เรื่องเด่น ภวังคจิต

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 16 พฤศจิกายน 2018.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    จิต1.jpg

    ภวังคจิต



    ภวังคจิต ภวังคะ หรือ ภะ-วัง-คะ ภว+องฺคะ แปลตามพยัญชนะว่า "องค์ของภพ" มักใช้รวมกับจิต เป็นภวังคจิต ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า จิตมีลักษณะเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการสืบต่อสันตติของจิต ย่อมอาศัยการถ่ายทอดข้อมูลจากภวังคจิตจิตดวงเดิม ไปสู่จิตดวงใหม่ ด้วยกระบวนการของการทำงานของภวังคจิต เพราะเหตุว่าภวังคจิตเป็นเหตุให้สร้างจิตดวงใหม่ตลอดเวลาก่อนจิตดวงเก่าจะดับไป จึงชื่อว่าเป็นเหตุแห่ง "ภพ" หรือเป็นเหตุสร้าง"ภพ"

    จิต ในทางศาสนาพุทธแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
    1.วิถีจิต จิตสำนึก
    2.ภวังคจิต จิตใต้สำนึก

    ภวังคจิต คือจิตใต้สำนึกในทางศาสนาพุทธหมายถึงเป็นกระบวนการทำงานแบบอัตตโนมัติของจิต จิตใต้สำนึกในความหมายของภวังคจิตนี้จึงอาจแตกต่างจากทางจิตวิทยา

    ภวังคจิต เป็น วิบากจิต คือ จิตใต้สำนึกส่วนลึกที่สุดของจิตเป็นที่สั่งสมอารมณ์จนกลายเป็นอุปนิสัย

    ภวังคจิต จะเกิดคั่นระหว่างวิถีจิตในแต่ละวาระ ทำหน้าที่สืบต่อและดำรงภพชาติ

    ภวังคจิต จะเกิดขึ้นเมื่อวิถีจิตดับ และเมื่อเกิดวิถีจิตภวังคจิตจะดับลง เมื่อวิถีจิตดับลงภวังคจิตจะเกิดขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่มีภวังคจิต พอขาดวิถีจิต จิตจะไม่มีการสืบต่อสันตติก็เท่ากับสิ้นชีวิต

    ภวังคจิต ในขณะที่เปลี่ยนภพจุติใหม่สู่ชาติใหม่ จะใช้ชื่อว่า ปฏิสนธิจิตแทน ซึ่งเป็นขณะจิตแรกของแต่ละชาติ ภวังคจิตจึงสืบต่อภพในระดับเปลี่ยนชาติด้วย

    ภวังคจิต คือมโนทวารเป็นอายตนะที่ ๖ อันเป็นวิบาก เป็นอัพยากฤต ซึ่งเป็นจิตตามสภาพปกติ เมื่อยังไม่ขึ้นสู่วิถีจิตรับรู้อารมณ์ จะเป็นเพียงมโน ยังไม่เป็นมโนวิญญาณ เมื่อรับอารมณ์คือเจตสิก จะกลายเป็นมโนวิญญาณ

    มีพุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา" จิตที่ประภัสสรในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่าหมายถึงภวังคจิต

    ขอบคุณที่มา :- https://th.wikipedia.org/wiki/ภวังคจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤศจิกายน 2018
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    นิมิตและภวังค์
    นิมิตและภวังค์ เป็นสิ่งที่มักเกิดควบคู่หรือมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันในการปฏิบัติพระกรรมฐาน จนกล่าวได้ว่านิมิตและภวังค์ก็เป็นส่วนหนึ่งของฌานสมาธิด้วยนั่นเอง กล่าวคือเมื่อปฏิบัติฌานสมาธิได้ผลบ้างอย่างไรเสียก็ต้องเกิดนิมิตและภวังค์ขึ้นเป็นธรรมดา จึงนำมาเขียนไว้ในเรื่องเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาค้นคว้า

    จุดประสงค์คือเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องดีงามเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมเป็นสำคัญ เพราะเป็นทางที่จำเป็นต้องผ่านในที่สุด เพื่อจะได้ไม่เกิดความหลงผิดไปยึดติดยึดถือเอาในนิมิตที่เกิดขึ้นในภวังค์อย่างผิดๆและงมงาย หรือไปติดเพลินด้วยเข้าใจผิดๆ หรือถูกชักจูงจิต หรือถูกโน้มน้าวจิตด้วยบุคคลอื่น หรือถูกหลอกลวงด้วยมายาของจิตตน ให้หลงทางเสียด้วยอวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริง และที่สภาวะของภวังค์ดังที่จะกล่าวต่อไปนั้น เป็นสภาวะจิต ที่จะถูกชักจูงหรือถูกครอบงำโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่วมด้วยอธิโมกข์ ยังให้มีทิฏฐิคือความคิดความเห็นให้เป็นไปอย่างใดๆนั้น เป็นไปอย่างง่ายดายและแน่นแฟ้นเป็นที่สุด



    นิมิต ในทางพุทธศาสนามีความหมายได้หลายประการ เช่นหมายถึง อาการที่เชิญชวนให้เขาถวาย หรือหมายถึงเครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนด ในการเจริญกรรมฐาน, หรือภาพหรือสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการปฏิบัติพระกรรมฐาน, แต่นิมิตที่จะเน้นกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ นิมิตอันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติกรรมฐาน กล่าวคือ เป็นสิ่งที่ปรากฎหรือแสดงขึ้นเฉพาะตน ให้รับรู้ อันเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติเป็นปัจจัยสำคัญ ดังนั้นเมื่อได้กล่าวถึงเรื่องฌาน,สมาธิไปโดยละเอียดแล้ว จึงจำเป็นต้องกล่าวถึงนิมิต อันมักจะเป็นผลข้างเคียงหรือเครื่องเคียงที่มักเกิดร่วมด้วยเสมอๆ และจัดได้ว่าเป็นบ่วงมารอันหนึ่ง กล่าวคือถ้าไปอยากหรือไปยึดหรือไปเชื่ออย่างแน่นแฟ้นด้วยเหตุผลกลใดก็ตามทีในนิมิต ก็จัดว่าเป็นบ่วงมารทันที ซึ่งจักผูกมัดสัตว์ไว้ไม่ให้เห็นธรรม กล่าวคือ เกิดวิปัสสนูปกิเลส จัดอยู่ทั้งในข้อโอภาส,ญาณและอธิโมกข์ฯ. ซึ่งเมื่อเกิดกับผู้ใดแล้วก็จะน้อมเชื่อ,น้อมใจอยากด้วยอธิโมกข์จนถอดถอนไม่ออก แม้อธิบายอย่างไรก็ไม่ยอมฟังไม่ยอมเชื่อด้วยฤทธิ์ของอธิโมกข์และเพราะตัวตนเองเป็นผู้เห็น, ตัวตนเองเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น จึงมีความน้อมเชื่ออย่างรุนแรงด้วยอัตตาโดยไม่รู้ตัว ต้องให้เกิดปัญญาพิจารณาเห็นด้วยตนเอง จึงจะสามารถถอดถอนความเชื่อความคิดอันเห็นผิดในนิมิตได้ดี จึงจำเป็นต้องกล่าวเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจกันไว้บ้าง เพราะจำเป็นต้องผ่านกล่าวคืออย่างไรเสียก็ต้องเกิดขึ้นในที่สุดนั่นเอง

    นิมิตอันเกิดแต่การปฏิบัติพระกรรมฐาน ผู้เขียนขอจำแนกแตกธรรมออกเป็นไปใน ๓ ลักษณะใหญ่ ที่มักเกิดขึ้นทั่วไปเสมอๆ ในการปฏิบัติ หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันในผู้ที่มีความชำนาญ มีดังนี้

    รูปนิมิต หมายถึง การเห็น ภาพ อันปรากฏขึ้นเฉพาะแก่ผู้ปฏิบัตินั้นๆ อันเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติหรือผู้เจริญกรรมฐานเป็นสำคัญ เช่น การเห็นภาพอดีต อนาคต หรือเห็นภาพในสิ่งที่อยากเห็น เช่น เทวดา ผี นรก สวรรค์ วิมาน พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ แม้แต่พระพุทธเจ้า หรือโอภาสการเห็นเป็นแสง, สี, ดวงไฟต่างๆ อันต่างล้วนน่าพิศวงชวนให้ตื่นตาเร้าใจ จึงมักอธิโมกข์น้อมเชื่ออย่างงมงายด้วยอวิชชาอันมีมาแต่การเกิดเป็นธรรมดา หรือการเห็นภาพที่ปรากฏเฉพาะขึ้นของนักปฏิบัติในสิ่งที่กำหนดเป็นอารมณ์, กสิณ หรือบริกรรมจากการปฏิบัติภาวนา และยิ่งเกิดง่ายขึ้นเมื่อมีผู้ฝึกสอนที่นักปฏิบัติเชื่อหรือศรัทธาอย่างอธิโมกข์คอยโน้มน้าวจิตให้เห็นในสิ่งต่างๆนั้น

    เสียงนิมิต การได้ยินเป็นเสียง อันเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติเป็นเหตุหรือเป็นสำคัญ เช่น เป็นเสียงเตือนระวังอะไรๆ เสียงสั่งสอน เสียงเทพ เสียงผีเสียงปีศาจ เสียงระฆัง เสียงกลอง เสียงสวดมนต์ เสียงพูดต่างๆ เสียงคนพูดบอกกล่าวต่างๆ แม้แต่เสียงในใจจากผู้ที่พบปะ ฯ. แล้วย่อมน้อมเชื่ออย่างรุนแรงด้วยอธิโมกข์ เพราะอวิชชาเป็นเหตุ

    นามนิมิต เป็นความคิดหรือความรู้ที่ผุดแสดงแวบปิ๊งขึ้นในใจ อันมักเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติที่ไปพัวพัน แต่มิได้เกิดแต่ปัญญาไปเห็นความจริง เช่น เกิดความคิด ที่คิดว่าเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องราวที่หมกมุ่นพิจารณา หรือศึกษา หรืออยากรู้ หรือเป็นความรู้ในธรรมต่างๆนาๆที่พิจารณา ซึ่งอาจถูกหรือผิดก็ได้ แต่มักจะผิดถ้าไม่ได้เกิดแต่การพิจารณาโดยปัญญา อย่างถูกต้อง และเมื่อบังเอิญเกิดถูกต้องขึ้นบ้าง ก็กลับเป็นบ่อเกิดของอธิโมกข์อันแรงกล้าในภายหน้า

    นิมิตเหล่านี้ มักเกิดขึ้นในภาวะของภวังคจิตที่จะกล่าวในลำดับต่อไป จิตจึงเกิดการอธิโมกข์น้อมเชื่ออย่างรุนแรงแต่เป็นไปอย่างผิดๆหรือขาดเหตุผล จึงยังให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสในข้อญาณ คือมิจฉาญาณ คือไปยึดไปเข้าใจว่าความเข้าใจเหล่านั้นเป็นไปอย่างถูกต้องแน่นแฟ้นด้วยอธิโมกข์เป็นเครื่องหนุน

    บางครั้งยังเกิดนิมิตทางจมูกก็ยังมี คือ ได้กลิ่นอันเกิดแต่ใจตนเป็นเหตุ ก็ยังมีได้ เช่นเกิดจากจิตเป็นกังวลหมกมุ่น ฯ.

    อนึ่งเป็นสิ่งที่น่ารู้ไว้อย่างยิ่งว่า นิมิต นั้นเมื่อปฏิบัติไปด้วยความเชื่อจนเกิดการสั่งสม ความชำนาญขึ้น บางครั้งนิมิตนั้นก็เกิดขึ้นในวิถีจิตหรือวิถีชีวิตปกติได้เช่นกัน กล่าวคือเมื่อเคยเกิดนิมิตขึ้นในขณะปฏิบัติแล้ว ซึ่งแรกๆก็มักเกิดขึ้นจากการปฏิบัติพระกรรมฐานโดยตรง แล้วเกิดนิมิตขึ้น จนเกิดการเห็นการใช้ในนิมิตต่างๆชำนาญขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเกิดการสั่งสมได้ระยะหนึ่งจนเกิดความชำนาญ จึงอาจเกิดนิมิตได้แม้ในยามวิถีจิต(วิถีชีวิตที่มีการรับรู้ตามปกติ)นี่เอง เมื่อน้อมนำหรือถูกกระตุ้นเร้าขึ้น จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี และมักเข้าใจผิดไปยึดไปเชื่อกันว่าถูกต้องแน่นนอนเป็นอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ จึงพาให้ทั้งตนเองและอีกทั้งผู้อื่นพากันไปหลงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำ(อธิโมกข์)ในสิ่งที่เห็น หรือในสิ่งที่เข้าใจไปนั้นๆ ก็ด้วยอวิชชานั้นแล

    นิมิต

    นิมิต นั้นก็เช่นสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก คือดีแท้ๆก็ไม่มี ชั่วแท้ๆก็ไม่ใช่ จึงมีทั้งดีและชั่ว ถูกหรือผิด ขึ้นกับผู้ใช้หรือนักปฏิบัตินั่นเอง ล้วนเป็นไปคล้ายหลักมัชฌิมาหรือทางสายกลาง กล่าวคือ มิใช่ตรงกลาง แต่ไม่สุดโต่งไปทางดีทางชั่วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว เหมือนดังยา ถ้ากินดีถูกต้องก็มีประโยชน์ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีก็ย่อมให้โทษอันรุนแรงได้ นิมิตก็เฉกเช่นเดียวกันกับยา

    นิมิตที่ดีนั้น หมายถึงนิมิตที่เกิดขึ้นแล้วทำให้นักปฏิบัติเกิดปัญญา คือเกิดนิพพิทาญาณ คือเกิดความหน่ายจากการรู้ความจริง จึงย่อมคลายความกำหนัดความอยากจากปัญญาที่ไปรู้ความจริงชัดเจนจากการปรากฎหรือแสดงขึ้นสอนของนิมิตอย่างแจ่มชัดจนน้อมเชื่อหรือเข้าใจ ดังเช่น การปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยพิจารณาอสุภ(อสุภกรรมฐาน) กล่าวคือเอาภาพอสุภหรือซากศพเป็นกสิณหรืออารมณ์ แล้วเกิดนิมิตเห็นภาพปรากฏขึ้นของอสุภซากศพในลักษณะต่างๆแสดงให้เห็นว่า เป็นสิ่งน่าสังเวช น่ารังเกียจด้วยปฏิกูล ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ฯ. ทั้งในร่างกาย จะแม้ของตนหรือผู้อื่นก็ตามที จนเกิดความหน่าย จึงคลายกำหนัดในราคะ หรือความยึดถือในตัวตนของตนเอง อย่างนี้ก็พึงถือว่าเป็นนิมิตที่ทำหน้าที่อันดีงามในการปฏิบัติ

    ส่วนนิมิตที่จัดว่าเป็นโทษนั้นหมายถึง นิมิตที่เกิดขึ้นแล้วเป็นบ่วงมารอันยังให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสต่างๆดังเช่นในข้อโอภาสหรือญาณหรืออธิโมกข์ ฯ. กล่าวคือทำให้นักปฏิบัติเกิดโมหะความหลง จึงเกิดความติดเพลิน เพลิดเพลิน (นันทิ-ตัณหา)อันเนื่องมาจากโมหะความหลงด้วยอวิชชา เช่นว่า เพลิดเพลินไปปรุงแต่งต่างๆ หรือเห็นผิดไปว่าเป็นบุญ เป็นฤทธิ์ เป็นเดช เป็นปาฏิหาริย์ เหนือกว่าผู้อื่น มีอำนาจในการเห็นต่างๆเช่นเห็นอดีต เห็นอนาคต หรือทำไปเพื่อหวังในลาภยศสักการะ,สรรเสริญ,ศรัทธา กล่าวคือก็ล้วนเพื่อประโยชน์ทางโลกหรือโลกิยะที่บางท่านก็เป็นไปโดยไม่รู้ตัวฯลฯ. จึงเกิดการไปยึดติด ยึดถือ ยึดหลง จนติดเพลิน ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญคือความไม่รู้ตามความเป็นจริง และความไม่รู้ตัว และสิ่งที่เห็น(รูปนิมิต)หรือเข้าใจ(นามนิมิต)หรือได้ยิน(เสียงนิมิต)นั้นมักไม่ถูกต้อง เนื่องจากความคิดเห็น(สัญญา)และความไม่เป็นกลางที่แอบแฝงนอนเนื่องโดยไม่รู้ตัวด้วยตัณหาอุปาทาน จึงทำให้การเห็นเหล่านั้นอันเนื่องจากจิตที่สงบระงับจากกิเลสในฌานสมาธิในระยะแรกๆนั้นเสื่อมไปในที่สุด เพราะความอยากรู้อยากเห็นด้วยกิเลสนั่นแล เพราะการเห็นได้อย่างถูกต้องนั้นต้องประกอบด้วยความเป็นอริยะ คือต้องอาศัยญาณ และ อุเบกขาความเป็นกลาง เป็นองค์ประกอบสำคัญด้วย

    ก่อนอื่นผู้เขียนขอยกคำสอนของเหล่าพระอริยเจ้าที่ได้กล่าวแสดงไว้เกี่ยวกับนิมิตมาแสดง เพื่อให้เป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ ก่อนจะกล่าวในรายละเอียดของนิมิตต่อไป เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาให้เกิดปัญญาอย่างถูกต้องดีงาม เป็นกำลังเพื่อการถอดถอนความเชื่อความเข้าใจอย่างผิดๆในนิมิต ที่อาจพาไปยึดติด ไปยึดหลงอยู่ด้วยความไม่รู้ อีกทั้งโดยไม่รู้ตัว

    "นิมิต ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น(webmaster-คือภาพ,ความคิด ฯ.ที่เกิดขึ้นนั้น) ไม่จริง" หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (อตุโลไม่มีใดเทียม น. ๔๕๔)

    (Webmaster - ที่หลวงปู่กล่าวมีความหมายว่า นิมิตหรือภาพที่เขาผู้ปฏิบัติเห็นนั้น ในบางท่านที่เห็นจริงๆนั้น เขาเห็นเป็นไปอย่างนั้นจริงๆ อาจมิได้หลอกลวงหรือกล่าวเท็จแต่ประการใด เพียงแต่ว่า สิ่งที่เขาเห็นนั้น มันอาจไม่เป็นจริง เป็นเพียงการเห็นหรือการเข้าใจอันเกิดขึ้นเฉพาะเขา อันมีสาเหตุเนื่องมาจากใจหรือสัญญาของเขาเองเป็นสำคัญ (อันมักเนื่องมาจากสิ่งที่เป็นอารมณ์จากการปฏิบัติ หรือจากความกังวลหรือพัวพันใดๆก็ตามที หรือปรุงแต่งอยู่เสมอๆโดยไม่รู้ตัว จนเป็นปัจจัยให้เกิดนิมิตนั้นๆขึ้นก็ได้โดยไม่ได้ตั้งใจและอีกโดยไม่รู้ตัว)

    [​IMG]

    บางอาจารย์เมื่อนิมิตเกิดขึ้นมาแล้ว สอนให้ถือเอานิมิตนั้น เป็นขั้นเป็นชั้นของมรรคทั้ง ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น เช่น นิมิตเห็นแสงเล็กเท่าแสงหิ่งห้อย ได้สำเร็จชั้นพระโสดาบัน, เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาหน่อยเท่าแสงดาว ได้สำเร็จชั้นพระสกทาคามี, เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระจันทร์ ได้สำเร็จชั้นพระอนาคามี, เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระอาทิตย์ ได้สำเร็จชั้นพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น (webmaster - กล่าวคือ ไปยึดเอานิมิตนั้นเป็นจริงเป็นจัง ถือเป็นของวิเศษ เป็นขั้นมรรคขั้นผลไปเลย)

    ไปถือเอาแสงภายนอก ไม่ถือเอาใจของคนที่บริสุทธิ์มากน้อยเป็นเกณฑ์ ความเห็นเช่นนั้น ยังห่างไกลจากความเป็นจริงนัก................นิมิตเกิดจากภวังค์เป็นส่วนมาก ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรคโดยเฉพาะอยู่แล้ว มันจะเป็นมรรคได้อย่างไร........(หน้า๑๕-๑๖)

    (webmaster - เหตุที่ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรค ก็เนื่องจากในภวังค์นั้นเคลิบเคลิ้ม ไม่สามารถใช้สติได้อย่างบริบูรณ์นั่นเอง มีคำอธิบายในภายหน้า)

    แท้ที่จริงนิมิตทั้งหลาย ดังที่อธิบายมาแล้วก็ดี หรือนอกไปกว่านั้นก็ดี ถึงไม่ใช่เป็นทางให้ถึงความบริสุทธิ์ก็จริงแล แต่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะต้องได้ผ่านทุกๆคน เพราะการปฏิบัติเข้าถึงจิตรวม(หรือก็คือ)เข้าถึงภวังค์แล้วจะต้องมี เมื่อผู้มีวาสนา(webmaster - ไม่ได้แปลว่ามีบุญ คลิกดูความหมาย)เคยได้กระทำมาเมื่อก่อน เมื่อเกิดนิมิตแล้ว จะพ้นจากนิมิตนั้นหรือไม่ ก็แล้วแต่สติปัญญาของตน หรืออาจารย์ผู้นั้นจะแก้ไขให้ถูกหรือไม่ เพราะของพรรค์นี้ต้องมีครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะนำ ถ้าหาไม่แล้วก็ต้องจมอยู่ปรัก คือนิมิต นานแสนนาน เช่น อาฬารดาบส แล อุททกดาบส เป็นตัวอย่าง........(หน้า๑๗)

    เทสก์รังสีอนุสรณาลัย ; เรื่อง สิ้นโลก เหลือธรรม โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    "นิมิต เมื่ออธิบายมาถึง ฌาน สมาธิ ภวังค์ ดังนี้แล้ว จำเป็นจะลืมเสียไม่ได้ซึ่งรสชาติอันอร่อย คือ นิมิต ซึ่งเกิดขึ้นในระยะของสิ่งเหล่านั้น ผู้เจริญพระกรรมฐานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งแทบทุกคนก็ว่าได้ ความจริงนิมิตมิใช่ของจริงทีเดียวทั้งหมด นิมิตเป็นแต่นโยบาย(อุบายวิธี)ให้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงก็มี ถ้าพิจารณานิมิตนั้นไม่ถูกก็เลยเขวไปก็มี ถ้าพิจารณาถูกก็ดี มีปัญญาเกิดขึ้น นิมิตที่เป็นของจริงคือนิมิตเป็นหมอดูไม่ต้องใช้วิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ก็มี นิมิตนั้นเมื่อจะเกิดก็เกิดเอง เป็นของแต่งเอาไม่ได้ ...........ฯลฯ."

    หลวงปู่เทส เทสก์รังสี (ส่องทางสมถวิปัสสนา)
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ภวังค์
    ภวังค์หรือภวังคจิต กล่าวคือ เป็นภาวะที่เรียกพื้นจิต ที่หมายถึง ขณะที่จิตหรือภาวะที่จิตหยุดคือไม่มีการรับรู้ในอารมณ์ต่างๆที่เกิดจากการรับรู้ของทวารทั้ง๖ กล่าวคือเป็นภาวะที่จิตหยุดการเสวยอารมณ์(เวทนา)จากภายนอก อันเนื่องมาจากทวารทั้ง ๖ (แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จิตก็อาจยังพอมีสติส่วนหนึ่งที่แค่เพียงพอรับรู้แค่จิตภายในตน ดังเช่น รับรู้ในสัญญาความจำที่อาจผุดขึ้นมาได้เองโดยขาดเจตนาโดยตรง หรืออาจแทรกจรเข้ามาด้วยความตั้งใจมั่นไว้หรือศรัทธา นี่เองจึงอาจทำให้เห็นนิมิตต่างๆได้เมื่ออยู่ในภวังคจิต)

    ส่วนภาวะจิต ที่จิตมีการรับรู้อารมณ์ภายนอกอันเกิดแต่ทวารทั้ง ๖ หรือในการดำเนินชีวิตโดยทั่วไปนั่นเอง เรียกกันว่า " วิถีจิต " อันเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของปุถุชนในชีวิต, สภาวะทั้ง ๒ นี้ จึงเกิดขึ้นในลักษณะที่เกิดดับสลับกันนั่นเอง กล่าวคือเมื่อไม่อยู่ในวิถีจิตเมื่อใด ก็เกิดภวังคจิตขึ้นแทน เมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นจากการเสวยอารมณ์จากทวารทั้ง๖ ภวังคจิตก็ดับไป

    ภวังคจิต ที่เกิดในฌาน,สมาธิ แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ

    แบบแรก ภวังคบาต บาตที่แปลว่าตก จึงหมายถึงการตกลงไปหรือการตกเข้าสู่ภวังค์นั่นเอง, ภวังคบาตเมื่อเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติสมถะนั้น อาจเป็นไปในลักษณะที่รู้สึก เคลิบเคลิ้มแล้ววูบๆวาบๆ เป็นๆหายๆ กล่าวคือรู้สึกเคลิบเคลิ้มแล้วรู้สึกวูบหรือเสียววูบดุจดั่งตกทิ้งดิ่ง คล้ายตกเหวหรือตกจากที่สูง จึงเรียกกันว่าตกภวังค์ตรงๆเลยก็มี มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดั่งสายฟ้า เป็นแบบเคลิบเคลิ้มไม่รู้สติ ไม่รู้ตัว ควบคุมไม่ได้ กล่าวคือถ้าบริกรรมหรือกำหนดจิตแน่วแน่อยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด(อารมณ์)ก็ตามที เช่นลมหายใจ หรือหรือพุทโธ หรืออยู่กับการพิจารณาธรรมใดๆ สิ่งหรืออารมณ์นั้นก็จะวูบหายไป และอาจประกอบด้วยความรู้สึกเสียววูบวาบ ราวกับว่าตกจากที่สูง วูบหวิวขึ้นก็ได้ และอาจจะประกอบด้วยภาพนิมิตสั้นๆอันเกิดแต่จิตภายในตนขึ้น มักเกิดขึ้นช่วงระยะสั้นๆ แล้วก็อาจมีสติกลับไปอยู่กับอารมณ์เดิมหรือคำบริกรรมเดิม อาจเกิดหลายๆครั้ง หรืออาจจะเคลิบเคลิ้มลงภวังค์ไปจนแน่นิ่งหรือจนหลับไหลไปเลยด้วยความสบายอันเกิดจากอำนาจของภวังค์เอง ดังนั้นเมื่อเกิดภวังค์ดังนี้ขึ้นก็ให้เข้าใจว่า เป็นเรื่องปกติเรื่องธรรมดา อย่าไปตกใจหรือดีใจ อย่าไปฟุ้งซ่านจึงปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ เป็นเรื่องของธรรมชาติธรรมดาในการปฏิบัติ อย่าไปปรุงแต่งฟุ้งซ่านหรือเชื่อเขาว่า เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นปาฏิหาริย์ เป็นฤทธิ์ เป็นเดช และยังมักไปเข้าใจผิด หรือสอนกันผิดๆอีกด้วยว่า จิตหรือวิญญาณกำลังจะออกไปจากร่างดังเจตภูต หรือดังปฏิสนธิจิตตต์หรือปฏิสนธิวิญญาณก็ยังมี ฯ. ขอให้ทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า เป็นเพียงอาการแสดงว่า จิตเริ่มเป็นสมาธิในระดับหนึ่งเท่านั้น แล้วเกิดภวังค์หรือภวังคจิตขึ้น เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดาในขั้นตอนของการปฏิบัติทั้งฌานและสมาธิที่มีจุดประสงค์ไปในการเป็นเครื่องหนุนการเจริญวิปัสสนา, อาการที่เกิดขึ้นนั้น เกิดแต่จิตหยุดการรับรู้การเสวยอารมณ์ภายนอกจากทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจในขณะจิตนั้นๆ รับรู้อยู่ก็แต่เพียงจากจิตภายใน(สัญญา)บ้างเท่านั้น เรียกภวังค์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วดังอสุนีบาตหรือสายฟ้าฟาดนี้ว่า ภวังคบาต กล่าวคือ เกิดอาการลงภวังค์คือตกวูบลงไปอย่างรวดเร็วดังสายฟ้าฟาด แล้วอาจมีสติวาบหรือแว๊บกลับมาอย่างรวดเร็วก็ได้เช่นกัน จึงได้เกิดอาการวูบวาบ ดั่งกายทิ้งดิ่งลงจากที่สูง หรือดิ่งลงเหว จึงรู้สึกดังที่กล่าว

