การฝึกสมาธิที่ถูกต้องตามหลัก พุทธวจน..

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เราโตมาคนละแบบ, 7 มีนาคม 2017.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ลืมไป ๆ คนไหนที่คุยด้วยแล้วแน่นมาที่หน้าอก เวทนาลักษณะนี้หมายถึง ทิฏฐิจะมาก ให้วางไปก่อน มิน่าคุยด้วยดีๆ หลายข้อความที่ตอบกลับมักออกแนวนี้ตลอด เอาๆ ไปดูเรื่องความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิของตนไว้บ้างก็ดี ทิฏฐิมากโทสะก็จะมาก เลิกคุย จบข่าว.
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ล็วกเพ่ ฮับ

    ถ้าจะ มาอาสัย มุขนัยนี้ เพื่อยกเป็น สิกขา

    การตั้งต้น ล๊วกพี่ต้อง กลัดกระดุมให้ถูก จิฮับ

    เวลาเห็น สภาพธรรม อันใดก็แล้วแต่ ระวัง อาการ อุปทาน แหลกกรรมฐาน

    พอเห็นอะไรไหวๆ ก็เอาแล้ว มีสัตว์อยู่ในนั้น มีสิ่งนั้นเป็นสัตว์ เป็นเขา ของเขา

    ไหนหละ อ้างว่า จะภาวนาไม่ทำให้กลายเป็น สัตว์

    พอเห็น อะไรไหวๆ หน่อย หมาเห่าใบตองแห้ง( มุขนัยพระราชรี )

    " เฮ้ย เอ็ง เอ็ง เอ็ง !! "

    อย่าตรึกแบบนั้น จิฮับ เห็นลงเป็นขันธ์ แล้วอย่าให้ อุปทาน ทันพา
    ไปเห็นมีสัตว์ในนั้น มีสัตว์เป็นเจ้าของสิ่งนั้น " รู้ซื่อๆ ดับลงที่ รู้ "

    แล้วอย่าประครองไว้ ไม่ต้องเห็นตลอดก็ได้ ไม่เห็น ก็รู้ว่าไม่เห็น กลาง เป๊ะ
     
  3. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
     
  4. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :p ผมเป็นนักศึกษา ไม่ใช่ผู้รู้นะครับ เรามาแลกเปลี่ยนกัน กำลังฝึกอยูเช่นกัน ที่คุณถามมาใช่เลยครับ..
    :p สัตตานังคือ ..สิ่งๆหนึ่งที่ชอบยึดติด-เรียกว่าสัตว์(ตามพุทธวจน)..เข้ามายึดเกาะขันธ์5 โดยมีตัณหาเป็นเครื่องผูก อวิชชาเป็นเครื่องกั้น..
    สัตตานังตัวนี้จะเกาะติด จิต-วิญญาณ-มโน อยู่ตลอดเวลาไม่ยอมปล่อย ติดอยู่ธาตุนี้เสมอ ถึงแม้ จิต จะโคจรไปอีก4 ธาตุตามโอกาสก็ตาม
    :mad: เมื่อรูปแตกสลาย..ความเป็นเรา-ตัวเรา-ของเรา-ในสัตตานัง จึงติดไปใน จิตดวงนั้นๆที่เกาะรูปอยู่เสมอ เพื่อไปสร้างภพ..ขึ้นใหม่ (ขันธ์5) แนะนำให้ฟังยูทูป พุทธวจน ครับ(อจ.คึกฤทธิ์ก็ได้ครับ) สาธุ
     
  5. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    IMG_20170328_143318_236.JPG IMG_20170328_143718_168.JPG ขออนุญาตนะครับ คำว่า สัตว์ สัตตานัง เนี่ยให้เข้าใจให้ดีว่า เป็นอาการของการเข้าไปติด เข้าไปข้อง ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ด้วยความพอใจ ราคะ นันทิ ตัณหา นะครับ

