กวนน้ำให้ขุ่น กับความเห็นอันชอบธรรม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 8 สิงหาคม 2016.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    รู้สึกเป็นเกียรติที่ติดตามผลงานครับ
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เป็นที่รับรู้นีโอโพรดั๊คชั่น...
    ผลงานเห่ยมาตลอด...แต่มีชื่อเสียงเพราะไม่เสี่ยง
    กับของสูงส่ง
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    คนที่เล่นโหนของสูงแบบจริงทีเล่นที สลับกัน
    ไปอย่าคิดว่าใครจะไม่เท่าทัน
    ทำไปไม่มีกำไรที่เป็นกุศล
    ผลบุญ
    อะไร มีแต่อกุศลปนบาป
    ไม่มีกลิ่นอาย ของกัลยาณ
    มิตร
    ยิ่งกว่าพาลเสียอีก

    บอกคำเดียวว่าอาศัยชี้ทางไม่ได้
     
  4. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ใช้ท่าทีอย่างนั้นได้เหรอ ผู้สร้างศรัทธา.....ศรัทธาอะไรไหม
     
  5. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    อาจารย์องค์ไหน จะให้ศิษย์มาสร้างศรัทธา.ด้วยท่าที
    คึกคะนองอย่างนี้ไม่มีหรอกมีแต่พวกนอกครูนอกคอก
    ซ้ำเติมความทรุดโทรม เสื่อมทรามที่มีอยู่แล้วให้หนักเข้าไปอีก
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    สร้างศรัทธาด้วย ถ้อยคำที่เป็นมิตรเป็นปิยะวาจา
    คนที่เริ่มศรัทธาใหม่มาพบเห็นก็จะเลื่อมใสง่าย
    ขึ้น ถ้าธรรมเจริญขี้นในบุคคลที่เรา
    เป็นผู้เบิกทางให้แม้ประโยคเดียว
    แต่แหลมคมฝังหัวใจไปตลอดกาล
    กุศลจะบังเกิดแก่คนเบิกทางขนาดไหน
    ใครทำได้มีปัญญาควรขวนขวาย
    ในท่ามกลางความเสื่อม....บุญกุศลของคนสร้างศรัทธาไม่
    เคยเสื่อม
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    อย่าแผลงมาก พุทธวิธีมีอยู่อย่างงดงาม
    ใครขอร้องให้มาแผลงในงานสร้างศรัทธา
    บ้าหรือเปลา
    ....
    ต่อล้อต่อเถียงกับลุงแมวแล้ว
    เหลืออะไร
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ไม่เอา ใช้พุทธวิธีสร้างศรัทธาต่อไป
    อย่าใช้ท่าทีที่คนดีๆ เขาหนีห่าง
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ไปคุยโม้ให้ผีฟังไป
    คนปกติเขาฟังไม่เข้าใจ
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ป่วน
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ความเห็นนี้ชอบธรรมแต่มันป่วน
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ขวานกับดอกบัว
     
  13. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    บอกหมดแล้ว
    จะเก็บขวานล่ะ
    ถือแต่ดอกบัวไปเรื่อยๆ
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    สุดท้ายเลย
    ถ้าต้องการสร้างศรัทธาด้วยเมตตา
    คนฟังจะตีบตันขนาดไหนเราก็ไม่สามารถใช้ท่าที
    แบบเจาะจงลงไปได้
    เนื่องจากเราไม่สามารถเจาะจงคนฟังเฉพาะได้
    จึงต้องใช้แบบกลางๆ และเป็นพุทธวิธี
    บัวดอกใหม่จึงจะไม่ช้ำ และน้ำในบึงก็ไม่ขุ่น
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040

    ๕๕๕ ว่าจะมาอ่านแบบฮาๆอย่างเดียวนะครับ...
    เอาอย่างนี้ขอพูดแบบนี้ก่อน จะเข้าใจได้เอง
    ถึงที่มาของคำถามว่าทำไม..

    พวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นมายาจิต ก็คือกลจิตประเภทหนึ่งครับ..

    ที่มีเหตุมาจาก โทสะ โมหะ โลภะ อย่างใด
    อย่างหนึ่งที่ยังคงมีอยู่ในจิต. ที่ขาดการสร้างสติทางธรรม
    ในการที่จะไปรู้เท่าทันทั้ง ๓ ตัวที่ผ่านมาจนกลายเป็นกิเลส
    ไปยึดเอาสิ่งต่างๆที่มีอยู่ภายนอกเข้ามา
    (ย้ำไปยึดเข้ามาเอง
    ซึ่งมักจะใช้ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ตัวใดตัวหนึ่ง
    เป็นตัวหลอก แต่ถ้าเป็นดวงจิต ที่เชื่อ ที่อ้างว่าเป็น
    ดวงจิตต่างดาว ทั้งๆที่ใครๆก็มองเห็นว่าเป็นมนุษย์เห็นๆ
    ((เห็นมายาจิต เห็นกลจิตที่มันสร้างหรือยัง))
    ก็จะใช้โมหะเป็นตัวนำ เพราะเชื่อว่าถ้ามายัง
    โลกนี้จะพ้นทุกข์ได้หรือไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด
    ได้นั้นหละครับ แต่เมื่อมาแล้วแทนที่จะ
    เจริญรอยตามคำสอน ของผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพ
    ผู้ที่เชื่อได้ว่าพ้นโลก อยู่เหนือโลกนั้น..
    กลับกลายเป็นว่ามาแล้วมาสร้าง
    ตัวเองเป็นตัวจิตที่ยึดติดกับ
    โลกใบนี้แทน และพูดแต่เรื่องอะไรก็ตาม
    ที่มันห่างโลก ไกลจากโลก
    บางดวงจิต ด้วยกลจิต ยังกล้าที่จะคิด
    กล้าที่จะแสดงตัวจิตตนเอง
    ไปเทียบเท่าหรืออยู่ระดับเดียวกัน
    กับผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพทั้งหลายอีกด้วย...

    แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ ชาติไหน ดวงจิตนั้นๆ
    ถึงจะอยู่เหนือโลกอย่าง
    ที่จิตตนเองเคยหวังไว้ว่า มาบนโลกนี้
    เพื่อที่จะพ้นโลกไม่เวียนว่ายตายเกิดได้หละครับ
    ตรรกะตรงๆง่ายๆแบบนี้ พอนึกออกไหมครับ
    )

    สร้างตัวจิตจนกลายเป็นอัตตาตัวตน...
    โดยที่ตนเองนั้น
    ก็ไม่รู้ตัวอย่างคาดไม่ถึง....
    เหตุเพราะว่าไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการเดินปัญญา
    การสร้างปัญญาทางธรรม แต่มักจะเอาพุทธศาสนา
    เอาผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพมาอ้างเพื่อเสริม กลจิตในใจตน
    แทนที่จะเดินปัญญเพื่อที่จะให้ตัวจิต
    ได้รู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยใจที่เป็นกลาง
    ให้ตัวจิต ค่อยๆลด ค่อยๆคลาย ตัวโมหะ โทสะ โลภะ
    ต่างๆที่สร้างเป็นกลจิต สร้างเป็นมายาให้จิตตนเอง
    แล้วไปเผลอยึดไปยึดเอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ที่มีอยู่แล้วภายนอก
    ที่เป็นของคู่กับโลกอยู่แล้ว
    อย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าพวกนี้นี่หละ มันเป็น
    สาเหตุแห่งทุกข์ เป็นเหตุที่ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด
    กลับไม่ให้ความสนใจ
    ดันมัวแต่ไปสนใจอะไรที่ไกลโลก
    ห่างโลก แต่ไม่สนใจ สิ่งต่างๆที่อยู่ในจิต
    ตัวเอง ที่ยังอยู่ในร่างกายบนโลกนี้



    กลจิตพวกนี้ มักจะสร้างเป็นมายาจิต
    และมักจะกล่าวอ้างว่า
    ตัวจิตตนไม่ได้อยู่บนโลก ตัวจิตตนอยู่เหนือโลก...
    ตัวจิตตนพ้นโลกไปแล้ว เป็นที่มาของการอุปโลกน์
    ตัวจิตตนเอง ให้เป็นระดับต่างๆที่อยู่เหนือโลกนั่นเองครับ


    แต่ถ้าทางกิริยาแล้ว ถ้าคุณ วรณิ
    สังเกตุจากที่เล่าให้ฟังมาแล้ว
    ก็จะพบว่า มันก็ยังเป็นดวงจิตที่ยัง ยึดติดกับสิ่ง
    ที่โลกนี้มีอยู่แล้วเป็นปกติ เป็นตัวจิต
    ที่มียังมีกิเลสอยู่แบบเต็มๆ ไม่ว่า โทสะ โมหะ โลภะ
    อย่างใดอย่างหนึ่งนั้นหละครับ เพราะการที่ยัง
    ยึดติดกับสิ่งที่มีอยู่กับโลกใบนี้อยู่
    แล้วจะมาบอกว่า
    จิตตนเองอยู่เหนือโลกได้อย่างไรหละครับ
    เพราะแม้สิ่งที่มีอยู่แล้วปกติในโลก
    ตัวจิตยังไม่มีสติทางธรรมที่จะรู้เท่าทัน
    ยังไม่มีปัญญาทางธรรม
    ที่จะละ จะคลาย ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ที่มีอยู่แล้วภายนอก แล้วยึดมาเป็น
    ตัวเองอย่างไม่รู้ตัวได้นั่นเองครับ...
    พูดๆง่าย เรื่องโลกๆยังวางไม่ได้นั่นหละครับ


    ย้ำอีกรอบ ว่ามหกรรมแห่งวาทะ..
    ที่พยายามสร้างตัวตนขึ้นมา อุปโลกน์ลวงโลกขึ้นมาเพื่อที่จะ
    เป็นอะไรก็ตามนั้น..ก็เพียงแค่สนองกิเลส..
    เป็นเพียงแค่ กลจิตมายาจิตที่สนอง
    ในกิเลสลาภอย่างหนึ่ง
    สนองกิเลสในสุขอย่างหนึ่ง
    สนองกิเลสในยศอย่างหนึ่ง
    หรือเพื่อสนองการได้รับการสรรเสริญ
    อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง...

    ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ ผู้เป็นทั้ง ๓ ภพเป็น
    ตัวอย่างของมหาบุรุษที่ ไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้..
    ไม่ว่า ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ท่านจึงเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับ
    จากทั้ง ๓ โลกและเป็นผู้ที่เราเชื่อได้ว่าอยู่เหนือโลก
    มีองค์ความรู้หาประมาณมิได้
    ไม่ว่าในโลกและความรู้ยิ่งต่างๆ
    ที่เหนือโลกทั้งหลายนั้นหละครับ

    ถ้าคุณ วรณ์นิ ลองสังเกตุดู​​...
    จะพบว่า ตัวกิเลสที่ไปยึดเหล่านี้นั้น
    ก็เพียงที่ต้องการ ที่จะตอบสนองและสร้างให้เป็นไปตาม
    สิ่งต่างๆที่มีอยู่แล้วเป็นปกติภายนอก
    ก็คือ การอยากมีลาภ
    การอยากมียศ
    การอยากมีสุข
    และการอยากได้รับการสรรเสริญ
    ตัวใดตัวหนึ่งในสี่ตัวนี้ทั้งนั้นนั่นหละครับ....

    ปล.ประมาณนี้ครับ ย้ำว่า กลจิตเป็นเพียง
    มายาจิตชนิดหนึ่ง แค่นั้นเอง ที่ลวงเรา
    ให้คิดว่าตนอยู่เหนือโลก ทั้งๆที่ยังยึดติด
    กับสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกอย่างไม่รู้ตัว
    และกลจิตพวกนี้ ไม่ใช่ทางหลุดพ้น ไม่ได้ทำให้
    ดวงจิตใดๆพ้นโลกใบนี้ได้ครับ
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เม้นท์นี้ทำเอาลุงแมวอึ้งเหมือนกัน...คิดว่า
    วรณนิโดนพลังมืดจากจาวาเข้าให้แล้ว
    .." เขียนเสือให้วัว กลัวเฉยๆน่า...อิอิ เผื่อวัวสันหลังหวะ จะ กินปูนร้อนท้องไง

    โอ้ยยยยร้อนนนนนน ใครเล่นงานผม ร้อนนนนนน...อิอิ"
    ตอนร้องว่า โอ๊ย ร้อน โอ๊ยร้อน นี่หวาดหวั่นนิดหน่อย
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    รวมๆเห็นด้วยครับ กลจิต ยังไงก็เป็นกันทุกคนใช่ครับ..
    ส่วนที่คล้ายอีกและขอเพิ่มเติมเสริมที่แยกไว้เป็นข้อๆ
    เผื่อว่าจะมีประโยชน์นะครับ เริ่มจากข้อที่ ๑.

    ๑.----- ประเด็นนี้ถ้าเป็นความคิดที่ใช้เพื่อ หน้าที่การงาน การศึกษา
    การดำรงชีพ ไม่เป็นไร แต่ว่าควรรู้จักการวาง เมื่อไม่ได้อยู่ใน
    เวลางาน อยู่ในเวลาดำรงชีพ บางครั้งการวางก็จะทำให้ได้
    ความคิดอะไรดีๆผุดขึ้นมาก็ได้ เช่น ตอนอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ
    ที่บุคคลทั่วๆไปมักจะอ่อๆ หรือ อาการปิ้งแว๊บนั้นเอง เป็นต้นครับ..
    -----๑.๑ในช่วงขณะที่ทำการปฏิบัติเริ่มแรกนั้น ความคิดที่เกิดจากจิต
    หรือความคิดที่เป็นสัญญาในอดีตทั้งหลาย และอนาคต เราจะมาฝึก
    เจริญสติเพื่อสร้างสติทางธรรม เพื่อคอยควบคุมพฤติความคิด
    ควบคุมพฤติกรรมของจิตก่อน..แต่เมื่อผ่านการสร้างสติทางธรรม
    มาระยะหนึ่งจนมีกำลังสติทางธรรมชึ้นมา ก็จะพบว่าจะมีความคิด
    ที่ผุดขึ้นมาเรื่อยมากมาย(ซึ่งความจริงมันมีเป็นปกติ แต่เมื่อก่อน
    กำลังสติยังไม่เห็น พอมาสร้างเลยเข้าใจว่ามันมีเยอะ)

