ร่วมทำบุญบูชา สำเร็จสิทธิพระที่นั่งมหาบัลลังก์(ปรารถนาเป็นหนึ่งกุณฑธานเถระ) พ่ออาจารย์พล

บทบูชาพระ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ )

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา
พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สะหวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สังฆัง นะมามิ (กราบ)


อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน, สุขโต โลกะวิทู, อนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ,สัตถา เทวะมะนุสสานัง, พุทโธ ภะคะวาติ (กราบ)

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, สันทิฏฐิโก, อะกาลิโก, เอหิปัสสิโก, โอปะนะยิโก, ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหี ติ (กราบ)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ยะทิทัง, จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐปุริสปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย,
ปาหุเนยโย, ทักขิเนยโย, อัญชะลีกะระณีโย, อนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (กราบ)


นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ
มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง
อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย
อะหังวันทามิ สัพพะโส
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ


คาถาหลวงปู่ทวด : น้อมระลึกถึงปู่ทวด
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา (3 ครั้ง)

พระคาถา ชินบัญชร (ย่อ): น้อมระลึกถึงปู่โต
ชิ นะ ปัญ ชะ ระ ปะ ริต ตัง มัง รัก ขะ ตุ สัพ พะ ทา(3 ครั้ง)

คาถาหลวงปู่ดู่ : น้อมระลึกถึงปู่ดู่
นะโม โพธิสัตโต พรหม ปัญโญ (3 ครั้ง)


สวดภาวนา “ พระพุทธะ เมตตา อโหสิ กรรม” และ

"พุทโธ กัมมัฏฐาโม กรรมมะจุติสัมพุทโธ "

(กรรมใดๆๆก็ขอให้อโหสิกรรมต่อกัน
ด้วยอานุภาพพระสัมพุทโธ)

อธิษฐานแผ่เมตตา
“พุทธัง อะนันตัง
ธัมมัง จักกะวาฬัง
สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ ”

 

วันวิสาขบูขานี้ได้สวดมนต์บทอิติปิโสพาหุงมหากา บทกรณิยเมตตสูตรตัง
ยอดกัณพระไตรปิฎก พระคาถาชินบัญชร

พระประวัติสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน
สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๓ อยู่ใน ตำแหน่ง ๒ พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๕ พระชนมายุได้ ๙๐ พรรษา

พระองค์ประสูติเมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๖ พระชนกพระนามว่า เส็ง พระชนนีพระนามว่า จีบ ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อเจริญวัยพระองค์ได้ทรงบรรพชากับท่านขรัวตาทอง ที่วัดท่าหอย โดยพระองค์ท่านได้ทรงศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นประมาณ ๕ พรรษา ทรงลาสิกขาออกมาเพื่ออุปัฏฐากพระชนกพระชนนี

เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๙๗ พระชนมายุครบบวช พระองค์ได้ทรงอุปสมบทที่วัดโรงช้าง โดยมีพระครูรักขิตญาณ(สี) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับการถวายพระนามว่า พระปุณณะปญญาภิกขุ ที่นี่พระองค์ได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมาฯ กับพระอาจารย์ใหญ่ คือ พระพนรัต (แก้ว) วัดป่าแก้ว และได้ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชาวาสจนมีความรู้แตกฉาน ล่วงไป ๗ พรรษาท่านได้รับนิมนต์กลับมาจำพรรษาที่วัดท่าหอย และได้ทรงรับเป็นพระอธิการวัดท่าหอยในปีนั้นเอง

เวลาล่วงไป ๒ แผ่นดิน เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๖ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลกได้โปรดให้นิมนต์พระองค์ท่านมายังกรุงเทพฯ ด้วยพระองค์ทรงเป็นเคยพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลกตั้งแต่ยังอยู่ที่วัดท่าหอย ได้จำพรรษาที่วัดพลับ(วัดราชสิทธาราม) ซึ่งเป็นวัดสำคัญฝ่ายอรัญวาสีของกรุงธนบุรีมาแต่เดิม โดยให้เป็นที่พระญาณสังวรเถร

สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือเป็นอันมากของพระบรมราชวงศ์มาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ ปรากฏนามพระญาณสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทบทุกพระองค์ ทำให้การศึกษาพระกรรมฐานฯ ในยุคของพระองค์ท่านรุ่งเรืองมาก พระองค์จึงได้ทรงวางรากฐานการศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ไว้อย่างมั่นคงเป็นปึกแผ่นสืบมา และยังเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร สุดยอดพระอัจฉริยเมธีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์อีกชั้นหนึ่งด้วย..

