กายหยาบ vs กายทิพย์(ผี เทวดวา พรม อื่นๆ) VS กับจิตที่นิพพาน ต่างกันอย่างไรครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somkiatfem, 20 ตุลาคม 2016.

  1. nuchi22

    nuchi22 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +8
    :cool:
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    กรณีที่หลวงพ่อท่านเล่า ที่ว่าไปพักที่สวรรค์นั้น
    ที่ไม่ใช่ชั้นดุสิต(ชั้นของเหล่าผู้เป็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายอยู่)ครับ
    ที่เชื่อว่า เมื่อมีผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพอีกท่านหนึ่งเสด็ดมาโปรดแล้ว
    ดวงจิตเหล่านั้นจะเข้านิพพานได้ครับ
    ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีหลายท่านที่ปฏิบัติตน
    เพื่อที่จะไปรอ ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพท่านต่อไปอยู่ครับ
    และการที่ดวงจิตเหล่านั้นยังไม่นิพพาน
    เพราะว่ายังเหลือเชื้อที่ทำให้เข้านิพพานไม่ได้อีกนิดเดียว
    เคยมีท่านหนึ่งที่มีบารมีมาก เล่าให้ฟังว่า
    ตอนที่ท่านไปโปรดดวงจิตเหล่านั้น
    เพียงแต่ให้ดวงจิตเหล่านั้นทิ้งความพยายาม
    ดวงจิตหลายดวงก็นิพพานได้ครับ
    ปล.ฟังหูไว้หูนะครับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    คุณ nilakarn ไปได้อะไรหรือไปทำอะไร
    หรือผ่านเกณฑ์อะไรมา ช่วงนี้ถึงได้มี
    กำลังหนุนส่งเรื่องปัญญาทางธรรม
    จากข้างบนขึ้นมาได้ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ผ่านมา

    ที่พูดไม่ใช่เพราะว่า คุณมาเห็นด้วยกับข้อความ
    สุดท้ายผมนะ.
    .ถ้าเล่าได้ก็เล่าครับ
    ถ้าเล่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ
    เพื่อว่าวิธีที่คุณผ่านมาจะมีประโยชน์
    กับสมาธิท่านอื่นๆบ้าง
    เพราะร่างกายมันพลิกเอาส่วนสัมผัสภายในตัวเอง
    บวกกับเมตตาภายในเป็นฐานใน
    การไปร่วมกับกระแสครูบาร์อาจารย์ข้างบนอยู่ครับ

    ปล ฟังหูไว้หูนะครับ ถ้าไม่มีอะไรเลยก็ขออภัยนะครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010

    ขอบคุณ คุณ nilakarn ที่เล่าประสบการณ์ให้ฟังนะครับ
    แต่ส่วนตัวคาดว่าน่าจะเพราะการฟังธรรมจากท่าน อ. ที่แนะนำมามากกว่าครับ
    เพราะว่าพึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเร็วนี้เอง..
    ผมให้คุณ nilakarn เต็มที่ย้อนไปไม่เกิน ๑ เดือนครับ
    ยังไงถ้านึกไม่ออกก็ไม่เป็นไรนะครับ
    และมีแต่ตัวเรากับพระพุทธเจ้าเท่านั้นหละครับ
    ที่จะบอกได้ว่าเราระดับไหนแล้วเท่านั้นครับ

    เพราะกระแสปัญญาทางธรรมมันเป็นของคุณแค่ส่วนเดียว
    จากสี่ส่วน(พูดเปรียบให้ฟังนะครับ)
    แต่แค่ส่วนเดียวที่พูดไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ
    บางคนทั้งชาติยังไม่มีเลยก็มีนะครับ
    เด่วจะเข้าใจผิดหาว่ากระผมไปดูถูกคุณนะครับ

