ถึงกินเจตลอดชีวิต ก็อย่าหวังรอดจากนรก

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 3 ตุลาคม 2016.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]



    ถึงกินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็อย่าหวังรอดจากนรก

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เมตตากรุณาสั่งสอนไว้ว่า "การเจริญสติบำเพ็ญภาวนาเท่านั้นถึงจะบรรลุพระอรหันต์ได้ การตัดกิเลสตัณหาต้องใช้พระกรรมฐานเท่านั้น พระกรรมฐานมีให้เลือกตั้งสี่สิบกอง"

    ในอดีตมีคนเคยมาชวนหลวงปู่ฉันเจ ฝ่ายหลวงปู่ท่านตอบว่า "ถ้ากินเจมันประเสริฐเป็นบุญใหญ่นัก วัว ควาย ก็คงเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว คนเราจะกินอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่ากิเลสตัณหาตัดได้หรือเปล่า แล้วการกินเจก็ไม่ช่วยให้กิเลสตัณหาลดลง แต่ถ้าจะกินเพื่อสุขภาพละก็อนุโมทนา

    แต่การกินเจไม่ช่วยให้พ้นนรกได้หรอก คนกินเจลงนรกก็เยอะแยะ เพราะกิเลสตัณหายังเต็มหัวมันอยู่" ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง

    ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วัน ๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก

    คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ถึงกินเจตลอดชีวิต แต่ไม่ทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญภาวนา ก็กินเจเสียเปล่า หาประโยชน์มิได้ แล้วยังไม่ช่วยให้ตัวเองพ้นจากขุมนรกในสมัยพุทธกาล

    พระเทวทัตตั้งตัวเองเป็นศาสดาแล้วตั้งโกหัญญกรรม ๕ ประการคือ

    ๑. ให้อยู่ในเสนาสนะป่า ตลอดชีวิต ห้ามตั้งวัด ห้ามเข้าเมืองเลย
    ๒. ให้ถือบิณฑบาต ตลอดชีวิต อาหารที่มีคนมาถวายหลังบิณฑบาตให้ทิ้งให้หมด
    ๓. ให้ทรงผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้วและผ้าเนื้อเลว ตลอดชีวิต ผ้าเนื้อดีเผาทิ้งให้หมด
    ๔. ให้อยู่โคนไม้ ห้ามนอน ตลอดชีวิต
    ๕. ให้งดฉันมังสาหาร คือห้ามกินเนื้อ ตลอดชีวิตพระพุทธองค์บรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า "ไม่ควร ควรให้ปฎิบัติได้ตามศรัทธา" ด้วยทรงเห็นว่า ยากแก่การปฎิบัติ เป็นการเกินพอดีไม่เป็นทางสายกลาง พระเทวทัตจึงโจทก์โทษพระบรมศาสดา ประกาศว่า คำสอนของตนประเสริฐกว่า คนที่มีปัญญาบารมีน้อยหลงเชื่อ ยอมทำตนเข้าเป็นสาวก ครั้นพระเทวทัตได้ภิกษุยอมเข้าเป็นบริษัทของตนแล้ว ก็พยายามทำสังฆเภท ตั้งตัวเป็นศาสดาเสียเอง แล้วท้ายที่สุด พระเทวทัตก็โดนธรณีสูบ ไหม้อยู่ที่อเวจีมหานรก...



    https://www.facebook.com/photo.php?fbid=144539402671848&set=gm.668552289963745&type=3&theater
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2016
  2. tellyouu

    tellyouu สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    เห็นด้วย

    ทำดีก็เป็นกรรมดี กรรมไม่ดีคือกรรมไม่ดี คนละส่วนกันครับ
    http://www.universe-2.com/node/11
     
  3. alkuwaiti

    alkuwaiti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,257
    อ่านๆไปจนเกือบจะอินตามไปด้วยเลยนะว่าการกินเจเป็นสิ่งไม่ดีจะทำให้ตกนรก เหมือนกระทู้จะชี้นำมากเหลือเกินว่าการกินเจเป็นสิ่งที่ไร้สาระ

