ในยุคนี้ สามารถนำผลจากการฝึกกสิณมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้จริงๆมั้ยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Shinozuke, 24 พฤษภาคม 2016.

  1. Shinozuke

    Shinozuke Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +60
    ความรู้ด้านนี้ผมมีน้อยมาก
    ถามท่านผู้มีประสบการณ์ตรงขอเชิญอธิบายเพื่อเป็นธรรมทานแก่กระผมและท่านที่สนใจด้วยครับ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ประโยชน์ที่สำคัญและเป็นหลักเลยก็คือ...
    เราสามารถที่จะหาแนวทางเดินเพื่อให้ตัว
    จิตเกิดปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้จากกสิณ
    กองใดๆก็ตามที่เราฝึกครับ...
    ปล.ไว้พรุ้งนี้จะมาเล่าและยกตัวอย่าง
    ให้เป็นแนวทาง..วันนี้ขอตัวนอนก่อนนะครับ
     
  3. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239


    พี่นพอธิบายเรื่องต่างๆได้ละเอียดและเข้าใจง่าย
    รอติดตามร่วมกับเจ้าของกระทู้ด้วยคนคะ
    ส่วนตัวมีความสนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกันคะ แต่ไม่เคยฝึกกสิณอย่างจริงจัง เคยลองทำด้วยตนเองบ้างครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร
    ก็ชอบที่จะอ่านหรือหาข้อมูลไปเรื่อยๆก่อน เผื่อได้เจอครูบาอาจารย์ ก็จะเป็นการง่าย เพราะได้ศึกษามาบ้าง อะไรทำนองนี้คะ
    รอพี่นพด้วยคนนะคะ
    แต่เนื่องจาก
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ประโยชน์มันมีก็คือ..ตัวจิตเรามันจะเร็วในการตัด
    ตัวโลภะ โมหะ โทสะ พวกนี้ที่มันเป็นกิเลส
    ที่มันจะออกจากตัวจิตเรา
    แล้วเผลอไปยึด เอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    หรือเผลอไปยึดเอาสิ่งต่างๆ จากอายตนะทั้ง ๖
    ของเราที่มันไปรู้ ไปเห็น ไปได้ยิน ไปสัมผัส.
    ที่มันมีอยู่แล้วภายนอกแล้วดึง เข้ามาจนเป็นตัวเราเอง
    ได้อย่างไม่รู้ตัวได้ง่ายๆครับ...
    เมื่อตัดได้ ทำได้ ก็จะช่วยหนุน
    ให้จิตเราคลายตัวได้ด้วยตัวเอง
    ในระหว่างวัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้
    วิธีการใดๆเพื่อให้มันคลายตัวเองนั่นเองครับ


    วิธีการเพื่อเป็นแนวทางสำหรับให้เกิดปัญญาทางธรรมได้นั้น..
    มีนัยยะให้ไปลองพิจารณาเองดังนี้ครับ...
    ซึ่งบอกก่อนว่าเป็นเพียงแค่วิธีการหนึงเท่านั้นนะครับ..

    ''มองเปลวเทียนแต่ไม่เห็นไส้เทียน มองไส้เทียนแต่ไม่เห็นเปลวเทียน''
    "มองน้ำแต่ไม่เห็นสภาพแวดล้อมที่น้ำอยู่...มองสภาพแวดล้อมแต่ไม่เห็นน้ำ ''
    กองอื่นๆก็คล้ายๆกัน....