    ที่ภวังคบาตนี้นี่เอง จึงมีการไปเข้าใจกันว่าเป็นลักษณะของเจตภูต หรือกายทิพย์หรือวิญญาณ กำลังชักคะเย่อกันเพื่อจะออกจากร่างหรือกายหยาบเสียก็มี จึงได้รู้สึกวูบวาบดังนั้น จนตกใจกลัวก็มี จึงเป็นที่วิตกกังวลจนไม่กล้าปฏิบัติก็มี และเป็นที่วิพากวิจารณ์เล่าขานอีกทั้งปรุงแต่ง จนเป็นตำนานสืบต่อมาต่างๆกันไป ตามความเชื่อความเข้าใจอันเป็นมิจฉาทิฏฐินั้นๆของนักปฏิบัติและผู้สอน

    แบบที่ ๒ ภวังคจลนะ จลนะ มาจากคำว่าจลน์ที่แปลว่า เคลื่อนที่,เคลื่อนไหว ภวังคจลนะจึงเป็นภาวะที่จิตเคลื่อนลงสู่ภวังค์ไปอย่างบริบูรณ์ ไม่มีสติกลับคืนมา จึงไม่รู้สึกวูบแล้ววาบหรือแว๊บกลับมาดังภวังคบาตข้างต้น ดังนั้นจิตจึงหยุดการรับรู้อารมณ์จากทวารทั้ง ๖ ตามสภาวธรรมหรือธรรมชาติของภวังค์เอง ด้วยเหตุนี้ดังนั้นในระยะแรกๆหรือบางครั้งอาจมีอาการของความรู้สึกราวกับว่ามือ,เท้าหรือองคาพยัพบางส่วนได้เลือนหรือหายไปก็มี, ที่ภวังคจลนะนี้นี่เอง ที่แม้หยุดการรับรู้จากทวารทั้ง ๖ ดังกล่าวแล้วก็ตามแต่จิตก็ยังมีการเคลื่อนไหว(จลน์) กล่าวคือ จิตยังมีการไหลเลื่อนท่องเที่ยวเตลิดเปิดเปิง หรือเพลิดเพลินไปในอารมณ์ภายในหรือจิตภายในของตนหรือก็คือส่วนหนึ่งของสัญญาตน คือซ่านอยู่ในภาวะของภวังค์เอง และไม่มีอาการสติ วาบแว๊บกลับมาดังภวังคบาตข้างต้น จริงๆแล้วจึงขาดสติต่ออารมณ์ภายนอก กล่าวคือ มีสติก็แค่เพียงรู้อยู่แต่จิตภายในหรือภวังค์ของตนเท่านั้น จึงขาดสัมปชัญญะ จึงไร้ที่ยึด, ไร้ที่หมายในอารมณ์ภายนอกโดยตรง ก็เพราะขาดการเสวยอารมณ์หรือความรู้สึกรับรู้จากภายนอกอันเกิดแต่ทวารทั้ง ๖ เหลืออยู่แต่การรับรู้อารมณ์ที่เกิดแต่จิตภายในของตนแต่ฝ่ายเดียว จึงค่อนข้างบริสุทธิ์และมีกำลังมากเพราะขาดการเข้าไปฟุ้งซ่านหรือขาดการวุ่นวายปรุงแต่งเพิ่มเติมอีก แต่เมื่อขาดสติอันย่อมเนื่องกับปัญญาดังนั้นจิตจึงย่อมไร้การควบคุม จึงเคลื่อนไหวหรือไหลเลื่อนล่องลอยไปตามกำลังหรือสัญญาของจิตตนเอง ในสภาวะของภวังค์เองก็มีอาการสุข สบาย เคลิบเคลิ้ม เพราะการขาดจากการรบกวนแทรกซ้อนของนิวรณูปกิเลส)อันก่อความขุ่นมัวต่างๆจากภายนอกทั้งปวง คือเหล่ากิเลสในนิวรณ์ทั้ง ๕ จึงระงับไปในระยะนั้นทั้งหมด ดังนั้นสติอันเป็นอาการหนึ่งของจิต(เจตสิก)ที่เป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่ง จึงค่อนข้างบริสุทธิ์ในภาวะนี้ แต่ก็ทำให้เปราะบางและอ่อนไหวเป็นที่สุดเช่นกัน เนื่องจากขาดสติในสิ่งอื่นๆ คือขาดสัมปชัญญะที่เป็นเกราะป้องกันภัย จึงอาจไปไวต่อการรับรู้จากภายนอกที่อาจเกิดการแทรกซ้อนหรือแวบหลุดเข้าไปได้บ้าง หรืออาจเกิดขึ้นแต่ความคิดที่เกิดแต่จิตภายใน(จิตตน)ที่ผุดขึ้นมาเองจากสัญญาบ้าง ในภาวะเช่นนี้นี่เอง ที่เกิดนิมิตและโอภาสได้ต่างๆนาๆขึ้นได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะจิตทำกิจอยู่แต่ในสิ่งๆเดียวเท่านั้น ไม่ได้แบ่งแยกไปหน้าที่ในอายตนะหรือทวารใดๆอีกเลย ก็เนื่องจากขาดหยุดการรับรู้ทางอายตนะหรือทวารทั้ง ๖ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว, จึงมีกำลังให้เห็นเป็นไปต่างๆอย่างชัดเจนตามสิ่งที่อาจหลุดแทรกซ้อนเข้าไปด้วยใจตั้งมั่นภายในหรือกำลังศรัทธา หรือจากจิตภายในที่ผุดขึ้นมานั่นเอง ภาวะของภวังค์ที่เป็นแบบนี้เรียกว่า ภวังคจลนะ คือ ภวังค์ที่มีการเคลื่อนไหวไหลเลื่อนท่องเที่ยวหรือซ่านไปในอารมณ์ที่เกิดแต่ภายในของตนเป็นสำคัญ

    ในสภาวะนี้นี่เอง ถ้าการปฏิบัติไม่ถูกต้องดีงาม ไปในทางมีปัญญาหรือวิปัสสนา คือ ไม่มีการตั้งสติพิจารณาธรรม หรือบริกรรมก่อสติโดยการวิตกวิจารหรือสมาธิไว้เป็นแนวทางอันถูกต้องดีงามแต่เบื้องต้นเสียก่อนแล้ว หรือมีอาจารย์,ผู้สอนชี้แนว ที่นักปฏิบัติอธิโมกข์คอยจูงจิตหรือป้อนความคิดไปผิดทางด้วยความไม่รู้ตามความเป็นจริง(อวิชชา)ให้เห็น หรือคิด หรือเพ่งในสิ่งใด จิตที่ขาดสตินั้นก็จะถูกชักจูงเลื่อนไหลไปให้เกิดเห็นนิมิตนั้นๆขึ้น หรือเกิดความเข้าใจ(นามนิมิต)ต่างๆไปตามคำสอนหรือชักจูงนั้นๆ, จึงเกิดการเห็น ,ความเข้าใจไปตามนั้น ในสภาวะภวังคจลนะนี้นี่เอง แล้วไปยึดติด, ยึดถือ, ยึดเชื่อด้วยอำนาจของอธิโมกข์อันเป็นวิปัสสนูปกิเลส จึงเป็นการน้อมเชื่อโดยขาดการพิจารณาขาดเหตุผล และเป็นไปอย่างรุนแรงด้วยอำนาจของวิปัสสนูปกิเลสที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติฌานและสมาธิเป็นเครื่องอุดหนุน จึงเกิดการเข้าใจธรรมกันอย่างผิดๆ ดังไปยึดไปเชื่อในสิ่งที่ไปเที่ยว ไปเห็นในสิ่งต่างๆ เช่น ภาพที่เป็นกสิณนั้นๆ หรือตามเสียงที่แว่วมาของผู้ที่นักปฏิบัติมีศรัทธาตั้งใจฟังอยู่ จึงเห็นใน นรก สวรรค์ วิมาน เทวดา พระพุทธเจ้า แสง สี เสียงต่างๆ อันล้วนแล้วแต่ย่อมวิจิตร ชวนตื่นตา เร้าใจ เพราะย่อมไม่เคยพบเคยเห็นเยี่ยงนี้มาก่อนเลยในชีวิต และยังกอปไปด้วยความแสนสุข สงบ สบาย ด้วยความอธิโมกข์ยิ่งเพราะความที่ตัวกูเป็นผู้เห็น, ตัวกูเป็นผู้กระทำเองด้วยตัวกูเอง จึงพากันยึดติด ยึดถือ ยึดเชื่อ แล้วยังปรุงแต่งกันไปอีกต่างๆนาๆด้วยอวิชชา ผู้เขียนกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องเพื่อประโยชน์ในการดำเนินไปในการวิปัสสนา เพื่อจะไม่ไปยึดไปอยากให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสจนไม่สามารถดำเนินไปในธรรมได้ และขอร้องอย่าให้ผู้ใดนำความรู้ความเข้าใจในการบรรยายเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิด เพื่อประโยชน์ทางโลก อันจักเป็นกรรมอันเกิดแต่เจตนาจึงต้องได้รับวิบากการสนองตอบอย่างแสนสาหัสในภาคหน้า และรับรองว่าไม่สามารถหลีกหนีหรือคดโกงได้ ผู้รู้ผู้เข้าใจด้วยปัญญาได้แล้วก็พึงแก้ไขเสีย อย่าปล่อยให้เป็นวิบากกรรมของตนและผู้อื่นสืบต่อไปอีกเลย

    ณ ที่ ภวังคจลนะ นี้นี่เอง ถ้าผู้ปฏิบัติมีความเชื่อ,ความเข้าใจอันอาจมาจากการอ่าน,การฟัง,การปฏิบัติ,การสอน อย่างผิดๆหรือด้วยอวิชชาความไม่รู้ ตลอดจนความตะลึงพึงเพลิดและความอัศจรรย์ใจในสิ่งอันวิจิตรที่ไม่เคยประสบพบมาก่อน ก็มักพาให้เตลิดเปิดเปิงออกไปปรุงแต่งทางฤทธิ์ ทางเดช ทางปาฏิหาริย์เสียโดยไม่รู้ตัว ตลอดจนเกิดความเข้าใจผิดคิดไปว่าได้มรรคผลใดแล้ว อันล้วนเป็นเส้นทางนำพาไปสู่ความวิปลาสและวิปัสสนูปกิเลส อันจักนำพาให้เป็นทุกข์มากกว่าเดิมเสียอีกในภายหน้าเป็นที่สุด

    ผู้เขียนเองแต่แรกปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติพระกรรมฐานด้วยมุ่งหวังดับทุกข์ แต่ไปปฏิบัติอยู่แต่ในสมถสมาธิเสียแต่ฝ่ายเดียวด้วยเข้าใจผิดด้วยอวิชชา กล่าวคือไม่เคยนำไปใช้ประโยชน์ในการพิจารณาหรือวิปัสสนาในทางให้เกิดปัญญาอย่างจริงจังเลย แต่เข้าใจผิดไปว่าได้กระทำวิปัสสนาดีแล้วในการท่องบ่น จึงมัวแต่เสพเสวยแต่ความสุข ความสงบ ความสบาย ความวิจิตรแต่ฝ่ายเดียวจากฌาน,สมาธิ ด้วยเข้าใจว่าเป็นอานิสงส์ผลของบุญแท้ๆแล้ว, ดังนั้นเมื่อเกิด โอภาส แสงเจิดจ้าสว่างสวยงามชวนพิศวง หรือรูปนิมิตต่างๆ หรือสิ่งชวนพิศวงต่างๆ ไปเห็น ไปเข้าใจในสิ่งใดขึ้นมาก็เข้าใจผิด,เห็นผิดไปว่า ตนอยู่ในฌาน ๔ อันพระอริยเจ้าทรงสรรเสริญเสียแล้วด้วยอวิชชา ทั้งๆที่ตนนั้นกำลังเตลิดเปิดเปิงท่องเที่ยวและเสพรสอย่างหลงระเริงแลมัวเมาไปในนิมิตภายในภวังคจลนะนี้นี่เอง

    นิมิตที่เกิดในภวังคจลนะนี้ ก็อาจเกิดขึ้นแก่คนใกล้ตาย หรือสลบลึกหรืออาการโคม่าที่ฟื้นขึ้นมาก็มีบ้าง ที่เมื่อฟื้นคืนสติก็จะมาบอกเล่าเรื่องราวต่างๆนาๆอันน่าพิศวงด้วยอธิโมกข์ ที่เกิดแต่ภวังคจลนะด้วยอวิชชา เกิดแต่ในขณะนั้นกายอยู่ในภาวะวิกฤติจากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุใดๆก็ตามทีอย่างรุนแรง หรือการกระทบกระเทือนทางสมองอย่างรุนแรง กายจึงปิดการรับรู้จากทวารทั้ง ๖ โดยสิ้นเชิง กล่าวคือเข้าสู่ภวังคจลนะโดยธรรมหรือความบังเอิญโดยธรรมชาติเอง ที่บางสภาวะร่างกายสามารถป้องกันตนเองจากการรับรู้ที่เกินวิสัยหรือเกินขีดจำกัด ฯ. เมื่อวิถีจิตถูกปิดกั้นโดยกลไกของธรรมชาติของชีวิตจากความเจ็บป่วยไข้หรืออุบัติเหตุ จิตเกิดการเข้าเลื่อนไหลเข้าสู่ภวังค์ และเป็นภวังค์แบบภวังคจลนะนี้นี่เองได้โดยธรรมชาติ ที่อาจเคยฝึกสั่งสมมา หรือแม้ไม่เคยฝึกหัดหรือปฏิบัติมาก่อนแต่อย่างใดก็เป็นได้ แล้วเตลิดเปิดเปิงท่องเที่ยวไปในจิตภายในหรือก็คือตามสัญญาความจำความรู้ความเชื่อของตน จึงเกิดการเห็นนิมิตต่างๆนาๆขึ้นได้อย่างชัดเจน เช่นเห็นแสงสีอันเจิดจ้าวิจิตร(โอภาส) ทั้งเห็นหรือทั้งได้ยินเทวดา นางฟ้า พญายม ยมทูต วิมาน นรก สวรรค์ พระอรหันต์ พระพุทธรูป พระพุทธเจ้า ญาติโกโหติกาทั้งหลายที่ตายไปแล้วบ้าง สุขทุกข์ เรื่องราวต่างๆในอดีต กรรมดี กรรมชั่ว ตามสัญญาของเขาที่สั่งสมไว้มานานแสนนานไม่รู้ว่าสักกี่ภพกี่ชาติมาแล้วนั้น ฯลฯ. ถ้าเป็นปุถุชนในศาสนาอื่นๆก็จะเห็นเป็นไปหรือโน้มน้อมไปตามสัญญาของทางฝ่ายเขา เช่น เห็นแสงเจิดจ้าส่องลงมาจากท้องฟ้าคือสรวงสวรรค์บ้าง แสงหรือสิ่งที่เห็นเหล่านี้ก็คือโอภาสดังในการปฏิบัติสมถสมาธินั่นเอง เห็นพระเจ้า เห็นเทวดาต่างๆนาๆตามแบบที่นับถือหรือตามความเชื่อหรือสัญญาของฝ่ายเขานั่นเอง หรืออาจเห็นญาติพี่น้องคนรู้จักที่ล่วงลับไปแล้ว ความดี ความชั่ว สุข ทุกข์ เรื่องราวต่างๆแต่อดีตบ้าง ฯ. อันมีรากฐานตามสัญญา ความเชื่อ ความนับถือ ความศรัทธา ความอธิโมกข์ของฝ่ายเขานั่นเอง, ดังนั้นการเห็นเป็นไปที่แตกต่างผิดแผกกันนั้น จึงไม่ใช่เพราะการมีพระเจ้า หรือศาสนา หรือเชื้อชาติ หรือภาษา หรือนรกสวรรค์ที่ต่างกันไป แต่เป็นไปเพราะสัญญาที่สั่งสมแตกต่างกันไปตามทิฏฐิความเชื่อความเข้าใจ

    ผู้ที่เห็นในสิ่งเหล่านั้นถ้าฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ ถ้ามีปัญญาบ้าง ก็จะเกิดกลัวความชั่ว ก็จะเป็นผู้ใฝ่ดี อยู่ในศีล ในธรรมของฝ่ายตน เป็นกำลังอันดีงามของสังคมนั้นๆ อันย่อมเป็นจุดมุ่งหมายอันดีงามของทุกศาสนา และย่อมยังประโยชน์ส่วนตนและโลกขึ้นเป็นที่สุด แต่ก็ยังไม่สามารถดับหรือหลุดไปจาก "ภพ ชาติ" อันเป็นทุกข์ได้อย่างเด็ดขาดโดยสิ้นเชิงโดยบริบูรณ์ ที่ต้องอาศัยปัญญาญาณในธรรม

    ส่วนในผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง ย่อมแสวงหาทางดับภพ ชาติ ไม่ให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏหรือในกองทุกข์อีกต่อไป.

    ส่วนผู้ที่ไปหลงผิดด้วยอวิชชา ย่อมเกิดความเข้าใจผิด บ้างจึงพยายามฝึกปรือหรือน้อมจำสภาพที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาใช้งานหรือประโยชน์ทางโลกอย่างผิดๆด้วยว่าเป็นฤทธิ์ บ้างก็หลงงมงายไปเลย กล่าวคือ บูชา นับถือ ยึดมั่น ถือมั่น เผยแพร่ไปอย่างผิดๆตามความเชื่อในนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นๆ กล่าวคือ เกิดอธิโมกข์ คือศรัทธาหรือความน้อมใจเชื่ออย่างรุนแรงแต่อย่างผิดๆหรืออย่างหลงผิด อันเป็นกิเลสชนิดวิปัสสนูปกิเลสนั่นเอง ที่ใครจะพูดจะเตือนอย่างไรก็ย่อมไม่ฟังไม่เข้าใจไม่ยอมรับด้วยกำลังของวิปัสสนูปกิเลสอันแรงกล้า

    ที่ภวังคจลนะนี้นี่เอง ที่มักชักจูงพาให้เข้าใจกันไปว่า เป็นเจตภูตบ้าง หรือกายทิพย์บ้าง หรือวิญญาณของตนบ้าง ได้ถอดออกจากร่างไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ ตามปรภพ สวรรค์ นรก จึงได้เห็นนู่น เห็นนี่ ต่างๆนาๆ จนถึงขั้นเป็นตำนานที่มีการบันทึกกล่าวขาน ถ่ายทอดสืบต่อๆกันมาอย่างช้านานและอย่างมากมาย จนเป็นที่ปรารถนา ตลอดจนเป็นที่วิจิกิจฉาจนถกเถียงกันมาอย่างช้านานโดยทั่วไป และที่ภวังคจลนะนี้นี่เองที่เกิดขึ้นในการสะกดจิตได้เช่นกัน จึงเกิดสัญญาหรือเห็นในสิ่งต่างๆที่เคยเกิดเป็นในอดีตได้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากจิตอยู่ในภวังค์ไม่ซัดส่ายไปในสิ่งอื่นๆ แต่ไปแน่วแน่ในสัญญาจำได้ของตนตามการจูงจิตของผู้สะกดจิต แต่ก็ยังระลึกเห็นได้อย่างผิดๆได้อีกด้วยเช่นกัน ถ้าผู้สะกดจิตชี้ช่องแนะนำจูงจิตไปผิดๆ

    วิธีแก้ไขเมื่อลงไปสู่ภวังค์และท่องเที่ยวเลื่อนไหลไปในจิตภายในก็คือ เมื่อจิตท่องเที่ยวเลื่อนไหลไปจนอิ่มตัว กล่าวคือเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว ก็ให้กลับมาอยู่ที่จิตหรือก็คือสติหรือก็คือผู้รู้นั่นเอง ตามแต่จะสื่อเรียกกัน จึงไม่ควรปล่อยให้ท่องเที่ยวเลื่อนไหลต่อไปโดยเจตนาหรือแม้ไม่เจตนาก็ตามที จะด้วยเพราะสนุก,สุข,สบายหรือโดยเข้าใจผิดใดๆก็ตามที.

    แบบที่ ๓ ภวังคุปัจเฉท เป็นลักษณะที่จิตลงภวังค์แล้วขาดความรู้สึกรับรู้อารมณ์ภายนอกดังภวังคจลนะข้างต้น และขาดการรับรู้จากอารมณ์ภายในด้วย เพราะไม่ท่องเที่ยวไปในภายใน ด้วยเป็นวสี ที่เรียกว่าอธิฏฐานวสี คือมีความชำนาญคล่องแคล่วในการที่จะตั้งจิตหรือรักษาจิตไว้มิให้ฌานจิตต์นั้นตกภวังค์ กล่าวคือมีสติ ที่เกิดขึ้นจากการสั่งสม, ความชำนาญจากการปฏิบัตินั่นเอง จึงมีสติไม่ปล่อยให้จิตเพลิดเพลินเตลิดเปิดเปิงหรือซ่านไปในอารมณ์ของภวังค์ หรือสัญญาภายในของตน ดังเช่นที่เกิดในภวังคจลนะข้างต้น แต่ถึงอย่างไรก็ดีสตินี้ ก็เพียงแค่รู้อยู่ในองค์ฌานต่างๆ เช่น เอกัคคตารมณ์ ยินดีอยู่ในความสงบ(อุเบกขา) แต่ขาดสัมปชัญญะ เป็นลักษณะของฌานต่างๆนั่นเอง จึงเป็นที่พักผ่อนของจิตจึงสร้างกำลังของจิตอันดียิ่ง แต่ย่อมไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้ ด้วยสติไม่บริบูรณ์นั่นเอง ต้องถอนออกมาจากความสงบความสบายเหล่านั้นเสียก่อนจึงเจริญวิปัสสนาได้ ซึ่งย่อมให้กำลังมาก เรียกภวังค์แบบนี้ว่า ภวังคุปัจเฉท

    ภวังคุปัจเฉทนี้นี่เอง ที่เป็นที่ปรารถนาของนักปฏิบัติ และเกิดแก่พระอริยะทุกท่านในการปฏิบัติฝ่ายสมถสมาธิฝ่ายรูปฌาน เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่และเป็นกำลังจิตอันดีเลิศ แต่ถ้านักปฏิบัติไปหลงติดเพลิน(นันทิ)ในความสงบ สุข สบาย อันเกิดขึ้นจากภวังค์ต่างๆ แม้แต่ในภวังคุปัจเฉทอันแม้พระอริยเจ้าก็สรรเสริญนี้ก็ตามที ก็ย่อมกลับกลายเป็นให้โทษเสียทันที กลับกลายเป็นรูปราคะในสังโยชน์อันละเอียดและรุนแรงเสียยิ่งเสียกว่ากามราคะเสียอีก ดังนั้นทุกครั้งที่ถอนออกมาฌานสมาธิ ที่แม้ถึงซึ่งภวังคุปัจเฉทนี้แล้วก็ต้องนำกำลังอันยิ่งนั้นมาใช้ในการเจริญวิปัสสนาด้วยทุกครั้ง อย่าปล่อยให้ความสุขสบายครอบงำเสียจนไม่ปฏิบัติวิปัสสนา เพราะจะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการติดเพลินหรือเพลิดเพลินในความสุขสงบในที่สุด และอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวคืออย่าให้เกิดขึ้นและเป็นไปดังที่ท่านหลวงตามหาบัว ได้กล่าวสอนไว้ใน เรื่อง หลักเกณฑ์การปฏิบัติ สมาธิ - ปัญญา ความว่า

    "หลักใหญ่ให้จิตสงบได้นั้นแหละเป็นของดี เพียงจิตสงบเท่านั้นก็ตัดความกังวลวุ่นวาย ซึ่งเคยประจำจิตเสียดแทงจิตออกได้โดยลำดับลำดา จนถึงกับเป็นขั้นสบาย เพราะฉนั้นผู้ภาวนาเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว จึงมักขี้เกียจในการพิจารณาธรรมทั้งหลายด้วยปัญญา นอนจมอยู่กับสมาธินั้นเสียไม่ออกพินิจพิจารณา สุดท้ายก็เข้าใจว่าความรู้ที่แน่วแน่แห่งความเป็นสมาธิของตนนั้น จะเป็นมรรคผลนิพพานไปเลย ในข้อนี้ผมเคยเป็นมาแล้ว จึงได้นำมาอธิบายให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ ว่าสมาธิต้องเป็นสมาธิ ปัญญาต้องเป็นปัญญา เป็นคนละสัดเป็นคนละส่วน เป็นคนละอันจริงๆ ไม่ใช่อันเดียวกัน หากเป็นอยู่ในจิตอันเดียวกันนั่นแล เป็นแต่เพียงไม่เหมือนกัน" (จาก หลักเกณฑ์การปฏิบัติ สมาธิ - ปัญญา โดย ท่านหลวงตามหาบัว)

