ขอคำแนะนำเรื่องการฝึกสมาธิครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Dewmaytung, 20 ตุลาคม 2015.

  1. Dewmaytung

    Dewmaytung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +20
    ในอดีต ผมฝึกอาณาปานสติ ตอนบวชเมื่อสี่ปีที่แล้ว ผมใช้ภาวนา พุธ โธ ตามลมหายใจ เข้าออก เมื่อจิตสงบ จิตจะละคำภาวนา พุธ โธ มาตั้งมั่นกับลมหายใจแทน เมื่อตั้งมั่นกับลมหายใจ ลมหายใจจะแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนดับไปไม่มีลมหายใจ เหลือแต่ผู้รู้ และจิตที่รวมเป็นหนึ่งที่หว่างคิ้ว เป็นเหมือนก้อนสว่างขาวนวล เป็นอารมนิ่งเฉย ไม่สข ไม่ทุกข์ สติแนบสนิทกับสมาธิ ผมติดอยู่กับอารมณ์นี้มี 4 ปี ถึงบ้างไม่ถึงบ้าง ตามแต่สภาพร่างกาย (หลังจากทำงาน)
    เมื่อวานผมลองไม่กำหนดลมหายใจ แต่เอาจิตมาวางไว้ที่ความสงบ ที่หว่างคิ้ว วางไว้เฉยๆ เมื่อลมหายใจดับ กายดับ มันเกิดประสบการณ์ใหม่ จิตที่เคยรวมเป็นหนึ่งที่หว่าง คิ้ว มันขยายกลายเป็นทั้งจักรวาล เวิ้ง ว้าง กว้างใหญ่ อารมณ์ตอนนั้น คือ ใช้ความเวิ้ง ว้าง กว้างใหญ่ของจักรวาลเป็นอารมณ์ วางเฉยไม่สุข ไม่ทุกข์ อยู่กับความเวิ้ง ว้างนั่น
    เสมือนว่าจักรวาล คือ เรา เรา คือ จักรวาล มันเกิดขึ้นเองโดยที่ผมไม่ได้กำหนด
    อารมณ์ เหมือนกับว่า จักรวาล ดวงดาวนับๆ ล้านดวงเป็นส่วนหนึ่งของเรา เราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เรา คือ จักรวาลอันเวิ้ง ว้าง จักรวาลอยู่ในตัวเรา
    องค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นในจิตผม คือ ตัวเราเกิดจากจักรวาล เมื่อเราดับสูญเราจะไปรวมกับจักรวาล จักรวาล คือ ตัวเรา เรา คือ จักรวาล
    อยากทราบว่า อาการที่เกิดขึ้น คือ อะไรครับ ผมปฏิบัติถูกรึป่าวครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2015
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สังเกต เข้ามาตรงตอนท้ายเลย

    สังเกต " ความสงสัยว่าปฏิบัติถูกหรือเปล่า "

    สมาธิเกิดยอดเยี่ยมแค่ไหน พิจารณาเข้ามาเลย ก็ สงสัยนิวรณ์ยังกุมจิตอยู่เนี่ยะ เอาอะไร
    มาเป็นปัจจัยว่า " จิตเป็นสมาธิ "

    ยก ความสงสัย ที่คุณเองก็ทราบอยู่ เห็นอยู่ ใช้มันอยู่ ให้มัน จูงจมูกอยู่ ให้มัน สนตพาย
    ลงตรงหว่างคิ้ว ขมวดเป็นปมถามขึ้นมาว่า ที่ทำอยู่ถูกหรือเปล่า

    ยกขึ้นทำการเห็น โดยไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องรำคาญ ให้ ยกเป็นเพียง สิ่งถูกรู้ถูกดู

    ลงมือปฏิบัติเมื่อไหร่ มัน ขมวดตรงหว่างคิ้วทันที โดยไม่ต้องจงใจ เจตนา เพราะมัน "ตกร่อง"

    เกิด ผัสสะ เกิดอยาตนะ เข้าไปรับรู้ อาการขมวด อาการเวิ้งว้าง ใดๆ เพราะ มันเป็น ภพ ที่เกิด
    ขึ้นมาเอง เพราะ จิตตกร่อง