พระองค์ได้รับ สถาปนาเป็นสมเด็จพระญาณสังวร เมื่อปี พ.ศ.๒๓๕๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชในอีก ๔ ปีต่อมา คือในปี พ.ศ.๒๓๖๓ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ ๑ ปีกับ ๑๐ เดือน ก็สิ้นพระชนม์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีมะเมีย พ.ศ.๒๓๖๕ มีพระชนมายุได้ ๙๐ พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชทานพระโกศทองใหญ่ให้ทรงพระศพ หลังพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว ได้โปรดให้ปั้นพระรูปบรรจุพระอัฐิประดิษฐานไว้ในกุฏิกรรมฐานหลังหนึ่งบริเวณด้านหน้าพระอุโบสถวัดราชสิทธาราม เพื่อเป็นที่ทรงสักการะบูชาตลอดจนสานุศิษย์และผู้เคารพนับถือ สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้.

พระคาถาพระยาไก่เถื่อนของสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน วัดพลับ

ให้ว่า นะโม ๓ จบ และว่าพระพุทธคุณ ๑ จบ อิติปิโส-ภควาติ

แล้วให้ว่า พระคาถาไก่เถื่อน ๓ จบ ๕ จบ ๗ จบ

เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว

ทา ยะ สา ตะ ตะสา ยะทา

สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา

กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ภาวนาทางเมตตา ก็ได้ ค้าขาย ก็ได้ แก้โรคภัยไข้เจ็บ ก็ได้ ป้องกันต่างๆได้

พระองค์ยังไก้ทรงนิพนธ์เรื่อง รูปฌาน และอรูปฌาน พระคัมภีร์ พระสติปัฏฐาน วิธีทำสันโดษ ซึ่งพระครูสังฆรักษ์วีระ(จิ๋ว) ฐานวีโร เจ้าคณะ ๕ วัดราชสิทธาราม(พลับ) ได้จัดพิมพ์เผยแพร่ไว้ หรือจะหาอ่านได้ที่

http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-070529220312083

 

