"จิต กับใจ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิริยะ13, 17 เมษายน 2016.

  1. วิริยะ13

    วิริยะ13 สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    3,016
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,555
    ค่าพลัง:
    +12,636
    [​IMG]

    "จิต กับใจ"

    " .. พระพุทธองค์ทรงสอนให้ฝึกหัด สมาธิ ให้เข้าถึงจิตใจของตนเองเสียก่อน "เพราะจิตใจเป็นผู้ก่อภพก่อ
    ชาติ"
    เมื่อยังไม่รู้เรื่องของจิตหมดทุกอย่างเสียก่อนจึงต้องเกิดอีก "จิตกับใจต้องแยกออกจากกันเสียก่อน"
    จึงจะเห็นจิตกับใจชัด

    "จิต เป็นผู้ปรุง ผู้แต่งให้เกิดกิเลสทั้งหลายมีภพชาติเป็นต้น" เมื่อปัญญาเข้าไปรู้เรื่องของจิตทุกแง่ทุกมุม
    หมดแล้ว จิตก็ถอนออกจากกองกิเลสเหล่านั้นทั้งหมด แล้วเข้ามาอยู่เป็นกลาง ๆ "ไม่มีอาการคิดนึกปรุงแต่ง
    อะไรทั้งสิ้น เฉย ๆ อยู่ รู้แต่ว่าเป็นกลาง ๆ เฉย ๆ นั่นเรียกว่า ใจ"


    "จิต กับ ใจ ความจริงก็อันเดียวกันนั่นแหละ" แต่จิตเป็นผู้คิดนึกปรุงแต่งให้เกิดกิเลสสารพัดทั้งปวง "เมื่อ
    ปัญญาเข้าไปรู้เท่าเรื่องของจิตทั้งหมดแล้ว จิตก็หยุดนิ่งไม่มีอาการอีก จึงเรียกว่า ใจ"
    อีกนัยหนึ่งเรียกให้
    เข้าภาษาชาวบ้านว่า ของกลาง ๆ ก็เรียกว่าใจ .. "

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

     
  2. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    ก็แสดงว่า ... ถ้าเรียกว่า จิต ก็แสดงว่ายังมีการปรุงแต่ง หรือ สภาพที่มีการปรุงแต่งอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อันนี้ หลวงปู่เทสก์ กล่าว ธรรม อนุโลมลงภาษาถิ่น

    " ใจ " ในภาษาถิ่นไทยเดิม แปลว่า " กลาง " ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ จิต
    เป็นคำระบุ ตำแหน่ง แห่ง ที่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคำว่า " จิต "

    เทศนานี้ จึงกล่าวไปตาม ธรรม คำศัพท์ไทยดั้งเดิม

    ทีนี้ พอมีคำว่า " หัวใจ " ที่เป็นอวัยวะ สร้างขึ้นมาใช้ทางการแพทย์
    คำว่า " ใจ " ก็เริ่มมีแนวโน้มไป อธิบายเรื่อง จิต ที่เป็นอารมณ์

    ดังนั้น "ใจ" หากเอาตาม นัยประวัติ "ใจ" ที่คนสมัยใหม่เข้าใจ จะเห็น
    เป็นเรื่อง อารมณ์ปรุงแต่งที่ถูกบีบคั้นด้วยฉันทะ ตัณหา แล้ว


    ดังนั้น

    หลวงปู่เทสก์ จึงเอาคำว่า "ใจ" มากล่าวเป็นธรรม เพื่อให้เกิดอาการ "ทวนกระแส"
    ความเข้าใจที่มีอยู่เดิม โดยใช้มุขนัย ความแตกต่างของ ภาษาเก่า กับ ภาษาใหม่
    ( แปลถูกทั้งคู่ ) เพื่อให้เกิดการเห็น "ความคิด" ที่หมายรู้สลับไป สลับมา บังคับ
    บัญชาไม่ได้

