เรื่องราวหลวงพ่อพิเชฐ วัดโคกหม้อ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย สวนพลู, 18 สิงหาคม 2010.

  1. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    วัตถุมงคลของหลวงพ่อ vs ผีปอบ

    ในความเชื่อของชาวไทย ผีปอบ ยังคงมีอยู่จริง และตามท้องถิ่น ก็ยังมีคนถูกปอบเข้า มีการไล่ปอบ อยู่เสมอๆ ถ้าถามชาวกรุง สมัยใหม่ว่า กระสือ ปอบ มีจริงมั๊ย เขา ก็จะบอกว่า ไม่มี ไร้สาระ นั่นก็เพราะ ไม่เคยได้สัมผัสกับตาตัวเอง เลยคิดว่าไม่มีจริง ส่วนคนที่เคยเห็น ได้รับรู้ สัมผัส ก็จะเถียงหัวชนฝาว่า มีจริง! สุดแต่ประสพการณ์ของที่ละท้องที่ แต่ละคน
    แต่ที่จะนำมาเล่าต่อจากนี้ เป็นเรื่องของผีปอบ ที่เจอกับวัตถุมงคลของหลวงพ่อ แล้วขยาด เช่น เรื่องแรก ที่เคยเล่าไปนานมากแล้ว มีเด็กหนุ่มมาหาหลวงพ่อ บอกว่าแม่ป่วยมาก อวัยวะข้างในไม่เหลือแล้ว แต่ยังมีชีวิตนอนอยู่ที่โรงบาล ขอให้หลวงพ่อเมตตาช่วยด้วย หลวงพ่อท่านก็นั่งสมาธิดู ปรากฎว่า โดนปอบกินหมดแระ และที่ยังอยู่ในร่าง ไม่ใช่แม่เขา แต่เป็นปอบ หลวงพ่อท่านก็เมตตาบอกว่า ช่วยได้นะ แต่แม่เราจะตายเลย เพราะว่าแม่เราไปนานแล้ว แต่ปอบอาศัยร่างอยู่ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ใจเด็ด ตกปากรับคำ โดยที่หลวงพ่อ ได้ให้ปลัดขิก และท้าวเวสสุวรรณ ไปไว้ใต้หมอนทีรแม่หนุนที่โรงบาล เด็กหนุ่มคนนั้นก็ทำตามตอนดึก พอเช้ามา ปอบในร่างแม่ ก็หายไป พร้อมลมหายใจในร่างแม่

    เรื่องที่สอง จากพี่ข้าวโพดท่านนึง ได้เล่าว่า ปอบได้มาเข้าคนตรงข้ามบ้านพี่ชาย ที่อีสาน และเขาชี้หน้าพี่ชาย เพราะทำอะไรไม่ได้ แล้้วพูดว่า "ที่คอมึงอะไร ของดีนี่หว่า " พี่ชายคนนั้น แขวนเบี้ยแก้ วัดโคกหม้อ

    เรื่องที่สาม คือ มีพระทางอีสาน หลายๆที่ ได้นำพระขรรค์ศาสตราเทพตรึงไตรภพ ไปโปรดชาวบ้าน ท่านได้เอามาเป็นอุปกรณ์(อาวุธ)ไล่ปอบ ปราบปอบ และผีอื่นๆ ได้ผลชะงักงันนัก ผีหลุดทุกรายไป ทางทีมผู้สร้าง และขอโมทนากับผู้ที่จอง ออกทุนสร้าง ที่พระขรรค์นี้สามารถไปช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย

    จะเห็นได้ว่า วัตถุมงคลของวัดโคกหม้อ ก็สามารถป้องกันผีสางพวกนี้ได้ สบายๆ ไม่ต้องไปขวนขวายของแพงๆ บางทีก็ไม่ได้ดีดั่งราคา ของวัดโคกหม้อ ออกจากวัด ร้อยเดียว ก็กันปอบได้ ชิลว์ๆ

    ขอจบเรื่องปอบแต่เพียงเท่านี้
     
  2. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    หากกล่าวถึง การนำอุกกาบาตมาใช้งานได้มีการเริ่มใช้งานกันตั้งแต่ 3,000 กว่าปีก่อน ก่อนพุทธกาลอีก อันถือเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และชนชั้นสูงเท่านั้นที่ได้ครอบครอง ถูกนำมาทำเป็นอาวุธสำหรับเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นผู้นำ หรือผู้ครองประเทศ เพราะอำนาจลี้ลับภายในตัว ที่ป้องกันคุณคนคุณไสย์ ในสมัยสามพันปีก่อน เขาต้องค้นพบพลังงานบางอย่างในตัวของอุกกาบาต แลถึงการป้องกันสิ่งชั่วร้ายในยุคที่คนมีที่พึ่งพิงด้วยไสยเวทย์ ด้วยความเก่าแก่แห่งศาสตร์นี้ หลวงพ่อเดิม และหลวงพ่อพิเชฐ ท่านได้สืบสานการใช้อุกกาบาตให้เกิดประโยชน์แก่พวกเรา อีกทั้ง พระขรรค์ศาสตราเทพตรึงไตรภพ ยังได้มีการบรรจุอุกกาบาตลงไปในพระขรรค์ ทำให้ทรงอานุภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก ทีมงานการสร้างพระขรรค์มิได้ละเลยจุดนี้ไป เพื่อให้ท่านได้ครอบครองอาวุธของเทพ พรหม และวัตถุอันมีอาถรรพ์ในการป้องกัน ใน 1 เดียว คุณค่าเหล่านี้มิได้เกิดจากความบังเอิญ แต่มันมีความเป็นมาในตัวของมันเอง
    การใช้ญาณทรรศนะมีมาแต่โบราณ คือการบำเพ็ญพรต เพื่อให้เกิดความรู้สัมผัสพลังงานจากธรรมชาติ มีมาก่อนพุทธศาสนา แต่การเข้าถึงพระนิพพาน มีเฉพาะแค่ในพุทธศาสนา แต่เมื่อเราไม่ได้ออกบวชเพื่อหลุดพ้นอย่างครูบาอาจารย์ เราก็ต้องมีของดีไว้คุ้มครองตัว และช่วยคนได้ ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา ขอแสดงความยินดีกับผู้ครอบครองพระขรรค์วัดโคกหม้อด้วยครับ เก็บรักษาและนำออกมาติดตัว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ของเค้าดีจริงๆ นี่คือศาสตร์และศิลป์ ที่หลวงพ่อฝากไว้ในแผ่นดิน และคือพระขรรค์อันดับหนึ่งในใจผม ฝากอ่านภาพที่แนบมาเพื่อประกอบบทความนะครับ

    คุณค่าที่คุณคู่ควร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. อาณัติ

    อาณัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2006
    โพสต์:
    6,078
    ค่าพลัง:
    +22,261
    อุกกาบาต...หลวงพ่อนำมาสร้างพระรุ่นไหนบ้างครับ
     
  4. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    หลวงปู่ทวด แกะสลัก พระขรรค์ และนำมาทำลูกอม ครับผม
     
  5. Dek_watpa

    Dek_watpa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2,608
    ค่าพลัง:
    +4,517
    ติดตามอ่านได้เรื่อยๆ มีสาระความรู้ ที่บางท่านอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
     
  6. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    #พระขรรค์วัดโคกหม้อ ต่อจากนี้ไป ถ้าผมมีเวลา จะปล่อยข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับพระขรรค์ออกมาให้อ่านกัน โดยจะติดแฮชแท็กซ์ "พระขรรค์วัดโคกหม้อ"ไว้ เพื่อให้ท่านได้หาข้อมูลรวมได้โดยง่าย แต่ในบางเรื่องราวมันยาว ท่านก็ต้องอ่าน ทั้งนี้ก็เพื่อตัวท่านเอง จะได้ไม่ต้องง้อข้อมูลจากใคร ท่านก็จะมีความรู้มากยิ่งขึ้น เรื่องแรกจะนำเสนอ เรื่องของ"สังข์" หรือหอยสังข์ ที่เราเห็นๆกันอยู่ ในโอกาศต่าง

    สังข์เป็นหอยอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความเกี่ยวพันกับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เป็นมงคลของไทย ที่เห็นบ่อย ๆ ได้แก่ การรดน้ำสังข์ในงานแต่งงาน หรือในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่มีการอัญเชิญพระสังข์ พระมหาสังข์องค์ต่าง ๆ เข้าประกอบพิธี เช่น พิธีโสกัณฑ์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก หรือแม้กระทั่งที่ผ่านมา ในงานพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของในหลวงเรา ก็คงจะได้เห็นภาพที่พระราชครูวามเทพมุนี ถวายน้ำพระมหาสังข์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ซึ่งพระมหาสังข์เอง ก็จัดเป็นหนึ่งในเครื่องราชูปโภค ซึ่งหมายถึง เครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ อีกทั้ง ยังใช้เป็นเครื่องประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งประกอบด้วยเครื่องมงคล 8 ประการ เรียกว่า "อัฐพิธมงคล" อันประกอบด้วย

    ---1.คทา หรือ ตะบอง

    ---2.สังข์ทักษิณาวรรต

    ---3.จักร

    ---4.ธงสามชาย

    ---5.อุณหิศ หรือ หญ้าแพรก

    ---6.โคอศุภราช

    ---7.หม้อน้ำมนต์

    ---8.ขอสับช้าง

    ---แม้แต่รูปปั้นของเทพเจ้าฮินดู ที่ทรงสังข์เป็นเทพศาสตราวุธ ในพระหัตถ์ก็จะทรงสังข์ทักษิณาวรรต หรือในมหากาพย์ต่าง ๆ เช่น มหาภารตยุทธ ก็ได้กล่าวถึงสังข์สำคัญมากมาย ซึ่งเหล่ากษัตริย์มีไว้ประจำองค์ และนำติดตัวไปเป็นเครื่องพิชัยสงคราม ยามที่ออกเล่นศึกชาญณรงค์สงคราม หลายท่านอาจจะสงสัยว่า สังข์ ใช้เป็นอาวุธได้อย่างไร จริง ๆ แล้วมิได้ใช้ ขว้าง ทิ่ม แทง ใส่ศัตรูดอกขอรับ เพียงแต่ใช้เป่า เป็นอาณัติสัญญาณให้กับไพร่พล เวลาออกทำศึกในตอนเช้า และเลิกทัพในตอนเย็น รวมถึงตอนที่เข้าประจัญบาน เพื่อให้เกิดความฮึกเหิม หรือเป็นการประกาศเดชานุภาพ ให้เหล่าทวยเทพและมหาชนได้รับรู้

    ---แม้แต่ในพงศาวดารหลายเรื่อง ก็มีการกล่าวถึงหอยสังข์ เช่น การใช้เปลือกหอยสังข์ มาทำเป็นผังเมืองสำหรับสร้างเมืองหริภุญไชย หรือที่กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ในตอนสร้างกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 1893 พระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1) ทรงเห็นว่า ทำเลบริเวณหนองโสน อยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีคูคลองล้อมรอบ จึงมีรับสั่งให้ชีพ่อพราหมณ์ ตั้งพิธีกลบบาตสุมเพลิง จากนั้น จึงให้พนักงานขุดดินโดยรอบ เพื่อเตรียมสร้างพระราชวัง และได้พบสังข์ทักษิณาวรรต สีขาวบริสุทธิ์ใต้ต้นหมันหนึ่งขอน