    โดยที่ ความสงสัยก็ยังมีอยู่ ทั้งก่อนเข้า และ หลังออกจากสมาธิอะไรนั่น


    ยกเพื่ออะไร

    เพื่อ กำหนดรู้ความเกิดดับของ นิวรณ์

    กำหนดรู้ ความเกิดดับของ นิวรณ์ แล้วได้อะไร

    จะได้ รับรู้ถึง สมาธิพุทธศาสนา อยู่เหนือกว่า สมาธิบ้านๆ อย่างไร

    หาก สามารถพ้น นิวรณ์ ได้อย่างชาวพุทธ สมาธิธรรมที่ พุทธ กล่าวว่า เหนือกว่า ฌาณ
    จะค่อยๆ " อ๋อ " มัน ฟ้ากับเหว จังซี้ ...คนสวนมาก ซี้แหงแก๋ นิวรณ์เกิดไม่ได้กำหนดรู้
    แล้วปล่อยให้ เทวดา องค์มัธยม องค์กระโถน หลอกรับประทาน มาช้านาน



    ปล. สมาธิพุทธ เวลาเจอ จะไม่ต้องมีการ วางจิต ทำท่า ตั้งท่า คลำทาง ...ไม่มีไป ไม่มีมา
    พอน้อมระลึกประกอบด้วย ไตรลักษณ์ญาณสัมปยุต มันจะอยู่ใน ภูมิจิตปรกติของมนุษย์
    โดยมี ภพมนุษย์เป็นวิบากที่ต้องแบกเอาไว้เพื่อกำหนดรู้ " กาย เวทนา จิต ธรรม "


    ปล2. อ่านดีๆนะฮับ ไม่ได้ห้ามทำ ห้ามประกอบ ...ให้ประกอบอย่างเดิมทุกประการ เพียงแต่
    ตอนออกมา ให้ยก "สังเกตุ" สภาวะธรรม "สงสัย" เพิ่มเติม ....การจะเห็น สมาธิพุทธได้
    มันก็ต้อง "สุดโลก" คือ ประกอบธรรมแบบโลกๆที่บัณฑิตสรรเสริญจนมันสุด หาทางไปต่อ
    ไม่ได้ แบบนั้นแหละ ความสงสัยมันจึงจะมี ปัจจัยให้ปรากฏว่า มีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2015
  3. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    เพกาซัส แฟนตาซี โซว ยูเมะดะเควา...
    ข้างบนล้อเล่นนะครับ(เซนต์ เซย่า)
    ฌาน4ครับ(ถ้าไม่หายใจ)
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ของเก่าไม่เกี่ยวไม่พูดถึงเอาปัจจุบันละกันครับ

    เป็นปิติ + ฟุ้งซ่าน ครับ ไอ้อาการ มันขยาย มันขยาย อะไรพวกนี้

    และเพราะว่า

    ขาดคำภาวนาครับ เพราะลืมคำภาวนา เลยหลุดฟุ้งซ่าน

    แนะนำว่า ให้กลับไปภาวนากลับไปคำภาวนา ครับ

    ถ้ามีสติ จดจ่ออยู่กับคำภาวนา จิตก็จะได้ จิตมันก็จะไม่เผลอส่งจิตออก ไปจับสิ่งอื่นนอกกรรมฐานที่ปฏิบัตินั้นเองครับ

    อย่าลืมนะครับว่า กรรมฐาน40ห้อง เราปฏิบัติในกรรมฐานกองไหน ผลของมัน ก็ย่อมต้องตรงกับผลการปฏิบัติในกรรมฐานครับ

    เราปฏิบัติภาวนาเพื่อผลของกรรมฐานกองนั้นๆ ครับ ไม่ใช่ไปจับอาการนอกกรรมฐาน อาการอื่นๆที่เกิดนั้นเอง ถ้าเผลอ ฟุ้งซ่าน เผลอสติ จะหลุดไปส่งจิตออกไปจับสิ่งอื่นมาแทนนั้นเอง

    เพราะฉนั้น ทำใจให้สงบ กลับเข้ามาในจิต ในใจของตัวเอง มีสติอยู่กับกรรมฐานที่เราปฏิบัติ ให้จิตสงบ เป็นสมาธิ ครับ ไม่เผลอฟุ้งซ่านจับอารมณ์อื่นๆที่เข้ามา

    ครูบาอาจารย์ก็สอนไว้ นิมิตต่างๆให้ละ ถ้าไม่ได้เกี่ยวของกับกรรมฐาน อย่าไปฟุ้งซ่านกับพวกนิมิตต่างๆเดี่ยว หลงฟุ้งซ่าน ได้ครับ ฉนั้น รู้นิมิตเห็นอะไรมา ก็ให้วางไว้ ปล่อยวาง ไม่ต้องไปสนใจ ครับ

