สมัยพุทธกาลเพียงฟังธรรมก็บรรลุโสดาบัน สมัยนี้ถ้าฟังจากอริยสงฆ์ที่ศรัทธาจะบรรลุได้หรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แสน1, 30 ตุลาคม 2018.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. แสน1

    แสน1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +160
    อยากทราบสภาพจิต อารมณ์ ในขณะนั้นว่า มีสภาพอย่างไร ชวนสนทนาธรรมนะครับ
     
  2. มณฑาทิพย์*

    มณฑาทิพย์* สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2018
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +45
    ไม่กล้าตอบ ตามที่คุณแสน1 ชวนสนทนาธรรมค่ะ
    เพราะยังปฏิบัติธรรมดาๆ ค่ะ
    แต่ เราเคยเจอประสบการณ์ เป็นสภาวะค่ะ
     
  3. แสน1

    แสน1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +160
    รบกวน ขยายความอีกสักหน่อยครับ คำว่า สภาวะ ครับ
     
  4. มณฑาทิพย์*

    มณฑาทิพย์* สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2018
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +45
    ที่เรียกสภาวะ ก็ใช้คำว่าสภาวะมาแทนความรู้สึกหรือการอะไรดีหล่ะ คือเหมือนเห็นภาพในหัวค่ะ อาจจะมีความหมายไม่เหมือนกับที่ท่านอื่นๆ ใช้ หรือคำแปลตามพจนานุกรมค่ะ เพราะรู้สึกเองว่าน่าจะใช้คำนี้ โอเคที่สุดค่ะ^^
     
  5. มณฑาทิพย์*

    มณฑาทิพย์* สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2018
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +45
    อ้อ ถ้าจะให้เราเปรียบเทียบนะ สำหรับเราทางโลกเรียกว่า ประสบการณ์ ค่ะ ถ้าทางธรรมะ เราเรียกเองว่า สภาวะ ค่ะ
     
  6. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ขอตามอ่านก่อนนะคะ ยังงงๆ กับหัวข้อที่เจ้าของกระทู้ต้องการสนทนา
     
  7. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    สมัยพุทธกาลเพียงฟังธรรมก็บรรลุโสดาบัน สมัยนี้ถ้าฟังจากอริยสงฆ์ที่ศรัทธาจะบรรลุได้หรือไม่

    ขอตอบตามความเห็นส่วนตัวนะ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่สั่งสมกันมาในอดีตจนถึงปัจจุบันค่ะ ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นยุคสมัยใด เหตุปัจจัยพร้อมบริบูรณ์ขณะใดก็บรรลุได้ขณะนั้นทันที...อกาลิโกค่ะ
     
  8. สุดทางธรรม

    สุดทางธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2011
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +17
    เปรียบเหมือนแก้วที่มีน้ำ ถ้ามีน้ำอยู่ใกล้เต็มเติมน้ำลงไปอีกนิดหน่อยก็เต็มแก้วพอดี การสร้างสมบุญบารมีไม่ได้เกิดแค่ชาติเดียว มีการสะสมมาหลายภพหลายชาติ
     
  9. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
    ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
    [​IMG]
    ๑๐. พาหิยสูตร
    [๔๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล กุลบุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะ อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ ใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ
    บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ครั้งนั้นแล พาหิยทารุจีริยะหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า เราเป็นคนหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์หรือผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลก

    ลำดับนั้นแล เทวดาผู้เป็นสายโลหิตในกาลก่อนของพาหิยทารุจีริยะ เป็นผู้อนุเคราะห์ หวังประโยชน์ ได้ทราบความปริวิตกแห่งใจของพาหิยทารุจีริยะด้วยใจ แล้วเข้าไปหาพาหิยทารุจีริยะ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ดูกรพาหิยะ ท่านไม่เป็นพระอรหันต์หรือไม่ เป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคอย่างแน่นอน ท่านไม่มีปฏิปทาเครื่องให้เป็นพระอรหันต์หรือ
    เครื่องเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรค พาหิยทารุจีริยะถามว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น บัดนี้ใครเล่าเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลกกับเทวโลก เทวดาตอบว่า ดูกรพาหิยะ ในชนบททางเหนือ มีพระนครชื่อว่าสาวัตถี บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ในพระนครนั้น ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแลเป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน ทั้งทรง
    แสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะผู้อันเทวดานั้นให้สลดใจแล้ว หลีกไปจากท่าสุปปารกะในทันใดนั้นเอง ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้พระนครสาวัตถี โดยการพักแรมสิ้นราตรีหนึ่งในที่ทั้งปวง ฯ
     
