ช้างเผือกในป่าอีสาน หลวงตาสมหมาย วัดป่าสันติกาวาส คำสอน/ประสบการณ์/วัตถุมงคล/ (ช่างชิต)

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ช่างชิต, 21 ตุลาคม 2013.

  1. ฌานกร

    ฌานกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,433
    ค่าพลัง:
    +14,651

    เริ่มใจหายไงไม่รู้ครับ หลวงปู่ท่านมีขันติสุดยอดจริงๆ
     
  2. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    หายไปนานเลยนะครับ คุณฌานนนนนน
     
  3. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ......บทความดีๆของหลวงพ่อพุธ(ต่อ)......
    อย่าเปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาไสยศาสตร์ (อบรมพระ)

    "ทีนี้ถ้าหากว่าอย่างพวกเราไม่มีการศึกษา เรียนปริยัติก็ไม่เอา ภาวนาก็ไม่เอาไหน เมื่ออายุพรรษามันมากขึ้น องค์นั้นก็ถูกเขาเรียกอาจารย์ องค์นี้ก็อาจารย์ หนักๆ เข้าใครๆ เขาก็ยกย่องให้เป็นอาจารย์ เอ เรานี่เอาตัวไม่รอดเสียแล้ว จิตใจมันก็เขว แล้วก็ไปหาเรียนวิชาอาคมเล็กๆ น้อยๆ มนต์หนังเหนียว มนต์เสน่ห์มหานิยม เอามาเผยแพร่ แทนที่จะเผยแพร่ธรรมะ เลยไปเผยแพร่สิ่งอื่นไป เราก็เลยพากันเปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาไสยศาสตร์บ้าง เป็นศาสนาผีบ้าง เป็นศาสนาเทวดาบ้างทีนี้ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายผู้ที่เขายังหลงอยู่ พระบางพวก บางฝ่ายก็พยายามที่จะแก้ แก้ความเข้าใจผิดของชาวบ้านให้เข้าใจถูก แต่พระอีกพวกหนึ่งก็ยังเอาวิชาเหล่านั้นมาเป็นเครื่องมือหาอยู่หากิน มันก็แก้ไม่ไหว

    ผมภาวนาพุทโธ พุทโธ มาตั้งแต่อายุ ๑๔ ปี ถึงป่านนี้หนังผมไม่เหนียวเลย แต่บางคนเขาเอาคาถาอาคมมาปลุกเสกเข้า โอมพระสะเล็งเง็ง มือกูแข็งปานฟ้า มือกูฆ่าเหล็กตาย มือกูบายคมเหล็กไปพร้อม ปากกูฮ้อนปานไฟ ตีนกูใสปานกำแพงเพชร มือกูบาย ๗ หัวพญานาค ปากกูคาบพระจันทร์ ตีนกูยันพระอาทิตย์ สะหัสธงคงสะหัส เป่าปากพรวดลงไป ๗ บาท เคี้ยวกรุ๊บๆๆ กลืนลงไป ฟันแทงไม่เข้า ชาวบ้านเห็น โอ๊ย อัศจรรย์ พระองค์นี้ มีญาณ มีสมาธิ วิเศษวิโส ไปเที่ยวหาหลอกลวงให้เขาหลงๆๆ เป็นอยู่อย่างงั้น

    ต้องระวัง สักกาโรกาปุริสัง หันติ ลาภและสักการะย่อมฆ่าบุรุษโง่ ในเมื่อเราโง่ไม่ศึกษาธรรมวินัยให้เข้าอกเข้าใจดี เรากลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ หากินไม่ถูกทาง บางทีไปเรียนวิชาอาคมเรียกภูตเรียกวิญญาณเขา เอาชื่อเขามาเขียนใส่กระดาษ เอาควั่นเป็นไส้เทียน แล้วก็นั่งบริกรรมภาวนาเรียกจิตเรียกใจเขาอยู่อย่างนั้นแหละ เขียนชื่อนาง ก. ลงไป นาย ก. ลงไป ภาวนาภัคคินิเม เอหิ ภัคคินิเม เอหิ ภัคคินิเม เอหิ เอ้า เรียกภูต เรียกวิญญาณให้เขาเกิดความเลื่อมใส ให้เขาเอาทรัพย์สินเงินทองมาบำรุงบำเรอ เราไปทำวิชาอาคมให้คนอื่นหลงใหลหลงเชื่อ มันก็มีค่าเท่ากันกับการขโมยจี้ปล้น

    ทีนี้เราแสวงหาผลประโยชน์อันใดอันผิดกฎหมายของบ้านของเมือง เราก็ทำลายตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว เพราะฉะนั้น ทั้งหลายเหล่านี้ต้องพิจารณา อย่าให้อามิสมันทำให้เราเสียผู้เสียคน พระทำผิดวินัยโดยไม่รู้สึกตัว เป็นอาบัติปาราชิกถมเถไป ไปหาผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย กฎหมายอันใดที่เขาออกมาแล้ว เขาตราออกมา มีปรับมีไหม มีจำคุก มีปรับไหมตั้งแต่บาทหนึ่งขึ้นไป ๕ มาสกขึ้นไป เราไปละเมิดกฎหมายอันนั้น มันก็ล่อแหลมต่อความผิดปาราชิก"

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

    ..............................................