    อย่าไปหลงเข้าใจว่า เป็นสัตว์มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาชนิดหนึ่งมาเกาะกุม มันเป็นกริยาอาการอย่างหนึ่งเท่านั้น มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก

    ผมตามไปดูคลิปแล้ว เพราะสงสัยมานาน ฟังคุณเราโตฯ พูดบางทีเหมือนกับว่าเป็นสัตว์หรืออะไรชนิดหนึ่งที่มีตัวมีตน เข้ามาเกาะกุมขันธ์ ๕ วันดีคืนดีพอบรรลุธรรมก็จากไป อันนี้ผมอาจหลงเข้าใจผิดคิดไปเองก็ได้ แต่พอไปอ่านและเห็นการตีความจึงเข้าใจ ไม่ใช่สัตว์มีชีวิตจิตใจอะไรอย่างนี้ แต่เป็นกริยา กริยาที่หลงไปด้วยความไม่รู้นั่นแหละ จะเห็นว่าถ้าตีความผิดมันจะไปกันคนละเรื่องเลย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกัน

    ถ้าว่ามีสัตว์ (แบบนั้น) เดี๋ยวจะได้มีการพยายามฆ่าทำลายล้างสัตว์กันต่อ จริงๆ มันไม่ใช่ แค่ทำความเห็นให้ถูกตรง ให้เกิดปัญญา วิมุตติญาณทัศนะ ลองพิจารณาดูดีๆ นะครับเผื่อจะเข้าใจผิดไป
     
  6. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2017
  7. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อีกนิดละกัน..
    อธิบายแบบชัดๆ ตามที่เห็นอยู่ก็คือ มันเป็นเรื่องของกริยาอาการที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งนั้น มีเกิดมีดับ ไม่ว่าจะเป็นกริยาอาการหลงหรือรู้แจ้ง ไม่ได้มีเรื่องของสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้องเลย เว้นแต่จะหลงคิดหลงปรุงไปเอง ก็รู้ตามความเป็นจริงไป ยังไงถึงจะรู้ตามความเป็นจริงได้ มันก็ต้องอาศัยการมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาประกอบกันไปในการดูการรู้ทั้งหมดนั่นล่ะครับ
     
  8. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :mad: ถูกต้องครับ คุณสังเกตุได้ ทำไม.. กาม จึงบรรจุอยู่เต็มในขันธ์ 5..ก็เพราะเราเกิดมาจากกามนี่เอง-(ตัณหา-อวิชชา)และยากต่อการเอาชนะ การที่จะให้จิตเข้าใจว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่อัตตาของเรา จะเอาแต่ท่องจำนั้นไม่มีทางเลย นอกจากต้องใช้สมาธิทำให้จิตเชื่อมั่นจริงๆ-เข็ดกับการเกิด มีขันธ์5 นี้
    :pพจ.ขณะตรัสรู้ ท่านต้องนั่งใต้ต้นโพธิ์ ตรึกตรอง วงจรปฏิจจะสมุปบาทนี้ถึง 7 วัน แล้วเปล่งวาจาว่า..เราเห็นเรือนเจ้าแล้ว เราจะรื้อเรือนของเจ้าทิ้งเสีย..อะไรทำนองนี้ ชิตังเม.. จึงถูกนำมาเป็นคำนำหน้าบทสวดบางบทไง..เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว..ใช่ไหมครับ
     
  9. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....อยากคุยแบบว่า เราเป็นนักศึกษาธรรมะด้วยกันนะครับ แบบเพื่อนรักนักศึกษาแหละครับ