วันวิสาขบูชา ผมได้นำเงินที่อธิฐานตักบาตรวิระทะโย ไปทำบุญที่วัด พอกลางคืนได้สวดมนต์บทพุทธคุณธรรมคุณสังฆคุณ พาหุง มหากา ชินบัญชร ทำสมาธิ
ขอน้อมนำคุณพระธรรมอันสืบมาแต่พระอริยสงฆ์ทั้งหลายในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งและที่ติดใจมากที่สุดคือการปฏิบัติของหลวงพ่อปานวัดบางนมโคซึ่งท่านสอนให้ปฏิบัติแบบโง่ๆสนใจแต่ศีลและกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมภาวนาพุทโธอย่าสนใจในอาการอื่นๆ
ประวัติโดยย่อ
พระครูวิหารกิจจานุการ หรือ หลวงพ่อปาน โสนันโท ท่านเกิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2418ตรงกับรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ บ้านตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของ นายสะอาด และ นางอิ่ม สุทธาวงศ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมา วัดบางนมโค โดยมีหลวงพ่อสุ่น วัดปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จ้อย วัดบ้านแพน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์อุ่ม วัดสุธาโภชน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ว่า โสนันโท ต่อมาท่านได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงพ่อสุ่นพอสมควรแล้ว จึงได้เดินทางไปศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดสระเกศ กรุงเทพฯ และวัดเจ้าเจ็ดในพระนครศรีอยุธยาเรียนแพทย์แผนโบราณจากวัดสังเวชฯศึกษาเพิ่มเติมกับ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย และ พระอาจารย์โหน่ง อิณฑสุวัณโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดคลองมะดันเรียนวิชาสร้างพระเครื่องดินจากชีปะขาว เรียนการปลุกเสกพระเครื่องและเป่ายันต์เกราะเพชรจากอาจารย์แจง สวรรคโลก ได้รับพระคาถาปัจเจกโพธิสัตว์มาจากครูผึ้ง อยุธยา หลังจากนั้น ท่านจึงได้มาอยู่ที่วัดบางนมโคและได้รับพระราชทานสัมณศักดิ์เป็น พระครูวิหารกิจจานุการ กิจวัตรของท่านก็คือหลังจากท่านฉันภัตตาหารเพลแล้ว ท่านก็จะมาสงเคราะห์ชาวบ้าน ตลอดทั้งวัน และการทำน้ำมนต์เพื่อรักษาคนไข้ รวมทั้งผู้ที่ถูกกระทำคุณไสยด้วย หลวงพ่อปาน โสนันโทได้ละสังขารไปเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ตรงกับรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รวมสิริอายุได้ 63 ปี บวชพระมาได้ 42 พรรษา เหลือแต่มรดกที่ล้ำค่า เช่น พระเครื่องดินเผา ผ้ายันต์เกราะเพชร ผ้ายันต์ชนิดต่าง ๆ และพระคาถาปัจเจกโพธิสัตว์

 

ตะกรุดพระนารายณ์พลิกแผ่นดิน

ก็ขออภัยที่ลงรายละเอียดกันช้านะครับ พอดีวันนี้มีธุระทั้งวันจริงๆ

สำหรับตะกรุดนารายณ์พลิกแผ่นดินนั้นเป็นตะกรุดที่พระเถรานุเถระแต่โบราณนิยมสร้างและใช้วิชานี้เพื่อสงเคราะห์ญาติโยม บางครั้งอาจจะใช้อุปเท่ห์คาถานารายณ์พลิกแผ่นดิน หรืออาจจะใช้พระยันต์ ใช้หัวใจพระยันต์ซึ่งมีอานุภาพเทียมกันลงเสริมไว้ในวิชาอื่นก็ได้

สำหรับวิชาพระนารายณ์พลิกแผ่นดินนี้พ่ออาจารย์ท่านว่ามีคุณร้อยแปดประการดุจฝอยท่วมหลังช้าง ทั้งพลิกดวงชะตา กลับร้ายให้กลายเป็นดี ใครที่รู้ตัวว่ากำลังแย่ให้ลองอาราธนาขอบารมีพระนารายณ์ดูท่านว่าพลิกกลับได้ไม่ยากเลย ซ้ำหากคนที่ดีอยู่แล้วได้อาราธนาจะกลายเป็นดียิ่งๆขึ้นไปไม่พลิกกลับมาร้ายอีกเลย

เพราะมีคุณดุจเช่นว่านี้ คนจึงมักเอาวิชานารายณ์พลิกแผ่นดินมาเสริมดวงหนุนดวงชะตาตัวเอง จนเชื่อไปว่าวิชานี้เป็นวิชาหนุนดวงตำรับหนึ่ง เพราะว่าเค้าเห็นผลกันมาก เปลี่ยนดวง เปลี่ยนฐานะ พลิกชะตากัน จึงเชื่อขนมกินกันไปว่าวิชาพระนารายณ์พลิกแผ่นดินนั้นเป็นตำรับวิชาหนุนชะตา

ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านว่าคนดวงตก ดวงแตก ดวงชงนี้ ที่เรารู้เพราะใจเราไปยึดติดและเป็นกังวล จนทำให้เรื่องหลายๆเรื่องร้ายมากกว่าดี บางครั้งเจออะไรไม่ดี อยู่ในเกณฑ์ชะตาเช่นนี้ก็โทษดวงเอาดื้อๆเสียหมด วิชานารายณ์พลิกแผ่นดินนั้นหากจะเรียกว่าตะกรุดสารพัดแก้ก็ไม่ผิด เพราะคุณของวิชาจะช่วยไปพยุงประคองทุกสิ่งไม่ให้ตกต่ำลงและยังขยับให้ดีขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย

ทั้งนี้ยังรวมไปถึงคนที่ทำคุณแก่ใครไม่ขึ้น คิดว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้วแต่ก็มีเรื่องมีปัญหาถาโถมเข้ามามากมายทั้งหน้าที่การงาน เพื่อนพ้อง รวมถึงมีศัตรูจ้องเล่นงาน ชีวิตร้อน จิตใจยิ่งร้อนกว่า พ่ออาจารย์ท่านให้อาราธนาตะกรุดติดตัว หรือจะเชิญตะกรุดแช่น้ำทำน้ำมนต์อาบเป็นสิริมงคลแก้อุบาทว์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองก็ได้

โดยการอาราธนาและการทำน้ำมนต์ต่างๆนั้น ท่านว่าให้ผู้บูชาสำนึกคุณพระนารายณ์เป็นที่สุด อาราธนาขอเมตตาจากพระองค์ท่านเอา ตั้งใจมากท่านก็เมตตามาก สำหรับคนที่ถึงคราวเคราะห์หนักอาจจะเห็นผลช้าหน่อยแต่ก็มั่นคงและดีกว่าวิธีอื่น ท่านว่าได้เรื่อง

สำหรับตะกรุดพระนารายณ์พลิกแผ่นดินนั้น พ่ออาจารย์ท่านได้นำวิชาพระนารายณ์พลิกแผ่นดินสองตำรับมาผูกเข้าด้วยกันและลงจารในแผ่นตะกั่วน้ำนม ซึ่งท่านว่าวิชานารายณ์พลิกแผ่นดินนั้นท่านเรียนมาสองชนิดจึงทำสงเคราะห์ไว้เสียทีเดียวเลย พอเสกแล้วหนุนเนื่องกันไม่ขาดตอนหนุนทับกลับไปกลับมาไม่มีวันตกต่ำ ก่อนประสิทธิมนต์นารายณ์พลิกแผ่นดินอีกคำรบหนึ่งจนท่านมั่นใจจึงเอาออกให้บูชา

คาถาบูชา
โอมสัจจา ถึงกูมีศัตรูหมู่มารก็แพ้พ่าย มือซ้ายกูจับพระยานาค ปากกูคาบดวงตะวัน ตีนกูยันมหาสมุทร มือขวากูจับครุตตัวแข็งกล้า ดวงตากูดั่งเปลวเพลิง กูเอาพระคงคามาเป็นน้ำลาย กูอมเจ้าพระยาเข้าไว้ในทรวง กูจะเป่าเขาหลวงให้ล้มราบ กูจะปราบขุนเขาให้กลายเป็นแผ่นดิน กูจะกินหัวใจพระยาสิงหราช
ทิวา ตะปะติ อาทิตโจ ดวงตากูกล้าแกร่งเหมือนแสงพระอาทิตย์ สิงหราชะ มะโน มะโย ดวงใจกูมีฤทธิ์เหมือนหัวใจราชสีห์ จันโทปัณณะ ระโส สะโม ตัวกูมีสง่าราศรีเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มะนิโชติ ระโส ขาโต ดวงจิตกูสูงเด่นเหมือนดวงแก้ว บนยอดเขายุฅนธร สัพเพ ชะนา พะหู ชะนา ด้วยเดชะ พระฤาษี อุตตะมงค์ ผู้ทรงฤทธิ์ ประสาทมนต์มอบประสิทธิ์ตัวข้าจะคิดและหวังสิ่งใดจงสมปราถนา ณ กาลบัดนี้ โอมประสิทธิเม

สำหรับตะกรุดพระนารยณ์พลิกแผ่นดินนั้น มีผู้ร่วมเล่นเกมส์มาทั้งสิ้น 35 คน ก็ขอแจกให้ครับทั้ง 35 คนเลยนะครับในโอกาสนี้

 