    ยกตัวอย่าง เช่น เราจุดเทียน แล้วถือเทียนไว้เหนือน้ำ..
    ให้เรามองและพิจารณาดูว่า มันมีการเปลี่ยนแปลงอะไร
    เกิดขึ้นไหม เช่น มีอะไรเข้ามาไหม มันเคลื่อนไหวอย่างไร
    สีมันเป็นอย่างไร เราทำให้มันนิ่งๆได้ไหม
    เราบังคับให้มันเป็นอย่างใจเราได้ไหมฯลฯ
    พวกนี้จะยังไม่เกิดปัญญาแต่จะเป็น
    แนวทางเดินให้จิตสำหรับไว้เดินปัญญาได้...
    พอเราพิจารณาไปซักระยะ กายเรากับจิตเรามันก็จะเริ่มนิ่ง
    ได้ของมันเอง..พอกายนิ่งจิตนิ่งแล้ว ทุกๆสิ่งทุกอย่างรอบๆ
    ตัวก็จะเสมือนไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ..เป็นเหตุให้จิต
    เราจะเริ่มสงบและหมดนิวรณ์
    แต่มาถึงช่วงนี้เราจะต้องระวัง เพราะว่าอาจจะเข้าสู่สภาวะความ
    เป็นทิพย์ได้ ซึ่งทำให้เห็นภพภูมิ แดนไตรภูมิต่างๆได้..
    ให้เราละ ไม่สนใจในทุกๆสิ่ง ทุกอย่าง ที่เห็นที่สัมผัสได้...

    และหากเรานิ่งของเราไปเรื่อยๆได้แล้วนั้น..
    มันก็จะมีเรื่องราวในอดีตร้อยแปดพันเก้า
    ผุดขึ้นมาโดยไม่รู้จบ..ถ้าเราพิจารณาแล้ว
    มันไม่วาง ให้เราไปหาอย่างอื่นทำซะ
    แต่รักษาลมหายใจไว้ ที่ดีควรเปลี่ยนไปเดินจงกลม
    แล้วค่อยกลับมาเริ่มต้นใหม่....

    ถ้าผ่านจุดที่มีเรื่องราว ๑๐๘ ผุดขึ้นมาได้
    และอยู่ดีๆคล้ายกับว่าเรื่องนั้นมันวางไปเอง
    โดยที่เราไม่ได้ไปแทรกแซงอะไรมันเลย
    ซ่วงนี้นี่หละคือช่วงที่สำคัญครับ
    ...
    ช่วงเวลานี่หละครับ ที่ตัวสติทางธรรมที่มี
    มันจะทำหน้าที่ควบคุมตัวจิตให้รับรู้..
    ในขณะที่ตัวจิตก็จะมีความเป็นกลาง
    คือไม่มีการคิดปรุงแต่งอะไรเลย..
    และสติทางธรรมจะทำหน้าที่ควบคุม
    จิตให้รับรู้ ในสภาวะปัจจุบัน ด้วยความเป็นกลางนี้
    ด้วยตัวมันเองอัตโนมัติ โดยที่ไม่มีเราเข้าไปเป็นผู้กระทำ
    ซึ่งถ้า มันพิจารณาและเข้าใจได้เองของมันแล้ว
    ก็จะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้ของมันเอง
    ซึ่งในช่วงแรกๆ ที่มันพิจารณาได้ ผู้ปฏิบัติ
    มักจะสังเกตุไม่ทัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ...
    และการที่มันจะพิจารณาอะไร และเห็นอย่างไรได้นั้น
    ก็ขึ้นอยู่กับว่า ณ เวลาก่อนหน้าที่เราได้พิจารณา
    มองเปลวเทียน มองไส้เทียน มองเทียน มองสภาพแวดล้อม
    เทียนอยู่นั้น พวกการพิจารณาที่ให้เห็นการเปลี่ยนแปลง
    เพื่อให้เป็นแนวทางเดินนั้น เราพิจารณาไปในทางด้านไหนครับ..
    เช่น ถ้าเราพิจารณาไปในแนวทางว่ามันไม่เที่ยง..จิตก็จะเห็นได้
    ว่ามันไม่เที่ยงครับ..และย้ำว่า จิตมันจะเห็นได้ที่ละอย่างเท่านั้นนะครับ...
    และถ้าเราโน้มไปว่า เราเห็นการเปลี่ยนแปลง มันมีการเปลี่ยนแปลง
    แต่เราเผลอไปยึดมา ทำให้เราทุกข์ ถ้าผ่านได้ จิตก็จะโน้มให้เกิด
    ปัญญาในเรื่องการไปยึด เวลาลืมตาปกติเราก็จะไม่เป็นทุกข์
    กับการไปยึดติดกับสิ่งต่างๆว่าจะต้องเป็นของเรา
    ที่มันทำให้เราทุกข้ได้เองครับ.เช่น ยึดติดของ โน้นนี่นั่น
    แล้วทำให้หวงหรือห่วงทั้งหลายนั่นหละครับ....