    ยกตัวอย่าง หากไปถามว่า แล้ว ใจ หายังไง หลวงปู่เทสก์จะสอนว่า " ง่ายมาก "!!
    แค่กลั้นลมหายใจ แล้วเห็นอะไรไหวๆ ดิ้นๆ ....หากไม่ไปคว้า อาการไหวๆ ดิ้นๆ ในอก
    นั้นว่าเป็น ตัวเรา ก็จะกำหนดรู้ว่า นั้น "จิต (แสดงอาการแปรปรวร ไม่เที่ยง ถูกบีบคั้น)"
    ซึ่งตรงนี้ต่างหากที่เป็น อุบาย ที่ต้องการสอน จิตไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา

    จริงๆ ควรจบแค่นี้ แต่ถ้า คนฟังธรรม คนปฏิบัติธรรม โหลยโถ้ย ยังดิ้นรนถามหา
    อัตตาตัวตนอยู่ไหน ก็จะออกอุบายว่า " ใจ " คือ ผู้เห็น " จิตไม่เที่ยง "

    ก็เป็นอันว่า อุบายของหลวงปู่เทสก์ ต้องการ ย้ำเรื่อง " จิตไม่เที่ยง " ลูกเดียว
    เป็นเนื้อหาสาระ กำหนดรู้อริยสัจจ ส่วน " ใจ " หากใครจะโง่ ไปงัดขึ้นมาว่า
    หลวงปู่เทสก์สอนเรื่อง จิตเที่ยง ก็เอา สันติ ไปกินได้เลย !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ลองปฏิบัติกันดู ที่ คนเขาว่า จะดูจิต ดูใจ ต้อง อัปปนาสมาธิ ก่อน แล้วถอย
    มาพิจารณากิเลส ล้างกิเลสก่อน แล้วจึง เอา จิตมาดู สันติ เอ้ย การดูจิต
    มันเป็นการฝึกฝนชำระกิเลส เสือก สอนไปโน้น อัปปนาแล้วตัดกิเลสแล้วจึงเห็นจิต

    จะเห็นทำเฮีย อะไร ในเมื่อ ชำระกิเลสไปแล้ว !!!

    ดังนั้น

    น้องๆ หนูๆ เอาแบบหลวงปู่เทสก์ ใช้ ใจ ปรกติ นี่แหละ ไม่ต้อง อัปปนาสันติ อะไร

    กลั้นหายใจ แล้ว แลลงไปที่ " สภาวะดิ้นรน บีบคั้น ร่ำร้องว่าจะตายๆ " แล้วให้
    กำหนดรู้ไปเลยว่า " นั่นจิต "

    ดูความแปรปรวนของจิตแล้วได้อะไร ลองฝึกดู มันจะเกิด กระบวนการ เห็นทุกข์
    แล้วเกิดการ แยก สิ่งหนึ่งออกมา เป็นผู้ดู ( ซึ่งจะต้องไม่เที่ยง ด้วย มันจะตั้งมั่น
    สลับกลับ ไหลไปจมกับ จิต เสมอ ) เว้นแต่ จะเคยสัมผัส ธรรมฝากตาย มันจะ
    เกิดอาการ ปล่อยจิต เห็น จิตดิ้นรนห่างๆ ไม่ฉวยว่านั่นตน เป็นตน ของตน อย่าง
    นี้จะเรียกว่าเกิด สมาธิแนบแน่น แน่นหนามั่นคง เกิดธรรมเอก อาการดิ้นๆๆ จะเปลี่ยน
    เป็น ปิติ5 เพราะห่างจาก จิตอกุศล(จิตที่ดิ้นรน แปรปรวนนั้นๆ )

    ซึ่งทั้งหมด จะเป็น ภูมิจิตมนุษย์ปรกติ เว้นแต่ชำนาญมากๆ มีวสีมากๆ จะหน่วง
    อารมณ์บางอย่างขึ้นเป็นการเดิน ฌาณสมาบัติ ได้ และ อนุโลมนามกายเข้าเสพ
    สัญญาเหล่านั้น เพื่อกำหนดรู้ อุเบกขาธรรมแต่ละชนิด ล้วนแปรปรวนไม่เที่ยง
    ก็จะเป็นการฝึก " กายคตาสติ " ในแบบเป็นไปเพื่อ ญาณทัสนะ ตามวาสนาของจิต
    นั้นที่เคยฝึกมา
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    พวกหนาสันติ คนไหน จะมา กล่าว ดูจิตต้องอัปปนา ก่อน จึงเห็นจิตได้