    อาการของนิมิตและภวังค์ดังที่กล่าวมาเหล่านี้ เกิดมากน้อยในนักปฏิบัติแตกต่างกันไป แล้วแต่ฌานวิสัยอันเป็นอจินไตย อาจมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ที่กล่าวดังนี้มิใช่ผู้เขียนกล่าวเลี่ยงแต่ประการใด แต่มันเป็นจริงเช่นนั้นเอง ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่อง ณานสมาธิ เพราะขึ้นอยู่แต่จริต สติ ปัญญา การสั่งสม ตลอดจนแนวการปฏิบัติ ฯ. แต่ถ้านักปฏิบัติเป็นวิปัสสนูปกิเลส หรือมีจริตกระทำบ่อยๆด้วยติดใจหรือติดเพลินหรือด้วยอธิโมกข์ หรือหัดน้อมจิตฝึกหัดให้เห็นภาพขึ้นในใจอยู่บ่อยๆ กล่าวคือสั่งสมทำอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ก็ย่อมเกิดการสั่งสม,ความชำนาญขึ้น ในที่สุดก็จะเกิดการน้อมนึกเห็นนิมิตต่างๆแม้ในวิถีจิตตามปกติธรรมดาขึ้นได้ และก็มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวในผู้ที่ปล่อยเลื่อนไหลไปแต่ในฌานสมาธิเป็นระยะเวลานานๆโดยขาดการวิปัสสนา แต่ก็จะเป็นไปในที่สุดเหมือนนิมิตในการปฏิบัติดังที่หลวงปู่ดูลย์ ได้กล่าวถึงไว้ว่า "ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง" เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะนิมิตส่วนใหญ่เกิดแต่สัญญาหรือใจของนักปฏิบัติ แล้วยังร่วมด้วยการไปปรุงแต่งอีกต่างๆนาๆ ทั้งยังร่วมอีกด้วยอวิชชา จึงพากันไปยึดติดยึดเชื่อด้วยอธิโมกข์จนเสียการ ภาพนิมิตที่เห็นที่เกิดอันมิได้มีบาทฐานเกิดมาแต่ญาณความเข้าใจอันเกิดจากการเห็นเหตุอย่างแจ่มแจ้งจึงรู้ผล และอุเบกขาความเป็นกลางอย่างแท้จริง สิ่งที่เห็นจึงผิดไป หรือผิดบ้างถูกบ้างอันเป็นวิสัยปกติธรรมดา แต่ถ้าบังเอิญถูก ก็จักไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นจริงเป็นจัง จึงเกิดการยึดติดจนเป็นอธิโมกข์อันงมงายยิ่งๆขึ้นไป ถ้าผิด ก็ลืมเลือนไปเสีย หรือแก้ตัวแทนตนเป็นพัลวันว่าด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ จึงต่างล้วนแฝงและเป็นไปตามความคิดปรุงของผู้ที่เห็นโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชานั่นเอง อันประกอบไปด้วยความรู้สึกรับรู้ในสิ่งที่ตาเห็น หูได้ฟัง ความคิดที่คิด การสั่งสม และความเชื่อความยึดของผู้เห็นนั่นเองเป็นองค์ประกอบสำคัญ หรือจะกล่าวง่ายๆก็คือ เป็นการแปลงสัญญา หรือความรู้สึก ความเข้าใจ ความคิดต่างๆที่ได้รับเป็นข้อมูลจากอายตนะต่างๆในขณะนั้นเป็นภาพขึ้นมา อันมักเกิดแต่การฝึกฝนและการสั่งสมจากการปฏิบัตินั่นเอง กล่าวคือ เป็นการแปลงความคิดความเห็นให้เป็นภาพขึ้นโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง ถ้าท่านเข้าใจในเรื่องคอมพิวเตอร์บ้าง ก็เปรียบเสมือนหนึ่งการแปลงข้อมูลในคอมพิวเตอร์จากโปรแกรมWord ที่ใช้ในการพิมพ์(เปรียบเป็นความคิด) แปลงเป็นไฟว์หรือข้อมูลแบบรูปภาพในโปรแกรมAcrobat (เปรียบดังนิมิตหรือภาพหรือความคิดที่น้อมขึ้น)ในชั่วพริบตานั่นเอง อันเกิดแต่การฝึกหัดและมีฐานข้อมูลและโปรแกรมอยู่แล้วนั่นเอง

    ผู้ที่หลงติดในนิมิตนั้น นอกจากจะมีความเชื่อความยึดที่หลงผิดไปตามรูป เสียง ความคิด ของนิมิตแล้ว จึงทำให้หลงผิดเห็นผิดไม่สามารถดำเนินไปในธรรมได้(วิปัสสนูปกิเลส) เพราะนิมิตก็คือวิปัสสนูปกิเลสในข้อโอภาส และยังทำให้เกิดญาณในวิปัสนูปกิเลสคือมิจฉาญาณอีกดัวย ฯ. ภายหลังยังทำให้เกิดอาการอึดอัดหรือเจ็บป่วยต่างๆเนื่องจาก " จิตส่งใน " ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่อง"จิตส่งใน เป็นภัยต่อนักปฏิบัติ" เหตุก็เพราะขณะจิตที่น้อมนึกภาพขึ้นนั้น เป็นสภาวะของมิจฉาสมาธิที่ต้องก่อขึ้น ต้องกระทำขึ้นโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง จึงยังผลให้เกิดการเสพและติดเพลินองค์ฌานขึ้นได้โดยไม่รู้ตัวนั่นเอง อันคือนันทิหรือตัณหา นิมิตที่เห็นหรือเข้าใจจึงเป็นเหยื่อล่อให้ดำเนินไปตามวงจรของการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจจสมุปบาท ในที่สุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะได้ดำเนินไปถึงองค์ธรรมนันทิคือตัณหา ความติดเพลิน,ความติดใจอยาก,ความติดชอบในนิมิตเหล่านั้นเสียแล้ว

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับนิมิตและภวังค์ จากคณาจารย์

    คัดจาก เทสก์รังสีอนุสรณาลัย ; เรื่อง สิ้นโลก เหลือธรรม

    โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    บางอาจารย์เมื่อนิมิตเกิดขึ้นมาแล้ว สอนให้ถือเอานิมิตนั้น เป็นขั้นเป็นชั้นของมรรคทั้ง ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น เช่น นิมิตเห็นแสงเล็กเท่าแสงหิ่งห้อย ได้สำเร็จชั้นพระโสดาบัน เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาหน่อยเท่าแสงดาว ได้สำเร็จชั้นพระสกทาคามี เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระจันทร์ ได้สำเร็จชั้นพระอนาคามี เห็นนิมิตแสงใหญ่ขึ้นมาเท่าแสงพระอาทิตย์ ได้สำเร็จชั้นพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น

    ไปถือเอาแสงภายนอก(โอภาส) ไม่ถือเอาใจของคนที่บริสุทธิ์มากน้อยเป็นเกณฑ์ ความเห็นเช่นนั้น ยังห่างไกลจากความเป็นจริงนัก.................นิมิตเกิดจากภวังค์เป็นส่วนมาก ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรคโดยเฉพาะอยู่แล้ว มันจะเป็นมรรคได้อย่างไร........(หน้า๑๕-๑๖)

    (webmaster - เหตุที่ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรค ก็เนื่องจากในสภาวะของภวังค์นั้น ไม่สามารถใช้สติได้อย่างบริบูรณ์ดังที่กล่าวแสดงไว้ข้างต้นแล้วนั่นเอง

    แท้ที่จริงนิมิตทั้งหลาย ดังที่อธิบายมาแล้วก็ดี หรือนอกไปกว่านั้นก็ดี ถึงไม่ใช่เป็นทางให้ถึงความบริสุทธิ์ก็จริงแล แต่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะต้องได้ผ่านทุกๆคน เพราะการปฏิบัติเข้าถึงจิตรวม,เข้าถึงภวังค์แล้วจะต้องมี เมื่อผู้มีวาสนาเคยได้กระทำมาเมื่อก่อน เมื่อเกิดนิมิตแล้ว จะพ้นจากนิมิตนั้นหรือไม่ ก็แล้วแต่สติปัญญาของตน หรืออาจารย์ผู้นั้นจะแก้ไขให้ถูกหรือไม่ เพราะของพรรค์นี้ต้องมีครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะนำ ถ้าหาไม่แล้วก็ต้องจมอยู่ปรัก คือนิมิต นานแสนนาน เช่น อาฬารดาบส แล อุททกดาบส เป็นตัวอย่าง........(สิ้นโลก เหลือธรรม หน้า๑๗)
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    จาก หลวงปู่ฝากไว้ โดยหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    เรื่อง จริง แต่ไม่จริง

    ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมาธิภาวนา เมื่อปรากฎผลออกมาในแบบต่างๆ ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา เช่น เห็นนิมิตในรูปแบบที่ไม่ตรงกันบ้าง ปรากฎในอวัยวะของตนเองบ้าง ส่วนมากมากราบเรียนหลวงปู่เพื่อให้ช่วยแก้ไข หรือแนะอุบายปฏิบัติต่อไปอีก มีจำนวนมากที่ถามว่า ภาวนาแล้วก็เห็น นรก สรรรค์ วิมาน เทวดา หรือไม่ก็เป็นองค์พระพุทธรูปปรากฎอยู่ในตัวเรา สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือ ฯ

    หลวงปู่บอกว่า

    "ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง"

    [หลวงปู่กล่าวดังนี้เพราะ ผู้ที่เห็นนั้น เขาก็เห็นจริงๆตามความรู้สึกนึกคิดหรือสังขารที่เกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของสัญญาเขา เพียงแต่ว่าสิ่งที่เห็นนั้น ไม่ได้เป็นจริงตามนั้น]

    เรื่อง แนะวิธีละนิมิต

    ถามหลวงปู่ต่อมาอีกว่า นิมิตทั้งหลายแหล่ หลวงปู่บอกยังเป็นของภายนอกทั้งหมด จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้ ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไปอีก จะเป็นด้วยเหตุที่กระผมอยู่ในนิมิตนี้มานานหรืออย่างไร จึงหลีกไม่พ้น นั่งภาวนาทีไร พอจิตจะรวมสงบ ก็เข้าถึงภาวะนั้นทันที หลวงปู่โปรดได้แนะนำวิธีละนิมิตด้วยว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ผล

    หลวงปู่ตอบว่า

    เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น "ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง".

    เรื่อง เป็นของภายนอก

    เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๔ หลวงปู่อยู่ในงานประจำปี วัดธรรมมงคล สุขุมวิท กรุงเทพฯ มีแม่ชีพราหมณ์หลายคนจากวิทยาลัยครูพากันเข้าไปถาม ทำนองรายงานผลของการปฏิบัติวิปัสสนาให้หลวงปู่ฟังว่า เขานั่งวิปัสสนาจิตสงบแล้ว เห็นองค์พระพุทธรูปในหัวใจของเขา บางคนว่า ได้เห็น(นิมิต)สวรรค์ เห็นวิมานของตนเองบ้าง บางคนว่าเห็นพระจุฬามณีเจดีย์สถานบ้าง พร้อมทั้งภูมิใจว่าเขาวาสนาดี ทำวิปัสสนาได้สำเร็จ

    หลวงปู่อธิบายว่า

    "สิ่งที่ปรากฎเห็นทั้งหมดนั้น ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้น(เพราะเป็นเพียงนิมิต อันเกิดแต่อำนาจของสมถสมาธิเท่านั้น ยังไม่ใช่มรรคผลแต่ประการใด) จะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก."
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เรื่อง หลักธรรมแท้

    มีอยู่อย่างหนึ่งที่นักปฏิบัติชอบพูดถึง คือ ชอบโจษขานกันว่า นั่งภาวนาแล้วเห็นอะไรบ้าง ปรากฎอะไรออกมาบ้าง หรือไม่ก็ว่า ตนนั่งภาวนามานานแล้วไม่เคยเห็นปรากฏอะไรออกมาบ้างเลย หรือบางคนก็ว่า ตนได้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เสมอ ทำให้บางคนเข้าใจผิดคิดว่า ภาวนาแล้วตนจะได้เห็นสิ่งที่ต้องการเป็นต้น

    หลวงปู่เคยเตือนว่า การปรารถนาเช่นนั้นผิดทั้งหมด เพราะการภาวนานั้นเพื่อให้เข้าถึงหลักธรรมอย่างแท้จริง

    "หลักธรรมที่แท้จริงนั้น คือ จิต ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง เมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละได้แล้วซึ่งหลักธรรม."

    [​IMG]

    ดังนั้นการสอนหรือการปฏิบัติที่ไปยึด,ไปชอบ,ไปเชื่อ ในนิมิตที่เกิดขึ้นแบบต่างๆนาๆ ดังเช่น ภาพ แสง สี เสียง นรก สวรรค์ เทวดา ครูบาอาจารย์ แม้แต่พระพุทธเจ้าฯ. แม้แต่นามนิมิตที่อาจผุดขึ้นแต่ไม่ได้เกิดแต่ปัญญาจากการพิจารณาหาเหตุหาผลก็ตามที ที่เกิดขึ้นในภวังค์ หรือจากการปฏิบัติ จึงเป็นการปฏิบัติที่ยังไม่ถูกต้องแนวทางอย่างแน่นอน และยังให้เกิดโทษในภายภาคหน้าอีกด้วย.

    พนมพร
    ...................... EndLineMoving.gif
    ขอบคุณที่มา :- http://www.nkgen.com/727.htm
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ส่องทางสมถวิปัสสนา
    tess.jpg

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    คำนำ

    หนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าเขียนขึ้นเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติเฉพาะผู้ฝึกหัดจิตโดยตรง ถ้าผู้ยังไม่เคยฝึกหัดจิตแล้วก็ยากที่จะเข้าใจได้ เพราะเขียนตามอาการความเป็นไปในการปฏิบัติจิต ที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้ ก็เพราะข้าพเจ้ามาคำนึงถึงผู้ปฏิบัติทั้งหลาย โดยส่วนมากเป็นผู้มีการศึกษาน้อย แต่มากด้วยศรัทธา ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติพระกรรมฐานกันอย่างจริงจัง แต่การปฏิบัตินั้นผู้ฝึกหัดใหม่ทั้งหลายไม่ค่อยมีฝั่งมีฝา ไม่รู้ว่าปฏิบัติเป็นไปแล้วหรือยังไม่เป็นไป ถ้าเป็นไปแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นไปแค่ไหน จะหาร่องรอยยึดเอาหลักฐานแน่นอนไม่ได้ จึงพากันเสื่อมเสียจากการปฏิบัตินั้นก็มี เพราะอุบายสอนผู้ฝึกหัดจิตนั้นไม่เหมือนเรียนปริยัติ

    ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้เขียนแนวทางปฏิบัติ ซึ่งผู้ฝึกหัดจิตทั้งหลายพากันดำเนินอยู่แล้วเป็นส่วนมาก การดำเนินพระกรรมฐานนี้มีนัยเป็นอันมาก แต่เมื่อรวมความลงแล้วมีอยู่ ๒ ประการ คือ

    ๑. การเจริญพระกรรมฐาน บริกรรมหรือเพ่งเอาอันใดอันหนึ่งเป็นนิมิต ไม่ว่าภายนอกหรือภายใน เพื่อให้จิตสงบอย่างเดียว แล้วกำหนดเอาแต่ผู้รู้ แล้วอยู่ด้วยอาการอย่างนั้น เป็นที่พอใจและปรารถนา พูดง่ายๆ เรียกว่าฝึกหัดเอาแต่สมถะอย่างเดียว

    ๒. บริกรรมหรือเพ่งอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ให้จิตสงบ คือน้อมจิตให้เข้าไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว เพ่งพิจารณานิมิตนั้นให้เป็นธาตุหรือเป็นอสุภ ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์เป็นต้น เมื่อเห็นชัดแล้วจิตจะรวมลงไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว หรือจะเป็นสมาธิ หรือจะเกิดปัญญาให้สลดสังเวชก็ได้ พูดย่อๆ เรียกว่าหัดสมถะเป็นไปพร้อมกันกับวิปัสสนา(Webmaster - เรียกกันว่า สมถวิปัสสนา)

    ในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าเขียนตามแนวข้อ ๒ นี้ เพราะว่าแนวนี้เดินสม่ำเสมอดีกว่าแนวที่หนึ่ง แต่เมื่อฝึกหัดแนวที่หนึ่งนั้นชินติดมามากแล้วจะเปลี่ยนแนวมาฝึกหัดแนวที่สองนี้ ชักให้ลำบากไปสักหน่อย ผู้ฝึกหัดแนวที่สองนี้ชำนาญแล้ว ถึงจะฝึกหัดแนวที่หนึ่งก็ไม่ยาก บางที่เป็นไปเองก็มี ความจริงนักฝึกหัดที่แท้จริงแล้ว ควรฝึกหัดให้ได้ทั้ง ๒ อย่างจะเป็นการดีมาก ถ้ามิเช่นนั้นจะไม่รู้ความเป็นไปแห่งการปฏิบัติตามแนวทางทั้ง ๒ นั้น ว่ามีรสชาติต่างกันอย่างไร

    หนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าให้ชื่อว่า ส่องทางสมถวิปัสสนา อธิบายว่า "ส่องไปข้างหน้า" คือจะต้องดำเนินไปตามแนวทางนี้ก็ได้ "ส่องกลับข้างหลัง" คือผู้ที่ฝึกหัดจิตที่เป็นมาแล้ว แต่ไม่รู้อาการเหล่านั้นว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อมาพิจารณาตามนัยนี้แล้วก็อาจช่วยความรู้ขึ้นอีกก็ได้ หนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าเขียนไว้เพื่อเป็นอุบายสำหรับผู้ฝึกหัดจิตโดยเฉพาะ จะเอาไปใช้เป็นตำรากันจริงจังไม่ได้ เพราะตำราเดิมของท่านมีหลักฐานบริบูรณ์ดีอยู่แล้ว เมื่อฝึกหัดจิตตามแนวนี้ได้แล้ว ก็อาจจะส่องตลอดถึงตำราเดิมก็ได้

    ฉะนั้น ข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือเล่มนี้คงจะอำนวยผลให้แก่ท่านผู้ที่เป็นนักฝึกหัด นักสนใจ ในทางพระกรรมฐานตามสมควรแก่เหตุการณ์นั้นๆ

    เทสรังสี
    วัดเขาน้อยนาวา
    อำเภอท่าแฉลบ จังหวัดจันทบุรี
    ๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๒
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046

    ส่องทางสมถวิปัสสนา

    หลวงปู่เทส เทสรังสี
    บทเบื้องต้นหน้าวิชา

    สุตฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ
    ผู้ฟังดี ย่อมได้ ปัญญา

    พุทธโอวาท ศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่มีรสชาติอันอร่อยสุขุมมาก เหล่าชุมชนทั่วไปฟังได้ ปฏิบัติได้ รู้ได้ ตามชอบใจ ตามภูมิแลฐานะของตนๆ ไม่เป็นการข่มขืนขัดขวางต่อนิสัยและระบอบใดๆ ของใครในโลกทั้งนั้น คำสอนของพระองค์เป็นแต่ชี้แนวทางปฏิบัติให้ พร้อมทั้งบอกเหตุผลของการปฏิบัตินั้นๆ ใครจะปฏิบัติตามหรือไม่ คำสอนนั้นก็มิได้ลงโทษหรือให้คุณแม้แต่ประการใด โทษแลคุณย่อมเป็นของอำนวยให้ผลตามเหตุนั้นเท่านั้น พระองค์ได้ทรงแสดงข้อปฏิบัติไว้พร้อมด้วยพระทัยอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ โดยมิได้หวังการตอบแทนแม้แต่ประการใดเลย พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงไว้แล้วซึ่งพระวิสุทธิคุณอันวิเศษ หากิเลสทั้งหลายมีอคติเป็นต้น มิได้เจือปนไปในพระทัยของพระองค์เลย พระองค์ได้ทรงไว้แล้วซึ่งสติปัฏฐานทั้งสามบริบูรณ์ทุกเมื่อ คือว่า

    พระองค์มิได้หลงดีใจต่อผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ๑

    มิได้เสียใจต่อผู้ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ๑

    ใครจะปฏิบัติตามบ้างไม่ปฏิบัติตามบ้าง พระองค์เจ้าก็มีสติตั้งมั่นอยู่ทุกเมื่อไม่หลงยินดีและยินร้าย ๑

    ฉะนั้น พระองค์จึงทรงมีวิสารทแกล้วกล้าสามารถอาจหาญ โปรดประทานพระโอวาทในที่ทุกแห่ง แล้วทรงบัญญัติศีล สมาธิ ปัญญาเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด มีวิมุติอันเป็นยอดเยี่ยม โดยมิได้หวาดหวั่นต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งนั้น

    สาธุชนทั้งหลายจึงไม่ควรประมาท ในการที่พวกเราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ชาติ เป็นคติอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยของวิเศษต่างๆ มีอริยทรัพย์เป็นเครื่องประดับ ซึ่งสาธุชนทั้งหลายพากันปรารถนาอยู่แล้ว อนึ่ง พระพุทธโอวาทที่ชี้ขุมทรัพย์นับตั้งอนันต์นี้ มิใช่เป็นของหาได้ง่ายเมื่อไร เราเกิดมานับเป็นแสนชาติอนันต์ ซึ่งจะได้พบปะโอวาทคำสั่งสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธนี้ก็สุดวิสัย อย่าพึงพากันเข้าใจว่าเป็นของหาได้ง่าย ฉะนั้น เมื่อมรดกอันมีค่าสามารถแลกเอาซึ่งของวิเศษทั้งหลาย มีมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ พระนิพพานสมบัติ เป็นต้น อันมนุษย์ในโลกนี้ปรารถนาอยู่แต่ยังไม่พึงเห็น เวลานี้มรดกนั้นได้ตกเข้ามาถึงมือของพวกเราแล้วตามความประสงค์ ไฉนเล่าพวกเราจึงไม่ยอมรับแลใช้จ่ายให้เป็นประโยชน์แก่เราบ้างเลย สาธุชนทั้งหลายจงพากันรีบรับ จงพากันรีบชม จงพากันรีบใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเสีย ในเมื่อทรัพย์ของดีมีอยู่ ในเมื่อมีผู้ชี้ขุมทรัพย์แลคุณค่าพร้อมทั้งอุบายใช้จ่ายทรัพย์นั้น จะได้ทันแก่กาลสมัยที่ตนปรารถนา อย่าได้พากันยึดหน่วงด้วยบ่วงของมาร ภาระหนักจงพากันพักไว้ก่อน ตอนหลังยังมีถมไป อุบายใช้ทรัพย์นับไม่ถ้วน ล้วนแต่เป็นของดีมีคุณ พระพุทธองค์ทรงจำแนกแจกไว้ในคัมภีร์เป็นอเนก แต่ในที่นี้จะชี้แจงอุบายจ่ายทรัพย์ถุงน้อยๆ อันมีคุณค่าเป็นอนันต์ ขอสาธุชนทั้งหลายผู้อ่านอย่าพากันเข้าใจว่าเป็นอุบายของผู้แต่ง ความจริงมีในพระคัมภีร์แล้ว แต่เป็นของกว้างมาก ยากที่ผู้จะหยิบเอามาใช้จ่ายให้ทันแก่ความต้องการของตนได้ ฉะนั้น จึงได้ย่นย่อเอาแต่หัวข้ออันจะพึงปฏิบัติมาแต่งไว้ในหนังสือเล่มนี้

    ผู้เริ่มจะเรียนบทกฎใช้ทรัพย์ จะตื่นจากหลับกลับจากความหลง อย่าพึงส่งจิตคิดไปตามสงสาร จงเห็นเป็นของน่ารำคาญ สงสารมันลวงเราผูกมัดรัดรึงตึงเครียดไม่เกลียดหน่าย หลงมัวเมา แก่เฒ่า หนุ่มสาว แม้แต่ชั้นเด็กๆ ก็ไม่รู้จักอิ่มพอ รสสงสารทำให้คนเมาไม่รู้จักสร่าง ตัวแก่จนจวนจะดับจิตยังไม่คิดถึงที่พึ่งของตน สิ่งอื่นนอกจากความดีที่มีอยู่ในตนแล้ว คนอื่นที่ไหนใครเขาจะให้พึ่งได้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราคนเดียวทั้งนั้น ตายแล้วไม่มีใครเป็นเพื่อนของเราเลย จงเริ่มรีบเรียนบทกฎใช้ทรัพย์ไว้สำหรับตน คนเราทุกๆคนยังเดินทางอยู่ไม่รู้จักจบ ซ้ำจะต้องประสบพบกับภัยใหญ่ในวันหนึ่งข้างหน้า (กล่าวคือ พยาธิและมรณะ)

    เมื่อเราเรียนรู้วิชาใช้ทรัพย์พร้อมกับคุณค่าของทรัพย์ไว้ได้แล้ว จะได้ทุ่มเททรัพย์ของตนที่มีอยู่นั้นต่อสู้กับปฏิปักษ์ พึงทราบเถิดว่า สนามยุทธหมู่ไพรีสี่สหาย นายทหาร ๔ คนพากันชุมชุกสนุกใจอยู่ในไพรขันธ์ ต่างขยันทำกิจตามหน้าที่ไม่มีเกียจคร้านเลย คนหนึ่งดักต้นทางพบแล้วปล่อยไป คนที่สองด้อมมองตามทุกฝีย่าง คนที่สามคุกคำรามตามทารุณแสนร้ายกาจ คนที่สี่มองมับเมียงคอยเหวี่ยงเปรี้ยงให้บรรลัย

    สี่สหายนายโจรใหญ่นี้ทำเป็นมิตรสนิทสนมกับเรา นั่งนอนยืนเดินอยู่กิน พูดจาเฮฮาหัวเราะ เศร้าโศกสุขทุกข์ เขาย่อมเป็นไปกับเราทั้งนั้น เล่ห์กลมารยาของเขาลึกล้ำมาก ยากที่บุคคลจะรู้เหลี่ยมของเขา เว้นเสียแต่พระพุทธองค์เจ้าและพระอรหันตขีณาสพทั้งหลายเท่านั้นจะรู้กลอุบายของเขา ฉะนั้น สาธุชนทั้งหลายผู้เห็นภัยแล้วกลัวต่อนายโจรทั้งสี่สหาย พึงพากันยินดีเรียนเอาวิชาคือพุทธมนต์ไว้สำหรับป้องกันตน พุทธมนต์นั้นมี ๒ ประเภท พึงรู้คุณวิเศษแลลักษณะอาการของพุทธมนต์นั้นมีดังนี้ก่อนคือ การศึกษาเล่าเรียนท่องบ่นบทบาทอรรถบาลี ซึ่งมีในพระคัมภีร์ทั้งหลาย เรียกว่าพระปริยัติธรรม วิชาขั้นนี้เป็นวิชาขั้นต้น มนต์นี้เรียนแล้วไม่สาธยายเสกเป่า คือไม่ปฏิบัติตามความรู้ความเข้าใจนั้น พวกไพรีทั้งสี่ย่อมยิ้มกริ่ม มนต์นั้นย่อมไม่สำเร็จประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไพศาลแก่ตน ตรงกันข้าม ถ้าปฏิบัติเขาย่อมเกรงขาม ฉะนั้น ท่านจึงแสดงมนต์ประเภทนี้ไว้ว่ามีทั้งคุณและโทษดังนี้

