ถ้าคุณคิดจะฝึกเตโช(เพ่งไฟ)และ อาโปกสิณ(เพ่งน้ำ)กสิณต้องเตรียมอะไรบ้างจ้า ?

({)

 

เข้ามานี่
ไม่ได้ด่านะคะ
เพียงแต่แต่มาเล่าให้ฟัง
หากเห็นตามความเป็นจริง
กิฉันยิ่งจะโมทนาด้วยคะ

 

จะกลัว
จะพะวงไปใย
หากไม่ได้ทำนะเจ้าคะ
ใครร้อนตัวนี่
ทำหรือเปล่าคะ
ใจร่มๆนะคะ
คนอ่านมีมาก
คนเห็นตามจริงนั้นมีน้อยย
นะเจ้าคะ

 

ดิฉันก็มาโมทนาให้ท่านได้เห็นตามความเป็นจริง
นะเจ้าคะ
ดิฉันเป็นแต่เพียงผู้ต่ำต้อย
ศักดิศรีไม่มี
แต่เห็นคุณค่าของศิลนั้นมหาศาลนะเจ้าคะ

 

({)(u)(})

 

บอกตรงนี้นะคะ
ไม่ได้เข้ามาด่าพระคะ
เข้ามาด่าคนที่ใช้กสินทำชั่วนะคะ
หลวงพี่

ทั้งหมดที่ดิฉันกล่าวล้วนเรื่องจริง
จึงได้มาเรียนให้ทราบ
และได้รู้คะหลวงพี่

 

ขอให้หลวงพี่
เห็นความจริง
ในสิ่งที่ดิฉันพูดนะคะ
โมทนาคะ

 

เมื่อสอนจนเป็นกันแล้ว
จะดีมากหากหลวงพี่จะติดตามผล
เหมือนเงาตามตัว
จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งเลยนะคะ
หลวงพี่
โมทนาคะ

 

ทำอะไรคะ

 

หลวงพี่ท่านนี้ แบบทั่วๆไปนะครับ
แม้ว่าส่วนตัวจะไม่เคยพบเจอท่านตัวเป็นๆ
แต่ได้รู้จักชื่อตั้งแต่ท่านเข้ามาโพสครั้งแรกๆในห้องผีผี- คลิปผี
เมื่อหลายปีก่อนนานมาแล้ว
ตั้งแต่ท่านมาแบบยังไม่ได้แสดงสถานะว่าตนเป็นนักบวชครับ..
จนได้ pm ไปบอกทางผู้ดูแลให้ว่าท่านเป็นนักบวช
เพราะท่านไม่ได้มีตัวตนอะไรที่จะต้องไปอ้างและยกตัวเองอะไร.
เมื่อก่อนท่านนอกจากท่านเข้ามาเล่าประสบการณ์ส่วนตนแล้ว
ภายหลังจากที่ท่านเล่าประสบการณ์ของท่านแล้วนั้น
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นประจำในทุกๆครั้งก็คือ ท่านจะสอดแทรก
เรื่องเกี่ยวกับปัญญาทางธรรม ซึ่งเป็นหลักสำคัญทางพุทธศาสนา
เกือบทุกครั้งภายหลังที่ท่านได้เล่าประสบการณ์ ซึ่งส่วนตัวชอบไป
เฮฮาขำๆ ชอบไปอ่านประสบการณ์ของสมาชิกในห้องผีผี เช่นกัน
และก็มักจะอ่านประสบการณ์ที่ หลวงพี่ท่านนี้ได้มาถ่ายทอด
เพราะว่า น้อยบุคคลนักที่เล่าแล้วจะสามารถสอดแทรก
เรื่องปัญญาทางธรรมได้อย่างหลวงพี่ ซึ่งถือว่ามีความชัดเจน
ในระดับที่ดี จนเป็นยอมรับได้เป็นปกติครับ...