    ....."การที่จะให้จิตเข้าใจว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่อัตตาของเรา จะเอาแต่ท่องจำนั้นไม่มีทางเลย นอกจากต้องใช้สมาธิทำให้จิตเชื่อมั่นจริงๆ-เข็ดกับการเกิด มีขันธ์5 นี้" อยากถามว่า จิต ท่านอ่านแล้วจิตไม่เชื่อว่า กายนี้ไม่ใช่เราหรือครับ จิตเชื่อว่าอย่างไร จิตเชื่อว่า กายนี้เป็นเราหรือยังไง
    .....จิต คืออะไร จิตเชื่อว่า รถยนต์วิ่งได้ อันนี้ต้องภาวนาใหมครับ
    ....จิต ไม่รู้อะไรเลยหรือยังไงครับ ต้องใช้สมาธิในการ ทำให้จิตมันรู้ว่า รถยนต์มันวิ่งได้หรือเปล่า
    .....
    ....ผมเคยอธิบายว่า การ อ่าน การฟัง การขบคิด ก็คือ การรู้ด้วยจิต ไม่ต้องมานั่งทำสมาธิ

    .....การภาวนา ด้วยสติปัฏฐานสี่ ก็เพื่อให้เกิดความรู้ในระดับญาณ

    ....รุ้ด้วยจิต กับรู้ด้วยญาณ มันเป็นคนละตัวผุ้รู้

    ....ตอนแรก ผมนึกว่าจะได้เพื่อน ที่เห็นเหมือนกัน เพราะคุณพูดเรื่องสัตตานัง เอาไปเอามาไปเชื่อ ว่า มีแต่จิต ไม่มีสัตตานัง กลายเป็นคนละทางเลย
    ....ถ้ายังไม่ล้อคควาามคิด ลองไปศึกษาพระไตรปิฏก อีกสักรอบ เรามาเป็นนักศึกษากัน ไม่ต้องกลัวว่าช้ากว่าคนอื่น ตราบไดยังข้ามแม่น้ำวัฏสงสารไม่ได้ ก็อยู่ฝังเดียวกันแหละ ปล่อยเขาโม้ไปก่อน
     
  10. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    อย่าเข้าใจผิดครับ..พุทธวจน-ผมบอกว่ามี สัตตานังครับ ที่ครอบงำเกาะติด จิต(วิญญาณ ในขันธ์5 ) ไว้ไม่ปล่อย ไม่ว่าจิตจะไปเกาะอารมณ์ใดก็ตาม ในสี่ธาตุที่เหลือครับ เข้าใจตรงกันครับ
     
  11. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เอาแค่รูปธรรม หยาบกับละเอียด ก็ใช้ทักษะในการเรียนรู้ต่างกันไปแล้ว ยิ่งเรื่องนามธรรมอุปนิสัยจิตใจนี่ ยิ่งไม่ต้องพูดกัน ละเอียดลึกซึ้งกว่านั้นมาก ฉาบฉวยๆ นี่ไม่มีทางรู้เท่าทันมายาได้เลย

    อย่างเรื่องผู้รู้ นี่ก็เหมือนกัน เห็นกันแต่สิ่งที่มองออก ส่งจิตออกไปรับรู้อย่างเดียว เราก็ว่าไอ้นั่นก็อนิจจังทุกขังอนัตตา ไอ้นี่ก็อนิจจังทุกขังอนัตตา มองไปทางไหน ก็เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาหมด แต่ไม่เคยเห็นตัวเอง ไม่เคยเห็นผู้ที่ไปรู้นู่นรู้นี่ว่า ต่างก็เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาเหมือนกัน ได้แต่ประเมินประมาณเอา จากการที่เห็นการรับรู้มันไม่เที่ยง มันก็ใช่อยู่.. ในระดับของเหตุผลมันใช่ มันพอวิเคราะห์ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่โลกมันดับไปต่อหน้าต่อตา อันนี้ชัดเลย หายเรียบ