    ------๑.๒ ตรงนี้หากไปพยายามห้ามความคิด ก็จะเหนื่อยเปล่า เนื่องจาก
    การจะห้ามความคิดได้ ต้องอาศัยกำลังสมาธิไปกดไปข่มมันด้วย
    ส่วนหนึ่งนอกจากปัญญาทางธรรมที่มี.. ทำให้หงุดหงิด
    นั่งสมาธิต่อไม่ได้ ฟุ้งซ่าน เลิกปฏิบัติ คิดว่าตนเองไม่ก้าวหน้า...
    -----๑.๓ ขั้นนี้ แก้ด้วยการ เจริญสติให้ต่อเนื่อง เพื่อสร้างกำลังสมาธิสะสม
    เปลี่ยนมาใช้หลายๆอริยะบท เช่น เดินจงกลมก่อนค่อยนั่ง
    นั่งสมาธิสะสมครั้งละ ๕ นาที ๓ นาทีในระหว่างวัน หรือ นั่งไม่ได้
    ก็ให้ไปหาอะไรอย่างอื่นทำแต่รักษาลมหายใจไว้ หรือ มาทำความ
    รู้สึกระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ ก็จะผ่านสภาวะที่ความคิดผุดขึ้นมาได้
    หรือ รีบตัดบทด้วยการพิจารณาว่า มันควร ไม่ควร อกุศล หรือกุศล
    ซึ่ง วิธีสุดท้ายนี้จะยังไม่เกิดปัญญาแต่เป็นแนวทางเดินให้จิตใช้
    สำหรับการเดินปัญญาได้ในอนาคต ซึ่งจะไปสอดคล้องกับข้อที่ ๒
    ที่จะกล่าวต่อไปพอดีครับ

    ข้อที่ ๒.ประเด็นไม่แนะนำถ้าเป็นในทางด้านการปฏิบัตินะครับ ฟังเหตุที่ไม่แนะนำก่อนนะครับ
    -----๒.๑ อย่างแรกถ้าการตามดูตามรู้ ร่วมคิด ปรุงร่วม
    เป็นไปเพื่อการศึกษา หน้าที่การงาน
    เพื่อการดำรงชีพอย่างนี้ไม่เป็นไรครับ
    แต่ใช้ให้พอดีๆ เสร็จงานแล้วก็ควรวาง