มาในห้อง อภิญญา - สมาธิ เป็นห้องที่ผู้ที่มาสอนแยกได้เป็น
๒ ประเภทหลักๆ คือ ๑.อ่านตำรามาสอน รับรู้จากการฟัง การได้ยิน
แล้วใช้หลักในการคิดวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ตามภูมิธรรมของตน
แล้วก็มาแลกเปลี่ยนแนวความคิดซึ่งกันและกัน...ซึ่งบุคคลทั่วไปแค่อ่าน
ก็จะทราบได้ว่า เป็นผู้ที่มีตำราในการนำทางแนวการแนะนำครับ
๒.บุคคลที่เชื่อได้ว่า ปฏิบัติได้จริง เข้าถึงได้จริง เพราะสภาวะต่างๆในการปฏิบัติ
ในระหว่างทางนั้น มันจะไม่มีสอนกันในตำรา ต้องใช้ประสบการณ์ต่างๆ
ที่ได้เคยผ่านมา ได้ประสบมา มาแนะนำ บุคคลต่างๆที่กำลังปฏิบัติ
ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติอยู่นั้น จะทราบได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นสภาวะในการปฏิบัติ
ที่ตนประสบอยู่ และเหมือนเปนแนวทางให้ก้าวผ่านสภาวะช่วงนั้นๆไปได้ครับ...

แต่ก็มีบ้างประเภท บ้างกรณี ที่เข้ามาไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรเลยก็มีครับ
มีแต่เข้ามาตำหนิ เข้ามาติเตียน ยึดมั่นถือมั่นเอาความคิดตนเองเป็นใหญ่
ทั้งๆที่ตนเองยังปฏิบัติไม่ได้ ไม่มีแม้แต่คำแนะนำในเชิงสร้างสรรค์ ที่ให้
สมาธิอื่นๆอ่านแล้วเกิดประโยชน์ แก่ตนเอง...

เรียกว่า ตนเองจะทำพระแสงง้าวอะไร หรือโดนพระแสงดาษอะไรก็เข้า
มาบ่น มาพูด ไปเรื่อยเปื่อย เหมือนคนวิกลจริต กิริยาคล้ายคนบ้า
พูดจาหนักไปทางไร้สาระไปวัน ผู้ชายเห็นเป็น ญ ไม่ได้มาแนะนำอย่าง
รวดเร็วป่านสายฟ้าแล๊บ ผู้ หญิง บางประเภท ก็มาโพส เชิงอยากจะมีสามี
อยากจะมีปั๊ว ทั้งๆที่ห้องนี้ มันห้องอภิญญา สมาธิ ที่ควรจะมาโพสเฉพาะ
ในเรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับ การปฏิบัติทั้งหลาย ไม่ใช่มาโพสต์ คอยติ คอยวิจารณ์
คอยด่า คอยว่า จนบางที คนอ่านยังไม่รู้เลย ว่า โอ้วววว นางแตงกวาเหี่ยว
พูดกับใครวะ บางทีเหมือนพูดอยู่คนเดียว ทำเอาหลายกระทู้ ที่เนื้อหาดีๆ
แทบจะต้องได้ นำพวกหรีดมาวางไว้อาลัยให้กระทู้​​
พิมพ์ อยู่นั้นหละ หลายๆคำตอบต่อเนื่องกัน มาอ่านดู แทบไม่มีเนื้อหา
อะไรที่มันตรงกับกระทู้เลย เอาไปเอามามีแต่เรื่องตัวเอง..
ก็ยังแปลกใจว่า ทำไมไม่ไปสร้างเวบ ไม่ไปตั้งกระทู้
ให้ห้องอื่นๆซะ จะได้ไม่เสียบรรยากาศในการแลกเปลี่ยน
ซักถามของสมาชิก...

และบุคคลที่ฝึกกสิณในระดับใช้งานได้แล้วนั้น อย่างหลวงพี่
ถ้าตาไม่บอด หรือจิตใจไม่มืดดำมัว เทาๆแล้ว จะพบว่า
ท่านเล่าไปแล้ว ว่าท่านนำไปใช้งานจนก่อเกิดประโยชน์
ต่อบุคคลอื่นๆมามากมายตั้งเท่าไร แถมยังไม่เคยคิดค่าตอบแทน
อะไรและก็ยังสอนธรรมอีก....

