ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ธรรมที่เรารู้จักในสายเถรวาท เรียกว่า "สายสาวกยาน"
ปฏิบัติสูงสุดได้ "อรหันตสาวก" ผ่านนิพพานแล้วไม่ได้
หายสูญนะ นิพพานไม่ใช่ความหายสูญ แต่แจ้งนิพพาน
แล้ว แค่นั้นละ ธรรมมันยังไม่สุดตรงนั้นนะ

คนเราต้องปฏิบัติผ่าน "ทั้งสามยาน" ก่อน ได้แก่

- สาวกยาน
- ปัจเจกยาน
- โพธิยาน

จากนั้นจะได้เข้าสู่ "เอกายนมรรค" ทางสายเดียวคือพุทธะ
ซึ่งจะตรงกับธรรมบัวบานหรือธรรมใน "สัทธรรมปุณฑริกสูตร"

ซึ่งจะได้อธิบายในรายละเอียดต่อไปครับ

 

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ล้วนมี "พุทธเกษตร" ของพระองค์


สุขาวดีพุทธเกษตรคือ พุทธเกษตรของพระอามิตภะที่เรารู้จักกันดี
แต่มิใช่แค่สุขาวดีพุทธเกษตรเท่านั้น ยังมีพุทธเกษตรอีกมากมาย
ซึ่งเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และหนึ่งในนั้นก็คือของ
พระศากยมุนีด้วย พระศากยมุนีมีพุทธเกษตรของพระองค์เองไม่ต่าง
ไปจากพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ เลย และทรงทำหน้าที่ปกครองโลก
ในช่วงยุคธรรมกาล คือ เริ่มนับจากพระสมณโคดมประกาศศาสนาไป
จนถึง 5,000 ปี อายุพุทธกาลนี้ เป็นอายุการปกครองธรรมกาล มิใช่
อายุมนุษย์ มิใช่อายุศาสนานะ หมายถึง พระศากยมุนีท่านจะดูแลโลก
ให้เราเป็นเวลา 5,000 ปี โดยที่ท่านไม่ได้ลงมาเกิดยังโลกนะ ท่าน
อยู่ที่พุทธเกษตรของท่าน ท่านมีปณิธานที่จะทำให้โลกเรามีแต่สิ่งที่ดี
งามนะ ไม่มีแนวคิดที่จะให้เกิดภัยพิบัติอะไรเลย แนวคิดเรื่องภัยพิบัติ
มาจากพวก "จิตจักรวาล" นะ จิตจักรวาลมีอยู่จริง เป็นดวงจิตที่ยังไม่
นิพพาน ล่องลอยอยู่ในจักรวาลนี้ ยังไม่หลุดพ้น และไม่ยึดถือสมมุติฯ
จึงลงมาทำให้เกิดภัยพิบัติ เพื่อทำลายสมมุติทั้งหลาย แต่พระศากยมุนี
ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ อย่าเข้าใจผิด ท่านจะใช้วิธี "แบ่งภาค" ลงมายัง
โลก โดยมี "พระสมณโคดม" เป็นภาคแบ่งหนึ่งที่ลงมาเวียนว่ายอยู่ใน
วัฏฏะสงสาร หลายชาติหลายภพ และได้รับธรรมสื่อจาก "ตัวตนเบื้อง
สูง" ของพระสมณโคดมเอง ซึ่งก็คือ พระศากยมุนี นั่นเอง ก่อนจะจาก
โลกไป 8 ปี เป็นที่มาของพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร ที่จะมาเปิดเผยนี้


ต้องแยกแยะให้ออกก่อนนะครับว่าพระศากยมุนีไม่ใช่พระสมณโคดมฯ

 

ศากยมุนีพุทธเกษตร สอนต่างจาก แหล่งธรรมอื่นๆ อย่างไร?