    ‪#‎12ปีที่แล้วหลังจากสึกใหม่ๆ‬
    .
    "หลวงตาครับ ออยขอคาถาดีๆขลังๆได้ไหมครับ"
    .
    "ได้สิ "พุทโธ" ท่องให้ขึ้นใจเลยนะ"
    .
    "สั้นๆแค่นี้เองหราครับ??? ไม่มีคาถาแบบอื่นเลยหราหลวงตา"
    .
    "แค่นี้ละ คาถาอื่นไม่ดีสู้ พุทโธ ขอให้ภาวนาให้มั่นเถอะ ผีก็กลัว หายตัวก็ได้ ดีไหม!!"
    .
    "เอ่ออออ......ก็ดีครับ....^^"
    .
    ตอนนั้นบอกตรงๆว่าไม่มั่นใจเลย จนผ่านมานับสิบปีจึงรู้ว่านี้ละ
    "สุดยอดของดีจริงๆ" วันนี้มาอ่านเจอบทความของหลวงพ่อพุธอีกต้องบอกว่า
    พวกเราทุกท่านเชิญมาท่อง "คาถาพระพุทธเจ้ากัน" เถอะครับ ^^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .....สวัสดีครับทุกท่านช่างชิตเอาอีกหนึ่งภาพประทับใจมาฝากทุกท่านเช้าวันนี้ ฉลองทีมชาติไทยชนะเวียดนาม 6-0 ในฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนอายุ 19 ปี รูปอันทรงคุณค่านี้ต้องขอมอบเครดิตให้กับ
    #‎อาจารย์ชาญชัย‬ ด้วยนะครับ ช่างชิตขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
    ......ภาพแห่งความประทับใจที่ว่านี้คือ ภาพหลวงตาท่านปรนนิบัตินวดถวายหลวงปู่จันทาพระอริยะเจ้าลูกศิษย์หลวงปู่ขาวสมัยที่หวงปู่ท่านยังทรงสังขารอยู่ ดูจากภาพแล้วคงสะท้อนแทนความหมายแบบไม่ต้องบรรยายได้เลยนะครับ อาจารย์ชาญชัยเมตตาเล่าให้ช่างชิตฟังว่า
    .
    "วันนั้นหลวงตาไปคารวะเยี่ยมหลวงปู่จันทา พอหลวงตาท่านกราบเสร็จท่านก็ลงไปนวดหลวงปู่ หลวงปู่จันทาดูจากสีหน้าท่านๆตื้นตันใจมากๆ เพราะหลวงตาเวลานั้นก็ 40 กว่าพรรษาแล้ว เป็นพระเถระผู้ใหญ่ไม่ใช่พระพรรษาน้อยๆ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ แต่หลวงตากับไม่ถือตัวและยังนอบน้อมต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ตามอาวุโสภันเต"
    .
    ....ช่างชิตได้ฟังก็รู้สึกปิติและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก โชคดีมากมายที่ชาตินี้มีวาสนามีโอกาสรับใช้เป็นลูกศิษย์หลวงตา อาจารย์ชาญชัยท่านยังบอกกับช่างชิตอีกว่า ได้คุยกับหลวงตาถึงบรรยากาศวันนั้น หลวงตาเมตตาบอกอาจารย์ชาญชัยด้วยรอยยิ้มว่า.
    .
    "เฮาเข่าไปนวดเพิ่น เพิ่นสิไห่ตั้ว" .....
    (แปลเอานะครับจะได้อารมณ์).....^o^
    .
    ....นึกภาพตามนะ พอหลวงตาพูดเสร็จ ท่านก็คงจะยิ้มตามสไตล์ท่าน ^-^ นี้ละครับ หลวงตาสมหมายครูบบาอาจารย์ของพวกเรา เขียนไปช่างชิตยังยิ้มไปเลย ^.^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(35).........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 55
    (พ.ศ. 2533 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ในพรรษานี้สุขภาพของหลวงปู่ได้อ่อนแรงลงไปมาก แต่ท่านก็เมตตาต้อนรับลูกศิษย์ลูกหาที่มาจากที่ต่างๆ และขอความเมตตาในเรื่องต่างๆ แล้วแต่ใครจะมีปัญหาอะไรมา ในที่สุดท่านก็จะเตือนให้ประพฤติธรรม เป็นผู้มีกาย วาจา ใจ อยู่ในขอบเขตแห่งศีลธรรม แล้วธรรมก็จะรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว มีอบายภูมิเป็นต้น ในวันพระ 8 ค่ำ 14-15 ค่ำ ท่านก็ยังเมตตาลงนำไหว้พระสวดมนต์ และอบรมจิตภาวนาอยู่มิได้ขาด
    .
    เป็นประธานในงานผูกพัทธสีมาอุโบสถวัดป่าโนนม่วง
    .
    วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2534 ได้มีพิธีผูกพัทธสีมาตัดลูกนิมิตอุโบสถวัดป่าโนนม่วง บ้านโนนม่วงโคกใหญ่ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี ถึงแม้หลวงปู่ท่านจะไม่แข็งแรง เพราะสังขารร่วงโรยและอาพาธเบียดเบียน ท่านก็ยังเมตตาไปเป็นประธานในครั้งนี้ จนสำเร็จลุล่วงไป และท่านยังได้เมตตาอนุญาตให้ทำเหรียญรูปของท่านรุ่น 2 ให้แจกในงานนี้ด้วย จำนวน 10,000 เหรียญ นับว่าเป็นความเมตตาต่อศิษยานุศิษย์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง
    .
    พรรษาที่ 56
    (พ.ศ. 2534 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ในพรรษานี้หลวงปู่ยังคงเมตตาต้อนรับลูกศิษย์ลูกหาซึ่งมาจากที่ต่างๆ ซึ่งใกล้และไกล นับวันเพิ่มมากขึ้น บางวันทั้งตอนเช้า กลางวัน และตอนเย็น หลวงปู่ท่านให้ทั้งวัตถุธรรม ให้ทั้งธรรมะ บางคนมาหาท่านแล้วบอกว่าไม่สบายมีอาการอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้ายาที่ท่านมี ท่านก็ให้ไป ถ้าไม่มีท่านก็บอกให้เอาต้นไม้ชนิดนั้นชนิดนี้มาต้มกิน ฝนกิน เพราะหลวงปู่ท่านชำนาญทางสมุนไพร บางคนก็บอกว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับ อยากได้น้ำมนต์ อยากได้ด้ายผูกข้อมือ ท่านก็ทำให้ บางวันท่านนั่งทำน้ำมนต์ทำฝ้ายผูกข้อมือ ตั้งแต่ฉันเช้าเสร็จจนถึงบ่ายโมง ผู้เขียนเคยกราบเรียนท่านว่า "หลวงปู่ บางวันฝ้ายผูกข้อมือมันมาก หลวงปู่จับทำทีละเส้นมันไม่เสร็จเร็ว หลวงปู่จับรวมกันเป่าแล้วก็เอาให้ไปเลย จะได้เสร็จเร็วๆ" หลวงปู่ท่านตอบว่า "ถ้าทำไม่ดีแล้วจะทำไปทำไม ถ้าทำก็ต้องทำให้ดี" แล้วหลวงปู่ก็ทำต่อไปอย่างเยือกเย็น คนที่อยากได้ก็นั่งคอยรับอย่างเยือกเย็น ใครรีบร้อนไม่มีหวังได้จากหลวงปู่ บางทีเมื่อท่านให้สิ่งที่เป็นวัตถุแล้วท่านก็สอนธรรมะต่อ "ดีชั่วก็ตัวเรา จงทำเอาอยู่ที่ใจ"
    .
    พระพี่ชายได้จากไป
    .
    หลังจากออกพรรษาแล้ว วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 หลวงปู่คำสิงห์ สุจิตฺโต ผู้เป็นพี่ชายของหลวงปู่ ได้อาพาธกะทันหันมีไข้สูง ได้นำท่านส่งโรงพยาบาลอำเภอไชยวาน หมอตรวจพบว่ามีน้ำในปอดมาก จึงได้นำท่านส่งต่อโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี หมอตรวจพบว่าท่านเป็นมะเร็งในปอด หมอทำการรักษาแต่อาการมีแต่ทรงกับทรุดลงเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2534 หลวงปู่ท่านพูดแย้มๆว่า "หลวงพ่อสิงห์ เห็นท่าจะไม่ไหวเสียแล้ว" ท่านจึงไปขออนุญาตหมอนำหลวงปู่คำสิงห์กลับวัดตอนเย็น วันที่ 16 พอเช้าวันที่ 17 พฤศจิกายน 2534 เวลา 7.00 น. หลวงปู่คำสิงห์ สุจิตฺโต ได้ละสังขารจากโลกไปอย่างไม่มีอาลัยในวัฏฏสงสาร เมื่ออายุของท่านได้ 84 ปี หลวงปู่เป็นประธานพาศิษยานุศิษย์บำเพ็ญกุศลกุศลศพหลวงปู่คำสิงห์ สุจิตฺโต ผู้เป็นพี่ชายอยู่ 15 วัน จึงได้ประชุมเพลิงศพเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 เวลา 17.00 น.
    .
    เป็นประธานวางศิลามงคลสร้างวิหารกลางน้ำ (พิพิธภัณฑ์บริขารหลวงปู่)
    .
    เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535 หลวงปู่เป็นประธานวางศิลามงคลสร้างวิหารกลางน้ำ (พิพิธภัณฑ์บริขารหลวงปู่) ท่ามกลางศิษยานุศิษย์ที่มาร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก วิหารหลังนี้สร้างอยู่กลางบ่อน้ำสี่เหลี่ยม เดิมทีสถานที่นี้เป็นหนองน้ำธรรมชาติกลางป่าดง น้ำไม่เคยแห้งตลอดฤดูแล้ง ชาวบ้านเรียกหนองน้ำนี้ว่า "หนองทุ่ม" (เพราะมีต้นกระทุ่มอยู่ริมหนองน้ำ) เมื่อหลวงปู่มาสร้างวัดได้ 1 ปีผ่านไป ปีที่ 2 ท่านจึงให้ญาติโยมสร้างกุฏิในหนองน้ำเรียกว่า "กุฏิกลางน้ำเล็ก" ทำด้วยไม้ เมื่อทำเสร็จแล้วหลวงปู่ได้มาพำนักอยู่ จนถึงปีพ.ศ. 2503 เมื่อได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา หลวงปู่จึงให้ปักเขตคร่อมบริเวณหนองน้ำนี้ และได้พาพวกญาติโยมสร้างวิหารไม้หลังใหญ่ สิ้นค่าก่อสร้าง 9,000 บาท ใช้เป็นที่ทำสังฆกรรมบวชพระเณร และลงอุโบสถสวดปาฏิโมกข์ด้วย และหลวงปู่ได้ย้ายจากกุฏิกลางน้ำเล็กขึ้นมาพำนักอยู่ที่วิหารกลางน้ำไม้หลังใหญ่ จนถึง พ.ศ. 2516 ท่านจึงย้ายลงไปพำนักที่อื่น เพราะวิหารไม้หลังใหญ่ชำรุด ปีพ.ศ. 2521 จึงได้ย้ายเขตวิสุงคามสีมาไปปักเขตที่ศาลาการเปรียญ เมื่อปลายปีพ.ศ. 2534 โครงการอีสานเขียวนำโดยคณะนายทหาร ได้มาขุดลอกหนองทุ่มให้เป็นสระสี่เหลี่ยม หลวงปู่ให้รื้อวิหารไม้ออก และวางศิลามงคลสร้างวิหารคอนกรีตขึ้นแทน
    .
    หนองทุ่มกับหลวงปู่
    .
    หลวงปู่พูดแย้มๆให้ศิษย์ฟังว่า "ในชาติหนึ่งเคยเป็นฟาน (อีเก้ง) มาอาศัยกินน้ำที่หนองทุ่มนี้และตายที่นี่ ที่เคยเกิดเคยตายมันก็วนเวียนอยู่นั้นแหละ ในชาตินี้ก็คงจะตายที่นี้อีก"
    .
    อาพาธครั้งที่ 9 พ.ศ. 2535
    .
    เดือนมกราคมหลังจากเสร็จพิธีวางศิลามงคลสร้างวิหารกลางน้ำแล้ว หลวงปู่มีอาการไอ และมีเลือดปนออกมากับน้ำลายที่บ้วนลงกระโถน สีแดงเหมือนน้ำหมาก ลูกศิษย์พยายามถามอาการก็ถูกท่านว่าเอา "วุ่นวายอะไรกับสังขาร ทำอย่างไรก็ไม่พ้นตายหรอก" หลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียลงเรื่อยๆ วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2535 หลวงปู่ไปเป็นประธานในพิธีฉลองศาลาการเปรียญวัดป่าภูวังงาม บ้านคำเลาะ คุณสุดใจ สุขุมารจันทร์ เห็นสุขภาพหลวงปู่อิดโรย จึงได้กราบขอนิมนต์หลวงปู่ให้ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลรามคำแหง กรุงเทพฯ คุณสุดใจมีสามีเป็นนายแพทย์อยู่ที่นั้น คือคุณหมอยศวี สุขุมารจันทร์ จะได้ถวายการดูแลรักษาหลวงปู่ หลวงปู่ได้แต่ขออนุโมทนา ในที่สุดก็ไม่รับนิมนต์ จนเวลาล่วงเลยมาถึงเดือนพฤษภาคม อาการของหลวงปู่ได้กำเริบมาก มีอาการสะอึก บางทีจนแทบหายใจไม่ได้ และมีอาการคันและเบื่ออาหารมาก คณะศิษย์จึงอ้อนวอนขอให้หลวงปู่ไปตรวจคอมพิวเตอร์ที่คลินิกหมออุดม อ.สว่างแดนดิน หลวงปู่ยอมไป คุณหมออุดมได้ถวายการตรวจ พบว่าในปอดมีจุดใหญ่ คุณหมอแนะนำว่าควรจะนำหลวงปู่ไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น คณะศิษย์ขอกราบนิมนต์หลวงปู่ไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ หลวงปู่ไม่ยอมรับ ท่านได้แต่บอกว่า "วุ่นวายอะไร" แล้วท่านก็นิ่งเฉย
    .
    ต่อมาไม่กี่วันอาการได้กำเริบหนักขึ้น หลวงปู่สะอึกแล้วหายใจไม่ออก พอดีวันนั้นมีลูกศิษย์หลายคนมาเยี่ยมดูอาการหลวงปู่ จึงได้ช่วยกันอ้อนวอนหลวงปู่ให้เมตตาลูกศิษย์ลูกหา อย่าเพิ่งด่วนปล่อยทิ้งเลย ในที่สุดท่านเมตตายอมรับนิมนต์ไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น จึงได้โทรศัพท์ถึงคุณหมอสุนทร ศรีโพธิ์ ที่ขอนแก่น ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่ท่านหนึ่งที่หลวงปู่เมตตามาก ให้ติดต่อกับคณะศิษย์ที่เป็นหมอในโรงพยาบาลศรีนครินทร์ แล้วจึงได้นำหลวงปู่ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ พักห้องพิเศษ การรักษาพยาบาลหลวงปู่นั้นมีปัญหาอยู่ว่า ท่านไม่ยอมให้หมอและพยาบาลผู้หญิงตรวจรักษาและฉีดยา ด้วยเหตุนี้ ผศ.นพ. วิสุทธิ์ สุขีไพศาลเจริญ จึงรับเป็นภาระในการดูแลรักษาหลวงปู่ และถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ด้วย การอาพาธของหลวงปู่ในครั้งนี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคที่ปอด ในระยะที่หลวงปู่พักรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์นั้น ได้มีลูกศิษย์ลูกหาทั้งเก่าและใหม่ เมื่อทราบว่าหลวงปู่อาพาธต่างคนต่างก็มีความเป็นห่วงได้มาเยี่ยมเยียนมิได้ขาด เมื่ออาการของหลวงปู่ดีขึ้น ท่านก็เมตตาไต่ถามและให้ธรรมะแก่ลูกศิษย์ที่มาเยี่ยมด้วย
    .
    ความอกตัญญูลบหลู่ครูบาอาจารย์ย่อมนำมาซึ่งความหายนะ
    .
    หลวงปู่ได้เตือนลูกศิษย์ให้รู้คุณของผู้มีคุณ ผู้ใดรู้คุณของผู้มีคุณย่อมนำมาซึ่งความเจริญและเป็นคนดี ตามพุทธภาษิตว่า นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญู กตเวทิตา ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี หลวงปู่เล่านิทานเรียนคาถาเสกมะม่วงว่า กาลครั้งหนึ่ง มานพหนุ่มเดินทางไปศึกษาวิทยาการ ณ สำนักอาจารย์เล็กๆที่ไม่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง สิ่งที่ได้ศึกษานั้นคือวิชาเสกมะม่วง เมื่อสำเร็จสมปรารถนาแล้วจึงเดินทางกลับบ้านเดิม ลงมือปลูกมะม่วง และทุกๆวันเขาจะสวดภาวนาคาถาที่ได้ร่ำเรียนมา เสกเป่าใส่น้ำที่ใช้รดมะม่วงนั้น จนกระทั่งมีผลผลิตดกหนาเต็มต้นตลอดทั้งปี แม้ในยามที่แล้ง อีกทั้งมีรสชาติหอมหวานจนใครๆได้ชิมแล้วก็ล้วนติดใจ กิตติศัพท์ความวิเศษของมะม่วงนี้รู้ไปถึงพระราชาผู้ครองนคร พระองค์มีความปรารถนาที่จะลิ้มรส เมื่อได้ลองเสวยลูกแรก พระองค์รู้สึกติดพระทัยเป็นอย่างมาก มีรับสั่งให้มหาดเล็กนำมาถวายทุกวัน และมีพระประสงค์จะพบกับมานพหนุ่มผู้เป็นเจ้าของมะม่วงต้นนั้น จึงรับสั่งให้นำตัวมาเข้าเฝ้า
    .