    -เรื่องราวที่เล่าขานมานี้ ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่า สังข์มีความเกี่ยวพันกับคนไทยมานานแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องใช้สังข์หลั่งน้ำในงานมงคลต่าง ๆ หรือเข้าประกอบในงานมงคลต่าง ๆ นั้น เรื่องนี้มีที่มาขอรับ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อครั้งพระอิศวรสร้างเขาพระสุเมรุแล้ว พระองค์ก็มีประกาศิต ให้พระพรหมธาดา ขึ้นไปอยู่ในพรหมโลก ให้เป็นใหญ่กว่าพรหมทั้งหลาย ในครั้งนั้น บรรดาพรหมที่มีจิตใจริษยาต่างก็ไม่พอใจ ก็เลยจุติลงมาเป็นสังข์อสูร อยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ครั้งนั้น พระพรหมธาดาได้นำเอาคัมภีร์มาถวายพระอิศวร เมื่อมาถึงที่อยู่ของสังข์อสูร ก็เกิดอาการร้อนรุ่มอยากสรงน้ำ จึงได้วางคัมภีร์ไว้ริมฝั่งแล้วเสด็จลงน้ำ

    ---ฝ่ายสังข์อสูร เมื่อเห็นเช่นนั้น จึงได้ให้ผีเสื้อน้ำไปลักเอาคัมภีร์นั้นมา แล้วก็กลืนเข้าไว้ในท้องทั้งหมด ฝ่ายองค์พรหมเมื่อขึ้นมาจากน้ำไม่เห็นคัมภีร์ จึงรีบไปเข้าเฝ้าพระอิศวร ทูลเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ เมื่อพระศิวะเจ้า เข้าฌานก็ทราบถึงสาเหตุ จึงได้เชิญพระนารายณ์มา และให้เป็นธุระในการนำเอาพระคัมภีร์กลับมา พระนารายณ์จึงได้แปลงกายเป็นปลากรายทอง นามว่า "มัจฉาวตาร" ไล่ล่าสังหารผีเสื้อน้ำ และเข้าโรมรันกับสังข์อสูรเป็นสามารถ ในที่สุดก็เอาชนะสังข์อสูรได้ แล้วสำแดงองค์ คืนร่างเป็นพระสี่กร ยื่นพระหัตถ์เข้าไปในปากสังข์อสูร เพื่อหยิบเอาพระคัมภีร์

    ---บางตำนานก็ว่า ทรงแหวกปากของสังข์อสูรออก ทำให้หอยสังข์ในปัจจุบัน มีรอยนิ้วของพระนารายณ์ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ จากนั้น พระสี่กรจึงสาปสังข์อสูรว่า สังข์อสูรเป็นพรหมมาจุติ และกลืนคัมภีร์พระเวทย์เข้าไว้ อีกทั้งยังมีรอยนิ้วพระหัตถ์แห่งพระองค์ปรากฏอยู่ด้วย นับว่าเป็นมงคล ดังนั้น ถ้าผู้ใดจะทำการมงคลพิธีในภายภาคหน้าก็จงเอาสังข์เข้าอยู่ในพิธีนั้น ผู้ใดรดน้ำในอุทรสังข์ ก็ให้เป็นมงคลกันอุบาทว์เสนียดจัญไร หรือเป่าก็ให้เป็นมงคลไปจนสุดเสียงสังข์ ครั้นสาปแล้ว พระนารายณ์ก็นำคัมภีร์ไปถวายพระอิศวร และเสด็จกลับเกษียรสมุทรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พราหมณ์จึงถือว่าหอยสังข์ที่ปากมีริ้ว 2-4 ริ้ว อันเกิดจากนิ้วพระหัตถ์ของพระสี่กรปรากฏอยู่นั้นเป็นสังข์สำคัญ

    หลายคนอาจจะสงสัย พระสังข์ทักษิณาวรรต หรือถ้าแปลเป็นภาษาง่าย ๆ จะแปลว่าหอยเวียนขวา ส่วนพระสังข์อุตราวัฏ หรือหอยเวียนซ้ายนั้น จะดูอย่างไร ว่าสังข์ขอนไหนที่เป็นเวียนขวา หรือว่าเวียนซ้าย ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนนะขอรับ ว่าการดูว่าเปลือกหอยเปลือกไหน เวียนขวาหรือว่าเวียนซ้ายนั้น มีการมองอยู่สองแบบ แบบหนึ่งเป็นไปตามหลักการทางด้านสังขวิทยา

    ---ส่วนอีกแบบเป็นไปตามคติของพราหมณ์ เราลองมาเปรียบเทียบทั้งสองแบบดูนะขอรับ เอาแบบทางด้านสังขวิทยาก่อนแล้วกันนะขอรับ ถ้าตอนนี้ ใครมีเปลือกหอยทะเลในมือ (ขอเป็นหอยฝาเดียวนะขอรับ หอยสองฝาเดี๋ยว ไว้มีเวลากระผมค่อยบอกว่าดูยังไงเป็นฝาซ้ายหรือว่าฝาขวา) ทีนี้ลองยกเปลือกหอยขึ้นมาดูนะขอรับ ให้เอาด้านที่เป็นปลายแหลมชี้ขึ้นข้างบน แล้วหันเอาด้านที่เป็นปากเปิด (aperture) หันเข้าหาตัว ถูกต้องแล้วขอรับ

    ---ทีนี้ให้สังเกตด้านปากเปิด ถ้าปากเปิดอยู่ด้านขวามือเรา แสดงว่า เป็นหอยเวียนขวา (right-hand coiling : Dextral) แต่ถ้าปากเปิดอยู่ด้านซ้ายก็เป็นหอยเวียนซ้าย (left-hand coiling : Sinistral) ขอรับ ซึ่งในหอยทะเล 99.99 % เป็นหอยเวียนขวา และ 0.01 % เป็นหอยเวียนซ้าย เอาล่ะขอรับ ทีนี้เรามาลองดู การขดวนของหอย แบบทางคติพราหมณ์บ้างขอรับ ในทางพราหมณ์นั้น เขาไม่ได้มองการขดวน เหมือนทางวิชาการ แต่ดูจากเวลาใช้สังข์รดน้ำ ลองนึกภาพตอนที่เรารดน้ำสังข์ในงานแต่งงานสิขอรับ เราทำอย่างไร

    ---เราจะหันเอาด้านปลายแหลมเข้าหาตัว แล้วก็เอาด้านที่เป็นช่องที่ใส่น้ำออกจากตัวใช้ไหมขอรับ ในกรณีนี้ ถ้าปากเปิด หรือช่องที่ใช้รดน้ำนั่นแหละขอรับ อยู่ทางด้านซ้ายมือเรา ก็จะเรียกว่า หอยเวียนซ้าย หรือสังข์อุตราวรรต แต่ถ้าปากเปิดอยู่ทางด้านขวามือ ก็จะเป็นหอยเวียนขวา หรือสังข์ทักขิณาวรรต ทีนี้เอาใหม่นะขอรับ เราลองเอาสังข์อุตราวรรต มาดูการขดวนแบบทางวิชาการดู สังเกตเห็นอะไรไหมขอรับ ใช่แล้วขอรับ สังข์อุตราวัฏ ก็จะกลายเป็นหอยเวียนขวาในทางวิชาการ และในทำนองเดียวกัน สังข์ทักขิณาวรรต ก็จะกลายเป็นหอยเวียนซ้าย

    ---เพราะฉะนั้น อย่าได้สับสนนะขอรับ ให้เข้าใจว่า ถ้าพูดถึงสังข์ หรือพระมหาสังข์ทักษิณาวรรตแล้วล่ะก็ จะหมายถึงหอยที่มีการขดวนของเปลือกเป็นแบบเวียนซ้าย ส่วนสังข์หรือพระสังข์อุตราวัฏ จะหมายถึง หอยที่มีการขดวนของเปลือกเป็นแบบเวียนขวาขอรับ ขออนุญาตนอกเรื่องสักนิดขอรับ ในประเทศอินเดีย เราคงทราบดีอยู่แล้วว่า มีการปกครองแบบแบ่งวรรณะ (varna) ต่าง ๆ สี่วรรณะ เชื่อหรือไม่ขอรับว่า แม้แต่สังข์เอง ก็ยังแบ่งออกเป็นสีในการใช้ตามวรรณะด้วยเช่นกัน
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ล้วนแต่มาจากคติความเชื่อที่ว่า สังข์เป็นของมงคล และน้ำที่หลั่งจากสังข์ ช่วยปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกไปได้ พอพูดถึงเรื่องนี้ คนแก่เองก็อยากทราบเหมือนกันว่า คนกรุงเทพฯ เรานี่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า หอยสังข์อุตราวัฏสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ใน “สวนรมณีนาถ” ซึ่งสร้างในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษานั้น ภายในสังข์นั้นบรรจุแผ่นยันต์มหาโสฬสมงคล และองค์สังข์จริง ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานไว้ในสังข์สำริด ทำให้น้ำพุที่ไหลผ่านกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย

    ยาวไปหน่อย เก็บกันเอาไว้อ่านนะครับ แล้วจะเข้าใจเองว่าผมให้อ่านทำไม
    ในพระขรรค์ ได้บรรจุพระสังข์ทักษิณาวัตรลงไปที่ต้นด้าม
     
  7. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    #พระขรรค์วัดโคกหม้อ
    วันนี้มาในเรื่องของดวงตาพญายมราช ๑ใน ๕ ของอาวุธ ที่มีอานุภาพมากที่สุดในไตรภพ ทั้ง 3 โลก ถ้าพระยายมพิโรธแล้ว สักว่ามองดูด้วยนัยนาวุธ กุมภัณฑ์หลายพันก็จะลุกเป็นไฟพินาศ ดุจหญ้าและใบไม้บนกระเบื้องร้อน ระเบิดเป็นจุณมหาจุณ บรรดาภูตผี ปีศาจ ต่างๆ ทั้งหลาย จะถูกแผดเผามอดไหม้ไป บ้างก็ว่าเปรียบดั่งปรามานู หรือระเบิดนิวเคลียร์ ในบรรดา 5 อาวุธที่รุนแรงที่สุดในสามโลก ผมเอง ชอบดวงตาพญายมราช ที่สุด เหตุเพราะ ไม่ต้องไปพกพาหรือถืออะไรไว้เลย ติดอยู่ในอวัยวะของเราเลย เท่สุดๆ แต่หากเปรียบดั่งธรรมะ ดวงตาแตกความหมายได้มากแล้วแต่จะตีความ ได้ยินในพุทธประวัติบ่อยๆ ก็จะเป็นคำว่า ดวงตาเห็นธรรม หมายถึง ท่านที่บรรลุแล้วซึ่งพระโสดาบัน แต่่ดวงตา ยังมีหน้าที่รับภาพจากภายนอก และแสดงอารมณภายในใจ ดังคำว่า ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ บางทีสามารถแผดเผาคนข้างกายได้ด้วยแววตา แถมดวงตายังหาเรื่องได้ด้วย เช่น มองหน้าใครนานๆ ก็อาจจะมีไฝว้ เพราะคนไทยแปลก ห้ามมองหน้า ดวงตาเป็นสิ่งที่มีพลังงานที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ แถมยังทำหน้าที่ช่วยในเรื่องของการฝึกกสินทั้ง 10 กองอีกด้วย

