สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง" พุทธวจน " ปลอม

เตรียมรับคลื่นความร้อนสูง .ขนาดพัดลมยังส่ายหน้าเลย

 

ค่ะ บางทีความปราถนาดีที่ปนกับความโง่ก็ให้โทษอย่างหนึ่งเหมือนกันค่ะ เคยปราถนาไว้ว่าอยากเป็นผู้รักษากับพระพุทธศาสนากับเขาด้วย และเห็นว่าความเห็นในกระทู้ที่ผ่านมาชัดเจนอยู่แล้ว กับอีกอย่างหนึ่ง หน้าที่นี้อาจไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพียงแต่เสนอความเห็น กับความต้องการของตัวเอง 3 ประการ ดังนี้ค่ะ

1.ถ้าเราเปรียบเทียบดูเราจะเห็นว่ามีการขยายเครือข่ายเพื่อใหครอบคลุมทั่วประเทศหรือเกือบทั่วโลกตามแผนที่ที่อยู่ในเว็บของสำนักนาป่าพงนั้น ถ้าเป็นความถูกต้องก็ถือเป็นความดี แต่ถ้าเป็นการหลงผิด ก็จะนำพาให้คนจำนวนมากหลงผิดร่วมด้วยเป็นอย่างมาก ซึ่งมีข้อมูลที่ได้มาจากผู้สันทัดพระไตรปิฏกกล่าวไว้ว่าอย่างไร ผู้มีปัญญาจะได้ช่วยกันพิจารณาให้เห็นชัดอีกทีได้ และ หรือ ผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็จะได้ืทราบและตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลพุธวจนะผิดจากไปจากผู้ที่รู้จริงจากพระไตรปิฏกจริง จะได้ช่วยรักป้องกันตนเองใหพ้นจากการหลงผิด และ ป้องกันพระศาสนาของตนได้

2.ถ้าท่านเจ้าอาวาสวัดสำนักนาป่าพง ท่านอาจจะปราถนา....บางทีถ้าท่่านหลงผิดอาจทำให้สะกิดใจอะไรบางอย่างบ้างก็ได้ เพราะบุคคลที่ปราถนาในสิ่งในจะต้องปกป้องพระรัตนตรัยอย่างสุดชีิวต ถ้าไม่เกิดมาเพื่อสร้างบารมีเป็นมารเสียเอง

3.คิดว่าผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อพระศาสนา คงไม่มีใครนิ่งเฉยอยู่ เราก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กที่ได้ทำอะไรบ้าง เป็นจุด ๆ หนึ่งในการที่ได้ทำ อยากลงมือเริ่มต้นว่าตนเองได้เริ่มทำแล้วกับเขาแล้วบ้างแค่นั้นเองค่ะ กลับกลายเป็นว่า...ทำไม่ถูกต้อง (ตนเองคิดเพราะได้ไปอ่านคอมเม้มท์ในโพสของบางกระทู้) ก็เลยต้องมาชี้แจงว่าตนเองคิดอย่างไร เพราะถึงอย่างไรการโพสกระทู้นี้ได้ชี้ชัดที่มาที่ไปคนอ่านเขารู้และเข้าใจได้อย่างชัดเจนในสติปัญญาของตัวผู้อ่านอยู่แล้วค่ะ

 

อุทายีผู้คัดค้านพระสารีบุตร .กปิละ .มหาเทวะ .บวก อกตัญญูและหืนกาม เข้าไปอีก นั่นก็คือคึกฤทธิ์ พอไหม คุณสมบัติ บวกที่สำคัญที่สุด .ทำลายพระไตรปิฏก

 

ขอบคุณค่ะ ที่ให้ข้อมูล ที่เดาสุ่มสี่สุ่มห้านะคะ เห็นว่าทำงานเพื่อคนอื่นเพื่อศาสนา ก็เลยทำให้กระทู้ท่านเสียหมดเลย ท่าน ห้าศูนย์ หายไปอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ประจำ ถ้า jityim ลบไปอีกคน เดี๋ยวคนอ่านจะเข้าใจผิดว่าท่านพูดคนเดียวหากสิ่งใดที่ไม่รู้จริงแล้วทำให้กระทู้ท่านเสียหายยินดีลบให้ค่ะ

 

...................
ตามที่อ่านๆมา ท่าน๕ศูนย์นี่ก็อริยะท่านนึงนะ ท่านจิตยิ้ม
แวะมาทักทายจากแดนไกลข้ามขอบฟ้าแด่ท่านจิตยิ้มตามอ่านเม้นของท่านประจํานะจะบอกให้({)