มันก็ยังมี แม่นาง ที่สำเร็จวิชามโนมนึกทึกทักเดาสญาน
ที่เรียกอย่างนี้เพราะมัน ใช้ทิพย์สญานอะไร ร้อยละร้อยจะผิดหมด
มีเรื่องเดียวที่ถูกคือ หูมันตึง กับหนังมันเหี่ยว อันนี้ประกันได้
เข้ามาสะเร่อ
ไม่ดูหน้าดูหลัง มาเตือนเรื่อง ศีล หลวงพี่อีก...ถามจริงๆมันบ้าจริงๆ
หรือมันบ้าไม่รู้ตัว มันมีหรือ บุคคลไม่มีศีลธรรมแล้วจะฝึกกรรมฐาน
อย่างกสิณได้สำเร็จ และที่สำคัญเป็นระดับใช้งานแบบไม่หวังผลตอบ
แทนอย่างหลวงพี่ได้...
และ แม่นางมโนทึกทักเดาสญานนี้ มาถึงก็จะมีแต่เรื่อง โดนทำลาย
โดนรังแก หนัก มโนว่าขึ้นไปซั่มมา บนวิมานหน้าฝาอะไรของมัน
คนโน้นนี่นั้นเลวหมด มีมันดีอยู่คนเดียว มันทำบุญมาเยอะ
มันโม้ว่ามันเก่งสมาธิมาก แต่มันไปโดนผีแทรกมา
มันโม้เรื่องกำลังจิต แต่มันเข้าไปอ่านกระทู้โน้นนี่นั่น
แล้วมันมีอาการ มันเคยไปตั้งกระทู้แช่งคนโน้นนี่นัน
ผลสุดท้าย มีตัวมันเป็น และเพี้ยนอยู่คนเดียว
มันเป็นถึง ผู้สนับสนุนพิเศษ น่าจะคนเดียวในเวบนี้
ที่มาประกาศขอตังค์ที่มันเคยบริจาคช่วยเวบคืน..
และเป็นสมาชิกที่เคยเอารูปหมาผสมพันธ์กันมาเป็นรูปแทนตัว

สรุปว่า ถ้าเข้ามาแล้วไม่ได้พูดอะไรให้มีประโยชน์อะไร
ก็ออกไปรักษาโรคเพี้ยน ไปรักษาอาการโดนผีแทรกให้หายซะ
ให้สังเกตุดู ใกล้ๆวันพระจะมาบ่น พอวันพระจะมาพูดว่าโดนกระทำ
โน้นนี่นั้น นี่หละมันคืออาการผีเข้า รู้ไว้ซะ
อย่าปล่อยไว้นาน เพราะถ้าถึงระดับเซลเม็ดเลือดแล้ว
จะไม่มีใครในปฐพีนี้ที่จะช่วยได้.
หรือไม่ก็สงบปากสงบคำ ไปฝึกเจริญสติมาใหม่ซะ
หรือไม่ต้องเข้าหรอกเวบพลังจิต ออกไปหาสามี
ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วๆไปซะ
รับประกันได้ว่า ถ้านางไม่อยู่ซักคน
ห้องอภิญญา สมาธิ จะสงบเรียบร้อย
และบรรยากาศน่าคุยขึ้นอีกเยอะครับ



ปล เชิญหลวงพี่ ที่เคารพ
แนะนำสมาชิกท่านอื่นๆต่อได้ครับ..(^_^)
ส่วนตัวก็รออ่านประสบการณ์
วิธีการของท่านอยู่ครับ

 

กราบขออนุญาติ หลวงพี่ เจ้าของกระทู้นะคะ
ขออนุโมทนากับหลวงพี่ด้วยนะคะ ที่ได้นำความรู้ทางการปฏิบัติมาเผยแผ่แก่ปุถุชน นับเป็นกุศลอย่างยิ่งคะ

