เรื่องแปลกๆ ของฉัน

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย กะปิหวาน, 26 มกราคม 2015.

  1. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    "บุรุษนิรนาม"

    ปกติหวานจะไม่ค่อยเล่าเรื่องโดยการพิมพ์จากมือถือ เพราะไม่ถนัดและรู้สึกว่าพิมพ์ช้ามากๆ แต่ก็อยากเล่ามากๆๆๆๆ เพราะเกิดขึ้นวันนี้ค่ะ

    วันนี้หวานแปลงร่างเป็นเกษตรกร มาช่วยงานที่บ้านเก็บมันที่พ่อสามีปลูกไว้ เพราะหาคนงานไม่ได้หวานเลยต้องเป็นเกษตรกรจำเป็น ยอมรับค่ะว่าเหนื่อยมากๆๆ และหวานก็ไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์ ^^

    วันนี้ลานที่รับซื้อไม่มีคนขับรถมาขนมัน ทำให้สามีหวานต้องขับรถของลานที่รับซื้อมันมาขนกันเอง (กลัวฝนเลยต้องรีบ^^) หวานคุยกับน้องเจ้าของลานเสร็จ ตกลงว่าจะมีเด็กมากับรถด้วยคนหนึ่ง แต่สามีหวานไม่รู้เพราะเขาเดินไปที่รถก่อน

    หวานคุยกับเด็กที่จะไปด้วยว่าอย่าลืมไม้กับที่กันมันหล่นด้านท้ายรถนะ เขาก็เดินไปเอาและหวานก็เดินไปที่รถตัวเอง เห็นสามีถอยรถไปที่ฉางก็นึกว่าเจอกับเด็กที่จะติดรถมาขนมันด้วย หวานเลยขับรถออกมาก่อน

    รถหวานติดไฟแดง และรถบรรทุกที่สามีหวานขับก็ตามมาจอดที่ด้านหลังติดไฟแดงด้วย หวานเห็นในกระจกส่องหลังว่าเป็นรถบรรทุกที่สามีขับเลยหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าสามีนั่งมากับผู้ชายคนหนึ่ง ก็เข้าใจว่าเด็กที่ฉางนั่งมาด้วย

    เมื่อรถมาถึงที่ปลูกมัน หวานจอดรถแล้วคุยกับแม่สามีสักครู่ สามีหวานก็ขับรถตามมา หวานแปลกใจว่าทำไมสามีนั่งมาคนเดียว เมื่อรถจอดตรงหน้าหวาน หวานเห็นเด็กจากฉางนั่งอยู่ตรงกระบะ หวานถามเขาว่า "น้องเปลี่ยนมานั่งท้ายกระบะตั้งแต่ตอนไหน" เด็กตอบว่า "ผมเกือบขึ้นรถไม่ทัน พี่เขาไม่รอเลย"

    เย้ย!! แล้วที่เห็นตอนติดไฟแดง...ใครอ่ะ !?!
     
  2. Highlander

    Highlander เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +325
    สนุกค่ะ ชอบอ่านประสบการณ์แบบนี้
     
  3. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    หายไปนานมากกกก ^^ ด้วยภาระทางโลกที่ยังต้องรับผิดชอบอะไรอยู่เราก็ยังต้องปฏิบัติและรับผิดชอบต่อไป เมื่อว่างก็ไม่ลืมที่จะหาความรู้เพิ่มและไม่ลืมที่จะสวดมนต์นะคะ แต่มักจะนอนไปสวดไปจนหลับ กิกิ

    ภาวะรับรู้ทางกายที่ผู้รู้อย่างพี่นพได้กรุณาแนะนำมา ในช่วงแรกก็ยากมาก ๆ ค่ะ จริงอย่างที่พี่นพบอก ถ้าเช่นว่า เกิดอาการขนลุกปุ๊บจิตเรามันก็จะคิดปั๊บว่า "เอิ่ม! อะไรมาใกล้" "มีอะไรแถวนี้เนี่ย" แม้ว่าจะแค่แว๊บเดียว แต่ก็แปลว่าจิตเรายังผูกอยู่กับสัญญา ในช่วงแรกหวานยอมรับว่าบังคับตัวเอง พยามไม่ใส่ใจ สนใจ ไม่ว่ามันจะคืออะไร แต่จิตเราก็ยังผูกอยู่กับสัญญา

    ตอนนี้หวานไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้ว่าอาการที่เป็นแบบนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะไม่ได้ใส่ใจ ไม่สนใจ หรือว่าคิดแต่เราจำไม่ได้ 555 งง และจากคำแนะนำล่าสุดที่พี่นพได้อนุเคราะห์มา ก็ไม่รู้ว่าทำได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะหวานพยายามทำความเข้าใจอยู่กับคำว่า แผ่เมตตาจากกลางอก เพราะถ้าจะเอาแต่ถาม ๆ ๆ ผู้รู้ก็ดูเหมือนจะสบายไป คิคิ เอาเป็นว่าเมื่อสุดปัญญา หวานค่อยจะขอความอนุเคราะห์ (คงต้องแวะไปตั้งปุจฉาพี่นพที่ห้อง Black hold ในกระทู้ปุถุชนซะละมั๊งคะ^^)

    ต้องขออภัยญาติธรรมทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่าน ช่วงนี้หวานไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง ทั้ง ๆ ที่แน่ใจว่ามีเรื่องหลายเรื่องที่ยังไม่ได้เล่า แต่กลับมีอาการอึง ๆ ในหัวซะงั้น ขอติดไว้ก่อนนะคะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2015
  4. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    สวัสดีค่ะ ญาติธรรมทุกท่าน รอบนี้ห่างหายจากการเล่าประสบการณ์แปลก ๆ ไปนานมาก ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้นำมาเล่าและทุกเรื่องล้วนเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วนะคะ ที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ภายใน 1 ปีกว่า ๆ ที่หายไปนี้ ไม่มี ไม่ปรากฏค่ะ เพราะจากหลังที่ได้รับคำแนะนำจากพี่นพ จากผู้รู้ทุกท่านก็ได้นำมาปรับ มาปฏิบัติในเรื่องของการตัดสัญญา การลังเลสงสัย เรื่องแปลก ๆ ที่เคยเกิดเลยไม่มี เพราะหวานไม่ได้มีความสงสัยจึงไม่คิดหาคำตอบค่ะ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ยากมากนะคะ

    ด้วยความที่หวานเป็นโรคกลัวความมืด เพราะความมืดทำให้เราเกิดจินตนาการมากมาย เมื่อเริ่มโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น 14-15 ก็เริ่มอยากมีโลกส่วนตัว (น่าจะเป็นกันทุกคน) อยากมีห้องส่วนตัว เพราะนอนห้องเดียวกับพี่สาว 2 คน ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านตัวเองตั้งแต่อายุ 9 ปี
    ตอนที่ได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ที่มองไม่เห็น ที่หวานเล่าเมื่อตอนต้นนั้น หวานยังนอนห้องเดียวกับพี่สาวอยู่นะคะ

    เมื่อตัดสินใจจะแยกห้องนอน เราก็ต้องเข้มแข็งต่อสู้กับความกลัวต่าง ๆ ให้ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะได้ยิน ได้เห็นอะไรแว๊บๆ แปลก ๆ หวานจึงมักจะนิ่งฟัง หรือจ้องมอง เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ว่าสิ่งที่เรารับรู้ด้วย อายตนะ ไม่ใช่สิ่งที่เราจินตนาการ หรือสร้างขึ้น จนติดเป็นนิสัยที่จะต้องหาคำตอบ หวานขอเล่าถึงเรื่องแปลก ๆ เรื่องสั้น ๆ ครั้งแรกเกี่ยวกับการสวดมนต์แผ่เมตตาก่อนนอน