    เมื่อมหาดเล็กไปแจ้งแก่ชายหนุ่มชายผู้เป็นเจ้าของมะม่วงวิเศษนั้น รู้สึกอับอายที่ไม่มีเสื้อผ้าดีๆสวมใส่ จึงไม่ยอมเข้าเฝ้า มหาดเล็กกลับไปทูลความจริงต่อพระราชา พระราชาจึงได้พระราชทานเสื้อผ้าดีๆ และทรัพย์สินมากมาย เมื่อชายหนุ่มนั้นเข้าเฝ้าตามพระประสงค์ พระราชาตรัสถามว่าท่านได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาจากสำนักใด มะม่วงนั้นจึงมีรสชาติที่วิเศษนัก ชายหนุ่มไม่กล้าตอบตามความจริง เพราะรู้สึกอับอายที่สำนักอาจารย์ตนนั้นไม่มีชื่อเสียง จึงอ้างเอาสำนักทิศาปาโมกข์ที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองตักศิลาแทน ด้วยผลแห่งการลบหลู่ดูถูกผู้มีคุณ ทำให้วิชาที่ศึกษานั้นเสื่อมไปทันที มะม่วงที่เคยให้ผลดกบริบูรณ์และรสชาติหอมหวาน ก็กลับเป็นเสมือนมะม่วงธรรมดาที่ไม่มีความพิเศษอันใด พระราชาจึงไม่โปรดปรานอีกต่อไป ฐานะที่เคยเป็นเศรษฐี ก็กลายเป็นบุรุษผู้ยากไร้ดังเดิม เขาจึงเดินทางไปพบอาจารย์ตนเพื่อขอเรียนคาถาเสกมะม่วงอีกครั้ง แต่อาจารย์ก็ได้กล่าวแสดงความเสียใจว่า เมื่อคาถาเสื่อมก็ไม่อาจสอนให้เป็นครั้งที่ 2 ได้ แม้ว่าเขาจะอ้อนวอนอย่างไรก็ตาม ในที่สุดก็ต้องเดินทางกลับด้วยความเสียใจและผิดหวัง
    .
    "ผู้ใดไม่ยกย่องครูอาจารย์ย่อมไม่เจริญ" หลวงปู่แสดงให้ลูกศิษย์ฟังอย่างนี้ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ หลวงปู่พักรักษาอยู่เป็นเวลา 1 เดือน จึงได้กลับวัดป่าสันติกาวาส เมื่ออาการของท่านดีขึ้น คุณหมอวิสุทธิ์และคณะแพทย์ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ได้ถวายการรักษาต่อที่วัดจนหลวงปู่หายเป็นปกติ
    .
    รูป
    -รางวัลเสมาธรรมจักร ด้านส่งเสริมผู้ปฏิบัติธรรม เทศกาลวิสาขบูชา พ.ศ. 2533ซึ่งหลวงปู่มิได้ไปรับที่สนามหลวงเอง แต่พระอาจารย์ทูล ขิปปปัญโญ นำมาถวายที่วัด
    -หลวงปู่เป็นประธานงานบวชปฐมฤกษ์พระอุโบสถวัดป่าโนนม่วง อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี 10 มีนาคม 2534
    -ลูกศิษย์มากราบนมัสการ ด้านหลังคือหลวงปู่คำสิงห์ สุจิตฺโต พี่ชายหลวงปู่
    -หน้าศพหลวงปู่คำสิงห์ สุจิตฺโต
    -พิธีวางศิลามงคลสร้างวิหารกลางน้ำ 1 มกราคม 2535
    -วิหารกลางน้ำ ที่หลวงปู่พำนักตั้งแต่ พ.ศ. 2537 จนกระทั่งมรณภาพ
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
    ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ......สวัสดีครับทุกท่าน ในวันอาทิตย์หลายๆท่านก็คงได้หยุดพักผ่อนกัน ก็ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ ใครทำงานก็สู้ๆละกัน วันนี้มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังนิดๆหน่อยๆสลับกับประวัติหลวงปู่บุญจันทร์ที่ช่างชิตนำเสนอทุกวัน ก็ต้องบอกว่าจะจบแล้วนะครับ ใครที่ติดตามอ่านอยู่ก็อดใจรอแป๊ป ถ้าประมาณหนังก็ใกล้อวสานแล้ว ยังไงก็ติดตามอ่านกันจนจบนะครับ
    ......มาวันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง คือวันสองวันก่อน ช่างชิตไปกราบพระอาจารย์รูปหนึ่งที่จังหวัดตราด ได้ยินชื่อท่านมาซักพักละแต่ไม่มีโอกาสไปกราบซักที พี่คนที่แนะนำบอกช่างชิตบอกว่าท่านเก่งมีวิชา "เสือสมิง" และในแถบนี้ชื่อเสียงท่านดังมากเพราะ "เสือ" ที่ทานปลุกเสกอธิฐานจิตนั้นมีประสบการณ์อย่างโชกโชนฉกาจฉกรรจ์ นามของท่านคือ หลวงปู่สุพจน์ วัดห้วงพัฒนา
    ............ช่างชิตพอไปถึงวัดท่านตอนแรก วัดก็ใหญ่โตน่าดู มีห้องเช่าวัตถุมงคลด้วย ช่างชิตยังไม่รู้จักท่านในตอนนั้น ก็เข้าใจว่าท่านเป็นพระบ้านมหานิกาย สอบถามไปสอบถามมาจากคนที่นั่งแถวนั้น ก็เลยรู้ว่าท่านเป็น พระกรรมฐานเป็นพระป่าสายครูบาอาจารย์ของเรา แต่ก็ยังข้องใจทำไมในวัดถึงมีที่เช่าวัตถุมงคล ก็ได้คำตอบว่า
    ......แต่ก่อนนั้นหลวงปู่ท่านก็ไม่มีไม่เอาเลย คราวนี้ต้องสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุใช้ปัจจัยจำนวนมาก ท่านก็เลยทำวัตถุมงคลมาแจกญาติโยมเป็นที่ระลึกให้ญาติโยมได้ทำบุญเวลามาถวายปัจจัยสร้างเจดีย์ ถ้าเจดีย์เสร็จเรียบร้อยท่านก็จะเลิกสร้างปิดตู้วัตถุมงคล เขาว่างั้นนะ
    ......คราวนี้ชาวบ้านมาได้รับแจกวัตถุมงคลของท่านที่เป็น "รูปเสือ" ก็ไปเกิดประสบการณ์อย่างมากมาย จนทำให้ท่านโด่งดังจนถึงทุกวันนี้ เหตุที่เสือท่านขลังมาก ช่างชิตก็ได้ข้อมูลมาว่า ที่ท่านต้องมาเสกเสือ ก็เพราะว่า เจ้าพ่อเสือสมิงที่ตราด มาขอสร้างบารมีกับท่าน ขอให้ท่านสร้างเสือ เจ้าพ่อเสือสมิงจะมาช่วยเสก เลยทำให้เสือของท่านเฮี้ยนและขลังมาก(ที่ต้องใช้คำแบบนี้ เพราะมีคนเห็นเป็นตัวเป็นตนนับสิบๆราย ลองหาอ่านในกูเกิ้ลดูนะ)
    .......สมัยหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส เกจิอาจารย์ขมังเวทย์ยุคก่อนในภาคตะวันออกที่โด่งดังเรื่องเสือเสกเสือขลังก็ว่ากันว่า เพราะเจ้าพ่อเสือสมิง เจ้าแม่เสือสมิงมาช่วยเสกให้ พอหมดยุคหลวงพ่อคง มายุคปัจจุบันย่านนี้แถบนี้เรื่อง "เสือสมิง" ก็ต้องหลวงปู่สุพจน์ละครับ
    ......ช่างชิตไม่เคยมากราบท่านซักที ตอนไปท่านพักผ่อนอยู่นั่งรอท่านเกือบ 3 ชั่วโมงช่วงรอไม่มีอะไรทำก็เดินดูตู้วัตถุมงคล เดินไปเดินมาโดนเขาบิ้วเสือไปเยอะเลยเลยทำบุญกับวัดไป 4 ตัว 555++(คนมันชอบอะนะ) แต่ในใจก็คิดไปต่างๆนาๆเอาตรงๆคือ "ยังไม่ลงใจท่านว่างั้นเถอะ"
    ......จนท่านเปิดกุฏิแล้วออกมานั่งรับญาติโยม พอช่างชิตเจอท่าน มองดูสีหน้าแววตาท่านกับไม่เป็นแบบที่คิด ความที่ช่างชิตก็สัมผัสพระสายกรรมฐาน ปฏิบัติภาวนามาพอสมควร ก็จะดูออกว่าหน้าตาพระที่ท่านเด็ดเดี่ยวปฏิบัติกรรมฐานมาจริง สีหน้าแววตาจะออกประมาณไหน หลวงปู่สุพจน์ท่านก็สีหน้าแววตาประมาณนั้นละครับ แต่ก็ยังติดนิดๆหน่อยๆอยู่
    .....คราวนี้ก็พูดคุยกับท่าน บอกท่านว่ามีพี่ที่รู้จักกันเป็นคนขับรถหลวงปู่บุญกู้แนะนำผมให้มากราบ ท่านก็ยิ้มแล้วก็ถามกลับว่า หลวงปู่บุญกู้เป็นไงแข็งแรงดีไหม ช่างชิตจากที่เจอล่าสุดนึกได้ก็ตอบท่านไปว่า แข็งแรงดี แล้วก็ถามท่านต่อว่า
    .
    "หลวงปู่มีกิจนิมนต์เยอะไหมครับช่วงนี้"
    .
    "ก็เยอะ ไม่ค่อยได้อยู่วัดหรอก ที่ไหนพอไปได้ก็ไปร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ ขนาดหลวงปู่ไมนั่งรถเข็นท่านก็ยังไปนั้นไปนี้เลย"
    .
    ช่างชิตได้ยินก็แปลกใจปนดีใจที่หลวงปู่รู้จักครูบาอาจารย์ของตัวเองก็ถามต่ออีก
    .
    "หลวงปู่รู้จักหลวปู่ไมด้วยหราครับ"
    .
    "รู้จักสิ คุ้นกันเจอกันบ่อย"
    .
    "แล้วหลวงปู่รู้จักหลวงตาสมหมายไหมครับ ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่บุญจันทร์ที่อยู่ไชยวาน ผมบวชอยู่กับหลวงตาครับ"
    .
    "รู้จัก หลวงตาสมหมายกับหลวงปู่ก็คุ้นกันดี แล้วบวชกับหลวงตานานไหม"
    .
    พอท่านตอบแบบนี้ กำแพงทิฐิที่ตั้งไว้ที่ไม่ลงใจท่านทลายหมดเลย ทำให้ช่างชิตดีใจมากๆ แม้ครูบาอาจารย์ท่านอยู่คนละที่แต่ก็ถึงกันคุ้นเคยกัน เลยตอบท่านไปว่า
    .
    "บวชสองครั้งรวมก็สองเดือนกว่าๆครับ"
    .
    "เอาก็ยังดี"
    .
    ว่าเสร็จท่านก็ยิ้มแล้วช่างชิตก็คุยกับท่านอีกนิดหน่อย ท่านก็เทศน์สอนซักพักก็เลยกราบลาท่านกลับ แต่..........แต่ก่อนกลับช่างชิตก็ไม่ลืมที่จะเอาเสือที่ทำบุญมาพร้อมกับแหวนหัวเสือของหลวงตาถอดรวมกัน ให้หลวงปู่ท่านช่วยอัดพลังให้อีกรอบ พร้อมบอกท่านว่า
    .
    "แหวนเสือเอาให้ขลังๆเหมือนเสือหลวงปู่เลยนะครับ"
    .
    "อืม" ว่าเสร็จท่านก็เมตตาอธิฐานอัดพลังให้ ก่อนส่งคืนให้ช่างชิต
    .
    ....ช่างชิตจึงกราบลาท่านจากมาด้วยความปิติยินดี ในใจก็คืดว่าก่อนจะจบงานที่จันท์อีก 1 เดือนจะต้องไปกราบท่านอีกแน่ๆ เล่ามาขนาดนี้ใครสนใจอยากได้เสือท่าน ช่างชิตถ้าไปกราบท่านอีกยินดีเป็นธุระให้นะครับไม่มีบวกไม่มีชาร์ต เพราะเห็นคนที่วัดบอกว่ามีเก๊มีเลียนแบบมากแล้วข้างนอก เพราะรุ่นแรกท่านเล่นกันเป็นหมื่นๆ ใครสนใจอยากได้จากวัดจากมือท่านช่างชิตเป็นธุระให้แต่ท่านต้องโอนเงินมาให้ก่อนนะ 55555 แล้วจะบูชามาให้ครับ
    ............
    ....สำหรับท่านที่ไม่รู้จักจะของกล่าวปะวัติคร่าวๆนะครับ หลวงปู่สุพจน์ท่านเกิดปี พ.ศ.2488 บวชเมื่อปี 2508 และได้ธุดงค์ไปทางเหนือฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่สิม วัดถ่ำผาปล่อง และได้ไปศึกษากับพ่อแม่ครูอาจารย์อีกหลายรูปเช่น หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ จังหวัดหนองคาย หลวงพ่อเทศน์ เทสรังสี จังหวัดหนองคาย หลวงพ่อท่อน ญาณธโร จังหวัดเลย หลวงพ่อคำพอง จังหวัดขอนแก่น หลวงพ่ออ่อนศรี ฐานวโร วัดถ้ำประทุม จังหวัดชลบุรี อาจารย์ฝั่น อาจาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงตามหาบัว จังหวัดอุดรธานี หลวงพ่อศรี ฐิตธมฺโม ถ้ำเหวลึก จังหวัดสกลนคร เป็นต้น ก่อนกลับมาจำพรรษาที่วัดห้วงพัฒนาประมาณช่วงของปี 2513-2514
    ......ท่านได้บำเพ็ญตนให้เป็นแบบอย่างคือท่านมีความเด็ดเดี่ยวในข้อวัตรปฏิบัติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเดินจงกรม หลวงพ่อสุพจน์ได้เน้นเป็นพิเศษ กล่าวคือเมื่อฉันเสร็จ เริ่มเดินจงกรมเป็นพุทธบูชา พอถึงบ่ายสองโมงเริ่มเดินจงกมถวายเป็นธรรมบูชา จนถึงบ่าย ๔ โมง และเมื่อทำข้อวัตรเสร็จสิ้นแล้วก็จะเริ่มเดินจงกรมถวายเป็นสังฆบูชา จนถึงประมาณ ๔-๕ ทุ่ม จึงเข้าที่พักเพื่อบำเพ็ญภาวนาต่อไปทุกๆวันเวลาเช้าราวตีสาม ก็จะลุกขึ้นเจริญจิตตภาวนาและพาภิกษุสามเณรพร้อมญาติโยมที่มาบวชนุ่งขาวห่มขาว เจริญจิตตภาวนาไปด้วยทุกครั้ง
    .............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2015
  7. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(36).........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 57
    (พ.ศ. 2535 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    พ.ศ. 2536 เดือนเมษายน หลวงปู่เป็นประธานวางศิลามงคลสร้างอุโบสถวัดป่าหนองผือ บ้านหนองผือ ต.บ้านยา อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
    .
    พรรษาที่ 58
    (พ.ศ. 2536 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ในพรรษานี้สุขภาพของหลวงปู่กระเสาะกระแสะ ท่านจะมีอาการปัสสาวะบ่อยๆในเวลากลางคืน คณะศิษย์เข้าใจว่าเป็นโรคของคนแก่ จึงไม่ได้สนใจอะไร แต่หลวงปู่ก็เมตตาอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ที่เข้ากราบนมัสการ อยู่มิได้ขาดแต่ละวันละวัน
    .
    เมื่อออกพรรษาแล้ว เดือนตุลาคม หลวงปู่เป็นประธานวางศิลามงคลสร้างอุโบสถวิหารวัดป่าหนองแซง อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี
    .
    พรรษาที่ 59 *(พรรษาสุดท้าย)
    (พ.ศ. 2537 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ในพรรษานี้พอเริ่มเข้าพรรษา หลวงปู่มีอาการไม่ค่อยสบายด้วยอาการเหนื่อย เบื่ออาหาร ฉันอาหารได้น้อย มีเลือดออกตามลำคอเป็นครั้งคราว ปัสสาวะบ่อยๆ ผอมลงเรื่อยๆ แต่ท่านไม่สนใจในสังขารที่เปลี่ยนแปลง เมื่อถึงเดือนกันยายน ซึ่งเป็นวาระที่อายุหลวงปู่จะครบรอบ 78 ปี ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2537 ประกอบกับการก่อสร้างวิหารกลางน้ำ (พิพิธภัณฑ์บริขารหลวงปู่) ได้สำเร็จเรียบร้อยลง โดยใช้เวลาก่อสร้างอยู่ 2 ปี กับ 7 เดือน
    .
    ดังนั้นเพื่อเป็นการน้อมถวายบูชาพระคุณหลวงปู่ คณะศิษย์จึงได้กำหนดการทำบุญฉลองอายุครบ 78 ปีของหลวงปู่ และฉลองวิหารกลางน้ำด้วย ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2537 โดยได้กราบนิมนต์พระเถรานุเถระมาเจริญพระพุทธมนต์ในวิหารกลางน้ำ คณะศิษยานุศิษย์ทั้งใกล้และไกลได้มารวมกันทำบุญเพื่อเป็นการถวายบูชาพระคุณหลวงปู่ในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก และได้ทำพิธีถวายวิหารกลางน้ำแก่สงฆ์ด้วย
    .