    ครูบาอาจารย์ เวลาจะทำพระขรรค์ หรือมีดหมอ ท่านจะบรรจุคาถารวมศาสตราวุธไว้ ในตัวคาถาก็จะมีการอ้างถึงดวงตาพญายมราชด้วยเช่นกัน

    มาอ่านประวัติของปู่พญายมราชกัน

    ท้าว พญายมราช หรือ พระยม ในเทวตำนานยุคต้น ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ กล่าวไว้คือพระยม เป็นองค์เดียวกัน มีลักษณะใบหน้าดุดัน พระวรกายสีแดงทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศก์(บ่วงบาศก์ที่ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย) พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มีอิทธิฤิทธิ์มากทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ มีบริวารคือ ยมฑูต หรือ นายนิรยบาล มีหน้าที่นำวิญญาณทั้งหลายไปยังสำนักพญายม และลงโทษแก่ดวงวิญญาณในนรก

    ซึ่งบริวารท้าวพญายมราชที่คนไทยรู้จักดีมีด้วยกัน ๒ องค์ ได้แก่ พระกาฬไชยศรี และ เจ้าพ่อเจตตคุปต์ ซึ่งมีรูปเคารพอยู่ที่ศาลหลักเมือง ทำหน้าที่จดชื่อและจับวิญญาณชั่วร้ายที่จะมารบกวนบ้านเมือง ท้าว พญายมราช เป็นเทวดาที่มีการกล่าวถึงในตำนานของทุกชาติพันธุ์ภาษา ของทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ต่างกันเพียงการเรียกนามที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาษาเท่านั้น ส่วนหน้าที่และอำนาจนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ตำนานลัทธิข้างจีนฝ่าย มหาญาน กล่าวว่า พญายมเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง

    ตำนานท้าวพญายมราช มีการกล่าวถึงกำเนิดไว้หลากหลาย อาจเป็นเพราะพญายมเป็นตำแหน่งเทวราชผู้ปกครองยมโลก มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามมติของเทวสภา หรือบารมีที่สั่งสมมาอย่างเหมาะสมทำให้ไปเกิดเป็นท้าวพญายมราช จากเทวตำนานในยุคต้นที่กล่าวว่าท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ พระยม

    ด้วยในยุคต้นที่ยังไม่มีวิญญาณใดที่เหมาะสม ท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ ท้าววิรุฬหก ทรงเป็นเทวกำเนิดจึงต้องรับภาระในตำแหน่งพญายม หรือ พระยม ซึ่งก็มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า บริวารของพญายมคือ ยมฑูต ก็ คือกุมภัณฑ์ พวกหนึ่งนั่นเอง แต่เมื่อมีมนุษย์มากขึ้นสั่งสมบารมีหรือมีความเหมาะสมย่อมได้รับการสถาปนา ให้ดำรงตำแหน่ง

    ท้าวพญายมราช องค์ปัจจุบันในอดีตชาติก่อนที่ท่านจะได้รับสถาปนาเป็นท้าวพญายมราชนั้น ท่านเป็นมนุษย์ในครั้งก่อนพุทธกาล ในยุคที่ยังมนุษย์อยู่กันเป็นชุมชนยังไม่ใหญ่นัก ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าชุมชนในหมู่บ้านเป็นผู้มีวิชาความรู้ เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในชุมชนหมู่บ้านท่านเป็นผู้นำปราบปรามแก้ไข และต้องตัดสินพิพากษา

    ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในหมู่บ้านที่ท่านดูแลอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเป็นผู้กระทำด้วยเกรงกลัวความผิด เพราะโทษนั้นหนักถึงกับต้องประหารให้ตายตกตามกันคือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านในฐานะผู้ปกครองดูแลเมื่อสอบสวนแล้วไม่มีผู้ยอมรับผิด จึงได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาเสกแป้งฝุ่นแล้วซัดออกไปก็จะปรากฎรอยเท้า ผู้กระทำผิด

    เมื่อตามรอยเท้านั้นไปปรากฎว่าผู้เป็นเจ้าของรอยเท้านั้นคือพ่อบังเกิดเกล้า ของท่านเอง ท่านมีความเสียใจเป็นอย่างมากไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านพิจารณาด้วยใจอันเป็นธรรมอย่างที่สุดจึงได้ตัดสินให้ประหารพ่อ ของท่านเอง แล้วก็ออกจากหมู่บ้านเร่ร่อนไปจนท่านเสียชีวิตเพียงลำพัง เป็นการแสดงให้เห็นว่าท่านมีความเที่ยงธรรมอย่างหาที่เปรียบมิได้

    เพราะหากท่านไม่บอกแก่ใครย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ อีกทั้งท่านก็ยังได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านมีความสุขสบายไม่ต้อง ลำบากเร่ร่อนไปอย่างเดียวดาย เมื่อท่านได้เสียชีวิตดวงวิญญาณของท่านเป็นยกย่องในความเที่ยงธรรม เทวดาทั้งหลายจึงแสดงฉันทามติสถาปนาท่านให้ดำรงตำแหน่งท้าวพญายมราช

    องค์พญายมราชจะมีผู้ช่วยสำคัญในการไปนำดวงวิญญาณ ของสัตว์โลกมาสู่แดนปรโลก หรือแดนยมโลกคือ องค์เจ้าพ่อพระกาฬชัยศรี เจ้าพ่อพระกาฬชัยศรีนี้มีรูปปั้นอยู่ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กรุงเทพมหานคร มีเทวะลักษณะเป็นเทพยดาที่สี่กร กรหนึ่งถือดวงไฟหมายถึงดวงวิญญาณ กรหนึ่งถือบ่วงบาศเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการใช้จับดวงวิญญาณทั้งปวง ขี่นกเค้าแมวเป็นพาหนะ

    พระองค์เป็นบริวารของพญายมราชทำหน้าที่เก็บดวงวิญญาณต่างๆ บ้านไหนที่จะมีคนตาย พระองค์จะทรงใช้นกแสกบ้าง นกเค้าแมวบ้าง ไปเกาะลังคาบ้านร้องเตือนให้ทราบล่วงหน้า หรือบันดาลนิมิตดีร้ายให้ทราบ หากผู้นั้นมีปัญญาจะได้รีบขวนขวายทำบุญก่อนจะหมด โอกาสในโลก

    นอกจากนี้พระองค์ยังมีบริวารเรียกว่าเหล่ายมฑูต ทำหน้าที่ไปเก็บดวงวิญญาณต่างๆให้พระองค์อีกทีหนึ่งด้วย ซึ่งเราชาวโลกจะเรียกท่านว่า พญามัจจุราชนั่นเองนอกจากนี้องค์พญายมราชยังมีบริวารที่ทำหน้าที่บันทึกการ กระทำความดีความชั่ว เรียกว่าสุวัณ และสุวาณ

    สุวัณนั้นทำหน้าที่จดการกระทำความดีของผู้ที่กระทำความดีตั้งอยู่ในศีลใน ธรรม การจดนั้นท่านใส่สมุดทองคำ ยามรายงานองค์พญายมราชเสร็จเรียบร้อยจะทำการยกขึ้นจบเหนือหัวเป็นการ อนุโมทนา ส่วนสุวาณทำหน้าที่จดการกระทำของคนชั่วประพฤติบาป ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม การจดก็จดใส่สมุดหนังหมา เป็นการ คาดโทษเอาไว้

    ใน พระไตรปิฏกกล่าวว่าองค์พญายมราชนั้นเมื่อได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันนั่นเป็นเบื้องต้น ครูบาอาจารย์ที่ถอดจิตได้อย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านกล่าวว่าองค์พญายมราชนั้นปัจจุบันท่านมีภูมิธรรมชั้นพระอนาคามี เป็นภูมิพรหม ดำรงตำแหน่งการพิพากษาตัดสินดวงวิญญาณในแดนยมโลกอย่างยุติธรรม ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือดวงวิญญาณแต่ละดวงที่ตกมายังยมโลกนั้น

    พระองค์จะไต่ถามด้วยความเมตตาว่าระลึกถึงบุญอันใดได้บ้าง หากดวงวิญญาณนั้นๆระลึกได้แม้สักอย่างท่านจะอนุโมทนาและให้ไปรับส่วนบุญ นั้นๆ หากดวงวิญญาณไม่อาจระลึกถึงคุณงามความดีใดๆได้เลยท่านก็ทรงจิตไว้เป็น อุเบกขา ว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ท่านก็จัดส่งไปลงโทษตามควรแก่ฐานานุโทษของสัตว์นั้นๆ

    ในด้านของไสยศาสตร์นั้น พระยายมราช นับเป็นเทวะราชาพระองค์หนึ่งที่มีเทพอาวุธอันทรงอานุภาพเปรียบได้กับอาวุธ ปรมาณู ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างสูงสุดเป็นที่เกรงกลัวของทั้งสามภพ ในตำราทางไสยศาสตร์นั้นเทพอาวุธอันทรงอานุภาพมีด้วยกัน ๕ อย่าง เป็นของเทพ ๕ พระองค์ มีดังนี้ครับ

    วัชระ ของพระอินทร์ ๒ ผ้าโพกหัวของอาฬาวะกะยักษ์ ๓ นัยตาของพญาอาวุธทั้ง ๕ นี้ถือเป็นของที่มีอานุภาพสามารถทำลายล้างสารพัดสรรพสิ่งได้เป็นจุณมหาจุณ เป็นที่เกรงกลัวของภูติผีปีศาจอย่างยิ่ง ครูบาอาจารย์ได้นำเอาเรื่องราวของอาวุธทั้ง ๕ มาประพันธ์เป็นพระคาถาในการป้องกันและปราบปรามภูติผีปีศาจได้อย่างชะงักงัน ท่านสร้างและรังสรรค์ ผูกคาถา อักขระเลขยันต์ จนบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์

    ด้านการอานิสงค์ของการบูชานับถือพญายมราชนั้น เชื่อกันว่าภูติผีปีศาจไม่กล้าระราน ผู้นั้นจะมีตบะบารมีที่น่าเกรงขาม ใครคิดร้ายด้วยทุจริตมิชอบอิจฉาตาร้อน จะแพ้ภัยด้วยตัวเขาเอง นอกจากนี้หากหมั่นบูชาพระองค์ท่านเสมอๆท่านว่าจะห่างไกลจากความป่วยไข้มี อายุยืนนาน หากรับราชการหรือทำมาค้าขายด้วยความซื่อตรงก็จะบังเกิดความเจริญมีความสุขใน ชีวิตยิ่งๆขึ้นไป
     