    ปฏิบัติครั้งต่อไป อย่าไปเก็บเอามาเป็นอารมณ์ ขวางผลการปฏิบัติ

    ปฏิบัติครั้งต่อไป รอบหน้าก็ให้มีคำภาวนา จดจ่ออยู่กับคำภาวนา อย่าให้หลุดจากคำภาวนาในกรรมฐานที่ปฏิบัติ แล้วอาการพวกนี้ก็จะหายไปเอง ถ้าไม่เผลอลืมคำภาวนา เผลอส่งจิตออก ฟุ้งซ่าน ครับ

    เพราะถ้า ไม่มีคำภาวนา ลืมคำภาวนา ก็ไม่มีหลักให้กลับมายึด เวลาเผลอสติ ก็จะไม่มีอะไรให้ยึดจับเวลาภาวนา ครับ เพราะยังไม่ชำนาญในการปฏิบัติ
    .
    .
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2015
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ภาวะแบบนี้ที่พี่ศรีใช้คำว่าเคยเป็นมาก่อน
    จะเรียกในลักษณะอวกาศธาตุอวกาศธรรมได้เหมือนกัน เป็นการชิมลางของความว่างชนิดหนึ่ง
    ความว่างแบบนี้ยังไม่หมดตัวอัตตา
    แต่จะเป็นบาทฐานที่สามารถไปสู่ความว่างชนิดที่
    ว่างจากตัวตน ความชนิดนี้ไม่เอาเรื่องของใครมาคิด
    มีจิตที่เป็นอิสระ
     
  6. Dewmaytung

    Dewmaytung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +20
    เรียน พี่ศรี อารมณ์ สมาธิแบบนี้ มันเป็นความก้าวหน้าหรือก้าวถ่อยหลังครับ
    ก่อนหน้าใช้จิตที่มีรูป (สว่างขาวนวล) วางอุเบกขา ตอนหลังใช้ความเวิ้ง ว้าง กว้างใหญ่เป็นที่วางอุเบกขา
    แต่ทั้งหมดนี้มันเป็นสิ่งที่จิตดำเนินไปเอง ไม่ได้บังคับหรือกำหนด ที่ต้องการ คือ ความสงบในสมาธิครับ
     
  7. Taksagron

    Taksagron Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +36
    ต่อยอดด้วยวิปัสนาต่อเลยครับ
     
  8. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    ไม่ผิด แต่เลย ป้าย

    ทำไปเรื่อยๆ เดว ความละเอียด มันปรับตัวของมันเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2015
  9. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ฌาน5ครับ
    "กายดับ มันเกิดประสบการณ์ใหม่ จิตที่เคยรวมเป็นหนึ่งที่หว่าง คิ้ว มันขยายกลายเป็นทั้งจักรวาล เวิ้ง ว้าง กว้างใหญ่ อารมณ์ตอนนั้น คือ ใช้ความเวิ้ง ว้าง กว้างใหญ่ของจักรวาลเป็นอารมณ์ วางเฉยไม่สุข ไม่ทุกข์ อยู่กับความเวิ้ง ว้างนั่น" เป็นสภาวะของอากาสานัยจายนฌาน
    ที่จริงผมได้พูดหลายครั้งแล้ว การปฏิบัติที่ถูกต้องไม่ต้องพิจารณา ซึ่งก็ต่างจากครูบาอาจารย์ท่านอื่นว่าไว้
    การนิ่งไม่ใช่จะไม่รู้ ที่จริงรู้มากกว่าการพิจารณาซะอีก
    แต่อาณาปานสติผมได้แสดงไว้แล้วจะสมบูรณ์แค่ฌาน4 หากขึ้นฌาน5 หรือฌาน6 ก็จะติดเพียงเท่านี้ ไปต่อไม่ได้ เพราะไม่มีรูป รูปมันดับ
    หากต้องการไปต่อให้ทำฌานสมาบัติ ให้ลดตำแหน่งจิตที่รวมเป็นหนึ่งที่หว่างคิ้วเป็นระหว่างตาทั้งสองข้าง ที่จุดดั้งจมูกหัก
    มีหลายเรื่องผมได้โพสต์ไปแล้ว หากสนใจเรื่องฌานสมาบัติก็สอบถามได้
    ขอย้ำธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือฌานสมาบัติ
    ที่ทำมาถูกวิธีแล้วแต่ไม่ถูกจุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2015
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ปกติลมหายใจจะแผ่วเบาไปเรื่อย ๆ จนหยุดหายใจทางจมูก แล้วมาหายใจทาง "รูขุมขน" แทน จากนั้นจะละเอียดไปเรื่อย ๆ จนเปลี่ยนจากการหายใจทางรูขุมขน มาเป็นการ "ซึม เข้า-ออก ทางผิวหนัง" แทนเป็นแบบ osmosis และจะละเอียดลงไปอีก จนหยุด osmosis แล้วกลายมาเป็น galaxy หมุนควงอยู่ภายในกาย แล้วช้าลงเรื่อย ๆ ในยามที่ "ลมหยุดหมุนสนิท" ยามนั้น "จิตจะอยู่ในร่างไม่ได้" มันจะ "ถอดออกจากร่าง" แบบเดียวกับ ชักดาบออกจากฝัก