    พอรู้กลับมา อ้าว..เมื่อกี๊..หายเรียบเลยนี่หว่า (แวบเดียวจริงๆ บอกไม่ถูกว่านานแค่ไหน รู้แต่ว่าแวบเดียว) เป็นแวบเดียวที่ทำให้มุมมองมันเปลี่ยนเหมือนกัน เปลี่ยนเป็นหันกลับมามองตนเองผู้อยู่เบื้องหลังการถ่ายทำทั้งหมด ความเป็นตัวกูของกู และตัวกูของกูก็มีเกิดมีดับเสียด้วย นี่มันแจ้งเลยในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับ มันเห็นอย่างนั้นทันทีเลย เดิมทีไม่เคยนึกถึง ไม่เคยใส่ใจจุดนี้เลย

    ความสำคัญคือเห็นความเป็นตัวกูของกูก็ไม่เที่ยง แล้วจึงมาจับที่ความเกิดดับได้ว่า ทุกอย่างเป็นของเกิดขึ้นชั่วคราวหมด จิตเกิดทีก็ลากอะไรต่ออะไรมาหมดสู้กันใหญ่ กิเลสตัณหาอุปาทาน จิตไม่เกิดนี่คนละเรื่อง เหมือนหนังคนละม้วน เรียบๆ ไม่มีอะไรในกอไผ่สักอย่าง คิดไปเองหลงไปเองทั้งนั้น

    ยิ่งมาฟาดเอาตรงที่เห็น อสังขตธรรม ความที่ปัจจัยอันใดก็ปรุงแต่งไปไม่ถึง ไม่กระทบกระเทือน มีแต่หลงไปเองเพียงฝ่ายเดียว ยิ่งชัดเจนในความหลงกระทำ หลงวัฏฏะ หลงวัฏฏะกับหลงจิตเกิดก็อันเดียวกันนั่นแหละ สูงสุดต่ำสุดอยู่นั่นไม่พ้นวัฏฏะเลย เป็นกลางเข้ามาจึงพ้นได้ พ้นเพราะเท่าทันความหลงปรุงแต่งไปเองหลงคิดไปเอง เห็นความเกิดดับ เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา เรามันหมาเห่าใบตองแห้งไปเอง จริงๆ อย่างพระท่านว่า ไม่มีอะไรสักหน่อย

    เวทนาเหล่าใดก็ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่ความกำหนัด มีอุปาทานเป็นตัวกูของกูไหม เห็นข้างหน้ามันสะท้อนย้อนรู้ไปถึงข้างหลังได้ จะว่าไม่รู้ผู้รู้นี่ก็ไม่ถูก เขาสำเหนียกอยู่ ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง

    ความเห็นมันเป็นทุกข์ มันออกมาจากไหน อัตตา ตัวกูของกู ที่มันหลงให้ค่าโน่นนี่นั่นอยู่ ไม่เป็นกลางสิ้นรักสิ้นชัง เราทำความเห็นแจ้งเข้ามา ๆ ที่สำคัญอีกอย่างคือ ความไม่เห็นเป็นตน เป็นแต่กริยาตามเหตุปัจจัยมีหรือยัง ไม่งั้นอาจมีอีกมิติหนึ่งเกิดขึ้นมา ตรงนี้ดูความสำคัญมั่นหมายให้ดี

    สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารเกิดจิตเกิด ความพอใจเป็นที่ตั้งอาศัยแห่งวิญญาณ ภพชาติจึงมี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น ตัณหาเป็นเครื่องผูก ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น พระพุทธองค์ทรงกล่าวธรรมเป็นทางไว้ให้ดีแล้ว
     
  12. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    เมื่อเห็นเข้ามาแล้ว ก็ ไม่มีอะไร แม้ในความเห็น ก็ ว่างเปล่า การเข้าไปให้ค่าสิ่งใด เราจะหวงแหนสิ่งนั้น เห็นมันเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาทันที สุดท้ายเราจะทุกข์เพราะสิ่งนั้น เพราะมันไม่เคยมีอยู่ เป็นของว่างเปล่า ความไม่รู้ มีอุปทาน การให้ค่าติดปลายนวมฝั่งนู้น ฝั่งนี้ จึงไม่ใช่ทางสายกลาง สาธุในธรรมครับ
     