  8. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    #พระขรรค์วัดโคกหม้อ
    ว่าด้วยเรื่องคฑาของพระนารยณ์
    คทา มีชื่อว่า เกโมทที อานุภาพปราบไพรี แลความหมายเดิมของการใช้คทา มีดังนี้ คฑา คือกระบองที่ทำมาจากไม้หรือโลหะ เช่น เงิน หรือ ทอง มักประดับประดาด้วยเพชรพลอย มีลักษณะสั้นบ้างยาวบ้างแล้วแต่การออกแบบและใช้งาน มีที่มาจากกระบองที่ใช้เป็นอาวุธในสงคราม จากตำนานเทพปกรณัมของกรีก แต่เดิมคทาเป็นของเทพอพอลโล คทาถูกใช้โดยกษัตริย์มาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ในยุคกลางคทาถูกใช้โดยกษัตริย์สื่อถึงอำนาจ เป็นหนึ่งในเครื่องทรงอันประกอบด้วย มงกุฎ คทา กระบี่ สายสะพาย เหรียญตรา เสื้อคลุมหรือผ้าคลุมนิยมปักเป็นลวดลาย คทาเป็นเครื่อประดับยศของทหารยศจอมพลด้วย และบางครั้งก็ถูกใช้โดยนักบวช
    โดยตัวคฑาเองนั้น เป็นสัญลักษณ์ของผู้นำในแบบต่างๆ ทั้งเทพพยาดา หรือพรหม ชั้นนำมักจะมีคฑา เป็นอาวุธ แทบทั้งนั้น แม้กระทั่งผู้นำการกีฬาเดินนำหน้ากองเชียร์ (ดรัมเมเย่อร์) ยังต้องมีการควงคฑานำหน้าขบวน ทุกสิ่งล้วนมีที่มามีความหมายในตัวเอง คฑาไม่ได้มีไว้เพื่อการต่อสู้ แต่มีไว้เพื่อแสดงแสนยานุภาพ โดยปราศจากเหลี่ยม คม ซึ่งเอาไว้ทำลายล้าง ส่วนใหญ่ ทางยุโรป จะบรรจุเอาคฑาไว้ให้เทพ และพ่อมดสายขาว มีไว้เป็นอาวุธ จะเป็นอาวุธที่ร้ายแรงก็ต่อเมื่ออยู่ในมือผู้ที่ใช้เป็น เปรียบคฑา ดุจดั่ง อำนาจวาสนา นั่นเอง

    เมื่อกล่าวถึงพระนารายณ์ เราก็มาเรียน มารู้จัก กับท่าน ซึ่ง พระนารายณ์ นี่โยงไปได้ไกลมาก หลายๆท่าน ยังคาดคะเน ไปได้ว่า เจ้าพ่อศาลสูง คือพระนารายณ์ และ พระนารายณ์มหาราช ยังเป็นที่เคารพของชาวละโว้บุรีทุกท่าน รู้ไว้ใช่ว่า ศึกษาไว้ไม่เสียหลายครับ

    พระนารายณ์ หรือพระวิษณุ เป็นหนึ่งในพระเป็นเจ้าทั้งสาม อันได้แก่ พระพรหมา พระศิวะ และพระวิษณุ แต่เทพองค์ใดจะเป็นใหญ่กว่ากันนั้นสับสนจริงๆ ครับ พลอยทำให้เรื่องอื่นๆ เช่นเรื่องกำเนิดของพระเป็นเจ้าทั้งสามแตกกอไปเยอะ
    “โอมสิทธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วมฤตยู เอางูเป็นแท่น แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน บินเอาครุฑมาขี่ สี่มือถือสังข์จักรคทาธรณี ภิรุกอวตาร อสูรแลงบาญทัก ททัคนีจรนาย”

    เป็นบทสรรเสริญพระนารายณ์ ผมคัดมาจากลิลิตโอบการแช่งน้ำ ใจความบอกบุคลิกลักษณะของพระนารายณ์ได้ชัดเจนทีเดียวละ
    ในหนังสือรำพันพิลาป ของสุนทรภู่ ก็มีว่า
    “ขอเดชะพระนารายณ์อยู่สายสมุทร พระโพกภุชงค์เฉลิมเสริมพระเศียร
    มังกรสอดประสานสังวาลย์เวียน สถิตเสถียรแท่นมหาวาสุกรี
    ทรงจักรสังข์ทั้งคทาเทพาวุธ เหยียบบ่าครุฑเที่ยวทวาทศราศี
    ขอมหาอานุภาพปราบไพรี อย่าให้มีมารขวางระคางระคาย”
    ก็พรรณาถึงองค์พระนารายณ์เช่นเดียวกัน

    คำว่า “นารายณ์” ท่านว่ามาจาก “นร” แปลว่า น้ำ “อายน” แปลว่า กระดิก สนิกันเป็นนารายณ์แปลว่า ผู้กระดิกในน้ำ ที่ได้ชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่าพระนารายณ์เวลาทรงสร้างโลกก็สร้างในน้ำ บรรทมก็บรรทมในน้ำ ที่ว่าสร้างโลกนั้นที่จริงก็ยังเป็นปัญหาอยู่ ผมจะกล่าวในเรื่องพระพรหมาอีกทีครับ เพราะเทพทั้ง ๓ องค์นั่นแหละ ไม่ทราบแน่ชัดหรอกว่าเทพองค์ใดเป็นผู้สร้างโลกกันแน่

    ถึงแม้ผมคิดจะเล่าเรื่องความเป็นเลิศ ของพระเป็นเจ้าทั้ง ๓ ไว้ในเรื่องพระพรหมา แต่จำเป็นต้องเอ่ยถึงตรงนี้สักนิด บรรดาผู้ที่นับถือพระนารายณ์เป็นใหญ่นั้น เรียกว่า ไวษณพนิกาย และถ้าจะว่าไปพระนารายณ์เป็นที่นับถือว่าเป็นใหญ่ในหมู่ชาวอินเดียกันมาก จะเห็นว่าที่ประเทศอินเดีย เทวสถานอันเป็นที่บูชาพระนารายณ์นั้นมีมากกว่าเทวสถานที่บูชาเทพองค์อื่นๆ ผู้ที่ศรัทธาแห่งองค์พระนารายณ์จะได้กุศลสำคัญอย่างหนึ่งดังข้อความในลิลิตโองการแช่งน้ำที่ผมคัดไว้ตอนต้น คือ “แผ้วมฤตยู” ก็หมายถึงผู้ที่มีความศรัทธามั่นอยู่ในพระนารายณ์นั้น จะพ้นจากอำนาจของพระยม คือรอดพ้นจากความตาย ก็มีใครอยากตายบ้างล่ะครับ ผมเองเขียนเรื่องนี้ก็พยายามเลี่ยงภาษาที่จะเป็นกันเองกับผู้อ่านอยู่เหมือนกัน

    หน้าที่ของพระนารายณ์คือพิทักษ์โลก สงวนโลกปราบทรชนเหมือนรัฐมนตรีมหาดไทย เมื่อโลกเกิดยุคเข็ญพระนารายณ์ก็จะเสด็จลงมาปราบ ซึ่งเรียกว่า “อวตาร” อย่างที่เราทราบก็เรื่องรามเกียรติ์ ก็เป็นเรื่องพระนารายณ์อวตารลงเป็นพระรามปราบทศกัณฐ์ละ การอวตารแต่ละครั้งเรียกว่า “ปาง” ส่วนจำนวนปางในคัมภีร์ปุราณะต่างๆ ก็ไม่แน่นอน บ้างก็ว่า ๑๐ ปาง บ้างก็ว่า ๒๔ ปาง บ้างก็ว่านับไม่ถ้วน แต่ที่สำคัญๆ ก็มี ๑๐ ปางที่เราเรียกว่า “นารายณ์สิบปาง” เทียบกับพุทธศาสนาก็เห็นจะตรงกับคำว่า “ชาดก” ซึ่งก็หมายถึงเรื่องราวของพระพุทธองค์ในพระชาติต่างๆ ที่ทรงบำเพ็ญเพียรบารมีต่างๆ ก่อนที่จะทรงตรัสรู้ ชาดกนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายร้อยเรื่อง แต่เรื่องที่สำคัญก็มี ๑๐ เรื่อง เรียกว่า “ทศชาติชาดก” ใน ๑๐ ปางของพระนารายณ์นั้น ปางที่สำคัญก็คือปางที่อวตารเป็นพระราม ส่วนใน ๑๐ ชาดกของพระพุทธเจ้านั้น ชาดกที่สำคัญที่สุดก็ตอนที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร

    พระนารายณ์มี ๔ กร ทรงถือสิ่งต่างๆ ๕ อย่าง จึงได้นามว่า “ปัญจาวุธ” ดังที่ลิลิตโองการแช่งน้ำว่า “สี่มือถือสังข์จักรคทาธรณี” ซึ่งนับได้ก็มี ๕ อย่าง คือ
    ๑. สังข์ สังข์นี้ชื่อว่า “ปาญจะชันยะ”
    ๒. จักร มีชื่อว่า สุทรรศนะ หรือ วัชรนาภ
    ๓. คทา มีชื่อว่า เกโมทที
    ๔. ธรณี มักทำเป็นดอกบัว เพราะพราหมณ์มักเปรียบแผ่นดินดังดอกบัวหลวง
    พระนารายณ์มีครุฑเป็นพาหนะ มีพระยาอนันตนาคราชเป็นบัลลังก์ มีที่สถิตเรียกว่า ไวกูณฐ์ (ซึ่งโดยปกติพระวิษณุทรงบรรทม ณ ที่ประทับนี้อยู่เป็นนิจ) ณ เกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) รูปพระนารายณ์เขียนกันเป็นบุรุษหนุ่ม พระวรกายเป็นสีดำ (เรื่องสีเดี๋ยวจะกล่าวต่อครับ) เครื่องประดับอย่างกษัตริย์ เสื้อทรงสีเหลืองมีสี่กร ทรงศัตราวุธต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว มีแก้วทับทรวงชื่อ เกาสตุ๊ก มีวลัยแก้วชื่อ สยมันตก

    พระยาอนันตนาคราชเป็นใหญ่ในแคว้นบาดาล มีศีรษะ ๑ พัน ท่านว่าเป็นผู้หนุนโลกไว้ เมื่อพลิกตัวหรือกระดิกหางจะทำให้แผ่นดินไหว (บางตำนานว่าปลาอนนต์หนุนโลก และพลิกตัวทำให้แผ่นดินไหว) ส่วนไวกูณฐ์นั้นเป็นทองทั้งแผ่น กว้างแปดหมื่นโยชน์ วิมานล้วนแล้วไปด้วยรัตนะ เสาและช่อฟ้าใบระกาเป็นเพชรพลอย ส่วนพังพานแห่งพระยาอนันตนาคราชนั้นเรียกว่า มณีทวีป กล่าวกันว่าเมื่อสิ้นกัปสิ้นกัลป์ พระยาอนันตนาคราชนี่แหละที่พ่นไฟล้างโลก
     
  9. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    #พระขรรค์วัดโคกหม้อ
    หากกล่าวถึงเทพยาดาผู้ใกล้ชิดมนุษย์ที่สุด ก็คงเป็นท้าวมหาราชทั้งสี่ แต่ท้าวมหาราชทั้งสี่นี้ก็มีผู้ที่กล่าวถึงเยอะที่สุด ก็คือ ท้าวเวสสุวรรณ (พ่อค้าทองคำ) มีหลายชื่อที่ใช้เรียกกัน เช่น ท้าวกุเวร หรือที่ชาวจีนเรียกเทพเจ้าไฉ่ชิงเอี๊ย ผู้บันดารทรัพย์สินสมบัติ และยังเป็นผู้ครอบครองอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดในสามโลก เป็น 1 ใน 5 ของปัญจวุธ นั่นคือ กระบองท้าวเวสสุวรรณ