    หลังจากทำบุญถวายหลวงปู่แล้ว อาการอาพาธของหลวงปู่เริ่มชัดเจนขึ้น อาการเหนื่อยมีมากขึ้น ฉันอาหารไม่ค่อยได้ อาการอิดโรยปรากฏชัดขึ้น คณะศิษย์ได้ถวายการตรวจแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ยกเว้นจะมีกรดยูริกสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของท่านอยู่แล้ว (เรื่องโรคเกาต์นี้เริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยมีอาการบวม เจ็บปวดตามหลังเท้า เห็นได้เมื่อเวลาที่โรคกำเริบ แพทย์ได้ถวายยาลดกรดยูริกอยู่เป็นประจำ อาการจะกำเริบบ่อยในช่วงที่หน่อไม้กำลังออกใหม่ๆ หรือญาติโยมมีจิตศรัทธาตุ๋นอาหารสัตว์ปีกมาถวาย แต่อาการอาพาธเหล่านี้ก็เป็นเพียงเล็กน้อยสำหรับองค์ท่าน เมื่อท่านหยุดฉันของแสลงและฉันยาอาการก็หายไป) คณะศิษย์ก็พยายามหายาบำรุงและอาหารเสริมมาถวาย อาการท่านก็ค่อยดีขึ้น ฉันอาหารได้มากขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น ท่านมีอาการดีขึ้นอยู่ประมาณ 1 เดือนครึ่ง หลังจากนั้นก็เริ่มทรุดลงอีก ด้วยอาการเหนื่อยเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตอนกลางวันหลังจากฉันเช้าเสร็จที่ศาลาแล้ว หลวงปู่จะลงไปพักที่วิหารกลางน้ำ และต้อนรับลูกศิษย์ที่มากราบเยี่ยมท่านที่นั้น พอเย็นท่านก็กลับไปที่กุฏิ
    .
    พอออกพรรษาเสร็จจากการทอดกฐินเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2537 หลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียลงมาก คณะศิษย์ลงความเห็นว่า "หรือจะเป็นเพราะหลวงปู่แพ้กลิ่นสีที่ทาวิหารกลางน้ำที่พึ่งเสร็จใหม่หรือไม่" จึงได้ขอนิมนต์ให้หลวงปู่ลองงดลงไปพักที่วิหารกลางน้ำ แต่อาการของท่านก็ยังอ่อนเพลียอยู่อย่างเดิม หลวงปู่ต้องการอยากอยู่สงบๆ โดยลำพังขององค์ท่าน ไม่อยากพูดคุยและเกี่ยวข้องกับคนอื่น แต่แล้วหลวงปู่ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา อดที่จะสงเคราะห์ศิษย์ผู้เดินทางมาไกลเพื่อกราบนมัสการท่านไม่ได้ ท่านจึงอนุญาตให้เข้ากราบท่านได้ ถึงแม้บางครั้งอาการไข้กำลังเบียดเบียนท่านอยู่ก็ตาม
    .
    ไปกราบนมัสการเยี่ยมหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ที่วัดถ้ำขาม
    .
    ก่อนที่หลวงปู่เทสก์จะละสังขารไม่นาน หลวงปู่ได้ไปกราบนมัสการเยี่ยมหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ที่วัดถ้ำขาม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เป็นเวลาเย็น เมื่อถึงที่รถจอด หลวงปู่ไม่ค่อยสบายจึงไม่มีกำลังพอที่จะเดินขึ้นไปที่ถ้ำขามได้ พระเณรและลูกศิษย์ที่ติดตามไปกับหลวงปู่ จึงช่วยกันหามรถเข็นที่หลวงปู่นั่งขึ้นไปถึงหลังถ้ำขาม แล้วหลวงปู่จึงเดินไปที่กุฏิที่หลวงปู่เทสก์ท่านพำนักอยู่ พระที่อุปัฏฐากหลวงปู่เทสก์จึงไปกราบเรียนท่านว่า "ท่านอาจารย์บุญจันทร์มา" หลวงปู่เทสก์ท่านอนุญาตให้เข้าไปได้ เมื่อหลวงปู่เข้าไปถึงแล้วก็กราบหลวงปู่เทสก์ด้วยความเคารพอ่อนน้อม แล้วหลวงปู่เทสก์จึงถามว่า "ทำอย่างไรจึงขึ้นมาได้" หลวงปู่ยกมือขึ้นประนมแล้วกราบเรียนว่า "ขอโอกาสเกล้ากระผม พระเณรช่วยกันหามขึ้นมา" หลวงปู่เทสก์ถามอีกว่า "อายุเท่าไรแล้ว" หลวงปู่กราบเรียนว่า "78 ปี เกล้ากระผม" หลวงปู่เทสก์พูดว่า "โอ้ ใกล้จะตายเหมือนกันนะ ผมนี้ก็เต็มทีแล้ว ตาก็มองไม่เห็น ร่างกายนี้ไม่มีอะไรแล้ว มีแต่กระดูกเท่านั้นแหละ ดูกระดูกเท่านั้นแหละนะ" หลวงปู่เยี่ยมหลวงปู่เทสก์ไม่นาน จึงได้กราบลาหลวงปู่เทสก์กลับ เมื่อมาถึงวัดแล้วท่านก็มาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง
    .
    ไปกราบคารวะศพหลวงปู่เทสก์ที่ถ้ำขาม
    .
    เมื่อหลวงปู่ทราบว่าหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ได้ละสังขารไปเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2537 เวลา 21.30 น. หลวงปู่จึงได้เดินทางไปกราบคารวะศพหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ที่วัดถ้ำขามเป็นครั้งสุดท้าย
    .
    ไปกราบคารวะศพหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    .
    และเมื่อท่านได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้ละสังขารเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2538 ถึงวันที่ 10 มกราคม หลังจากฉันจังหันเช้าที่วัดแล้ว ท่านจึงพาคณะศิษย์ทั้งพระและโยมไปกราบคารวะศพของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย ถึงวัดป่าสัมมานุสรณ์เวลาบ่ายสามโมงเย็น เจ้าหน้าที่งดให้ประชาชน พระเณรสรงน้ำศพหลวงปู่เพราะใกล้เวลาน้ำหลวงพระราชทานจะมาถึง เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นหลวงปู่เพิ่งไปถึง จึงอนุญาตพิเศษให้เฉพาะหลวงปู่กับพระที่ติดตามไปขึ้นบนศาลา ส่วนญาติโยมให้รอไว้ก่อน เมื่อขึ้นไปถึงบนศาลา หลวงปู่พาพระลูกศิษย์ที่ติดตามไป กราบคารวะศพหลวงปู่ชอบ ท่านพากราบทางศีรษะ แล้วท่านก็พากันหันไปกราบทางเท้าอีก พร้อมกับพูดว่า "กราบสุดหัวสุดเท้า" เสร็จแล้วจึงนั่งที่อาสนะสำหรับพระเถระ เมื่อน้ำหลวงมาถึง องคมนตรีเป็นผู้นำน้ำหลวงอาบศพ เสร็จแล้วนำศพหลวงปู่ชอบเข้าหีบ ประกอบศพตั้งแท่นเสร็จเรียบร้อย ทำพิธีขอขมาศพหลวงปู่ชอบ เสร็จแล้วหลวงปู่จึงได้พาเดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส
    .
    โปรดญาติเป็นครั้งสุดท้าย
    .
    ปีเก่าผ่านไปย่างเข้าปีใหม่ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2538 หลวงปู่ยังเดินรับบิณฑบาตในบริเวณวัด โปรดลูกศิษย์ที่มาร่วมกันทำบุญตักบาตรเป็นจำนวนมากในวันขึ้นปีใหม่ วันคืนผ่านไป ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สุขภาพของหลวงปู่มีอาการดีขึ้น ฉันอาหารได้บ้างดูมีแรงขึ้น คณะศิษย์ที่กรุงเทพฯ ได้กราบอาราธนาให้หลวงปู่ลงไปโปรดที่กรุงเทพฯ พร้อมกับครบกำหนดการตรวจตาข้างขวาของหลวงปู่ด้วย ควรมิควรอย่างไรแล้วแต่หลวงปู่จะเมตตา เมื่อใกล้กำหนดจะเดินทางลงกรุงเทพฯ คณะศิษย์ผู้ปฏิบัติหลวงปู่ที่วัดจึงกราบเรียนถามท่านว่า "หลวงปู่จะรับนิมนต์ลงกรุงเทพฯหรือไม่" หลวงปู่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอกว่า "เอ้า ไปโปรดญาติครั้งสุดท้าย"
    .
    วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2538 หลวงปู่เดินทางลงกรุงเทพฯ โดยเครื่องบิน เที่ยวบินเวลา 19.45 น. ออกจากอุดรฯ ถึงดอนเมืองกรุงเทพฯ เวลา 20.45 น. ลูกชายคุณนิดา ชิตานนท์ นำรถมารับหลวงปู่พร้อมกับพระติดตามอีก 2 รูป ไปพักที่รถรางที่คุณนิดาจัดถวายสำหรับเป็นที่พักของหลวงปู่
    .
    วันที่ 3 มีนาคม เช้ารับบิณฑบาตฉันเช้าที่บ้านคุณนิดา บ่าย 1 โมง ตรวจตาที่ไทยจักษุคลินิก บ่าย 3 โมงเยี่ยมท่านผู้หญิงจรวย ท่านผู้หญิงถวายสังฆทานด้วย ตอนเย็นให้โอวาทธรรมแก่ลูกศิษย์ที่มากราบฟังธรรม
    .
    วันที่ 4 มีนาคม หลวงปู่รับบิณฑบาตฉันเช้าในพิธีสมรสคุณอภิพร ยูนิพันธ์ บุตรสาวของอาจารย์เสรี-อาจารย์ประจวบ ยูนิพันธ์ ที่บ้านคอนโด สุขุมวิท 33 ตอนบ่ายคุณปั๊ก นิมนต์หลวงปู่รับถวายสังฆทานที่บ้าน
    .
    วันที่ 5 มีนาคม ตอนเช้าหลวงปู่รับบิณฑบาต ฉันเช้าที่บ้านคุณนิดา ทำบุญอุทิศกุศลให้คุณแม่ ตอนบ่ายหลวงปู่ไปรับไทยทานโปรดคุณไพบูลย์-คุณนงค์ลักษณ์ที่บ้าน แล้วต่อไปวัดสายตาตัดแว่น
    .
    เสนาพระยามัจจุราชเข้าย่ำยีสังขารนครของหลวงปู่
    .
    คืนวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2538 หลวงปู่เกิดท้องร่วง 4 ครั้ง และมีไข้ หลวงปู่อยู่ในความสงบนิ่งตลอดเวลา
    .
    เช้าวันที่ 6 มีนาคม คุณทวีสิทธิ์ ทีระฆะวงศ์ นำรถมารับหลวงปู่ไปรับฉันบิณฑบาตที่บ้าน หลวงปู่ไม่สามารถจะไปได้ ท่านจึงให้ผู้เขียนไปแทน ในวันที่ 6 นี้ หลวงปู่ไม่ออกจากที่พัก หมอถวายเกลือแร่ บ่ายอาการดีขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆ หลวงปู่พักที่รถรางจนถึงวันที่ 9 อาการไข้และท้องเสียเป็นปกติ แต่มีอาการปวดฟัน
    .
    ไปพักผ่อนที่หัวหิน
    .
    วันที่ 11 มีนาคม เวลาบ่ายสามโมงเย็น หลวงปู่เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถตู้ของคุณอรวรรณ จัยวัฒน์ ถึงหัวหินเวลา 6 โมงเย็น หลวงปู่พร้อมด้วยพระติดตามอีก 2 รูป พักที่สุญญาคาร (บ้านว่าง) ริมทะเล ของคุณโยมประภา จัยวัฒน์ ขณะที่หลวงปู่พักอยู่ที่หัวหิน ฟันอักเสบบวมมาก ได้พบหมอฟันที่คลินิกอำเภอหัวหิน 2 ครั้ง อาการค่อยดีขึ้น
    .
    ลิงรักลูก
    .
    วันหนึ่งคุณไพบูลย์ขับรถส่วนตัวจากกรุงเทพฯ ไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ที่หัวหิน พอมีโอกาสจึงรับหลวงปู่พร้อมพระติดตาม ไปชมวัดเขาตะเกียบ ซึ่งเป็นภูเขาอยู่ติดทะเล และให้ทานกล้วยแก่ลิงด้วย ลิงวิ่งมาแย่งกล้วยกันชุลมุนตามประสาของลิง มีแม่ลิงตัวหนึ่งวิ่งมา ปากของมันคาบลูกเอาไว้ แต่ลูกของมันเป็นลูกที่ตายจนแห้งแล้ว พอมันแย่งกล้วยได้แล้ว มันก็เอามือของมันจับลูกที่ปากลงวางไว้ แล้วมันก็กล้วย พอกินกล้วยหมดมันก็จับเอาลูกที่ตายแล้วของมันใส่ปากคาบไว้ แล้วก็เดินต่อไป หลวงปู่จึงชี้ให้ดูว่า "ดูซิ ลิงมันรักลูกของมัน แม้จะเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ถึงลูกของมันตายแล้วก็ตาม ไปไหนมันก็คาบไปด้วยเพราะมันไม่รู้ว่าลูกของมันตาย ด้วยความรักความอาลัย"
    .
    ขณะที่หลวงปู่พักอยู่ที่หัวหิน ลูกศิษย์ที่ไปกราบเยี่ยมต่างคนก็กราบเรียนหลวงปู่ว่า "ที่นี้อากาศดีเย็นสบายดี" หลวงปู่พูดแย้มๆว่า "อากาศมันดี แต่เราไม่ดี" หลวงปู่พักที่หัวหินจนถึงวันที่ 26 มีนาคม จึงเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ พักที่กรุงเทพฯ 1 คืน วันที่ 27 มีนาคม เดินทางจากกรุงเทพฯโดยเครื่องบินเที่ยวบ่าย 5 โมงเย็นกลับอุดร ถึงวัดป่าสันติกาวาส เวลา 20.00 น.
    .
    รูป
    หลวงปู่ตอนปี 2537
    หลวงปู่เทส
    หลวงปู่ต้นปี 38 ก่อนอาพาธ 3 เดือน
    หลวงปู่ถ่ายที่หัวหิน 12 มีนาคม 2538ระหว่างไปพักผ่อนประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนเริ่มอาพาธครั้งสุดท้าย
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
    ..........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 31-10-2537-1.jpg
      31-10-2537-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.3 KB
      เปิดดู:
      120
    • 31-10-2537-2.jpg
      31-10-2537-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      77
    • 31-10-2537-3.jpg
      31-10-2537-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8 KB
      เปิดดู:
      74
    • 31-10-2537-4.jpg
      31-10-2537-4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.4 KB
      เปิดดู:
      103
    • tesrangsi.jpg
      tesrangsi.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.4 KB
      เปิดดู:
      56
    • jan-2538.jpg
      jan-2538.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.2 KB
      เปิดดู:
      50
    • huahin.jpg
      huahin.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.5 KB
      เปิดดู:
      49
    • huahin2.jpg
      huahin2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.2 KB
      เปิดดู:
      57
  8. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .......สวัสดีครับทุกท่าน เกือบตายต้องบอกว่าเกือบตาย ตายอะไร!!! เชียร์บอล 555+++ ใจจะขาด ไปนั่งดูคนเดียวแหกปากดังอย่างกับเครื่องกระจายเสียง 5555++ บอลทีมชาติเราแม้จะเป็นรองอย่างมากแต่ก็สู้สุดใจครับ 2-2 สกอร์นี้ทำให้คนไทยมีความสุขอยางแน่นอน
    .....เอาๆ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า หลังจากช่างชิตเอารูปหลวงตากับพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาให้พวกเราชมกันไปบ้างแล้ว จริงๆก็ยังพอมีอยู่นะ แต่คืนนี้ขอเปลี่ยนแนวหน่อย คืนนี้ขอนำบทความลูกศิษย์ของ"หลวงปู่หลอด วัดใหม่เสนา อรหันต์กลางกรุง"(ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ปัจจุบันท่านละสังขารสู่แดนนิพพานไปหลายปีแล้ว เกศากลายเป็นพระธาตุ)มาให้อ่านกัน
    .........
    ***ขอเวลาแป๊ป มีเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจเกี่ยวกัหลวงปู่หลอดอยากนำเสนอให้ทุกทานได้อ่านกันดังนี้
    .....มีลูกศิษย์หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรี(พระอรหันต์ที่หลวงพ่อฤาษีและครูบาอาจารย์สายกรรมฐานหลายรูปให้การรับรอง) ท่านหนึ่งได้ไปถามหลวงปู่ท่านว่า
    "หลวงปู่ พระอรหันต์ยังมีอยู่ในโลกหรือไม่??"
    หลวงปู่บุดดาตอบกลับมาว่า
    "ท่านพระอาจารย์หลอด ที่กรุงเทพก็ใช่"
    ทำให้บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่บุดดาจะมากราบหลวงปู่หลอดที่วัดเสมอ