    เรื่องอื่นๆจะเล่าให้ฟังอย่างนี้นะครับ
    โตรตภูอะไรนั้น ถ้าจะเริ่มเดินปัญญาได้บ้าง(ย้ำว่าแค่เริ่มนะครับ)
    มันเข้าถึงได้อยู่แล้วเป็นปกติครับไม่ใช่เรื่องที่สูงส่งอะไรครับ
    เพียงแค่ตอนนั้นจิตมันตัดร่างกายให้ขาดชั่วขณะนั้น
    จิตก็เข้าโตรตภูได้แล้วครับ ส่วนมากอย่างน้อย
    ก็จะเจอพระปัจจเจกพุทธเจ้าได้ไม่องค์ใดก็องค์หนึ่ง
    บริเวณที่สว่างแต่ไม่มีพระอาทิตย์ครับ...
    อารมย์แบบนี้ ต่อให้ขี้เหล้าเมายา
    ถ้าจิตเข้าเดินปัญญาด้วยตัวเองจากสภาพแวดล้อมของเค้า
    และวันนั้นจิตเค้าเบื่อร่างกายจริงๆ เค้าก็สามารถเข้าถึง
    กันทุกๆครับ ดังนั้นประเด็นนี้ไม่มีอะไร เรื่องชิวๆมาก
    ที่พูดอย่างนี้ เกรงว่าใครที่เผลอเข้าถึงได้
    จะหลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึงนั้นเองครับ

    ส่วนปฏิสัมภิทาญาน อย่างน้อยต้องมีสมาบัด ๘ เป็นฐานครับ
    และการปฏิบัตินะครับ สมาบัติแปด จริงๆมันก็คือ รูปฌาน ๔ กับ
    อรูปฌานอีก ๔ นั่นหละครับ
    และการขึ้นต้น สมาบัติแปดนั้น
    เราแยกก่อนเป็นสมาบัติขั้นต้นคือ สมาบัติ ๔ ครับ
    หรือรูปฌาน ๔ ซึ่งท่านผู้ใดก็ตามสามารถขึ้นด้วย
    กรรมฐานอะไรก็ตามที่ตนชอบ อาทิ อาปาฯ อนุสติ ๑๐ อหาเรฯ
    พรหมวิหาร ๔ ได้หมดครับ เพราะหลักสำคัญของสมาบัติ ๔
    สำคัญคือ การตัดอารมย์ฟุ้งซ่าน ซึ่งนักปฏิบัติส่วนมากจะติดกัน
    อยู่ในระดับฌานที่ ๑ เท่านั้นครับ ซึ่งมันเลยต้องอาศัยการวิปัสสนา
    และเดินปัญญาร่วมด้วยเพื่อให้ผ่านตรงนี้ไปให้ได้
    ถ้าผ่านได้ จะมีโอกาสขึ้นสมาบัติ ๘ ได้ครับ
    เพราะว่า มันใช้กำลังในระดับกำลังฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๔
    เหมือนกันนั่นเองครับ
    แต่ถ้าเราจะต่อยอดจาก สมาบัติ ๔ ไปยังสมาบัติ ๘
    ควรมาขึ้นต่อด้วยกสิณครับ
    ซึ่งเฉพาะท่านที่มีโทสะจริตเท่านั้น ถึงไปขึ้นด้วยกสิณสีครับ
    ไม่ว่า ขาว แดง เหลือง เขียวได้หมด สำหรับโทสะจริตนะครับ
    ส่วนท่านที่ไม่ใช่ สามารถใช้กสิณกลาง หรือกสิณกองที่เหลือ
    ได้หมดครับ เพราะเป็นกสิณกลาง ซึ่งใครก็ตามที่ไม่มีจริต
    ทางโทสะจริตสามารถฝึกกันได้ทุกคนครับ