    เชื่อกันว่า ท้าวเวสสุวรรณ มีอิทธิฤทธิ์สามารถขับไล่ภูตผีปีศาจทั้งหลาย คนเฒ่าคนแก่เชื่อว่า การที่นำเอาภาพท้าวเวสสุวรรณ มาแขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน เพื่อให้ช่วยปกป้องกันภูตผีปีศาจไม่ให้มารบกวนเด็ก และก็บ้างว่าท่านเป็น เทพแห่งความร่ำรวย จึงนิยมนำเอา ท้าวเวสสุวรรณมาทำเป็น ผ้ายันต์รูปท้าวเสวสุวรรณ รูปปั้นท้าวเสวสุวรรณ จำหลักรูปท้าวเสวสุวรรณ ไว้ที่ด้ามมีดหมอ เพื่อกำราบวิญญาณ และนำมาทำเครื่องรางของขลัง เพื่อป้องกันภัยจากสิ่งเลวร้ายที่มองไม่เห็น เช่น คุณไสย มนต์ดำ วิญญาณร้าย

    ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัณ) หรือในภาษาพราหมณ์เรียก “ท้าวกุเวร” ทางพุทธศานาพุทธเรียก “ท้าวไพศรพณ์” เป็นอธิบดีแห่งอสูร หรือเจ้าแห่งภูตผีปีศาจทั้งหลาย โดย ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนชั้นจาตุมหาราชิกา ประทับทางเหนือมีอสูร รากษส และภูตผีปีศาจเป็นบริวาร

    ท้าวเวสสุวรรณ มี คทา หรือกระบองเป็นอาวุธ ที่มีฤทธิ์เดชเป็นที่เกรงกลัวของบรรดาเหล่ายักษ์ อมนุษย์ และภูติผีปีศาจยิ่งนัก พระผู้ที่เรืองในวิชาอาคมจึงนิยมนำพระคาถามาจารึกในมีดหมอ ไม้เท้าครู หรือเสกหวาย เสกก้านมะยม เสกไพล เสกว่าน เสกทราย เสกข้าวสาร เสกด้ายมงคลลงประคำ หรือทำน้ำมนต์สำหรับไล่ขับผี เรียกว่า พระคาถาอาวุธ 5
    ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนายืนยันว่า “ท้าวเวสสุวรรณ” ผู้ซึ่งเป็นเทวราชพระองค์นี้ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้งที่ “จุลสุภัททะปริพาชก” เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์พระพุทธเจ้า ท่าน “ท้าวเวสสุวรรณ” องค์นี้เอง ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมานของพระอินทร์ จนเกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สวรรค์ชั้นที่สองอันเป็นการเตือนสติพระอินทร์อีกด้วย และก็มีความเชื่อในฤทธานุภาพอันทรงฤทธิ์ของท่านตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 – หน้าที่ 435 ว่า

    “คฑาวุธ ของท้าวเวสสุวรรณนั้นเป็นยอดแห่งศาสตราวุธ
    ที่มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็นจุณได้ในพริบตา”

    จากคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่า ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณนั้นท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งที่มีหน้าที่ “คอยพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา” ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านท้าวสักกะเทวราชเลย

    ในคัมภีร์โบราณ กล่าวว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร
     
  10. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    #พระขรรค์วัดโคกหม้อ
    ท้าวสักกะเทวราช หรือทั่วๆไปเรียกว่า พระอินทร์ เป็นเทพเทวา หรือเทวกษัติรย์ ที่ปรากฏอยู่ในพุทธประวัติ และชาดก อยู่มากที่สุด ท่านคือผู้ที่ใหญ่ที่สุดในสวรรค์ เป็นพระราชาของเทวดาทั้งหมด เปรียบได้ดั่งเง็กเซียนฮ่องเต้ ของจีนนั่นเอง และยังเป็นผู้ที่ถือครอง อาวุธที่สวยงามที่สุด ใน 5 ชนิดของอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด นั่นคือ วัชระ หรือ วชิระ นั่นเอง ซึ่งเป็นอาวุธคู่กายท่าน โดยท่านมีประกายสีเขียวเรืองรองเวลาปรากฏตัว เป็นลักษณะเฉพาะตัวของท่าน ดังคำทายปริศนาในสมัยหนุ่มๆว่า อะไรเอ่ย เขียวเหมือนพระอินทร์ บินเหมือนนก หากใครตอบถูกคนแรก อาจจะมีรางวัลให้ แต่รอล็อตเตอรี่ งวดนี้ก่อนว่าจะโดนมั๊ย

    วัชระ แปลว่าสายฟ้า และมีความหมายอีกประการคือ เพชร เป็นนัยแห่งความหมายร่วมกันคือความแข็งแกร่ง และทรงพลัง ในการตัดทำลายสิ่งต่างๆ

    ชื่อที่เรียกพระอินทร์มีหลายชื่อ แต่ละชื่อบอกถึงคุณสมบัติหรือกุศลที่ทรงได้ทำมาในอดีต

    ท้าวมฆวาน - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ชื่อว่า มฆะ
    ท้าวปุรินททะ- เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ทานในเมือง
    ท้าวสักกะ- เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ทานโดยความเคารพ
    ท้าววาสะ หรือวาสพ - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ที่พัก
    ท้าวสหัสสักขะ หรือ สหัสสเนตร หรือ ท้าวพันตา - ทรงคิดรู้ความทั้งพันชั่วเวลาครู่เดียว
    ท้าวสุชัมบดี - ทรงมีชายาชื่อสุชา
    ท้าวเทวานมินทะ หรือพระอินทร์ - ทรงครอบครองราชสมบัติเป็นอิสริยาธิบดีแห่งทวยเทพชั้นดาวดึงส์

    พระอินทร์ หรือที่รู้จักกันอีกหลายๆชื่อ เช่น ท้าวสหัสมนัยน์ ท้าวโกสีย์ ท้าวสักกะ เทวราช อมรินทร์ ศักรินทร์ มัฆวาน หรือเพรชรปาณี เป็นต้น

    พระอินทร์มีลักษณะคล้ายพระนารายณ์ มีรูปกายที่สวยงาม และมีผิวสีเขียว แต่ในบางครั้งจะเปลี่ยนเป็นสีทองจนถึงขาวนวล ตามแต่โอกาส พระหัตถ์ของพระอินทร์จะถือวัชระเพื่อใช้ปราบ พฤตาสูร หรือ ผีร้ายแห่งความแห้งแล้ง นอกจากนี้ยังมีศาสตราวุธอื่นๆอีก เช่น ศรศักรธนู พระขรรค์ ปรัญชะ ขอ และร่างแห

    พาหนะของพระอินทร์ คือ รถเทียมม้าสีแดง และม้าแก้วทรงสีขาว ชื่อว่า อุจไฉศรพ ซึ่งเกิดจากเกษียรสมุทร อีกทั้งยังมีช้างทรง 3 เศียร (แต่เดิมมีถึง 33 เศียร) นามว่า คชาเอราวัณ หรือซึ่งปกติจะเป็นเทพบุตรผู้หล่อเหลา และชอบดื่มเหล้า และจะแปลงกายเป็นช้างเอราวัณเมื่อพระอินทร์จะไปไหน

    พระอินทร์ มีมเหสีหลายคน ไม่ว่าจะเป็น นางสุธรรมา สุชาดา สุนันทา สุจิตรา และยังมีนางฟ้าเป็นชายาอีกเก้าสิบสองนาง รวมถึงมีนางบำเรออีกยี่สิบสี่ล้านนาง โดยในสมัยพระพุทธเจ้าพระอินทร์ได้ทรงดีดพิณสามสายถวายพระสติพระโพธิสัตว์ในการทำทุกขกิริยา

    ตั้งแต่ในสมัยโบราณ ศาสนาพราหมณ์ หรือ ศาสนาฮินดู จะนับถือให้พระอินทร์เป็นใหญ่สูงสุด โดยศาสนาพราหมณ์ฮินดูถือว่าพระอินทร์ถือเป็นเทพเจ้าองค์แรกสุดของจวบจนถึงปัจจุบัน การบูชาพระอินทร์ก็ยังคงมีอยู่ในหมู่ผู้ศรัทธาทั่วไป เพียงแต่ในศาสนาฮินดูอาจถูกลดบทบาทลง และยกย่องพระพรหม พระวิษณุ (พระนารายณ์) และ พระศิวะ (พระอิศวร) ขึ้นมาเป็นใหญ่แทน

    เมื่อครั้งสมัยโบราณ พระอินทร์ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอานุภาพสูงที่สุดในเหล่าบรรดาเทพ พระองค์สามารถดลบันดาลให้เกิดฝนตกต้องตามฤดูกาล บันดาลให้พืชพรรณงดงาม และบันดาลให้เกิดภัยทางธรรมชาติที่เป็นภัยอันร้ายแรงได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นพายุ ฝนตก น้ำท่วม ฟ้าร้อง หรือฟ้าผ่า เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพราะพระอินทร์มีวัชระหรือสายฟ้าเป็นศาสตราวุธคู่กาย ซึ่งอาวุธนี้สามารถสร้างสายฝน ฟ้าผ่า หรือฟ้าร้องตามที่ต้องการได้ วัชระเป็นศาสตราวุธที่มีอำนาจทรงพลังเป็นอย่างมาก สามารถผ่ามหาสมุทร ผ่าภูเขาได้ หรือผ่าท้องฟ้าได้ดั่งใจนึก

    เมื่อกล่าวถึงพระวรกายของพระอินทร์ ก็มีตำรากล่าวว่าพระอินทร์มีกายสีเหลืองทองสดใส ส่วนอีกตำรากล่าวว่าพระอินทร์มีผิวสีแดงเข้ม สวมอาภรณ์สะอาดสะอ้าน สวยสดงดงาม มีเครื่องประดับเป็นเพชรนิลจินดามากมาย เช่น สร้อยคอ กำไลข้อมือ แหวน มงกุฎอันตระการตา เป็นต้น และมีสร้อยเป็นงู เชื่อกันว่าศิลปินผู้ใดที่วาดรูปพระอินทร์ได้งดงามจะถือกันว่าเป็นมหากุศลอย่างยิ่งของบุคคลคนนั้น

    พระอินทร์มีความสามารถในการแปลงกายได้สารพัด อีกทั้งยังล่องหนไปไหนมาไหนก็ได้ พระอินทร์สามารถเนรมิตให้ร่างกายเล็กเท่ามด หรือเนรมิตให้ร่างกายยิ่งใหญ่มโหฬารดั่งภูเขาก็ได้ตามที่ใจปรารถนา

    พระอินทร์จึงถือเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่เหนือชีวิตของสรรพสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย พระอินทร์จึงเป็นเทพที่จิตใจประเสริฐ พระองค์มีหน้าที่คอยคุ้มครองผู้ที่กระทำความดีอยู่เสมอ ปกป้องดูแลโลกให้พ้นจากสิ่งอันตรายเลวร้ายต่างๆ และยังเป็นผู้นำเหล่าเทพเจ้าให้ไปกำจัดอสูรร้ายที่ตั้งใจเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้แก่โลกมนุษย์