    อย่างที่บอกว่าตาทวดยายทวดจะสอนเสมอเรื่องการได้ยินเสียงอะไรแปลก ๆ เห็นอะไรแปลกในยามวิกาลไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดไม่ว่าจะที่บ้านเราเองหรือที่อื่นก็ตามไม่ให้ทัก ไม่ให้พูดขึ้นมา รวมทั้งสอนให้หลาน ๆ ทุกคนสวดมนต์ก่อนนอน ส่วนตัวหวานบอกเลยว่าสวดบ้างไม่สวดบ้าง แต่ที่แน่ๆ ถ้ารู้สึกไม่สบายใจหรือแปลกที่ก็จะสวดมนต์แผ่เมตตาก่อนนอน

    ช่วงที่แยกห้องนอนใหม่ ๆ ก็รู้สึกกลัวนะคะแต่ฟอร์มเยอะ เพราะพี่สาวบอกว่าหวานจะอยู่ไม่ได้ เลยสวดมนต์ข่มใจ ข่มความกลัว กลายเป็นว่าช่วงนั้นหวานสวดมนต์บ่อยมาก เรื่องแปลกคือ หวานเอาตุ้มหูของแม่มาใส่ (แม่ไม่ว่าแต่อย่าทำหาย) ตุ้มหูหัวเพชร แบบติดหูมีขาแล้วแป้นปิดเป็นทอง 18k แล้ว 1 ใน 2 ข้างจะมีปัญหาตรงแป้นปิดมันจะหลวมหน่อยๆ หลุดง่าย ต้องคอยเอานิ้วจับหนีบให้เข้าที่กลัวมันจะหลุด กลัวหาย แต่แล้ววันหนึ่งมันก็หลุดหายไปจริงๆ แต่หวานไม่ได้ไปไหน คิดว่าคงหลุดในบ้าน วันนั้นทั้งวันหวานกวาดบ้านทุกซอกทุกมุมทุกห้องที่ตัวเองเข้าไปเพื่อหาตุ้มหู แต่เจอแค่แป้นหนีบ หวานนั่งเสียใจร้องไห้คนเดียวที่ทำตุ้มหูของแม่หาย

    คืนนั้นหวานก็สวดมนต์แผ่เมตตาก่อนนอนเหมือนทุกๆ วัน แต่คืนนี้หวานอธิษฐานขอให้เจอตุ้มหูข้างที่หายไป วันต่อมาหวานตื่นค่อนข้างสายเพราะนอนไม่หลับ เชื่อไหมคะหวานกวาดทุกห้องรวมทั้งห้องนอนของหวานด้วยแต่ก็หาไม่เจอ แต่สายวันนั้นพอหวานลืมตาตื่นขึ้นในลักษณะนอนตะแคงมองไปที่พื้น หวานเห็นแสงวาวกระทบตา ตรงหน้า ระดับสายตา ตุ้มหูค่ะ หวานเจอตุ้มหูแล้ว ตุ้มหูวางที่พื้นตรงหน้า หวานกระเด้งตัวลุกขึ้นไปหยิบดีใจสุด ๆ เก็บเลยค่ะไม่กล้าใส่ กลัวทำของแม่หายอีก หลังจากนั้นก็มานั่งนึกๆ ว่ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ทั้งที่หวานใช้ไม้กวาด กวาดพื้น และหวานก็เดินวนไปวนมาในห้องทั้งวันทั้งคืน แปลกมากค่ะสำหรับหวาน
     
  5. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    “รุ่นพี่”

    ไหน ๆ ก็ขึ้นต้นเล่าเรื่องเกี่ยวกับการสวดมนต์แผ่เมตตาก่อนนอนมาแล้ว หวานก็จะขอเล่าประสบการณ์แปลก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสวดมนต์อีกสักเรื่องค่ะ รุ่นพี่ในที่นี้หมายถึง รุ่นพี่ที่ในที่ทำงาน ผู้ที่ทำงานมาก่อนเรานะคะ ในปี 2545 งานที่สอบทิ้งไว้ทิ้งไว้เรียกเข้าบรรจุทำงาน ที่ทำงานหวานห่างจากบ้านไปประมาณ 70 กม. ช่วงแรก ๆ หวานยังต้องเดินทางไป-กลับ ที่ทำงานด้วยรถประจำทาง เนื่องจากไม่มีบ้านพักสวัสดิการ และยังหาบ้านเช่าไม่ได้ ซึ่งการนั่งรถประจำทางสมัยนั้นนะคะ ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้แน่นอนค่ะ กว่าจะนั่งรถไป 2 ชม. กว่า ๆ นั่งรากงอก 555 ออกจากบ้านเช้า กลับถึงบ้าน ค่ำมืด กว่าจะหาบ้านเช่าได้ บอกได้เลยค่ะว่าหายากมากในเขตชนบท ซึ่งหวานเองไม่มีพาหนะ ฉะนั้นต้องหาบ้านพักที่ไม่ไกลพอจะเดินไป-กลับที่ทำงานได้สะดวก ผ่านไป เกือบ ๆ 2 เดือน ถึงได้ที่พัก หรือบ้านเช่า

    มาว่าด้วยเรื่องบ้านเช่าก่อนนะคะ จริง ๆ หวานอยากได้แค่ห้องพัก มีห้องน้ำในตัวก็พอ แต่ก็หาไม่ได้ ด้วยเงื่อนไขที่ว่าอยากได้อยู่ใกล้ที่ทำงานที่พอจะเดินไป-กลับที่ทำงานได้อย่างปลอดภัย 555 ซึ่งมันหาไม่ได้ เลยจำยอมต้องเลือกบ้านเช่าหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้น ด้านล่างเป็นห้องโล่งประตูม้วนแบบร้านค้า มีห้องน้ำและห้องครัวเล็กๆ หลังบ้าน ด้านบนเป็นไม้ มี 3 ห้องนอน แต่ปิดตาย 1 ห้อง เจ้าของบ้านบอกเอาไว้เก็บของ ให้สามารถใช้ได้ 2 ห้อง

    หวานจึงเลือกห้องหน้าสุดที่มองเห็นถนนตัดผ่าน ส่วนอีกห้องซึ่งเป็นห้องกลาง ใช้เก็บเสื้อผ้า ไม่อยากบอกเลยว่ารู้สึกวังเวงตั้งแต่เดินเข้าบ้าน แถมทุกต้นเสาตอกยันต์ที่เป็นแผ่นทองติดอยู่ทุกต้น ถามว่ารู้สึกยังไง ก็รู้สึกนะคะว่าเหมือนเราไม่ได้อยู่คนเดียว แต่หวานก็จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าเราแค่คิดไปเอง หวานนำพระพุทธรูปติดตัวมาด้วย เพราะเคยได้ตั้งจิตไว้แล้วว่าเมื่อได้งานทำ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนจะอันเชิญหลวงพ่อไปช่วยปกปักษ์รักษา