    และกสิณไม่ใช่ไม่นั่งมองจนนำ้หูนำตาไหลนะครับ
    อย่างนี้ถือว่าเก่งเลยครู เพราะพระพุทธท่านไม่ได้สอนครับ
    ท่านให้ลืมตามองแล้วจำไว้แล้วหลับตานึกภาพกสิณ
    พอหายก็ให้ลืมตาดูใหม่ แล้วจำไว้อีก
    พอจำได้ดีแล้วหลับตาอีก
    ส่วนท่าน จะฝึกแบบลืมตาหรือหลับตาก็ได้
    ส่วนท่านที่ใช้เวลาหลายเดือนกว่า จะทำได้
    แสดงว่า กำลังใจเราอ่อน เรียกว่าเราขาดฉันทะ ความพอใจในการเพ่งภาพ
    และขาดวิริยะคือไม่มุ่งเน้นภาพจริงจัง หรือขี้เกียจ
    ขาดจิตตะไม่จดจ่อ
    ขาดวิมังสา การพิจารณาว่าทำไมภาพไม่ได้ เช่น มาดูกาย ดูกิริยา
    ดูท่าทางต่างๆเราว่าเป็นอย่างไรนั่นเองครับ ท่าไหนจำได้ดี
    หลังค่อมไปไหม หลังก้มไปไหม หลังตรงพอดีไหม
    ให้ใช้ท่านั้นท่ามันทำแล้วผลออกมาดีเป็นต้น
    ในช่วงแรกๆนะครับ

    และอย่าคิดว่ามันจะได้ง่ายๆ แม้มันจะดูเหมือนง่ายเพราะ
    เป็นกรรมฐานๆหยาบ แต่มันยากที่สุดคือตอนเริ่มต้นครับ
    หลักการจำไว้ว่า ขั้นพื้นฐานสมาบัติ ๔ หรือรูปฌาน ๔
    ขึ้นฐานขึ้นต้นด้วยกรรมฐานอะไรก็ได้ครับ
    แต่จะไปสมาบัติ ๘ หรืออรูปฌานต้องขึ้นด้วยกสิณเท่านั้นนะครับ
    ยกเว้นว่า ไม่สนใจอรูปจะขึ้นด้วยกรรมฐานอะไรก็ได้ครับ
    เพราะพระท่านว่า สมาบัติ ๔ ก็สามารถบรรลุมรรคผลได้แล้วครับ
    โดยปกติแล้ว เรื่องสมาบัติ ๔ ไม่ควรเกิน ๓ วันครับ
    บางคนมีกำลังใจมาก ทำแป๊บเดียวก็ได้มีถมเถไปครับ
    ขึ้นอยู่กับการทรงอารมย์และการระมัดระวังกายครับ


    ส่วนท่านที่ทำแล้วได้ดี คือว่าอยู่ท่าไหนอารมย์ไหนจะนึก
    ถึงภาพได้ตลอดประมานนี้ครับ


    พอชำนาญจริงๆแล้วท่านถึงจะไปจะไป
    ต่อปฏิสัมภิทาญานได้
    อย่างน้อยก็ต้องขึ้นรูปได้ก่อนหรือเอากสิณสิบให้ได้ก่อน
    ส่วนจะเล่นกองไหนให้คล่องก็ได้สำหรับกสิณกลาง
    ส่วนกสิณสีสำหรับท่านที่มีโทสะจริตครับ..

    ส่วนสภาวะจิตอนาคามี คิดว่าไม่น่าใช่ครับ เพราะท่านที่เป็น
    อนาคามี โดยวิสัยปกติ จิตแทบจะไม่มีอะไรมาเกาะได้
    แทบทั้งวัน เป็นรองแค่พระอรหันต์เท่านั้นครับ
    และที่สำคัญก็คือ ความสามารถทางจิตภายในระดับที่สูงมากครับ
    หรือแม้กระทั่งความสามารถทางจิตภายนอกก็จะสูงเป็นปกติครับ...
    เรียกๆง่ายๆว่า เหลือแต่เหาะได้ กับ หายตัวได้ที่ยังทำไม่ได้เท่านั้นครับ