    นอกเหนือจากศาสนาพราหมณ์แล้ว ศาสนาพุทธก็นับถือให้พระอินทร์เป็นเทพผู้รักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่ยงถึง 5,000 ปี เช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากพระอินทร์เป็นถือเทวกษัตริย์ ซึ่งหมายความว่า เป็นราชาแห่งเหล่าทวยเทพ ผู้มีอำนาจในการทำลายมารที่คอยนำพาพระพุทธศาสนาไปในทางเสื่อมเสีย

    เมื่อพระอินทร์ได้ทรงสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่บนสรวงสวรรค์แล้ว พระองค์ก็ทรงเนรมิตให้เกิดเป็นเหล่าเทวดาที่อยู่บนสรวงสวรรค์อย่างมีความสุข และปราศจากความทุกข์เศร้าใดๆ

    อย่างไรก็ตาม พระอินทร์มีศัตรูคู่อาฆาตที่สำคัญที่สุดคือ งูยักษ์วริตรา ทั้งสองได้ทำสงครามกันหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็กินระยะเวลาอันแสนยาวนาน แต่ในทุกๆครั้ง พระอินทร์ก็จะเป็นฝ่ายได้รับชนะเสมอ ทำให้พระอินทร์กลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ธรรมะ” ส่วนงูยักษ์เป็นสัญลักษณ์ของ “อธรรม” ซึ่งอยู่คู่กันอย่างไม่มีวันดับสูญได้เลย

    ตำรากล่าวถึงท้าวสักกะเทวราช ซึ่งเป็นอีกพระนามหนึ่งของพระอินทร์ ไว้ว่า พระอินทร์เป็นผู้ที่เกิดมาจากผู้มีจิตใจเมตตาที่ได้ร่วมกันสร้างเส้นทางและศาลาเพื่อถวายเป็นทานจำนวน 33 คน เมื่อผู้ใจเมตตาเหล่านั้นเสียชีวิตไปก็ไปเกิดเป็นเทวดา พระอินทร์จึงเกิดจากการที่เทวดาเหล่านี้ได้รวมร่างกัน ในขณะที่ ช้างทรง 33 เศียรของพระอินทร์ ก็ใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงผู้กระทำคุณความดีทั้ง 33 คนนั่นเอง

    กล่าวกันว่าพระอาสน์ หรือพระที่นั่งของพระอินทร์จะมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง กล่าวคือ เมื่อใดที่พระอาสน์ร้อนขึ้นมา แสดงว่า ขณะนั้นโลกมนุษย์กำลังเกิดเหตุร้าย หรือมีอสูรออกอาละวาด เมื่อนั้น พระอินทร์ก็จะเสร็จออกจากสรวงสวรรค์ และแปลงกายเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ เพื่อลงมาปราบอสูรให้หมดสิ้นไป

    เชื่อว่าผู้ใดที่ได้เคยประกอบความดีบนโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้ว ก็จะไปเกิดเป็นเทวดา และประทับอยู่บนสรวงสวรรค์อันเป็นวิมานของพระอินทร์
     
  11. Dek_watpa

    Dek_watpa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2,608
    ค่าพลัง:
    +4,517
    พระขรรค์ วัดโคกหม้อครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. pe16009

    pe16009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +1,070
    เชือกคาดเอว หลวงพ่อยังมีให้บูชาบ้างไหมครับ
     
  13. Dek_watpa

    Dek_watpa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2,608
    ค่าพลัง:
    +4,517
    1เส้นสุดท้าย

    เชือกคาดเอวน่าจะเหลือที่วัดอีก 1 เส้นสุดท้าย หากต้องการก็ต้องรีบไปที่วัด หากช้าก็อดนะครับ
     
  14. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    #พระขรรค์วัดโคกหม้อ
    เมื่อเล่าไปถึง อาวุธของยมโลก ดวงตาพยายม และเทวโลก ไปส่วนนึง อีกสิ่งนึงที่จะบรรจุลงไปในพระขรรค์ก็คือ อาวุธของ "พรหมโลก" ประกอบไปด้วยหลายอย่างตามแต่ช่างศิลป์จะสรรค์สร้างขึ้นมา แต่ที่มีตำนานสอดคล้องกับตัวด้้ามพระขรรค์ นั่นก็คือ พงษ์สิทธิ์ ! เอ๊ย! ไม่ใช่! นั่นก็คือ คำคำ! เอ๊ย! ไม่ใช่ คำภีร์ ! เอ๊ย! ถูกแล้ววววว! คำภีร์พระพรหม ที่สังข์ได้นำลงไปไว้ใต้ทะเล เป็นคำภีร์ของพระพรหมธาดา ที่รวบรวมพระเวทย์สายขาว เพื่อปราบปรามมาร อีกชนิดนึงคือ หม้อน้ำมนต์ ซึ่ง ผมกำลังสงกะสัยและพยายามหาข้อมูลว่า การที่คำว่า ประ พรม น้ำมนต์ มาจาก คำว่า พรหมน้ำมนต์ หรือน้ำมนต์ของพรหม หรือป่าว แต่ที่แน่ๆ พระขรรค์นี้ จะประกอบไปด้วยความเป็นมงคลอันสูงสุดแห่งศาสตราแน่ๆหละ การที่จะไปเกิดเป็นพระพรหม ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องเจริญพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ หรือบางทีเป็นถึงพระอริยะเจ้า ขั้น อนาคามี ซึ่งจะไปเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส บางองค์ท่านก็ไม่ลงมาเกิดแล้ว ต่ออีกนิดเดียวบนพรหมโลกก็เข้าสู่พระอรหันต์ อาวุธของพรหม ท่านจึงเปี่ยมไปด้วย เมตตา กรุณา ดังคำว่า พรหมวิหาร 4 นั่นแหละ แล้วก็มาเรียนรู้กันอีกนิด ตามประสาแอดมินจอมเยอะ ขยันๆอ่านกันนะ เวลามีไว้ในครอบครองจะได้อธิบายกับเขาได้ ว่าภายในพระขรรค์บรรจุอะไร มีอานุภาพเยี่ยงไร

    พระพรหม เป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ ทรงมีอานุภาพในการลิขิตชะตาชีวิต โดยควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎแห่งกรรม พระพรหมจึงเป็นผู้คุ้มครองคนดี และลงโทษผู้กระทำบาป ผู้มีกิเลสตัณหา จะถูกพระพรหมลิขิตให้ชีวิตมีแต่ความลำบากยากเข็ญ ผู้มีจิตใจเอื้ออารีย์ต่อผู้อื่น พระพรหมจะบันดาลให้มีความสุขและสมบูรณ์ในชีวิต การเสียสละต่อส่วนรวมคือการถวายความจงรักภักดีต่อพระพรหม พระพรหมจะบันดาลพรให้ผู้เสียสละนั้นมีแต่ความสุขตลอดกาล

    ผู้ศรัทธาในพระพรหม เมื่อสวดบูชาต่อพระองค์แล้ว พระองค์จะประทานปัญญาในการประกอบอาชีพ ปกป้องให้ห่างจากศัตรู ประทานความแข็งแรง ความรู้แจ้ง ชี้แนะแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ และมอบความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณแก่ผู้นั้น

    พระพรหมทรงโปรดความเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย มีพระทัยอ่อนโยน รักสรรพชีวิตที่พระองค์สร้างมาเสมอ เมื่อผู้ศรัทธาต้องการสักการะ พระพรหมก็โปรดการจัดการอย่างเรียบง่าย มีความตั้งใจ แต่ไม่ใหญ่โตวุ่นวาย พระองค์โปรดให้ลูกศิษย์สวดภาวนาว่า "สัก ชิต เอกัม พรหมมา" หรือ "โอม อาฮัม พรหมมา อัสมิ" เป็นร้อยๆ พันๆ หมื่นๆ แสนๆ เที่ยว และให้นั่งสมาธิตั้งจิตเพ่งไปที่พระองค์ การที่ผู้ศรัทธาได้อยู่กับพระพรหมตามลำพัง นั่งสมาธิและสวดภาวนาให้นานที่สุด พระองค์จะโปรดมาก เพราะพระองค์ทรงสอนว่า การนั่งอยู่กับที่และระลึกถึงพระองค์ บริโภคมังสวิรัติ ไม่ออกไปสร้างสิ่งเดือดร้อนให้ผู้อื่น คือการตอบแทนพระคุณพระพรหมได้ดีที่สุด

    ศิลปะอินเดียภาพเขียนพระพรหมทรงอาวุธทั้ง 4 ประทับยืนบนดอกบัว ณ เกษียรสมุทร

    ศาสตราวุธของพระพรหม

    ลูกประคำ
    คือ การสวดมนต์ภาวนาต่อพระพรหมเพื่อแผ่เมตตาไปยังสรรพชีวิต

    ดอกบัว
    คือ ความสวยงามของธรรมะ ความดีงาม
    พระองค์ทรงสอนให้มนุษย์กระทำในสิ่งที่ดีงามและมีเมตตาต่อผู้อื่นเสมอ

    คัมภีร์
    คือ การตั้งตนอยู่ในความดีความชอบ
    การศึกษาบทสวดและโยคะเพื่อมุ่งตรงสู่พระผู้เป็นเจ้า

    หม้อน้ำ
    คือ กมัณฑลุ หรือ หม้อกลัศ ที่นักพรตตวงน้ำจากแม่น้ำคงคา
    ไปใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพต่างๆ (น้ำมนต์บริสุทธิ์)

    ศาสตราวุธทั้ง 4 นี้คือศาสตราวุธหลัก แต่ก็ยังมีศาสตราวุธอีกมากมาย
    แล้วแต่ช่างจะจินตนาการปั้นหรือวาด เพื่อเสริมความหมายขึ้นมา เช่น ธนู หอก กระจก
    สังข์ ดาบ มีด กริซ ช้อนตักน้ำมันไฟ จักร คฑา ตลอดจนเครื่องดนตรีต่างๆ

    พระพรหมเป็นผู้ให้กำเนิดคัมภีร์พระเวท
    พระพักตร์ทั้ง 4 ของพระพรหมจึงหมายถึง พระเวททั้ง 4
    พระพักตร์ด้านตะวันออก คือ ฤคเวท / พระพักตร์ด้านใต้ คือ ยชุรเวท
    พระพักตร์ด้านตะวันตก คือ สามเวท / พระพักตร์ด้านเหนือ คือ อาถรรพ์เวท

    พระพรหมผู้สร้างโลกได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา โดยวรรณะต่างๆของชาวอินเดีย มีกำเนิดมาจากส่วนต่างๆของพระพรหม ดังนี้
    ชนชั้นพราหมณ์ (นักบวช) เกิดจากพระโอษฐ์
    ชนชั้นกษัตริย์ (นักรบ) เกิดจากพระพาหา
    ชนชั้นแพศย์ (พ่อค้าทั่วไป) เกิดจากพระเพลา
    ชนชั้นศูทร (กรรมกร) เกิดจากพระบาท
    พระพรหมในศาสนาพุทธ กับ พระพรหมในศาสนาพราหมณ์ นั้นมีรูปกายเหมือนกัน ลักษณะภายนอกเหมือนกัน แต่ไม่ใช่องค์เดียวกัน
    พระพรหมของพุทธ คือ คนที่ทำความดี ตั้งมั่นอยู่ใน พรหมวิหาร 4และไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งมนุษย์ทุกคนสามารถเป็นพรหมได้ หากตั้งมั่นอยู่บนความมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา บนสวรรค์จึงมีพระพรหมเป็นล้านๆองค์ พระพรหมที่ชาวไทยรู้จักกันดีได้แก่ ท้าวมหาพรหม หรือ พระพรหมเอราวัณ ณ สี่แยกราชประสงค์ ท้าวพกาพรหม ท้าวกบิลพรหม
    พระพรหมของพราหมณ์-ฮินดู คือ ผู้สร้างโลก ซึ่งมีเพียงองค์เดียว แต่เรียกได้หลายพระนาม เช่น พระพรหมมา พระพรหมธาดา ท้าวจตุรมุข ประชาบดี