    +++ ใน step นี้ของคุณที่เรียกว่า "เหลือแต่ผู้รู้ และจิตที่รวมเป็นหนึ่งที่หว่างคิ้ว" นั้น อาการจริง ๆ กล่าวได้ดังนี้ คือ "เหลือแต่การดู ที่จิตจดจ่อตรงหว่างคิ้ว จนไม่รู้ตัว จึงเหลือแต่อาการที่ดูอยู่เท่านั้น" และคุณ "ติดตรงนี้ 4 ปี"

    +++ คุณลองเทียบอาการในขณะที่ "เป็น" อยู่ในขณะนั้นได้กับกระทู้นี้ http://palungjit.org/9801776-post31.html

    +++ อาการที่เกิดขึ้น คือ อาการที่เข้าสู่ "กาลจักรสูตร" เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในส่วนนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ "สาปสูญ" ไปจากการถ่ายทอดในภาคภาษาไทย จนกลายเป็นเรื่องอจินไตยไปแล้ว

    +++ ผมเคยโพสท์ไว้ว่ากาลเวลาใน ศาสนาพุทธ นั้นเป็นเรื่องของ "กาลอวกาศ" เช่น กัลป์ กัปป มหากัปป และ อสงไขย ต่าง ๆ เป็นต้น

    +++ ในยามใดที่คุณเข้าสู่ อาการจักรวาลนี้ สิ่งแรกที่คุณสมควรตรวจสอบก่อนก็คือ "แม้ว่าไม่มีกาย แต่ ความเป็นตน ยังมีเหลืออยู่หรือไม่"

    +++ และ "ความเป็นตน" นั้นมีความ "เบา-โล่ง แตกต่างกันไป" ตรงนี้ผมเรียกมันว่า "เนื้อ มันต่างกัน" ไปตามสภาพของอวกาศ เรียกได้ว่า สามารถตรวจ space anomaly ได้ โดยการ เข้าไปใกล้ ๆ Galaxy ก็จะรู้ได้ว่า "เนื้อมันแน่นมากขึ้น" และหาก ถอยห่าง ออกจาก galaxy เนื้อมันจะ เจือจาง มากขึ้น

    +++ และใช้อาการนี้ เป็นการตรวจสอบว่า เนื้อนั้น ๆ เป็น "เนื้ออวกาศ หรือ เนื้อของความเป็นตน" ได้ไม่ยาก

    +++ หากคุณเกิดอาการ "หลงอวกาศ" เมื่อไร ก็ให้รีบ "กลับเข้าสู่หลุมดำใน galaxy ที่คุณออกมา" โดยยังไม่ต้องใส่ใจอะไรมาก แล้วคุณจะ "ถอนจิต" กลับสู่กายเนื้อได้เอง

    +++ เรื่องของ กาลจักร ผมโพสท์เอาไว้คร่าว ๆ ที่นี่ http://palungjit.org/9804616-post6.html

    +++ หากคุณสนใจที่จะฝึกผ่านทางด้าน "กาลจักร" ตรงนี้แล้ว ก็ให้คุณ "PM หาคุณ อินทรบุตร" ได้โดยตรง เพราะในช่วงนี้มีนักเรียนบางส่วนกำลัง ผ่านมาทางด้าน กาลจักร อยู่เหมือนกัน