    -----๒.๒ ถ้าเปลี่ยนการ ตามดู ตามรู้ การร่วมคิด ร่วมปรุง
    มาใช้สำหรับการฝึกกรรมฐานกองใดๆก็ตามในเบื้องต้น
    เพื่อให้จิต เห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไม่ว่ารูปร่าง อารมย์
    สภาพแวดล้อมต่าง ของกรรมฐานที่ฝึกอยู่ ยกตัวอย่างเช่น
    ฝึกกสิณไฟ เห็นไฟเปลี่ยนรูปร่างอย่างไร เห็นอย่างนี้รู้สึกอย่างไร
    เห็นสภาพแวดล้อมบริเวณไฟ ว่ามีอะไรเข้ามาบ้าง เห็นไส้เทียน
    เป็นอย่างไร เห็นเปลวเทียนเป็นอย่างไร อย่างนี้ตามดูตามรู้
    ตามคิดตามปรุงได้ แม้ว่าช่วงที่ตามจะไม่เกิดปัญญาทางธรรม
    เพราะว่า มันยังมีความคิดจากตัวจิตยกตัวเองขึ้นมา เพื่อตามดู
    ตามรู้ ตามปรุงตามคิดอยู่นั่นเองครับ แม้ไม่เกิดปัญญา
    แต่จะเป็นแนวทางให้จิตเกิดปัญญาทางธรรมและเห็น
    ความเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตัวจิตเองในอนาคตได้ของมันเองครับ...
    ----๒.๒ ถ้าผ่าน ข้อ ๑.๓ มาแล้วมักจะพบว่า ผู้ปฏิบัติระดับนี้มักจะวาง
    ความคิดในอดีตที่เกิดจากสัญญาได้ในระหว่างวัน หากในระหว่างวัน
    ยังมีความคิดจากสัญญาในอดีต(แบบที่สามารถปรุงได้
    คือบอกว่าดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ แยกดีๆนะครับ)
    ผุดขึ้นมา ระลึกขึ้นมา นึกขึ้นได้ ให้กลับไป
    พิจารณาวิธีการในข้อ ๑.๓ ตรงนี้อีกรอบว่าเราขาดตรงไหนก็จะแก้ได้ครับ
    เพราะความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่เกิดจากจิต เราจะไม่ให้มันเกิด
    และเราจะไม่นำมันมาพิจารณาอะไรเลย เพราะการพิจารณาจะไม่เกิด
    ปัญญาทางธรรมใดๆ ยกเว้นว่าจะใส่แนวความคิดที่เป็นกุศลลงไป
    อ้างอิงหลักการตำราดีๆลงไป เพื่อให้มันวาง(ย้ำว่าเพื่อให้มันวาง
    ไม่ใช่เอามาพิจารณาต่อนะครับ และย้ำว่าในระหว่างวันนะครับ)
    ถึงจะพอเป็นแนวทางเดินให้จิตใช้
    เดินปัญญาได้ แต่ต้องพึ่งระลึกว่า มันไม่ใช่สติทางธรรม มันเป็นสติ
    ทางโลกและปัญญาทางโลก หากไปยึดมั่นถือมั่น ว่ามันเป็นตัวสติทางธรรม
    และปัญญาทางธรรม แล้วนำไปพิจารณาจะกลายเป็นวิปัสสนึกทันที
    ที่เป็นเหตุให้หลายๆบุคคลเพี้ยนๆหรือวิปลาสทางจิตได้นั่นหละครับ
    เพราะฉนั้นข้อนี้ หากจะแนะนำ ควรระมัดระวังในการแนะนำให้ดีๆด้วยครับ
    ---- ๒.๓ หากว่า จิตสามารถแยกความคิดที่เกิดจากจิตได้ แยกความคิดที่
    เกิดจากฝ่ายอารมย์ได้ การจะพิจารณานั้น จิตจะเกิดแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ครับ
    เพราะถ้าจิตเกิดแม้แต่นิดเดียว นั่นหมายความว่า ยังมีความคิดที่เกิด
    จากตัวจิตมันขึ้นมาปรุ่งร่วมได้อยู่ครับ เราจะพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อ
    จิตเป็นกลางจริงๆ ไม่มีความคิดเราเข้าไปปรุงร่วมเลย และปล่อยให้จิต
    รับรู้ตามความเป็นจริงในสภาวะปัจจุบันนั้น โดยที่กำลังสติทางธรรม
    ที่เราสร้างขึ้นมาจะเป็นตัวควบคุมจิต ให้เค้ารู้ ให้เค้าเห็น ได้ของเค้า
    ของอัตโนมัติโดยที่ไม่มีเรา ความคิดเราเข้าไปปรุ่งร่วมอะไรเลย
    ตรงนี้มันถึงจะเกิดเป็นปัญญาทางธรรม ที่ใช้ลด ละ คลาย การไปยึดมั่น
    ถือมั่นดึงเอาสิ่งต่างๆมาจนกลายเป็นตัวเองได้ครับ...พอเข้าใจนะครับ
    ---- ๒.๔ หากว่าเป็นความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่เลือกเรื่องราว มาตอนไหนก็ได้
    และที่สำคัญก็คือ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พวกนี้รวมทั้งกระแสแหย่
    จากภายนอก กรณีที่บุคคลที่พอมีสัมผัสทางจิต จะมี ๒ กรณี คือ ๑.
    ดับ หรือ ผลัก ออกไปเลย กรณีนี้เหมาะสำหรับใช้สำหรับกระแสแหย่ต่างๆ
    จากภายนอก ดับบ่อยๆ มันก็ไม่มีกำลังจะเข้ามาแหย่ตัวจิตเราได้..
    อย่าเผลอส่งตัววิญญานไปรับรู้ ไปปรุ่งร่วมเพราะจะเป็นการกำลังตรงนี้
    ได้อย่างไม่รู้ตัว และเราจะกลายเป็นอย่างที่กะแสภายนอกแหย่
    ต้องระวังสำหรับคนมีสัมผัส(เด่วจะกลายเป็น เทพโน้นนั้นนี่ เป็นระดับ
    โน้นนี่นั้น ฯลฯ)
    ---- ๒.๕ กรณีที่เป็นความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรม ถ้าไม่ดับเลย
    เราก็จะปล่อยให้มันเกิดไปครับ แต่ว่าเราจะไม่มีการแทรกแซงใดๆกับ
    มันเลยแม้แต่นิดเดียวครับ ปล่อยให้มันเกิดไป การตามรู้ ตามดู มันคือ
    สภาวะตรงนี้ครับ ย้ำว่าคือตรงนี้ แต่เป็นการตามรู้ ตามดู โดยมี
    กำลังสติทางธรรมของเรา คอยควบคุมตัวจิต และปล่อยให้จิต
    เค้ารับรู้ของเค้าเอง ในสภาวะที่เป็นกลาง โดยไม่มีความคิดของเรา
    เข้าไปปรุงร่วมนะครับ จำไว้นะครับว่า สภาวะนี้ จิตจะมีความคิด
    หรือว่าจิตเกิดแม้แต่นิดเดียวเลยไม่ได้นะครับ ถามว่าสภาวะนี้ยากไหม
    ยากครับ สำหรับบุคคลที่ยังแยกรูปธรรมกับนามธรรมไม่ได้
    แต่เราสามารถมาสังเกตุได้ หลักจากที่ สติทางธรรมได้ควบคุมตัวจิต
    และปล่อยให้จิตรับรู้ไปแล้วเป็นธรรมชาติของจิตเอง จนเกิดเป็นปัญญา
    ทางธรรมขึ้นมาได้ ก็คือ ถ้าจิตปล่อยเรื่องใดๆได้แล้วนั้น
    หลังจากที่นั้น ตัวจิตจะเบา และคลายตัวเอง
    เราจะรู้สึกโล่งๆเย็นๆสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    และเรื่องที่มันเคยขึ้นมาเรื่องนั้นๆ แม้ต่อไปเราจะพยายามนึก
    ให้มันเกิด ระลึกถึงมัน มันก็จะไม่ขึ้นมาอีก..
    นี่เป็นหลักสังเกตุ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆนะครับ
    และแม้ว่าจะทำเรื่องนั้นได้ เด่วมันก็จะมีเรื่องอื่นๆ
    ขึ้นมาอีก..แต่เราจะรู้ทัน และตามทันทุกเรื่อง
    ส่วนจะมีปัญญาทางธรรมวางได้ กี่เรื่องนั้น
    และจิตจะคลายตัวเองได้นานแค่ไหนในระหว่างวัน
    ขึ้นอยู่กับ วาระของแต่ละบุคคลครับ..พอเข้าใจนะครับ

