปทสญฺหิตา เอกํ อตฺถปทํ เสยฺโย ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ. หากวาจาแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ไซร้ บทที่เป็นประโยชน์บทเดียว ซึ่งบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ประเสริฐกว่า..."

    เรื่องมีอยู่ว่า ในครั้งนั้นมีโจรกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่ของโจรได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็คือ เลวได้อย่างเต็มที่ คือการเลี้ยงชีพด้วยการปล้น การฆ่าชาวบ้าน ต่อมาก็มีบุรุษคนหนึ่ง ในบาลีใช้คำว่า “ตัมพทาฐิกะ” ผู้มีตาทั้งเหลือกทั้งเหลือง และมีเคราแดง แกก็จะอยากเป็นโจรกับเขาบ้าง จึงไปยังสำนักพวกโจร และกล่าวว่า “ผมขอเป็นสมาชิกกับพวกท่านด้วยเถิด” โจรคนหนึ่งก็พาเขาไปหาหัวหน้าโจร และกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าขอรับ บุรุษคนนี้เขาอยากเป็นโจรเหมือนพวกเรา ขอท่านหัวหน้าโปรดรับเขาด้วยเถิด”

    ปรากฏว่า พอหัวหน้าโจรสำรวจลักษณะชายคนนี้แล้วถึงกับสะดุ้ง และคิดในใจว่า พวกเราเลวแล้ว แต่ชายคนนี้มีลักษณะกักขฬะเหลือเกิน หยาบช้ามาก กัดหัวนมแม่เพื่อดื่มเลือดจากถันของมารดาก็ได้ ตัดคอพ่อแล้วดื่มเลือดจากลำคอพ่อก็ทำได้ หัวหน้าโจรจึงไม่รับเข้ากลุ่ม

    ชายเคราแดงก็พยายามเอาอกเอาใจลูกน้องคนสนิทของหัวหน้าโจร พยายามอ้อนวอน สุดท้าย ลูกน้องคนสนิทคนนี้ก็เลยเข้าไปอ้อนวอนหัวหน้าโจร

    เมื่อลูกน้องคนสนิทหัวหน้าโจรเห็นใจนายเคราแดงแล้ว ก็ไปบอกหัวหน้าว่า นายครับนายเคราแดงมีอุปการะกับกระผมมาก ขอให้รับนายเคราแดงให้เข้ากลุ่มเถอะ หัวหน้าโจรก็ใจอ่อนเพราะเห็นแก่ลูกน้องคนสนิทขอร้อง ก็เลยรับนายเคราแดงเข้ากลุ่มโจร

    ต่อมากลุ่มโจรทั้งห้าร้อยคนนี้ก็ได้ไปปล้นฆ่าชาวบ้านแล้วก็ถูกทหารพระราชาจับได้ทั้งห้าร้อยคน แต่พอจับกลับมาก็ไม่มีใครคนไหนใจกล้าพอจะอาสาเป็นเพชฌฆาตตัดหัวโจรทั้งห้าร้อยคนได้

    เจ้าหน้าที่จึงบอกกับหัวหน้าโจรว่าถ้าเจ้ายอมฆ่าลูกน้อง ๔๙๙ คนแล้ว ทางการก็จะงดโทษให้เจ้า แต่หัวหน้าโจรก็ไม่ยอมรับเพราะไม่คิดทรยศพวกเดียวกัน

    เจ้าหน้าที่จึงไปถามโจรในกลุ่มนั้นก็ไม่มีใครยอมทำ แต่พอไปถามถึงนายเคราแดง นายเคราแดงก็ยอมรับหน้าที่นี้ “ตัวข้าไม่ตาย เป็นพอ คนอื่นตายช่างมัน”

    หลังจากนั้นนายเคราแดงตัดหัวโจรทั้ง ๔๙๙ คนแล้ว เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเพชฌฆาตทำหน้าที่ตัดศีรษะประจำเมืองนั้น ไม่ต้องไปปล้นใคร แถมมีเกียรติเป็นที่ยกย่องเพราะถือว่าเป็นอาชีพที่พิทักษ์สันติราษฎร์ ให้กับประชาชน นายเคราแดงทำหน้าที่นี้อยู่ ๕๕ ปี ก็เข้าสู่วัยชรา ไม่สามารถฟันคอคนให้ขาดภายในทีเดียวได้เหมือนเดิม ต้องฟันสองที สามที ศีรษะนักโทษถึงจะขาด สร้างความเจ็บปวดให้นักโทษ ก็เลยถูกปลดเกษียณ