 

อนุโมทนาในทุกความดีของท่านเช่นเดียวกันค่ะ และอนุโมทนาในน้ำใจไมตรีของพระโพธิสัตว์ขององค์นี้ด้วยค่ะ ที่หยั่งรู้อัธยาศัยว่าคนนั้นแลประสบสุขด้วยเหตุใด ท่านจึงมีน้ำใจไมตรีช่วยเหลือ เพื่อผู้นั้นพ้นทุกข์ไปก่อนค่ะ

 

ไตรสรณาคมน์ยังคงเป็นที่พึ่งที่มั่นคงสำหรับพุทธชน
ไม่แปรเปลี่ยนไม่คลอนแคลน
แต่องค์กรทางศาสนาต่างๆ เช่นสมาคม วัดวาอาราม
นักเทศน์ นักธรรม ที่จัดตั้งมาเพื่อค้าขายบุญ ขายสวรรค์วิมาน
รวมถึงสงฆ์สมมุติทั้งหลายที่ไม่
ได้ตั้งตนอยู่ภายใต้พระธรรมวินัย
เหล่านี้
ล้วนเป็นหลุมดำสร้างความงมงายต่อผู้ที่เสื่อมใส
ในศาสนาพุทธ....ยิ่งเข้าใกล้ไปคลุกคลียิ่งปัญญา
หดหายเหลือแต่ความลุ่มหลงในตัวบุคคลและ
คำสอนที่ดัดแปลงให้ออกห่างหรือสวนทางกับ
พระสัทธรรม
ตอนนี้ควรออกห่างๆ วางใจเฉยๆ ไม่จำเป็นต้อง
เข้าไปสามัคคีกับสำนักฯหรือสงฆ์สมมุติเหล่านั้น

ไม่ออกเดินทางอยู่นิ่งๆ โอกาสจะหลงทางก็ไม่มี
ใช่มิใช่ครับ

 

............
เอ้าถอนก็ถอนค่ะ({) ขออภัยที่ทําให้คันหัวใจ ตัวข้าน้อยอาจจะปํ้าเป๋อไปเองตามประสา ทวนกระแสโลกค่ะ พยายามจะเป็น วจีวิรัติอยู่ค่ะ
แหมลุงแมวก็มาเที่ยวที่นี่ด้วยนะ
ธรรมะสวัสดีและขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ

 

.................
ลุงแมวเจ้าขา ถ้าเราอยู่นิ่งๆ มันก็ไม่ก้าวหน้าซิคะ ก้าวไปเรื่อยๆเราก็จะรู้ว่าทางไหนคือทางที่แท้จริง หลงไปบ้างก็ตั้งต้นใหม่เราก็จะมีประสพการณ์ชีวิตค่ะ ก็จะถึงเป้าหมายสักวันค่ะ

 

รู้แล้ว ได้แล้ว ไม่ยอมรับ ว่าไม่ได้ .ไม่มีไม่ได้ .แม้แต่ความเลื่อมใสนั้นก็เป็นอานิสงส์ .แม้แต่จะไม่เต็มใจให้ เต็มใจทำ.นั่นก็ยังเป็นอานิสงส์ .จะนับกับอาการอื่นๆอันใดเล่า ที่กระทำด้วยกาย วาจา ใจ แต่เรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น .ในพระสัทธรรม รู้ก็ต้องบอกว่ารู้ .ไม่รู้ไม่ใช่กิจไม่อยากกล่าวถึงจึงเงียบจึงปราม ไม่ควรประมาทในธรรมแม้เพียงพยางค์เดียว ร้อยนัยพันนัยนั้นมีอยู่ในสภาวะธรรมตามกาล .40องศาแล้วววววว

 

เรื่องคึกฤทธิ์ป่วนโลกนั้นมีอยู่เยอะ .เรื่องใดไม่ได้วิสัชนาธรรมด้วยตนเอง .ก็ไม่อยากจะเอามาลงให้พันกันเพราะต่างกระแส .แต่เรื่องใดที่หลอมรวมได้ ก็จักมานำแสดงให้ทราบ แต่คิดว่าน่าจะเพียงพอมากแล้ว พอยกเพื่อนพรหมจรรย์ให้ออกจากอสัทธรรมได้แล้ว .เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายจริงๆ ที่จะต้องเห็นบุคคลผู้ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยบุคคลผู้นั้นคิดว่าตนเองนั้นทำถูกในทุกๆเรื่อง .แต่ไม่เคยและไม่ยอมปรับปรุง แก้ไขตนเอง แต่ก็ยังพล่ามอยู่นั่น พันกันไปมาในเรื่องเดิมๆ ยิ่งพันยิ่งยุ่งสางใยพันตนเองจนขยับไม่ได้ .ต่อให้มีหลายรัง .มันก็จะกลายเป็นรังร้าง