    +++ คำว่า "จักร" นั้นเป็นอาการของ "ใบที่หมุนวน" เช่น อาการของ ใบจักร ใบจักรกล ใบเฟือง ตัว galaxy ก็เป็น ใบจักรเช่นกัน กาลจักร คือ กาลเวลาที่หมุนประดุจจักร วัฏจักร คือ วัฏฏะสังสารที่หมุนประดุจจักร อีกประการหนึ่งคือ จักรวาฬ คือ จักรขนาดมหึมา (วาฬ)

    +++ ในเรื่องของ กาลจักร นี้ ในยุคนี้จัดเป็นเรื่อง อจินไตย ได้ แต่หากนับกันในเรื่องของ สติ สมาธิ ปัญญา แล้ว ในส่วนนี้เป็นส่วนของ "ปัญญา" ในการ "ออกจากวัฏฏะสังสาร" ได้อีกทางหนึ่ง เมื่อไปถึง "เนื้อสุดท้าย" ที่แม้แต่ "อณู" ก็ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ ก็อาจกล่าวได้ว่า "จบกาลจักรสูตร" ได้แล้ว และเป็นส่วนหนึ่งของ "อสังขตะธรรม" นั่นเองนะครับ
     
  11. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ที่จุดหนึ่งที่พิจรณา จักรวาลว่างเป็นอนันต์ ขอบเขตที่ขยายออก ที่นอกข้างนั้นคือสมมติ ข้างในคือวิมุติ ขยายออกแค่ไหนก็แค่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้พิจรณา ที่เวลาว่างเป็นอนันต์ ไม่มีอะไรเลย นั่นคือนาม นามเกิดก่อน ต่อมาจึงเกิดรูป ที่ว่ามาจากไหนนั้นไม่รู้ สักกายทิฏฐิคือจิตที่ไปถือว่าเรา ของเรา ของของเรา ศีล5 ควรเจตนาไม่ละเมิด ให้มนต์ต่อสู้นะ เป็นทั้งกันและแก้ ภาวนาในใจหลายๆจบว่า " นะ พา ติ " หรือ " เว " ลากเสียงยาวๆ ในการปฏิบัติธรรมแบ่งเงินทำบุญบ้างนะ ทำสม่ำเสมอตลอดชีวิต เป็นบุญเป็นกุศลติดตามเราไปในชาติหน้า ก่อนนอนอย่าขี้เกียจทำสมาธิ ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกหรอก เอาใจเป็นตัวกำหนด ต้องต่อสู้กับเวทนานะ ใช้คำบริกรรมหรือองค์สมาธิให้นั่งนานๆ การบรรลุธรรมขั้นต่างๆดูตามตำราน่ะแหละ ตามนั้น
     
  12. Dewmaytung

    Dewmaytung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +20
    ขอขอบคุณทุกท่านมากๆ ที่ให้ความรู้ครับ
     
  13. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ในการเป็นขึ้นภายหลังเพ่งรูปเป็นอารมณ์ต่อมา
    เป็นความก้าวหน้าไปในอรูปฌาน
    โดยกำหนดเอาอากาศไม่มีที่สิ้นสุด
    มีความว่างเป็นสมบัติ ถึงจะว่างแต่ก็ยัง
    พบความเป็นดวงสว่าง ขณะนั้นตัวตนไม่ปรากฏ
    แต่ถ้าท่านดับรูปนามเหล่านี้ได้หมดท่านจะพบ
    ความเบาสบายคลายโล่งโปร่งเสมือนไม่ได้แบก
    รับภาระหนักอะไรไว้ทั้งสิ้น รู้ถึงสภาวะอิสระจาก
    ความปรุงแต่งทั้งหมด อยู่กับตัวรู้แต่ไม่สำคัญกับตัวรู้
    สรรพสิ่งจึงดับหมดไม่เหลือในความรู้สึกว่าสิ่งนั้นมีสิ่งนี้จึงมี
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241

    นี่ก็ระวัง นะเจ้าของกระทู้

    พระศรีอารย์เบอร์5 ศาสดานอกคอก ผุดกลางศาสนา สำเร็นอรหันต์ เป็นสัพพัญญู
    สอน สมาธิ แล้ว ความที่ ทำสมาธิไม่เป็น มันก็จะ ถูก ศาสดากุญแจ(key)ครอก มันหลอกเอา ง่ายๆ



    อากาสาวิญญาตนะ ไป เปิดพระสูตรสอบทานได้เลย เวลาจิตไป รับรู้
    อากาสาวิญญาตนะ ไม่มีหลอก จะเกิด ความเห็นไปว่า การรับรู้หายไป

    ตรงกันข้าม !!