  13. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ถ้ารู้เช่นเห็นชาติจริงๆ เห็นทุกข์เห็นโทษแล้ว ก็จะไม่บัญญัติละครับ ให้มันจบๆ ไปก็พอ แต่ก็กลายเป็นว่าได้เห็นความอัศจรรย์ในพุทธวิสัยที่มีเฉพาะแต่พระพุทธองค์เท่านั้นขึ้นมาทันทีเลยเมื่อมีคนชวนมองชวนพิจารณานะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2017
  14. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :p คุณ TBOON..ที่คุณโพสต์มานี้ มันทั้งใช่และไม่ใช่ สภาวะจิตที่เกิด เห็นชัดคือไม่ได้เป็นไปตามลำดับจิตที่เกิดสภาวะธรรมขณะนั้นๆ .. การลำดับ"สภาวะธรรม" ที่เกิดขึ้นในจิต มิใช่การที่คุณจะฟันธงไปเลยว่าเมื่อเห็น เกิด-ดับ แล้วให้พิจราณาอนิจจังไปเลย ไม่ใช่เลยครับ ไม่ใช่เลยครับ เมื่อจิตเห็น เกิด-ดับ ตามวงจรปฏิจจะฯล แล้ว พิจราณาความไม่เที่ยงต่อไปให้เป็นอนิจจังไม่ได้ง่ายๆดังตำราหนังสือ..ที่คุณอ่านคุณต้องรู้ กำลังขณะนั้นด้วยว่า..
    สภาวะจิต ของคุณขณะนั้น ที่คุณเห็น-เกิด-ดับ นั้นแล้ว "จิตคุณจะเกิดกำลังมหาศาล อาจถึงมหาสติเพราะการเห็นเกิดดับของจิตนี้แหละเมื่อจิตไม่ส่งออกจิตก็เกิดสมาธิ อีกกรณีหรือจิตคุณมีปัญญาสะสมไว้หรือไม่-หรือยังต้องรอ "ปัญญา" จากสภาวะสมาธิ ตรงนี้ให้มีก่อน-เกิดก่อน ถ้าไม่มีก็ทรงสติปัฏฐานสี่ไว้เลยครับ ตลอดชีวิต เพราะจิตมีกำลังสมาธิแล้ว รู้ตัวทั่วพร้อมไว้ครับ..
    กรณี-เมื่อคุณเห็นจิต เกิด-ดับ ตามวงจรปฏฺจจฯล แล้ว แน่นอนสภาวะจิตคุณตอนนั้นจะทรงตัวอยู่ที่ ไหนครับ-จิตคุณฯจะทรงอยู่ที่กายหรือลมหายใจ ใช่ไหมครับ คุณมองสภาวะ "จิต" ต่อจากตรงนี้ให้เป็นลำดับ ให้เห็นให้ได้ก่อนแล้วคุณจะเข้าใจสภาวะธรรม ที่เกิดตามมา ตามลำดับที่เขาจะเกิดต่อไป..ซึ่งไม่อาจคำณวนเป๊ะๆได้เลย มันเป็นสภาวะคุณภาพของจิตคุณขณะนั้นมีกำลังสมาธิเท่าใดในการพิจราณา
    :p แต่แผนที่ ปริยัติ บอกเส้นทางไว้ชัดเจน คือ ทรงสมาธิอยู่ที่กาย-ลม หากกำลังสมาธิไม่แรงพอ ก็เกาะสติปัฏฐานไปในการดำรงค์ชีวิต ทุกวัน ๆๆๆ
    นั่นแหละจะทำให้คุณเจริญ สติปัฏฐานสี่ หรือ เห็นแจ้งในธรรมที่จะเกิดต่อไปจากการ กำหนดสติปัฏฐานสี่..สภาวะต่อจากนี้ไปเขาจะสื่อถึงคุณภาพจิตเอง..ให้คุณทราบได้ชัดเจนขนาดไหน นั่นก็อยู่ที่คุณสะสมสุตตะแบบใดไว้..
    :eek::mad: อาจเฉยๆ ทรงจิตไว้ที่กาย สมาธิจิตตรงนี้จะยังคง"ค้างคาอยู่ที่กาย" นั่นก็คือ คุณสามารถ ดำเนินสติปัฏฐานสี่ ได้แล้วขณะนั้นๆ เพื่อให้จิตทรงกำลังมากๆเพื่อพิจราณาธรรมใดต่อไปดัง พจ.ท่านบอกให้ทรงไว้ตลอดชีวิตของนักปฏิบัติ ผมอธิบายการลำดับสภาวะให้คุณมอง-ไม่รู้คุณจะเห็นรึไม่ ผมว่าละเอียดพอทีเดียว ก็แค่เสนอให้ลองอ่านตามดู สาธุ
     