    อย่ามองการกินเจเป็นแค่การกิน การกินเจนั้นทำให้คิดถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ ทำให้เกิดสติ มีเมตตาเกิดขึ้นในใจ บางคนกินเจแล้วคิดพิจารณาตามมันก็เป็นการภาวนาวิปัสสนาอย่างหนึ่งได้ ไม่ต่างอะไรกับที่พระอรหันต์สมัยพุทธกาลใช้การเพ่งมองเทียน เพ่งมองผ้าขาว เพ่งนึกถึงซากศพเน่าเปื่อย แล้วคิดตามจนเกิดปัญญา การกินเจถ้ากินแล้วคิดพิจารณาตามก็เป็นการวิปัสสนาสร้างปัญญาทางธรรมได้เหมือนกัน

    ฆราวาสไปจ่ายตลาดอยากซื้อปลามากินสัก 1 ตัวแต่ไม่อยากทุบหัวเองเลยให้แม่ค้าทำให้ มันต่างอะไรกับการจ้างมือปืนไปฆ่าคน เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นจ้างแม่ค้าฆ่าปลาแทน มันไม่มีอะไรต่างกันเลย

    พระสงฆ์ท่านแค่เดินบิณฑบาตรตามกิจของสงฆ์ไม่มีอะไรมากำหนดหรือบังคับว่าอาหารที่จะนำมาใส่บาตรต้องเป็นเนื้อสัตว์หรือผัก เพียงแค่ไม่เป็นอาหารต้องห้ามตามกฎของสงฆ์ก็เท่านั้นเอง พระสงฆ์ไม่ได้มีหน้าที่ไปจ่ายตลาดหาอาหารมาทำกินเอง


    ผมเห็นด้วยกับกระทู้นี้แค่ครึ่งเดียวครับ เพราะกระทู้นี้ใช้คำพูดโจมตีเรื่องการกินเจมากเกินไป โดยมองไม่เห็นประโยชน์ที่แฝงอยู่ของมัน สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าสอนธรรมะโดยยกตัวอย่างให้เห็น พูดให้คิดก็เยอะ ไม่ได้เปิดตำรามาสอนตรงๆอย่างเดียวหรอกนะ เพราะแต่ละคนมีวิสัยและปัญญาที่จะเข้าถึงธรรมได้ต่างกัน
     
  4. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    เท่าที่อ่านมา จขกท. นำเสนอคำสอนของหลวงปู่แหวนท่านเน้นการปฏิบัติ ไม่ได้ติเตียนคนกินเจเลยครับ

    ผมเดาเอาเองนะครับว่า จขกท.คงมีความปรารถนาดีไม่อยากให้คนกินเจ(ขอย้ำครับว่าบางคน) เข้าใจผิดเกี่ยวกับผลของการกินเจมั้งครับ
     
  5. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    ที่คุณไม่เห็นด้วยครึ่งนึง เพราะคุณเข้าใจผิดครึ่งนึง

    ถ้าคุณเข้าใจถูกทั้งหมด คุณก็จะเห็นด้วยทั้งหมด



    ผมก็เคยคิดแบบคุณ แต่ก่อนได้อ่านหนังสือของโรงเจ เรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์ ต่างๆ

    ตอนนั้นผมก็อิน แล้วก็ไม่กินเนื้อสัตว์ นานถึง 9 เดือน

    แต่ผมสงสัย ว่าทำไมพระพุทธเจ้า ถึงไม่กล่าวห้ามในเรื่องการกินเนื้อสัตว์

    ผมไปศึกษาหาจากหนังสือเล่มต่างๆ ใช้เวลาหลายเดือนจึงเข้าใจว่าทำไม



    ข้อห้ามต่างๆก็มี คือไม่กินเนื้อที่เขาฆ่ามาให้เรา เราไม่ได้สั่งฆ่า เราไม่ได้รู้เห็น

    และเนื้อสัตว์ที่ห้ามกิน มีเนื้อมนุษย์เป็นต้น



    เมื่อละข้อห้ามต่างๆไปแล้ว เวลากิน ท่านก็ให้พิจารณาว่าอาหารที่กิน ก็เป็นเพียงธาตุทั้ง 4

    ท่านไม่ได้ให้คิดว่านี่เป็น เนื้อนะ นี่เป็นผักนะ ท่านให้พิจารณาเป็น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ

    ส่วนที่เป็นของแข็งก็เป็นธาตุดิน ส่วนที่เป็นของเหลวก็เป็นธาตุน้ำ

    ส่วนเป็นความความร้อนก็เป็นธาตุไฟ ส่วนที่เป็นลม ก็เป็นธาตุลม

    เพราะร่างกายที่เราอาศัยอยู่เป็นธาตุทั้ง 4 และร่างกายธาตุทั้ง4 ที่เราอาศัยอยู่มันไม่เที่ยง จึงต้องการธาตุทั้ง4 มาเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้เท่านั้น