    วันที่นายเคราแดงปลดเกษียณ ชาวบ้านก็ถามว่า “จะฉลองให้ อยากได้อะไรบ้างล่ะ”
    เขาจึงบอกว่า “เวลาเป็นเพชฌฆาตไม่เคยได้นุ่งผ้าใหม่ ๆ กับเขาเลย เพราะเวลาฟันเลือดมันจะกระฉูด ถ้าใส่เสื้อผ้าใหม่มันก็เสียดาย เลยต้องนุ่งผ้าสีแดงเก่า ๆ จะได้เข้ากับเลือดคนที่กระเซ็นมาโดนได้”

    แล้วที่สำคัญเขาก็อยากกินข้าวยาคู คือ ข้าวต้มที่เจือด้วยน้ำนมปรุงด้วยเนยใสใหม่ เขาบอกว่าอยากกินมาก ๆ อาหารวิเศษอย่างนี้ ขอสักถาดได้ไหม ขอให้ประดับด้วยดอกมะลิ และทาด้วยของหอม ๔ ประการนี้ว่าแกก็อยากได้มานานแล้ว ชาวบ้านก็อนุญาตว่าวันที่ปลดเกษียณเราจะจัดการทำตามที่ท่านต้องการ

    วันนั้น แกก็อาบน้ำแต่งตัวประดับดอกมะลิทาน้ำหอม มือก็ถือถาดข้าวมธุปายาส แล้วก็เดินไปเอาน้ำมาล้างมือ เตรียมจะกินให้สมกับที่อยากมานาน

    ขณะนั้นพระสารีบุตรเพิ่งออกจากสมาบัติ แล้วท่านก็พิจารณาว่าวันนี้จะไปโปรดใคร ปรากฏว่า ท่านก็เห็นภาพนายเคราแดงมาปรากฏในสมาธิของท่าน บอกว่าวันนี้นายโจรเคราแดงปลดเกษียณ องค์ท่านเลยพิจารณาว่าจะไปโปรดบุรษเคราแดงนี้ดีหรือไม่ แล้วถ้าเขาเห็นเราแล้วเขาจะเลื่อมใสหรือไม่ องค์ท่านก็สามารถรู้ได้ในญาณนั่นแหละว่าถ้านายเคราแดงเห็นท่านแล้วจะเกิดความเลื่อมใส และเมื่อฟังเทศน์เสร็จแกจะได้รับสมบัติใหญ่ จากนั้นท่านก็นุ่งห่มจีวร ถือบาตร และไปปรากฏตัวยืนถือบาตรหน้าบ้านของนายตัมพทาฐิกะ บุรุษผู้มีเคราแดง ผู้เป็นเพชฌฆาตมา ๕๕ ปี

    นายเคราแดงนี้ พอเห็นพระสารีบุตรเถระก็มีจิตเลื่อมใส เขาบอกว่าตลอดชีวิตไม่เคยได้ทำบุญกุศลอะไรเลย เมื่อก่อนก็มีแต่มือเปื้อนเลือดฆ่าโจรมาตลอดชีวิต ไม่เคยทำบุญกุศล วันนี้โชคดีเหลือเกินเป็นวันปลดเกษียณ ที่สำคัญก็คือในมือมีอาหารรสเลิศ และพระที่มาโปรดคือพระสารีบุตร ผู้เป็นอัครสาวกของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    นายเคราแดงก็เลยไปนิมนต์พระสารีบุตรเถระเข้ามาในเรือนของตน "พระคุณเจ้านิมนต์เข้ามารับภัตตาหารในเรือนของข้าพเจ้าเถิด" พระสารีบุตรจึงรับนิมนต์ ก็ปรากฏว่า เมื่อนิมนต์พระเถระนั่งบนอาสนะเรียบร้อย ก็เอาถาดที่ใส่ข้าวยาคูเกลี่ยลงในบาตรของพระสารีบุตรเถระ จนหมด นิมนต์พระเถระฉันข้าวยาคู เมื่อพระสารีบุตรเห็นว่า ข้าวยาคูนี้นายเคราแดงต้องการฉัน ก็เลยบอกนายเคราแดงว่า ข้าวนี้ตอนนี้เป็นของอาตมา อาตมาจะแบ่งให้ใครก็ย่อมได้ใช่ไหม