  15. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขอบคุณที่เพิ่มเติมให้เห็นชัดขึ้นครับ

    "กรณี-เมื่อคุณเห็นจิต เกิด-ดับ ตามวงจรปฏฺจจฯล แล้ว แน่นอนสภาวะจิตคุณตอนนั้นจะทรงตัวอยู่ที่ ไหนครับ"

    อยู่กับความรู้สึกตัวครับ เพราะว่าไม่มีท่า แล้วแต่ท่าว่าทำอะไรอยู่ตอนนั้น ทำการทำงานบ้านก็เห็นได้ เมื่อกี้ขุ่นมัว ตอนนี้หายแล้ว มันเอาแน่เอานอนไม่ได้

    บางทีนอนอยู่ก็มี ตื่นเช้าเห็นก็มี หลับฝันอยู่ก็มี ก่อนพิมพ์ ขณะพิมพ์ หลังพิมพ์ มีหมด แล้วแต่ ถามว่าอยู่ที่ไหน ดังนั้นต้องบอกว่าอยู่ที่ความรู้สึกตัว บางทีรู้ที่อารมณ์ รู้ที่เวทนา แน่นตึง ที่ลมหายใจ โล่ง/ไม่โล่ง สมองโล่งเย็นๆ ก็มี แล้วแต่สติจะไปจับอาการตรงไหนได้ แล้วอารมณ์มีไหมเป็นอย่างไร แล้วหลงช่วยมันปรุงต่อมีไหมอย่างไร เป็นต้น มีแต่อาการ อาการหลงสำคัญเป็นตนก็อาการ อาการทั้งนั้นครับ

    แล้วทำไปทำมามันก็ฟ้องอยู่ในตัวนั่นละว่ามันไม่เที่ยง ยึดไปก็หายเกลี้ยง หายหมดอยู่ดี ก็ดูมันไป มันระลึกอะไรได้ก็ดูมันไป อาบน้ำน้ำเย็น มันก็วิ่งไปรู้อารมณ์เอง ใจเป็นยังไง ความคิดแวบๆ มา ทำอะไรกระเทือนอะไรบ้าง รู้เห็นในความเป็นไปของอาการไปเรื่อย จบที่ไหนก็ที่นั่นแหละครับ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้

    เล่าละเอียดก็เฝือเปล่าๆ น่ะ
     
  16. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ยังไม่รู้เช่นเห็นชาติ หรือ รู้ทุกข์รู้โทษ จริงๆ แต่ที่รู้แน่ คือ รู้แล้วไม่วาง ไม่จบที่รู้ มันทุกข์ทุกทีสิน่า
    ก็เลยเลิกให้ค่า กับสิ่งที่รู้ แต่ก็นั้นและ สิ่งที่ไม่รู้ยังมี ก็ต้องพยายามกันต่อไปครับ
     