    การกราบไหว้สักการะเทวรูปพระพรหม หากไม่แน่ใจว่าเป็น พระพรหมของฮินดู (ผู้สร้างโลก) หรือเป็น พระพรหมของพุทธศาสนา (ผู้ทรงพรหมวิหาร) แนะนำให้สวดบูชาทั้ง 2 คติในคราวเดียวเลย จะได้ไม่สงสัยติดคาในใจ อีกทั้งยังได้ระลึกถึงพระพรหมทั้งหมดทุกองค์ ซึ่งไม่เป็นการผิดบาป เนื่องจากการสักการะเทวรูปพรหมในคติหนึ่งแล้วระลึกไปถึงอีกคติหนึ่ง จะนำมาซึ่งสิริมงคลทั้ง 2 ศาสนา (พุทธ-พราหมณ์)

    คำเกือบคมวันนี้
    อยากให้ทุกคนมีความรู้ ไว้เพิ่มพูนความศรัทธา
     
  15. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    #พระขรรค์วัดโคกหม้อ
    ราหู! คำๆนี้ หลายๆท่านได้ยิน ถึงกับหลอนหรือผวา เพราะเชื่อกันว่า ดาวราหู ย้ายเข้าเรือนชะตาใครมักจะปรากฏเรื่องร้ายๆขึ้น มักจะหาวัตถุมงคลมาแก้ไข บ้างก็ไว้ของดำ บ้างหาวิธีดับดาวร้าย บ้างหาพระปางปราบอสุรินทร์ราหู หรือพระนอน "บ้างหาเหรียญพระนารายณ์ทรงครุฑ" มาพกติดตัว บางคนก็ไม่รู้ว่า ทำไมต้องพระนารายณ์ ตามตำนานนั้น มี"กงจักรพระนารายณ์มาเกี่ยวข้อง ตามลัทธิพราหมณ์ถือว่ากงจักรของพระนารายณ์นี้ปราบได้ทั้งสวรรค์อสูรและใต้บาดาลมีอิทธิฤทธิ์มากมายเหลือคณานับอาวุธวิเศษ พระนารายณ์จะทรงอาวุธนี้เสมอ จักรวิเศษปราบราหูเมื่อมาขโมยน้ำอมฤต เมื่อครั้งที่เหล่าเทวดาได้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอัมฤตนั้นมีทั้งเทวดาและยักษ์ทั้งหลายเข้าร่วมทำพิธีพระราหูได้แอบอยู่ในกลีบเมฆเมื่อทำพิธีสำเร็จพระราหูจึงรีบลอบดื่มน้ำอัมฤตที่เกิดขึ้นนั้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นเข้าจึงรีบเอาความนั้นไปทูลบอกพระนารายณ์หรือพระวิษณุพระนารายณ์ทราบจึงขว้างจักรตัดไปถูกกลางตัวพระราหูขาดกลายเป็นสองท่อนแต่ด้วยว่าน้ำอัมฤตที่พระราหูได้ดื่มนั้นไหลไปจนถึงกลางตัวพระราหูแล้วพอดีครึ่งบนของพระราหูที่ถูกตัดออกจึงกลายเป็นอมตะส่วนครึ่งล่างนั้นได้กลายมาเป็นพระเคราะห์องค์ที่9แห่งเหล่าเทวดานพเคราะห์ซึ่งก็คือพระเกตุจากนั้นเมื่อครั้งใดที่พระราหูได้พบเจอพระอาทิตย์หรือพระจันทร์พระราหูก็จะจับมากลืนกินด้วยความโกรธแค้นที่เทวดาทั้งสององค์นำเรื่องไปทูลพระนารายณ์แต่อมไว้ในปากได้ไม่นานก็ต้องคายออกมาเพราะทนความร้อนและรัศมีของเทวดานพเคราะห์ทั้งสองไม่ได้เกิดเป็นเหตุของปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคาตามคติความเชื่อของคนโบราณ

    พุทธคุณแห่งจักรนารายณ์ ดีเด่นด้านคุ้มภัยปราบศัตรู ส่งเสริมการงานให้สำเร็จ ปราบทุกข์เข็ญ อุปสรรคทั้งปวงให้สลายหายสิ้น พิชิตหมู่มารมีชัยเหนือศัตรูทำลายทะลุทะลวงคุณไสยมนต์ดำอวิชชาต่างๆให้แพ้สิ้น บรรดาบุคคลในเครื่องแบบมักนิยมบูชา เนื่องจากทางกองทัพไทยใช้เป็นตราประจำกรมกอง เชื่อว่าเสริมอำนาจบารมีและทำให้การงานไหลลื่น
    ด้วยคาถาปัญจเทพอาวุธ

    สักกัสสะ วชิราวุทธัง
    เวสสุวัณณัสสะ คทาวุธัง
    ยัมมะนัสสะ นัยยะนาวุทธัง
    อะฬะวะกัสสะ ทุสาวุทธัง
    #"นะรายัสสะ จักราวุทธัง"#
    ปัญจะอาวุทธานัง เอเตสังอานุภาเวนะ
    ปัญจะอาวุทธานัง ภัคคะภัคคา
    วิจุณณัง วิจุณณา โลมังมาเมนะ
    พุสสันติ (บางตำราว่า ผุสสันติ) คัจฉะอะมุมหิ โอกาเสติ ถาหิ

    เป็นคาถาใช้เสกมีดหมอก็ได้ หรือจะสวดแล้วตั้งจิตให้เกิดอาวุธทั้ง5ซึ่งเทพาวุธที่มีอาณุภาพมาก จะเห็นว่า ในจุดที่เน้นย้ำ แปลว่า กงจักรพระนารายณ์ ผู้ที่เป็นเจ้าของคาถานี้คือหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ คาถานี้ศักดิ์สิทธิ์มากแม้นจารเป็นอักขระใส่ผ้าก็ป้องกันแล้วยังเป็นแคล้วคลาดอีกด้วย
    เห็นแล้วหรือยังว่า ทีมงาน ละเอียดรอบคอบ ใส่สิ่งอันเป็นมงคลลงไปในพระขรรค์ มองไปถึงการพกพาเพื่อแก้ดวงตก ราหูเข้าพระเสาร์แทรก ก็ไม่ต้องกลัวเกรง ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อให้สมาชิก และศิษย์หลวงพ่อทุกคน ได้มีของดี ของอันเป็นมงคลสูงสุด เอาไว้ติดตัวกัน เมื่อถึงเวลาเปิดจอง ขอให้สมาชิกแชร์ข้อมูลกันให้ทั่วถึง จะได้ลดจำนวนคนตกขบวนพระขรรค์ลง เหมือนหมู ที่เปิดจองมายาวนาน ยังมีตกขบวนขนาดสร้างเยอะ แต่พระขรรค์จะทำตามจองเท่านั้น ใครตกขบวนเพราะไม่ติดตาม ก็ช่วยไม่ได้นะคับ เพราะประกาศให้เตรียมตัวกันมาเป็นเดือนแล้ว จะเปิดจอง วันที่ 15 ธันวาคมนี้ นะครับ เตรียมตัวกันรึยัง พี่น้อง!
     
  16. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    #พระขรรค์วัดโคกหม้อ
    เทือกเขาอันเป็นลายแทงที่นำไปสู่ขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นการเดินทางของ ระพิน ไพรวัลย์ กับ มรว.ดาริน เพื่อไปตามหา พี่ชาย มรว.อนุชา เดินทางไปพร้อมกับหนานอิน เพื่อพิสูจน์ว่า ขุมทรัพย์เพชรพระอุมามีจริงหรือไม่ จึงผจญภัยไปสู่"เทือกเขาพระศิวะ" อาวุธประจำตัวของ มหาเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มหาเทพสูงสุด เทพเจ้าแห่งการทำลาย ผู้เป็นเจ้าแห่งการปราบสิ่งชั่วร้าย อสูร ผู้เป็นเจ้าที่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด ชื่อท่านแปลว่า ความสำเร็จ มีสุดยอดอาวุธประจำตัว คือ ตรีศูล เป็นอาวุธทิพย์ประจำพระองค์ของพระศิวะ ใช้ในการสร้างจักรวาล หรือทำลายจักรวาล ในช่วงที่จักรวาลถึงวาระแตกดับ เพื่อกำเนิดใหม่อีกครั้ง ก็ต้องอาศัยตรีศูลนี้ในการทำกิจ ดังนี้ ตรีศูลจึงไม่ใช้บ่อย เพราะเสี่ยงต่อการผิดพลาด อนึ่ง ตรีศูลนี้ เป็นอาวุธทิพย์ที่มีอยู่ในโลกทิพย์มากมาย ในพระโพธิสัตว์พันมือ ทุกองค์ก็มีอาวุธชนิดนี้ได้ทั้งสิ้น ทว่า อานุภาพการทำลายล้างไม่เท่ากัน ถ้าองค์ใดบำเพ็ญมาทางเมตตาบารมี มีจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล คิดถึงมวลสัตว์จำนวนมากได้เท่าไร อำนาจในการทำลายล้างก็จะแผ่ไพศาลไปมากเท่ากำลังจิตนั้น ตรีศูล เป็นสัญญลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงความสมดุลย์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
    พลังแห่งตรีศูลแห่งพระศิวะนี้ถือเป็นพลังที่เก่าแก่ที่สุดแห่งปฐมกาล ซึ่งเรียกได้ว่า “ สัตตวา ราจา และ ทามาฮ์” (Sattava, Rajah , Tamah) ซึ่งตรีศูลนี้ได้ถูกชี้ลงไปทีพื้นด้านล่าง
    ซึ่งเป็นฐานรวมแห่งพลังแห่งเดียวแห่งจักรวาลนั้นเอง