    เมื่อเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้หวานก็ได้จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่ เจ้าบ้านเจ้าเรือนนะคะว่าขอมาพักอาศัยเพื่อมาทำงาน ต่างคนอยู่ อย่ามาให้หวานเห็นหวานกลัว 555 เลิกงานหลังจากทำกิจธุระส่วนตัวเสร็จ หวานเข้าห้องนอนแล้วจะไม่เดินออกไปนอกห้องอีกเลยจนกระทั่งเช้า เพราะหวานถือว่าตอนกลางคืนเป็นช่วงเวลาของเจ้าของบ้านหวานไม่อยากออกไปจุ้นจ้าน (อันนี้คิดเองนะคะ) เพราะบางครั้งดึก ๆ มักได้ยินเสียงแปลก ๆ ^^ และที่สำคัญ ทุกคืนหวานจะสวดมนต์แผ่เมตตาให้ทุกสรรพสัตว์ รวมทั้งรุ่นพี่

    ปล. ทำงานด้วย ว่างก็นั่งนึกไป พิมพ์ไป อาจจะช้าหน่อยนะคะ ^^
     
  6. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    ***พยายามพิมพ์ต่อให้อ่านก่อนกลับ ถ้าพิมพ์ผิดถูกยังไงขออภัยญาติธรรมทุกท่านด้วยนะคะ

    ที่ทำงานของหวานมีพนักงานนั่งโต๊ะ แค่ 5 คน แต่ต่างมีหน้าที่แตกต่างกัน ในส่วนของหวาน 3 คน คือตัวหวาน พี่อ้อม และน้องแข เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ทำงานด้านนี้ หวานต้องพยายามเรียนรู้จากการอ่าน และสอบถามจากรุ่นพี่จากที่อื่นที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน ในช่วงเริ่มต้นการทำงานงานจึงเยอะมากและต้องใช้เวลานานในการทำงานเพราะเนื่องจากความใหม่ เมื่อเริ่มทำงานมาสักพัก เริ่มสนิทสนมกับพี่อ้อมและน้องแขมากขึ้น จึงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่ทำงานมาให้ฟังเรื่อย ๆ เช่น เจ้าที่ที่สำนักงานนี้แรง มีรุ่นพี่ที่ทำงานที่นี่เสียชีวิตไปแล้ว 2 ราย ล้วนตายโหง โดยรุ่นพี่คนที่ 1 เสียชีวิตโดยการผูกคอตาย รุ่นพี่คนที่ 2 เกิดอุบัติเหตุขับมอเตอร์ไซค์ชนคอสะพานเสียชีวิต

    ซึ่งในช่วงที่เข้ามาทำงานแรก ๆ หวานก็ได้จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่ในสำนักงานในวันเข้าทำงานวันแรก และได้ฝากให้น้องในสำนักงาน ช่วยหาดอกไม้ขึ้นหิ้งพระในสำนักงานโดยค่าใช้จ่ายมาเก็บกับหวานได้เลย
    เมื่อหวานได้บ้านพักใกล้สำนักงาน ทำให้หวานนั่งทำงานอยู่สำนักงานจนค่ำเกือบทุกวัน (ไม่มืดนะคะ พอมีแสงเดินกลับบ้านได้) ทำอย่างทุกวัน หลังทำงานมาประมาณ 3 เดือน เข้าหน้าหนาวแล้ว หวานเกิดไม่สบายเลยทานยาแล้วรีบเข้านอนโดยไม่ได้สวดมนต์เหมือนเคย เป็นอย่างนี้ 3 วัน จนวันที่ 4 หวานดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ประมาณว่าขี้เกียจ 5555 เลยเกเรอีก

    คืนนั้นหวานฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ยืนอยู่ใต้เสาไฟฟ้าที่มีแสงไฟสาดผ่านเห็นแค่เพียงช่วงคาง ลำตัว และขา แต่ไม่เห็นเท้าเพราะมันมืดมาก ผู้ชายคนนั้นใส่ชุดสีกากีแขนสั้นสีนวล รีดเรียบ สีผิวขาวเหลืองไม่ใช่คนผิวคล้ำ รูปร่างโปร่งสูงประมาณ 170 ขึ้นไป ไม่ผอมมาก ผู้ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ แต่หวานกลับเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ ในสิ่งที่เขาต้องการ และรู้ว่าเขาคือ รุ่นพี่คนที่ 1 ในฝันหวานตอบกลับไปว่า “รุ่นพี่ หวานขอโทษค่ะ พรุ่งนี้หวานจะสวดมนต์แผ่เมตตาไปให้” แล้วหวานก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น

    โอแม่เจ้า!! หวานตื่นสายมาก 08.00 แล้ว ไม่ทันคิดอะไรแล้ว หวานเลยรีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน ระหว่างเดินไปที่ทำงานก็ทบทวนเรื่องที่ฝันไปด้วยว่า “เฮ้ย! นี่เราฝันอะไร นี่รุ่นพี่มาเข้าฝันเราจริง ๆ หรือ” พอถึงที่ทำงานก็ลากพี่อ้อม พี่ที่ทำงานด้วยกัน มาถามแบบเจาะลึกเรื่องรุ่นพี่คนที่ 1 โดยหวานถามนำก่อนว่า “พี่อ้อม หวานถามจริง ๆ รุ่นพี่คนที่ 1 ใส่ชุดสีกากีตอนที่ตายใช่ไหม” พี่เขาก็ตอบกลับมาว่า “ใช่ ชุดกากีแขนสั้น ใช้เข็มขัดผูกคอตาย” และอธภิบายรูปร่างลักษณะเหมือนกับที่หวานฝันเห็นเป๊ะ

    อื้อหื้อ!! หวานทำหน้ามึนชีวิต พี่อ้อมเลยถามว่าทำไม เกิดอะไรขึ้นถึงถามแบบนี้ หวานเลยเล่าให้ฟัง พี่อ้อมเลยบอกว่า มีคนเคยเห็นว่ายังเห็นรุ่นพี่นั่งอยู่ในที่ทำงาน อันนี้หวานก็เคยได้ยินมา แต่หวานก็ไม่ได้คิดกลัวอะไร เพราะรุ่นพี่ก็คงรู้ว่าหวานกลัว เข้าใจว่าคงแค่มาสะกิดหรือทำให้รู้ว่า การที่หวานแผ่เมตตาให้ไป รุ่นพี่เขาได้รับ ^^ นั่นเป็นแค่ครั้งเดียวที่หวานฝันเห็นรุ่นพี่

    ปล. คุณเคยรู้สึกไหมว่าเดินเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งแล้วรู้สึกอึดอัด กลัว ร้อน ไม่อยากอยู่ แต่อีกห้องที่ติดกันกลับไม่รู้สึกอะไร อากาศก็ปกติ ไม่ร้อน ไม่รู้สึกกลัว แบบว่าอยู่ได้
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    สวัสดีเน้อ...การที่ไปที่ไหนก็ตาม
    แล้วพอรู้สึกอะไรได้เป็นเรื่องปกติธรรมดา..
    สำคัญที่ว่า พอรับรู้ได้แล้วจะทำอย่างไรต่อ
    ประเด็นนี้สำคัญกว่า....
    ส่วนทำบุญที่ดีที่สุดก็คือ
    ทำแล้วก็แล้วไป ให้แล้วก็แล้วไป....


    มีคำสอนมาให้อ่าน บทหนึ่ง
    เพื่อว่าจะเข้าใจได้ดีขึ้น....