    กรุณา กลับไป อ่านคำสอนโคพ่อโคแม่ ของ พวก มะอึง อีกรอบในเรื่อง ดูกาย

    ใช่ไหม ดูกาย แม รายำ ก็ยังพูดว่า ต้องอัปปนาก่อน จึงถอยมา พิจารณากาย
    ถึงเห็น กายได้

    ตกลง โคพอ โคแม มะอึง จะสอน เฮียอะไร !!! ให้คน อินทรีย์อ่อน ปฏิบัติ

    ทั้งๆที่ หลวงปู่เทสก์ อุตาสาห์สอนว่า จิต ใจ เห็นง่ายนิดเดียว แค่ กลั้นหายใจ ก็เห็นแล้ว !!!



    ปล.ลิง : ถ้าใครอินทรียแก่กล้า ก็ต้อง อัปปนาก่อน นะฮับ ถ้าไม่อัปปนาแล้วมา ดูจิต ดูกาย
    ก็เอา สันติ ไปกินได้เลย เหมียนกัลลล [ ทั้งนี้ อินทรีย์อ่อน อินทรีย์กล่า มันมี ปัจจัยบางอย่าง
    ที่เนื่องกับ อุปกิเลสบางตัว คนอินทรีย์อ่อนก็เพราะว่ากิเลสอ่อน ยกตัวอย่าง คนไม่ประสาแต่ศรัทธาง่าย กิเลสมีไหม
    ก็มี แต่พอ ชักชวนทำความดี พวกนี้ ก็อนุโลมมาทำความดีง่าย แถม ปลื้มทั้งวัน อินทรีย์อ่อน กิเลสอ่อน สอนกลั้น
    หายใจนิดหน่อย ก็เห็น จิต เห็นใจ ได้ ไม่ได้ยาก ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    โคตะระเบื่อ นิวรณ์มิจฉาทิฐิ นิวรณ์โหลยโท่ย จริงๆ ครับ

    คำว่าจิตกับใจต้องแยกกันได้ก่อน พระท่านก็อธิบายมาแล้วว่าต้องเข้าไปรู้เรื่องจิตให้ได้ทุกแง่ทุกมุม จนเข้าใจในจิตว่าคือผู้ก่อภพก่อชาติ จึงวางจิตไปได้ จนเหลือใจ
    จิตก็อนัตตาธรรมไป..(ที่พระท่านรู้ก็ท่านปฏิบัติ มาหลายปีไม่ไช่มานั่งกลั้นใจ แบบนิวรณ์ เพ้อมา)

    จิตอนัตตาไปก็เหลือใจ ก็ไม่ได้หมายความแค่ที่พูดว่า เหลือแค่ใจ...แต่กว่าจะมารู้ความจริงว่าเหลือแค่ใจ พระท่านก็ปฏิบัติมาอีกนั่นแหล่ะ...ถ้าทุกคนมัน เหลือแต่ใจได้ง่ายๆกันทุกคน เหมือนที่นิวรณ์ เพ้อมา...มันก็เข้าถึงสัมมาความเป็นกลาง เป็นอริยะกันหมดโลก แล้วสิ

    ที่บ้านร้อนมากเหรอ นิวรณ์...เพ้อไปเรื่อย เปื่อยจริงๆ
     
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ส่วนที่พระ ไม่พูดชี้ชัดไปว่า จิตส่วนจิต ใจคือใจ นั้น อาจเพราะไม่อยากมีเรื่องขัดใจกันกับ คนมีมิจฉาทิฐิ แบบนิวรณ์นี่แหล่ะ ท่านเลย ยังรวมจิตกับใจว่า อันเดียวกัน ตอนมันเคยอยู่ด้วยกัน เคยปรุงอุปทานร่วมกัน

    แต่ท่านก็ แยบๆออกมาโต้งๆ ว่า จิตกับใจคนละตัวกัน...จิตคือตัวสร้างภพสร้างชาติ ใจคือตัวรู้เป็นกลางๆเป็นสัมมา....ก็แค่นี้ (กลัวขัดคนที่ไม่เข้าใจ อย่างนิวรณ์)
     
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พระท่านไม่อยากอธิบายมาก ไง นิวรณ์....