    อลคทฺทูปมาปริยตฺติ พระปริยัติเปรียบด้วยอสรพิษ คือ ผู้ศึกษาเล่าเรียนทรงจำไว้ไม่ดี ไม่ตรึกตรองให้ถ่องแท้ จะเข้าใจผิดๆ ถูกๆ แล้วนำไปใช้ย่อมให้โทษแก่ผู้นั้น

    นิสฺสรณตฺถปริยตฺติ พระปริยัติที่บุคคลท่องบ่นจดจำเล่าเรียนทรงไว้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว โดยมีความประสงค์จะทำตนให้พ้นจากโอฆะโดยการเรียนนั้น

    ภณฺฑาคาริกปริยตฺติ ได้แก่การศึกษาเล่าเรียนของพระอริยเจ้าผู้ท่านสิ้นกิเลสแล้วดังนี้ เป็นพุทธมนต์ที่หนึ่ง

    พุทธมนต์ที่สองนั้น ได้แก่ สมถวิปัสสนากรรมฐาน อธิบายว่า ผู้ซึ่งได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมอย่างนั้นมาแล้วก็ดี หรือเรียนแต่น้อยๆ เฉพาะอุบายของกรรมฐานนั้นก็ดี แล้วตั้งหน้าตั้งตาเจริญพระกรรมฐานนั้นเรื่อยไป วิชาประเภทหลังนี้นายโจรทั้งสี่มีความกลัวมาก

    พุทธมนต์ทั้ง ๒ ประเภทนี้ เป็นวิชาป้องกันตัวในเมื่อเข้าสู้ยุทธไพรี ๔ นายนั้น สาธุชนทั้งหลายไม่ควรประมาท ควรพากันเรียนไว้ให้ช่ำชองอาจหาญ จะพาข้ามด่านไปได้ ก็เพราะวิชานี้

    ต่อไปนี้จะแสดงวิชาประเภทที่ ๒ ซึ่งเรียกว่าสมถวิปัสสนานั้นต่อไป วิชาประเภทนี้เป็นวิชาที่เรียนแล้วลงมือกระทำกันจริงๆ เหตุการเรียนมากและเรียนน้อยไม่สู้จะสำคัญนัก ส่วนสำคัญอยู่ที่กำลัง ๕ ประการ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เท่านั้น มีกำลังทั้ง ๕ นี้เป็นทุนอุดหนุนแล้ว แม้จะเรียนบทกรรมฐานเพียงสักว่า "ความตายของเราเที่ยง" เท่านี้ก็สามารถจะต่อสู้ชิงชัยได้ สมกับพระสูตรท่านแสดงไว้ว่า "ปุถุชนผู้เรียนมากแลเรียนน้อย เมื่อปฏิบัติแล้วย่อมเข้าใจถึงธรรมได้เหมือนกัน" ดังนี้ อธิบายว่า ธรรมทั้งหลายย่อมเกิดที่ใจมิได้มีในที่อื่น พระปริยัติธรรมทั้งหลายถึงจะมากมายสักเท่าไร ก็บัญญัติตามลักษณะและกิริยาที่แสดงออกมาจากใจทั้งนั้น ผู้รู้จักลักษณะอาการของใจหยาบก็บัญญัติได้น้อย ผู้รู้ละเอียดก็บัญญัติได้มาก เหตุนั้นท่านจึงแสดงวิมุตติของพระขีณาสพไว้ถึง ๔ ชั้นคือ พระสุกขวิปัสสก๑ พระเตวิชชะ๑ พระฉฬภิญญะ๑ พระจตุปฏิสัมภิทัปปัตตะ๑ ดังนี้ พวกท่านทั้งหลายย่อมเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นกิเลส เข้าถึงพระนิพพาน ก็รู้รสชาติที่เป็นแก่นสารด้วยใจของตนเองทั้งนั้น พระอรหันต์ ๔ เหล่านั้น มิได้วิวาทเป็นปฏิปักษ์ข้าศึกแก่กันและกันเลย ไม่เหมือนปุถุชนพวกเราทั้งหลาย ผู้ตาบอดคลำช้างต่างก็พากันเข้าใจว่าของตนถูก ผลที่สุด พวกตาบอดเหล่านั้นเกิดทะเลาะทุบต่อยกันขึ้นเพราะช้างตัวเดียวเป็นเหตุ

    พระโลกเชษฐ์พระองค์ได้ทรงแสดงธรรม เครื่องตัดสินพระธรรมวินัยในพระศาสนานี้ไว้แล้วถึง ๘ ประการว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อราคะ ธรรมเหล่านั้นมิใช่ธรรม มิใช่วินัย คำสอนของพระองค์ ดังนี้เป็นต้น เมื่อพระธรรมยังไม่มีใครบัญญัติ พระสัพพัญญูผู้วิเศษปฏิบัติถูกต้องแล้ว รู้แจ้งด้วยพระองค์เองแล้ว บัญญัติเหล่านั้นสอนพระสาวกทั้งหลาย เมื่อพระสาวกองค์ใดปฏิบัติถูกต้องเข้า ธรรมเหล่านั้นย่อมมาปรากฏชัดในใจของท่าน ความรู้ความฉลาดความหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เกิดมีขึ้นเฉพาะในใจของท่าน ด้วยการใช้อุบายของพระองค์ ความหลุดพ้นเพราะเห็นสภาวธรรมตามเป็นจริง จึงทอดทิ้งกิเลสทั้งหลาย มีขันธูปธิ เป็นต้น ไม่ต้องเชื่อคนอื่นอีกแล้ว ฉะนั้น ผู้ยังไม่ถึงวิมุตติจะบัญญัติธรรมใดๆ ก็ยังเป็นสมมติอยู่นั่นเอง ตกลงว่าสมมติทับสมมติเรื่อยไป ส่วนท่านที่ถึงวิมุตติแล้ว แม้จะบัญญัติธรรมเหล่าใดๆ บัญญัตินั้นก็ถูกต้องตามบัญญัติจริงๆ เพราะความในใจของท่านยังเป็นวิมุตติอยู่ตามเดิม

    สมถ-วิปัสสนานี้ เป็นวิถีทางตรงที่จะให้ถึงซึ่งวิมุตติ แล้วเกิดปฏิเวธ บัญญัติสภาวะสิ่งนั้นๆ ให้เป็นไปตามความจริงถูกต้องได้ สมถะเป็นปฏิปักษ์แก่กามภพ ตัดหนทางอันคดเคี้ยวให้ตรง ด้วยองค์ฌานแลสมาธินั้นๆ วิปัสสนาปัญญา รอบรู้เห็นอยู่เฉพาะซึ่งของจริงทั้งหลาย เป็นต้นว่าเห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นจริงอยู่อย่างนั้น ไม่แปรผันยักย้ายเป็นอื่นไปเลย จิตวางเฉย รู้เท่าทันต่อสิ่งเหล่านั้นแล้ว ไม่ถือมั่นด้วยอัตตานุทิฏฐิ ตัดกระแสของภพทั้งสามให้ขาดไปด้วยวิปัสสนาอยู่ในที่เดียว

    อุบายของสมถะนี้ท่านแสดงไว้มีมากมายหลายอย่าง จะต่างกันก็แต่อุบายเบื้องต้นเท่านั้น เมื่อเข้าถึงองค์ของสมถะแล้วก็อันเดียวกัน คือเอกัคคตารมณ์ ฉะนั้น ในคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าท่านจึงแสดงสมถะ ฌาน สมาธิ เป็นอันเดียวกัน เพราะธรรมทั้งสามนี้ มีพระกรรมฐาน ๔๐ เป็นอารมณ์เหมือนกันทั้งนั้น ต่างแต่ผลัดกันเป็นเหตุเป็นผลแห่งกันและกันเท่านั้น (ดังจักอธิบายต่อไปข้างหน้าเรื่องรูปฌาน ๔ และสมาธิ)

    จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ
    จิตที่อบรมดีแล้วนำความสุขมาให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2020
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    (ต่อ)
    พระกรรมฐานทั้งหลาย ๔๐ มีกสิณ ๑๐ เป็นต้น มีอาหาเรปฏิกูลสัญญาเป็นปริโยสาน เมื่อน้อมเข้ามาให้มีอยู่เฉพาะที่กาย วาจา ใจ ของตนแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่าตัวของเราทั้งก้อนนี้เป็นที่ประชุมที่ตั้งของพระกรรมฐาน หรือเป็นแหล่งของสมถะ ฌาน สมาธิ ตลอดถึงปัญญาและวิมุตติด้วย เพราะเหตุที่เราไม่เข้าไปเพ่งพิจารณาที่กายนี้ ตามวิถีที่พระพุทธองค์เจ้าทรงสอนไว้ จึงไม่เห็นธรรมวิเศษของดีทั้งหลาย มีสมถะเป็นต้นฯ ฉะนั้น ในที่นี้จะได้ยกเอาพระกรรมฐาน อันเป็นแหล่งของสมถะ ฌาน สมาธิ คือ กายนี้อย่าเดียวมาแสดงพอเป็นสังเขป เมื่อเจริญกรรมฐานอันนี้ได้แล้ว กรรมฐานอื่นนอกจากนี้ก็ไม่ต้องลำบาก

    กายคตานี้ท่านแสดงไว้มีหลายนัย เช่น แสดงเป็นธาตุ ๔ อสุภ ๑๐ เป็นต้น ในที่นี้จะรวมย่อเข้าแสดงเป็นอันเดียว ให้ชื่อว่า อสุภกายคตา แล้วจะจำแนกออกไปพอเป็นสังเขปบ้างเล็กน้อยดังนี้

    กายคตา พิจารณากายให้เห็นเป็นธาตุ ๔ เมื่อผู้จะพิจารณากายนี้ให้เห็นเป็นธาตุ ๔ แล้ว พึงน้อมเอาจิตที่สงบพอเป็นบาทฐานซึ่งได้อบรมไว้แล้วด้วยการบริกรรมพุทโธๆ ดังนี้เป็นต้นนั้น เข้าไปเพ่งพิจารณาเฉพาะอาการของกายทั้งหลาย ที่เรียกว่า ทวัตติงสาการ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น แล้วอย่าให้จิตนั้นส่งไปในที่อื่น น้อมเอาจิตนั้นเพ่งเฉพาะสิ่งเดียว เช่นจะเพ่งผม ก็ให้เพ่งเอาแต่เฉพาะผมอย่างเดียวเสียก่อนว่า ผมๆๆ เท่านั้นเรื่อยไป พร้อมกับคำนึงและทำความเชื่อมั่นว่านั่นเป็นธาตุดินจริงๆ ดังนี้ ถ้าจะเพ่งอาการอื่นต่อไปมีขนเป็นต้น ก็ให้เพ่งมีอาการและลักษณะเช่นนั้นเหมือนกัน อาการเพ่งอย่างนี้ ถ้าชัดส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนอื่นๆ ก็จะชัดไปตามกัน แต่เมื่อจะเพ่งส่วนใด ขอให้ชัดในส่วนนั้นเสียก่อน อย่าพึงรีบร้อนไปเพ่งส่วนนั้นบ้าง ส่วนนี้บ้าง อาการโน้นบ้าง อาการนี้บ้าง พระกรรมฐานจะไม่ชัด อาการเพ่งอย่างนี้เรียกว่าเพ่งส่งตามอาการ บางคนมักจะให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นตรงที่เพ่งนั้นๆ เพราะจิตยังไม่สงบหรือกำหนดอุบายยังไม่ถูก บางทีถูก เช่นอย่างว่าเพ่งผมแล้วอย่าสำคัญว่าผมมีอยู่ที่ศีรษะของเราดังนี้ก็แล้วกัน มันจะมีมาในที่ใดมากแลน้อย ประการใดก็ดี ให้เพ่งแต่ว่าผมเท่านั้นก็พอแล้วฯ

    ถ้าดังอธิบายมานี้ยังไม่ชัด พึงน้อมเอาอาการทั้งหลายมีผมเป็นต้น ให้เข้ามาตั้งเฉพาะผู้มีความรู้สึก "คือใจ" แล้วเพ่งโดยดังนัยก่อนนั้น เมื่อยังไม่ชัด พึงนึกน้อมเอาธาตุดินภายในกายนี้มีผมเป็นต้น ว่าต้องเป็นดินแน่ แล้วน้อมออกไปเทียบกับธาตุดินภายนอก ว่าต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกันดังนี้ก็ได้ หรือน้อมเอาธาตุดินภายนอกเข้ามาเทียบกับธาตุดินภายในกายของเรานี้ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ดังนี้ก็ได้ เมื่อเห็นชัดโดยอาการอย่างนั้น เรียกว่าเห็นโดยอนุมาน พอเป็นมุขบาทของฌานสมาธิได้บ้าง

    ถ้าหากความเห็นอันนั้นแก่กล้า จะสามารถตัดความกังขาลังเลสงสัยเสียได้จริงๆ ว่าสิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้นทีเดียว จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แน่นอน จนจิตนั้นถอนออกจากความถือมั่นสำคัญเดิม ด้วยอำนาจของความหลง จิตตกลงเชื่อแน่วแน่แจ่มใสมีสติรู้อยู่ทุกระยะที่รู้ที่เห็นที่พิจารณาทุกอาการทุกส่วน เรียกว่าเห็นด้วยอำนาจของ สมาธิ มีสมาธิเป็นภูมิฐาน

    เมื่อความรู้ความเห็นอันนั้นมีกำลังเพียงพอ ปัญญาเข้าไปตรวจดูว่าของเหล่านี้มีอยู่ภายในเช่นไร ภายนอกทั้งหมดก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ของที่หยาบและละเอียดย่อมมีสภาวะเป็นเหมือนกันทั้งนั้น ในโลกนี้มีธาตุ ๔ ทั้งหมดล้วนแต่เกิดจากธาตุ ๔ ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด กี่ร้อยกี่พันชาติ ก็มีสภาวะเป็นอย่างเดียวกันทั้งนั้น เห็นอย่างนี้เรียกว่าเห็นด้วย วิปัสสนาปัญญา

    เมื่อเพ่งพิจารณาโดยอาการทั้งสาม ดังที่อธิบายมาแล้วนี้ เมื่อถึงกาลสมัยซึ่งมันจะเป็นไปเอง โดยที่ไม่ได้ตั้งใจอยากจะให้มันเป็น หรือตกแต่งเอาด้วยประการใดๆ จิตที่เพ่งพิจารณาอยู่นั้นจะรวมลงมีอาการให้วุ่นวายคล้ายกับเผลอสติหรือบางทีก็เผลอเอาจริงๆ ดังนี้เรียกว่าจิตเข้าสู ภวังค์ คือเป็นภพใหญ่ของจิตที่ยังไม่ปราศจากอุปธิ รวมเอาขันธ์ทั้งห้า ซึ่งเป็นส่วนภายนอกเข้าไว้ในที่เดียวกัน ในขณะเดียวกันนั้น บางทีจะปรากฏภาพที่เราเพ่งพิจารณามาแล้วแต่เบื้องต้น เช่น เพ่งผมให้เป็นดินนั้นแปรเป็นสภาพที่ละเอียดชัดขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะได้เห็นด้วยขันธ์ในอันบริสุทธิ์ มิได้เห็นด้วยขันธ์อันหยาบๆ ภายนอกนี้ บางทีเมื่อภาพชนิดนั้นไม่ปรากฏ จะมีปีติปรากฏขึ้นในขณะนั้นให้เป็นเครื่องอัศจรรย์ เช่นทำให้กายหวั่นไหวหรือโยกคลอน สะอื้นน้ำตาร่วง กายเบา เหล่านี้ หรืออาจจะให้เห็นอะไรต่ออะไรมากอย่างนานัปการ ทำผู้ทำกรรมฐานให้ชอบใจมาก ถ้าผู้เจริญวิปัสสนาแล้วเกิดอาการเหล่านี้ จัดเป็นอุปกิเลสของวิปัสสนา ถ้าท่านผู้หาอุปธิมิได้ในขันธสันดานของท่านแล้ว อาการเหล่านี้เป็นวิหารธรรม เพื่อวิหารสุขในทิฏฐธรรมของท่าน ถ้าผู้เจริญสมถะอยู่ ความรู้ความเห็นอย่างนั้นเรียกว่ารู้เห็นด้วยอำนาจภวังค์ ความรู้ความเห็นสามตอนปลายนี้ เรียกว่า ปัจจักขาสิทธิ

    การเพ่งพิจารณากายนี้ มีนัยวิจิตรพิสดารมาก แต่เมื่อสรุปใจความลงแล้ว ผู้มายึดเอากายนี้เพ่งเป็นต้นทางแล้ว ปลายทางก็มีอาการเป็น ๒ คือ เห็นชัดด้วยอนุมาน ๑ เห็นชัดด้วยปัจจักขาสิทธิ ๑ ปัจจักขาสิทธิยังแจกออกไปอีกเป็น ๓ คือ เห็นชัดด้วยสมาธิ ๑ เห็นชัดด้วยฌาน ๑ เห็นชัดด้วยวิปัสสนาปัญญา ๑ ฉะนั้น ความรู้ความเห็นซึ่งเกิดจากการเพ่งพิจารณากายมีแยบคายออกเป็นทาง ๓ เส้น ดังอธิบายมาแล้วนี้ จะไม่นำมาอธิบายอีก จะแสดงแต่ต้นทาง มีพิจารณากายให้เป็นอสุภเป็นต้น ผู้พิจารณากายพึงรู้เอาโดยนัยดังอธิบายมาแล้วนั้นเถิด

    กายคตา การพิจารณากายให้เป็นอสุภ พึงเพ่งพิจารณากายก้อนนี้ อันเป็นที่ตั้งของอัตตานุทิฏฐิให้เกิดอุปธิกิเลส เป็นเหตุให้เราหลงถือว่าเป็นสุภของสวยงาม ให้เป็นอสุภ แล้วจะได้ละวิปลาส หลงถือของไม่สะอาดสวยงาม แล้วรู้ตามเป็นจริง

    กายนี้เป็นของอสุภมาแต่กำเนิด เมื่อจะเกิดมาเป็นกายก็เอาอสุภคือสัมภวธาตุ (เลือดขาว) ของมารดาบิดามาประสมกันเข้าแล้วจึงเกิดเป็นกายได้ เมื่อเจริญเติบโตขึ้นมา ซึ่งนอนอยู่ในครรภ์ของมารดานั้น ก็นอนอยู่ในอสุภ เกลือกกลั้วด้วยน้ำเลือดน้ำเน่าของมารดา อาศัยน้ำเลือดน้ำเน่าเหล่านั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจึงเจริญมา เปรียบเหมือนตัวหนอนซึ่งเกิดอยู่ในหลุมคูถ บ่อนกินคูถเป็นอาหารจึงเติบโตขึ้นมาได้ฉะนั้น ตัวหนอนบ่อนกินคูถเป็นอาหารด้วยมุขทวาร ยังดีกว่าทารกที่รับอาการด้วยสายรกสืบจากมารดาเข้าไปหล่อเลี้ยงชีวิตโดยอาการซึมซาบเข้าไปทางสายสะดือนั้นเสียอีก

    เมื่อคลอดออกมาก็เป็นของน่าอุจาดเหลือที่จะทน เปรอะเปื้อนด้วยน้ำเน่าแลน้ำหนอง เหม็นสาบเหม็นโขงยิ่งร้ายกว่าผีเน่าที่นอนอยู่ในโลง คนทั้งหลายนอกจากมารดาบิดาแลญาติที่ใกล้ชิดแล้ว ไม่อาจมองดูได้ เมื่อเจริญเติบโตขึ้นมาทุกระยะวัยนั้นเล่า ก็อาศัยของเน่าปฏิกูลเป็นเครื่องบำรุงมาตลอดกาล เช่นอาหารที่รับประทานเข้าไปเป็นต้น จะเป็นของดีวิเศษปรุงสำเร็จมาแล้วด้วยของดีอันมีค่า เมื่อเข้ามาถึงมุขทวารแล้ว อาหารเหล่านั้นก็เป็นของปฏิกูลคลุกเคล้าไปด้วยเขฬะน้ำลายอันเป็นของน่าเกลียดหน่ายทั้งตนแลคนอื่นด้วย เมื่อกลืนล่วงลำคอลงไปอยู่ในกระเพาะอาหารแล้ว เปื่อยเน่าเท่ากับหลุมคูถที่หมักหมมมานานตั้งหลายปี ของปฏิกูลซึ่งมีอยู่ภายในทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมซึมซาบไหลออกมาภายนอก เกรอะกรังอยู่ตามผิวหนังแลช่องทวารต่างๆ แมลงหวี่แมลงวันพวกหลงของเน่าสำคัญว่าเป็นของดี พากันยื้อแย่งไต่ตอมกิน ในกายนี้ทั้งหมดจะหาของดีสักชิ้นหนึ่งก็ไม่ได้ เว้นไว้แต่บุคคลผู้ยังหลงสำคัญว่าเป็นของดีสะอาด จึงสามารถหลงรักและชมชอบว่าเป็นของดีสะอาด ทั้งๆ ที่เขายังหลงอยู่นั้นเอง จึงได้หาเครื่องทาหาของย้อมมาประพรมเพื่อกลบกลิ่นอันไม่พึงใจ แต่เขาเหล่านั้นหารู้ไม่ว่า การทำเช่นนั้นเพื่อกลบกลิ่นกลับเข้าไปตรงกันข้ามไปเสียว่าเพื่อความหรูหราและเพลิดเพลินเจริญใจแก่ตนและบุคคลผู้ที่ได้เห็นได้ดู ข้อนี้อุปมาเหมือนกับหีบศพที่กลบให้มิดปิดให้ดี ระบายสีให้สะอาดวาดลวดลายด้วยน้ำทอง คนทั้งหลายมองดูแล้วชมว่าสวย ที่ไหนได้ ภายในเป็นซากอสุภ

    พิจารณากายนี้ให้เป็นอสุภดังแสดงมาแล้วนี้ก็ได้ หรือจะพิจารณาโดยอนุพยัญชนะคือ ทวตฺตึสาการ อาการ ๓๒ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ให้เป็นอสุภแต่ละอย่างๆ ดังแสดงมาแล้วข้างต้นก็ได้ เมื่อผู้มาพิจารณาโดยนัยนี้ให้เห็นเป็นอสุภดังแสดงมานี้แล้ว ย่อมละเสียซึ่งความเมาในรูปนี้ได้

    กายคตา พิจารณาให้เห็นเป็นทุกข์ ให้พิจารณาจำเดิมแต่ตั้งปฏิสนธิอยู่ในครรภ์ของมารดา นั่งขดคู้อยู่ด้วยอิริยาบถเดียว สิ้นทศมาสสิบเดือน อาศัยผลกรรมตามสนองจึงประคองชีวิตมาได้โดยความลำบาก แม้แต่อาหารที่จะเลี้ยงชีพเป็นต้นว่าข้าวแลน้ำก็มิได้นำเข้าทางมุขทวาร อาศัยรสชาติอาหารของมารดาที่ซึมซาบออกไปจากกระเพาะแล้วนั้น ค่อยซึมซาบไปหล่อเลี้ยงโดยสายรกที่ติดต่อจากมารดาเข้าไปโดยทางสายสะดือ ลมหายใจเล่าก็ต้องอาศัยลมหายใจของมารดาที่กลั่นกรองแล้วออกจากปอด เข้าไปสูบฉีดทีละนิดทีละหน่อยพอให้มีชีวิตเป็นไป ความอึดอัดเพราะการคับแคบก็เหลือที่จะทนทาน อาหารที่มารดารับเข้าไปถ้าเป็นของร้อนและเผ็ดแสบ ทารกที่อยู่ในครรภ์ก็ร้อนและเผ็ดแสบไปด้วย ความทุกข์ในเมื่ออยู่ในครรภ์เหลือที่จะทนทาน แต่เป็นการจำเป็น บุญกรรมตามสนองไว้จึงไม่ถึงกับตาย แต่เมื่อทุกข์ถึงขนาดเพราะได้รับการกระทบกระทั่ง บางกรณีก็ถึงซึ่งชีวีไปได้อยู่ในครรภ์นั่นเอง เมื่อคลอดจากครรภ์ของมารดานั้น ความทุกข์ก็แสนสุดขนาดเหลือที่จะประมาณ ท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนกับช้างสารที่หนีนายพรานออกไปในช่องหินที่คับแคบในระหว่างภูเขาทั้งสอง ฉะนั้น

    ความทุกข์เมื่ออยู่ในครรภ์ จะว่าเป็นนรกใหญ่ของมนุษย์ในชาตินี้ก็ว่าได้ คราวเมื่อคลอดออกมา เท่ากับว่านายนิรยบาลทำทัณฑกรรมก็ว่าได้ นับแต่วันคลอดแล้วมา อาการของทุกข์ในกายนี้ย่อมขยายตัวออกมาให้ปรากฏทุกระยะ จำเดิมแต่ทุกข์เพราะหิวกระหาย ทุกข์เพราะกายนี้คอยรับเอาซึ่งสัมผัส เกิดจากเย็นร้อนอุตุฤดูต่างๆ หรือเกิดแผลพุพองเปื่อยเน่า แมลงต่างๆ ต่อยกัด สัตว์เล็กสัตว์โตรบกวนราวี ถูกโบยตีทารุณทัณฑกรรมต่างๆ หลายอย่างเหลือที่จะคณนานับ ทุกข์สำคัญคือทุกข์ที่มีประจำในตัวไม่รู้จักจบสิ้น ทุกข์เหล่านั้นเรียกว่า โรค ๖๔ ประการ มีโรคเกิดประจำ ตา หู จมูก เป็นต้น (อาทีนวสัญญา)

    ปกิณณกทุกข์ นั้นมีทุกข์เกิดจากความโศกเศร้า เสียใจอาลัยโทมนัสขัดแค้นเป็นต้น ทุกข์เหล่านี้จะเรียกว่าทุกข์ที่เป็นบริวารของนรกก็ว่าได้

    ปริเยสิกทุกข์ ทุกข์เพราะการแสวงหาเลี้ยงชีพ เป็นต้นว่า การกสิกรรม อดทนต่อแดดและฝน โสมมด้วยของสกปรกตลอดวัน พอตกกลางคืนพักผ่อนรับประทานเสร็จแล้วค่อยสบายนอนหลับสนิท บางทีกลางคืนทำงานตลอดรุ่ง กลางวันพักผ่อนนอนสบายใจ หรือบางทีทำงานอาชีพตลอดวันยังค่ำคืนยังรุ่ง หาเวลาว่างมิได้ดังนี้ก็ดี หรืออาชีพด้วยการค้าขาย มีการหลอกลวงหรือฉ้อโกงกัน เกิดทะเลาะวิวาททุบต่อยจนถึงฆ่ากันตาย ด้วยการอาฆาตบาดหมางเพราะอาชีพนั้นดังนี้ก็ดี ถ้าจะเปรียบแล้วทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็เหมือนกับว่าทุกข์ของเปรต ที่เป็นเศษจากผลกรรมที่ตกนรกเล็กน้อยแล้วนั้น มารับผลของกรรมที่เป็นบุญ ได้รับความสุขในเวลากลางคืน ในเวลากลางวันไปเสวยผลของกรรมที่เป็นบาปได้รับทุกข์ บางทีในเวลากลางคืนได้รับผลของกรรมที่เป็นบาป เป็นทุกข์ในเวลากลางคืน กลางวันได้รับผลของบุญที่เป็นสุข