    ''ถ้าจะทำให้....ก็ทำให้ไป
    ถ้าจะเสียสละก็เสียสละไป
    แต่อย่าคิดว่าจะเอาอะไร

    ให้ไปก็ได้มา
    ได้มาก็หมดไป

    ถ้าหมดแบบให้...ก็ได้มาอีก
    ได้มาอีกก็หมดไป

    ถ้าหมดไปแบบให้แบบเสียสละ
    ก็เป็นบารมีหมุนเวียนเข้ามาอีก

    แต่ถ้าได้มา แล้วหมดไป
    ด้วยการสนองกิเลสตัวเอง
    มันไม่เวียนกลับ
    ไม่เป็นผล..บารมีเวียนกลับ"
    ปล.ท่านผู้ไร้ร่องรอยกล่าว....

    ว่างๆไปดูรูปถ่ายในหลุมดำได้เน้อ
    พอดีแวะไปเยือนถิ่นเก่ามา..

    ไม่เจอกันนาน จะเล่าอะไรให้ หวาน ฟังเน้อ
    การทำบุญด้วยเพราะมีเมตตา
    นั่นดีอยู่แล้ว...แต่ถ้าทำแล้วก็แล้วไป
    ไม่หวังอะไร..ไม่คาดถึงผลที่ได้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร...
    ทำแบบทิ้งๆไป คือไม่อะไรกับอะไรกับการให้...
    เมตตาภายในที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ที่มันหน่วง
    กับเรื่องการทำบุญนั้น...
    มันจะพลิกจากเมตตาภายใน
    ออกไปเป็นเมตตาภายนอกได้ของมันเอง...
    อนาคต..ผลที่ได้นอกจากจะดียิ่งกว่า
    จิตคลายตัวได้ดียิ่งกว่า..
    ยังไม่มีเหลือเชื้อผูกพันธ์
    ที่เป็นเหตุให้ต้องวนเวียนมาเสวย
    ผลไม่ว่าดีหรือไม่ดี..
    ซึ่งเป็นเหตุให้ตัวจิตยังไม่หมดเชื้อที่มันเป็นเหตุให้
    ก่อภพก่อชาติได้อีกด้วย..(^_^)
     
  8. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    รู้สึกยินดีเสมอที่พี่นพ อนุเคราะห์เล่าสิ่งดีๆ เตือนสติ และชี้ทางว่าหวานควรต้องไปในทิศทางไหน ยึดถือ และตั้งมั่นกับสิ่งใด เพื่อให้ไปถึงในที่ ที่ เราอยากจะไป ยอมรับค่ะว่าการฝึกปฏิบัติคนเดียวเป็นเรื่องยาก เพราะมีเรื่องติดขัด มีสิ่งที่ไม่เข้าใจมากมาย หวานรู้สึกเหมือนตัวเองตาบอดที่ได้ยินแค่เสียงเรียกว่าให้ตามไป หวานคงได้แค่คลำทางไปตามเสียงเรียกนั้น และในระหว่างทางอาจมีเสียงอื่นแทรกบ้าง หวานยอมรับว่าสับสน หวังว่าพี่นพจะเข้าใจในสิ่งที่หวานอธิบาย

    ที่พี่นพเล่าไว้คือ “การทำบุญ ทำทาน” จริงว่าเมื่อก่อนทำบุญ- เวลาเราทำบุญแล้วก็มักจะอธิษฐานขอโน้น ขอนี่ แต่อันนี้ก็เพราะตอนยังเด็กเวลาทำบุญ ผู้ใหญ่มักจะพูดมาด้วยว่า ขอให้สุขภาพแข็งแรง เรียนเก่ง ๆ พอโตมาเราก็ไปขอเรื่องอื่น ๆ 555 ก็ว่ากันไปขำขำนะคะ แต่ทุกวันนี้ เวลานึกอยากทำบุญทำทานก็ไปทำ ทำเท่าที่กำลังเอื้ออำนวย ทำแล้วก็แล้วไป

    หวานอยากรู้ว่า กรณีที่เราไม่สบายใจ ทุกข์ใจ แล้วเราไปทำบุญ ทำทาน เพราะเราอยากรู้สึกดี อยากให้คลายความทุกข์ใจ การทำแบบนี้ ถือว่าเราหวังผลหรือไม่

    อยากให้พี่นพอนุเคราะห์ ขยายความ ข้อความข้างต้นยาว ๆ อีกได้ไหมคะ 5555 หวานยังมืดอยู่เลยค่ะ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    ตัวสีๆข้างบนต้องให้แปลภาษาไทยเป็นภาษาไทยเพิ่มอีกไหม ๕๕๕








    การทำความดีต่างๆ ไม่ใช่ว่าไม่ดี เราทำได้ และก็ควรทำ


    แต่ทำแล้วเราไม่ควรไปคาดหวังผลและไปยึด คือทำแล้วก็แล้วไป
    ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่างมัน....


    เพราะว่าแม้ว่าจะเป็นความดี เราก็ยังจะต้องไปเสวยผลของความดี
    คือยังติดในกองบุญอยู่นั้นเอง ยังไงก็ยังต้องกลับลงมาเกิด...


    ส่วนทำบุญแล้วแบบไม่อะไรกับมัน.
    ผู้รับก็รับแบบไม่อะไรกับอะไรกับเรา
    มันก็จะไม่ข้อง ไม่คา
    ในกิริยาทางนามธรรมทั้งหลาย...
    ที่มันจะกลายเป็นสัญญาพ่วงพันธ์
    กลับตัวจิตเราอย่างคาดไม่ถึง


    ตัวจิตเราในเวลาปกติมันก็ถึงจะเริ่มคลายตัวได้
    ของมันเองแบบไม่ต้องใช้วิธีการใดๆเพื่อไปทำให้มันคลาย
    ไม่ว่า กำลังสติ สมาธิ ปัญญา ตบะ ฌาน ญาน กำลังจิตทั้งหลาย
    ไม่ต้องไปใช้เพื่อทำให้จิตเรามันคลายตัว
    เพราะการคลายตัวได้ของจิตอย่างนั้น
    ยังมีตัวเราเป็นผู้ไปกระทำอยู่ ยังไม่เป็น
    ไปโดยธรรมชาติของตัวจิตเค้าเอง....




    อะที่นี้มาดูเรื่อง ทุกข์นะ...
    เอาแบบคนไม่เคยปฏิบัติอะไรเลยนะ...




    ถ้าสมมุติว่า จิตเราไม่คิด และไม่เคยปรุงแต่งอะไรเลย...
    ถามว่า ตัวเราจะรู้สึกว่า รัก โลภ โกรธ หลง ทุกข์ ฯลฯได้ไหม....
    ตรงนี้ไม่ต้องตอบ เขียนพอให้สะกิดใจ.....




    ทีนี้เรามาดูที่ต้นเหตุว่า. ลำดับที่มันนำไปสู่
    การปรุงแต่งจนกระทั่งเรารู้สึกว่าทุกข์มันเป็นอย่างไร.....


    ก็จะถามอีกว่า ถ้าตัวจิตเราถ้ามันไม่มีการระลึกเรื่องใดขึ้นมา..
    หรือถ้าตัวจิตมันไม่มีการนึกขึ้นได้ใดขึ้นมา
    หรือถ้าตัวจิตมันไม่มีการคิดเรื่องใดขึ้นมา
    ทั้งระลึกเรื่องใด นึกขึ้นได้เรื่องใด คิดเรื่องใด
    ทั้ง ๓ อย่างนี้ ไม่ว่าจะอดีต อนาคต หรือ ปัจจุบันนี้
    ตัวจิตมันจะสามารถไปปรุงแต่งอะไรต่อได้ไหม
    ตรงนี้ก็ไม่ต้องตอบ. เขียนพอให้สะกิดใจอีก....