    อย่างที่นิวรณ์เข้าใจ ว่า ถ้าแยกจิตกับใจออกจากกันได้ คือ ใจหมดกิเลสได้แล้ว..(คิดเอาเองอีกละ)
    จิตน่ะแยกได้ แต่ ถ้าชำระไม่ได้ มันก็จะเหมือนนิวรณ์ ที่เป็นอยู่นี่ แล้วจะมาเรียกว่า ใจพ้นจากจิตแล้ว พ้นจากกิเลสแล้ว งั้นเหรอ....การทำไห้แยกกัน การทำให้จิตอนัตตาไป..มันง่ายเหรอ นิวรณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กั๊กๆๆๆๆๆ

    พระท่าน สนใจ คนปฏิบัติฮับ


    คนปฏิบัติ ถ้า ปฏิบัติตามมุขนัยของ พระท่าน ลอง ปล่อยจิต เห็นจิตไม่เที่ยงได้
    ด้วยการปฏิบัติเข้ามาเห็น

    คนปฏิบัติคนนั้น จะถามอีกหรือฮับว่า ปล่อยจิต แล้วยังต้องเหลือ เฮียอะไร

    คนที่ปฏิบัติ เห็นด้วยการปฏิบัติ หากปล่อยจิตได้ เขามีแต่ หมดคำถาม !!!

    ไม่ต้องกระเดิดไป ไล่ตะครุบบัญญัติ แล้วว่า " เหลืออะไร !? "


    ส่วนพวก ไม่ปฏิบัติ เอาแต่ การตีความ มันก็ แบเบอร์ มัวแต่ ตั้งกระทู้ถาม
    ไม่เคยปฏิบัติเข้าไปเห็น แล้ว จะให้ วิจิกิจฉาสังโยชน์ขาดสะบั้นด้วยการ ตีความ ก็เอา
    สันติไปกิน อายพวกนอกศาสนา !!!
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อะไรคือจิต อะไรคือใจ
    อะไรคือเจตสิก อะไรคือความคิด

    ยังแยกไม่ได้ ชำระอวิชชาไม่ได้....ก็อย่ามา พูดเลย นะ นิวรณ์ พาคนเขา เข้าใจผิด มีมิจฉาทิฐิ ตามไปด้วยนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ไม่เกี่ยวเลย พระท่านที่พูดมานี่ พระท่านไม่ได้สนใจพวกที่ปฏิบัติหรอก พระท่านสนใจเป็นห่วงพวกที่ไม่เคยปฏิบัติแบบ นิวรณ์นี่แหล่ะ ..พอมาอ่านก็จะพากันตีความเข้าข้างตนเอง..แถไปน้ำไสๆ

    พระท่านก็บอกอยู่แล้วว่า เหลือใจที่รู้เป็นกลางๆ เป็นสัมมา ไง..

    (สุดท้าย พวกไม่ปฏิบัติอย่างนิวรณ์ ก็เลยเอาไป กลั้นลมหายใจ ก็เห็นจิต แยกจิต หมดอวิชชา ได้เลยไง....อิอิ)

    แต่ก่อน นิวรณ์ เอาของสำนักพระปราโนทย์ มาว่า ดูจิตมันเกิดดับอยู่เนืองๆๆ ไง
    ได้อะไรอ่ะ นิวรณ์ มาตอนนี้ สอนคนอื่นให้ดูเวทนาเกิดดับไปเนืองๆ แล้วพยายามให้จิตอยู่กับอุเบกขาไปเนืองๆให้จิตไม่ห่างจากปฐมญาณ...อิอิ..ไปเรื่อยเลย
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พระท่านบอกว่า เมื่อมีปัญญาเข้าไปรู้เรืองของจิต....เนี่ย..นิวรณ์ พระท่านไม่ได้บอกแค่ว่า แค่เข้าไปเห็นจิต แยกจิตได้ แล้ว หมดกิเลสตัณหาได้เลย เหมือนที่ นิวรณ์ ตีความเข้าข้างตนเอง ซะเมื่อไหร่กันเล่า