    กายอันนี้เกิดมาทีแรกก็เป็นทุกข์ ความเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นทุกข์ คราวที่สุดจวนจะตายก็เป็นทุกข์ หาความสุขสบายของกายอันนี้แม้แต่น้อยหนึ่งย่อมไม่มีเลย เว้นไว้แต่ผู้ยังหลงมัวเมาเข้าใจว่าทุกข์เป็นสุขเท่านั้น เหตุนี้พระพุทธองค์จึงได้ทรงตรัสไว้ว่า "ในโลกนี้นอกจากทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นย่อมดับไป ย่อมไม่มีอะไร" ดังนี้ ฉะนั้น ผู้มาพิจารณากายนี้ให้เห็นเป็นทุกข์ดังอธิบายมานี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในกายนี้ แล้วพยายามหาวิถีทางที่จะหนีให้พ้นจากทุกข์

    กายคตา พิจารณาให้เห็นเป็นอนิจจัง จำเดิมแต่กายนี้ปฏิสนธิ อาการของกายนี้ทุกส่วนยังไม่ปรากฏ เป็นของเล็กน้อยละเอียดที่สุด จิตเข้ามายึดถือเอาปฏิสนธิจากสัมภวธาตุของมารดาบิดาอันผสมกัน แล้วกลั่นกรองให้เป็นของละเอียด จนเป็นน้ำมันใสมีประมาณเล็กน้อยที่สุด น้ำมันแต่ละหยดนั้นแหละจะค่อยแปรมาโดยลำดับ คือ จะแปรมาเป็นน้ำมันข้น แล้วแปรมาเป็นน้ำล้างเลือด แล้วแปรมาเป็นน้ำเลือด แล้วแปรมาเป็นก้อนเลือด แล้วแปรมาเป็นก้อนเนื้อ

    ดังในกายวิรติคาถา ข้อ ๒,๓,๔ ฉบับสิงหล พ.ศ. ๒๔๒๔ ท่านกำหนดเด็กอยู่ในครรภ์ ๙ เดือนไว้ดังนี้ ๑๕ วันทีแรกเกิดเป็นกระดูกอ่อนแลวิถีประสาท ร่างกายโต ๑/๘ ของนิ้ว ย่างเข้า ๒๑ วัน ร่างกายนี้กลมงอเหมือนตัวหนอนหรืออักษร S เกิดช่องทรวงอก ช่องท้อง ปุ่มที่จะเป็นมือและเท้างอกออกมาบ้างนิดหน่อย ร่างกายโตเท่าฟองไข่นกพิราบ หนัก ๑ กรัม ยาว ๑ นิ้ว ข้างโตเป็นศีรษะ ข้างเล็กเป็นเท้า ลำไส้เกิดในตอนนี้ ลายเป็นจุดๆ ที่ตัวคือสันหลัง จุดดำคือลูกตา มีหลอดเล็กๆ เท่าขนไก่ไหวอยู่ริกๆ หลังจุดนี้คือหัวใจ เดือนที่ ๒ เกิดเยื่อบางๆ หุ้มจุดดำๆ รอบสายสะดือ ตอนนี้ร่างกายของเด็กโตเท่าฟองไข่ไก่ หนัก ๕ กรัม ยาว ๔ นิ้ว ปาก จมูก หู ตา มือ เท้า งอกขึ้นเป็นจุด มือและเท้ายังไม่แตกแยก ติดกันเป็นพืด เหมือนเท้าเป็น เดือนที่ ๓ โตเท่าฟองไข่ห่านหนัก ๕-๖ ออนซ์ เท้าและมือแยกออกเป็นนิ้วๆ สายสะดือและตัวของเด็กยาว ๖ นิ้วเท่ากัน เดือนที่ ๔ อวัยวะในกายของเด็กนั้นเกือบจะบริบูรณ์หมด ดวงตายังไม่ลืม เล็บทั้งหลายงอกแต่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ถ้าตั้งใจฟังที่ครรภ์ของมารพา ในตอนนี้จะได้ยินเสียงหัวใจของเด็กเต้น ระยะนี้เด็กดิ้นได้แล้ว สายสะดือยาว ๗ นิ้ว เด็กหนัก ๑ ปอนด์ เดือนที่ ๕ อาการต่างๆ ของเด็กครบบริบูรณ์ ผมมีสีเข้ม ตาลืมได้แล้ว เด็กหนัก ๑ ปอนด์ สายสะดือยาว ๑๐ นิ้ว ตอนนี้ฟังเสียงหัวใจของเด็กเต้นได้ยินถนัด เดือนที่ ๖ สายสะดือและตัวของเด็กยาว ๑๒ นิ้ว เด็กหนัก ๒ ปอนด์ บางทีอาจคลอดเดือนนี้ก็ได้แต่ไม่ค่อยรอด เดือนที่ ๗ ตัวของเด็กเพิ่มขึ้นถึง ๔ ปอนด์ สายสะดือแลตัวของเด็กยาว ๑๔ นิ้วเท่ากัน แต่เล็บยังไม่งอกเต็ม ถ้าคลอดในเดือนนี้พอมีหวังเลี้ยงได้บ้าง เดือนที่ ๘ อวัยวะครบทุกส่วน ตัวเด็กและสายสะดือของเด็กยาว ๑๖ นิ้วเท่ากัน เด็กหนัก ๖ ปอนด์ เดือนที่ ๙ เป็นเดือนที่ครบกำหนดคลอด มีอวัยวะครบบริบูรณ์ ตัวเด็กแลสายสะดือยาว ๑๗ นิ้ว หนัก ๗ ปอนด์ ถ้าเป็นหญิงมักเบากว่าชาย หัวใจของหญิงเต้นเร็วกว่าชาย (หญิงบางคนตั้งครรภ์ถึงสิบเดือนจึงคลอด แต่โดยมาก ๙ เดือนกับ ๑๔-๑๕-๑๖ วันเป็นพื้น)

    อาการ อนิจจัง แปรปรวนของกาย เมื่ออยู่ในครรภ์ย่อมเป็นมาอย่างนี้ เมื่อคลอดออกมาแล้วย่อมแปรไปโดยลำดับ คือเป็นเด็กแล้วเป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วแก่เฒ่าชรา ที่สุดกายนี้ก็แตกสลายไป อาศัยไม่ได้แล้ว ทอดทิ้งเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ไปตามเดิม ผู้มาพิจารณากายนี้เห็นเป็นอนิจจัง ดังแสดงมานี้แล้ว จะเห็นร่างกายนี้ไม่มีแก่นสารเลย แล้วจะได้แสวงหาธรรมะที่เป็นสาระ สมกับพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ชนทั้งหลายเหล่าใดรู้สิ่งที่เป็นสาระโดยเป็นสาระด้วย สิ่งที่หาใช่สาระโดยหาใช่สาระด้วย ชนเหล่านั้นย่อมถึงสารธรรม ดังนี้

    กายคตา พิจารณาให้เห็นเป็นอนัตตา กายนี้เป็นทุกข์เป็นอนิจจัง แปรปรวนมาโดยลำดับยักย้ายมาทุกระยะ หาได้เว้นไม่แม้แต่วินาทีเดียว ใครจะรักใคร่จะชอบหรือเกลียดโกรธเขาโดยประการใดๆ ก็ดี หรือจะปรนปรือปฏิบัติ ถนอมเลี้ยงเขาโดยทุกสิ่งทุกประการ กายนี้ก็มิได้มีใจสงสารเอ็นดูกรุณาแก่เราเลยสักนิดสักหน่อย จะระทมทุกข์ร้อนอาลัยไม่อยากให้เขาเป็นไปเช่นนั้น เขาย่อมไม่ฟังเสียงทั้งนั้น กายเขามีหน้าที่จะรับทุกข์เขาก็รับไป เขามีหน้าที่จะแปรปรวนเป็นอนิจจัง เขาก็เป็นไปตามสภาพของเขา ฉะนั้น พระรัฐปาลเถรเจ้า จึงแสดงความข้อนี้แก่พระเจ้าโกรัพยราชว่า "โลกนี้ (คือขันธโลก) ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครจะป้องกันไม่ได้ทั้งนั้น ไม่มีใครเป็นใหญ่ โลกนี้ฟูอยู่(ด้วยความไม่พอไม่อิ่มเป็นนิตย์) เป็นทาสของตัณหา ตายแล้วละทิ้งหมด ไปคนเดียว" ดังนี้

    เมื่อผู้มาพิจารณากายนี้ให้เห็นเป็นอนัตตา ดังแสดงมานี้แล้ว ก็จะละเสียได้ซึ่ง อตฺตานุทิฏฐิ และ อสฺมิมาน ที่เห็นว่าเป็นตนเป็นตัวเอาจริงๆ แล้วหลงเข้ามายึดมั่นด้วยความสำคัญผิด

    กายคตา พิจารณาให้เห็นเป็นของตาย กายอันนี้เราได้รับแบ่งส่วนตายมาจากบิดามารดา บิดามารดาของเราได้รับแบ่งส่วนของตายมาจากปู่ย่า ตายาย ปู่ย่าตายายของเรา ได้รับแบ่งส่วนตายมาจากบรรพบุรุษแต่ก่อนๆ โน้นโดยลำดับมา ตกลงว่าทุกๆ คนที่เกิดมาแล้วนี้ ย่อมได้รับมรดกคือความตายมาจากบรรพบุรุษแต่ก่อนๆ โน้นโดยลำดับมาด้วยกันทั้งนั้น

    คนเราในโลกนี้ทั้งหมดซึ่งมองเห็นกันอยู่ในเดี๋ยวนี้ก็คือคนตายนั่นเอง จะมีใครเหลืออยู่ในโลกนี้ได้ เว้นไว้แต่ตายก่อนตายหลังเท่านั้น ถึงแม้ตัวของเราเองซึ่งมีชีวิตเป็นอยู่ได้เพราะอาหารในเดี๋ยวนี้ก็ดี ได้ชื่อว่า "กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อตาย" คนแลสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมเหมือนกันทั้งหมด จะมีชื่อเสียงและยศศักดิ์ มั่งมีและทุกข์จน ทุกชั้นทุกวรรณะ โดยสมมติและนิยมว่า สมณชีพราหมณ์นักพรต ผู้ดีวิเศษมีฤทธิ์เดชตปธรรมทั้งหลายสักเท่าใดก็ดี ก็หนีจากอาการทั้ง ๒ นี้ไม่ได้ทั้งนั้น ความเกิดและความตายทั้ง ๒ นี้ย่อมเป็นเครื่องหมายส่อแสดงว่า "โลกมี" ดังนี้

    ความตายย่อมมีประจำอยู่ในกายของเรานี้ทุกลมหายใจเข้าออก ตายมาทุกระยะทุกวัย ตายโดยอายุขัย คือสิ้นลมหายใจแล้วย่อมทอดทิ้งกายนี้ให้กลิ้งอยู่เหนือแผ่นปฐพี ท่านอุปมาไว้เหมือนท่อนไม้แลท่อนฟืน ฉะนั้น สิ่งของทั้งหลายที่เราสำคัญหมายมั่นว่าเป็นของๆ เรา ความจริงเปล่าทั้งนั้น ดูแต่กายนี้เมื่อวิญญาณไปปราศแล้ว ก็ต้องทอดทิ้งไว้บนดินแล้วหนีไปแต่ตนคนเดียว ผู้มายึดมั่นสำคัญกายนี้ อันเป็นของไม่มีสาระว่าเป็นของมีสาระ ย่อมไม่ถึงธรรมที่เป็นสาระ มีแต่ความดำริผิดเป็นที่ไป ฉะนั้น พึงพิจารณากายนี้ให้เป็นของตาย สลายตามเป็นจริง ซึ่งเป็นคู่กันกับความเกิด แล้วจะได้ละเลิกถือของไม่มีสาระว่าเป็นของมีสาระเสียได้

    กายคตา พิจารณาให้เห็นเป็นอริยสัจ คือให้เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พิจารณาเอาแต่เฉพาะกายอย่างเดียวให้เห็นเป็นอริยสัจดังนี้ คือ

    พิจารณาให้เห็นเป็นทุกข์นั้น ให้พิจารณาดังอธิบายมาแล้วข้างต้น

    พิจารณาให้เป็นสมุทัยนั้น คือ กายนี้มีวิถีประสาทรับส่งอารมณ์ ซึ่งเกิดจากทวารนั้นๆ มีจักษุทวารเป็นต้น เข้าไปหาจิตซึ่งเป็นเหตุจะให้ได้รับความสุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส เป็นอาทิ จึงเรียกว่ากายเป็นสมุทัย เมื่อประสาทนั้นๆ กระด้างหรือตาย อายตนะทั้งหลายมีจักษุประสาทเป็นต้นย่อมไม่ทำหน้าที่ของตนเรียกว่า มรรค คือเป็นเหตุจะให้ดับความรู้สึกในอารมณ์นั้นๆ เมื่อประสาทเหล่านั้นไม่ทำหน้าที่แล้ว เวทนาทั้งหลายมีจักษุเวทนาเป็นต้นย่อมไม่มีดังนี้เรียกว่านิโรธ อริยสัจจะครบพร้อมทั้งสี่ย่อมมีทั้งรูปทั้งนาม จริงอยู่ที่ว่ามานี้เป็นอริยสัจของผู้อยู่ในภวังคจิตอย่างเดียว และประสงค์จะอธิบายให้ทราบว่ากายอย่างเดียวเป็นอริยสัจครบทั้งสี่ จึงได้อธิบายดังนี้ ส่วนอริยสัจในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีพร้อมทั้งรูปและนามอยู่แล้ว เป็นอริยสัจของพระองค์ที่ทรงตรัสรู้ชอบเอง ด้วยพระองค์เองแล้ว อันนั้นไม่มีปัญหา แต่ในที่นี้จะนำเอามาแสดงไว้พอให้เป็นสังเขป เพื่อผู้สนใจทั้งหลายจะได้นำเอามาเทียบเคียงกันกับอริยสัจที่อธิบายข้างต้นนั้น

    อริยสัจในพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั้น พระองค์ทรงแสดงว่า ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ เป็นของทนได้ยาก เป็นของควรกำหนด สมุทัย (เป็นนามธรรมเฉพาะ) คือใจเข้าไปยึดขันธ์ นั้นเป็นของควรละ นิโรธ คือการละสมุทัย แล้วทุกข์ก็ไม่มี มรรค คือปัญญา สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบไม่วิปริต คือเห็นว่ากายกับจิตเป็นคนละอัน ด้วยอำนาจความยึดมั่นสำคัญผิด กายและจิตจึงเป็นเราเป็นเขาเป็นตนเป็นตัวไป

    อริยสัจนี้ พระองค์ทรงแสดงไว้ว่ามีปริวัฏละ ๓ เป็นไปในสัจจะ ๔ คือ

    รอบที่ ๑ ทุกข์ เป็นของควรกำหนด เราได้กำหนดแล้ว

    รอบที่ ๒ สมุทัย เป็นของควรละ เราได้ละแล้ว

    รอบที่ ๓ นิโรธ เป็นของควรทำให้แจ้ง เราทำให้แจ้งแล้ว

    รอบที่ ๔ มรรค เป็นของควรเจริญ เราได้เจริญแล้ว

    รวมเรียกว่าอริยสัจ ๔ มีปริวัฏเวียนไปในสัจจะละ ๓ รวมเป็นอาการ ๑๒ ดังนี้ สัจจะที่แสดงมานี้ย่อมทำกิจในขณะเดียวกันอธิบายว่าคำว่าทุกข์เป็นของควรกำหนด เมื่อกำหนดทุกข์อยู่นั้นถ้าหากมันจะถึงอริยสัจจริงๆ แล้วย่อมเข้าไปเห็นอาการของสมุทัย คือผู้ไปยึดถือทุกข์ อาการเห็นชัดอย่างนี้จัดเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ การเข้าไปเห็นทุกข์กับผู้ไปยึดถือทุกข์เป็นคนละคนไปว่า ทุกข์มิใช่ผู้ยึดถือ ผู้ยึดถือมิใช่ทุกข์ แล้วทุกข์ย่อมดับไป จักได้ชื่อว่านิโรธ เรียกว่าทำกิจในขณะเดียวกันดังนี้ อริยสัจตอนนี้เป็นอริยสัจของผู้มีสมาธิและปัญญาพร้อมกันบริบูรณ์ ได้ชื่อว่าเป็นอริยสัจในองค์มรรคแท้

    กายคตา พิจารณาให้เห็นเป็นสติปัฏฐาน คือสติเข้าไปตั้งไว้เฉพาะในกาย แล้วพิจารณากายนี้ให้เห็นเป็นธาตุ ๔ หรือเป็นอสุภ เป็นต้น ดังอธิบายมาแล้วในข้อต้นนั้น จนจิตเห็นชัดเชื่อแน่วแน่ว่าต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ จึงถอนเสียได้ซึ่งอัตตานุทิฏฐิเห็นว่าเป็นตน เป็นตัว เป็นเรา เป็นเขา กายนี้เป็นสักแต่ว่าธาตุ ๔ เป็นต้นเท่านั้น แล้วพิจารณาธาตุ ๔ เป็นต้นนั้นให้ละเอียดลงไปอีกว่า ถ้าหากเราไม่สมมติว่าธาตุ ๔ เป็นตนแล้ว ของเหล่านั้นก็ไม่มีชื่อ เป็นแต่สักว่าสิ่งหนึ่งเท่านั้น ซึ่งปรากฏอยู่ที่เฉพาะทวารทั้งหลายมีจักษุทวารเป็นต้น ไม่ใช่ตัวตนเราเขา

    ส่วนสติปัฏฐานอันอื่นนอกจากนี้คือ เวทนา จิต ธรรม ก็ให้พิจารณาโดยนัยเดียวกัน พิจารณาอย่างนี้รียกว่าพิจารณาให้เป็นสติปัฏฐาน

    โพธิปักขิยธรรมทั้งหลายอื่นนอกจากนี้ มีสัมมัปปธานเป็นต้น พิจารณากายนี้ให้เป็นไปในธรรมนั้นๆ ได้ทั้งนั้น การพิจารณากายนี้มีนัยกว้างขวางวิจิตรพิสดารมากเหลือที่จะนำมาแสดงให้สิ้นสุดลงได้ ฉะนั้นกายนี้จะเรียกว่า มหาฐาน เป็นที่ตั้งที่ชุมนุมของธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นฝ่ายดีแลฝ่ายชั่วก็ได้ ผู้มาพิจารณากายนี้โดยแสดงมาแล้วนั้นเป็นต้น เรียกว่าพิจารณาธรรม ผู้มารู้มาเห็นเช่นนี้เรียกว่าเห็นธรรม อย่าพึงสงสัยและเข้าใจว่าธรรมมีในที่อื่น ถ้าธรรมมีในที่อื่นนอกจากกายกับใจนี้แล้ว ธรรมอันนั้นก็มิใช่ธรรมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นได้ อย่าพึงสงสัยในความรู้ความเห็นแลการปฏิบัติของตนว่าไม่ใช่ บางทีได้ฟังอุบายและความรู้ความเห็นของคนโน้นเขาว่าอย่างโน้น คนนี้เขาว่าอย่างนี้ แล้วให้นึกชอบใจในอุบายของเขา เลยสงสัยในอุบายของตนเกรงว่าจะไม่ถูก แล้วทำกำลัง ๕ มีศรัทธาเป็นต้นให้เสื่อมไป ผู้มาเจริญกายคตานี้ย่อมมีอุบายแปลกๆ ต่างกัน หลายอย่างหลายประเภท แล้วแต่นิสัยวาสนาของตนจะบันดาล จะให้เสมอเหมือนกันทั้งหมดย่อมไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่ควรที่จะสงสัยซึ่งอุบายนั้นๆ ผลของการปฏิบัติแลนิสัยวาสนาใครๆ แต่งเอาไม่ได้ทั้งนั้น เราจะแต่งเอาได้ก็แต่ปฏิปทา วาสนาและผลนั้นย่อมบันดาลให้เอง

    เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว พึงเจริญให้มากกระทำให้ยิ่ง จึงจะได้รับความรู้ความเห็นอันจริง อุปมาเหมือนต้นไม้ เมื่อบำรุงราก ลำต้น กิ่ง ใบ ให้เจริญดีอยู่แล้ว เราไม่ต้องสงสัย คงจะได้รับผลอันเป็นที่พึงใจในวันหนึ่งข้างหน้า การพิจารณากายคตามีการพิจารณาให้เห็นเป็นธาตุ ๔ เป็นต้น ให้เป็นสติปัฏฐานเป็นปริโยสาน โดยนัยดังแสดงมาแล้วนี้จะเอาเป็นอารมณ์ของฌานก็ได้ เอาเป็นอารมณ์ของสมาธิก็ได้ คำว่าสมถะหมายเอาการกระทำใจให้สงบจากความวุ่นวายภายนอก มีการส่งใจไปตามอายตนะทั้งหลาย มีตาเป็นต้น แล้วใจนั้นสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เรียกว่าสมถะ สมาธิก็นับเข้าในสมถะนี้ด้วย แต่มีลักษณะอาการคุณวิเศษต่างกันอยู่บ้างดังจะอธิบายต่อไปนี้

    สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย
    ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ เฉพาะตน คนอื่นจะทำให้ไม่ได้

    สมถะ สมถะเมื่อแยกออกไปแล้ว มี ๒ ประเภทคือ สมถะทำความสงบเฉยๆ ๑ สมถะที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๑
    สมถะทำความสงบเฉยๆ นั้น จะกำหนดพระกรรมฐานหรือไม่ก็ตาม แล้วทำจิตให้สงบอยู่เฉยๆ ไม่เข้าถึงองค์ฌาน อย่างนี้เรียกว่า ตัตรมัชฌัตตุเปกขา ย่อมมีแก่ชนทั่วไปในบางกรณี ไม่จำกัดมีได้เฉพาะผู้เจริญพระกรรมฐานเท่านั้น

    ส่วนสมถะที่ประกอบไปด้วยองค์ฌานนั้น มีได้แต่เฉพาะผู้เจริญพระกรรมฐานเท่านั้น เมื่อถึงซึ่งความสงบครบด้วยองค์ฌานแล้ว เรียกว่า ฌานุเปกขา ฌานุเปกขานี้ท่านจำแนกไว้เป็น ๒ ประเภท คือฌานุเปกขาที่ปรารภรูปเป็นอารมณ์ เอารูปเป็นนิมิต เรียกว่ารูปฌาน ๑ อรูปฌาน ปรารภนาม นามเป็นอารมณ์ เอานามเป็นนิมิต ๑ แต่ละประเภทท่านจำแนกออกไว้เป็นประเภทละ ๔ รวมเรียกว่ารูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ จึงเป็นสมาบัติ ๘

    ฌานนี้มีลักษณะอาการให้เพ่งเฉพาะในอารมณ์เดียว จะเป็นรูปหรือนามก็ตาม เพื่อน้อมจิตให้สงบปราศจากกังวลแล้วเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ มีความสุขเป็นที่นิยมแลปรารถนา เมื่อสมประสงค์แล้วก็ไม่ต้องใช้ปัญญาวิพากษ์วิจารณ์ในสังขารทั้งหลายมีกายเป็นต้น ดังแสดงมาแล้วนั้นก็ดี หรือจะพิจารณาใช้แต่พอเป็นวิถีทางเดินเข้าไปเท่านั้น เมื่อถึงองค์ฌานแล้วย่อมมีลักษณะแลรสชาติ สุข เอกัคคตา และเอกัคคตา อุเบกขา เสมอเหมือนกันหมด ฉะนั้น ฌานนี้จึงเป็นของฝึกหัดได้ง่าย จะในพุทธกาลหรือนอกพุทธกาลก็ตาม ผู้ฝึกหัดฌานนี้ย่อมมีอยู่เสมอ แต่ในพุทธศาสนา ผู้ฝึกหัดฌานได้ช่ำชองแล้ว มีวิปัสสนาปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครองฌานอยู่ เนื่องด้วยอุบายของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเป็นเครื่องส่องสว่างให้ จึงไม่หลงในฌานนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นฌานของท่านเลยเป็นวิหารธรรม เครื่องอยู่ของท่านผู้ขีณาสพ เรียกว่า โลกุตรฌาน ส่วนฌานที่ไม่มีวิปัสสนาปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครอง เรียกว่า โลกิยฌาน เสื่อมได้ และเป็นไปเพื่อก่อภพก่อชาติอีก ต่อไปนี้จะได้แสดงฌานเป็นลำดับไป

    รูปฌาน ๔ เมื่อผู้มาเพ่งพิจารณาพระกรรมฐานบทใดบทหนึ่งอยู่ มีกายคตาเป็นต้น จนปรากฏพระกรรมฐานนั้นชัดแจ่มแจ้งกว่าอนุมานทิฏฐิ ซึ่งได้กำหนดเพ่งมาแต่เบื้องต้นนั้น ด้วยอำนาจของจิตที่เปลี่ยนจากสภาพเดิม อันระคนด้วยอารมณ์หลายอย่าง และเป็นของหยาบด้วย แล้วเข้าถึงซึ่งความผ่องใสในภายในอยู่เฉพาะอารมณ์อันเดียว เรียกง่ายๆ ว่า ขันธ์ทั้งห้าเข้าไปรวมอยู่ภายในเป็นก้อนเดียวกัน ฉะนั้น ความชัดอันนั้นจึงเป็นของแจ้งชัดกว่าความแจ้งชัดที่เห็นด้วยขันธ์ ๕ ภายนอก พร้อมกันนั้น จิตจะมีอาการวูบวาบรวมลงไป คล้ายกับจะเผลอสติแล้วลืมตัว บางทีก็เผลอสติแล้วลืมตัวเอาจริงๆ แล้วเข้าไปนิ่งเฉยอยู่คนเดียว ถ้าหากผู้สติดีหมั่นเป็นบ่อยๆ จนชำนาญแล้ว ถึงจะมีลักษณะอาการอย่างนั้นก็ตามรู้ตามเห็นอยู่ทุกระยะ ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า "จิตเข้าสู่ภวังค์" เป็นอย่างนั้นอยู่ขณะจิตหนึ่งเท่านั้น แล้วลักษณะอย่างนั้นหายไป ความรู้อยู่หรือจะส่งไปตามอาการต่างๆ ของอารมณ์ก็ตามเรื่อง บางทีจะแสดงภาพให้ปรากฏในที่นั้นด้วยอำนาจของสังขารขันธ์ภายใน ให้ปรากฏเห็นเป็นต่างๆ เช่น มันปรุงอยากจะให้กายนี้เป็นของเน่าเปื่อยปฏิกูล หรือสวยงามประการใดๆ ภาพก็จะปรากฏขึ้นมาในที่นั้นโดยไม่รู้ตัว ดังนี้เป็นต้น แล้วขันธ์ทั้งสี่มีเวทนาขันธ์เป็นอาทิก็เข้ารับทำหน้าที่ตามสมควรแก่ภาวะของตนๆ เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต บางทีส่งจิตนั้นไปดูสิ่งต่างๆ ที่ตนต้องการแลปรารถนาอยากจะรู้ ก็ได้เห็นตามเป็นจริง บางทีสิ่งเหล่านั้นมาปรากฏขึ้นเฉยๆ ในที่นั้นเอง พร้อมทั้งอรรถแลบาลีก็มีได้ ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าใช้ขันธ์ภายในได้