เทียบกับ "สุขาวดีพุทธเกษตร" ก็แล้วกัน สุขาวดีพุทธเกษตรจะสอนให้เราเข้าถึง
โพธิจิตในแบบ "นางเอก" เหมือนเอื้อย หรือพระธิดาเมี่ยวซ่าน แต่ก็มีข้อเสียครับ
เพราะหากเรามีพ่ออย่างพระธิดาเมี่ยวซ่าน ต้องการกินตาและมือของพระโพธิสัตว์
และเราเป็นคนใจดีเกินไป ให้ไปเลย จะเกิดอะไรขึ้นครับ? เขาก็ทำกรรมสำเร็จได้
กินตาและมือของพระโพธิสัตว์ กรรมจะหนักขนาดไหนครับ? ตกนรกแน่นอน ดังนั้น
การที่เราให้เขาทำกรรมชั่วสำเร็จโดยง่าย ก็คือ ส่งเสริมให้เขาลงนรกทางอ้อมนี่เอง

เอาละ ทีนี้ พระศากยมุนีท่านจะไม่สอนแบบนั้น จะไม่เหมือนพระธิดาเมี่ยวซ่านแน่ๆ
เพราะไปคนละพุทธเกษตร ไม่ใช่สุขาวดี ธรรมมีแก่นเดียวกันก็จริงแต่รายละเอียดก็
ต่างกันครับ ท่านสอนให้ใช้ "ธรรมชาติของมนุษย์ปกติ" ถ้ามนุษย์มีกิเลส, ความเห็น
แก่ตัว ก็ใช้ไปตามปกติมนุษย์ครับ พอดี ไม่มากเกินไป ก็จะไม่สูญเสียความเป็นคน
ทีนี้ เราก็จะใช้ความโลภ, ความโกรธ, ความหลง เพื่อทำให้คนอื่นทำกรรมชั่วไม่ได้
เช่น กรณีพ่อของพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้น เราจะต้องใช้ความโลภ, ความโกรธ, ความ
หลงของเรา ทำให้พ่อทำกรรมชั่วไม่สำเร็จ นี่คือ "การโปรดสัตว์โดยธรรมชาติ" เขาก็
ไม่ต้องจกนรกไงครับ ไม่ใช่เราปล่อยให้เขาทำกรรมชั่วจนตกนรก แล้วเราก็ค่อยๆ ไป
ช่วยเขาขึ้นมา เราเป็นนางเอกตลอด เป็นฮีโร่ตลอด แบบนั้นเป็นแนวสุขาวดีไปแล้วฮะ


เห็นไหมครับว่ามีเหตุผลหนักแน่น ธรรมใหม่ต่างจากธรรมเก่าสายสุขาวดีอย่างไรบ้าง?

 

ธรรมของพระศากยมุนี VS ธรรมของพระสมณโคดม


สองอย่างไม่เหมือนกันนะครับ พระสมณโคดมสอนธรรมสายสาวกยาน แต่
ได้กล่าวถึงธรรมระดัับโพธิยาน และพุทธะเอาไว้ด้วย ซึ่งยุคสมัยนั้นไม่มีใคร
รับธรรมระดับสูงแบบนั้นได้ ต้องรอจนกว่าจะถึงกึ่งกลางพุทธกาล ธรรมระดับ
สูงจึงจะเปิดเผยได้ แม้แต่ธรรมใน "อวตังสกสูตร" ยังถูกซ่อนเอาไว้ก่อนใน
เมืองบาดาล เพราะยุคนั้นยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย ต่อมาก็ได้เปิดเผยจนกลาย
เป็นลัทธิๆ หนึ่งในพระพุทธศาสนาครับ ธรรมในสัทธรรมปุณฑริกสูตรก็เช่นกัน
เคยมี "พระนิชิเร็น" พยายามจะเปิดเผยธรรมนี้ "ก่อนเวลา" ผลคือ ท่านก็ถูก
ตามไล่ฆ่า บริวารของท่านถูกฆ่าตายไปเยอะมากครับ ดังที่ปรากฎในรายนาม
ใน "โงะฮนซน" นี่เพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย ปัจจุบัน ถึงเวลาเปิดเผยแล้ว