    ที่เล่านี่เป็นเพียงอุบายอย่างหนึ่ง พอเป็นแนวทางให้ครับ
    ที่นี้ การที่ท่านใดจะพิจารณาอย่างใด ด้วยความแยบคาย
    อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับอุบายของแต่ละบุคคลนั่นเองครับ...
    ซึ่งตัวเราเอง ถ้าเรารู้จักวางใจเป็นกลาง..ไม่หลงว่าตนดี
    ไม่ว่าตนเองไม่ดี ไม่คิดว่านั้นต้องใช่ ไม่คิดว่านี้ก็ไม่ใช่
    ไม่คิดว่าต้องเป็นอย่างตน ไม่คิดว่าไม่ใช่อย่างตน
    ไม่คิดว่านั้นดี ไม่คิดว่านั้นไม่ดี คือไม่ด่วนตัดสินอะไร
    เราจะพอเข้าใจว่า ตัวเรามันยังอ่อนในเรื่องอะไรได้ด้วยตัวเราเองครับ
    ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้นี่หละครับ ก็จะใช้มาเป็นอุบายในการพิจารณา
    ซึ่งความแยบคลายนั้นก็ขึ้นตามวาระแห่งบุคคลนั้นๆครับ

    ต้องออกตัวก่อนนะครับ ว่าส่วนตัวไม่ได้มีความละเอียดอะไร
    ในเรื่องของปัญญาทางธรรมนะครับ...
    ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่หยาบๆอยู่..
    ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์แล้วกันนะครับ

    '' ๑. กายกับจิตประสานสัมพันธ์เชื่อมทุกสรรพสิ่ง
    ๒.กายนิ่งจิตก็นิ่ง จะไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ
    ๓.จิตสงบ หมดนิวรณ์ พร้อมสติทางธรรมคอยกำกับ
    ๔.ยังเหตุภพภูมิแดนไตรภูมิเปิดเฉพาะบางกลุ่ม (สติทางธรรม
    จะคอยกำกับกันเผลอไปยึด
    จนกลายเป็นเหมือนไม่ยึดแต่มันเป็นกิเลสธรรม)
    ๕.จุดกำเนิด ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน..
    ๖.หากดับสัญญา ความจำได้แล้วไซร์
    ๗.ปัญญาทางธรรมพึ่งบังเกิดขึ้นได้เองครับ ''


    ปล.ประมาณนี้ครับ...(^_^)


     
  5. Shinozuke

    Shinozuke Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +60
    เยี่ยมเลยครับ ขออนุโมทนาแก่ท่าน nopphakan ด้วยครับ
    ตรงที่ท่านว่า
    ''มองเปลวเทียนแต่ไม่เห็นไส้เทียน มองไส้เทียนแต่ไม่เห็นเปลวเทียน''
    "มองน้ำแต่ไม่เห็นสภาพแวดล้อมที่น้ำอยู่...มองสภาพแวดล้อมแต่ไม่เห็นน้ำ ''
    ตรงนี้ผมก็เป็นอาการนี้ครับ เห็นเหมือนที่ท่านว่า
    แต่!...ของผม มันก็มีแค่นี้แหละครับ ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่านี้
    จะมีเพิ่มเติมหน่อยก็ตรงที่ พอนึกถึงอะไร เราก็เห็นภาพนั้นเสมือนว่าเราดึงภาพนั้นเข้ามาซูมให้มันชัดๆอ่ะครับ ไม่ใช่เฉพาะภาพที่สมควร แต่ภาพที่ไม่สมควรมันก็เห็นชัดเหมือนกับว่าซูมเข้ามาหมด
    ประเด็นอยู่ที่ บางครั้ง นึกถึงสวรรค์ มันก็มีภาพปรากฎ
    แต่ว่ามันจะมีวิธีการรู้มั๊ยครับ ว่าไอ้สิ่งที่เราเห็น มันเป็นสวรรค์จริงๆ หรือว่า เป็นจินตนาการของผมที่ปั้นแต่งขึ้นอ่ะครับ