    ยังอีก ขันธ์ภายในจะต้องหลอกลวงขันธ์ภายนอก เช่น บางคนซึ่งเป็นคนขี้ขลาดมาแล้วแต่ก่อน พอมาอบรมถึงจิตในขณะนี้เข้าแล้ว ภาพที่ตนเคยกลัวมาแล้วแต่ก่อนๆ นั้น ให้ปรากฏขึ้นในที่นั้นเอง สัญญาที่เคยจำไว้แต่ก่อนๆ ที่ว่าเป็นของน่ากลัวนั้นก็ยิ่งทำให้กลัวมากขึ้นจนขวัญหนีดีฝ่อ ด้วยสำคัญว่าเป็นของจริงจังอย่างนี้เรียกว่าสังขารภายในหลอกสังขารภายนอก เพราะธรรมเหล่านี้เป็นสังขตธรรม ด้วยอำนาจอุปาทานนั้นอาจทำผู้เห็นให้เสียสติไปได้ ผู้ฝึกหัดมาถึงขั้นนี้แล้วควรได้รับคำแนะนำจากท่านผู้รู้ผู้ชำนาญ เมื่อผ่านพ้นในตอนนี้ไปได้แล้ว จะทำหลังมือให้เป็นฝ่ามือได้ดี เรื่องเหล่านี้ผู้เจริญพระกรรมฐานทั้งหลาย มีความมุ่งหมายเป็นส่วนมาก ผู้ที่ยังไม่เคยเป็น แต่เพียงได้ฟังเท่านั้น ตอนปลายนี้ชักให้กลัวเสียแล้วไม่กล้าจะทำต่อไปอีก ความจริงเรื่องเหล่านี้ผู้เจริญพระกรรมฐานทั้งหลาย เมื่อทำถูกทางเข้าแล้วย่อมได้ประสบทุกคนไป แลเป็นกำลังให้เกิดวิริยะได้อย่างดีอีกด้วย ภวังค์ชนิดนี้เป็นภวังค์ที่นำจิตให้ไปสู่ปฏิสนธิเป็นภพชาติ ไม่อาจสามารถจะพิจารณาวิปัสสนาชำระกิเลสละเอียดได้ ฉะนั้น ท่านจึงจัดเป็นอุปกิเลส

    ฌานทั้งหลาย มีปฐมฌานเป็นต้น ท่านแสดงองค์ประกอบไว้เป็นชั้นๆ ดังจะแสดงต่อไปนี้ แต่เมื่อจะย่นย่อใจความเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ แล้ว ฌานต้องมีภวังค์เป็นเครื่องหมาย ภวังค์นี้ท่านแสดงไว้มี ๓ คือ ภวังคบาต ๑ ภวังคจลนะ ๑ ภวังคุปัจเฉทะ ๑

    ภวังคบาต เมื่อจิตตกลงสู่ภวังค์นั้นมาอาการให้วูบวาบลง ดังแสดงมาแล้วในข้างต้น แต่ว่าเป็นขณะจิตนิดหน่อย บางทีแทบจะจำไม่ได้เลย ถ้าหากผู้เจริญบริกรรมพระกรรมฐานนั้นอยู่ ทำให้ลืมพระกรรมฐานที่เจริญอยู่นั้น แลอารมณ์อื่นๆ ก็ไม่ส่งไปตามขณะจิตหนึ่ง แล้วก็เจริญบริกรรมพระกรรมฐานต่อไปอีกหรือส่งไปตามอารมณ์เดิม

    ภวังคจลนะ เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อถึงภวังค์แล้ว เที่ยวหรือซ่านอยู่ในอารมณ์ของภวังค์นั้น ไม่ส่งออกไปนอกจากอารมณ์ของภวังค์นั้น ปฏิภาคนิมิตและนิมิตต่างๆ ความรู้ความเห็นทั้งหลายมีแสงสว่าง(โอภาส)เป็นต้น เกิดในภวังค์นี้ชัดมาก จิตเที่ยวอยู่ในอารมณ์นี้

    ภวังคุปัจเฉทะ เมื่อจิตตกลงสู่ภวังค์แล้วขาดจากอารมณ์ภายนอกทั้งหมด แม้แต่อารมณ์ภายในของภวังค์ที่เป็นอยู่นั้น ถ้าเป็นทีแรกหรือยังไม่ชำนาญในภวังค์นั้นแล้วก็จะไม่รู้ตัวเลย เมื่อเป็นบ่อยหรือชำนาญในลักษณะของภวังค์นี้แล้วจะมีอาการให้มีสติรู้อยู่ แต่ขาดจากอารมณ์ใดๆ ทั้งหมด ภวังค์นี้จัดเป็นอัปปนาสมาธิได้ ฉะนั้นอัปปนานี้บางท่านเรียกว่าอัปปนาฌาน บางทีท่านเรียกว่า อัปปนาสมาธิ มีลักษณะผิดแปลกกันนิดหน่อยดังอธิบายมาแล้วนั้น เมื่อถอนออกจากอัปปนาสมาธิแล้ว มาอยู่ในอุปจารสมาธิ ไม่ได้เป็นภวังคจลนะ ในตอนนี้พิจารณาวิปัสสนาได้ ถ้าเป็นภวังคจลนะแล้วมีความรู้แลนิมิตเฉยๆ เรียกว่า อภิญญา ภวังค์ทั้งสามดังแสดงมานี้เป็นเครื่องหมายของฌาน

    ความแปลกต่างของฌาน ภวังค์ สมาธิ จะได้แสดงตอนอรูปฌานต่อไป

    รูปฌาน มี ๔ คือ ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตฺถฌาน ๑

    ปฐมฌาน นั้นประกอบด้วยองค์ ๕ คือ มีวิตก ยกเอาพระกรรมฐานบทใดบทหนึ่งขึ้นมาเพ่งพิจารณาให้เป็นอารมณ์ ๑ วิจารเพ่งคือพิจารณาเฉพาะอยู่แต่พระกรรมฐานนั้นอย่างเดียว ๑ เห็นชัดในพระกรรมฐานนั้นแล้วเกิดปีติ ๑ ปีติเกิดแล้วมีความเบากายโล่งใจเป็นสุข ๑ แล้วจิตนั้นก็แน่วอยู่ในเอกัคคตา ๑ เรียกว่าปฐมฌานมีองค์ ๕

    ทุติยฌาน มีองค์ ๓ ด้วยอำนาจเอกัคคตา จิตนั้นยังไม่ถอนกิจ ซึ่งจะยกเอาพระกรรมฐานมาพิจารณาอีกย่อมไม่มี ฉะนั้นฌานชั้นนี้จึงคงยังปรากฏเหลืออยู่แต่ปีติ สุข เอกัคคตาเท่านั้น

    ตติยฌาน มีองค์ ๒ ด้วยอำนาจเอกัคคตา จิตติดอยู่ในอารมณ์ของตนมาก เพ่งเอาแต่ความสุขอย่างเดียว จึงยังคงเหลืออยู่เพียง ๒ คือ สุขกับเอกัคคตา

    จตุตฺถฌาน มีองค์ ๒ เหมือนกัน คือ เอกัคคตาที่เพ่งเอาแต่ความสุขนั้นเป็นของละเอียด จนสุขนั้นไม่ปรากฏ เพราะสุขนั้นยังเป็นของหยาบกว่าเอกัคคตา จึงวางสุขอันนั้นเสีย แล้วยังคงมีอยู่แต่เอกัคคตากับอุเบกขา

    ฌานทั้งสี่นี้ละนิวรณ์ ๕ (คือสงบไป) ได้แล้วตั้งแต่ปฐมฌาน ส่วนฌานนอกนั้นกิจซึ่งจะต้องละอีกย่อมไม่มี ด้วยอำนาจการเพ่งเอาแต่จิตอย่างเดียวเป็นอารมณ์หนึ่ง จึงละองค์ของปฐมฌานทั้งสี่นั้นเป็นลำดับไป แล้วยังเหลืออยู่แต่ตัวฌานตัวเดียว คือ เอกัคคตา ส่วนอุเบกขา เป็นผลของฌานที่ ๔ นั้นเอง แต่ปฐมฌานปรารภพระกรรมฐานภายนอกมาเป็นเหตุจำเป็น จึงต้องมีหน้าที่พิเศษมากกว่าฌานทั้ง ๓ เบื้องปลายนั้น ฌานทั้ง ๔ นี้ปรารภรูปเป็นเหตุ คือ ยกเอารูปพระกรรมฐานขึ้นมาเพ่งพิจารณา แล้วจิตจึงเข้าถึงซึ่งองค์ฌาน ฉะนั้นจึงเรียกว่า รูปฌาน

    อรูปฌาน ๔ อรูปฌานนี้ ในพระสูตรต่างๆ โดยส่วนมากท่านไม่ค่อยจะแสดงไว้ เช่น ในโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นต้น พระองค์ทรงแสดงแต่รูปฌาน ๔ เท่านั้น ถึงพระองค์ทรงแสดงอานิสงส์ของการเจริญกายคตากรรมฐานไว้ว่ามีอานิสงส์ ๑๐ ข้อ ๑๐ ความว่า ได้ฌานโดยไม่ลำบาก ดังนี้ แต่เมื่อกล่าวถึงวิหารธรรมของท่านผู้ที่เข้าสมาบัติแล้ว ท่านแสดงอรูปฌานไว้ด้วย สมาบัติ ๘ ฌานทั้ง ๘ นี้ บางทีท่านเรียกว่า วิโมกข์ ๘ บ้าง แต่ท่านแสดงลักษณะผิดแปลกออกไปจากฌาน ๘ นี้บ้างเล็กน้อย อรรถรสแลอารมณ์ของวิโมกข์ ๓ เบื้องต้น ก็อันเดียวกันกับรูปฌาน ๓ นั่นเอง เช่น วิโมกข์ข้อที่ ๑ ว่า ผู้มีรูปเป็นอารมณ์แล้วเห็นรูปทั้งหลายดังนี้เป็นต้น แต่รูปฌานแสดงแต่เพียง ๓ รูปฌานที่ ๔ เลยแสดงเป็นรูปวิโมกข์เสีย อรูปวิโมกข์ที่ ๔ เอาสัญญาเวทยิตนิโรธมาเข้าใส่ฌานทั้ง ๘ รวมทั้งสัญญาเวทยิตนิโรธเข้าด้วยเป็น ๙ ฌานทั้งหมดนี้เป็นโลกีย์โดยแท้ แต่เมื่อท่านผู้เข้าฌานเป็นอริยบุคคล ฌานนั้นก็เป็นโลกุตตระไปตาม เปรียบเหมือนกับฉลองพระบาทของพระราชา เมื่อคนสามัญรับมาใช้แล้วก็เรียกว่ารองเท้าธรรมดา ฉะนั้น ข้อนี้จะเห็นได้ชัดทีเดียวดังในเรื่องวิโมกข์ ๘ นี้ พระองค์ทรงแสดงแก่พระอานนท์ว่า อานนท์ ภิกษุจะฆ่าวิโมกข์ ๘ นี้ได้ด้วยอาวุธ ๕ ประการ คือ เข้าวิโมกข์ได้โดยอนุโลมบ้าง ทั้งอนุโลมแลปฏิโลมบ้าง เข้าออกได้ในที่ตนประสงค์ เข้าออกได้ซึ่งวิโมกข์ที่ตนประสงค์ เข้าออกได้นานตามที่ตนประสงค์ จึงจะสำเร็จ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ดังนี้

    ฉะนั้น ต่อไปนี้จะนำเอาอรูปฌาน ๔ มาแสดงไว้ในที่นี้ด้วย เพื่อผู้ที่สนใจจะได้นำไปวิจารณ์ในโอกาสอันสมควร ผู้ได้รูปฌานที่ ๔ แล้วจิตตกลงเข้าถึงอัปปนาเต็มที่แล้ว ฌานนี้ท่านแสดงว่าเป็นบาทของอภิญญา คือเมื่อต้องการอยากจะรู้จะเห็นอะไรต่ออะไร แล้วน้อมจิตนั้นไปเพื่อความรู้ในสิ่งนั้นๆ (คือถอนจิตออกมาจากอัปปนามาหยุดในอุปจาระ) แล้วสิ่งที่ตนต้องการรู้นั้นก็จะปรากฏชัดขึ้นมาในที่นั้นเอง เมื่อไม่ทำเช่นนั้น จะเดินอรูปฌานต่อ ก็มาเพ่งเอาองค์ของรูปฌานที่ ๔ คือเอกัคคตากับอุเบกขามาเป็นอารมณ์ จนจิตนั้นนิ่งแน่วแน่แล้วไม่มีอะไร ไม่ใส่ใจในเอกัคคตาแลอุเบกขาแล้ว คงยังเหลือแต่ความว่างโล่งเป็นอากาศอยู่เฉยๆ

    อรูปฌานที่ ๑ จึงได้ยึดเอามาเป็นอารมณ์ เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ

    อรูปฌานที่ ๒ ด้วยอำนาจจิตเชื่อน้อมไปในฌานกล้าหาญ ย่อมเห็นอาการของผู้รู้ว่าจิตไปยึดอากาศ อากาศเป็นของภายนอก วิญญาณนี้เป็นผู้ไปยึดถือเอาอากาศมาเป็นอารมณ์ แล้วมาชมว่าเป็นตนเป็นตัว วิญญาณนี้เป็นที่รับเอาอารมณ์มาจากอายตนะภายนอก วิญญาณจึงได้กลับกลอกแลหลอกลวง เวลานี้วิญญาณล่วงพ้นเสียได้แล้วจากอายตนะทั้งหลาย วิญญาณไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมาย บริสุทธิ์เต็มที่ แล้วก็ยินดีในวิญญาณนั้น ถือเอาวิญญาณมาเป็นอารมณ์ข่ม อยู่ด้วยความบริสุทธิ์อันนั้น ดังนี้ เรียกว่าวิญญาณัญจายตนะ เป็นอรูปฌานที่ ๒

    อรูปฌานที่ ๓ วิญญาณเป็นอรูปจิต เมื่อติดอยู่กับวิญญาณแล้ว นิมิตอันเป็นของภายนอกซึ่งจะส่งเข้าไปทางอายตนะทั้ง ๕ มันก็ไม่รับ เพ่งเอาแต่ความละเอียดแลความบริสุทธ์อันเป็นธรรมารมณ์ภายในอย่างเดียว จิตเพ่งผู้รู้ดูผู้ละเอียดก็ยิ่งเห็นแต่ความละเอียด ด้วยความน้อมจิตเข้าไปหาความละเอียดจิตก็ยิ่งละเอียดเข้าไปทุกที เกือบจะไม่มีอะไรเลยก็ว่าได้ ในที่นั้นถือว่าน้อยนิดเดียวก็ไม่มี (คืออารมณ์หยาบไม่มี) เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ เป็นอรูปฌานที่ ๓

    อรูปฌานที่ ๔ ด้วยอำนาจการเพ่งว่าน้อยหนึ่งในที่นี้ก็ไม่มีดังนี้อยู่ เมื่อจิตน้อมไปในความละเอียดอยู่อย่างนั้น ความสำคัญนั่นนี่อะไรต่ออะไรย่อมไม่มี แต่ว่าผู้ที่น้อมไปหาความละเอียดแลผู้รู้ว่าถึงความละเอียดนั้นยังมีอยู่ เป็นแต่ผู้รู้ไม่คำนึงถึง คำนึงเอาแต่ความละเอียดเป็นอารมณ์ ฉะนั้น ในที่นั้นจะเรียกว่าสัญญาความจำอารมณ์อันหยาบก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีเสียแล้ว จะเรียกว่าไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ แต่ความจำว่าเป็นของละเอียดยังมีปรากฏอยู่ ฌานชั้นนี้ท่านจึงเรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นอรูปฌานที่ ๔

    เมื่อแสดงมาถึงอรูปฌานที่ ๔ นี้ ท่านผู้อ่านทั้งหลายสมควรจะได้อ่านฌานวิเศษ คือ สัญญาเวทยิตนิโรธต่อไปอีกด้วย เพราะเป็นฌานแถวเดียวกัน แลเป็นที่สุดของฌานทั้งหลายเหล่านี้ คือผู้เข้าอรูปฌานที่ ๔ ชำนาญแล้ว เมื่อท่านจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็มายึดเอาอรูปฌานที่ ๔ นี้เองมาเป็นอารมณ์ ด้วยการไม่ยึดเอาความหมายอะไรมาเป็นนิมิตอารมณ์เสียก่อนเมื่อจะเข้า ตามนัยของนางธัมมทินนาเถรี ตอบปัญหานางวิสาขอุบาสก ดังนี้ ไม่ได้คิดว่าเราจักเข้า หรือเข้าอยู่ หรือเข้าแล้ว เป็นแต่น้อมจิตไปเพื่อจะเข้า ก็ได้อบรมจิตไว้อย่างนั้นแล้วก่อนแต่จะเข้า เมื่อเข้านั้นวจีสังขารคือความวิตกดับไปก่อน แล้วกายสังขารคือลมหายใจ แลจิตสังขารคือเวทนา จึงดับต่อภายหลัง ส่วนการออกก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เป็นแต่ได้กำหนดจิตไว้แล้วก่อนแต่จะเข้าเท่านั้น ว่าเราจะเข้าเท่านั้นวันแล้วจะออก เมื่อออกนั้นจิตสังขารเกิดก่อน แล้วกายสังขาร-วจีสังขารจึงเกิดตามๆ กันมา เมื่อออกมาทีแรก ผัสสะ ๓ คือ สุญญตผัสสะ ๑ อนิมิตตผัสสะ ๑ อัปปณิหิตผัสสะ ๑ ถูกต้องแล้ว ต่อนั้นไปจิตนั้นก็น้อมไปในวิเวกดังนี้

    เอเสว มคฺโค นตฺถญฺโญ ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา
    ทางอื่นนอกจากนี้แล้ว ที่จะเป็นไปเพื่อความเห็นอันบริสุทธิ์ ย่อมไม่มี
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    (ต่อ)
    สมาธิ เมื่อผู้มาเพ่งพิจารณาพระกรรมฐานบทใดบทหนึ่งอยู่ มีกายเป็นต้นแล้วจิตนั้นย่อมตั้งมั่น แน่วแน่อยู่เฉพาะหน้าในอารมณ์อันเดียว แต่ไม่ถึงกับเข้าสู่ภวังค์ที่เรียกว่าฌาน มีสติสัมปชัญญะตั้งมั่นรู้ตัวอยู่ จิตหยาบก็รู้ว่าหยาบ ละเอียดก็รู้ว่าละเอียด รู้จริงเห็นจริงตามสมควรแก่ภาวะของตน หากจะมีธรรมารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในขณะนั้น จิตนั้นก็มิได้หวั่นไหวไปตามธรรมารมณ์นั้นๆ ย่อมรู้อยู่ว่าอันนั้นเป็นธรรมารมณ์ อันนั้นเป็นจิต อันนั้นเป็นนิมิตดังนี้เป็นต้น เมื่อต้องการดูธรรมารมณ์นั้นก็ดูได้ เมื่อต้องการปล่อยก็ปล่อยได้ บางทียังมีอุบายพิจารณาธรรมารมณ์นั้นให้ได้ปัญญา เกิดความรู้ชัดเห็นจริงในธรรมารมณ์นั้นเสียอีก อุปมาเหมือนบุคคลผู้นั่งอยู่ที่ถนนสี่แยก ย่อมมองเห็นผู้คนที่เดินไปมาจากทิศทั้ง ๔ ได้ถนัด เมื่อต้องการติดต่อกับบุคคลเหล่านั้นก็ได้สมประสงค์ เมื่อไม่ต้องการติดต่อก็ทำกิจตามหน้าที่ของตนเรื่อยไปฉะนั้น ดังนี้เรียกว่าสมาธิ

    สมาธินี้ท่านจำแนกไว้เป็น ๓ ชั้นคือ

    ขณิกสมาธิ สมาธิที่เพ่งพิจารณาพระกรรมฐานอยู่นั้น จิตรวมบ้าง ไม่รวมบ้าง เป็นครู่เป็นขณะ พระกรรมฐานที่เพ่งพิจารณาอยู่นั้นก็ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง เปรียบเหมือนสายฟ้าแลบในเวลากลางคืนฉะนั้น เรียกว่า ขณิกสมาธิ

    อุปจารสมาธิ นั้นจิตค่อยตั้งมั่นเข้าไปหน่อย ไม่ยอมปล่อยไปตามอารมณ์จริงจัง แต่ตั้งมั่นก็ไม่ถึงกับแน่วแน่เป็นอารมณ์อันเดียว ถึงเที่ยวไปบ้างก็อยู่ในของเขตของจิต อุปมาเหมือนวอก เจ้าตัวกลับกลอกถูกโซ่ผูกไว้ที่หลัก หรือนกกระทาขังไว้ในกรงฉะนั้น เรียกว่าอุปจารสมาธิ

    อัปปนาสมาธิ นั้นจิตตั้งมั่นจนเต็มขีด แม้ขณะจิตนิดหน่อยก็มิได้ปล่อยให้หลงเพลินไปตามอารมณ์ เอกัคคตารมณ์จมดิ่งนิ่งแน่ว ใจใสแจ๋วเฉพาะอันเดียว มิได้เกี่ยวเกาะเสาะแส่หาอัตตาแลอนัตตาอีกต่อไป สติสมาธิภายในนั้น หากพอดีสมสัดส่วน ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องตั้งสติรักษา ตัวสติสัมปชัญญะสมาธิ มันหากรักษาตัวมันเอง อัปปนาสมาธินี้ละเอียดมาก เมื่อเข้าถึงที่แล้ว ลมหายใจแทบจะไม่ปรากฏ ขณะมันจะลง ทีแรกคล้ายกับว่าจะเคลิ้มไป แต่ว่าไม่ถึงกับเผลอสติเข้าสู่ภวังค์ ขณะสนธิกันนี้ท่านเรียกว่า โคตรภูจิต ถ้าลงถึงอัปปนาเต็มที่แล้วมีสติรู้อยู่ เรียกว่า อัปปนาสมาธิ ถ้าหาสติมิได้ ใจน้อมลงสู่ภวังค์เข้าถึงความสงบหน้าเดียว หรือมีสติอยู่บ้างแต่เพ่งหรือยินดีชมแต่ความสุขอันเกิดจากความสงบอันละเอียดอยู่เท่านั้น เรียกว่า อัปปนาฌาน

    อัปปนาสมาธินี้มีลักษณะคล้ายกับผู้ที่เข้าอัปปนาฌานชำนาญแล้ว ย่อมเข้าหรือออกได้สมประสงค์ จะตั้งอยู่ตรงไหน ช้านานสักเท่าไรก็ได้ ซึ่งเรียกว่าโลกุตตรฌาน อันเป็นวิหารธรรมของพระอริยเจ้า อัปปนาสมาธิเมื่อมันจะเข้าทีแรก หากสติไม่พอเผลอตัวเข้า กลายเป็นอัปปนาฌานไปเสีย

    ฌาน แล สมาธิ มีลักษณะและคุณวิเศษผิดแปลกกันโดยย่ออย่างนี้ คือ

    ฌาน ไม่ว่าหยาบและละเอียด จิตเข้าถึงภวังค์แล้วเพ่งหรือยินดีอยู่แต่เฉพาะความสุขเลิศอันเกิดจากเอกัคคตารมณ์อย่างเดียว สติสัมปชัญญะหายไป ถึงมีอยู่บ้างก็ไม่สามารถจะทำองค์ปัญญาให้พิจารณาเห็นชัดในอริยสัจธรรมได้ เป็นแต่สักว่ามี ฉะนั้น กิเลสทั้งหลายมีนิวรณ์ ๕ เป็นต้น จึงยังละไม่ได้ เป็นแต่สงบอยู่

    ส่วน สมาธิ ไม่ว่าหยาบแลละเอียด เมื่อเข้าถึงสมาธิแล้ว มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตามชั้นแลฐานะของตน เพ่งพิจารณาธรรมทั้งหลายอยู่ มีกายเป็นต้น ค้นคว้าหาเหตุผลเฉพาะในตน จนเห็นชัดตระหนักแน่วแน่ตามเป็นจริงว่า สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เป็นต้น ตามชั้นตามภูมิของตนๆ ฉะนั้น

    สมาธิจึงสามารถละกิเลส มีสักกายทิฏฐิเสียได้ สมาธินี้ถ้าสติอ่อน ไม่สามารถรักษาฐานะของตนไว้ได้ ย่อมพลัดเข้าไปสู่ภวังค์เป็นฌานไป ฌานถ้ามีสติสัมปชัญญะแก่กล้าขึ้นเมื่อไร ย่อมกลายเป็นสมาธิได้เมื่อนั้น ในพระวิสุทธิมรรค ท่านแสดงสมาธิเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฌาน เช่นว่า สมาธิกอปรด้วยวิตก วิจาร ปีติ เป็นต้น ดังนี้ก็มี บางทีท่านแสดงสมาธิเป็นเหตุของฌาน เช่นว่าสมาธิเป็นเหตุให้ได้ฌานชั้นสูงขึ้นไป ดังนี้ก็มี บางทีท่านแสดงสมาธิเป็นฌานเลย เช่นว่าสมาธิเป็นกามาพจร รูปาพจร อรูปาพจร ดังนี้ก็มี แต่ข้าพเจ้าแสดงมานี้ก็มิได้ผิดออกจากนั้น เป็นแต่ว่าแยกแยะสมถะฌาน สมาธิ ออกให้รู้จักหน้าตามันในขณะที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกหัดเป็นไปแล้วจะไม่งง ที่ท่านแสดงไว้แล้วนั้นเป็นการยืดยาว ยากที่ผู้มีความทรงจำน้อยจะเอามากำหนดรู้ได้