  10. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    [๔๘] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกันจงกรมอยู่ในที่แจ้ง พาหิยทารุจีริยะ
    เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านทั้งหลาย
    ผู้เจริญ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ
    ข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ภิกษุ
    เหล่านั้นตอบว่า ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อ
    บิณฑบาต ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบด่วนออกจากพระวิหารเชตวัน เข้าไป
    ยังพระนครสาวัตถี ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนคร
    สาวัตถี น่าเลื่อมใส ควรเลื่อมใส มีอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบ ถึงความฝึก
    และความสงบอันสูงสุด มีตนอันฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์สำรวมแล้ว
    ผู้ประเสริฐ แล้วได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มี-
    *พระภาคด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดง
    ธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
    นานเถิด ฯ
    [๔๙] เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรพาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน เพราะเรายังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อ
    บิณฑบาตอยู่ แม้ครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี ความ
    เป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดง
    ธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอด
    กาลนานเถิด ฯ
    แม้ครั้งที่ ๒...แม้ครั้งที่ ๓ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
    ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรด
    ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
    นานเถิด ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษา
    อย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็น
    สักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกร
    พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อ
    ทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
    ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
    ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
    ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
    ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
    *พระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วย
    พระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ
    [๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน แม่โค
    ลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จ
    เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เสด็จ
    ออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะ
    ทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจง
    ช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำ
    สถูปไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอ
    กับท่านทั้งหลาย ทำกาละแล้ว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ช่วยกัน
    ยกสรีระของพระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง แล้วนำไปเผา และทำสถูปไว้แล้ว
    เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้
    ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สรีระของพาหิยทารุจีริยะข้าพระองค์
    ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้ว
    คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต
    ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแล้ว ฯ
    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทาน
    นี้ในเวลานั้นว่า
    ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด
    ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์
    ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี
    ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ ๔) รู้แล้ว
    ด้วยตน เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูปและอรูป
    จากสุขและทุกข์ ฯ

    จบสูตรที่ ๑๐
    จบโพธิวรรคที่ ๑
     
  11. nanbatakeshi

    nanbatakeshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    17,585
    ค่าพลัง:
    +20,412
    ได้ครับ อยู่ที่บุญบารมี ซึ่งบุญบารมีแต่ละท่านไม่เท่ากัน พระโสดาบันความจริงไม่ยากเท่าไหร่พระนางวิสาขาขนาดท่านบรรลุพระโสดาบันแล้วยังมีลูกตั้งหลายคน พระสกิทาคามี พระอนาคามีก็ยังครองเรือนได้ไม่ตาย แต่ถ้าบรรลุพระอรหันต์อย่างนี้ต้องสั่งสมบุญบารมีมาค่อนข้างเยอะพอสมควร(ชาติสุดท้าย) ถ้าเป็นฆราวาสไม่ได้บวชพระก็จะนิพพานภายในวันนั้น แต่ถ้าบวชทันก็ทรงชีวิตอยู่ได้เพราะเรือไม่สามารถรับของหนักได้ร่างกายมนุษย์ก็เช่นเดียวกันแบกรับพระอรหันต์ไม่ไหวและหากมีผู้ใดกล่าวปรามาสหรือตบหัวเล่นแม้แต่แบบเพื่อนก็มีโทษหนัก(อเวจีมหานรก)เลยต้องปรับไปพระนิพพาน
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ถ้าระดับพระอรหันต์ ไม่มีอะไรมาทำให้จิต
    ท่านเกิดได้อีก ตลอดที่ยังทรงธาตุขันธ์
    (หมายถึงที่ห่มเหลืองนะครับ)
    แสดงว่าตัวจิตท่านคลายตัวเองได้
    แล้วตลอดทั้งวันแบบธรรมชาติ
    จึงไม่มีการเกิดอีกของจิต