    ส่วนประเด็นสุดท้ายหรือข้อที่ ๓ นั้น...ขอพูดตรงๆเลยนะครับ
    ---- สภาวะอย่างนั้นมักจะเกิดได้ แม้ผู้ไม่เคยฝึกสมาธิอะไรเลย
    แต่ว่ามันใช้เวลานานมากครับ บางคนเป็นปี สิบปี เป็นเดือน
    เกิดขึ้นเพราะ เห็นทุกข์ เห็นผลจากทุกข์ เนื่องจากไปปรุงร่วม
    ไปคิด ไปปรุ่งแต่งอะไรกับมันมากมาย ซึ่งกว่าจะเห็นได้ก็ไม่
    รู้ว่าเวลาผ่านมานานเท่าไร จนกระทั่งสุดท้าย จิตเกิดการยอมรับ
    หรือปลง กับสิ่งต่างๆที่ เคยเผลอไปปรุง จนทำให้จิตเห็นว่ามันทุกข์
    เมื่อตัวจิตมันยอมรับ จิตมันเลยคลายจากความคิดปรุงแต่ง
    ที่เกิดร่วมกับตัวจิตเหมือนเมื่อในอดีต จิตเลยเป็นกลางโดยธรรมชาติ
    และขณะที่ปลงๆนั้นเอง คือ จิตมันได้รู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยสภาวะ
    ที่เป็นกลาง และเกิดเป็นปัญญาทางธรรมขึ้นมา เพื่อละ เพื่อคลาย
    เรื่องต่างๆที่เคยเผลอไปปรุงร่วมเองได้นั่นหละครับ...


    วิธีการนี้ ถ้าไม่เคยฝึกเจริญสติ ฝึกสมาธิมา จะอันตรายมากๆครับ
    เพราะบางบุคคลหาทางออกในทางที่เป็นอกุศลได้ครับ
    คนที่ฆ่าตัวตาย ก็เพราะมาจากเหตุที่ไปปรุ่งร่วมทั้งนั้นหละครับและมันจะ
    ส่งผลกระทบ ต่อทั้งสภาพแวดล้อมและจิตใจ และต่อคนรอบข้าง
    บ้างก็เพี้ยน กระทบหน้าที่การงานไปเลยก็มี ดั้งนั้นวิธีการที่บอก
    ว่า ให้เข้าไปปรุงร่วม ไปร่วมคิด ไปตามดู ตามรู้แบบยังมีตัวเราอยู่
    จึงเป็นวิธีการไม่ควรแนะนำใครๆครับเข้าใจนะครับ...

    ----- ถ้าจะแนะนำ ต้องแนะนำให้บุคคลนั้นๆไปฝึก
    สร้างสติทางธรรมก่อน
    เป็นอันดับแรกครับ
    เพื่อความคุมความคิด ควบคุมพฤติกรรมของจิตให้ได้ก่อนครับ
    จนกระทั่ง เค้าแยกได้ว่าอะไรเป็นความคิดที่เกิดจากจิต อะไรเป็น
    ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรมก่อน ให้เข้ารู้ก่อนว่าสภาวะ
    ที่จิตเป็นกลางเป็นอย่างไร หรือแนะแนวทางในการพิจารณาจาก
    ตำราต่างๆแม้ว่า จะไม่ได้เกิดปัญญาทางธรรมก็ตาม แต่ใช้เป็น
    แนวทางสำหรับเดินปัญญาได้ในอนาคตครับ เข้าใจนะครับ
    ----- และการหยุดรู้ตัวนั้น ข้อนี้สำคัญมากๆนะครับ สำหรับคุณ วรณ์นิ
    อย่าหาว่าไปสอนนะครับ แต่ให้ พิจารณากิริยาทางจิตหรือพฤติกรรม
    ทางจิตของคุณให้ดีๆนะครับ ว่าการที่คุณไปรู้ตัวนั้น นั่นมันคือการ
    เตลิดครับ คือ พูดง่ายๆว่า ตัวจิตมันตั้งท่าที่จะใช้งานอยู่ตลอดเวลาครับ
    ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามนะครับ ไม่ว่าจะ สติ สมาธิ ปัญญา ตบะ ญาน ญาน
    กำลังจิต หรืออะไรฯลฯ แต่มันตั้งมั่นจากการที่เคยใช้งานมาก่อน
    แล้วไม่รู้จักวาง ไม่รู้จักไม่อะไรกับอะไรกับมัน เพราะเผลอไปคาดหวังผล
    ที่จะได้รับอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นหละครับ​​​
    ----- พอเตลิดหรือใช้งานบ่อยๆ เอะอะก็ใช้งาน คือ ไปรู้เรื่อย จะไปเอารู้
    ไปรู้เอา พอใช้จิตบ่อยๆ ตัวจิตเองนั่นหละครับ ที่มันเลยรู้สึกว่าเกิดเวทนา
    ขึ้นมาของมันเอง ตัวจิตมันเลยเห็นทุกข์ เห็นโทษ จากการที่ไปคาดไปหวัง
    กับการใช้งานไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม และการที่ตั้งท่าจะใช้งาน
    โดยที่ไม่วางมันก่อนในเวลาปกติ.. ตัวจิตมันก็เลยตัดหรือ
    ไม่ส่งตัววิญญานการรับรู้
    ออกไปรู้ของมันเองเหมือนเมื่อก่อนครับ
    หรือตัวที่คุณ วรณ์นิ เข้าใจว่ากิริยานี้
    เรียกว่า เป็นการหยุดตัวรู้นั้นหละครับ...เข้าใจที่พูดนะครับ...