    .
    ..... หลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย(พระอริยะเจ้าต้นตำรับ ปฐวีธาตุแม่น้ำโขง)ท่านจับพลังพระที่หลวงปู่หลอดอธิฐานจิตและกล่าวว่า
    "เราไม่รู้หรอกว่าดีอย่างไง สว่างครอบไปหมด คุณธรรมเรายังไม่เท่าท่าน" "มีพระดีพระเก่งอยู่แถวลาดพร้าวนะ"
    ลูกศิษย์ของท่านก็มาเจอหลวงปู่หลอด ซึ่งเป็นพระดีพระเก่งที่หลวงปู่คำพันธ์ได้บอกกล่าวไว้

    .........
    .....อ่านเกร็ดเล็กๆน้อยๆของหลวงปู่หลอดไปแล้ว เราก็มาเข้าเรื่องต่อกันดีกว่า บทความลูกศิษย์หลวงปู่หลอดท่านนี้ได้ถ่ายทอดไว้บนโลกโซเชียลไว้เมื่อหลายปีก่อน เขียนถึงหลวงตาสมหมายไว้อย่างน่าสนใจ ช่างชิตจึงนำกลับมาถ่ายทอดให้พวกเราได้อ่านกันอีกครั้ง ตามนี้ครับ
    ............
    "ท่านพระอาจารย์สมหมาย อตตมโน เป็นครูบาอาจารย์ของบ้านผมและสนิทสนมกับที่บ้านมาก อนุสนธิจากที่พระคุณเจ้าหลวงปู่หลอด ปโมทิโต ให้นิมนต์ท่านพระอาจารย์มางานวันเกิดท่านทุกปี ท่านให้เหตุผลว่า ****..."พระหนุ่มองค์นึ้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ"...**** ท่านต้องมีอะไรดี หลวงปู่ท่านจึงต้องให้นิมนต์มาทุกปี ท่านอาจารย์สมัยก่อนท่านจะอยู่เกือบท้ายแถว เพราะสมัยนั้นพระผู้ใหญ่ยังอยู่กันมาก เช่น หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่จันทร์โสม หลวงปู่ต้น เป็นต้น"
    "สมัยก่อนท่านอาจารย์เป็นคนไม่ใคร่ไม่พูด เจอกันถ้าไม่ทักก็ไม่ตอบ พูดคำตอบคำ สำรวมอินทรีย์ตลอดเวลา ภาพที่เห็นนึกได้คือท่านจะยึ้มน้อยๆ ถ้าไม่มีคนมากราบก็จะนั่งสมาธิ ไม่พูดไม่จากับใคร แต่มาพักหลังๆ รู้สึกว่าท่านอาจารย์เปลี่ยนไป เป็นคนตลก พูดอะไรเฮฮา มีความเมตตาสูง ผมเลยคิดว่าท่านอาจารย์ท่านคงภาวนาจนถึงจุดที่สมประสงค์แล้ว จึงเริ่มสงเคาระห์โลก คือหยั่งประโยชน์ของตนให้ถึงพร้อมแล้วจึงหยั่งประโยชน์ให้คนอื่น"
    "ท่านอาจารย์เป็นคนที่มีนิมิตที่แม่นมาก เพราะเกิดจากผลที่ท่านอาจารย์ภาวนามานานและไม่เคยละความเพียร ภาพที่เห็นคือท่านอาจารย์จะนั่งภาวนาตัวตรงไม่กระดิกเป็นเวลานานๆ บางที่คืนยันรุ่งก็มี สรุปคือ ท่านอาจารย์เป็นพระที่กราบไหว้ได้สนิทใจ เป็นเนื้อนาบุญ ทายาทธรรมสายท่านพระอาจารย์มั่นที่ยังดำรงขันธ์อยู่"