    ส่วนทางตำรานั้น แบ่งแยก ไว้ ๓ ระดับ
    ก่อนถึงระดับอรหันต์
    เราก็เทียบระยะเวลาระหว่างวัน
    ที่จิตสามารถคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ
    ในระหว่างวันว่ามากน้อยแค่ไหน
    เท่านี้ก็จะพอประมานตนเองได้
    และจะไม่หลงตนเอง

    ที่บอกว่าธรรมชาติเพราะเราจะดูกันในเวลาใช้ชีวิตปกติ เพราะการใช้สมาธิ กำลังจิต
    ความชำนาญพวกนี้มีตัวกระทำ
    ไม่ใช่ธรรมชาติ

    ส่วนจิตดวงใดจะบรรลุระดับใด
    ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จิตเคยสะสมมา
    พวกนี้เป็นสภาวะ เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง
    และเป็นนามธรรม ไม่สามารถดัดแปลง
    เสริมแปลงเพิ่มเติม
    ตกแต่งได้เหมือนพระธรรมที่เป็นตำรา
    ดังนั้นจึงถือว่าเป็นปัจจัตตัง

    แต่มีหลักสังเกตุ เรื่องการบรรลุ
    ง่ายๆ
    ๑.จิตเริ่มคลายตัวเอง ไร้รูปร่าง ไร้ทิศทาง
    ได้ในเวลาปกติ แบบที่ไม่ต้องไปทำอะไรไหม

    ๒.ความเข้าใจ ทางนามธรรมต่างๆ
    ตลอดจนความสามารถ
    เดิมที่จิตเคยสะสม มันขึ้นมาของมันเอง
    มาระดับที่ใช้งานได้เลยปกติไหม

    ๓.มีความเข้าใจ การเกิดต่างๆ
    ย้อนได้ถึงต้นตอของการเกิดได้ไหม
    เช่น เห็นผี รู้ได้ไหมว่ากระบวนการ
    เกิดภาพเป็นอย่างไร ตัวอย่างนะ

    ๔. ดูระยะเวลารวมที่จิตคลายตัวเองได้
    ตามธรรมชาติระหว่างวันนั้นหละ
    บุคคลนั้นจะรู้ตนเองว่าอยู่ระดับไหนได้เอง
    โดยไม่ต้องไปถามใคร
    ปล คลายตัว ไม่ใช่จิตว่าง จิตเฉย
    จิตสงบ เพราะพวกนี้ยังเป็นแค่การกระทำหรือการปรุงแต่งอย่างหนึ่งแค่นั้น
    ระวังให้ดีๆ จะไม่หลงสภาวะ หลงตนเอง
    เพราะเผลอเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาสร้าง
    ให้จิตมันแสดงอย่างที่เราสร้างครับ

    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ

     
  13. มณฑาทิพย์*

    มณฑาทิพย์* สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2018
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +45
    ขอบคุณค่ะ ที่เล่าให้ฟัง เข้าใจง่ายดีค่ะ
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    มีสติระลึกรู้ได้เป็นปกติว่าจิตในขณะนั้นเสวยอารมย์ใดอยู่หรือกำลังจะเสวยอารมย์ใด
    เช่นราคะ หรือ โทสะ
    เรียกว่าความหลงครอบงำไม่ได้นานเพราะรู้
    สึกตัวเร็วกว่าปุถุชน
    อารมย์กุศลหรืออกุศลจึง
    เเช่ในจิตไม่ได้นานฮับ
     
  15. แสน1

    แสน1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +160
    รบกวน ขยายความอีกสักนิดครับ อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจในรายละเอียดครับ
     