    นายเคราแดงก็ตอบว่า “ได้ขอรับ” เมื่อนั้นพระสารีบุตรให้นายเคราแดงเอาถาดมา แล้วแบ่งให้นายเคราแดงไปกิน

    เมื่อพระสารีบุตรฉันข้าวยาคูเสร็จ พระสารีบุตรก็แสดงธรรมเรื่อง “โทษของปาณาติบาต” มนุษย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐ การไปฆ่า ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีศีลหรือไม่มีศีลก็บาป แต่ถ้ามีคุณมาก เป็นพ่อแม่เราหรือเป็นพระอรหันต์ ถ้าไปฆ่าเป็นบาปหนักเขาเรียกว่า อนันตริยกรรม ตายแล้วห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ถ้าใครฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ตายแล้วตกอเวจีมหานรกสถานเดียว แต่ถ้าฆ่าพวกคนที่เลวหน่อย เป็นโจรเป็นอะไรก็บาปนะ ไม่ใช่ว่าไม่บาปแต่บาปน้อยเมื่อเทียบกับการฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์

    แค่นั้นยังไม่พอ เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก หลังจากใช้กรรมในนรกเสร็จ ขึ้นมาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน จากนั้นเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น วิบากกรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้น ก็จะทำให้เป็นผู้ที่มีอายุสั้น เพราะผลของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั่นเอง ท่านทั้งหลายเห็นไหมว่า ทำไมคนเราเกิดมาบางคนอายุสั้น อยู่ในท้องแม่ ก็ถูกพ่อแม่ทำแท้ง เกิดมาก็เป็นโรคตาย นี่ก็เพราะปาณาติบาต”

    นายเคราแดงได้ฟังเทศน์แล้วก็ถึงกับหน้าซีดไป พระสารีบุตรเถระได้เห็นดังนั้นก็จึงหยุดแสดงธรรม แล้วถามว่า อุบาสกท่านเป็นอะไรไป

    นายเคราแดงจึงตอบว่า “กระผมได้ฆ่าคน ทำบาปกรรมหยาบช้า มาช้านาน ไม่อาจจะทำใจน้อมไปยินดีในธรรมที่พระคุณเจ้าเทศนาได้ขอรับ”

    พระสารีบุตรเถระเจ้าผู้ปัญญามาก จึงพิจารณาว่า ควรทำจิตของนายเคราแดงให้ผ่องใสก่อน จึงใช้กุศโลบายกล่าวเฉพาะถ้อยคำที่เขาอยากฟังว่า “เวลาที่เราไปรับจ้างทำไร่นา ข้าวที่ได้จากการทำนานั้น ข้าวในนานั้นต้องตกเป็นของคนที่เขาจ้างเราใช่ไหม”

    นายเคราแดงก็ตอบว่า “ใช่ขอรับ”

    พระเถระจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น เรารับจ้างพระราชาในการฆ่าคน บาปกรรมต่าง ๆ ก็ย่อมตกเป็นของพระราชาใช่ไหม”

    นายเคราแดงเป็นคนปัญญาทึบ ถูกพระเถระกล่าวอย่างนั้น ก็สำคัญว่า "อกุศลไม่มีแก่เรา" จึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอท่านจงกล่าวธรรมเถิด"

    นายเคราแดงนั้น เมื่อพระเถระแสดงธรรมอยู่ เขาก็มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฟังธรรมอยู่ ยังขันติเป็นไปโดยอนุโลม ถึงซึ่งอริยสัจธรรม บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นแล้ว จากนั้นพระสารีบุตรเถระกระทำอนุโมทนาจากนั้นก็หลีกไปจากบ้านของนายเคราแดง

    หลังจากที่นายเคราแดงส่งพระเถระออกจากเรือน นางยักษิณีตนหนึ่งมาแล้วด้วยเพศแห่งแม่โคนม ขวิดร่างนายเคราแดงตายคาที่ และนายเคราแดงก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

    ในลำดับนั้นพระภิกษุสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า “บุรุษโจรเคราแดงฆ่าคนมา ๕๕ ปี ได้ฟังธรรมของพระสารีบุตรแล้วไปบังเกิดที่ไหนหนอ