    ...........
    ‪#‎ขอขอบพระคุณ‬ เจ้าของรูปภาพและบทความต่างๆเกี่ยวกับหลวงปู่หลอดและเจ้าของบทความที่เขียนถึงหลวงตา ช่างชิตขอขอบพระคุณ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2015
  9. ฌานกร

    ฌานกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,433
    ค่าพลัง:
    +14,651
    ผมก็เร่ร่อนอยู่แถวนี้แหละครับนายช่าง ยุ่งๆ เลยไม่ค่อยได้เข้ามาเท่าไหร่แต่ก็รักหมดใจเหมือนเดิมแหละครับ อิอิ :cool::cool::cool::cool::cool:
     
  10. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,236
    ถึงผมเงียบๆไป ผมก็ตามอ่านอยู่เหมือนกันครับ 555
     
  11. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ...สวัสดีวันครูแรงวันพฤหัสบดีที่รักครับทุกท่าน ที่ตราดและจันท์ฝนตกพายุเข้าหนักมาก ไม่รู้ที่อื่นจะเป็นไงบ้าง แต่ที่นี้ถึงเป็นแบบนี้ก็ไม่ทำให้ช่างชิตและสหายร่วมอุดมการณ์ท้อถอยกับการตามหาสิ่งท้าทายใหม่ๆเสมอ ต้องบอกว่าใครข้ามไม่อ่านไม่สนใจก็ถือว่าช่วยไม่ได้นะ ใครไคร่รู้บทความนี้มีอะไรน่าสนใจอยากรู้ตามอ่านกันดูครับ
    ....วันนี้ช่างชิตและน้องเอ็กซ์ 500 ไร่ สหายร่วมอุดมการณ์ออกเดินทางกันแต่เช้า เพื่อไปกราบหลวงปู่สุพจน์(พระอริยะเจ้า ผู้ที่ชาวบ้านขนานนามว่า เทพเจ้าเสือสมิงแห่งเขาสมิง)เป้าหมายคือ.....***เอาของดีที่สมาชิกกลุ่มเฟสบุ๊คหลวงตาสมหมายทุกท่านมีสิทธิ์เป็นเจ้าของได้ เอามาให้หลวงปู่เสกอัดพลังให้อีกรอบ***....พอไปถึงหลวงปู่อยู่พอดี จังหวะเหมาะก็เข้าไปกราบถวายน้ำท่าน ขอให้ท่านเมตตาอัดพลังลงในวัตถุมงคลที่เราเอามาให้หน่อย หลวงปู่ก็เมตตาจัดให้แบบสุดๆ พอเสร็จก็ขอโอกาสนวดถวายครูบาอาจารย์ไปด้วย ระหว่างนั้นช่างชิตก็ชวนหลวงปู่คุยนั้นนี้ตามประสาคนอยากรู้(สอดสู้ 555++ )หลวงปู่ท่านก็เมตตาตอบด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส จนมาถึงคำตอบที่ทำให้ วันนี้ทั้งวันกลายเป็นวันที่ไม่ธรรมดาของช่างชิตและสหายร่วมทาง....!!
    ....อย่างที่เคยบอกไปในบทความตอนก่อนหน้านี้ว่า ที่หลวงปู่ท่านสุพจน์ท่านเสกเสือขลังเฮี้ยนเพราะมีเจ้าพ่อเสือสมิงมาขอสร้างบารมีช่วยท่านแบบเฉพาะทาง(*พระอริยะเจ้าท่านอธิฐานวัตถุมงคลใช้อำนาจบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลักเพื่อให้วัตถุนั้นๆเป็นสิริมงคลทุกๆด้านแก่ผู้ยึดมั่นในพระรัตนตรัย แต่ถ้าจะให้มีแบบเฉพาะทางด้วย ต้องมีวิชานั้นๆหรือต้นตำหรับมาช่วยเสริม เมื่อเจ้าพ่อเสือสมิงมาขอร่วมสร้างบารมีกับท่าน ฉะนั้นเสือท่านจึงเป็นเสือแบบจะๆจริงๆ) ช่างชิตก็อยากรู้ว่า เจ้าพ่อเสือสมิงแห่งเขาสมิงมีจริงเปล่า?? ที่บอกมาขอสร้างบารมีกับท่านจริงเปล่า?? ก็เลยถามท่านว่า
    "หลวงปู่ครับเจ้าพ่อเสือสมิงมีจริงไหมครับ??"
    "มีจริงสิ เขาถึงเรียกที่นี้ว่า เขาสมิง เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ท่านแปลงร่างเป็นชายหนุ่มนุ่งผ้าเตียวคาดผ้าขาวม้าเสื้อไม่ใส่ มาช่วยชาวบ้านฟัดข้าวทำไร่ทำนา ท่านดีมีเมตตา สร้างบุญกุศล ไม่ทำร้ายใคร"
    "แล้วทำไมท่านจึงเป็นเสือสมิงได้ละครับ"
    "เข้าไปอ่านประวัติท่านในโบสถ์ดูนะ" พูดจบหลวงปู่ก็ยิ้มและชี้นิ้วไปที่โบสถ์
    .....หลังจากนั้นหลวงปู่ก็นั่งถักสร้อยข้อมือไปเรื่อยๆ(ต้องบอกว่าแค่สร้อยข้อมือท่าน ประสบการณ์ทางคงกะพันสูงมาก คนที่โดนหมอฉีดยาไม่เข้า ตัวเป็นๆนั่งคุยยืนยันนอนยันกับช่างชิตมาแล้ว)ช่างชิตเห็นแล้วก็อดใจไม่ไหว ก็ขอให้ท่านเมตตาถักให้ด้วย 1 อัน สหายน้องก็บอกขอผมด้วย 5555++ เป็นอันว่าหลวงปู่ก็เมตตาเราทั้งสอง ถักให้อย่างดีก่อนกำหนดจิตอัดพลังลงในสร้อยข้อมือแล้วส่งให้พวกเรา ซักพักก็มีพระมากราบคารวะท่าน เราก็จะขอตัวกราบลาท่านกลับ
    ......เดินออกมาที่รถสหายน้องก็สตาร์ทรถกำลังจะออกตัว ช่างชิตก็เหมือนมีอะไรมาดลใจว่า "มาแล้วทำไมไม่ขึ้นไปกราบพระประธานในโบสถ์และอ่านประวัติเจ้าพ่อเสือสมิงละ??" พอนึกขึ้นได้ก็บอกน้องดับเครื่องไปกราบพระในโบสถ์ก่อน เราเดินไปโบสถ์พอจะเข้าไปข้างในประตูปิดล็อคทุกบาน แต่มีบานหนึ่งไม่ลงกลอนช่างชิตก็หน้าด้านเปิดเข้าไปเลย 555++ ข้างในโบสถ์มืดมาก จนต้องเปิดไฟฉายจากมือถือส่องแสงสว่างระหว่างเราเดิน พอเข้าไปกราบพระประธาน กราบพระบรมสารีริกธาตุ แล้วเราก็ไม่ลืมอ่านประวัติ "เจ้าพ่อเสือสมิง" เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินทางออกจากวัด
    .....พอออกจากวัดได้ซักพัก ช่างชิตก็มีความรู้สึกว่า "จะต้องไปกราบศาลเจ้าพ่อเสือสมิงท่านให้ได้" จึงบอกน้องว่า "พาไปหน่อยน้องรู้จักไหม??" สหายน้องบอก ศาลเจ้าพ่อเขาสมิงอยู่ที่วัดเขาสมิง เราก็ตกลงไปกัน พอไปถึงวัดเขาสมิง สหายน้องบอกว่า "พี่ผมไม่รู้ว่าเป็นศาลดั่งเดิมไหมนะ แต่ก็รู้จักที่นี่ละ ที่อื่นไม่รู้" ช่างชิตยิ้มแล้วบอกกลับไปว่า "ไม่เป็นไรดูขนแขนพี่ เดี้ยวพี่บอกเอง"(ชิต ขนสัมผัส 555+)เราเข้าไปกราบในศาลก่อนหันหลังเดินออกมา สหายน้องถามว่า
    "เป็นไงบ้างพี่??....."
    "พี่ว่าไม่ใช่...ไม่รู้สิ พี่ว่าที่นี้ไม่ใช่ศาลที่เราตามหานะ"
    .....ตอนนั้นบอกตรงๆ ช่างชิตไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหนมาตอบ ทั้งๆที่ไม่ใช่คนแถวนั้นและไม่รู้ข้อมูลอะไรมาก่อนเลย แล้วถ้างั้นเราจะไปไหนต่อ???? มืดแปดด้าน หาข้อมูลสิรอไรละ คิดได้ดั่งนั้น ต่างคนก็ต่างโทรหาคนรู้จักที่อยู่ตราด ช่างชิตก็โทรหาเพื่อน สหายน้องก็โทรหาเพื่อน และแล้วคำตอบที่ได้ตรงกันคือ "ตรงศาลที่เราไปไหว้มาเมื่อกี้ละ ที่อื่นไม่รู้ ไม่น่ามี" แต่.......เพื่อนของสหายน้องบอกทิ้งท้ายไว้หน่อยว่า "มันมีศูนย์ส่งเสริมอะไรซักอย่างหลังวัดต้องอ้อมวัดเข้าไปอีก แต่ไม่รู้มีศาลหรือเปล่า" ประโยคนี้คือลายแทงที่เหลืออยู่สำหรับเราสองคน สหายน้องบอกเอาไงพี่ จังหวะนั้นบอกตรงๆมาขนาดนี้ละ ไม่มีอะไรต้องเสีย ไปเลย เราก็ไปตามที่เพื่อนของสหายน้องบอก
    .....จากนั้นเราก็หลงทางซักพัก 555++ จนมีความรู้สึกว่าออกนอกเส้นทางมาเยอะละ สหายน้องก็บอกช่างชิตว่า "ผมว่าตรงอบต เขาสมิง ที่เราเลยมาเมื่อกี้น่าขึ้นไปดูนะพี่ เพราะตรงนั้นเป็นตีนเขาสมิงจริงๆ" ช่างชิตก็บอก "ไปก็ไป" แล้วรถกะบะขับเคลื่อนสี่ล้อก็กลับหลังหันมุงกลับไปที่ทำการ อบต เขาสมิง
    ......ทุกท่านเชื่อไหมครับ .........เขียนแล้วขนลุก พอรถหยุดเราไปจอดที่ป้ายที่เขียนว่า "ศาลเจ้าพ่อเขาสมิง" พร้อมมีลูกศรชี้ขึ้นไปบนยอดเขา ซึ่งต้องเดินเท้าไป เมื่อมาถึงปากประตูเหลือแค่จะเดินเข้าไป ช่างชิตกับสหายน้องก็รีบปีนขึ้นเขาไปทันที ปีนไปซักพักช่างชิตก็นึกถึง....กล่องวัตถุมงคล...ในรถที่เราเอามาให้หลวงปู่เป่าให้ ช่างชิตเลยบอกสหายน้อง
    "น้อง พี่ว่าเราเอากล่องขึ้นมาด้วยดีกว่า" สหายน้องตาวาวอุทาน "เออใช่ พี่รอผมแป๊ปนะ" แล้วรีบวิ่งลงไปเอา ก่อนกลับขึ้นมาแล้วเดินปีนกันไปต่อต้องบอกว่าเหนื่อยมากกกกกก(ดูจากรูปเลย)
    .....พอไปถึงบริเวณศาลที่อยู่บนยอดเขา ช่างชิตไปถึงก่อนเพราะฟิตกว่าน้อง 555++ จังหวะที่หอบๆเพราะเหนื่อย สายตาก็ไปปะทะศาลเก่าๆกับเพิงไม้ ขนในตัวช่างชิตก็ลุกว้าบบเสียวสันหลังไปหมด ความรู้สึกเซ้นมันบอกนี้ละ "ใช่เลยที่ตรงนี้แน่นอน" ช่างชิตหันหลังตะโกนบอกเพื่อนร่วมทาง "ตรงนี้ละน้อง ที่เราตามหากัน" พอเราสองคนเขาไปในเพิง ต้องบอกว่าสภาพในเพิ่งยับเยินมาก รกรุงลังพอสมควร ยุงก็เยอะ ฝนก็ริน ช่างชิตก็รีบจุดธุป ไฟแชกก็ไม่ติด ธุปก็ชื้น เอาละสิ ทำไงดีละ ....
    .....ในใจก็บอกกล่าวถึงท่าน "ว่ามาขนาดนี้แล้วขอกราบขอไหว้ท่านหน่อยเถอะ" อยู่ดีๆไฟแซกก็ติด ....!!! แล้วช่างชิตก็กล่าวขอขมาท่าน ยกกล่องวัตถุมงคลขึ้นมา "อันเชิญคุณพระพุทธ พระะรรม พระสงฆ์ เป็นประธาน อันเชิญเทวดาที่อยู่บนเขา และบอกกล่าวเจ้าพ่อเสือสมิงให้ส่งพลังบารมีลงมาประจุในวัตถุมงคลกล่องนี้เพื่อให้เป็น มหาอำนาจเดชเดชะ แคล้วคลาดคงกะพัน มหาอุดปืนแตก กันผีสางคุณไสย เมตตาโชคลาภ มหาเสน่ห์คนรัก ......"อะไรดีๆช่างชิตก็ว่าสาธยายไป บลาๆ
    .....หลังจากนั้นก็วางกล่องในเสือเจ้าพ่อ สายตาก็มองไปรอบๆศาล
    เห็นสภาพแล้วบอกตรงๆ "รับไม่ได้" อยู่ดีๆ....!!! นึกอะไรไม่รู้ช่างชิตก็บอกสหายน้อง "พี่ว่าทำความสะอาดให้ท่านหน่อยดีกว่านะ" "เอาดิพี่" สหายน้องรับคำ เราสองก็ไม่รอช้าซัดซะเกือบครึ่งชั่วโมง จนพออกพอใจก็กราบลาเจ้าพ่อยกกล่องออกมา พอหันหลังกลับเท่านั้นละ "พี่..!! ผมขนลุกไปหมดเลย" สหายน้องบอกช่างชิตด้วยสีหน้าท่าทางทีพิศวงกับบรรยากาศที่แฝงไปด้วยตำนานความลี้ลับรอบตัว "อืม นั้นละดี ของจริง พี่ก็เป็น" พูดเสร็จก็โชว์ขนแขนแล้วก็เดินลงเขากันมา อิ่มอกอิ่มใจสตาร์ทรถก่อนเดินทางกลับจันท์บุรี
    ......ครับทุกท่าน ใครอ่านมาจนจบ ตบมือให้นะ 5555++ ช่างชิตไม่บอกว่าในกล่องนั้นมีอะไร แต่บอกแค่ว่า ......"ของเดิมๆก็สุดยอดเจตนา สุดยอดมวลสาร สุดยอดพิธีกรรมแล้ว" แต่ยังมามีทริปพิเศษๆแบบวันนี้ แม้ไม่บอกว่าเป็นอะไร แต่ถ้าใครได้ไป ไม่ขลัง ไม่เฮี้ยน ให้มันรู้ไปสิ หึหึ" .........แล้วช่างชิตเอามาขายหรา?? ก็ไม่....