  16. มณฑาทิพย์*

    มณฑาทิพย์* สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2018
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +45
    ขอเล่าประสบการณ์ สภาวะที่ได้รู้เห็นสักนิดนะคะ
    (ไม่ได้ตอบกระทู้นะคะ ปฏิบัติธรรมดาๆ ค่ะ)
    .....วันหนึ่ง ระหว่างที่ทำงาน ได้มีความรู้สึกว่า จิตใจวุ่นวายมาก พลุ่งพล่าน ประมาณว่านั่งก็นั่งไม่ติด จะยืน จะเดิน มันพลุ่งพล่านไปหมด คล้ายคนจะบ้าแระ^^ เลยบอกพี่ที่ทำงานว่า ถ้าวันนี้ไม่ได้เจอชายผ้าเหลือง คงบ้าแน่ ความหมายของเราคือ ต้องเข้าวัดพาเราไปหาพระ ไปสนทนากับพระ เพื่อให้ใจที่วุ่นวาย (ไม่รุ่มร้อนนะคะ วุ่นวาย พลุ่งพล่าน เป็นสภาวะที่รู้สึกค่ะ) ได้สงบลงบ้าง
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ถ้าจะให้เข้าใจต้องรู้จักความหมายของ
    สติ
    จิต
    เวทนาขันธ์
    สัญญาขันธ์
    สังขารขันธ์
    วิญญาณขันธ์
    พอสมควรเพื่อเข้าใจหน้าที่ของแต่ละ
    ตัวว่าทำงานเชื่อมต่อ
    ส่งผ่านกันยังงัย พยายามฟังธรรมจากหลาย
    พระอาจารย์ที่สอนเจาะตรงเกี่ยวกับเรื่อง
    สติปัฏฐาน หรือเรื่องสมถกรรมฐานและวิปัสนา
    กรรมฐานโดยตรง เช่น หลวงพ่อปราโมทย์
    หลวงพ่อคำเขียน สุวรรโณ
    หลวงพ่อเทียน ( พระที่สอนแบบโม้ๆเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับกรรมฐาน อย่าไป
    ฟังจะลากเราออกนอกเรื่องอย่าไปฟัง
    เพื่อประหยัดเวลา)เลือกจาก 3 รูปที่แนะไว้
    รูปไหนตรงจริตตนเองก็ฟังรูปนั้นซัก 5..คลิป
    แล้วพยายามฟังของรูปที่เหลืออีกรูปละ 5 คลิป
    จะเข้าใจเรื่องกรรมฐานดีขึ้นฮับ
    จะรู้จักแนวทางนิพพานและเริ่มต้นเดินทางได้
    ถ้ามีความพร้อมฮับ
    เป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธคือนิพพาน
    ฮับถ้าได้ลงมือแม้ไปไม่ถึง
    ก็ไม่ลงอบายภูมิน่าลงทุนไหมคับ
     
  18. มณฑาทิพย์*

    มณฑาทิพย์* สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2018
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +45
    ตอนเย็นวันนั้น พี่ที่ทำงานก็พาเราเข้าวัด ไปสนทนากับท่านเจ้าอาวาสค่ะ ก็เล่าสภาวะที่รู้สึกให้ท่านฟัง ท่านก็สนทนาบ้าง แนะนำบ้าง สักครู่หนึ่ง แต่สภาวะที่เรารู้สึก ยังไม่จางหรือหาย ไปเลย ก็มานั่งรอพี่เค้าที่โต๊ะรับแขกของวัดค่ะ
    * ขออนุญาตมาเล่าต่อตอนค่ำค่ะ ขอตัวไปทำงานก่อนค่ะ
     
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ถูกแล้วคับต้องเข้าใจก่อน
    แล้วจึงเลือกเทคนิคการภาวนา
    ที่สอดคล้องกับวิถีประจำวันของเรา
     
  20. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    สภาพจิต ณ ขณะนั้น จิตเข้าถึงความจริงอันเป็นสัจจะ ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าจิตไม่ใช่เรา เมื่อเข้าถึงความจริง ยอมรับความจริง จิตจะสลัดคืนความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ นาๆ อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ จิตจางคลายจากเครื่องร้อยรัดไปตามลำดับของปัญญา ณ ขณะนั้นๆ เปรียบเสมือนที่ผ่านมาแบกหามไว้จนหนักอึ้ง ความหนักนั้นหายไป .... เป็นจิตที่ไม่เกาะอารมณ์

    จากประสบการณ์ที่ผ่านมาค่ะ ต้องเข้าไปรู้เองนะ เป็นปัจจัตตัง เล่าได้แค่นี้

    ความเจริญในธรรมย่อมเกิดแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติจริง ทำจริง เห็นจริง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...