    แต่เป็นต้นเหตุ ไม่ต้องไปพูดถึงจนกระทั่งว่า
    เรารู้สึกทุกข์ หรือรู้สึกอะไรหรอก...
    เพราะนั้นคือ จิตมันปรุงร่วมไปเรียบร้อยโรงเรียนจีน...
    เมื่อมันปรุงไปแล้ว..เราไปพยายามทำให้มันดับด้วย
    สมาธิ ด้วยวิธีการต่างๆ ไปทำบุญ ไปฟังธรรม ฟังเทศน์ ฯลฯ
    มันก็คือการไปบังคับ..
    จิตมันไม่ได้คลายด้วยตัวมันเองโดยธรรมชาติ..
    ยังไงๆ มันก็จะกลับมาย้อนคิดและทำให้ทุกข์ได้อีก
    ให้ลองสังเกตุดูได้..


    และยิ่งไม่ปรุงร่วม ไปคิดร่วมต่างๆนานาๆ คิดค้นหาวิธี
    การโน้นนี่นั้นไปเรื่อย ก็จะเป็นการไปเพิ่มกำลังให้ความคิด
    ที่มันปรุงไปแล้วอย่างคาดไม่ถึง....
    ไม่เพิ่มได้ไง ก็เราไปคิดเพิ่ม ตอนที่มันปรุงอยู่นั้นหละ
    ก็เหมือนไปเติมเชื้อไฟที่มันกำลังลุกอยู่ พอเข้าใจเนาะ


    ..


    ถึงตรงนี้ก็น่าจะทราบแล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุแห่งทุกข์
    แต่ก็อาจจะสงสัยว่า. ตาหนูก็มองเห็น หูหนูก็ได้ยิน
    สมองหนูก็คิดได้ ก็ใช่..เพราะว่าธรรมชาติของมันเป็น
    อย่างนั้น..จะไปบอกไม่ให้คิด ไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยิน
    ก็ไม่ได้..เพราะคงไม่มีใครนั่งหลับตา อุดหู ห้ามสมอง
    ไม่ให้คิดได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงหรอก...


    เพียงแต่ว่า ได้ยินก็แค่ได้ยิน เห็นก็แค่เห็น..
    คิดก็แค่คิด...ไม่ต้องไปให้ค่า ไม่ต้องไปรู้
    ไม่ต้องไม่ตีความ อะไร
    สักแต่ว่าได้ยิน
    สักแต่ว่าเห็น
    สักแต่ว่าคิด
    สักแต่ว่ารู้....และถ้าเผลอเลยสักแต่ว่าไปซะทุกอย่าง
    รู้ทันตอนไหน..ก็ให้รีบหยุดมันซะ
    และก็ช่างหัวมัน..
    และก็ไม่ต้องไม่ยึด ไม่ให้ค่า ไปปรุงแต่งมัน..


    การรู้จักอโหสิออกจากกลางลิ้นปี่
    ตามด้วยอุทิศส่วนกุศซ้ำออกจากกลางลิ้นปี่ลงไปนั้น...
    ก็จะแก้ การระลึก การนึกขึ้นได้ การคิดขึ้นได้
    อัตโนมัติ จิตมันก็จะคลายตัวได้ของมันเอง.....
    ให้ทำทันที หลังจาก ระลึก นึกขึ้น คิดขึ้นได้..


    เพียงเท่านี้ เมื่อจิตเริ่มคลายตัวได้เองโดยธรรมชาติ
    ซึ่งมันจะพัฒนาจากวินาทีขึ้นไปได้ของมันเอง...
    และจิตก็เป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตดวงนั้นๆ....


    ซึ่งพอจิตเริ่มคลายตัวได้(คือไม่เป็นวงกลม
    การติดบุญ สติ ปัญญา ตบะ ฌาน ญาน กำลังจิต
    บาป ฯลฯ ยังไงก็จะยังเป็นวงกลม) มันก็จะขยาย
    ใหญ่ไปกว้างเรื่อยๆ ตรงนี้หละที่เราเรียกว่าบารมี...
    แล้วอะไรหละที่จะมาหนุนการแพร่ขยายของจิต
    ตรงนี้ออกไปเรื่อยๆ ก็คือ บุญที่เราทำแบบไม่อะไร
    กับอะไรนั่นหละ...เพราะว่าถ้าเรามีอะไรกับอะไร
    มันก็จะยังอยู่ในรูปแบบจิตที่ยังเป็นวงกลมได้อยู่


    สุดท้ายนี้ พอจะเข้าใจอะไรๆได้เพิ่มเติมหรือยัง...

     
  10. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    "ปลาหมอตายเพราะปาก"

    สำนวนสุภาษิตนี้ หมายถึง คนพูดพล่อยจนได้รับอันตราย ฟังดูแรง!! จังเนาะ หรือขยายความอีกนิดให้หมายรวมถึงคนปากไม่ดี คนพูดไม่คิด จนนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง ส่วนตัวขอใช้คำขยายที่ฟัง เบา ๆ ซอฟท์ ๆ ที่ตัวเองพอรับได้ดีกว่า ^_^

    ยอมรับว่าเป็นคนที่ชอบพูดเล่น พูดเอาฮา พูดติดตลก พูดไปโดยไม่ได้คิดอะไร...จะทำให้ตัวเองต้องมาเจอกับสิ่งที่ไม่อยากจะเจอ จากเรื่องที่เล่าผ่าน ๆ มา คงพอรู้แล้วว่าชีวิตของหวานจะมีพี่อยู่ข้างกายเสมอ แต่เมื่ออายุมากขึ้นย่อมต้องมีเพื่อนต่างเพศเข้ามาพัวพัน เป็นเรื่องธรรมชาติ อิอิ เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนหวานอายุ 22-23 ขออธิบายสถานที่เกิดเหตุสักนิดก่อนเล่าเรื่องนะคะ

    บ้านหวานจะอยู่ลึกเข้าไปในซอยซึ่งห่างจากปากซอยใหญ่พอสมควร ในปีที่เกิดเรื่องพอดีว่าได้มีการตัดถนนใหม่เพื่อเป็นถนนใหญ่ไปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ขอเรียกสั้น ๆ ถนนไป ตม. ตัดผ่านใกล้ทางเข้าบ้าน ทำให้หวานเลือกที่จะใช้เส้นทางนั้นเพื่อเข้าเมืองเพราะออกจากซอยได้เร็วกว่า และอีกเหตุผลหนึ่งคือแถว ๆ ปากซอยใหญ่มีหมาเจ้าถิ่นอยู่ชอบวิ่งไล่รถจักรยานยนต์ หวานเลยเลี่ยงดีกว่า 555

    ถนนที่ตัดผ่านซอยนี้จะต้องผ่านสวนมะม่วงที่ปลูกต้นมะพร้าวไว้รอบ ๆ บริเวณรั้ว มะม่วงที่สวนนี้มักจะออกผลเร็วกว่าที่อื่น ตอนอยู่ประถมหวานกับเพื่อน ๆ รุ่น ๆ เดียวกันแอบเข้าไปสอยมะม่วงงาช้างลูกโต ๆ มากินประจำ ที่กลางสวนจะมีบ้านหลังเล็ก ๆ ทิ้งร้างไม่มีคนอยู่ หวานเคยถามแม่ว่าทำไมไม่มีคนมาอยู่ที่สวนนี้ แม่ก็บอกว่า ที่สวนนี้ยายเจ้าของที่เขาหวงมาก ๆ จำไม่ผิดหวานเคยเห็น เจดีย์ (แถวบ้านหวานเรียกว่า ธาตุ) ใส่กระดูกคนตายอยู่ที่สวนแห่งนี้ด้วย แม้จะให้อยู่ฟรี ๆ ก็ไม่มีใครอยู่ได้ เพราะเขาเล่าว่าตอนกลางคืนดึก ๆ มักได้ยินเสียงคนเดินขึ้นลงบ้าน และเดินรอบ ๆ บ้านทุกคืน ทำให้ไม่มีใครกล้ามาอยู่ ก่อนหน้าที่หวานจะเจอกับเรื่องนี้ ก็มีเรื่องน่ากลัวที่เกิดขึ้นก่อน แต่ก็กันห่างเป็น 10 ปีทีเดียว