    ปล.ใช้แล้วก็แล้วไป ไม่อะไรกับอะไรกับมัน ใช้แบบทิ้งๆ
    เวลาจะใช้ค่อยดำริขึ้นมาใช้ครับ.
    ในเวลาปกติต้องทิ้งต้องวางนะครับ
    ..เข้าใจนัยยะนี้นะครับ (^_^)
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตำหนิได้ครับ ปกติก็รับฟังครับ
    แต่สำคัญว่าอ่านแล้วเข้าใจจริงๆ...
    ถึงข้อดี ข้อเสีย ถึงเหตุถึงผล ของข้อแนะนำที่ได้แย้งไว้นะครับ..
    พวกนี้มันอยู่ที่วิธีการแนะนำของเราด้วยครับ เราพูดแค่ไหน
    ผู้อ่านก็เข้าใจแค่นั้นนั่นหละครับ
    ถ้าเราจะแย้ง เราควรแนะนำทางด้านกิริยา
    ให้มันคลอบคลุมไว้ตั้งแต่แรกที่เราแนะนำ
    ไม่ใช่มาเพิ่มเติมกิริยาต่างๆภายหลัง
    หรือมาบอกภายหลังว่ามันเป็นโน้นนั่นนี่จาก
    ที่มีคนมาแย้งในมุมที่เราลืมเขียนไว้
    ประเด็นนี้เข้าใจที่พูดนะครับ


    และกิริยาที่คุณ วรณ์นิ มันเป็นมหาสตินะครับ...
    คนเข้าใจนะมีอยู่ และกิริยาอย่างนี้มันจะเป็นไป
    ของมันเองได้ตามวาระ เราจะไปบอกไปพยายามแนะ
    อย่างไรจิตดวงอื่นๆเค้าก็ไม่เป็นตามหรอกครับ
    ถ้ามันไม่ถึงวาระที่จะของดวงจิตนั้นๆ...

    และปัญหามันก็คือ คุณจะถ่ายทอด
    อย่างไรต่างหาก ที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ครับ
    พูดง่ายๆ เราจะไม่สอนว่ามันใช้งานอย่างไร
    แต่เราจะสอนให้ไปถึงระดับที่ใช้งานได้
    สอนให้ไปถึงระดับที่จิตจะเป็นอย่างนั้นได้
    พอนึกภาพออกไหมครับ..
    .
    ยกตัวอย่าง เราใช้พลังงานอย่างนี้ได้
    เราจะไม่บอกว่า ทำอย่างโน้นนี่นั่นนะ
    แต่เราจะสอนวิธีการที่จะไปถึง
    การสร้างให้มีพลังงานเพื่อใช้งานได้
    พอเข้าใจที่สื่อนะครับ

    ไม่งั้นการแนะนำที่ผ่านมาของคุณมันก็จะเหมือน
    ตัวคุณเองไปบอกว่า
    ผมขับรถแข่งอยู่เป็นนักขับรถแข่งนะ
    ผมเหยียบเบรคพร้อมคันเร่ง
    หมุนพวกมาลัย หักล้อกลับด้าน(นี่คือเทคนิคใช้งานครับ)
    เราจะไม่สอนไม่พูดในส่วนนี้
    เพราะตรงนี้มันเป็นเรื่องเทคนิคเฉพาะ
    ซึ่งแตกต่างกัน แต่ที่เหมือนกันที่ควรแนะคือ
    ควรสอน เรื่องการเก็บตังค์ซื้อรถ การทำตัวอย่างไร
    ให้เป็นนักแข่ง การขับรถขั้นเพื่อเป็นนักแข่งรถครับ
    ถ้าคุณมัวแต่เล่าเทคนิค บอกคนอื่นๆ
    ว่าตัวเองเป็นนักแข่ง
    คนเค้าก็จะมองว่า
    คุณพูดอะไร พยายามสืออะไร
    จะมองว่า เวอร์ไปเปล่า
    ได้นั่นหละครับเป็นเรื่องปกติ