 

ข้าพเจ้าอ่านข้อความของท่านได้ระบายยิ้มและหัวเราะเป็นอย่างมากที่ทำให้ท่านเข้าใจผิด เพราะที่จริงแล้วข้าพเจ้าเพียงบอกท่านสุภาภรณ์ ที่ท่านจ่ายักษ์ช่วยเหลือข้าพเจ้าที่โพสเรื่องน้องหญิง ที่ทำให้ข้าพเจ้าสบายใจขึ้นเพราะข้าพเจ้าประสบอุปสรรคในด้านนี้เสมอมา ท่านจ่าเป็นพระโพธิสัตว์รู้อัธยาศัยคนอื่นได้ ท่านเลยช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ไปก่อน ท่านก็เลยรับกรรมไปด้วย ข้าพเจ้าก็เลยต้องช่วยเหลือท่านกลับคืนค่ะ

ที่จริงแล้วเราเพิ่งคุยกันเป็นครั้งแรกในโพสนี้ และท่านไม่เคยช่วยเหลืออะไรข้าพเจ้ามาก่อน ข้าพเจ้าแก้ไขให้แล้วนะคะ

 

อันนี้ที่ว่าเอาของปลอมไปปนกับของจริง นั่นเป็นเรื่องอะไรค่ะ มี 2 ประเด็น อีกประเด็นหนึ่งจะไม่ขอพูดถึง แต่ถ้าบอกมาเพื่อความชัดเจนจะเป็นคุณยิ่งค่ะ แต่ถ้าประเด็นสำคัญ เรื่อง สุญญตา ที่ข้าพเจ้าได้โพสไป ท่านบอกว่าท่านเป็นบุคคลธรรมดา ถ้าอย่างนั้นยังไม่เคยเห็นอย่าเพิ่งกล่าวว่าอะไรเลยนะค่ะ เพราะการที่จะพูดเรื่องนี้ได้ มิได้ใช้การตรรกะได้เลยค่ะ

 

ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของท่านที่ถ่อมตัวมากเกินไป และข้าพเจ้าเองก็มิได้สููงส่งอะไร ที่เราคุยกันในกระทู้นี้ท่านเป็นคน pm ไปถามข้าพเจ้าว่า ข้ามีอะไรพิเศษหรือ เปล่า ข้าพเจ้าก็ตอบกลับว่าไม่ทราบ แต่เรื่องนั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าทำเพราะอะไร มีหน้าที่ต้องทำเมื่อรู้แล้ว ก็แล้วแต่จะพิจารณาค่ะ ข้าพเจ้าก็ยังเป็นบุคคลธรรมดาอยู่ สงสัยตัวตนเองว่า เป็น....แล้วใช่ไหม แล้วบอกตัวเองว่า ยังไม่ใช่....ข้าพเจ้าก็ยังเป็นคนธรรมดาอยู่เช่นเดียวกันค่ะ

 

เราอย่าลืมกันค่ะว่า ธรรมนิพพานว่ายากก็จริง แต่ก็ไม่ใช่พูดกันจนยากไปไม่ถึง แต่เราก็ต้องบอกว่ามีทาง ขอให้ไปถูกทางตามที่พระพุทธองค์ตรัสบอกไว้ว่า ธรรมที่ทวนกระแสโลก กระแสอารมณ์ คือ ทางให้ถึงซึ่งนิพพาน ข้าพเจ้าเพียงอยากจะบอกว่า หากเราลองปฏิบัติดูตามที่พระพุทธองค์ตรัสดูในชั่วชีวิตนี้สักครั้งหรือยัง เมื่อเราเห็นแล้ว..นั่นคือ ความเที่ยงแท้ที่เราจะไปถึงอย่างแน่นอน

 