ธรรมของพระศากยมุนี ถูกกล่าวไว้ในสัทธรรมปุณฑริกสูตร เช่น ทุกคนมีความ
เท่าเทียมกันในการบรรลุพุทธสภาวะได้ ไม่ว่าชายหรือหญิง เท่าเทียมกันครับ
แต่ในขณะที่คำสอนในสายสาวกยานตอนนั้น ไม่มีความเท่าเทียมกัน สาวกคือ
สาวก จะมาทำตัวสูงเป็นพระศาสดา ไม่ได้ จะมาคิดตราศีลอะไรเองไม่ได้ อันนี้
ต้องเข้าใจนะครับว่าไม่ได้ผิดอะไร แต่มันเป็นธรรมแบบสาวกยาน ผมจึงบอกว่า
มันไม่เหมือนกัน ธรรมแบบพระสมณโคดมที่เป็นสายสาวกยานสอนอย่างหนึ่งแต่
ก็มีแก่นธรรมเดียวกันน่ะละ แต่ธรรมของพระศากยมุนีสอนอีกแบบหนึ่ง คือ ให้คน
เราไปถึงพุทธะได้เท่าเทียมกัน ไม่มีศาสดา ไม่มีสาวกนะครับ เพราะไม่ใช่ "สาย
สาวกยาน" เข้าใจให้ชัด ย้ำหลายๆ รอบนะครับ พุทธะไม่มีระบบศาสดา-สาวกนะ
เพราะไม่ใช่สาวกยาน การมีระบบศาสดาสาวกนั้นเป็นระบบธรรมแบบสาวกยาน ก็
เท่านั้น แต่แบบพุทธะ หรือยานอื่นๆ เช่น โพธิยาน, ปัจเจกยานแล้ว ไม่มีแบบนั้น


แล้วยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกันอีกมากมายในธรรมของทั้งสองท่านนั้น นะครับ

 

ทึ่งมากครับ ไม่เคยได้ฟังอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
จริงหรือไม่จริง สัจจธรรมหรือโมเมธรรม ผมไม่กล้า ฟันธง
เข้าเว็บพลังจิตมาเป็นปีแล้ว ได้แต่อ่าน นิดๆหน่อยๆ
มีที่สนใจ โพสต์แสดงความเห็น ไม่น่าจะเกิน 5 กระทู้
และนี่ก็เป็นอีกกระทู้นึงที่ผมสนใจ ขอตามอ่านนะครับ

 

ธรรมบางสายจะถูกเก็บกลับคืน เพราะไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว?


ธรรมมีหลายสาย ต้นธาตุต้นธรรมต่างกัน เช่น ธรรมที่มีต้นธาตุต้นธรรมมาจาก
พระอามิตาภะ ย่อมแตกต่างจากธรรมที่มีต้นสายมาจากธรรมของพระศากยมุนี
แน่นอน ดังที่ผมเคยอธิบายไว้แล้วข้างต้น ทีนี้คงเข้าใจคำว่า "ธรรมหลายสาย"
และคำว่า "ต้นธาตุต้นธรรม" ต่างกัน แล้วนะครับ เอาละ ทีนี้มาดูธรรมสายเก่าๆ
บ้าง มีหลายสายครับ จะถูกเก็บกลับคืน เหมือนที่ "นาลันทา" ถูกเก็บไงครับ?
ธรรมสายเก่ามีอะไรบ้าง เช่น ธรรมสายมหายานของพระอามิตาภะ, ธรรมสาย
วัชรยาน, ธรรมสายตันตระ, ธรรมสายเถรวาท, ธรรมสายพระไภษัชยคุรุพุทธะ
ธรรมสายของพระยูไลประจำวันทั้งเจ็ด (พระอาทิตย์ยูไล, พระจันทร์ยูไล ฯลฯ)
ธรรมสายเก่าๆ เหล่านี้จะถูกเก็บกลับคืนครับ สิ่งนี้ไม่ใช่ปรัชญาลอยเลื่อน แต่จะ
เกิดขึ้นจริง ดังที่คุณเห็น "ทิเบต" ถูกจีนยึดพร้อมความล่มสลายของทิเบตไงละ
เอาละ ไม่ใช่แค่นั้น ไทยซึ่งมีเถรวาทก็จะถูกเก็บกลับคืนด้วยเช่นกัน แต่ที่ไทย
ยังยืนหยัดอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะ "บารมีธรรมของพระศากยมุนี" ธรรมของท่านได้
ถ่ายทอดมาที่ประเทศไทย ทำให้เรายังมีร่มโพธิธรรมอาศัยอยู่ได้ ไม่ล่มสลาย
ไปแบบทิเบต ไม่ใช่แค่ธรรมในพุทธศาสนานะครับ แม้แต่ในศาสนาอื่นๆ ก็จะถูก
เก็บด้วย อย่างที่คุณเห็น โลกกำลังเปลี่ยนแปลง ชาวมุสลิมมากมายกำลังย้ายที่
อยู่ อพยพ และไม่อาจดำรงอยู่ได้เหมือนเก่าก่อนแล้ว นี่คือ ผลจากการเก็บกลับ
คืนธรรมสายนั้นๆ ครับ แต่กระบวนการยังไม่สำเร็จ ยังจะดำเนินไปอีกยาวนาน นี่
ก็เพื่อให้โอกาสมนุษย์ได้ปรับตัว และเปลี่ยนแปลงไปอย่างละมุมละม่อมยังไงละ