    จิตก็หยุดนิ่งไม่มีอาการอีก ก็เรียกว่าใจ....จิตหยุดนิ่งไม่มีอาการเนี่ยคือ รู้เห็นความจริงทั้งหมดของจิตด้วยปัญญาคือจนจิตมันอนัตตาไป.แล้ว...ก็เรียกว่าใจ กับ คำว่า ก็เหลือแต่ใจที่รู้เป็นกลางๆ ...มันก็อันเดียวกัน


    ขอร้องเถอะนิวรณ์...ไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้อง..มา แปลความ ตีความให้บิดเบือน เถอะ...จะพาคนอื่น เป็นมิจฉาทิฐิกันหมด
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    คน ตอนไม่เป็นพระ ก็เรียกว่าคนหรือฆราวาส อันเดียวกัน แต้พอไปบวชเป็นพระ ก็เรียกว่าพระ ไ ม่เรียกฆราวาส เนี่ย คนคนเดิม คนเดียวกัน ยังเรียกต่างกันเลย

    จิตใจก็เหมือนกัน ไ ม่มีจิตแล้วไม่เป็นจิตแล้วไม่ก่อภพก่อชาติได้แล้ว ก็เรียกว่าใจ

    เรื่องของสมมุติ ก็เพียงแค่นี้ นิวรณ์จะเอามาตีความ เข้าข้างตนเองทั้งที่มันผิด ไปทำไมกัน
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คุณคร้าบบบบบ

    คนปฏิบัติเนี่ยะ หาก ลงมือทำเนี่ยะ จะสำเร็จ หรือ ไม่สำเร็จ

    ลำดับแรกเนี่ยะ จิตจะต้อง ปราศจาก กามฉันทะนิวรณ์ ปรากฏเป็น ผล ของการปฏิบัติ


    ดังนั้น


    คำว่า " จิตไม่ห่างจากฌาณ " มันเป็น เรือง ที่จะต้องเกิดขึ้นกับจิต อยู่แล้ว

    ไม่มี นักปฏิบัติคนไหน จะตกอกตกใจ กลัวเรื่อง จิตห่างจาก ปฐมฌาณ


    เว้นไว้แต่ น้าวงกงจุก กับ พวกสนับสนุน จานลายอายดี ต่างๆ ที่พยายาม
    ให้ น้าจร สำคัญว่า ปฏิบัติแล้ว กลับไป ขยำภูเขา กินตับน้ำแตก หาร่อง
    รอยของ การปฏิบัติไม่เจอ ว่าถูกต้อง
     
  15. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    ตั้งกระทู้ถามก็ผิดด้วย ... งั้นคนที่ตั้งกระทู้ถามความเห็นกัน ก็คงจะผิดกันหมดหล่ะเนอะ คงจะมีวิจิกิจฉาสังโยชน์กันหมดเนอะ อย่าลืมสิพระอานนท์ท่านก็ถามคำถามพระพุทธองค์บ่อยเหมือนกันนะ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะท่านเป็นพหูสูตร ก็ถ้าผมสนใจในหลาย ๆ เรื่องเพื่อให้รอบรู้ในเรื่องอื่น ๆ ประกอบด้วยก็ไม่น่าจะแปลกนะ กลับกลายเป็นดีด้วยซ้ำไป ว่ามั้ย ... ส่วนคำกล่าวหาที่ว่า "ไม่เคยปฏิบัติ" จะถอนคำพูดก็ได้นะ เพราะถ้าหากผมปฏิบัติผ่านมาบ้างหรือปฏิบัติอยู่ในช่วงเวลาที่นอกเหนือจากการสนทนาแล้วหล่ะก็ มันจะไม่เป็นบาปต่อผู้พูดเองหรือ? ถ้าถูกผมก็ไม่ว่า แต่ถ้าผิดหล่ะ? ... เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อกันก็ขออย่าได้โยงไปใส่คนนั้นคนนี้ว่า "เขาปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติเลย" ยังไงก็ขอบคุณ คุณ วรณ์นิ ที่ยังช่วยปกป้องกันอยู่ (^ ^)