แจ้งโอนค่าจัดส่งตะกรุดนารายณ์พลิกแผ่นดินครับ
ที่อยู่ Pm

 

โอนเงินค่าจัดส่งตระกรุดนารายณ์พลิกแผ่นดิน

โอนให้แล้วนะครับค่าจัดส่ง 100.-บาท. ที่อยู่จ้ดส่งทาง pm

 

แจ้งการโอนเงินค่าจัดส่งตะกรุดนารายณ์พลิกแผ่นดินครับ

ที่อยู่ในการจัดส่งแจ้งทางpm ครับ

 

โอนค่าจัดส่งตะกรุดนารายณ์พลิกแผ่นดินค่ะ

 

เรียบร้อยแล้วครับผม แจ้งทาง PM แล้ว ขอบคุณครับผม(f)

 

โอนแล้วครับตามpm

 

ใอนแล้วครับที่อยู่แจ้งทางPM

 

ใอนแล้วครับที่อยู่แจ้งทางPM

 

โอนเงินให้เรียบร้อยแล้วครับ วันนี้ เวลา 14.45 น. ที่อยู่แจ้งทาง PM ครับ

 

ได้รับตะกรุดนารายณ์พลิกแผ่นดินเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

ขอบพระคุณมากครับ

 

ได้รับตระกรุดเรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณมากครับผม(f)

 

ได้รับตะกรุด เรียบร้อยครับ
ขอบพระคุณมากครับ

 

ได้รับตะกรุดแล้ว ขอบคุณครับ

 

ได้รับตระกรุดพระนารายณ์แล้วครับ
ขอบคุณครับ

 

อรุณสวัสดิ์ครับ เดี๋ยวมาพูดคุยกันต่อนะ

 

พูดคุย

วันนี้ก็มาพูดคุยกันต่อนะครับ มีคำถามเข้ามา รู้สึกจะกรณีเดิมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือไปเช่าตะกรุดจากพระที่ศูนย์สร้างแล้วมาคลี่ดูเจออักขระไม่กี่ตัวกับบางวัดเช่าในวัดคลี่ออกมาเป็นโลหะเปล่าหรือวัดบอกว่าจารมือแต่คลี่ดูเป็นตะกรุดปั๊ม แล้วก็ใจตกคือชื่อตะกรุดเป็นยันตต์ใหญ่ไม่ควรเป็นแบบนี้ ยิ่งใช้มานานยิ่งเสียกำลังใจไปเลย ก็ไม่รู้คิดยังไงถึงไปคลี่ มาถามผมว่าจะดูหมิ่นครูอาจารย์มั๊ย ต้องขอขมามั๊ยอะไรทำนองนี้

คือก็ไม่รู้จะพูดยังไง เอาคร่าวๆว่า พูดถึงเครื่องรางเนี่ยมันละเอียดและมันยากกว่าการเสกพระนะ ที่จะเอาไปตั้งตามพิธีพุทธามีพระเก่งๆหลายๆรูปมาปลุกแล้วคิดว่าจะขลังนี่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะบางอย่างก็ไม่ได้สำเร็จด้วยพุทธคุณ และหลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลาย เชื่อว่ากว่าร้อยละแปดสิบ ท่านยังไม่รู้เลยว่าเสกอะไรมีอะไรอยู่ในพิธีบ้าง เพราะบางพิธีจัดครั้งเดียวแต่ของเสกนับสิบรายการ

อันนี้ผมจะพูดให้มองข้ามเรื่องรอยจารไปก่อนนะ จากที่เรียนถามครูบาอาจารย์หลายท่าน ในลักษณะพระที่ศูนย์สร้างแล้วมายัดให้ท่านเสก ถามว่าจริงๆแล้วท่านยังไม่รู้เลยว่าในกล่องนั้นมีอะไร ตัวท่านเองกำลังเสกอะไร จึงไม่ต้องไปพูดถึงว่าจะกำหนดจิตหรือภาวนาคาถาอะไรยังไงต่อ แล้วถามว่าท่านเสกกันอย่างไรก็ได้ความว่า บางท่านก็แค่หลับตาไปเฉยๆทำฉลองศรัทธาคนเท่านั้น ของออกไปห้าหกเดือน มีคนมากราบบูชาพระท่านติดคอและหยิบให้ท่านเป่า บางท่านยังอุทานว่าเอ้ะพระของใคร กูเคยสร้างด้วยหรือ ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมนะครับ

จากคำถามผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี เพียงแค่ฝากไว้ให้ข้อคิดได้ เอาว่าพิจารณากันดีๆ ถ้าเป็นพระไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเครื่องรางเอาแค่จารมือนะ ไม่ต้องลงรายละเอียดว่ามือใคร มีความเป็นไปได้หรือที่คนสูงอายุจะทำได้เยอะๆทำได้ในปริมาณมากๆ ยิ่งยันต์ยากๆพระยันต์ใหญ่ๆที่ต้องลงตามฤกษ์ยามสะสมไว้เอาเท่านี้แหละแล้วพิจารณากันเอาเอง บางทีเรารับฟังแล้วก็รู้สึกเห็นใจ และนี่ก็เป้นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมหลายๆคนถามว่าเครื่องมงคลของท่านถึงมีน้อยออกปุ้ปหมดๆตลอด ก็เพราะท่านตั้งใจทำกับมือนี่เอง

อีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ถามมาหลายคน ถามมาหลายปี และก็มีถามมาไม่หยุดทั้งโทร ทั้งไลน์จนไม่รู้จะตอบยังไง ว่าพ่ออาจารย์มีเครื่องรางที่เป็นพรายมั้ยคือจะบูชา ขอให้ท่านสร้างพรายแบบผสมน้ำมัน สมอง ไข กระดูก เรียกว่าพรายจ๋าไปเลยแบบนั้น ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่มีและท่านไม่คิดจะทำด้วย ที่จะพอมีอนุโลมบ้างก็เช่นว่ามีมวลสารผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมซึ่งอันนี้แน่นอนยิ่งกว่าแช่แป้งว่าใช้ดีและหลวงปู่ทิมท่านเสกคุมมาดีแล้ว

พอพูดถึงเรื่องพราย ก็นึกไปถึงตะกรุดพรายกุมารบรมครูพระเข้านาง ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านใช้มวลสารหลายชนิดมากพอกตะกรุด แต่ที่สำคัญที่สุดเลยคือผงพระขุนแผนพรายกุมารของหลวงปู่ทิมที่แตกหัก พ่ออาจารย์ท่านได้รับมอบผงพระหักเหล่านี้มาท่านก็เอามาตำมาโขลก ท่านว่าใช้แทนพระหลักแสนหลักล้านได้เสมอกัน แล้วก็เอามาพอกตะกรุดรุ่นนี้

พอพูดถึงเรื่องพรายก็มาคิดถึงตะกรุดรุ่นนี้เพราะว่ามีคนที่ทุกข์ทางโลก อธิบายว่ามีปัญหาหลายเรื่องเลย ต้องการเสน่ห์แบบมีตัวมีตน เค้าเลยมาขอบูชาไป เค้าเล่าให้ฟังว่าเวลาอาราธนาตะกรุดพรายกุมารบรมครูพระเข้านางนี้จะได้กลิ่นแปลกๆเสมอๆ ไม่ใช่กลิ่นสาปสางกลิ่นเหม็นแบบผีเน่า ศพเน่าอะไรทำนองนั้น แต่จะได้กลิ่นคล้ายควันธูป เหมือนกลิ่นธูปที่ถูกจุดแล้วตลอดเวลา เค้าเล่าให้เราฟังว่าพรายกุมารในตะกรุดนี้เป็นพรายที่อยู่สูงมาก เป็นกึ่งเทพมีวิมาน เราก็ไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่ แต่ที่ชัดเจน เขาว่าฮึ่ม ฮึ่มเลยพี่กร ตะกรุดมีตัวมีตนแรงมาก ไม่น่ากลัวด้วย เหมือนเขาอยากชวนเราทำบุญทำกุศล พี่เค้าว่าเขาดีใจมากที่มีบุญได้ครอบครองผงพรายกุมารเค้าว่าเห็นเป็นเม็ดเป็นสะเก็ดเลย