และดิฉันก็กำลังติดตามอ่านกระทู้ของหลวงพี่อยู่คะ

โดยส่วนตัว เป็นผู้ที่มีความรู้น้อย จึงคอยผู้มีความรู้มาก มาแนะนำ และก็จะติดตามอ่านเสมอมา และก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรมากนัก เพราะตัวดิฉันไม่มีความรู้ จึงอ่านอย่างเดียว

แต่ส่วนใหญ่ หากมีผู้รู้มาแนะนำเกร็ดความรู้ ซึ่งจริงๆก็เป็นประโยชน์อย่างมากกับผู้ที่สนใจใฝ่หาความรู้ในบอร์ดนี้

แต่เสียดายคะ หลายๆกระทู้มีประโยชน์ สอนและแนะนำตอบคำถามกำลังไปได้ดี แต่กลับมีนักป่วน ที่จู่ๆก็โพสอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีปี่มีขลุ่ย โพสโดยไม่เกรงใจเจ้าของกระทู้ หรือที่เรยกว่าไร้มารยาท ทำให้ผู้ที่มาอ่านเกิดความสับสน งงงวยไปตามๆกัน

วันนี้ ดิฉันก็เลยต้องขออนุญาตแสดงความคิดเห็น เพื่อ
1.ขอร่วมโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วยคะ
2.เป็นกำลังใจให้หลวงพี่ในการเผยแผ่สิ่งดีๆ สิ่งที่มีประโยชน์แก่บุคลอื่น
3.แสดงตนว่ารอติดตามอ่านกระทู้ของหลวงพี่อยู่คะ
ขอบพระคุณคะ

 

คือถ้ามาจากสำนักลมตดกระจายนี้
ให้เก็บบูชาไว้บนหิ้ง
อย่างลงมาเอื้อนเอ่ยอะไร
ให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อน
จะเอื้อนเอ่ยอันได
ก็ลำบากลำบนชาวบ้านเขา
อยู่บนหิ้งเถอะนะ
อย่าลงมาเหยียบดินเลย
คือไม่อยากตดแบบไม่มีเหตผลอะนะ
ละอีกอย่าง
ถ้าจะให้ดี
ชาตินี้อย่าเจอกันเลยจะดีมาก
มันคนละการดำรงชีวิตกันนะ

 

รู้ได้ก็รู้ รู้ไม่ได้ก็ไม่รู้
ขออภัยนะครับ
รุนแรงไปนิดนึง

 

ขออภัยครับที่มา ตอบช้าพอดีติดสอบ ผมนึกภาพน้ำมี

อาการตัวโยกโคลงอันนี้ผมเคยลองนึกตั้งเเต่บวชเณรครับ

ยิ่งนึกประมาณว่าลอยอยู่เหนือพื้นประมาณเมตรครึ่งนี้ก็มีสภาวะครับ เเตกต่างจากนึกน้ำ

ตอน ณ ปัจจุบันถ้านึกก็มีสภาวะเช่นกันครับ เเต่ได้เเค่ขณะเดียวไม่นานมาก

ผมเคยเจอพระที่ฝึกสายกสิณ ท่านก็ให้นึกเเบบนี้ครับ เเต่ผมอ่านตำรา จนตีไม่ออกว่าอันไหนเป็นสภาวะของกสิณกันเเน่

ยังไงก็เมตตาขอคำชี้เเนะด้วยครับ อาจจะข่วยให้เข้าใจเเนวมากขึ้น

 

ไปเรียนกับหลวงพี่
เห็นจะต้องออกคอมเครื่องใหม่ให้ท่านนะ
เพราะเข้ามาแต่ละทีท่านเน้นนนนคอมพิวเตอรว่ามันจะติดไม่ติดบ้าง
หลวงพี่หายไปนี่
น่าจะคอมอยู่ร้านซ่อมนะ
คาดว่านะ

 