    ข้อความแรกนั้นผมก็พิมพ์เข้าไปสั้น ๆ นิดเดียวตามที่หลวงปู่เทศน์ เทศน์รังสีท่านแสดงไว้เท่านั้นเอง ไม่ได้เข้าใจไปอะไรยืดยาวเลย เพียงแยกตามที่ท่านแยกก็เท่านั้นเอง ไม่เชื่อก็ย้อนกลับไปดูสิครับ (- -)
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คำว่า อุเบกขา เกิดดับ

    อันนี้ มันก็เป็น คำของนักปฏิบัติ จะทราบอยู่

    " อุเบกขา " ตัวนี้ คือ องค์ฌาณ ที่มี " วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา " ( มี สุข ย่อม มี อุเบกขา )

    จิตไม่ห่างจากฌาณ เนื่องจาก เพียรชำระกิเลส อุเบกขา มันเกิดดับ
    ของมันอยู่แล้ว สำหรับคนปฏิบัติ

    เพียงแต่



    คนที่ ภาวนาเป็น เขาจะเอามา วิจัยธรรมบางอย่าง ระหว่าง นิรามิส กับ อามิส
    เพื่อฝึก สติปัฏฐาน แทงตลอดไป โพชฌงค์7 [ บรรทัดนี้ เขียน แบบ ซ่อนความ เอาไว้ คนปฏิบัติ จะรู้ว่า เว้นคำอะไร
    คนไม่ปฏิบัติ อ่านแล้วก็ งง ก๊อปปี้ไม่ถูก ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2016
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    " ตั้งกระทู้ถาม " พูดกันสั้นๆ แต่ เราหมายเอา อาจิณกรรม คือ กรรมที่ทำซ้ำๆ

    เรื่อง จิตกับวิญญาณ อันเดียวกัน หรือ คนละอัน ....คุณเคยตั้งคำถามไหม

    มาวันนี้ ก็มา วนเรื่อง " จิตกับใจ " อีก หากไปอ่านโพสอื่นๆ ก็ วนอยู่
    เรื่องเดียว

    เหมือนกับว่า จะหา ความถี่ ในบัญญัติ อันไหนปรากฏมากสุด ก็จะ คว้า
    เอาอันนั้นไป ยกว่า รู้

    ซึ่ง นักปฏิบัติ เขาตั้ง กระทู้เดียว เขาไม่ถามซ้ำ จนกว่า จะลองปฏิบัติเข้าไป
    เห็น

    นี่ขนาด คำสอนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสรุป " จิตคือวิญญาณขันธ์ " คุณ
    ยังไม่ใส่ใจเอาไปพิจารณาเลย

    สาระวน หามุขนัยอื่น ของพระอื่น ที ท่านเทสน์ อนุโลมไปความโง่ ของคนฟังธรรม

    แล้วไปไล่จับว่า เท่านั้นจริง หลวงปู่มั่น เปล่า
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    นะ อดทนหน่อย หากผม แย๊บไป สองสามหน คุณ ยังออกแนว

    ถามไปงั้นๆ ถามเพื่อให้ พวกโง่ๆ มาอวดว่ารู้ธรรม พอใจกับการ กล่าวธรรมของพวกโง่ๆ


    อันนี้ผมก็จะปล่อย เพราะว่า วิบากกรรม ที่ไป สร้างกระทู้ ให้พวกโง่ๆ มาตอบ
    มันจะ ย้อนกลับไป ปิดนิพพาน ปิดการปฏิบัติ ....ซึ่ง ผมก็จะเรียกว่า พวกนอกศาสนา
    ในที่สุด หมดประโยชน์จะทักท้วง ชักชวนให้ ปฏิบัติธรรม
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    แค่เขาตั้งกระทู้ หลายกระทู้ หรือคุยเรื่องเดิมๆก็ ไปว่าเขา

    ทีแกตามป่วนทุกกระทู้ ไปเรื่อยๆ ทำไมไม่ ว่าให้ตนเองบ้างล่ะ
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทำไมไม่คิดบ้างล่ะว่า ไอ้พวกคนโง่ๆที่มาอวดธรรม น่ะคือ..ตัวเอง...อิอิ

    แสดงธรรม เที่ยวระรานชาวบ้าน จะบอกชี้แนะเขาดีดี ก็ไม่..ใช้ภาษาเพี้ยน ไปหมด
    เงอะๆ งะๆ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...