    แล้วช่างชิตเอามาโชว์หรา?? ก็ไม่อีก...
    หลายคนบอก ปัดโธ่!! แล้วมาเล่าให้ฟังทำไม 555+
    ...ก็จะบอกว่าช่างชิตเอามาแจกครับ มาแจกพวกเราทุกคนครับ
    ใครติดตามกันมาอย่าพลาดเป็นอันขาดครับ ใครยังไม่แอดเข้ากลุ่มรีบเข้าซะ ของดีมีน้อย วันนั้นของแจกเยอะแยะ แต่ถ้าอะไรมีน้อยก็ต้องร่วมสนุกนิดๆหน่อยๆเพื่อความยุติธรรมนะครับ ยังไงขอให้ติดตามกันแบบนี้ไปตลอด 1000 คนวันไหนแล้วรอฟังข่าวดีได้เลย คืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ
    ...........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2015
  12. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(37).........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 59 (พรรษาสุดท้าย)*ต่อ
    (พ.ศ. 2537 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    สังขารแสดงถึงความชัดเจนแห่งการทรงอยู่ไม่ได้
    .
    วันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2538 หลวงปู่เริ่มมีอาการบวมที่ขาทั้ง 2 ข้างจนเห็นได้ชัด คณะแพทย์จึงได้ขออนุญาตนำเลือดและปัสสาวะไปตรวจ แต่ก็ยังไม่รู้ชัดเจนว่าหลวงปู่เป็นโรคอะไร อาการเหนื่อยและอ่อนเพลียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    .
    วันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นวันสงกรานต์และหยุดราชการ ลูกศิษย์จากที่ต่างๆได้มารวมกันทำบุญที่วัด และที่มาค้างคืนปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดก็มี
    .
    วันที่ 14 เมษายน 2538 เป็นวันสุดท้ายที่หลวงปู่ลงแสดงธรรมแก่ศิษยานุศิษย์ที่ศาลาการเปรียญ วันนั้นเป็นวันพระ 15 ค่ำ เวลา 20.00 น. คณะศิษยานุศิษย์ที่มาปฏิบัติธรรมได้ลงรวมกันที่ศาลาการเปรียญ หลวงปู่ผู้มีเมตตาได้พยายามฝืนสังขารของท่านที่กำลังถูกคุมคามอยู่ด้วยอาพาธเจ็บป่วย ลงสู่ที่ประชุมของศิษยานุศิษย์ แล้วได้นำไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วได้ให้โอวาทธรรมเตือนศิษยานุศิษย์ "ให้ตั้งอยู่ไม่ประมาท เพราะความเกิดความตายเป็นของคู่กัน" แล้วหลวงปู่จึงนำนั่งสมาธิภาวนาถึงเวลาพอสมควรแล้วจึงได้เลิกประชุม นับแต่วันนั้นมา หลวงปู่ไม่ได้ลงที่ศาลาการเปรียญอีกเลย หลวงปู่ได้พักประจำที่วิหารกลางน้ำตลอดมา ตอนเช้าหลวงปู่ให้ตั้งบาตรต่อหน้าท่านในวิหารกลางน้ำ คณะศิษย์ไปใส่บาตรและถวายภัตตาหารเฉพาะหลวงปู่ในวิหารกลางน้ำ และมีพระคอยอุปัฏฐากหลวงปู่อยู่ 1 รูป เวลาฉัน ท่านก็ยังฉันในบาตรอยู่ ไม่ทิ้งลายของพระกัมมัฏฐาน
    .
    คณะศิษย์ต่างมีความเป็นห่วง
    .
    ข่าวการอาพาธของหลวงปู่ได้แพร่กระจายไป ศิษยานุศิษย์ต่างมาเยี่ยมเยียนหลวงปู่มิได้ขาดแต่ละวัน แต่ละคนมาก็มีหยูกยาติดไม้ติดมือมา ทั้งสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน ท่านเมตตารับไว้และฉันให้บ้างพอให้ดีใจ เมื่อมีผู้กราบเรียนถามท่านว่า "หลวงปู่ป่วยคราวนี้จะหายไหม" หลวงปู่ก็บอกว่า "หาย" ปกติหลวงปู่เป็นผู้มีนิสัยไม่ชอบให้คนแตกตื่นและตกใจ
    .
    ทอดอาลัยในสังขาร
    .
    ผู้เขียนเห็นการอาพาธของหลวงปู่ในครั้งนี้ เกิดความไม่แน่ใจในการที่จะรั้งสังขารของหลวงปู่ไว้ได้ จึงกราบเรียนท่านว่า "ถ้าหากมีลูกศิษย์หรือคณะแพทย์ขอกราบอาราธนาหลวงปู่ไปพักรักษาในโรงพยาบาล หลวงปู่จะว่าอย่างไร เกล้ากระผม" ท่านตอบว่า "เราทุกข์มาหลายครั้งหลายหนแล้วเว้ย ทีนี้เราไม่เอาอีกแล้ว" เมื่อผู้เขียนได้ฟังท่านพูดอย่างนั้น จึงมีความแน่ใจว่า ในคราวนี้หลวงปู่จะทิ้งขันธ์อย่างแน่นอน จากนั้นจึงได้เตรียมจิตใจและเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้ การถวายหยูกยาและการตรวจอะไรก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของท่าน ถ้าท่านว่าหยุดแล้วก็ไม่รบกวนท่าน
    .
    คณะแพทย์กราบนิมนต์ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์
    .
    เพื่อความแน่ใจว่าหลวงปู่อาพาธด้วยโรคอะไรแน่ คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จึงกราบนิมนต์ให้หลวงปู่ไปตรวจที่โรงพยาบาล หลวงปู่ย้อนถามว่า "จะให้นอนที่โรงพยาบาลไหม ถ้าให้นอนโรงพยาบาลจะไม่ไป ถ้าตรวจรู้ว่าเป็นอะไรแล้วให้กลับวัดก็จะไปให้" คณะแพทย์ยอมรับว่าไม่ให้นอนโรงพยาบาล หลวงปู่จึงตกลงไป เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2538 รถรับหลวงปู่ออกจากวัดแต่เช้ามืด คณะแพทย์นิมนต์ให้ไปตรวจเจาะเลือดก่อน แล้วจึงถวายบิณฑบาตที่โรงพยาบาล เสร็จแล้วจัดให้หลวงปู่พักคอยที่ห้องพิเศษจนถึงตอนบ่ายหมอได้นำผลวิจัยมากราบเรียนให้ทราบว่า ท่านอาพาธด้วยโรคไตรั่ว โรคนี้รักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่รักษาชลอไว้ได้ คณะแพทย์จึงกราบขอนิมนต์ให้พักรักษาที่โรงพยาบาล แต่หลวงปู่ไม่ยอมรับ ทุกคนผิดหวังที่จะรั้งสังขารหลวงปู่ให้อยู่ต่อไปนานๆ ถึงเวลา 4 โมงเย็น จึงได้รับหลวงปู่กลับวัด หลวงปู่พักจำวัดที่วิหารกลางน้ำ อาการหลวงปู่ทรุดลงอ่อนเพลียจนไม่อยากฉันอาหารเลย อาการบวมเพิ่มมากขึ้น
    .
    วันที่ 2 พฤษภาคม หมอได้ถวายการรักษาหลวงปู่ด้วยการถวายยารักษาไต หลังจากฉันยาได้ 3-4 วัน หลวงปู่มีอาการดีขึ้น ฉันอาหารได้มากขึ้น พูดมีเสียงชัดเจน
    .
    วันที่ 7 พฤษภาคม คณะนักศึกษาแพทย์จากชมรมพุทธศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช ได้มากราบเยี่ยมหลวงปู่ หลวงปู่ได้เมตตาให้ธรรมะเป็นกัณฑ์สุดท้าย (กัณฑ์ปัจฉิมเทศนา) เป็นเวลานานพอสมควร ท่านเตือนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ต้นตอของธรรมอยู่ที่ใจ
    .
    สั่งให้พระทำกลดใหญ่
    .
    ในระยะที่หลวงปู่มีอาการดีขึ้น ตอนเช้าหลังจากฉันเช้าเสร็จ ท่านสั่งให้เอารถเข็นท่านลงมาพักตามร่มไม้ ในปีนั้นไม้ไผ่หนาม (ชาวบ้านเรียกว่า ไม้ไผ่ป่า) ได้ออกดอกเป็นขุยตาย ไม้ไผ่ที่หลวงปู่ให้นำมาปลูกเป็นรั้ววัดในคราวที่ท่านมาสร้างวัดใหม่ๆ (พ.ศ. 2493) ก็ตายทั้งหมด ท่านจึงสั่งให้พระเณรญาติโยมมาช่วยกันตัดทำความสะอาดออกให้หมด และท่านได้กำชับว่า "ให้ทำให้เสร็จก่อนเข้าพรรษาด้วย" และท่านได้สั่งให้พระที่มีฝีมือในการทำกลด นำเอาริ้วกลด ยาว 3 เมตร ที่ท่านเหลาไว้ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว มาประกอบให้เป็นกลดที่เสร็จสมบูรณ์ เมื่อลูกศิษย์ทั้งหลายมาเยี่ยมท่าน เห็นพระเณรช่วยกันทำกลดใหญ่ ต่างก็พากันไม่ชอบ เมื่อเห็นแล้วใครๆก็รู้ว่ากลดใหญ่นี้ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์อย่างอื่น นอกจากทำไว้สำหรับเมรุเผาศพครูบาอาจารย์สายกรรมฐานเท่านั้น ลูกศิษย์ญาติโยมก็พากันนิมนต์ให้พระหยุดทำกลดใหญ่ พระก็บอกญาติโยมว่า "หลวงปู่ท่านสั่งให้ทำ" ลูกศิษย์ญาติโยมก็ไปกราบเรียนหลวงปู่ขอให้พระหยุดทำกลดใหญ่ เพราะยังไม่อยากให้หลวงปู่เป็นอะไรไป หลวงปู่รักษากำลังใจของลูกศิษย์ลูกหา ท่านก็ให้พระหยุดทำไว้ก่อน เมื่อมีผู้ถามท่านว่า "หลวงปู่ อาพาธคราวนี้จะหายไหม" ท่านก็ตอบว่า "หาย" ในขณะที่ญาติโยมมาช่วยกันตัดถางไม้ไผ่ที่ตายทำความสะอาดนั้น ถึงแม้ท่านเดินเองไม่ได้แล้ว ท่านก็ยังให้เอาเตียงไปตั้งในบริเวณใกล้ๆ แล้วท่านก็นั่งพักนอนพักให้กำลังใจอยู่ด้วย
    .
    หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน มาเยี่ยม
    .
    วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 หลวงปู่ฉันภัตตาหารเช้าได้นิดหน่อย เสร็จแล้วท่านให้นำท่านลงจากวิหารกลางน้ำ ไปพักใต้ร่มไม้ทางด้านทิศใต้ของวัด เวลาประมาณบ่าย 1 โมง หลวงปู่นอนพักอยู่บนเตียงแคร่ไม้ไผ่ ผู้เขียนกำลังนั่งถวายพัดให้หลวงปู่อยู่ ได้มองเห็นหลวงปู่มหาบัวเดินมาจากทางศาลา จึงกราบเรียนให้หลวงปู่ทราบ หลวงปู่ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง ผู้เขียนให้พระเณรช่วยยกเตียงไม้ไผ่มาตั้งจัดที่นั่งถวายหลวงปู่มหาบัว เมื่อท่านมาถึงก็รับจีวรจากท่านไปผึ่งที่สายระเดียงตากฟ้า ท่านนั่งบนเตียงที่จัดถวายหลวงปู่พร้อมด้วยพระอุปัฏฐากกราบด้วยความเคารพอ่อนน้อม เสร็จแล้วหลวงปู่มหาบัวจึงบอกหลวงปู่ว่า "เอ้านอนตามสบาย คนป่วย" แต่หลวงปู่ไม่ยอมนอน
    .
    หลวงปู่มหาบัวหยิบกล่องตลับหมากออกจากย่ามเล็กๆของท่าน แล้วฉันหมากไปพลางพูดคุยกับหลวงปู่อย่างเป็นกันเอง "ได้ทราบว่าไม่สบาย เลยตั้งใจมาเยี่ยม ไม่ใช่มาทรมานคนป่วยนะ เป็นอย่างไรบ้าง" หลวงปู่ยกมือขึ้นประนมแล้วกราบเรียนว่า "ขอโอกาสพ่อแม่ครูอาจารย์ หมอบอกว่าเป็นโรคไตรั่ว โรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่หมอนิมนต์ให้เกล้ากระผมไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่เกล้ากระผมไม่ไป" หลวงปู่มหาบัวจึงพูดขึ้นว่า "ถ้ามันครึ่งต่อครึ่งก็ไม่ไปละ โรงพยาบาลก็ที่คนตายนั่นแหละ เตียงไหนคนไม่ตายใส่ไม่มีแหละ ถ้าเราไปหาหมอ หมอเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา เราก็เหมือนกับท่อนไม้ท่อนซุงนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเขาจะพลิกไปพลิกมาอย่างไรทำไปอย่างไรบ้างตามเรื่องของเขา หมอเขาไม่มีธรรมอะไรหละ มันอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ปล่อยเท่านั้นหละ"