ถ้าจะขออนุญาตหลวงพี่พูดแทรกเกี่ยวกับเรื่องกสิณนะครับ
ที่จะขอพูดก็เพื่อว่า ผู้ฝึกจะได้ใช้เป็นแนวทางได้บ้าง
ไม่งั้นผู้ที่ฝึกจะสับสนหลงแนวทางจิตของตนเอง
เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้เกิดผลขึ้นได้ครับ....
ซึ่งในระดับการใช้งานได้จริงแล้ว
โดยเนื้อแท้การทำงานของจิตนั้น
กสิณไปเกี่ยวข้องกับอีกหลายๆเรื่อง
อย่างที่แยกจากกันไม่ได้ เช่น ไปเกี่ยวข้อง
กับอากาศ กับวิญญาณ กับความว่าง กับ
พลังงานภายนอกต่างๆ พลังงานภายในต่างๆ
บ้างก็เรียกว่า จักระ หยินหยาง ปราณ อะไรก็แล้วแต่
แต่หลักๆ เท่าที่ทราบตอนนี้จะมีแนวทางหลักๆดังนี้..
คือ ๑.กลุ่มบุคคลที่ใช้กสิณได้ผลสำเร็จ
ที่มีฐานมาจากการอฐิษฐานจิต
เพื่อขอบารมีครูบาร์อาจารย์ตนเอง
พูดง่ายๆขอกำลัง ขอบารมีนั่นหละครับ..
กลุ่มนี้ ณ ปัจจุบันนี้ ยังมีอยู่เป็นฆราวาส
อาศัยอยู่ใน กทม. ทำหน้าที่ช่วยรักษาบุคคลอยู่
เป็นลูกศิษย์สายตรงของอดีตหลวงพ่อ มีชื่อที่ จ.อุทัยธานี
ที่ใครๆก็ทราบดีเมื่อเอ่ยชื่อท่าน.กลุ่มนี้แม้ว่าแสดงให้เห็น
แบบสัมผัสกายไม่ได้ จับต้องไม่ได้ แต่ก็สามารถใช้ให้เห็นผลได้
เพราะอาศัยเครื่องรู้ภายในเป็นตัวช่วยเสริม ซึ่งเครื่องรู้ภายใน
แบบนี้เป็นพื้นฐานปกติของกลุ่มลูกศิษย์อดีตหลวงพ่อมีชื่อที่อุทัยฯท่านนี้ครับ...
๒.กลุ่มที่สามารถใช้กสิณในลักษณะที่เป็นพลังงาน จับต้องได้ สัมผัสได้
กลุ่มนี้จะสามารถทำให้บุคคลอื่นๆรับรู้ได้ สร้างให้เกิดในบุคคลอื่นๆได้ตามวาระ
กลุ่มนี้จะมีสายสัมพันธ์นอกจากหลวงพ่อในอดีตที่อุทัยแล้ว ยังจะมีสายสัมพันธ์
กับพระอาจารย์ในดงบางท่านร่วมด้วย กลุ่มนี้ยังไม่พบเห็นว่ามีอยู่ใน กทม.ครับ
กลุ่มนี้จะมีการเขียนยันต์กลางอากาศร่วมด้วย

๓.กลุ่มที่รวมแบบกลุ่มที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒ และ
ใช้ร่วมกับพลังงานจักรวาล ใช้ร่วมกับการอฐิษฐานจิต
ใช้การเขียนยันต์กลางอากาศ
เป็นลูกศิษย์สายตรงของพระอาจารย์ในดงเป็นหลัก
มีบุคคลที่สามารถทำได้อยู่ที่ทางภาคเหนือ ที่ จ.พิษณุโลกครับ...
๔.กลุ่มที่ เน้นธาตุ เพียง ๔ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เรียกว่ากลุ่ม วิชาเดินธาตุโบราณ
กลุ่มนี้ จะเน้นไปทางด้านสมาธิ ผู้ที่เชื่อว่า สามารถใช้งานได้จริงและทำได้จริงๆ
คือท่านที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม อยู่ทางภาคอีสาณที่ จ.อุดรธานี้ครับ...
แต่ก็มีบางท่าน ที่ กทม. เพียงแต่ว่า ไม่ขอแนะนำ เพราะส่วนตัวจะแนะนำ
เฉพาะกลุ่มที่มุ้งเน้น ช่วยเหลือผู้อื่น แบบไม่หวังผลอะไร ไม่ติดในลาภ ยศ
สุข สรรเสริญเท่านั้น....

กลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มที่รู้ คลอบคลุม ที่กลุ่มที่ผ่านมา สอนได้ แนะนำได้หมด
มักจะมีฉายาว่า พระจิตไว ท่านๆเหล่านี้ มีความสามารถภายในสูงและละเอียด
ส่วนท่านจะแนะหรือสงเคราะห์หรือไม่เป็นอีกประเด็น...

และกลุ่มที่เหลือน้อยมากที่สุด ตั้งแต่สิ้นยุค ท่านหลวงพ่อโอภาสีมา
คือ กลุ่มที่มีความสามารถพลิกนามธรรมเป็นรูปธรรมได้ แบบตาเห็น
ไม่ว่ากสิณกองใดๆก็ตาม น้ำเป็นน้ำ ไฟเป็นไฟ ลมเป็นลม ชนิดที่เห็นแบบของจริง
ยังมีอยู่ที่ จ.นครพนม แต่สุขภาพท่านไม่ค่อยจะดีนะครับ...

ส่วนกลุ่มที่เน้นไปเพื่อเอากำลังไปวิปัสสนาไม่ขอพูดถึง
หรือเน้นฝึกร่วมกับวิปัสสนาไม่ขอพูดถึง
ที่ไม่แนะนำเลย คือกลุ่มที่บอกว่าเน้นวิปัสสนา สุดท้าย
แล้วเอาความสามารถเพื่อไปดูดวง แก้กรรม อย่างนี้ให้ถอยซะ

ถ้าต้องการที่จะฝึกกสิณให้สำเร็จในระดับที่ใช้งานได้..
ขอแนะนำว่า อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับพวก วิชชา ๓ หรืออภิญญาต่างๆ
เพราะมันจะเกิดขึ้นได้เองเป็นปกติ แต่ต้องไม่ยึด ไม่ฟุ้ง ไม่ไปวุ่นวาย
เรื่องของบุคคลอื่นๆ แม้รู้ได้ ไม่ว่าอดีต หรือ อนาคต อย่ายึดและ
ให้ยอมรับตามความเป็นจริง รู้จักเสียสละเกลือกูลบุคคลอื่นๆ
โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ฝึกเพื่อดึงของเก่าตนเองขึ้นมา
และเน้นใช้ประโยชน์ทางธรรมและประโยชน์เพื่อบุคคลอื่นๆ
มีเมตตาจากภายในไปภายนอก ไม่มีการแยกแยะ แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย
เป็นมิตรกับทุกภพภูมิ ไม่ว่าระดับใดๆก็ตาม รวมทั้งมีความเฉลียว
ในการรู้จักใช้งานในกสิณกองต่างๆ
เราถึงจะกลายเป็นบุคคลที่มีโอกาสจะฝึกกสิณได้สำเร็จในระดับ
ที่สามารถนำไปใช้งานให้เกิดผลขึ้นจริงๆกับบุคคลอื่นๆได้
ในอนาคตครับ ถ้ามาถึงตรงจุดนี้ได้ ต่อไปจะเกิดการพัฒนา
ในระดับที่ไม่มีตัวเองเข้าไปกระทำได้ คือ ไม่มีกำลังจิตตน
ไม่มีตัวของตน ใช้แล้วเบา ใช้แล้วไม่ส่งผลย้อนกลับ ฯลฯ
ซึ่งเป็นเรื่องในอนาคต แล้วแต่เหตุและปัจจัยของบุคคล

ท้ายนี้ขอทิ้งท้ายไว้เท่านี้ให้ผู้อ่านไว้พิจารณาครับ
ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง

 

แวะ มาให้กำลังใจหลวงพี่คับ รอมาฟังต่อ (f)

 

เวรกรรมของผู้ฝึก ที่ได้คำแนะนำแบบผิดๆๆๆๆๆ