    นิมิต เมื่ออธิบายมาถึง ฌาน สมาธิ ภวังค์ ดังนี้แล้ว จำเป็นจะลืมเสียไม่ได้ซึ่งรสชาติอันอร่อย (คือ นิมิต) ซึ่งเกิดขึ้นในระยะของสิ่งเหล่านั้น ผู้เจริญพระกรรมฐานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งแทบทุกคนก็ว่าได้ ความจริงนิมิตมิใช่ของจริงทีเดียวทั้งหมด นิมิตเป็นแต่นโยบายให้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงก็มี ถ้าพิจารณานิมิตนั้นไม่ถูกก็เลยเขวไปก็มี ถ้าพิจารณาถูกก็ดีมีปัญญาเกิดขึ้น นิมิตที่เป็นของจริงคือนิมิตเป็นหมอดูไม่ต้องใช้วิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ก็มี นิมิตนั้นเมื่อจะเกิดก็เกิดเอง เป็นของแต่งเอาไม่ได้ เมื่อจะเกิด เกิดจากเหตุ ๒ ประการ คือเกิดจากฌาน๑ สมาธิ๑ เมื่ออบรมและรักษาธรรม ๒ ประการนี้ไว้ไม่ให้เสื่อมแล้ว นิมิตทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นเองอุปมาดังต้นไม้ที่มีดอกและผล ปรนปรือปฏิบัติรักษาต้นมันไว้ให้ดีเถิด อย่ามัวขอแต่ดอกผลของมันเลย เมื่อต้นของมันแก่แล้ว มีวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าคงได้รับดอกแลผลเป็นแน่นอน ดีกว่าจะไปมัวขอผลแลดอกเท่านั้น

    นิมิต ที่เกิดจากฌานนั้น เมื่อจิตตกเข้าถึงฌานเมื่อไรแล้ว นิมิตทั้งหลายมีอสุภเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นในลำดับดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้นว่า จิตเมื่อเข้าจะเข้าถึงฌานได้ย่อมเป็นภวังค์เสียก่อน ภวังค์นี้เป็นเครื่องวัดของฌานโดยแท้ ถ้าเกิดขึ้นในลำดับของภวังคบาต เกิดแวบขึ้นครู่หนึ่งแล้วนิมิตนั้นก็หายไปพร้อมทั้งภวังค์ด้วย ถ้าเป็นภวังคจลนะ พอเกิดขึ้นแล้วภวังค์นั้นก็เร่ร่อนเพลินไปตามนิมิตที่น่าเพลิดเพลินนั้นโดยสำคัญว่าเป็นจริง ถ้านิมิตเป็นสิ่งที่น่ากลัว กลัวจนตัวสั่น เสียขวัญ บางทีก็รู้อยู่ว่านั่นเป็นนิมิตมิใช่ของจริง แต่ไม่ยอมทิ้งเพราะภวังค์ยังไม่เสื่อม ภวังคจลนะนี้เป็นที่ตั้งของวิปัสสนูปกิเลสทั้ง ๑๐ มีโอภาโส แสงสว่างเป็นต้น ถ้าไม่เข้าถึงภวังค์ มีสติสัมปชัญญะแก่กล้าเป็นที่ตั้งของปัญญาได้เป็นอย่างดี มีวิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้นในที่นี้เอง นิมิตนั้นเลยกลายเป็นอุปจารสมาธินิมิตไป ส่วนภวังคุปัจเฉทะไม่มีนิมิตเป็นเครื่องปรากฏ ถ้ามีก็ต้องถอยออกมาตั้งอยู่ในภวังคจลนะเสียก่อน ตกลงว่านิมิตมีที่ภวังคจลนะอยู่นั่นเอง

    นิมิตที่เกิดในสมาธิ เมื่อเกิดขึ้นในภูมิของขณิกสมาธิ วับแวบขึ้นครู่หนึ่งแล้วก็หายไป อุปมาเหมือนกันกับบุคคลผู้เป็นลมสันนิบาตมีแสงวูบวาบเกิดขึ้นในตา หาทันได้จำว่าเป็นอะไรต่ออะไรไม่ ถึงจะจำได้ก็อนุมานตามทีหลังคล้ายๆ กับภวังคบาตเหมือนกัน ถ้าเกิดในอุปจารสมาธินั้น นิมิตชัดเจนแจ่มแจ้งดี เป็นที่ตั้งขององค์วิปัสสนาปัญญา เช่นเมื่อพิจารณาขันธ์ ๕ อยู่ พอจิตตกลงเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว หรือเข้าถึงอัปปนาสมาธิแล้วถอนออกมาอยู่ในอุปจารสมาธิ นิมิตปรากฏชัดเป็นตามจริงด้วยความชัดด้วยญาณทัสสนะในที่นั้น เช่น เห็นรูปขันธ์เป็นเหมือนกับต่อมน้ำ ตั้งขึ้นแล้วก็ดับไป เห็นเวทนาเป็นเหมือนกับฟองแห่งน้ำ เป็นก้อนวิ่งเข้ามากระทบฝั่งแล้วก็สลายเป็นน้ำตามเดิม เห็นสัญญาเป็นเหมือนพยับแดด ดูไกลๆ คล้ายกับเป็นตัวจริง เมื่อเข้าไปถึงที่อยู่ของมันจริงๆ แล้ว พยับแดดนั้นก็หายไป เห็นสังขารเหมือนกับต้นกล้วยซึ่งหาแก่นสารในลำต้นสักนิดเดียวย่อมไม่มี เห็นวิญญาณเปรียบเหมือนมายาผู้หลอกให้จิตหลงเชื่อ แล้วตัวเจ้าของหายไปหลอกเรื่องอื่นอีก ดังนี้เป็นต้น (พิจารณาจาก เผณปิณฑสูตร)เป็นพยานขององค์วิปัสสนาปัญญาให้เห็นแจ้งว่า สัตว์ที่มีขันธ์ ๕ ต้องเหมือนกันดังนี้ทั้งนั้น ขันธ์มีสภาวะเป็นอยู่อย่างนี้ทั้งนั้น ขันธ์มิใช่อะไรทั้งหมด เป็นของปรากฏอยู่เฉพาะของเขาเท่านั้น ความถือมั่นอุปาทานย่อมหายไป มิได้มีวิปลาสที่สำคัญว่าขันธ์เป็นตนเป็นตัว เป็นอาทิ

    นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ
    แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ผู้จะบริสุทธิ์เพราะปัญญา

    วิปัสสนาปัญญา วิปัสสนาปัญญาเป็นผลออกมาจากอุปจารสมาธิโดยตรง ได้อธิบายมาแล้วข้างต้นว่า อุปจารสมาธิเป็นที่ตั้งขององค์ปัญญา อธิบายว่า วิปัสสนาปัญญาจะเกิดนั้น สมาธิต้องตั้งมั่นลงเสียก่อนจึงจะเกิดขึ้นได้ มิใช่เกิดเพราะฌานซึ่งมีแต่การเพ่งความสุขสงบอยู่หน้าเดียว และมิได้เกิดจากอัปปนาสมาธิอันหมดจากสมมติสัญญาภายนอกเสียแล้ว จริงอยู่ เมื่อจิตยังไม่ถึงอัปปนาสมาธิ วิปัสสนาปัญญาไม่สามารถจะทำหน้าที่ละสมมติของตนให้ถึงอาสวขัยได้ แต่ว่าอัปปนาเป็นของละเอียดกว่าสัญญาภายนอกเสียแล้ว จะเอามาใช้ให้เห็นแจ้งในสังขารนี้อย่างไรได้ อัปปนาวิปัสสนาปัญญาเป็นผู้ตัดสินต่างหาก อุปจารวิปัสสนาปัญญาเป็นผู้สืบสวนคดี ถ้าไม่สืบสวนคดีให้มีหลักฐานถึงที่สุดแล้ว จะตัดสินลงโทษอุปาทานอย่างไรได้ ถึงแม้ว่าอัปปนาวิปัสสนาปัญญาจะเห็นโทษของอุปาทานว่าผิดอย่างนั้นแล้ว แต่ยังหาหลักฐานพยานยังไม่เพียงพอ ก็คงไม่สมเหตุสมผลอยู่นั่นเอง เหตุนั้น วิปัสสนาปัญญาจึงได้ยึดเอาตัวสังขารนี้เป็นพยาน เอาอุปจารสมาธิเป็นโรงวินิจฉัย ท่านแสดงวิปัสสนาปัญญาไว้มีถึง ๑๐ นัยดังนี้ คือ

    ๑. สมฺมสนญาณ ปัญญาพิจารณาสังขารเฉพาะในภายในเห็นเป็นอนิจจาทิลักษณะแล้ว พิจารณาสังขารภายนอกก็เป็นสภาวะอย่างนั้นด้วยกันหมดทั้งสิ้น หรือประมวลสังขารทั้งสองนั้นเข้าเป็นอันเดียวกันแล้วพิจารณาเห็นอย่างนั้น

    ๒. อุทยพฺพยญาณ ปัญญาพิจารณาสังขารทั้งที่เกิดแลที่ดับโดยลักษณะอย่างนั้น

    ๓. ภงฺคญาณ ปัญญาพิจารณาสังขารเฉพาะแต่ฝ่ายทำลายอย่างเดียว โดยลักษณะอย่างนั้น

    ๔. ภยตูปฏฺฐานญาณ เมื่อปัญญาพิจารณาเห็นอย่างภังคญาณนั้น แล้วมีความกลัวต่อสังขารเป็นกำลัง

    ๕. อาทีนวญาณ ปัญญาพิจารณาสังขารเห็นเป็นโทษเป็นของน่ากลัว อุปมาเหมือนเรานอนอยู่บนเรือนที่ไฟกำลังไหม้อยู่ฉะนั้น โดยลักษณะอย่างนั้น

    ๖. นิพฺพิทาญาณ ปัญญาพิจารณาเห็นเป็นของน่าเกลียดน่าหน่าย ว่าเราหลงเข้ามายึดเอาของไม่ดีว่าเป็นของดี โดยลักษณะอย่างนั้น

    ๗. มุญฺจิตุกมฺยตาญาณ ปัญญาพิจารณาสังขารแล้ว ใคร่หนีให้พ้นเสียจากสังขารนั้น เหมือนกับปลาที่ติดอวนหรือนกที่ติดข่ายฉะนั้น โดยลักษณะนั้น

    ๘. ปฏิสงฺขาญาณ ปัญญาพิจารณาสังขารโดยหาอุบายที่จะเอาตัวรอดด้วยอุบายต่างๆ ดังญาณทั้งหกในเบื้องต้นนั้น

    ๙. สงฺขารุเปกฺขาญาณ ปัญญาพิจารณาสังขารโดยอุบายต่างๆ อย่างนั้น เห็นชัดตามเป็นจริงไม่มีสิ่งใดปกปิด แล้วไม่ต้องเชื่อคนอื่นหมด หายความสงสัยแล้ววางเฉยในสังขารทั้งปวง โดยลักษณะนั้น

    ๑๐. สจฺจานุโลมิกญาณ ปัญญาพิจารณาสังขารโดยอนุโลมกลับถอยหลังว่า มันเป็นจริงอย่างไร มันก็มีอยู่อย่างนั้น ตัวสัญญาอุปาทานต่างหากเข้าไปยึดมั่นสำคัญมันว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่แล้วสังขารมันก็เป็นอยู่ตามเดิม หาได้ยักย้ายไปเป็นอื่นไม่ สมกับที่พระองค์ทรงแสดงแก่พระอานนท์ว่า อานนท์ ผู้ที่จะพิจารณาสังขารเห็นจริงตามพระไตรลักษณญาณแล้ว จึงจะมีขันติอนุโลม ถ้าหาไม่แล้วขันติอนุโลมย่อมมีไม่ได้ดังนี้

    วิปัสสนานี้บางแห่งมีเพียง ๙ ท่านเรียกว่า วิปัสสนาญาณ ๙ ยกสัมมสนญาณออกเสีย ยังคงเหลืออยู่ ๙ นั่นเอง ในที่นี้นำมาแสดงให้ครบทั้ง ๑๐ เพื่อให้ทราบความละเอียดของวิปัสสนานั้นๆ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    (ต่อ)
    ความจริงวิปัสสนาญาณทั้งสิบนี้จะเกิดได้พร้อมๆ กันในวิถีจิตเดียวก็หามิได้ เมื่อจะเกิดนั้นย่อมเกิดจากภูมิของสมาธิเป็นหลัก สมาธิเป็นเกณฑ์ ถ้าหากสมาธิหนักแน่นมาก หรือถอนออกจากอัปปนาใหม่ๆ แล้ว วิปัสสนาญาณทั้งหกเหล่านี้คือ อุทยัพพยญาณ ภังคญาณ ภยตูปัฏฐานญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตุกัมยตาญาณ มักเกิด ถ้าหากอุปจารสมาธิแก่กล้า วิปัสสนาญาณทั้งสองเหล่านี้ คือ สัมมสนญาณ กับ ปฏิสังขาญาณ มักเกิด เรียกกันง่ายๆ ว่า ถ้าอุปจารสมาธิกล้าก็คือหนักไปทางปัญญา อัปปนาสมาธิกล้าก็คือหนักไปในทางสมถะ

    ถ้าสมถะกับปัญญามีกำลังพอเสมอเท่าๆ กัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันแล้ว สังขารุเปกขาญาณย่อมเกิดขึ้น หรือจะเรียกอีกนัยหนึ่งว่า มัคคสมังคี ส่วนสัจจานุโลมิกญาณ เป็นผลพิจารณาอนุโลมตามสัจธรรม ไม่แย้งสมมติบัญญัติของโลกเขา ความจริงของเขาเป็นอยู่อย่างไร ก็ให้เป็นไปตามความเป็นจริงของเขาอย่างนั้น ส่วนความจริงของท่านผู้รู้จริงเห็นจริงแล้ว ย่อมไม่เสื่อมไปตามเขา ถ้าเป็นผลของโลกุตตระ พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านย่อมพิจารณาอนุโลมตามพระอริยสัจของท่าน คือ เห็นตามความจริง ๔ ประการ ได้แก่ จริงสมมติ จริงบัญญัติ จริงสัจจะ จริงอริยสัจ วิชาของพระอริยเจ้าจึงได้ชื่อว่า วิชชาอันสมบูรณ์ทุกประการ

    ส่วนวิปัสสนาญาณตัวเดิม อธิบายว่า สัมมสนญาณนี้เป็นที่ตั้งของวิปัสสนาญาณทั้งเก้า เมื่อวิปัสสนาญาณตัวนี้ทำหน้าที่ของตนอยู่นั้น วิปัสสนาญาณนอกนี้ย่อมมาเกิดขึ้นในระหว่าง แล้วแต่จะได้โอกาสสมควรแก่หน้าที่ของตน เช่น สัมมสนญาณ พิจารณาสังขารทั้งปวงอยู่โดยพระไตรลักษณ์ พอเห็นชัดเป็นทุกข์ ภยตูปัฏฐานญาณก็เกิด เห็นเป็นอนิจจัง ภังคญาณก็เกิด เห็นเป็นอนัตตา มุญจิตุกัมยตาญาณก็เกิด เป็นอาทิ ฉะนั้น สัมมสนญาณจึงได้ชื่อว่าเป็นฐานที่ตั้งของวิปัสสนาทั้งเก้านั้น

    สัมมสนญาณนี้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค พระสารีบุตรเถระท่านแสดงภูมิฐานไว้กว้างขวางมาก ถ้าต้องการ เชิญดูในคัมภีร์นั้นเถิด หากจะนำเอามาลงในหนังสือเล่มนี้ ก็จะเป็นหนังสือเล่มโตเกินต้องการไป แต่จะนำเอาใจความย่อๆ พอเป็นนิเขปมาแสดงไว้สักเล็กน้อยว่า ปัญญาการพิจารณาสังขารทั้งปวง ทั้งภายใน ภายนอก หยาบ ละเอียด ใกล้ ไกล อดีต อนาคต เข้ามารวมไว้ในที่เดียวกัน แล้วพิจารณาให้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ดี พิจารณากายโดยทวัตติงสาการก็ดี พิจารณาขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ ผัสสะ ๖ วิญญาณ ๖ หรือธาตุ ๔ ธาตุ ๑๘ โดยนัยดังพิจารณาสังขารทั้งปวง รวมเรียกว่า สัมมสนญาณแต่ละอย่างๆ ฉะนั้น สัมมสนญาณจึงเป็นของกว้างขวางมาก แลเป็นภูมิฐานของวิปัสสนาทั้งหลายด้วย วิปัสสนาทั้งหลายมีสัมมสนญาณเป็นต้น เมื่อพิจารณาสังขารทั้งหลายอยู่ ย่อมมาปรากฏชัดเฉพาะอยู่ในที่เดียวโดยไตรลักษณญาณ มีอาการดังนี้จึงจะเรียกว่าวิปัสสนาแท้

    อนึ่ง วิปัสสนานี้ ถ้าภูมิคือสมาธิยังไม่มั่นคงพอ อาจกลายเป็นฌานไป อาจทำปัญญาให้เขวไปเป็นวิปลาส หรือเป็นอุปกิเลส เป็นอุจเฉททิฏฐิ แลสัสสตทิฏฐิ ไปก็ได้ เหตุนี้ วิปัสสนาปัญญาท่านจึงแสดงไว้เป็น ๒ คือ โลกีย์ ๑ โลกุตตระ ๑ อธิบายว่าที่เป็นโลกีย์นั้น วิปัสสนาเข้าไปตั้งอยู่ในโลกิยภูมิ มีสมถะและวิปัสสนาอันเจริญไม่ถึงขีด คือ ไม่สม่ำเสมอกัน ไม่มีปฏิสังขาญาณเป็นเครื่องตัดสิน มีสัจจานุโลมิกญาณเป็นเครื่องอยู่ ส่วนโลกุตตรวิปัสสนาปัญญาเข้าถึงมัคคสังคี ตัดเสียซึ่งอุปกิเลสแลทิฏฐิวิปลาส อุจเฉททิฏฐิได้

    มรรค มรรคปฏิปทา หนทางปฏิบัตินั้น ดำเนินเข้าไปในกามาพจรภูมิก็ได้ เข้าในรูปาพจรภูมิก็ได้ อรูปาพจรภูมิก็ได้ เข้าไปในโลกุตตรภูมิก็ได้ มรรคใดซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นแก่นสาร มีมรรคทั้งเจ็ด คือ สัมมาสังกัปโปเป็นต้น สัมมาสมาธิเป็นปริโยสาน เป็นบริขารบริวารที่สัมปยุตเข้ากับภูมินั้นๆ ได้ชื่อว่ามรรคในภูมินั้น

    ในที่นี้จะอธิบายเฉพาะมรรคที่เกิดในวิปัสสนาญาณอย่างเดียวตามความประสงค์ในที่นี้ คือ นับตั้งต้นแต่เจริญสมถะมาจนกระทั่งถึงวิปัสสนาญาณนี้ จัดเป็นมรรควิถีหนทางปฏิบัติที่จะให้ข้ามพ้นจากทุกข์ทั้งนั้น แต่บางทีในวิถีทางที่เดินมานั้น อาจพลัดโผเข้าช่อมตกหลุมบ่อและวกเวียนบ้างเป็นธรรมดา อย่างที่อธิบายมาแล้วไม่ผิด คือ อาจเขวไปเป็นอุปกิเลส แลทิฏฐิวิปลาส แลอุจเฉททิฏฐิ สัสสตทิฏฐิ เพราะมรรคยังไม่ชำนาญ คือ ทางยังไม่ราบรื่น เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น นายตรวจเอก คือ มัคคามัคคญาณทัสสนะก็จะไม่มีหน้าที่จะทำ แต่ถ้ามรรคนั้นเป็นโลกุตตระ คือ เป็นเอกสมังคีประชุมลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ทางที่สองซึ่งจะนำพระอริยเจ้าให้หลงแวะเวียนอีก คือ เป็นมิจฉาทิฏฐิย่อมไม่มี มรรคแท้มีอันเดียวเท่านั้น แต่มรรคส่วนมากท่านแสดงไว้มีองค์ ๘ ประการ มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเป็นต้น มีสัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นเป็นปริโยสาน แต่ในที่บางแห่ง เช่น ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ท่านแสดงว่า มรรคมีองค์อวัยวะ ๘ ของพระอริยเจ้ามีอันเดียว องค์อันเดียว นั้นได้แก่ทางมัชฌิมาเป็นกลาง แท้จริงทางนั้นเอกเป็นมัชฌิมานี้เป็นทางของพระอริยเจ้าโดยตรง องค์อวัยวะทั้ง ๗ มารวมอยู่ในองค์อันหนึ่ง คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาทิฏฐิต้องละเสียซึ่งอดีตอนาคตสัญญา เพ่งพิจารณาขันธ์รู้แจ้งแทงตลอดเห็นตามสภาวะเป็นจริงทุกสิ่งถ้วนถี่ ทั้งขันธ์ภายนอก ภายใน หยาบและละเอียดเสมอกับด้วยปัญจขันธ์ คือ สัมมสนญาณประหารโสฬสวิจิกิจฉาให้ขาดด้วยอำนาจปฏิสังขาญาณ ผ่านพ้นมหรรณพโอฆสงสารด้วยอุเบกขาญาณเข้าถึงซึ่งมรรคอันเอก จิตสงบวิเวกอยู่ด้วยญาณ ด้วยอำนาจมัคคปหาน อาการทั้งหลาย ๗ มีสัมมาสังกัปปะเป็นต้น มีสัมมาสมาธิเป็นปริโยสาน หยุดการทำหน้าที่ นี่แลจึงเรียกว่า ทางมัชฌิมาเป็นทางเอก เป็นทางวิเวกบริสุทธิ์หมดจด หากจะไปกำหนดตามอาการเป็นต้นว่า สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ คือ เห็นอริยสัจธรรมทั้ง ๔ ตามเป็นจริง เป็นต้น ย่อมไม่พ้นจากโสฬสวิจิกิจฉา กำหนดว่าสัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นเป็นปริโยสานแล้ว เป็นอาการ ย่อมไม่ข้ามพ้นจากสัญญาอนาคตไปได้แน่ แต่เมื่อเข้าถึงมัชฌิมาทางอันเอกแล้ว ย่อมรู้แจ้งซึ่งอาการบริขารบริวารของสัมมาทิฏฐิได้เป็นอันดี เป็นต้นว่า การเพ่งพิจารณาพระกรรมฐาน มีกายคตา อสุภ เป็นต้น ก็เพื่อพ้นจากความดำริในกาม การพิจารณาว่าอันนั้นเป็นอสุภ เป็นธาตุ เป็นต้น เรียกว่าบ่นคนเดียว ไม่เสียดสีใคร ได้ชื่อว่าสัมมาวาจา การประกอบตามหน้าที่ของสมถะหรือวิปัสสนา ไม่ต้องไปเกะกะระรานกับคนอื่นๆ เรียกว่าสัมมากัมมันตะ การมีสติเพ่งพิจารณาองค์สมถะแลวิปัสสนาอยู่นั้น ได้ชื่อว่ามีชีวิตอันไม่เปล่าเสียจากประโยชน์ ได้ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ การเพ่งพิจารณาสมถะทั้งปวงก็ดี หรือเจริญวิปัสสนาปัญญาทั้งสิ้นก็ดี ได้ชื่อว่าเป็นการพายการแจวอยู่แล้ว ด้วยเรือลำเล็กลอยในน้ำคือโอฆะ จึงเรียกว่าสัมมาวายามะ การเจริญสมถวิปัสสนามาโดยลำดับไม่ถอยหลัง มีสติตั้งมั่นจึงไม่เสื่อมจากภูมินั้นๆ เรียกว่าสัมมาสติ ใจแน่วแน่มั่นคงตรงต่อสัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้นจนกระทั่งสมังคี มัชฌิมาทางเอกนี้ ไม่มีวิปลาสและอุจเฉททิฏฐิ สัสสตทิฏฐิ โสฬสวิจิกิจฉาเป็นเครื่องกั้นนั่นแล จักได้ชื่อว่า สัมมาสมาธิ องค์อริยมรรคแท้
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    (ต่อ)
    บริวารบริขารทั้ง ๗ ของสัมมาทิฏฐิ ถ้าเป็นอริยมรรคแล้ว ย่อมรวมเป็นอันเดียว มีในที่เดียวไม่แตกต่างกันออกไปเลย จะสมมติบัญญัติหรือไม่ก็ตาม ย่อมมีอยู่เป็นอยู่อย่างนั้นนั่นเอง จึงได้นามสมัญญาว่าทางอันเอก มรรค ๘ นี้รวมสมังคีเป็นองค์อันหนึ่งในภูมิของพระอริยเจ้าแต่ละภูมินั้นครั้งเดียว ในสมัยวิมุตติแล้วไม่กลับเป็นอีกต่อไปในสมัยอื่น นอกนี้เป็นมัคคปฏิปทาดำเนินตามมรรคเท่านั้น ดังจักมีคำถามว่า ถ้ามัคคสมังคีเกิดมีในภูมิของพระอริยเจ้าแต่ละชั้นนั้นครั้งเดียวแล้วไม่กลับเกิดอีก ถ้าอย่างนั้นพระอริยเจ้าก็เป็นอริยะแต่ขณะมัคคสมังคีสมัยวิมุตติ นอกจากนั้นแล้วก็เป็นปุถุชนธรรมดาซิ ตอบว่ามิใช่อย่างนั้น มัคคสมังคีสมัยวิมุตตินี้มีเฉพาะในภูมิของพระอริยะเท่านั้น แล้วเป็นของแต่งเอาไม่ได้ แต่งได้แต่มัคคปฏิปทา คือ สมถะแลวิปัสสนาเท่านั้น เมื่อธรรมทั้งสองนั้นมีกำลังสม่ำเสมอไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันแล้วเมื่อไร มัคคสมังคีสมัยวิมุตติก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น เมื่อเกิดขึ้นครู่หนึ่งขณะหนึ่งแล้วก็หายไป นอกจากนั้น ถ้าเป็นพระเสขบุคคลก็ดำเนินมัคคปฏิปทาขั้นสูงต่อๆ ไป อย่างนั้นอีกเรื่อยๆ ไป ถ้าเป็นพระอเสขบุคคลแล้ว มัคคปฏิปทานั้นก็เป็นวิหารธรรมในทิฏฐธรรมหรือสัลเลขปฏิปทาของท่านต่อไป ท่านแสดงไว้ในอภิธัมมัตถสังคหะว่า พระอริยมรรคของพระอรหันต์ทำหน้าที่ปหานกิเลสทั้งหลายมีอุปธิกิเลสเป็นต้นแล้ว ผลก็เกิดขึ้นในลำดับครู่หนึ่งแล้วก็หายไป แท้จริงของ ๒ อย่างนี้แต่งเอาไม่ได้ คือ ภวังคจิต ๑ มัคคสมังคี ๑ แต่ภวังคจิตถึงแต่งเอาไม่ได้ก็จริง แต่เข้าถึงที่เดิมได้บ่อยๆ เพราะภวังคจิตมีอุปธิยึดมั่นอยู่ในภูมินั้นๆ ส่วนมัคคสมังคีไม่มีอุปธิเข้ายึดมั่นเฉพาะในภูมินั้นๆ เสียแล้ว ฉะนั้น พระเสขบุคคลถึงหากว่าท่านยังไม่ถึงพระนิพพาน ก็เพราะละอุปธิอันละเอียดยังไม่หมด แต่ท่านได้รับรสของอมตะแล้ว หรือที่เรียกว่าตกถึงกระแสพระนิพพานแล้ว มีคติอันไม่ถอยหลังเป็นธรรมดา ถึงพระโสดาทั้งสามชั้นนั้นก็ดี หรือพระสกิทาคาก็ดี ท่านก็มีคติแน่นอนไม่ต้องตกอบายอีกเป็นแท้ ถึงท่านเดินทางยังไม่ตลอดมีอุปสรรคพักผ่อนนอนแรมตามระยะทาง (คือตาย) ก็ดี แต่ท่านยังมีจุดมุ่งหมายที่ปลายทางอยู่เสมอ แลตื่นนอนแล้ว นิสัยตักเตือนเป็นเพื่อนสหายพอสบอุบายที่เหมาะเจาะก็รีบเดินทันที เหตุนั้นพระเสขะทั้ง ๒ องค์นี้จะว่าเสื่อมได้ก็ใช่เพราะไม่ติดต่อตายในกลางคัน ภูมินั้นก็พักไว้ไปเสวยผลเสียก่อน หรืออินทรีย์ยังไม่แก่กล้าสามารถจะเดินให้ทันเขา แต่ตอนหลังนี้ไม่มีปัญหา จะว่าไม่เสื่อมก็ได้ เพราะว่านิสัยนั้นยังมีอยู่ อุปมาเหมือนกับพืชผลที่บุคคลเก็บมาไว้ข้างในไม่เหี่ยวแห้ง ถึงแม้จะนำไปปลูกในประเทศที่ใดๆ ก็ดี เมื่อมีผลขึ้นมาแล้วจะต้องมีรสชาติอย่างเดิมอยู่นั้นเอง ฉะนั้น เรื่องนิสัยนี้ ถ้าผู้ใช้ความสังเกตจะทราบได้ชัดทีเดียวว่าทุกๆ คนย่อมมีนิสัยไม่เหมือนกัน นิสัยของแต่ละคนนั้นจะแสดงให้ปรากฏตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งแก่ ย่อมจะแสดงอาการอยู่ในขอบเขตอันเดียวกันเรื่อยๆ มาทีเดียว นิสัยเป็นของละได้ยาก เว้นไว้แต่พระสัมมาสัมพุทธะเท่านั้นจะละได้ ส่วนพระอรหันต์ขีณาสพละไม่ได้ เช่นพระสารีบุตรเถระเป็นตัวอย่าง นิสัยท่านเคยเกิดเป็นวานรมาแล้วแต่ก่อน ครั้นมาในชาตินี้ถึงเป็นพระขีณาสพแล้ว นิสัยนั้นก็ยังติดตามมาอยู่ เมื่อท่านจะเดินเหินไปในที่เป็นหลุมบ่อโขดหิน ท่านมักชอบกระโดดอย่างวานร นี้เป็นตัวอย่าง