กระบวนการเก็บกลับคืน กำลังเดินหน้าในประเทศไทย พิสูจน์ได้จริงแน่นอนครับ

 

ทุกอย่างจะเกิดขึ้นจริง พิสูจน์ได้จริงในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า


และยังประยุกต์ใช้ได้จริง "กับทางโลก" ในปัจจุบันด้วยครับ เพราะธรรมนี้ไม่
แบ่งแยกโลกธรรม อยู่ทางโลกก็มีธรรม อยู่ทางธรรมก็ไม่ได้หายไปจากโลกนี้
ธรรมนี้มีชื่อว่า "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" คำว่าสัทธรรม หมายถึง ธรรมอัศจรรย์
อัศจรรย์เพราะพิสูจน์ได้จริง เห็นผลจริงในปัจจุบันเลย ไม่ต้องรอชาติหน้าเช่น
ความร่ำรวยมั่งคั่งที่แท้จริง ผมปฏิบัติในธรรมนี้ จากบ้านที่แทบไม่เหลืออะไรก็
กลับมากลายเป็นมีอะไรได้มากมายครับ อันนี้ผมใช้เวลา 5-7 ปีเองและคิดว่า
จะดีขึ้นไปกว่านี้อีกแน่นอน ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ไม่ต้องรอชาติหน้า
ไม่ใช่การบำเพ็ญทุกขกริยา และไม่ใช่การจมอยู่กับทุกข์ คนเราจะมีปัญญาได้
ต้องมีจิตใจที่ผ่องใสก่อน ถ้าขุ่นข้องหมองมัวด้วยทุกข์ จะเกิดปัญญาคิดอะไร
ออกได้อย่างไร? ดังนั้น ธรรมนี้จึงมีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ทำให้
เราอยู่ทางโลกได้อย่างมีความสุข และมั่งคั่งยั่งยืน ซึ่งเป็น "มหาปณิธาน" ซึ่ง
พระศากยมุนีมี และจะทำให้เกิดขึ้นจริงในโลกของเราอยู่แล้ว ไม่ต่างจากพระ
พุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ที่มีมหาปณิธานที่จะทำสิ่งดีๆ ให้แก่โลกนี้ไม่ต่างกันเลย


ธรรมอัศจรรย์นี้จะเปลี่ยนชีวิตของท่านได้อย่างแท้จริง ณ ชาติปัจจุบันเลยครับ

 

ดอกบัวบาน ห่อหุ้มโลก.......ทรงธรรม
ยังให้จิตใจงาม...................เพริศแพร้ว
ผลิดอกออกเบ่งบาน...........ชุ่มจิต ใจเอย
ธรรมะประจักษ์แล้ว..........ผ่องแผ้ว...สวยงาม

 