  17. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    คุณตอบมานี่นะครับใช่เลย..คุณติดอยู่ตรงนี้..ไม่ชัดเจนในการทรงความรู้สึก..(สติ-สมาธิเกิดแล้ว) ดังข้อความนี้ของคุณ

    :p.."อยู่กับความรู้สึกตัวครับ เพราะว่าไม่มีท่า แล้วแต่ท่าว่าทำอะไรอยู่ตอนนั้น ทำการทำงานบ้านก็เห็นได้ เมื่อกี้ขุ่นมัว ตอนนี้หายแล้ว มันเอาแน่เอานอนไม่ได้.." ตรงนี้แหละครับ โป๊ะเช๊ะเลย เหตุใดคุณจึงวนเวียนอยู่ตรงนี้ ลองอ่านนะครับ

    :p อ่านตรงนี้ดีๆนะครับ..สติ-สมาธิ คุณอ่อนไปนิด การติดอยู่ที่ความรู้สึกที่คุณว่ามานี่ใช่เลยครับ คุณจะรู้สึกว่า จิตคุณจะแยกเป็นสอง-(ด้วยความไวในการเกิด-ดับของจิต-ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสอง-ในบางครั้ง)ใช่ไหมครับ จิตที่หนึ่ง จะทรงตัวอยู่กับความรู้สึกที่กายแนบแน่นพอสมควร เฉย หนักแน่น (หรือคุณจับความรู้สึกอะไรไว้)
    ..จิตที่สอง ของคุณพยายามดิ้นรนตามธรรมชาติของมัน เพื่อส่งออกไปรับอารมณ์ภายนอกในชีวิตประวัน โดยผ่านอายตนะทั้ง6 ออกไปผัสสะ วงจรปฏิจจะฯลเกิด ซึ่งเป็นการดำรงค์ชีวิต-การทำงานของเราตามปกติ-หากคุณยังลืมตาอยู่..ในแต่ละวัน
    และมันก็ส่งออกได้ตลอดเวลาซะด้วย รวดเร็วมาก ครั้งละ เร็วๆนานๆตามแต่คุณจะมีสติกล้าแข็ง ห้ามไว้-ดึงจิตไว้-ไม่ให้ส่งออก หรือดึงจิตกลับมาที่ฐานเดิมได้ไวขนาดไหน หากจิตส่งออกไปแล้ว (ละนันทิ)
    :p:mad: สรุป หากจิตตวแรก (สมมุติ) ที่ทรงความรู้สึกอยู่ภายในนั้นมีกำลังมากกว่า จิตตัวที่พยายามดิ้นรนออกไปเสพอารมณ์ข้างนอก คุณจะเริ่มเห็นอาการนี้ เพราะสติคุณจะแกร่งมากขึ้นๆๆกว่าการส่งออก เมื่อใด คุณจะเริ่มทรงสติปัฏฐานสี่ ไปในตัวได้เมื่อนั้น
    จิตที่ทรงอยู่ภายใน ตรงความรู้สึก..ที่คุณว่ามานี่ หากนำมาพิจราณาธรรม แทน"การกำหนดรู้อยู่เฉยๆ หรือพิจราณาสติปัฏฐานสี่ จิตคุณก็จะมีกำลังขึ้นเรื่อยๆครับ มากขึ้น ๆๆๆ..

    :eek::oops::mad:คุณต้องปลีกวิเวกเท่านั้นจึงจะสามารถทรงสติปัฏฐานสี่ ได้บริบูรณ์ครับ หากยังอยู่ในทางโลกไม่มีทางเลย-อายตนะ6 จิตที่ดิ้นรนตามธรรมชาติในทุกวินาทีที่ลืมตาตื่น มันจะแย่งสติคุณทุกวัน-ทุกวัน-ทุกนาที-วินาที-กำลังจิตจะอ่อนลงๆๆๆจนกลับมาเริ่มต้นใหม่ เพื่อเพิ่มสมาธิจิตของคุณอีก เห็นไหมครับ อำนาจแห่งการคลุกคลีทางโลก-นี่คือการฝึกแล้ววนเวียนอยู่ตรงนี้จนตายเพราะกำลังจิตถูกใช้ทุกวินาทีที่ลืมตาตื่นมาครับ หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้าง สาะธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2017
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    โพชฌงค์บริบูรณ์ ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

    ภิกษุ ทั้งหลาย. ! โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว
    ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า จึงจะทำวิชชาและวิมุตติให้
    บริบูรณ์ได้ ?