เราก็ถามเค้า พี่ พี่รู้ได้ไงว่ามีตัวมีตน เขามาให้พี่เห็นหรือยังไงทำไมมั่นใจขนาดนั้น ก็ได้รับคำตอบว่า เวลากินข้าวพี่เค้ามักจะเรียกพรายกุมารให้มากินพร้อมกันเลย แล้วบริเวณแก้วน้ำ ขวดน้ำจะมีปฏิกิริยาน้ำเขยื้อนในหลอดเสมอๆ แต่ที่มากกว่านั้นคือเหมือนเขารู้สึกว่าเขาอยู่กับใครซักคนนึง มีคนอีกคนอยู่กับเขาไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ความรู้สึกเหมือนหางตาเหลือบไปเห็นชุดขาวเดินผ่าน เดินขึ้นลงบันได แต่พี่เค้าว่าแปลกเพราะเค้าไม่กลัวและรู้สึกอบอุ่นมาก

ตามที่บอกว่าเค้ามีปัญหาหลายเรื่อง แต่เห็นโทรมาอารามยินดีกับเราว่าทีแรกเขาตกงาน โดนบีบออก นี่ไปสมัครที่ใหม่หลายที่ก็เงียบ พอเอาตะกรุดพรายกุมารบรมครูมาบูชาปุ้ป พอสัมผัสได้ว่าเขามีตัวแรงจริง เค้าถามเราว่าเราเชื่อมั๊ย แค่สองวัน พอวันรุ่งขึ้นบริษัทที่เคยไปสัมภาษณ์โทรมาตอบรับถึงสามที่ภายในวันเดียว กลายเป็นต้องตัดสินใจเลือกเองว่าจะไปอยู่กับใคร ต้องบอกว่าคนนี้เป็นวิศวกรนะพอมีอายุ ซึ่งทีแรกเขาก็เปรยๆว่าโชคร้ายมากไม่น่าโดนบีบเลย สูงวัยแล้วใครเค้าอยากรับ ไปจ้างเด็กๆเงินเดือนถูกดีกว่า มาจ้างเราประสบการณ์นับสิบปีเค้าจะอยากเสียเงินแพงทำไม อันนี้ก็เล่าคร่าวๆเพราะมีประสบการณ์เรื่องอิตถีสตรีอีกพอจะเล่าได้เป็นหน้าแต่เราก็จำไม่ได้ละเอียด

ที่เล่านี่คือมันนึกไปถึงว่า เออ เราเคยได้ยิน เคยประสบพบเจอมาหลายคนที่เค้าเลี้ยงพรายเล่นพรายนี่ โดนพรายกินตัวหน้าดำหม่นหมอง อับวาสนาไปเลยก็มี แล้วทีนี้บางคนก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าซากศพ ซึ่งบางทีเจ้าตัวไม่ได้กลิ่นแต่กลายเป็นคนในครอบครัวได้กลิ่นแทน แต่มารายนี้แปลกเค้าว่าเค้าหน้าใสคนทักเยอะ แล้วก็ได้กลิ่นธูปหอมเวลาจุด ซ้ำคนในครอบครัวยังได้กลิ่นหอมดอกพิกุลเวลาอยู่ใกล้ๆตัวเขาอีกเป็นประจำ แถมเจ้าตัวยังฝันเห็นสาวงามอุ้มเด็กมาขออยู่ด้วย เล่าให้ผมฟังว่าเขาจับมือแล้วบอกว่าแต่นี้ต่อไปจะคอยช่วยเหลือดูแลกัน ก็เอาว่าบารมีหลวงปู่ทิมนั้นท่านสุดๆไปเลย มันต้องเจอกับตัวนะถึงจะเข้าใจที่เขาบอกว่าแรงฮึ่ม ฮึ่มเลย ถ้ามีเวลาว่างจะมาเล่าให้ละเอียดกว่านี้