ขอบคุณที่แนะนำค่ะ นี่คือ อุปสรรคสำคัญที่ท่านกล่าวถึงไว้ ว่าต่อให้มีหลายรังมันก็จะป็นรังร้าง เพราะว่า อุปสรรคตัวนั้นก็คือ ความคิดความเห็นและความอ่านของข้าพเจ้านั่นเอง ที่เป็นอุปสรรคใหญ่ ที่ต้องพิจารณาว่าสิ่งนั้น คงไม่ใช่จริตของเราแล้วล่ะ เพราะไม่มีใครยอมรับเรื่องนี้ของข้าพเจ้าได้เลย และ ประเด็นสำคัญชอบนัก การเสียสละ เพื่อให้คนอื่นมีความสุขในเรื่องนี้ แต่ตัวเองจึงเป็นผู้พ่ายแพ้อยู่ร่ำไป สงสัยเป็นกรรมค่ะ

 

วันนี้อากาศร้อน เด็กออทิสติกงับมือชาวบ้าน ร้องไห้น้ำตาแตก มันร้อน จริงๆ ต้องเคาะหัวกันตั้งหลายทีกว่าจะเอาออกได้ โหดจริงๆ เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ระยะไกล

 

ช่วง15,00ปีต่อจากนี้มีปัญหาแน่ .จะเป็นเหมือนพุทธสมัยของพระมหาสมณะกัสสปะพุทธเจ้า ขอให้ศึกษาจาก *มหากัณหชาดก*สุนัขดำกินคน .พอจะเข้าใจความวุ่นวายบนสวรรค์แล้วล่ะ ยิ่งไปเจอพวกเดียร์ถีย์ลัทธิอื่นที่มีศีลจารวัตรเคร่งเครียดมากกว่า ปฎิบัติถึงกว่า สภาวะที่สมดุลจึงขาดเพราะสมณะและฆราวาธิกะเทวา ไม่สามารถได้เทียมเท่า ย่อมประดุจเหมือนศรที่ยิงออกมาแล้ว ถูกริบไปในกลางอากาศ หากมิได้ผู้เป็นธรรมทายาทรับธรรมสมบัติเข้าที่เข้าทาง ประดับหมู่กัลยาณมิตรอันสมบูรณ์สมควรแล้วไซร้ .ปัญหาใหญ่นี้จักเกิดเกินการณ์เยียวยาแน่ .เราต้องรู้ให้ทันสวรรค์ จับมือกับสวรรค์ให้ได้ ใครจะอาสา

 

+++ จ่าลองเทียบ ๆ กันดูกับอันนี้ดูนะ

http://palungjit.org/9272032-post703.html

http://palungjit.org/8956634-post11.html

+++ ต่างกันตรงที่ของผมเอา ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ ขึ้นก่อน

+++ จ่าลองเดินจิตตาม บทสวดของ "มหาปัฏฐานสูตร" ที่ขึ้นต้นด้วย "เหตุปัจจัยโย" ดูเอาก็แล้วกัน

+++ เมื่อสามารถเดินจิตถึง "อธิปะติปัยจัยโย" ได้เมื่อไร มหาปัฏฐานสูตร ทั้งสูตรก็จะแสดงตัวออกมาเอง (สติบริสุทธิ์ เป็นแก่นกลาง หรือ เป็นประธานแห่งขันธ์ทั้งหลาย) ยามใดที่จ่า รู้จักและทำได้ ตามอาการนี้ จ่าไม่ต้องไปตามหา จัตุปฏิสัมภิทาญาณ จากผู้อื่นหรอก เพราะ จัตุปฏิสัมภิทาญาณ เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่งของ "มหาปัฏฐาน เต็มสูตร" เท่านั้น

+++ การเดินจิตตาม "มหาปัฏฐานสูตร" นั้นผู้ที่ทำได้ต้องผ่าน "มหาสติปัฏฐาน 4" จนถึง "จุดกำเนิดแห่งธรรมารมณ์ อันเป็น อณู" มาก่อนแล้ว จากนั้นเมื่อเดินจิตย้อนกลับ (อนุโลม-ปฏิโลม) จึงรู้จักทั้งหมดได้เอง

+++ "มหาสติปัฏฐาน 4" เปรียบได้กับ ทางขาไป ส่วน "มหาปัฏฐานสูตร" เปรียบได้กับ ทางขากลับ ลองทำดูแล้วจะเห็นความสัมพันธ์จนเป็น "เนื้อเดียวกันกับ ปฏิจจะสมุปบาท" ได้เอง นะครับ

 

ท่านท้าวสักกะ กับมาตุลี หลักฐานเดิม