พระศากยมุนี VS จิตจักรวาล


สองอย่างนี้ไม่เหมือนกันนะครับ จิตจักรวาลจะมาสู่โลกเพื่อทำให้เกิดภัยพิบัติ
แต่พระศากยมุนีไม่ทำเช่นนั้น พระองค์มีแต่มหาปณิธานที่จะทำให้โลกนี้ดีงาม
ไม่มีความคิดชั่วร้ายจะทำลายล้างโลก หรือทำให้โลกเกิดภัยพิบัติอะไรเลยละ
ครับ และคุณต้องตั้งสติให้ดีๆ เพราะธรรมที่มาจากจักรวาลอันไกลโพ้น เหมือน
สัญญาณคลื่นจากที่ไกลๆ อาจสับสนและปนกันได้ การเปิดรับธรรมของผู้หนึ่ง
ผู้ใด อาจมีผิดพลาด ผิดเพี้ยนไปได้ เช่น ขณะที่เราเปิดจักระเจ็ดรับพลังธรรม
ของพระศากยมุนีนั้น อาจมีพลังธรรมของจิตจักรวาลแทรกเข้ามาแทนได้เช่นกัน
แต่เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่าไม่ว่าธรรมใดๆ ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมทั้งมวล จะ
มองว่าเขาผิดหรือเลวร้ายก็ไม่ได้ เขาก็ทำหน้าที่ของเขาไป เราก็ทำหน้าที่ของ
เราไป เขาทำให้เกิดภัยพิบัติ คนตื่นขึ้นจากการหลงโลก เราทำให้คนอยู่ในโลก
ได้อย่างไม่ยึดติด ดุจน้ำกลิ้งบนใบบัว หน้าที่ใคร หน้าที่มันครับ ก็ทำของเราไป


ท่านอาจได้รับธรรมจากจิตจักรวาลบ้าง จากพระอาทิตย์ยูไลบ้าง ได้เช่นกันครับ

 

ทีแรก ก่ะว่า จะตามอ่านอย่างเดียว ไม่ค่อยชอบ โพสต์
แต่มันคันปากไงไม่รู้ อดไม่ได้จริงๆ อยากถามมาก
คุณ frozen flower รู้เรื่องพวกนี้ มาจากไหน?
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นแค่ทฤษฏีความเชื่อส่วนตัว
หรือได้จากการระลึกชาติ รู้เรื่องแบบนี้มาได้ไงกัน สุดยอดมากก...
จขกท. จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้นะครับ ไม่เป็นไร

 

ขอพักสักครู่นะครับ ...

 

เปิดจักระเจ็ดแล้วรับคลื่นพลังธรรมจากศากยมุนีพุทธเกษตรครับ

 

ขอบคุณมากครับ
มันลึกซึ้งเกินความเข้าใจของผม
คงจะเหมือนกับ คนไม่เคยกินทุเรียน
อธิบายให้ตายยังไง ก็ไม่มีทางเข้าใจสภาพนั้น
ถ้าไม่ได้เจอะเจอ หรือลิ้มรสด้วยตัวเอง
เอาเป็นว่า ขอตามอ่านอย่างเดียวดีกว่าครับ

 

ดอกบัวบานดอกเดียว.....แท้ ในใจ
ศูนย์รวมทั้งจักรวาลไป....หมดสิ้น
พุทธะบานประจำใจ........รวมเป็นหนึ่ง..ไว้เอย
ใจสื่อถึงใจ ..รู้ทุกข์สิ้น....สุดไว้...วางคืน

 

ความจริงแค่.ระลึกถึง......พุทธะ องค์มุณี
ประจักษ์แจ้งในความดี....แห่งตนไว้
คนเราเท่าเทียมกัน..........ความดี ในใจเอย
กำหนดรู้ เป็นสุขได้.............สว่างแท้ บัวบาน

 