    มันจะเกิด ความเห็นชัดเจนว่า ที่มาอยู่จุดๆนี้ได้ เพราะ มันมี " อาการรู้ "
    เต็มไปหมด หาทางออกไม่เจอ มีแต่ อัตตาที่หิวกระหายการรู้

    ทำให้ สามารถยกกำหนด วิญญาณัญจายตนะ ได้เป็น ลำดับกรรมฐานถัดไป

    ซึ่ง พอไปรู้ วิญญาณัญจายตนะ ก็จะเห็นชัดเข้าไปอีกว่า อัตตาเต็มเบอร์
    เรอหาทางออกยิ่งไม่เจอ ก็จะเกิด วิภวตัณหาแรงกล้า ทะลึ่งไปเพิกวิญญาณ กลายเป็น
    อากิญจัญญายตนะ โมหะมันครอบเข้าไปอีกละเอียดขึ้นไป แล้วก็จะยังเห็น
    ว่า ยังเสียมันก็ยังมี จิตส่งออกทำหน้าที่หมายรู้ เพราะเวทนาจิตมันยังทำงาน ก็จะ
    ทะลึ่งต่ออีกหนึ่งดอก หลังจากนั้นจะไม่มีอะไรยิ่งกว่านี้ หากไม่ภาวนาด้วยปัญญา
    สมาธิพุทธประกอบ ทำอานาปานสติหายละก้อ มะอึง ถูก พระศรีอารย์เบอร์5
    หลอกรับประทานแน่นอน


    ตายเปล่าจาก มรรคผล กลายเป็น พวกบ้า จานลาย เต็มตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2015
  15. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ไม่เข้าท่าแล้วนักเผยแผร่ศาสนาที่ชาญฉลาดจะไม่มุ่ง
    โจมตีใครหากยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง ไปข้ามโคตรภูญาณ
    ให้ได้ก่อนดีไหมแล้วค่อยมาตัดสินผมจากภายนอก
    ศาสตร์ของความหลุดพ้น ยิ่งทำตัวใหญ่โตยิ่งทำให้
    จิตใจคับแคบ จิตรั่วต่อให้คุณเรียบจนจบดร.ก็ไม่เข้าใจ
    ให้คนอ่านเป็นผู้ตัดสินใจเอง
    คนที่เผยแพร่ศาสนาย่อมเข้าข้างกิเลสตัวเอง
     
  16. Dewmaytung

    Dewmaytung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +20
    วันนี้โชคดีมีโอกาสนำอารมณ์สมาธิที่เกิดขึ้นไปเรียนถามพ่อแม่ครูจารย์สุชาติ อภิชาโต เสาหลักพระกรรมฐาน ท่านเมตตาตอบว่า เป็นพัฒนาขึ้นของสมาธิ เป็นสมาธิที่ลึกขึ้น ให้ปฏิบัติต่อไปมาถูกทางแล้ว การได้อารมณ์และเห็นความเวิ้ง ว้างของจักรวาล เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติจะเห็นเอง ยังไม่ถึงก็ไม่เห็น พ่อแม่ครูจารย์ได้แก้ปัญหาให้ผมหมดแล้วครับ
     
  17. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ไม่ถือว่าเรา เป็นเรา เป็นของเรา ของเรา ของของเรา ไม่ถือว่าเรามี เราเป็น เวลาทำสมาธิพิจรณาทุกขเวทนาว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่ตัวตนเราเขา สักแต่เป็นเวทนา เป็นนามธรรม มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีสักกายทิฏฐิทางการเห็น เห็นคือใจ อะไรที่เล็ก บ้างก็ได้หรือปัดออก หรือละก็ได้ ตามก็ได้ ไม่ตามก็ได้ รักษาน้ำใจหรือไม่รักษาก็ได้ ผู้บรรลุธรรมด้วยกันจะไม่รู้สึกกระทบ ไม่บรรลุกระทบ สักกายทิฏฐิดูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือเช่นการไหวกาย อานาปานสติช่วยได้ เป็นผู้ปฏิบัติธรรมอย่ากินเหล้า เพลาๆลงลดลง บุหรี่พอได้ ศีลดูที่เจตนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...