    ปล ความเห็นส่วนตัวนะครับ ที่พูดๆจากที่สัมผัสกับบุคคลเหล่านั้นมา
    หลายๆท่านตังแต่สมัยชอบเที่ยวชอบเล่น
    เหมือนวัยรุ่นทั่วๆไปที่ไม่ได้สนใจสมาธิอะไรแล้วครับ..
    ไม่มีท่านใดที่มีความสามารถในระดับพื้นๆ
    หรือธรรมดาซักคนเลยครับ อยู่ที่ว่าจะใช้ด้านไหน
    แค่นั้นเองครับ ถ้าเน้นด้านปัญญาก็จะเป็นอีกอย่าง
    แต่เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไม่มีเครื่องรู้พิเศษครับ
    มีแต่ความสามารถค่อนข้างสูงและลึกทุกคนครับ..
    การอธิบายธรรมก็แตกฉานแยบคลาย ร่วมทั้ง
    เรื่องอื่นๆก็ละเอียดเช่นกันครับ
    เรื่องที่ใครบอกว่า ตัวเองเป็นระดับโน้นนี่นั้น
    ส่วนตัวจะเฉยๆครับ พวกนี้มันดูง่ายไม่กี่วินาทีก็รู้แล้วครับ
    ถ้าใครก็ตามที่สามารถดูได้นะครับ
    สังเกตุความสามารถในการทำได้จริง
    ความสามารถในการอธิบายธรรมก็พอทราบแล้วครับ
    ถ้าไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเองนะครับ
    หรือถ้าโม้มากๆก็ท้าเรื่องความสามารถดู
    ถ้าให้แสดงแค่นี้ก็รู้แล้วครับ
    ประมาณนี้หละครับ
    ที่พูดคือ เล่าสู่กันฟังนะครับ
    จริงๆแล้ว สมาบัติ ๘ ไปปฏิสัมภิทาญาน ง่ายกว่า
    วิชชา ๓ กับอภิญญา ๖ อีกครับ เพราะว่า วิชชา ๓
    กับอภิญญา ๖ ต้องเล่นกันหลายท่า เรียกว่ามันต้องฟิตพอตัวครับ

    แต่ถ้าจะไปสมาบัติ ๘ ไปปฏิสัมภิทาญานนั้น
    จำไว้ว่าต้องขึ้นด้วยกสิณนะครับ เพราะมันเป็นฐาน
    ของอรูปฌาน สมาบัติที่เหลือครับ
    สิ่งสำคัญที่เราจะต้องมี ก็คือ อิทธิบาท ๔ ครับ
    แต่ที่ฆารวาสอย่างเราๆจะแพ้พระสงฆ์ทั้งหลาย
    ก็คือ การเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกครับ
    ที่ทำให้เรามักหาฆารวาสที่สำเร็จได้ยากนั่นเองครับ
    และที่ต้องจำอีกอย่าง ในระหว่างที่ฝึกกสิณนั้น
    ห้ามไปเล่นวิชา ๓ กับเรื่องอภิญญาต่างๆนะครับ
    ส่วนมันจะเกิดช่างมันแต่อย่าไปยึด และไปฟุ้งกันมันครับ
    และไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้นกับทางกายทุกเรื่อง
    อย่าไปสนใจทุกๆกรณีครับ

    ปล สมัยพุทธกาลพระพุทธฯท่านสอนใครสอนครั้งเดียวนะครับ
    ไม่มีทวนย้อน ทวนซ้ำ คือข้อปฏิบัติที่เราควรจะมีด้วยครับ
     
  5. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    อยากจะฝึกเดินปัญญาครับ ต้องทำไงบ้างครับ
     