    เรื่องที่เกิดก่อนหน้าหวานเป็นเรื่องเล่าของคนที่บ้านอยู่ลึกเข้าไปในซอยถัดจากบ้านหวานไป เหตุเกิดช่วงเดือนมีนาคม ป้าที่ประสบเหตุได้ไปเที่ยวงานฉลองอนุสาวรีย์ปราบฮ่อ หลังจากดูโน่นนี่นั่น กว่างานจะเลิกก็ประมาณ ตี2 กว่า ก็เดินกลับเมื่อมาถึงบริเวณสวนมะม่วงก็ปวดปัสสาวะอย่างหนักเลยเข้าไปนั่งปล่อยน้ำหลังจอมปลวกที่อยู่ในสวนริมรั้ว ป้าแกว่า ตอนนั่งๆ อยู่รู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างหลังเลยหันกลับมามอง แกบอกหน้านั้นห่างจากหน้าป้าแกแค่คืบเดียวตาโตถลนแดงตัวดำมิด เห็นแต่ลูกตาสีแดง ป้าตกใจมากชนิดไม่สนใจนุ่งผ้าวิ่งกลับบ้านทั้งอย่างนั้นเลย

    อารัมภบทยืดยาว..... เด๊วมาต่อ ขอเคลียงานและนั่งพิมพ์ต่อเสร็จแล้วจะอัพลงให้นะคะ
     
  11. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    มะกี้แอบแวะไปกระทู้ "เรื่องผีของฉัน"ของคุณกลิ่นราตรี ดีใจสุด ๆ ที่คุณกลิ่นราตรีกลับมา และจำหวานได้ด้วย อิอิ แถมยังเล่าถึงชายกลิ่นกายหอมที่แอบตกหลุมรักให้ฟังอีกครั้ง...ฟินจัง...ยิ้มแก้มปริเลย ^^ ไม่นึกว่าจะได้อ่านเรื่องราวของเขาอีกครั้ง

    มาค่ะ ๆ ยิ้มไปเล่าไป อิอิ อย่างที่หวานเล่า ใช่ว่าใครจะได้เจอบ่อย ๆ จะมามัวนั่งกลัวมันก็ใช่เรื่องไหม หวานก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะปกติก็ไม่ได้กลับบ้านมืดค่ำอะไร ไฟถนนก็มีบ้างจะมืดก็แค่ช่วงที่ต้องผ่านสวนมะม่วงก็ราว ๆ 100 เมตร ไม่น่าจะเกินนั้น ในวันที่เกิดเรื่องจำไม่ผิดน่าจะช่วงเดือนกลางเดือนมีนาคมค่อนมาปลายเดือน มะม่วงที่สวนนี้ติดลูกโตกว่าทุกสวนที่เป็นเพียงดอกและพึ่งติดลูก เสาร์นั้นหวานไม่มีเรียน (หวานทำงานและเรียนในวัน ส-อา ด้วยเลยไม่ค่อยมีเวลาไปไหน) และพี่สาวออกเวร(ทำงานใน รพ.) พี่สาวชวนหวานไปดูหนังเป็นเพื่อน ด้วยความที่พี่สาว นาน ๆ จะว่าง หวานเลยตามใจไปกับพี่และเลื่อนนัดหนุ่มรู้ใจไว้เจอกันตอนเย็นแทนเพราะอยากให้เวลากับพี่ก่อน เดี๋ยวจะงอน ^^

    ช่วงบ่ายระหว่างที่ขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านสวนมะม่วง (หวานขี่พี่สาวซ้อนท้าย)
    พี่สาวเอาคางมาเกยไหล่หวาน : ฮูยย!! ตัวเองมะม่วง เห็นแล้วน้ำลายไหล
    หวานเงยหน้ามองกิ่งมะม่วง แล้วก็ตอบ : อืม!! เห็นละ เด๊วมาขโมย
    แค่นั่นแหละ หวานก็พูดไปแค่นั้นแหละ ไม่ได้คิดจริงจังจะมาขโมง ขโมย อะไรจริงจังเล้ยยยย!!!

    หลังจากพาพี่ไปดูหนังจบแล้ว หวานก็พาไปตลาดและพาพี่สาวมาส่งบ้านและกลับออกไปตามที่นัดหนุ่มรู้ใจไว้ กะว่าช่วง 6 โมงเย็นจะไปนั่งกินนมปั่นแถวริมโขงกัน ขณะที่นั่งเล่นหน้าบ้านรอหนุ่มแต่งตัว หวานก็ได้ยินเหมือนเสียงรถ 18 ล้อวิ่งอย่างเร็วเสียงดังมาก ๆ ดังแว่วมาแต่ไกล พอดีหนุ่มเดินออกมา
    หวานเลยถามว่า : W ได้ยินเสียงอะไรไหม? ใช่เสียงรถพ่วงหรือเปล่า ทำไมขับไวจัง
    W ก็ฟังแล้วตอบว่า : ไม่รู้สิ
    ที่ไหนได้ เสียงที่หวานนึกว่าเสียงรถนั้นกลายเป็นฝนวิ่งห่าใหญ่ ตกหนักมาก ทั้งก็ลมแรงจนต้องรีบวิ่งเข้าบ้านหนุ่ม W ก่อน สรุปนมปั่นก็ไม่ได้กิน เลยกินข้าวกับครอบครัวหนุ่ม W แทนรอฝนหยุด

    ตอนนั้นสี่ทุ่มกว่า ๆ แล้ว ฝนซาแล้วแต่ลมยังแรง เสียงลมพรึบพรับ วีดหวิว (คงเคยได้ยินเสียงลมเนาะ น่ากลัวจริงๆ นะคะ) แต่ก็พอไปได้ หวานเลยตัดสินใจกลับ เพราะกลัวว่าจะดึกไปมากกว่านี้ หนุ่ม W บอกจะไปส่ง แต่หวานบอกไม่เป็นไร หวานซิ่งไปไม่นานก็ถึง ถึงบ้านแล้วจะโทรหาจะได้ไม่ต้องห่วง แล้วหวานก็ออกมา ระหว่างทางป้ายโฆษณาข้างทางล้มระเนระนาด บ้างก็ปลิวมากลางถนนก็มี หวานก็รีบกลับเพราะกลัวของที่ปลิวมากับลม