    ภิกษุ ทั้งหลาย.! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
    อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
    ย่อมเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
    อันอาศัยวิราคะ (ความจางคลาย) อันอาศัยนิโรธ (ความดับ)
    อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ (ความสละ, ความปล่อย);
    ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
    อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
    ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
    อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
    ย่อมเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
    อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
    ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
    อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
    ย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก
    อันอาศัยวิราคะ อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
    ภิกษุ ทั้งหลาย. ! โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว
    ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้
    บริบูรณ์ได้, ดังนี้.
    ปฐมภิกขุสูตร มหาวาร.
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    การพ้น อายตนะ6 นั้น ปี้เกิดจะต้องหา นามกาย ให้เจอ

    ซึ่งก็จะ อาศัย ปิติที่เกิดดับ แทงตลอดไปที่ อุเบกขาเกิดดับ
    จะพอเห็น รำไร รำไร ถึง "นามกาย"

    เวลาที่ นักภาวนา ยก "นามกาย" ขึ้นมาได้ จะใช้ชีวิตกระทบ
    โลกปรกติทุกอย่าง ด้วย ภูมิจิตมนุษย์ปรกติ แต่ นามกายนั้น
    จะสัมผัสกับ ปิติโพชฌงค์ อยู่ไม่ห่าง ( ถ้ามีได้บ่อยๆ จะเริ่ม
    ยกกล่าวว่า เกิด ปิติสัมโพชฌงค์ )

    ตรงนี้จะต้อง อาศัย ศิลปะ หมั่นประกอบ พอสมควร เพราะถ้า
    จงใจนิดเดียว จนลมหายใจเกิดแน่น แข็ง ตึง เย็น ร้อน อ่อน
    แข็ง "นามกาย"จะหาย จะเกิด กามสัญญากำเริบ(ซึ่ง จะเหมือน
    ว่า จิตมันเสพปิติ5อยู่) แต่จริงๆ จิตไม่ถึงฐาน และแป๊ปเดียว
    กิเลสจะลากเอาไปกิน น่ากลัวสยดสยองมัว์กๆ ( เพราะ กิเลส
    ที่มาจับเอาตอนจะ ละเลียดค่าย โพชฌงค์ จะไม่ใช่ กิเลสธรรมดา )


    ถ้า หา นามกาย เจอ การปรารภ จะต้อง ปลีกวิเวกแบบเข้าป่า จะไม่เกิด
    [ ทั้งนี้เพราะ ปี้เกิด เป็น ฆารวาส การปรารภความเพียรแบบ
    ภิกษุ หรือ อาการปฏิภาณเป็นภิกษุ จะถือว่า ผิดศีล!!! ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2017
  20. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    อาจารย์..ผมก็ติดอยู่ตรงนี้ เหมือนท่าน TBOON นี่แหละเพียงแต่กำลังสมาธิเราต่างกันหน่อย..และผมทิ้ง-ไม่ให้ความสำคัญกับสมาธิชั้นลึกจนเกินไปนักทำให้พิจราณาไม่ได้ อีกทั้งเพิ่งมาอ่านเจอ พุทธวจน นี่แหละครับ จึงทำให้แทงตลอดในสภาวะที่เกิดกับตนเองได้เข้าใจพอสมควรครับ จึงบรรยายออกมาได้ ถุกผิด ก็แลกเปี่ยนกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...