    เข้าใจอยู่ว่า มันมีคนทำได้ยาก..
    คุณเล่นไม่ปูพื้นฐานก่อน ใครเข้าจะเข้าใจหละครับ
    เอาแค่ สร้างสติทางธรรม เจริญสติให้ต่อเนื่อง
    ถามว่า สติทางธรรมกับทางโลกต่างกันอย่างไร
    กิริยาที่สังเกตุได้เป็นอย่างไร กิริยาของความคิดที่เกิดจากจิตเป็นอย่างไร
    กิริยาความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ นามธรรมเป็นอย่างไร
    ยังหาคนที่จะทำตรงนี้แทบนับคนได้เลยครับ
    ขนาดบางคนอ้างตัวว่าตัวเอง เป็นระดับโน้นนี่นั้น
    พื้นฐานตรงนี้ยังตอบไม่ได้เลยครับ..
    ไม่ต้องไปเอาเรื่อง มหาสติหรอกครับ


    ส่วนตัวมองว่า ต้อง อุเบกขารับรู้บ้างก็ดีครับ
    หรือไม่ก็ต้อง มามองดูว่า ทำไมเราพูดเราสื่อ
    แล้วคนอื่นๆถึงไม่เข้าใจครับ..
    ประมาณนี้..

    ปล.อ่าน #Rep นี้ก่อนก็ได้
    อย่าพึ่งรีบ บรรยายเพิ่มเติมครับ (^_^)
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๕๕๕ พอเข้าใจอยู่ครับ..
    เด่วนี้กฎหมายทางคอมพิวเตอร์แรงด้วยนะครับ
    ถ้า กล่าวความเท็จ ใส่ร้ายนะครับ
    ซึ่งเป็นอะไร ที่ไม่น่าจะเกิดได้สำหรับ
    บุคคลที่ ชอบใช้ชื่ออวตาร แล้วก็มา
    ถามเองตอบเองเหมือนบุคคลที่คุณ กำลังกล่าวถึง
    ถ้าว่ากันด้วยเหตุ ด้วยผล ทางปฏิบัติ มีการอ้างอิง
    ตำราที่น่าเชื่ออย่างนี้ไม่ว่ากันครับ..
    พอดีส่วนตัวเก็บหลักฐานไว้รอนานแล้วหละครับ
    พระท่านบอกว่า อย่าไปยุ่งให้เฉยๆดีกว่า
    แต่ลึกๆรอจังหวะเฉยๆ
    ว่าจะเลิกพูดประเด็น ใส่ร้าย กล่าวความเท็จ
    อีกหรือเปล่า ถ้าไม่เลิก ก็ว่าจะจัดอยู่ครับ
    เพราะคุยกับทนายและก็พอมีคนรู้จัก
    อยู่ที่นั่นพอดี ที่ๆสาวที่โดนถ่ายคลิปไปฟ้องนั่นหละครับ (^_^)
    ส่วนตัวมองว่า มุมที่เค้าพูดดีก็มีนะครับ
    ส่วนตัวก็กดไลท์ให้ ถ้าเค้าเห็นว่าเค้าพูดดีนะครับ...
    ข้ามๆ เรื่องในอดีตไปบ้าง ดูกันที่ปัจจุบันก็พอครับ

    ความจริงต้องนี้ ห้อง อภิญญา มีสาวก พุทธวจน
    สาย พระ...ฤิทธิ์ ผู้มีชื่อโด่งดัง
    กลับมาแล้วนะครับ แต่คงไม่กล้าออกตัว
    เลยต้องเอา พระโกเอน...อะไรมาขึ้นก่อน
    เพราะโดนเล่นไปหนักเมื่อก่อน
    เมื่อก่อน ประกาศตัวเป็น อนาคาฯ
    ลงมาสกิทาฯ แล้วมา โสดาฯ ตามลำดับโน้นครับ
    ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสาวกสายนี้ครับ
    เชื่อเหอะถามเรื่องพื้นๆตอบไม่ได้หรอกครับ..
    แต่ตอนนี้ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรนะครับขี้เกียจสนใจ
    ผมว่า คนนี้ ที่ชื่อ ขึ้น ด้วย b.... ลงท้ายด้วย o
    น่าสนใจมากกว่านะครับ
    รอดูสถานะการณ์ไปก่อน ว่าจะมาไม้ไหนครับ
    ส่วนคนนั้น ปล่อยๆไปเหอะครับ
    เค้ามีความสุข กับการ อวตาร
    มาถามเองตอบเองอยู่ครับ
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขวางอะลาย

    ผมทำตาม พร ที่คุณให้สัจจะ ให้ผมทำ

    ดังนั้น มันเแนการทำตามคำสั่ง ที่คุณให้ไว้

    ถ้าโชวเบอร์ หรือพูดเชิง เชิญชวน รับพลัง เมื้อไหร่

    ให้ผมโพส รูปนั้นทันที
     

แชร์หน้านี้

Loading...