    เมื่อพระบรมศาสดาได้ทรงสดับด้วยทิพยโสตแล้วก็จึงเสด็จโรงธรรมสภา ภิกษุทั้งหลายพวกเธอสนทนาด้วยเรื่องอันใด ภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวว่า “บุรุษเคราแดงฆ่าคนมาเป็นเวลา ๕๕ ปี ได้ฟังธรรมจากพระสารีบุตรเถระแล้วถูกโคนมขวิดตายแล้วตอนนี้นายเคราแดงไปบังเกิดที่ไหนพระพุทธเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า “บุรุษนั้นไปบังเกิดในดุสิตบุรี ภิกษุเหล่านั้นถามว่า เหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น เมื่อนายเคราแดงฆ่าคนมากมายมาเป็นเวลา ๕๕ ปี แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต พระเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...นายเคราแดงได้กัลยาณมิตรคือพระสารีบุตรเถระ เธอได้ฟังธรรมแล้วน้อมไปตามธรรมนั้น เมื่อเคลื่อนจากมนุษยโลกไปบังเกิดในดุสิตเทวโลก” ดังนี้แล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสพระคาถาว่า...บุรุษผู้ฆ่าโจรในเมือง ฟังคำเป็นสุภาษิตแล้ว ได้อนุโลมขันติ ไปสู่เทวโลกชั้นไตรทิพย์ ย่อมบันเทิงใจ…”

    ภิกษุจึงกล่าวถามว่า "พระเจ้าข้า ธรรมดาอนุโมทนากถานั้นมีกำลังมาก แต่บุรุษเคราแดงนั้นกระทำอกุศลกรรมไว้มาก เขายังคุณวิเศษให้บังเกิดด้วยเหตุเท่านั้นได้อย่างไรพระพุทธเจ้าข้า..."

    พระศาสดาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...เธอทั้งหลายจงอย่าถือประมาณแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่า ‘น้อยหรือมาก’ เพราะว่า แม้วาจาคำเดียวที่อาศัยประโยชน์ ย่อมประเสริฐโดยแท้"

    เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า “สหสฺสมปิ เจ วาจา อนตฺถปทสญฺหิตา เอกํ อตฺถปทํ เสยฺโย ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ. หากวาจาแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ไซร้ บทที่เป็นประโยชน์บทเดียว ซึ่งบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ประเสริฐกว่า..”

    คัดลอกจากพระธรรมเทศนาโดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ที่มาจาก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘ “เรื่องบุรุษมีเคราแดงผู้ฆ่าโจร”

    cr : ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน

    SlEdKe5bAWcH8OfXrcZXLdqEc61ox0obnXTjVZ5aFPOz-nejXNEDKZJ-JzyNPub1UJ0TmsS3&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    O5C9-G4QEBkPRnp8j16sp7fZsSn4JFn4ksFCENzcDSoOfotQIFlkBeJV8myLfFhn2EQtSdQ3&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    #อย่ารอก่อนจะสาย

    ถาม :
    เมื่อก่อนปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ ผมพอทำได้กับเขาอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าแย่ลงกว่าเดิมมากครับ ไม่รู้ว่าอยู่ ๆ กำลังใจในการปฏิบัติหายไปไหน มารู้ตัวอีกทีตอนศีลข้อ ๕ ขาดแล้วกู่ไม่กลับ ตอนนี้กำลังพยายามคลานเข้าขอบเขตความดีกับเขาอยู่ครับ แต่ยังอายตัวเอง อายที่แค่ศีลข้อเดียวก็รักษาไม่ได้ อายที่ดีแต่ปาก อายที่ได้สมาธินิด ๆ หน่อย ๆ ก็หลงตัวเอง อายจนแม้แต่อาจารย์ของตัวเองยังไม่กล้าไปเยี่ยมท่าน เหมือนตัวเองเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล ทรมานมากครับ ผมอยากขอหนทางแก้ไข และแนวปฏิบัติครับ ?
    ตอบ : ขายส้มตำหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ขายส้มตำก็ไม่ใช่คนมือถือสากหรอก..! เรื่องของการผิดศีลเป็นเรื่องปกติ ปุถุชนที่สติยังไม่สมบูรณ์ โอกาสที่จะผิดพลาดต้องเรียกว่ามี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่คราวนี้อย่าเศร้าหมองอยู่กับความผิดพลาดนั้นนาน ถ้ารู้ตัวเมื่อไรให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาประคับประคองรักษาของเราต่อไป

    อาตมาเคยบอกว่า ถ้ากำลังใจเสียควรจะรีบไปหาพระ หาครูบาอาจารย์ เพื่อที่ท่านจะได้ช่วยประคับประคองให้ ไม่ใช่ว่าอับอายขายหน้า รอจนรักษากำลังใจดีได้ค่อยมา ตอนดีแล้วมาทำไม ? ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย พระท่านไม่ได้ดูว่าเราชั่วอย่างไร แต่ว่าพระจริง ๆ ท่านดูว่า จะช่วยให้เราพ้นจากความชั่วได้อย่างไร

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗
    ที่มา: เว็บวัดท่าขนุน
    ภาพโดย คุณมะลิแก้ว เว็บวัดท่าขนุน
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓
    อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

    [​IMG]
    [๑๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๔ ประการนี้พึงรู้ด้วยฐานะ ๔
    ฐานะ ๔ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน และศีล
    นั้นพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการอยู่จึงจะรู้ ไม่มนสิการอยู่หารู้ไม่
    คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ และ
    ความสะอาดนั้นพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการอยู่จึงจะรู้ ไม่
    มนสิการหารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ กำลังใจพึงรู้ได้ใน
    อันตราย และกำลังใจนั้นแล พึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการจึง
    จะรู้ ไม่มนสิการหารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ปัญญาพึง
    รู้ได้ด้วยการสนทนาและปัญญานั้นแลพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการ
    จึงจะรู้ ไม่มนสิการหารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน...
    คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร บุคคลในโลก
    นี้ เมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้มักทำศีลให้ขาด มักทำให้ทะลุ
    มักทำให้ด่าง มักทำให้พร้อย ตลอดกาลนานแล ไม่กระทำติดต่อไป ไม่ประพฤติ
    ติดต่อในศีลทั้งหลาย ท่านผู้นี้เป็นคนทุศีล หาใช่เป็นคนมีศีลไม่ อนึ่ง บุคคล
    ในโลกนี้ เมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้มีปรกติไม่ทำศีลให้
    ขาด ไม่ทำให้ทะลุ ไม่ทำให้ด่าง ไม่ทำให้พร้อย ตลอดกาลนาน มีปรกติทำติด
    ต่อไป ประพฤติติดต่อในศีลทั้งหลาย ท่านผู้นี้เป็นผู้มีศีล หาใช่เป็นผู้ทุศีล ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน...คนมีปัญญา
    ทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ...
    คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร บุคคลในโลกนี้
    สนทนาอยู่กับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้พูดกันตัวต่อตัวเป็นอย่างหนึ่ง พูดกัน
    สองต่อสองเป็นอย่างหนึ่ง พูดกันสามคนเป็นอย่างหนึ่ง พูดกันมากคนเป็นอย่างหนึ่ง
    ท่านผู้นี้พูดคำหลังผิดแผกไปจากคำก่อน ท่านผู้นี้มีถ้อยคำไม่บริสุทธิ์ ท่านผู้นี้หามี
    ถ้อยคำบริสุทธิ์ไม่ อนึ่ง บุคคลในโลกนี้ เมื่อสนทนาอยู่กับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า
    ท่านผู้นี้พูดกันตัวต่อตัวเป็นอย่างไร พูดกันสองคน สามคน มากคน ก็อย่างนั้น
    ท่านผู้นี้พูดคำหลังไม่ผิดแผกจากคำก่อน มีถ้อยคำบริสุทธิ์ ท่านผู้นี้หามีถ้อยคำไม่
    บริสุทธิ์ไม่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ...
    คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย...คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทบความเสื่อมญาติ กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค ย่อมไม่พิจารณาอย่างนี้ว่า โลกสันนิวาสนี้เป็นอย่างนั้นเอง การได้อัตภาพเป็นอย่างนั้น ในโลกสันนิวาสตามที่เป็นแล้ว ในการได้อัตภาพตามที่เป็นแล้ว โลกธรรม ๘ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ ย่อมหมุนเวียนไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ดังนี้ บุคคลนั้นกระทบความเสื่อมญาติ กระทบ
    ความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค ย่อมเศร้าโศก ลำบาก
    ใจ ร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญ ถึงความหลงใหล ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ กระทบ
    ความเสื่อมญาติ กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค
    ย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่าโลกสันนิวาสนี้เป็นอย่างนั้นเอง การได้อัตภาพเป็นอย่าง
    นั้น ในโลกสันนิวาสตามที่เป็นแล้ว ในการได้อัตภาพตามที่เป็นแล้ว โลก
    ธรรม ๘ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑
    นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ หมุนเวียน ไปตามโลก และโลกย่อม
    หมุนเวียนตามโลกธรรม ๘ ดังนี้ บุคคลนั้นกระทบความเสื่อมญาติ กระทบ
    ความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรคย่อมไม่เศร้าโศก ไม่
    ลำบากใจ ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย...คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้
    นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา...
    คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร บุคคลบางคนใน
    โลกนี้ สนทนากับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ความลึกซึ้งของท่านผู้นี้เพียงไร อภินิหาร
    ของท่านผู้นี้เพียงไร และการถามปัญหาของท่านผู้นี้เพียงไร ท่านผู้นี้ปัญญาทราม
    ท่านผู้นี้ไม่มีปัญญา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านผู้นี้ไม่อ้างบทความอันลึกซึ้ง
    อันสงบ ประณีต ที่สามัญชนคาดไม่ถึง ละเอียด อันบัณฑิตพึงรู้ได้ อนึ่ง ท่าน
    ผู้นี้กล่าวธรรมอันใด ท่านผู้นี้ไม่สามารถจะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิด
    เผย จำแนก กระทำให้ตื้น ซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นได้ โดยย่อหรือโดยพิสดาร
    ท่านผู้นี้มีปัญญาทราม ท่านผู้นี้ไม่มีปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่
    ที่ฝั่งห้วงน้ำ พึงเห็นปลาเล็กๆ ผุดอยู่ เขาพึงทราบได้ว่า กิริยาผุดของปลาตัวนี้
    เป็นอย่างไร ทำให้เกิดคลื่นเพียงไหน และมีความเร็วเพียงไร ปลาตัวนี้เล็ก ไม่
    ใช่ปลาตัวใหญ่ ดังนี้ ฉันใด บุคคลเมื่อสนทนากับบุคคลก็ฉันนั้นเหมือนกัน
    ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ความลึกซึ้งของท่านผู้นี้เพียงไร ฯลฯ ท่านผู้นี้มีปัญญาทราม ท่าน
    ผู้นี้ไม่มีปัญญา ดังนี้ ส่วนบุคคลในโลกนี้ สนทนาอยู่กับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า
    ความลึกซึ้งของท่านผู้นี้เพียงไร อภินิหารของท่านผู้นี้เพียงไร การถามปัญหาของ
    ท่านผู้นี้เพียงไร ท่านผู้นี้มีปัญญา ท่านผู้นี้ไม่ใช่ทรามปัญญา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
    เพราะท่านผู้นี้ย่อมอ้างบทความลึกซึ้ง สงบ ประณีต สามัญชนคาดไม่ถึง ละเอียด
    อันบัณฑิตพึงรู้ได้ และท่านผู้นี้ย่อมกล่าวธรรมใด ท่านผู้นี้เป็นผู้สามารถเพื่อจะ
    บอก เพื่อแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น ซึ่งเนื้อ
    ความแห่งธรรมนั้น ทั้งโดยย่อหรือพิสดารได้ ท่านผู้นี้เป็นผู้มีปัญญา ท่าน
    ผู้นี้หาใช่เป็นผู้มีปัญญาทรามไม่ ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ที่
    ฝั่งห้วงน้ำ พึงเห็นปลาตัวใหญ่กำลังผุด เขาพึงรู้อย่างนี้ว่า กิริยาผุดของปลาตัวนี้เป็น
    อย่างไร ทำให้เกิดคลื่นได้เพียงไหน มีความเร็วเพียงไร ปลาตัวนี้ใหญ่ หาใช่
    ปลาตัวเล็กไม่ ดังนี้ ฉันใด บุคคลสนทนาอยู่กับบุคคลก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อม
    รู้อย่างนี้ว่า ความลึกซึ้งของท่านผู้นี้เพียงไร ฯลฯ ท่านผู้นี้มีปัญญา หาใช่เป็นผู้มี
    ปัญญาทรามไม่ ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการ
    สนทนา...คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๔ ประการนี้แล อันบุคคลพึงรู้ได้ด้วยฐานะ ๔ นี้ ฯ
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    ผู้มีธรรมชาติเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ มีความเป็นบัณฑิต จะยินดีที่ได้รับรู้รับทราบจุดผิดพลาด จุดอ่อนของตน เพราะ เป็นโอกาสที่จะได้แก้ไข พัฒนาตนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ต่อชีวิตอื่น
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    120101610_4370591589677779_4122041740170785285_o-jpg.jpg
    พระอาจารย์ให้โอวาทแก่บุคคลที่เศร้าหมองจมอยู่กับความผิดในอดีต