    เมื่อถึงถนนตัดใหม่ที่เป็นทางเชื่อมลงซอยลงข้างสวนมะม่วง หวานก็ขี่ลงไปแต่มันเป็นความรู้สึกแปลก ๆ มันผิดปกติ ต้องเข้าใจนะคะ ระหว่างทางมา จะมีลมฝน พัดพรึบพรับตลอดเวลา แต่พอเข้าไปในซอยข้างสวนมะม่วงนั้น มันเหมือนอีกโลกหนึ่ง
    มันเงียบ!! เงียบมาก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่มีเสียงอะไรเลยจริงๆ นะคะ เสียงลมที่วุ่นวาย มาตลอดทางก็ไม่มี หวานเงยหน้ามองปลายไม้ ก็นิ่งไม่ขยับ พอรู้สึกตัวว่าสิ่งรอบข้างผิดปกติ เหมือนมันจะรู้ตัวเองค่ะว่าจะต้องโดน ต้องเจออะไรแน่ ๆ บอกตัวเองใจเย็น ๆ จริงๆ นะคะ ตอนนั้นเหมือนบอกตัวเองจริงๆ ว่าใจเย็น ๆ ตอนที่รู้ตัวและบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ (ตอนกลับบ้าน สวนมะม่วงจะอยู่ด้านซ้ายของหวาน) หวานก็รู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างวิ่งตีคู่ตามหวานมาแต่อยู่ในสวนนะคะ ถึงต้นมะพร้าวต้นแรก ไอ้ตัวที่หวานรู้สึกว่าวิ่งตีคู่มามันวิ่งขึ้นมะพร้าวพรึบเดียววิ่งถึงยอดเลยแล้วมันมีเสียงเหมือนเล็บหรืออะไรสักอย่างที่แข็ง ๆ ครูดตามลำต้นแล้วตกลงมาดังตุบแล้วกลิ้งขลุก ๆ พอหวานขี่ผ่านต้นมะพร้าวต้นถัดมาก็มีเสียงตัวประหลาดวิ่งขึ้นและครูดลำต้นตกลงมา อย่างนี้ทุกต้นที่หวานขี่รถผ่าน กระเจิงค่ะ ขวัญกระเจิง โชคยังดีที่ยังประคองจักรยานยนต์ได้ไม่ล้มคว่ำบาดเจ็บ และไม่ได้ตะโกนโวยวายด้วยนะคะ ไม่ใช่อะไร กลัวมากร้องไม่ออกต่างหากคะ ^^ พอเข้าบ้านได้ จอดรถได้ ขาหมดแรงนั่งลงข้าง ๆ รถนั่นแหละค่ะ นั่งอยู่พอสมควรถึงมีแรงลุก ... เฮ้อ!! ถ้านี่แค่หยอก ไม่ถึงกับหลอกก็แรงไปนะคะ โฮ่ย!!
     
  12. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ดีนะที่คุณหวานไม่เหลือบมอง แค่ฟังก็น่ากลัวแล้วค่ะ
     
  13. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    แค่มองไปข้างหน้าอย่างเดียวเลยค่ะ นี่ถ้ามาดักหน้า มาให้เห็นจะ จะ มีหวังหวานได้ช็อค!! ตายแน่ค่ะ ตอนที่จอดรถได้นะคะ ขาหวานสั่นพับ ๆ ต้องได้ทรุดนั่งก่อน เพราะขาไม่มีแรง โฮย!! นึกถึงทีไร ทั้งกลัว ทั้งขำตัวเอง


    ปล. วันนี้ขำไม่ออกแล้วค่ะ เศร้ามาตั้งแต่เมื่อคืน:':)'(
     
  14. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231

    เรื่องนี้ไม่เห็นแปลกอะไรเลย คนที่คุณเห็นขณะที่รถติดไฟแดง
    อาจเป็นใครที่อาศัยรถสามีคุณมา และเขาคงลงระหว่างทาง
    แต่คุณกลับเข้าใจเอาเองว่าเป็นเด็กที่มาช่วยขนมัน
    พอเห็นว่าเด็กที่มาช่วยขนมันนั่งอยู่ท้ายรถ โดยที่ไม่ได้ถามสามีให้แน่ชัด
    ว่ามีใครอาศัยติดรถและลงไประหว่างทางหรือเปล่า คุณก็มาสรูปเอาเองว่ามันเป็นเรื่องแปลก

    สรูปแล้ว เรื่องนี้ยังไม่ชัวร์ อาจเป็นแค่คนที่อาศัยรถมาเฉยๆ
     
  15. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    ^^ จริงๆ ก็ได้ซักถามสามีแล้วนะคะ สามีบอกว่าสามีนั่งมาแค่คนเดียวค่ะ และก็ได้สอบถามน้องเจ้าของรถ (พอถามน้องเขาร้องอ๋อทันที) ได้ความว่ามีคนงานในฉางหลายคนที่เห็นคนนั่งในรถคันนี้ประจำ รถคันนี้จะเอาไปทำอะไร ที่ไหน ต้องบอกด้วย ตอนที่สามีเอารถมาใช้ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาคงตามรถไปค่ะ
     
  16. sathu-sathu

    sathu-sathu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +443
    หลอนมาก... โดยเฉพาะเรื่อง สวนมะพร้าวค่ะ :boo:
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถ
    ในการอยู่ร่วมกับภพภูมิได้ดีในระดับที่ใช้ได้ ๕๕๕
     
  18. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    สวัสดีค่ะพี่นพ ดีใจที่พี่นพแวะมาค่ะ สบายดีนะคะ ^^

    เล่าให้ฟังแบบยาว ๆ อีกสิคะ หวานชอบฟังค่ะ เม้นทสั้น ๆ หวานไม่ "อ๋อ" ค่ะพี่นพ พลีสส

    ปล.ทุกคำแนะนำของพี่นพ หวานยังกลับไปอ่านทวนและพยายามปฏิบัติตามไม่ลืมนะคะ การลังเล สงสัย การหาคำตอบให้กับสิ่งรอบตัว ตอนนี้ลดลงมากแล้วค่ะ
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    จร้า สบายดีมาก
    เป็นปกติธรรมดาสไตล์พี่นี่หละ
    เดินไปไหนสาวๆยังกรี้ดกร๊าด พี่นพคะ พี่นพขา เหมือนเดิม(พอดีซิบกางเกงแตก)



    ดูท่าทางยังไม่มีช่องว่างเพียงพอให้พี่..พอจะโม้เลย ๕๕๕..
    ปล.อะไรที่ก่อนตายทำเป็นกิจวัตรปกติ ถ้าเสียชีวิตและดวงจิต
    ยังอยู่ระดับเดียวกับเราๆอยู่และยังไม่ถึงวาระเปลี่ยนภพภูมิ
    เค้าก็จะทำอย่างนั้นเป็นปกติประจำ ตามสัญญาความจำได้ของเค้า
    ที่ชัดเจนที่สุดก่อนจะเสียชีวิต(พูดถึงเด็กหน้ากลมๆทรงผมดูเรียบๆ
    ที่นั่งรถมากับคุณสามีนะ(^_^) )
    ถ้าแม่ย่านางรถ คนมักจะเห็นเป็น ญ แบบที่เป็นสเปคของคนขับจร้า
    นั่นแน่ หาเรื่องโม้จนได้ตรู ๕๕๕
    กรณีแม่ย่านาง ท่าทางจะเป็นตัวหวานเองนั่นหละ ๕๕ (แซวๆ)
     