    ส่วนคำถามข้อที่ 2
    ยกตัวอย่าง
    อย่างถ้าเราจะให้มันเห็นแต่เปลวเทียนก็ได้
    จะเห็นแต่ใส้เทียนก็ได้
    จะเห็นตั้งแต่เปลวไฟปลายยอดเทียนไล่ลงมาถึงฐานของเปลวเทียนที่มีน้ำตาเทียนเอ่อค้างอยู่ ชัดเจนแจ่มใสไล่มาจนถึงถึงสีอันสดใสของแท่งเทียนก็ได้
    การที่มันดันเห็นอย่างนี้ ถือว่านอกลู่นอกทาง ที่จะทำให้เป็นอันตรายอะไรหรือเปล่าครับ
    ผมไม่รู้ว่าทางโลกทิพย์จะเป็นยังงัย แต่ก็เปิดใจ ปรึกษาว่าไปตามจริง
    ถ้ามันผิด จะได้ระวัง
    เผื่อมันจะต่อยอดพัฒนาอะไรขึ้นไปได้น่ะครับ เป็นสภาวะที่น่าเรียนรู้ไว้
    ขออนุโมทนาครับ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ส่วนสภาวะความเป็นทิพย์อะไรก็ตามนะครับ...
    ให้คุณจำเอาไว้เลยครับว่า ต่อให้คุณจะสามารถ
    มองเห็นพระพุทธเจ้าท่านใดก็ตาม มาปรากฏให้คุณ
    เห็นได้ด้วยตาเปล่าๆ คุณก็ไม่ควรไปยึดครับ...
    (เพราะฉนั้นให้วางการรู้เห็นแบบหลับตาไว้ก่อนครับ
    เพราะยิ่งไปเผลอยึด ยิ่งทำให้จิตเราห่างไกล
    จากการคลายตัวเองได้แบบธรรมชาติครับ)
    เพราะไม่มีผลต่อการสร้างปัญญาทางธรรม
    เพื่อให้เราหลุดพ้นครับ...และจะเป็นเหตุที่
    ทำให้จิตเรามันไม่คลายตัวถ้าเราเผลอไปยึดครับ..
    แต่ควรให้ความเคารพนับถือแต่ไม่ยึดถือ เข้าใจนะครับ...




    อ่านดีๆนะครับ....
    ''การที่คุณเชื่อว่ามี คุณก็ยึดว่ามี
    การที่คุณไม่เชื่อว่ามี คุณก็ยึดว่าไม่มี...
    เพราะฉนั้นการที่คุณจะเชื่อว่ามีหรือไม่มี
    มันก็ยึดและไม่ดีทั้งนั้นนั่นหละครับ ''

    การปฏิบัติบูชาที่ดีที่สุดคือการปล่อยวาง...
    ยิ่งวาง ยิ่งปล่อย ยิ่งคลาย ยิ่งรู้ยิ่งกว่าครับ..
    อยากรู้อะไรให้มาดูที่ใจตัวเอง
    ว่ามันวาง มันว่าง มันวางได้ของมันเองหรือยัง
    และจะเป็นการรู้โดยอัตโนมัติของมันเอง
    โดยที่ไม่มีตัวเราเข้าไปแทรกแซง
    เข้าไปกระทำใดๆ ในการรู้นั้นๆครับ
    ส่วนจะรู้อะไร อย่างไร ก็เป็นตามเนื้อหาเดิมแท้
    ของจิตเราที่ได้เคยสะสมมาครับ...
    พอรู้แล้วก็แล้วไป ไม่ต้องไปยึดครับ...
    ปล.ประมาณนี้ครับ (^_^)
     

แชร์หน้านี้

Loading...