    อาหารที่กิน ก็สกปรก ทั้งเนื้อ ทั้งผัก ก็สกปรกทั้งหมด

    เนื้อมีคาวสกปรก อาหารของสัตว์ที่กินก็สกปรก

    ปุ๋ยที่เป็นอาหารให้แก่พืชก็เป็นสิ่งสกปรก เมื่อสิ่งสกปรกเป็นตัวเชื้อสร้างให้พืชเจริญเติบโต พืชก็ถูกสร้างมาจากสิ่งสกปรก



    และเวลากินท่านก็ไม่ให้กิน เพื่อความอ้วนพี ไม่ให้กินเพื่อยังกิเลสให้กำเริบ ไม่กินเพื่อติดรส ไม่กินเพื่อความผ่องใสของผิวกาย

    แต่กินเพื่อยังอัตภาพเท่านั้น

    เพราะร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกายนี้ กายนี้ไม่มีในเรา

    เราคือจิต คือธาตุรู้ ที่มาอาศัยในร่างกายนี้แค่ชั่วคราวเท่านั้น



    การจะกินเจหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ

    แต่สิ่งที่สำคัญ คือท่านมีทาน มีศีล มีการเจริญสมาธิ และเจริญวิปัสสนาหรือเปล่า

    ถ้าหากท่านไม่กินเจ ท่านก็มีทาน มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาได้

    ถ้าหากท่านไม่กินเจ ท่านก็มีศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่พูดสอดเสียด ไม่พููดเพ้อเจ้อ ไม่พูดคำหยาบ ไม่ดื่มสุราของมึนเมาได้



    ถ้าบอกว่า แม่บ้านไปซื้อปลาที่ตลาด ก็ควรจะซื้อเฉพาะปลาที่ตายแล้ว

    โดยที่เราไม่ได้สั่งฆ่า ไม่ได้ฆ่ามาเพื่อเรา และเราก็ไม่รู้เห็นด้วย

    เพราะเขาฆ่าเพื่อขาย แม้เราไม่ได้ไปซื้อ เขาก็ฆ่าอยู่ดี ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรา

    เราไม่ได้ไปส่งเสริมให้เขาฆ่า แต่เราไปซื้อเฉพาะที่ตายแล้ว และพิจารณาเป็นธาตุทั้ง4 เท่านั้น



    ถ้าท่านไม่กินเจ ท่านก็สามารถเจริญในสมถะ และวิปัสสนาได้

    เพราะที่กิน มันเป็นร่างกายนี้กิน

    เพราะร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกายนี้ กายนี้ไม่มีในเรา



    แต่ถ้าหากว่าท่านกินเจ แล้วไม่มีการทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่เจริญสมถะและวิปัสสนา

    การกินเจนั้นก็ไม่มีผล ต่อให้กินตลอดชีวิต ก็ยังตกนรกได้อยู่ดี

    อย่าคิดว่ากินเจ ไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว จะฆ่าสัตว์ไม่ได้นะ ถ้าเกิดโมโหสัตว์ที่มากัด หรือมาทำร้าย ก็ยังสามารถฆ่าได้อยู่นะ

    อย่าคิดว่ากินเจ แล้วจะไม่ลักทรัพย์นะ ถ้าจิตเกิดความโลภก็ลักทรัพย์ ได้อยู่นะ

    เพราะใจเขาไม่มีทาน ไม่มีศีล ไม่มีการเจริญสมถะ และวิปัสสนา



    แต่ถ้ากินเจ พร้อมด้วยเจริญในทาน ศีล สมถะ และวิปัสสนา

    ก็จะเป็นประโยชน์ เพราะใจนั้นดี และจะมีสุขคติเป็นที่ไป



    ดังนั้นเจ้าของกระทู้ ไม่ได้โจมตีว่าการกินเจนั้นไม่ดี หรือกล่าวว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นดี

    แต่ท่านจะสื่อว่าอย่าไปติดเรื่องการกิน ให้เราสนใจแต่ในการปฏิบัติเพื่อละกิเลส จะดีกว่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2016
  6. ActingSubLtRungroje

    ActingSubLtRungroje Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +89
    สาาาาาธุ
     
  7. vee-lumpinee

    vee-lumpinee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    310
    ค่าพลัง:
    +879
    ขออนุญาต ตัดทอนบางส่วนมาให้อ่านกันเกี่ยวกับการกินเจ ส่วนท่านใดจะคิดเห็นประการใดก็สุดแท้แต่สติปัญญาของท่านจะพิจารณา

    ความหมายของเจ......

    คำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า "อุโบสถ" เดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ

    "การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจี๊ยะฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว
    ทำไมต้องกินเจ เรากินเจเพื่ออะไร

    จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ

    1. กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ

    2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุก ๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้

    3. กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรี่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น
    กินเจ กับ มังสวิรัติ ต่างกันอย่างไร.....

    หลายคนอาจสงสัยว่า "กินเจ" ต่างกับ "กินมังสวิรัติ" อย่างไร เพราะอาหารมังสวิรัติก็เป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกัน แต่มังสวิรัติสามารถทานผักได้ทุกชนิด แต่อาหารเจ ต้องเว้นผักฉุน 5 ประเภท คือ กระเทียม หัวหอม (รวมทั้งหอมแดง หอมขาว หัวหอมใหญ่ ต้นหอม) หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน ไม่ค่อยพบในประเทศไทย) กุยช่าย และใบยาสูบ รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการถือศีลกินเจที่แท้จริง ขณะที่มังสวิรัติ หมายถึง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

    *หลักธรรมในการกินเจ....

    การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ

    1. การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือ ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน, ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน และไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตัวเอง

    2. การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเอง คือ จะรับประทานสิ่งใดเข้าไปต้องไม่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเท่ากับเป็นการเบียดเบียนตนเอง ดังนั้นจึงมีการห้ามของมึนเมา สารเสพติด ขณะที่วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ยืนยันว่า เลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย เนื้อสัตว์เหล่านี้จึงจัดเป็นพิษชนิดหนึ่งเช่นกัน การละเว้นจึงส่งผลดีต่อร่างกายอีกด้วย

    ***วิธีล้างท้องก่อนกินเจ***

    การล้างท้องก่อนกินเจ คือ การกินเจก่อนถึงวันเทศกาลเจจริงประมาณ 1-2 วัน โดยส่วนมากจะนิยมล้างท้องก่อนกินเจจริง ๆ 1 วัน เพื่อชะล้างเนื้อสัตว์ หรืออาหารคาวต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่ในร่างกายออกให้หมดสิ้น เมื่อถึงวันถือศีลกินเจ ร่างกายจะได้สะอาด พร้อมถือศีลกินเจตามประเพณี

    *กินเจ มีข้อห้ามอะไรบ้าง

    ข้อห้ามในการกินเจหลัก ๆ แล้วมีดังนี้

    1. งดเว้นเนื้อสัตว์ และห้ามทำอันตรายต่อสัตว์

    2. งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์

    3. งดอาหารรสจัด ทั้งอาหารเผ็ด หวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด

    4. งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน) กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ และของมึนเมาต่าง ๆ เพราะผักดังกล่าวนี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษคอยทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ

    5. ไม่ใช้จานชามปะปนกัน และต้องกินอาหารที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงขึ้นมา (สำหรับคนที่เคร่ง)

    6. งดดื่มสุราและของมึนเมาทุกชนิด

    7. ห้ามดับตะเกียงในสถานที่กินเจทั้ง 9 ดวง เพราะเป็นสัญลักษณ์ของเก๊าฮ้วงฮุดโจ้ว ซึ่งต้องจุดไว้ตลอดทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะจบพิธีกินเจ และหากตะเกียงดับก็จะถือว่าไม่เป็นสิริมงคล รวมทั้งการกินเจก็จะไม่สมบูรณ์ด้วย
     
  8. vee-lumpinee

    vee-lumpinee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    310
    ค่าพลัง:
    +879
    กินเจ - กินเนื้อ

    วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชา เกี่ยวกับเรื่องการกินเจกับการกินอาหารเนื้ออาหารปลาต่างกันอย่างไร อย่างไหนถูก อย่างไหนผิด เพราะปัจจุบันมีสำนักปฏิบัติที่ถือข้อวัตรปฏิบัติต่างกันมากมายหลายแห่ง บางแห่งถือว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเป็นกรรมร่วม เพราะเท่ากับเป็นการยุให้เขาฆ่าสัตว์ ที่นั้นจะต้องถือมังสวิรัติ เว้นการฉันเนื้อฉันปลาอย่างเด็ดขาด

    บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อวัตรของเทวทัตที่เคร่งครัดเกินไป จนพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต เขาจึงสงสัยว่าอย่างไรจะถูกอย่างไรจะผิด ในระหว่างข้อวัตรปฏิบัติทั้งสองแบบนี้

    หลวงปู่ชา ท่านตอบว่า

    “เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมันดีกว่ากัน

    ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่ได้เป็นอะไร ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็นอะไรอีกแล้ว การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่าเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอให้คงอยู่ได้ ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง

    ให้รู้จักประมาณในการบริโภค ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรแล้ว

    ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรสชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อก็รังเกียจและโกรธเขา ไปด่าว่านินทาเขา เอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจตัวเอง นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือนกัน การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั้น มันก็คือผีที่สิงอยูในใจเรา เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเขา เราก็เป็นผีเป็นบาปอีกเหมือนกัน มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสองฝ่าย ยังไม่เป็นธรรมะ อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางคก

    แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ คนกินเนื้อ ก็อย่าเห็นแก่ปากแก่ท้อง อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจนเกินไป อย่าถึงกับฆ่าเขากิน

    ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นในข้อวัตรของตัวเอง เห็นคนอื่นกินเนื้ออย่าไปโกรธเขา รักษาตัวเราไว้ อย่าให้คิดอยู่ในการกระทำภายนอก

    พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เหมือนกัน องค์ไหนจะถือข้อวัตรฉันเจก็ถือไป องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตามได้ก็ถือไป แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย อาตมาสอนอย่างนี้ ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร

    ให้เข้าใจว่า ธรรมะที่แท้นั้น เราจะเข้าถึงได้ด้วยปัญญา ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    ถ้าเราสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบ และปัญญาความรู้เท่าทันสภาพของสังขารทั้งหลาย ก็จะเกิดขึ้น จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย วิมุตตก็เกิดขึ้นเท่านั้น”

    โอวาทธรรมคำสอน..
    องค์หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
    จาก “ใต้ร่มโพธิญาณ” ใน ข่าวสารกัลยาณธรรม ฉบับที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓
     
  9. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    มีแง่คิดที่เกินเลยเกินจำเป็นมามาเทียบคือเรื่องภิกษุนั่งเรือแล้วคว้าตะไคร่น้ำรึสาหร่ายขาดจึงร้อนใจว่าต้องอาบัติพรากพืชของเขียวเมื่อตายจึงไปสู่ทุกคติ เพราะไม่แยบคายในใจ(อโยนิโสมนสิการ)จะคล้ายกันใหมน๊ากับการคิดว่าไม่กิจเนื้อแล้วจะได้
    บุญ ทั้งที่อาหารก็ยังทำเลียนชิ้นส่วนเนื้ออยู่ส่วนคนกินทุกอย่างที่คนกินกัน ไม่สั่งใครฆ่าหรือเบียดเบียนก็ไม่เห็นจะบาปตรงใหนคกันแต่คนที่กินเจและถือศีลด้วยก็ดีนะมันเอื้อต่อกันดี ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสัปปายะของแต่ละบุคคลอีกที บางคนทำไม่ได้อาจเพราะเคยเกิดเป็นสัตว์กินเนื้อมาหลายภพชาติอันใกล้เพราะวัฏสงสารมันวนยเววียนยุ่งเหยิง บุ
     
  10. Apotamkin

    Apotamkin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +119
    เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้น ครับ
     
  11. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ก็ศีล 5 กับกุศลกรรมบท 10 นั่นแหล่ะ คิดมากปวดหัว การเห็นว่าสิ่งใดเป็นโทษ ทั้งที่สิ่งนั้นไม่มีโทษ กับการเห็นว่าสิ่งใดไม่เป็นโทษ ทั้งที่สิ่งนั้นมีโทษ ไปนรกเหมือนกันนะจ๊ะ ถือว่ามิจฉาทิฏฐิทั้งคู่นั่นแหล่ะ ส่วนเอรกปัตตนาคราช ไม่ได้ไปทุคตินะ แถมได้รับพรวิเศษสามารถแปลงกายเป็นมานพได้ตลอดเวลาอีกต่างหาก ซึ่งต่างจากนาคทั่วไปที่ต้องคืนร่าง เวลาเกิด ลอกคราบ เสพเมถุนกับนางนาค หลับ และตาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...