  6. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    นรกมีไว้สำหรับสัตว์ผู้หลงผิด สวรรค์มีไว้สำหรับสัตว์หรืบุคคลมองเห็นความผิดแล้วแก้ไขปรับปรุง โลกมีไว้ให้เรียนรู้สิ่งดีงามและสิ่งผิดพลาดเมื่อหลุดสู่สิ่งใดก็เห็นสิ่งนั้นได้แต่ถ้าอยู่เหนือทั้งหมดได้ก็เห็นได้ทั้งสองสิ่ง ดูจะสมเหตุสมผลมากกว่า...การละเมอ...บางทีก็ได้ตังค์นะแต่ว่า...หรือบางทีก็มีคนนับถือบูชา...แต่ก็นั่นแหละนะว่าจะอยู่ฝ่ายไหน...อาจจะจริงหรืออาจจะไม่จริงก็ได้ที่พระอริยะบุคคลเห็นได้ทุกสิ่ง...ต่างกันเป็นอย่างมาก
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    แยกรูปแยกนามให้ได้ก่อนครับ
    ถึงจะเริ่มเดินปัญญาได้จริง ถ้าแยกไม่ได้
    อริยมรรค ๘ เรื่องความเห็นชอบ
    จะยังไม้เปิดทางให้เราครับ
    มันจะเป็นเพียงปัญญาสมมุติ
    แม้แต่ให้รู้ระดับโลก ก็เป็นปัญญาสมมุติ
    ไม่ใช่ปัญญาทางธรรมที่ทำให้จิต
    ลด ละ คลาย กิเลสได้จริงครับ
     
  8. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    แยกรูปแยกนามอาการมันเป็นยังไงครับ แล้วต้องทำยังไงบ้างครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อือครับ ผมไล่ดูแนววิถีตามรูปแบบเฉพาะบุคคลแล้วหละ
    สายที่คุณเรียกว่า สัทธรรมปฏิรูป อะไรนั่น
    เป็นอย่างที่คุณ Nilakarn ว่ามานั่นหละครับ
    คือเอาสัมผัสภายในที่มี ไปหนุนรวมกับพลังงาน
    แล้วผลักขึ้นไปส่งเสริมทางด้านปัญญาทางธรรมแทน
    แต่ส่วนตัวว่ามันดูขาดเมตตาไปเล็กน้อย
    เพราะจิตมันตัดกระแสตรงนี้ออกไป
    พูดในมุมของผมนะครับ

    เอาเป็นว่าพอเข้าใจอยู่ครับ
    เพราะมันก็หนุนส่งให้เกิดมรรคผลได้เช่นกันครับ
    ซึ่งจะไม่ตรงกับที่ส่วนตัวชอบเท่าไรครับ
    เพราะต้องใช้งานทางจิตเพื่อสงเคราะห์บุคคล
    ตามวาระเหมือนที่ผ่านๆมาอยู่ครับ
    ดังนั้นคุณก็พูดถูกอีกว่า ผมไม่ชอบ
    และก็ไม่ชอบจริงๆ แต่ว่าเฉยๆนะครับ
    ส่วนใครจะชอบแบบนี้ก็สุดแล้วแต่ครับ

    แต่ถ้าจะขออนุญาตก้าวล่วงหน่อยนะครับ
    ในฐานะที่มองจากมุมภายนอกนะครับ
    ยังไงๆ แม้ว่ามาทางสายนี้จะมีปัญญาทางธรรม
    เนื่องจากเอาสัมผัสภายในและพลังงานมาหนุนส่ง
    เรื่องนี้ ยังไงๆ ตอนท้ายๆก็ต้องทิ้งสัมผัสภายในต่างๆ
    อยู่ดีถึงจะมีสิทธิ์พ้นได้ครับ..
    เพราะถ้าไม่ทิ้งแม้ว่าปัญญาทางธรรมมาก
    แต่ว่าจิตมันจะยังเกิดได้อยู่ จากสัมผัสภายใน
    ที่มันคุ้นเคยนั่นหละครับ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องระวังให้มากๆนะครับ
    เพราะเด่วมันจะกลายเป็นความเคยชินอย่างไม่รู้ตัว
    เด่วท้ายๆแล้วอาจจะไม่พ้นได้ เพราะลืมทิ้งเรื่องสัมผัสต่างๆ
    อย่างคาดไม่ถึงนั้นเองครับ
    ปล.ประมาณนี้หละครับ พอเข้าใจเจตนาที่สื่อนะครับ (^_^)

     

แชร์หน้านี้

Loading...