    "ทุกวันนี้ที่เราทุกข์ก็เพราะความคิด หยุดคิดเมื่อไรก็เลิกทุกข์ จำไว้นะ...คิดแล้วทุกข์ ตำหนิตัวเองมีประโยชน์อะไร ? ให้ตั้งหน้าตั้งตาเอาเวลาที่ตำหนิตัวเองไปทำสิ่งที่ดี ๆ ก็หมดเรื่อง พุทโธ ๆ ก็ยังดี พุทโธทีหนึ่งอานิสงส์มหาศาล มัวแต่ "หนูผิดไปแล้ว" หนูผิดไปแล้วเดี๋ยวก็ผิดอีก แปลว่าปัญญายังไม่พอ ก็จะ "ผิดไปแล้ว" อยู่ได้เรื่อย ๆ แต่ผิดแล้วต้องรู้จักแก้ไข

    ในเมื่อเราทุกข์เพราะความคิด หยุดคิดก็หยุดทุกข์ เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เราคิดก็คือ ยังอยากมี อยากได้ อยากเป็น อยากก็ทำ สร้างเหตุปัจจัยไม่พอเราก็ไม่มี ไม่ได้ ไม่เป็น เพราะฉะนั้น..จึงต้องสร้างเหตุปัจจัยให้พอ ก็จะมี จะได้ จะเป็น ต่อให้ไม่อยากก็มาเอง"
    .......................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    ......................................
    #รู้ว่าดีก็ทำ #รู้ว่าชั่วก็ละ #ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    0dO5XbSnMQoUAW20ezCFoxkGbjZyQ6KLaInmGQaxwHQI&_nc_ohc=Wm_QGgAW9uMAX_54NTB&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    พระอาจารย์กล่าวว่า คนเราถ้าสติไม่สมบูรณ์ก็ต้องทำอะไรผิดพลาดเป็นธรรมดา แต่โบราณท่านบอกว่า ให้เอาความผิดพลาดนั้น มาเป็นบทเรียนในการสอนตัวเราเอง จนกระทั่งใช้คำว่า ผิดเป็นครู

    ฉะนั้น...ในส่วนของความผิดพลาดนั้นสอนให้เรารู้ว่า ต่อไปอย่าทำเช่นนั้นอีก แต่เราก็อาจจะไปพลาดเรื่องอื่นต่อไป เพราะว่าเป็นธรรมดาของคนที่สติสัมปชัญญะยังไม่สมบูรณ์ ปัญญายังไม่รู้เท่าทันกิเลส โอกาสผิดพลาดมีได้ แต่ว่ามีแล้วอย่าไปเศร้าหมองนาน ให้เริ่มต้นทำความดีใหม่ทันที

    พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อย่ามัวไปคิดถึงความหลัง และอย่าไปฟุ้งซ่านกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ให้รักษาอารมณ์อยู่กับปัจจุบัน จึงจะรู้เห็นธรรมที่แท้จริงได้
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    ?temp_hash=b9c0a0c80409f1ac3258c9d0d0bc5a60.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    ?temp_hash=ae7b9b63e90a3b8d0c13a27248323259.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    iNcU6z8Hra1mdRLu5rnr7b0uJWwgtNoCyxSrWzWdqc0d&_nc_ohc=r0QcKO_U08oAX--bjr8&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    1f4d2.png บาปอกุศลในอดีตอย่าสนใจ
    คนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนผิดศีลละเมิดศีลเหมือนกันหมด
    แล้วก็คนทุกคนที่ไปนิพพานได้
    เป็นอรหันต์ไปนิพพานได้
    ก็ไม่หมดบาป
    มันอยู่ที่กำลังใจใช่ไหม
    คนที่ไปสวรรค์ได้
    ไปพรหมได้
    ไปนิพพานได้
    ไม่ใช่เป็นคนหมดบาป
    แต่ว่าใช้กำลังใจสูงในด้านของความดีหนีบาป
    นับแต่นี้เป็นต้นไปเรื่องบาปอกุศลเราอย่าสนใจมัน
    ความชั่วมันอาจจะพลาดพลั้งทำได้
    ถอยหลังกลับมาซะ ใช่ไหม
    แล้วก็รักษาอารมณ์ว่า
    ไอ้อย่างนี้เราจะไม่ทำอีก
    ความจริงบาปแปลว่าชั่วนะ
    ทีนี้ถ้าบังเอิญไปเผลอทำเข้า
    เป็นเรื่องธรรมดา
    ไม่ใช่จะระงับได้ทันทีทันใดนะ
    บางครั้งบางกรณีมันเกิดพลั้งเผลอต้องทำเข้า
    หรือมีความจำเป็นบางกรณี
    แต่ว่าเราทรงตัวได้
    เราก็คิดว่าเราจะไม่ทำอย่างนี้อีก
    พยายามฝืนมัน
    ต่อๆ ไปอารมณ์มันจะชิน
    ในเมื่ออารมณ์มันชินจริงๆ
    พอจิตเข้าถึงพระโสดาบัน อันนี้ถือว่าตายดีกว่าทำบาป ใช่ไหม
    นี่เวลานี้กำลังเป็นพระโซดาอยู่ ผสมกับแม่โขงก็ได้ กวางทองก็ได้ ใช่ไหม
    นี่พระโสดาบันน่ะ ไม่ใช่สูงนักนะ
    พระโสดาบันยังมีความรักในระหว่างเพศ
    ไปเห็นเขาแต่งงานแต่งการ
    อย่านึกว่าพระโสดาบันไหงเสือกไปแต่งงาน เขายังแต่งอยู่นะ
    นางวิสาขา เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ปี แกมีลูก ๒๐ คน
    เรียก วิสาขะ แปลว่า งอกงาม
    แล้วก็ เมียพรานกกุตตมิตร เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ปีเหมือนกัน
    ไปเห็นพรานกกุตตมิตรเข้า
    แกเป็นลูกมหาเศรษฐี
    พรานเอาเนื้อมาขาย อาศัยที่เป็นคู่ครองเดิม
    ก็หนีพ่อหนีแม่ไปดักทางเขา
    แล้วก็ไปอยู่ด้วยกัน มีลูก ๗ คน
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,453
    -aqnpjomou643macb87dhhqi5msinkx_ad6ve7az16cfqcvinfil0l0xwrhfbfw34r2e-_nc_ht-scontent-fcnx3-1-jpg.jpg
    เมื่อดวงตก กรรมเก่ามาสนอง

    ถาม :
    กรรมเก่าหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือคะ ?
    ตอบ : หลีกได้ ถ้ากำลังใจของเรามั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา กรรมเก่าที่จะมาสนอง จะมาได้ไม่เกิน ๒๕ %

    คราวนี้คำว่า กรรมเก่า หรือที่เรียกว่า เคราะห์กรรม ชะตาตก หรือดวงตก อะไรพวกนั้น ถึงวาระ ถึงเวลาเขาก็จะเข้ามาสนอง

    สมัยนี้บรรดาหมอดูที่พอจะมีจรรยาบรรณหายาก ส่วนใหญ่จะหาผลประโยชน์ รู้จริงแล้วหาประโยชน์ยังพอจะอภัย ที่ไม่รู้อะไรเลยเอาแต่มั่วอย่างเดียว น่าโดน..!

    ถาม : แล้วควรจะทำอย่างไร อยู่อย่างนี้รู้สึกกังวล ?
    ตอบ : ถ้าหากมีโอกาส ก็ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น หรือไม่ก็จัดงานศพตัวเองไปเลย

    ทำอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง จะเป็นการตัดเคราะห์ ตัดกรรมที่จะมาถึงเรา จะช่วยให้หนีห่างไปได้ชั่วคราว

    การทำบุญใหญ่อย่างนั้น เราก็ทำอยู่เรื่อย ๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..เอาเป็นว่า ทำสังฆทานสักเดือนละครั้ง หรือถ้าเจอเขาทำบุญกันที่ไหน มีโอกาสก็ร่วมบุญกับเขาไป จะได้ไม่สิ้นเปลืองมาก ไม่หมดมาก

    แล้วถ้าไป ๆ มา ๆ ถึงจังหวะสุดท้าย เออ..หมดแล้ว ไม่มีปัญญาจะทำแล้ว ทรัพย์สินเงินทอง กำลังกาย กำลังใจ หมดเกลี้ยงเลย ถ้าอย่างนั้นจะตายก็ตายไปเถอะ..! ...(หัวเราะ)...

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...