    สโมธานปริวัฏ สมถวิปัสสนาดังแสดงมาแล้วตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ เป็นวิถีทางเดินของผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ทุกๆ คนจะเว้นเสียไม่ได้ ชื่อแลอาการของสมถวิปัสสนาดังแสดงมาแล้วหรือนอกออกไปกว่านั้นก็ดี ถึงจะมีมากสักเท่าใด ผู้ฝึกหัดพระกรรมฐานมากำหนดเพ่งเอาแต่เฉพาะกายอย่างเดียว โดยให้เห็นเป็นธาตุเป็นอสุภเป็นต้น เท่าที่อธิบายมาแล้วข้างต้นนั้น เท่านี้ก็เรียกว่าเดินอยู่ในวิถีขอบเขตของทางทั้ง ๒ นั้นอยู่แล้ว การปฏิบัติไม่เหมือนเรียนปริยัติ เรียนปฏิบัตินั้นเราเรียนแล้วได้น้อยหรือมากก็ตาม ตั้งหน้าตั้งตาลงมือทำตามให้รู้รสชาติของความรู้นั้นจริงๆ เรียนเพื่อหาความรู้ในการที่จะถอนตนออกจากเครื่องยุ่งเหยิง แม้แต่บทพระกรรมฐานที่เรียนได้แล้วเอามาเจริญบริกรรมเพ่งพิจารณาอยู่นั้นก็ดี ถ้าหากเข้าถึงสมถวิปัสสนาอันแท้จริงแล้วก็จะสละทิ้งหมดทั้งนั้น คงยังเหลืออยู่แต่ความรู้ความชัดอันเกิดจากสมถวิปัสสนานั้นเท่านั้น สัญญาปริยัติจะไม่ปรากฏ ณ ที่นั้นเลย แต่มโนบัญญัติจะปรากฏขึ้นมาแทนที่ ฉะนั้น ความรู้ความเห็นอันนั้นจึงเป็นปัจจัตตัง จึงถึงองค์พระธรรมนำผู้รู้ผู้เห็นนั้นให้บริสุทธิ์หมดจดได้ ส่วนการเรียนพระปริยัติ เรียนเพื่อจดจำตำราคัมภีร์ มีจำบาลี บทบาท อักขระ พยัญชนะ เป็นต้น อันเป็นพุทธวจนะรากเหง้าของพุทธศาสนา ต้องใช้กำลังสัญญาจดจำเป็นใหญ่ คนเรียนพระกรรมฐานอื่นๆ นอกจากรูปกายนี้แล้ว (ข้าพเจ้าเห็นว่า) ไม่เหมาะแก่ผู้ปฏิบัติซึ่งมีการจดจำพระปริยัติน้อย เพราะกายนี้เพ่งง่าย รู้ง่าย จำได้ง่าย เพราะมีอยู่ในตัวทุกเมื่อ แหละถึงเราจะไม่ทราบว่าธรรมทั้งหลายมีกรรมฐาน ๔๐ เป็นต้น มีอยู่ในตนก็ดี เมื่อเราเพ่งพิจารณาในรูปกายนี้ ก็ได้ชื่อว่าเจริญพระกรรมฐานทั้งหลายเหล่านั้นอยู่แล้ว แล้วเป็นที่ตั้งอุปาทานอันเป็นแหล่งแห่งกิเลสทั้งหลาย มีสักกายทิฏฐิความหลงถือว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นต้น

    เมื่อมาเพ่งรูปกายนี้โดยวิธีที่แสดงมาข้างต้นนั้น หากมาเห็นชัดตามเป็นจริงว่ารูปกายนี้เป็นแต่สักว่าธาตุดินเป็นต้น เมื่อจิตยังไม่หลุดพ้นจากอุปาทาน ก็ได้ชื่อว่าเห็นอาการของธรรมทั้งหลายอยู่แล้ว หรือเห็นด้วยจิตอันดิ่งแน่วแน่ด้วยองค์ภวังค์ ก็พอจะยังนิวรณธรรมให้สงบอยู่ได้ ถ้าสมาธิแน่วแน่ดี อันมีวิปัสสนาเป็นผลเกิดขึ้นในที่นั้น ก็จะย้อนกลับมาเพ่งวิพากษ์วิจารณ์รูปสังขารตัวนี้เอง เมื่อเห็นตามเป็นจริงแล้ว ก็จะทิ้งอุปธิตัวนี้แหละ

    ฉะนั้น รูปกายนี้จึงได้ชื่อว่าเหมาะ สมควรที่จะเอามาเป็นอารมณ์เจริญกรรมฐานของผู้มีการจดจำน้อย เมื่อผู้มาเพ่งพิจารณารูปกรรมฐานอันนี้เป็นอารมณ์อยู่ จะได้ความรู้จากรูปอันนี้เป็นอันมาก เช่น จะรู้ว่ารูปอันนี้สักแต่ว่าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ หรือเป็นอสุภเป็นต้น เมื่อจิตพลิกกลับจากสัญญาอุปาทานที่เข้ามายึดถือใหม่นี้ แล้วเข้าไปรู้เห็นด้วยความรู้ความเห็นอันเป็นภาวะเดิมของตัว สัญญาอุปาทานใหม่นี้จะเป็นที่ขบขันมิใช่น้อย สมถะหรือฌานและสมาธิจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมาปรารภเอารูปกรรมฐานอันนี้เป็นอารมณ์ วิปัสสนาเห็นแจ้งชัดได้ก็เพราะมาเพ่งเอารูปสังขารอันนี้เป็นที่ตั้ง ฉะนั้น ทางทั้ง ๒ เส้นนี้เป็นของเกี่ยวพันกันไปในตัว

    อธิบายว่าเมื่อเจริญสมถะมีกำลังแล้ววิปัสสนาจึงจะเดินต่อ เมื่อเดินวิปัสสนาเต็มที่แล้ว จิตก็ต้องมาพักอยู่ในอารมณ์ของสมถะนั้นเอง ทั้งที่จิตเดินวิปัสสนาอยู่นั้น เช่น พิจารณาเห็นสังขารเป็นอนิจจลักษณะเป็นต้น จิตก็สงบเพ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียวนั้นเอง วิปัสสนาจึงแจ้งชัด ซึ่งจัดว่ามีสมถะอยู่พร้อมแล้ว เมื่อเจริญสมถะอยู่ เช่น เพ่งพิจารณารูปกายอันนี้ให้เป็นธาตุ ๔ เป็นต้น ตามความเป็นจริงแล้ว จิตนั้นสงบแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันนั้น ความเห็นตามเป็นจริงก็ได้ชื่อว่าวิปัสสนาอยู่แล้ว สมถะแลวิปัสสนาทั้งสองนี้ มีวิถีทางเดินอันเดียวกัน คือ ปรารภรูปขันธ์นี้เป็นอารมณ์เหมือนกัน จะมีแยกกันอยู่บ้างก็ตอนปลาย คือว่าเมื่อเจริญสมถะอยู่นั้น จิตตั้งมั่นแล้วน้อมไปสู่เอกกัคคตารมณ์หน้าเดียว จนจิตเข้าถึงภวังค์นั้นแล จึงจะทิ้งวิปัสสนา เรียกว่าสมถะแยกทางตอนปลายออกจากวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาเดินออกนอกขอบเขตของสมถะ หรือสมถะอ่อนไปจนเป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านตามอาการของสัญญา มีส่งตามตำราแลแบบแผนเป็นต้น เรียกว่าวิปัสสนาแยกออกจากสมถะ หรือจิตที่เพลินมองดูตามนิมิตต่างๆ ซึ่งเกิดจากสมถะนั้นก็ดี ถึงจิตนั้นจะแน่วแน่อยู่ในนิมิตนั้นก็ตาม เรียกว่าวิปัสสนาแปรไปเป็นวิปัสสนูปกิเลส เรียกว่าวิปัสสนาแยกทางออกจากสมถะเสียแล้ว

    สมถวิปัสสนานี้ เมื่อมีกำลังเสมอภาคกันเข้าเมื่อไรแล้ว เมื่อนั้นแล มรรคทั้งแปดมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น จะมารวมกันเข้าเป็นองค์อันเดียว อย่าว่าแต่มรรคทั้งแปดเลย อริยสัจธรรมทั้งสี่ก็ดี โพธิปักขิยธรรมทั้งสามสิบเจ็ดก็ดี หรือธรรมหมวดอื่นๆ นอกจากนี้ก็ดี ย่อมมารวมอยู่ในมรรคอันเดียวในขณะเดียวกันนั้น ขณะนั้นท่านจึงเรียกว่า สมัยวิมุตติ หรือ เอกาภิสมัย รู้แจ้งแทงตลอดในสัพพเญยยธรรมทั้งปวงขณะเดียว ของไม่รวมกันอยู่ ณ ที่เดียวจะไปรู้ได้อย่างไร จึงสมกับคำว่า ผู้มีเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ จึงจะถึงวิมุตติธรรมได้ดังนี้

    ดังจักมีคำถามว่า มรรคทั้งแปดทำไมจึงมารวมเป็นอันเดียวกัน แล้วธรรมทั้งหลายมีอริยสัจ ๔ เป็นต้น ก็มารวมอยู่ในที่นั้นด้วย ส่วนผู้ที่มาอบรมให้เป็นไปเช่นนั้นแต่ก่อนๆ ก็ไม่ทราบว่าอะไรเป็นธรรมหมวดไหน แต่ในเวลาธรรมมารวมเข้าเป็นอันเดียวกันแล้วทำไมจึงรู้ได้ (ข้าพเจ้าขอตอบโดยอนุมานว่า) เพราะจิตเดิมเป็นของอันเดียว ที่ว่าจิตมีมากดวง เพราะจิตแสดงอาการออกไปจึงได้มีมาก เมื่อจิตมีอันเดียว ธรรมอันบริสุทธิ์ที่จะให้หลุดพ้นจากอาการมาอย่างก็ต้องมีอันเดียวเหมือนกัน จิตอันเดียว ธรรมอันเดียว จึงเข้าถึงซึ่งวิมุตติได้ จึงเรียกว่า เอกาภิสมัยวิมุตติ

    ส่วนท่านผู้ที่มาอบรมให้เป็นไปเช่นนั้นได้ แต่เมื่อก่อนๆ ถึงจะไม่รู้ว่า อันนั้นเป็นธรรมชาตินั้นๆ ก็ดี แต่เมื่อมารวมอยู่ในที่เดียวกันแล้ว ย่อมเห็นทั้งหมดว่าอันนั้นเป็นธรรมอย่างนั้น มีกิเลสและไม่มีกิเลส แสดงลักษณะอาการอย่างนั้นๆ ย่อมปรากฏชัดอยู่ในที่อันเดียว ส่วนสมมติบัญญัติจัดเป็นหมวดเป็นหมู่แต่งตั้งขึ้นมาตามลักษณะที่เป็นจริงอยู่นั้น จึงมีชื่อเรียกต่างๆ เป็นอย่างๆ ออกไป สำหรับผู้รู้อยู่ในที่เดียว เมื่อเห็นชัดเช่นนั้นแล้ว ใครจะสมมติบัญญัติหรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านั้นย่อมเป็นอยู่อย่างนั้นๆ ทีเดียว ข้อนี้เปรียบเหมือนกับกล้องจุลทรรศน์รวมดึงดูดเอาเงาของภาพทั้งหลายที่มีอยู่ข้างหน้าเข้ามาไว้ที่เดียวทั้งหมด แล้วทำภาพในขณะเดียวกันทั้งหมด แต่กล้องนั้นมิได้สมมติบัญญัติภาพเหล่านั้นเลย

    ฉะนั้น สมถวิปัสสนาที่แสดงมาแต่ต้นจนอวสานนี้ เป็นวิถีทางของพระโยคาวจรผู้เจริญสมถวิปัสสนา เพื่อให้ถึงซึ่งมรรคอันสูงขึ้นไปโดยลำดับ ถ้าเป็นมรรคสามในข้างต้น ความรู้ ความเห็น การละ ก็เป็นไปตามภูมิของตนโดยลำดับของมัคคสมังคีนั้น มีผลเกิดขึ้นในความอิ่มความเต็มแล้ว วางเฉยขณะหนึ่งแล้วก็หายไป ต่อนั้นไปก็ดำเนินมัคคปฏิปทาต่อไปอีก ในสมัยวิมุตติอื่นก็เช่นนั้นเหมือนกัน ถ้าเป็นมรรคที่สูงสุดยอดเยี่ยมของมรรคทั้งหลายแล้ว ต่อจากผลนั้นมามีลักษณะจิตอันหนึ่ง ให้น้อมไปในวิเวกเป็นอารมณ์ แล้วย้อนกลับมาตรวจดูมัคคปฏิปทา อันปหานกิเลสแล้วชำนะธรรมารมณ์อันเป็นเครื่องอยู่ต่อไป ข้อนี้อุปมาเหมือนบุรุษผู้ชาวสวนถางป่า เมื่อเขาถางป่าเตียนหมดแล้วก็ใช้ไฟเผา จนทำให้ที่เขาถางนั้นเป็นเถ้าเป็นฝุ่นไปหมด เมื่อป่าที่เขาเผานั้นเตียนโล่งไปหมดแล้ว เขาก็มาตรวจดูภูมิภาคเหล่านั้นด้วยความปลาบปลื้ม ที่ไหนสมควรจะเพาะปลูกพืชพรรณธัญญชาติสิ่งใด ในที่ไหน เขาก็ปลูกตามชอบใจ

    ฉะนั้น ขอสาธุชนผู้หวังอมตรสให้ปรากฏในมัคควิถี จงพากันยินดีในทางอันเอกจะได้ถึงวิเวกอันเกษมศานต์ การกระทำพระกรรมฐานดังแสดงมาแล้วนี้มิใช่เป็นการยากลำบากนัก ถ้าหากรู้จักหนทางแล้ว เดินพริบหนึ่งขณะจิตเดียวก็จะถึงซึ่งเอกายนมรรค ไม่จำเป็นจะต้องพักผ่อนนอนแรมตามระยะทางให้ชักช้า ขอแต่เชิญพากันตั้งศรัทธาปสาทะในมัคคปฏิปทาเป็นนายหน้าก็แล้วกัน คุณมหันต์อันเราประสงค์คงได้แน่

    .............................. EndLineMoving.gif
    ขอบคุณที่มา:- http://www.nkgen.com/tess803.htm
     
  13. hbrsjdat

    hbrsjdat สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2020
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +46
    เรื่องนี้เกี่ยวกับจิตและเจตสิกเป็นเรื่องอภิธรรมล้วนๆ ใครอยากศึกษาเพิ่มเติมดูได้ที่ลิงค์ข้างล่าง

    เกี่ยวกับนิมิตที่เกิดไม่ว่าในขณะทำสมาธิหรือไม่ก็ตามให้พิจารณาเอาเองว่ามันจริงหรือไม่จริง ถ้านิมิตมันตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆแสดงว่าเป็นของจริง แต่ถ้ามันไม่ตรงเลยก็แสดงว่าเป็นของปลอมครับ

    นิมิตใดที่มีผลทำให้ลดละเลิกความชั่วช้า ก่อให้เกิดสติ กำจัดกิเลสได้ นั่นเป็นนิมิตที่ดีควรรักษาเอาไว้ ยึดเอาไว้เป็นเรือข้ามวัฏสงสารสู่พระนิพพาน

    ส่วนนิมิตใดที่มีผลทำให้สะสมหรือเพิ่มความชั่ว ก่อให้เกิดความประมาท สติแตก เพิ่มพูนกิเลส นั่นเป็นนิมิตของมารที่มาในทุกรูปแบบ ให้ละทิ้งเสียอย่าไปสนใจ

    เวลาน้อยลงทุกวัน ชีวิตขันธ์ห้าก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน แก่เฒ่าลงทุกวัน ขอให้ทุกท่านดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทครับ

    http://www.abhidhamonline.org/thesis/thesis2.files/thesis2.htm
    https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=343
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    สัมมาสมาธิแท้ๆ จะเกิดธาตุรู้ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง
    หลวงพ่อปราโมทย์: แต่ถ้าเราเคยฝึกสมาธิมาแล้วนะ จิตเรารวมเข้าไป ตรงที่จิตรวมเข้าไป ถ้าเราฝึกเต็มรูปแบบนะ ของสัมมาสมาธิแท้ๆ ของจิตสิกขาแท้ๆเนี่ย ตรงที่จิตรวมเข้าไปในปฐมฌานเนี่ย จิตยังไม่มีธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ เด่นดวง เพราะในปฐมฌานยังมีวิตกมีวิจารอยู่ ยังมีการตรึก มีการตรอง ถึงตัวอารมณ์อยู่ จิตยังสนใจไปยังที่ตัวอารมณ์เป็นหลัก เป็นเครื่องผูกมัดจิตให้สงบ

    ทีนี้พอขึ้นถึงฌานที่ ๒ ทุติยฌาน วิตกวิจารดับไป ถ้าพูดแบบอภิธรรม มันคือฌานที่ ๓ ของอภิธรรม เป็นฌานที่ ๒ ของพระสูตร เราพูดแบบพระสูตรก็แล้วกัน พอขึ้นถึงฌานที่ ๒ วิตกวิจารดับไป มีปีติ มีสุข เอกัคคตา ในขณะนั้นจะเกิดองค์ธรรมที่พิเศษอัศจรรย์ชนิดหนึ่งขึ้น ในพระสูตรจะเรียกว่า เอโกทิภาวะ

    เอโกทิภาวะ หรือภาวะแห่งความเป็นหนึ่ง ในอรรถกถาบอกว่า คือสัมมาสมาธินั่นเอง เอโกทิภาวะก็คือ สภาวะที่ใจนี้ตั้งมั่น เด่นดวง ขึ้นมา แล้วมันเห็นอารมณ์ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของถูกรู้ถูกดู ใจมันเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู เนี่ยถ้าใจเราเข้าไปถึงฌานที่ ๒ ทุติยฌาน เราจะได้ เอโกทิภาวะ ขึ้นมา และถ้าถึง ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ถึงฌานที่ ๘ อะไรเหล่านี้ เอโกทิภาวะก็ยังอยู่ ใจจะตั้งมั่นเด่นอยู่อย่างนั้น

    พอออกจากฌานแล้ว เอโกทิภาวะ นี้ยังทรงตัวอยู่อีกช่วงหนึ่ง อีกหลายชั่วโมง หรืออีกเป็นวันๆได้ ทรงตัว ถ้าฌานนั้นเกิดจากการเดินจงกรม เราเดินจงกรมอยู่แล้วจิตรวมลงไปถึงฌานที่ ๒ เนี่ย ถอยออกมาแล้วนะ เอเอโกทิภาวะทรงตัวอยู่ได้นาน เพราะฉะนั้นถ้าเราทำสมาธิด้วยการเดินได้เนี่ย กำลังของความรู้สึกตัวนี้จะทรงอยู่นานมาก จะนานกว่านั่ง เพราะฉะนั้นสมาธิที่เกิดจากการเดินจงกรมจะเข้มแข็ง

    ทีนี้พอเรามีตัวผู้รู้ขึ้นมา พระป่าท่านจะเรียกว่าตัวผู้รู้นะ ทันทีที่จิตทรงมีตัวผู้รู้ขึ้นมาแล้วเนี่ย เราจะเห็นทันที ว่าร่างกายที่ยืน เดิน นั่ง นอน เนี่ย ไม่ใช่ตัวเรา เห็นมั้ย พอใจทรงตัวขึ้นมา มีสัมมาสมาธิขึ้นมา ปัญญาจะเกิดขึ้นมาทันทีเลย จะเห็นทันทีเลยว่า กายที่ยืนเดินนั่งนอนอยู่นี้ไม่ใช่ตัวเรา กายที่หายใจเข้าหายใจออกนี้ไม่ใช่ตัวเรา กายที่พองที่ยุบนี้ไม่ใช่ตัวเรา จะเห็นทันที ไม่ต้องคิดนะ แต่จะเห็นทันที จะรู้สึกทันที

    เนี่ยถ้าเราฝึกเต็มภูมินะ เราจะเดินมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นกายานุปัสสนานะ หรือเวทนานุปัสสนาก็ตามเนี่ย ในอภิธรรมท่านถึงสอบบอกว่า เหมาะกับคนเล่นฌาน กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จะทำได้ดีถ้าเราทำฌาน และฌานนั้นถ้าจะดีจริงๆต้องถึงฌานที่ ๒ แล้ว จะมีเอโกทิภาวะขึ้นมา แล้วจะเห็นทันทีว่ากายนี้ไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา จะเห็นอย่างนั้น


    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
    บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
    แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑
     
  15. ด่านรัตนะ

    ด่านรัตนะ วรพล ด่านรัตนะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +5
    สาธุอนุโมทามิครับ
    #วรพลด่านรัตนะ #วรพล #ด่านรัตนะ
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,322
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    มโนทวารวิถีจิต
    gal00123033c137.gif

    เมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร ซึ่งเป็นปสาทรูป ทวารหนึ่งทวารใดดับไปแล้ว ภวังคจิตก็เกิดดับสืบต่อ คั่นแล้วต่อจากนั้นมโนทวารวิถีจิต คือ จิตที่อาศัยใจ (ภวังคุปัจเฉทจิต) เป็นทวารรู้อารมณ์ก็เกิดขึ้น รู้อารมณ์เดียวกับวิถีจิตทางปัญจทวารที่เพิ่งดับไปแล้วนั้นในวาระหนึ่งๆ

    วิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวารนั้นไม่มากเท่ากับวิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร และทางมโนทวารนั้นเมื่ออารมณ์ไม่ได้กระทบกับจักขุปสาท เป็นต้น จึงไม่มีอตีตภวังค์

    แต่ก่อนที่มโนทวาราวัชชนจิตจะรำพึงถึงอารมณ์ที่วิถีจิตรู้ทางปัญจทวารแล้วดับไปนั้น ภวังคจลนะจะต้องเกิดขึ้นไหวตามอารมณ์นั้นแล้วดับไป แล้วภวังคุปัจเฉทะจึงเกิดขึ้นแล้วดับไป ต่อจากนั้นมโนทวาราวัชชนจิตจึงเกิดขึ้น เป็นมโนทวารวิถีจิตที่ ๑

    จิตที่ทำอาวัชชนกิจทางมโนทวารนั้น ไม่ใช่ปัญจทวาราวัชชนจิต ปัญจทวาราวัชชนจิตทำอาวัชชนกิจได้ทางปัญจทวารเท่านั้น ทำอาวัชชนกิจทางมโนทวารไม่ได้เลย จิตที่ทำอาวัชชนกิจทางมโนทวารมี ๑ ดวง คือ มโนทวาราวัชชนจิต ทำกิจรำพึงถึงอารมณ์ทางมโนทวาร คือ นึกถึงอารมณ์ทางมโนทวาร

    ในวันหนึ่งๆ ที่คิดนึกเรื่องต่างๆ นั้น ขณะที่คิดนั้นจิตไม่รู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งทางตา หู จมูก ลิ้น กายเลย เมื่อภวังคจลนะเกิดขึ้นแล้วดับไป ภวังคุปัจเฉทะก็เกิดต่อแล้วดับไป แล้วมโนทวาราวัชชนจิตก็เกิดขึ้นเป็นมโนทวารวิถีจิตที่ ๑

    เมื่อมโนทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์กุศลจิต หรืออกุศลจิต ซึ่งเป็นชวนวิถีจิตก็เกิดดับสืบต่อซ้ำกัน โดยเป็นจิตประเภทเดียวกันทั้ง ๗ ขณะ เมื่อกุศลชวนวิถีจิตหรืออกุศลชวนวิถีจิตดับไปแล้ว ถ้าเป็นอารมณ์ทางใจที่ปรากฏชัดเจน ตทาลัมพนวิถีจิตก็เกิดต่ออีก ๒ ขณะ

    ฉะนั้น วิถีจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวาร จึงมีเพียง ๓ วิถีเท่านั้น คือ ...

    วิถีที่ ๑ เป็นอาวัชชนวิถี ๑ ขณะ

    วิถีที่ ๒ เป็นชวนวิถี ๗ ขณะ

    วิถีที่ ๓ เป็นตทาลัมพนวิถี ๒ ขณะ

    ดาวน์โหลดหนังสือ --> ปรมัตถธรรมสังเขป
    :- https://www.dhammahome.com/webboard/topic/7332
     

แชร์หน้านี้

Loading...