  20. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    สวัสดีค่ะญาติธรรมทุกท่าน ห่างหายไปนาน น๊าน นาน บ้านเบิ้น กระทู้เก่าแก่ ฝุ่นเกาะหนา หยากไย่ขึ้นเต็มไปหมดแล้ว อิอิ พูดเหมือนมีคนรอเนาะ แต่จริง ๆ คงไม่ ^^ ตัวเวปก็มีการเปลี่ยนแปลงอัพเปลี่ยนใหม่ ไฉไลกว่าเก่า เกือบหาทางเข้าไม่เจอ (ก็ว่าไปโน่น) จริง ๆ ก็แวะเข้ามาอ่านกระทู้ของพี่ ๆ ที่นับถือ บ้าง นาน ๆ ที ในความเป็นจริงในเรื่องวัยวุฒิใครจะมากกว่าหรือน้อยกว่านั้น หวานขอเรียกว่าพี่ทุกท่านด้วยความเคารพ ด้วยความนับถือ พี่ๆ ที่ได้ให้คำปรึกษา ชี้ทาง แนะนำ ช่วยเหลือในเรื่องการปฏิบัติ อธิบายในสิ่งที่ติดขัดให้สามารถไปต่อได้ คำที่พี่สอนไม่ลืม "การปฏิบัติธรรมอยู่คนเดียวก็สนุก อยู่หลายคนก็สนุก เพื่อให้เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติรอบ ๆ ตัวได้อย่างสมดุลและแยบยล ปลายทางก็เพื่อกลับคืนสู่ธรรมชาติเดิมของจิตที่ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด"

    จากคำสอนของพี่ นั่นคือปลายทางที่อยากไปให้ถึง ณ เวลานี้ ปลายทางที่อยากไปให้ถึงยังคงเหมือนเดิน แต่การปฏิบัติในตอนนี้ชักจะสวนทาง T^T สารภาพว่าหย่อนลงกว่าแต่ก่อนมาก มาว่าถึงเหตุเริ่มก่อนเนาะ ญาติธรรมที่เข้ามาอ่านช่วยรับฟังหวานและบอกหวานทีผิด-ถูกอย่างไร หากคิดว่าสิ่งที่หวานอธิบายคือการแก้ตัว ก็คือการแก้ตัว หากสิ่งที่หวานอธิบายมันเป็นความคิดที่ผิด แล้วที่ถูกคืออย่างไร

    แรกเริ่มเดิมทีเหตุได้เล่าไว้ที่หน้า 1 แล้ว ความทุกข์ใจทำให้เราค้นหาสิ่งยึด คือเหตุที่พามาให้เป็นสมาชิกในครอบครัวพลังจิต เพราะอยากเรียนรู้การฝึกสมาธิ การฝึกการเจริญวิปัสสนา คำแนะนำ และผู้ที่ให้คำตอบในสิ่งที่ขัดข้อง ซึ่งก็ได้ญาติธรรมที่ดี กัลยานิมิตรที่ได้ให้สิ่งเหล่านั้นเพื่อฝึกเอง คำถาม! แล้วทำไมไม่ไปฝึกเป็นกลุ่ม ไปฝึกที่วัด คำตอบคือ สภาวะติดขัดทางครอบครัวค่ะ หวานหลีกเลี่ยงการกระทำทุกอย่างที่จะเป็นฉนวนเหตุของการมีปากเสียงกับคนที่บ้าน เพราะหวานเองก็อารมณ์ร้อน เพราะรู้ดีในข้อนี้เลยพยายามเลี่ยง หวานพยายามอย่างที่สุดแล้วเพื่อรักษาความสงบในครอบครัว เพื่อแม่ หลายท่านมีคำถาม มีความคิดแย้ง และไม่เชื่อ!! หวานบอกได้แค่ว่า คนบางคนไม่สามารถใช้เหตุผลได้ ไม่โทษใครค่ะ เป็นกรรมของหวานเอง นี่ก็เป็นสิ่งที่หวานได้เรียนรู้จากการศึกษาธรรม

    ต่อนะคะ เมื่อได้รับคำแนะนำ หวานก็ฝึกปฏิบัติในแบบของหวานไปเรื่อย ๆ เข้าเวปพลังจิตทุกวัน อ่านกระทู้ที่สนใจ และหลายกระทู้ที่มีตั้งชื่อกระตุ้นต่อมความอยากรู้ อ่านแล้วรู้สึกว่า จริงเหรอ! ขณะอ่านใจก็คิดไปด้วยว่าจะเป็นอย่างไร เขาเห็นอะไร เมื่ออ่านจบ ก็ไม่ได้คิดอะไรนะคะ เมื่อเวลาผ่านไป คำบอกเล่าที่อ่านทุกวัน ๆ ไม่รู้สิคะ หวานว่ามันชักมีอิทธิพล ความอยากรู้ อยากเห็นมันก่อตัวขึ้นลึก ๆ ข้างใน และช่วงนั้นหวานเริ่มเห็นภาพแว๊บๆ แปลก ๆ ภาพที่ไม่รู้ที่มา ขณะทำสมาธิ ทำให้เกิดความลังเล สงสัยในสิ่งที่เห็น แม้พี่ที่นับถือจะบอกไม่ให้หวานใส่ใจ แต่หวานกลับทำสมาธิอีกไม่ได้ ช่วงนั้นหวานเริ่มทบทวน พิจารณาตัวเอง และรู้สึกได้ถึงความอยากรู้ จริง ๆ ถ้าหวานถาม พี่ที่นับถือต้องตอบแน่ แต่หวานกลับรู้สึกว่าไม่ใช่ทางแก้ ใจหวาน จิตหวานต่างหากที่หวานต้องจัดการ ช่วงนั้นหวานไม่เข้าเวปพลังจิตเลย ไม่อ่านกระทู้เลย แถมด้วยสารพัดปัญหา ทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องครอบครัว ยอมรับช่วงนั้นจิตมันฟุ้งมาก ๆ ไม่สามารถทำสมาธิได้เลย

    การฝึกสมาธิของหวาน ถ้าหวานพยายามดึงจิตให้นิ่งไม่ได้ ถ้าเผลอมันแว๊บหลุด เผลอคิดโน้น คิดนี่ เมื่อลองทำสักพักถ้ายังไม่ยอมนิ่ง หวานจะเลิกไม่ฝึกต่อ ฝืนไปก็เท่านั้น แถมรู้สึกหงุดหงิดที่ทำไม่ได้ หลายครั้ง ๆ เข้า หยุดยาวเลย ^^ ช่วงปลาย ม.ค. 60 ที่ผ่านมา หวานกลับไปอ่านคำแนะนำเก่า ๆ อ่านซ้ำไปมาพิจารณากับสิ่งที่เราได้ปฏิบัติผ่านมา รู้และเข้าใจว่า ที่ผ่านมาหวานทำผิด ซึ่งมันตรงตามคำแนะนำของพี่ ๆ อารมณ์โกรธที่เราไปอุปโลกตัวรู้เพื่อจะวาง พอเราไม่ควบคุมมันก็กลับขึ้นมาทันที นั่นเป็นเพราะกดมันไว้ไม่ใช่วางมันลง เมื่อกลับมาอีกครั้งไม่รู้สิคะ หวานรู้สึกไม่เร่งตัวเอง ไม่ดิ้นรน ค่อยเป็นค่อยไป หากมันถึงเวลาที่ใช่ ถึงเวลาที่เราจะได้ปฏิบัติ หวานคิดว่าอะไรที่ติดขัดอยู่ในตอนนี้นั้น ทุกอย่างจะสำเร็จลุล่วง ได้ทำทุกอย่างที่เราอยากทำและอยากไป และนี่คือสิ่งที่เกิดกับหวาน



    ปล. ติดเรื่องเล่าไว้ก่อนเนาะ เรื่องแปลกของฉันชักจะหมด 555 เหลือเรื่องของคนในครอบครัว จะค่อย ๆ เล่าไปนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...