บทบาทของพระอวโลกิเตศวรปางจันทราวารีที่มาแทนที่พระกวนอิม


ดังที่ผมได้กล่าวแล้วว่าพระกวนอิม (พระธิดาเมี่ยวซ่าน) เป็นตัวแทนธรรมของพระอามิตภะ
แต่ไม่ใช่ตัวแทนธรรมของพระศากยมุนี ทั้งนี้ โลกจะขาดพระโพธิสัตว์มาช่วยเหลือในกิจนี้
ไม่ได้ พระอวโลกิเตศวรจึงได้แบ่งภาคมาในปาง "ปางจันทราวารี" ซึ่งคนละแบบกับที่เคย
เห็นพระธิดาเมี่ยวซ่านเป็นนะครับ อย่างที่ผมบอกแล้ว หากเราใจดีเกินไป ปล่อยให้พ่อเรา
ทำชั่วมากเกินไป เท่ากับเราถีบเขาลงนรกเสียเอง ดังนั้น การโปรดสัตว์แบบพระศากยมุนี
จะไม่สอนให้เราทำเช่นนั้น ตรงกันข้าม สอนให้เราใช้กิเลสและความเห็นแก่ตัวให้เป็น แบบ
มนุษย์ปกติ พึงมี "อย่างพอดี" ไม่เกินเลยไป เพราะถ้าเกินเลยไปด้วยขาดสติ เราก็จะไม่
ใช่มนุษย์ สูญเสียความเป็นมนุษย์ บ้างกลายเป็นมาร ไปเล่นงานให้คนอื่นสำเร็จโพธิสัตว์
ซึ่งแบบนี้ไม่ใช่แนวของพระศากยมุนี เป็นแบบสุขาวดี ต่างกันแค่ไม่ได้เป็นพระธิดาเมี่ยว
ซ่าน แต่กลายเป็นมารไปเล่นงานพระธิดาเมี่ยวซ่านแทน เรื่องเดียวกัน สลับบทกันเล่น นี่
ไม่ใช่ละครับ เราไม่เล่นหนังน้ำเน่า ที่มีนางเอกดีเหลือเกินแบบนั้น เราเล่นหนังเกาหลีครับ
พระเอกต้องร้ายๆ มาก่อนเลย ร้ายให้เป็น ร้ายแต่พอดี และคนดูเขาไม่เกลียดเราหรอกนะ
ดูอย่างเด็กแนวสมัยใหม่ ทุกคนถูกกระแสพลังธรรมสอนให้เรียนรู้ที่จะร้ายให้เป็นกันทั้งนั้น
เห็นไหมละครับ แนวธรรมของพระอวโลกิเตศวรปางปางจันทราวารี ไม่เหมือนแบบพระธิดา
เมี่ยวซ่านแน่นอน อุปมาเหมือน "ต้วนอี้" ที่เกลียดพ่อ ไม่ชอบพ่อตัวเองที่เป็นคนโฉดน่ะละ


แต่รับรองว่าธรรมของพระศากยมุนีได้ผลจริง ไม่ได้โม้ และเหมาะสมกับบริบทปัจจุบันครับ

 

"ชายงาม" และหนุ่มสำอางค์ จะเต็มบ้านเมือง นั่นคือ รูปลักษณ์ของจันทราวารี
หรือ พระอวโลกิเตศวรในรูป "มหาบุรุษ" ที่มีพลัง "หยิน" (จันทราและวารี) ครับ
ทำให้ ผู้ชายยุคนี้ เกิดมาไม่ค่อยแมนเหมือนผู้ชายสมัยก่อน แต่จะสำอางค์ๆ ครับ

 

"เด็กแนว" ก็คือ "เทพกุมาร" มาเกิด หรือที่เรียกกันว่าไอ้ลูกเทวดา
น่ะละครับ พวกนี้้้มาจาก "ศากยมุนีพุทธเกษตร" มาแบบต่างจากใน
รูปลักษณ์เด็กดี ธิดาเมี่ยวซ่าน พวกเขามีฤทธิ์เดช เยอะ มาบำเพ็ญ
เพื่อเลื่อนระดับจากเทพกุมารไปสู่เทพชั้นสูงๆ หรือโพธิจิตน่ะเองฮะ

 

พระธิดาเมี่ยวซ่าน..รุ่น .....อัพเกรดใหม่
เฉิดไฉไล เจิดจ้า.............งดงาม สว่างไสว
เรียนรู้เพิ่มเสริมปัญญา..........เบ่งบาน ที่ใจ
ปณิธานแห่งพุทธะได้......แจ่มแจ้ง..ประจักษ์จริง.

 

เด็กเทพมาเกิดกัน..... มากมาย
พ่อแม่ต้องวุ่นวาย.......มากเหลือ
พลังใจและพลังกาย.........ไม่มีหมด เหลือเฟือ
พูดแล้วไม่น่าเชื่อ......พ่อแม่...ต้องยอม