    เป็นมหาศาสตราชิ้นสุดท้าย ที่ถูกบรรจุลงในพระขรรค์วัดโคกหม้อ สุดยอดอาวุธต่างๆ ที่กล่าวมา จะถูกหลอมรวม จนเกิดเป็นพระขรรค์รุ่นแรก เป็นตำนานสืบสานชั่วลูกชั่วหลานต่อไป เราจะบอกชื่อรุ่นเมื่อหุ่นพระขรรค์ปั้นเสร็จเรียบร้อย มีมาอวดโฉมให้สมาชิกได้ชมเมื่อไร ก็จะมาพร้อมชื่อรุ่น ที่ได้รับอนุมัติชื่อจากหลวงพ่อเรียบร้อยแล้ว หลายๆท่านมาถามคุณชายปุญหลังไมค์ ว่า จะจองๆ จองได้ยัง จองเท่าไร คุณชายปุญเลยขอตอบพร้อมๆ กันไปเลยว่า ยังไม่ได้เปิดจอง เหตุเพราะ เรายังคำนวนต้นทุนไม่ได้ ต้องรอให้เสร็จทั้งหมด มีออกมาเป็นตัวอย่างก่อน ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่เปิด เพราะไม่ทราบต้นทุน รายละเอียดการสร้าง ก็ใช่ว่าจะหล่อทีเดียวจบ เรายังจะมีการเจียระไน เจาะรูอุดผง ขั้นตอนเยอะพอสมควร เมื่อทำทั้งที ก็ให้มันครบเครื่อง แล้วก็ทำให้มันดีที่สุด บรรจุวัตถุอาถรรพ์ตามตำราหลวงพ่อเดิมด้วย งานเร่งมันจะไม่ดี ไม่งาม ใจเย็นๆเด้อพี่น้อง
     
  17. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    #พระขรรค์วัดโคกหม้อ
    หลายๆครั้งได้นั่งคุยถึง ปรามาจารย์อีกท่านนึงของหลวงพ่อ นั่นคือ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ สุดยอดเกจิอาจารย์ แห่งภาคกลาง เป็นพหูสูจน์ด้านไสยเวทย์ หลวงพ่อท่านได้รับการถ่ายทอดจาก ลพ จ้อย และ ท่านได้ศึกษาไสยเวทย์อยู่ในนครสวรรค์ อีกมาก อีกทั้งวิชาสายวัดหนองกระโดน ท่านก็เรียนแทบหมดทุกวิชา เวลาหลวงพ่อพิเชฐท่านสร้างมีดหมอ หรือเสกมีดหมอ ท่านก็ใช้วิชาของหลวงพ่อเดิม แต่ด้วยเวลาหลวงพ่อท่านไม่ค่อยมี จึงไม่ได้บรรจุวัตถุอาถรรพ์ ที่หลวงพ่อเดิม ท่านนำมาบด เป็นผงใส่ลงไปในมีดหมอของท่าน นั่นคือ สะเก็ดดาว หรือ อุกามณี เหล็กไหลจากนอกโลกที่มีคุณอนันต์ สามารถแก้อาถรรพ์ป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ ทั้งยังแก้ดวงตก เพราะสะเก็ดดาวมาจากนอกการโคจรของดวงดาวในโลก และครั้งนี้ การสร้างพระขรรค์รุ่นแรกนี้ จะเจริญรอยตามตำราของหลวงพ่อเดิมด้วย ทีมงานสร้างจะบรรจุอุกามณีลงไปในพระขรรค์ ด้วยการออกแบบที่ลงตัว เราจะเจียระไนสะเก็ดดาวติดลงไปในพระขรรค์เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย แต่ดำรงไว้ซึ่งสิ่งสำคัญดังโบราณท่านทำมา
    จึงมาบอกกล่าวกันไว้ก่อน เพราะจะต้องเจียระไนสะเก็ดดาววัตถุอาถรรพ์ที่หายาก และเพิ่มความงามเข้าไปด้วยการเจียระไน อาจจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่ทีมงานคิดว่า ใครครอบครองไว้ก็คุ้มค่าที่สุด แม้เราจะออกแบบให้งดงามตามยุคแค่ไหนแต่ไม่เคยทิ้งตำราเดิม เพียงแค่ปรับให้สวยงามตามยุค อาจจะทำให้ราคาเขยิบสูงขึ้นบ้าง แต่เพื่อความเข้มขลัง เราต้องสู้!

    อุกกามณีถือเป็นวัตถุธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง อุกกามณี มีหลายชื่อที่เรียกหากัน สะเก็ดดาว,อุลกมณี,แก้วข้าว,เหล็กไหลต่างดาว,คดปลวก,พลอยจันทรคราส,หยด น้ำฟ้า(ตามรูปร่างที่ปรากฏ) ภาษาอังกฤษเรียก Tektite มาจากคำว่า Tektos ในภาษากรีก แปลว่า หลอมละลาย

    โลกเรารู้จักอุกามณีมานานแล้ว โดยเชื่อกันว่าเป็นหินสะเก็ดหินละลายที่กระเด็นออกมาตอนอุกกาบาตหล่นกระทบ ผิวโลกถูกเผาไหม้จนเป็นก้อนแข็งประดุจหินสีดำสนิท จากก้อนใหญ่เหลือเป็นก้อนเล็กๆ และเกิดเป็นรูปทรงต่างๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน และเป็นวัตถุธาตุที่หายากที่สุด เพราะต้องรอให้ลูกอุกกาบาตหล่นลงมาบนดินทราย แล้วหลอมละลายดินทรายจนกลายเป็นแก้วสีดำ กระเด็นกระจายรอบบริเวณที่ตกลงมา

    อุกกามณี เป็นวัตถุที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติมีพลังงานสะสมอยู่มหาศาลจึงอาจเรียก ได้ว่ามีฤทธิ์ในตัวจึงทำให้สามารถสลายพลังงานเชิงลบที่ไม่พึงประสงค์ออกด้วย โดยอัตโนมัติ และเนื่องจากเป็นวัตถุที่มีสีดำสนิท จึงทำให้สามารถดึงดูดพลังที่ดีๆเข้ามาอีกทั้งยังส่งเสริมพลังเชิงบวกแก่ วัตถุอื่นๆให้มีพลังสูงขึ้นได้อีกด้วย นับเป็นวัตถุที่เหนือกว่าวัตถุอื่นใดในโลกที่บันดาลสิ่งดีๆแก่ผู้ ครอบครองได้ และยังส่งเสริมให้ชีวิตเจริญขึ้น เสริมเสน่ห์ชักจูงให้ผู้อื่นรักใคร่นับถือ เรียกว่ากลับร้ายกลายเป็นดี ทวีลาภเลยทีเดียว อุกกามณีมีพลังสูงในตัว ท่านที่สามารถสัมผัสพลังได้จะรู้สึกถึงพลังดังกล่าว

    อุกกามณี มีพลังที่ครอบคลุมหลายรูปแบบ กล่าวคือเป็นแหล่งของพลังกระตุ้นเตือนจิตสำนึกก่อให้เกิดความจดจำที่แม่นยำ ลึกซึ้ง หากนำมาใช้ตอนปฏิบัติทำสมาธิจิต การพกพาไว้กับตัวจะเป็นการเพิ่มพลังแก่ออร่ารอบตัวทำให้ออร่าเข้มเข็ง มั่นคง ปกป้องคุ้มครอง และขับไล่สิ่งที่มารุกราน ขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ คนไทยเรามีความเชื่อว่าการเก็บอุกามณี(สะเก็ดดาว)ไว้ในบ้าน จะช่วยป้องกันอัคคีภัย และภัยพิบัติต่าง ๆ ได้

    ในบางตำรากล่าวว่า ถ้านำมาบูชาร่วมกับไม้งิ้วดำและข้าวสารดำ จะให้อานุภาพเป็นมหาอุด แคล้วคลาด และเมตตาสูงมาก การนำอุกกามณีวางไว้ที่จักระ 6 ขณะทำสมาธิจิต จะช่วยเสริมสร้างให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมแห่งธรรมชาติ เกิดความรู้ความคิดสร้างสรรสิ่งใหม่ ๆ ถ้าวางไว้ที่จักระ 4 ช่วยบรรเทาอาการผิดปกติต่างๆของจิตใจ

    นอกจากนี้ยังมีการใช้อุกามณีร่วมกับอัญมณีอื่นๆเพื่อเสริมสร้างพลังบางอย่าง เช่น ใช้ร่วมกับพลอยสีม่วงจะช่วยเสริมพลังแก่จักระ 6และ 7 เกิดการหยั่งรู้ สามารถต่อเชื่อมกับผู้รู้หรือทวยเทพเบื้องบนได้ ใช้ร่วมกับ Rose Quartz ที่จักระ 4 ก่อให้เกิดพลังแห่งความเมตตา เหมาะแก่ผู้ที่มีอารมณ์รุนแรง ใจร้อน ใช้ร่วมกับ Lapis Lazuli จะช่วยเสริมสร้างพลังแห่งความนึกคิดทั้งหลาย มีความเฉลียวฉลาดมีไหวพริบดีขึ้น ใช้ร่วมกับ Citrine วางไว้ที่จักระ 6 ก่อให้เกิดความนึกคิดแห่งการสร้างสรร เกิดญาณหยั่งรู้

    มีผู้อาวุโสในวงการมายาท่านหนึ่งซึ่งก็คือ อาจารย์ประดิษฐ์ กัลจาฤก เจ้าของบริษัทกันตนาที่โด่งดังได้เคยกล่าวถึงอุกามณีไว้ว่า

    "เงินทองบ่เลี่ยง เสี่ยงภัยบ่มี ลาภยศศักดิ์ศรี บารมีกว้างไกล"

    ของสิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ทำขึ้น จึงมีความสะอาดบริสุทธิ์มาก สมควรเรียกว่าเป็นดาวนำโชคแก่ผู้ที่มีไว้กับตัว ซึ่งตนเองได้เห็นผลนั้นมาแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้ป้องกันคุณไสยมนต์ดำ ภูตผีปีศาจต่างๆมิให้มากล้ำกรายได้ด้วย
     
  18. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    ที่นำมาลงทั้งหมดคือ การผสานผสม อาวุธของสามโลก รวมทั้งมีสะเก็ดดาว หรืออุกามณี บรรจุลงไป ในพระขรรค์อีกทีนึง บริเวณของดวงตาพยายม ซึ่ง ณ ตอนนี้ พระขรรค์ของวัดโคกหม้อได้ออกไปช่วยคนมามากมายหลายครั้ง จึงนำความรู้มาแจ้งให้พี่น้องเวปพลังจิตได้ทราบว่า มีพระขรรค์ที่เจตนาการสร้างดี รูปแบบดี เกจิอาจารย์ที่เสกให้ก็ไม่ธรรมดา ถึงขนาด หลวงปู่วัดป่าอาจารย์ตื้อ ท่านบอกว่า แค่จิ้มไม่ต้องว่าคาถา ผีก็หนี
     
  19. Dek_watpa

    Dek_watpa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2,608
    ค่าพลัง:
    +4,517
    ผมนำภาพแต่ละด้านแต่ละมุมของพระขรรค์มาให้ชมอีกรอบนะครับ จะเห็นถึงศาสตราวุธของทั้งสามโลกและสะเก็ดดาว หรืออุกามณี ที่ใส่ไว้ตรงด้าน พระขรรค์ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S__1450018.jpg
      S__1450018.jpg
      ขนาดไฟล์:
      153.3 KB
      เปิดดู:
      269
    • S__1450017.jpg
      S__1450017.jpg
      ขนาดไฟล์:
      178.9 KB
      เปิดดู:
      383
    • S__1450016.jpg
      S__1450016.jpg
      ขนาดไฟล์:
      202.5 KB
      เปิดดู:
      352
    • S__1450019.jpg
      S__1450019.jpg
      ขนาดไฟล์:
      267.3 KB
      เปิดดู:
      242
  20. Anakeeza

    Anakeeza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +592
    พระขรรค์ วัดโคกหม้อ ยัง มีให้บูชาอยู่เปล่าครับ พี่ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...