    .
    เมื่อหลวงปู่มหาบัวท่านฉันหมากจืดคำหนึ่งแล้ว ท่านจึงพูดกับหลวงปู่อีกว่า "เอาละนะ จะกลับล่ะ ไม่มีอะไรจะเตือนกันหรอกนะ กัมมัฏฐานใหญ่เหมือนกัน" หลวงปู่พร้อมด้วยพระอุปัฏฐากกราบหลวงปู่มหาบัวด้วยความเคารพแล้ว หลวงปู่มหาบัวจึงหันไปพูดกับญาติโยมที่เข้ามากราบท่านในขณะนั้นว่า "ตั้งใจมาเยี่ยมอาจารย์บุญจันทร์ แต่ก่อนในคราวออกปฏิบัติ ท่านก็ออกปฏิบัติ เราก็ออกปฏิบัติ ได้เจอกัน ทุกข์ยากลำบากด้วยกัน เอาละกลับล่ะ เยี่ยมคนป่วยไม่รบกวนนานหรอก" ผู้เขียนนำจีวรเข้ามาถวาย แล้วจะรับย่ามท่านไปส่งที่รถซึ่งจอดอยู่ข้างศาลา ท่านไม่ให้รับ ท่านบอกว่า "จะทำให้ดู" แล้วท่านก็เอาย่ามเล็กๆของท่านใส่บ่าสะพาย เอาจีวรที่จีบเรียบร้อยแล้ว ใส่ไว้ที่รักแร้ เอาแขนหนีบไว้ แล้วท่านก็ลุกเดิน พร้อมกับพูดว่า "นี้ทำอย่างนี้ ไปไหนตามกันเป็นพรวน เห็นไหมมันเน่าเฟะอยู่นั้น นี้ทำอย่างนี้ ดูเอา" แล้วท่านก็เดินไปหารถ ผู้เขียนก็เดินตามหลังท่านไปส่งที่รถ ซึ่งจอดอยู่ข้างศาลาห่างจากที่หลวงปู่พักอยู่ประมาณ 5 เส้น
    .
    เมื่อเดินไปถึงรถแล้ว ท่านคลี่จีวรออกห่มคลุม ผู้เขียนนั่งลงกลัดลูกดุมรังดุมถวายท่าน พอดีมีลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่เป็นหมอเข้ามากราบเรียนหลวงปู่มหาบัวว่า "ลูกอยากจะนิมนต์ให้หลวงปู่บุญจันทร์ลงไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ท่านอาจารย์จะมีความเห็นว่าอย่างไร" ท่านตอบว่า "ให้ไปถามท่านเองนะ ถ้าท่านไปก็ไป ท่านไม่ไปก็แล้วแต่ท่าน" เสร็จแล้วหลวงปู่มหาบัวท่านก็ขึ้นรถกลับ
    .
    อาการทรุดลงเรื่อยๆ
    .
    ฉันอาหารได้น้อยลงทุกวัน อาการบวมเพิ่มมากขึ้น แต่ท่านยังให้นำท่านลงจากวิหารกลางน้ำไปพักตามร่มไม้ จนถึงเวลาเย็นจึงให้นำกลับเข้าพักในวิหารกลางน้ำ
    .
    อย่าอยากเด่นอยากดัง
    .
    วันหนึ่งขณะที่หลวงปู่พักอยู่ร่มไม้ ได้มีลูกศิษย์ลูกหาจากทางไกลมากราบเยี่ยมท่าน แล้วกลับไป หลวงปู่จึงเตือนพระลูกศิษย์ที่คอยอุปัฏฐากว่า "อย่าอยากเด่นอยากดังนะ มันยุ่งยากลำบาก อยู่สงบๆ มันสบาย"
    .
    รูป
    ภาพสุดท้ายของหลวงปู่ ถ่ายเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2538
    จะสังเกตเห็นอาการบวมทั้งตัวโดยเฉพาะที่เท้า
    ภาพวาดหลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เยี่ยมอาพาธหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล วันที่ 27 พฤษภาคม 2538 เป็นภาพจำลองเหตุการณ์ สถานที่ และการจัดวางข้าวของตามเป็นจริงทุกประการ
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
    ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 05_2538.jpg
      05_2538.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.5 KB
      เปิดดู:
      83
    • 27_05_2538.jpg
      27_05_2538.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.2 KB
      เปิดดู:
      325
  13. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(38).........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 59 (พรรษาสุดท้าย)*ต่อ
    (พ.ศ. 2537 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    อิริยาบถยืน เดิน ได้สิ้นสุดลง
    .
    เย็นวันที่ 7 มิถุนายน 2538 หลังจากพยุงหลวงปู่ยืนขึ้นนั่งรถเข็นจากเพิงมุงหญ้าใต้ร่มไม้ กลับขึ้นวิหารกลางน้ำ หลวงปู่เริ่มมีอาการไข้
    .
    วันที่ 8 มิถุนายน 2538 ตอนเช้า หลวงปู่ฉันพวกน้ำซุปนิดหน่อย แล้วท่านจะอยู่ในอิริยาบถนอนตลอด มีไข้สูงตลอดวัน ท่านไม่ให้ใครรบกวนจับต้องตัวท่าน คืนวันที่ 8 หมอตรวจพบว่าอาการไข้เกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และแขนซ้ายอักเสบเป็นผื่นแดง หมอจึงได้ขออนุญาตถวายยาปฏิชีวนะเข้าเส้น ในคืนวันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2538 เวลาประมาณ 04.00 น. อาการของหลวงปู่ดีขึ้นในวันรุ่งขึ้น แต่คณะญาติโยมเห็นว่าอาการบวมของหลวงปู่บวมมาก จึงอยากจะให้อาการบวมของหลวงปู่ลดลง แต่การจะทำให้บวมลดลง ต้องนอนโรงพยาบาล จึงจะมีเครื่องมือพร้อม จึงได้อ้อนวอนขอความเมตตาจากหลวงปู่ครั้งสุดท้าย เพื่อให้คณะศิษย์ได้ถวายการรักษา แต่หลวงปู่ไม่ยอมไป หมอให้สัญญากับหลวงปู่ว่า "ขอเพียง 3 วัน ถ้าไม่มีผลอย่างไรจะให้หลวงปู่กลับวัดได้" ในที่สุดหลวงปู่ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาแก่ศิษย์จึงอนุญาตให้ 3 วัน
    .
    คณะแพทย์จากโรงพยาบาลอำเภอไชยวาน ได้จัดรถพยาบาลถวายหลวงปู่ นำรถจอดที่ประตูทางเข้าวิหารกลางน้ำ นำเตียงรถพยาบาลเข้าไปในวิหารกลางน้ำ คณะศิษย์ผู้ชายช่วยกันยกหลวงปู่นอนบนเตียงพยาบาล แล้วหามมาขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าประตูทางเข้า เวลาประมาณ 11.00 น. รถนำหลวงปู่ออกจากวัดมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลอุดรธานี ผู้เขียนนั่งอยู่ข้างๆหลวงปู่ในรถพยาบาล ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างยิ่ง เหมือนกับว่าการนำท่านเคลื่อนไหวทำให้ท่านสัมผัสกับทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่องค์ท่านไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร เมื่อถึงโรงพยาบาลอุดรธานี หมอได้นำหลวงปู่เข้าพักที่ห้องพิเศษพระเถระ ตึกสงฆ์อาพาธ หมอได้ถวายน้ำเกลือเข้าเส้นและยาเพื่อจะทำให้ลดบวม แต่อาการไม่ดีขึ้นและเกิดการแทรกซ้อนทางหัวใจ จึงได้เชิญแพทย์ทางหัวใจเข้ามาตรวจอีก ในขณะที่แพทย์ทำการตรวจอยู่หลวงปู่จึงพูดว่า "ท่อนซุง ท่อนซุง" หลวงปู่พักรักษาอยู่ 1 คืน
    .
    เช้าวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2538 อาการไม่ดีขึ้น ท่านจึงเร่งให้เอาท่านกลับวัด ท่านบอกว่า "ไม่มีประโยชน์ดอก เอากลับวัด เอากลับวัด" หลังจากฉันเช้าเสร็จในวันนั้น คณะศิษย์ได้ประชุมปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร พอดีท่านอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก วัดป่านาคำน้อย ได้เข้าไปเยี่ยมหลวงปู่ คณะศิษย์จึงได้ขอให้ท่านเป็นผู้กราบเรียนหลวงปู่ ขอให้อยู่ครบ 3 วันก่อน เมื่อท่านอาจารย์อินทร์ถวายเข้าไปกราบเรียน หลวงปู่ท่านยืนยันเร่งให้เอาท่านกลับ ในที่สุดคณะศิษย์ได้ปฏิบัติตาม ติดต่อรถพยาบาลนำหลวงปู่กลับวัด ขณะรอรถอยู่นั้น ท่านได้ถามเป็นระยะๆว่า "รถมาถึงหรือยัง ทำไมหายากแท้ ซื้อเอาก็ได้ตั้ว" หลวงปู่บอกให้ซื้อรถเพราะท่านอยากจะกลับถึงวัดให้เร็วที่สุด รถพยาบาลจอดที่หน้าตึกสงฆ์อาพาธ คณะศิษย์ได้ช่วยกันหามหลวงปู่ออกจากห้องพักพิเศษพระเถระ ชั้น 2 ตึกสงฆ์อาพาธลงไปขึ้นรถพยาบาลที่จอดอยู่หน้าตึก รถได้นำหลวงปู่กลับจากโรงพยาบาลอุดรธานีถึงวัดป่าสันติกาวาสเวลาประมาณบ่าย 3 โมงเย็น นำหลวงปู่เข้าพักรักษาต่อในวิหารกลางน้ำ
    .
    วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน คณะศิษย์ได้ทำบุญต่ออายุถวายหลวงปู่ โดยนิมนต์ครูบาอาจารย์และพระสงฆ์จำนวน 100 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์ถวายหลวงปู่เวลา 15.00 น. เสร็จแล้วหลวงปู่คำพอง ติสฺโส เป็นองค์ประธานนำเครื่องสักการะเข้าไปถวายหลวงปู่ในห้องพักในวิหารกลางน้ำ พร้อมกับขอนิมนต์ให้หลวงปู่อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของศิษยานุศิษย์อีกต่อไป ในวันที่ 11 นี้เป็นวันขึ้น 14 ค่ำ เป็นวันโกน แต่ไม่ได้ถวายโกนผมให้หลวงปู่ เพราะเห็นว่าอาการของท่านอ่อนเพลียมาก
    .
    วันที่ 12 มิถุนายน อาการของหลวงปู่เหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย ในวันนี้เป็นวันปาฏิโมกข์ หลังจากพระสงฆ์ลงปาฏิโมกข์แล้ว พระสงฆ์ 4 รูปจึงเข้าไปในห้องที่หลวงปู่อาพาธอยู่ หลวงปู่ไม่สามารถจะลุกขึ้นนั่งได้ ท่านจึงนอนบอกบริสุทธิ์แก่สงฆ์อยู่บนเตียงพยาบาล
    .
    วันที่ 13 มิถุนายน เป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 7 เห็นว่าหลวงปู่มีอาการไม่เพลียมาก จึงขออนุญาตปลงผมถวายท่าน เป็นการปลงผมของหลวงปู่ครั้งสุดท้าย หลวงปู่หยุดน้ำที่เป็นประเภทอาหารตั้งแต่วันนี้ไป คงเหลือแต่น้ำธรรมดาพอให้ชุ่มคอ
    .
    วันที่ 14 มิถุนายน ทุกขเวทนาแสดงอาการเต็มที่ คณะศิษย์พยุงให้หลวงปู่ลุกขึ้นนั่งอึดใจหนึ่ง แล้วต้องนำท่านนอนลง
    .
    วันที่ 15 มิถุนายน หลวงปู่ปิดวาจา ไม่พูดกับใครๆ ไตของหลวงปู่หยุดทำงาน ปัสสาวะไม่ออก น้ำท่วมปอด สะอึกตลอดเวลา เสลดอุดลำคอ ใช้เครื่องช่วยดูดเสลด หลวงปู่เริ่มหลับเวลา 7.45 น.
    .
    วันที่ 16 มิถุนายน หลวงปู่ไม่มีการตอบสนองในการรักษาใดๆ มีแต่ลมหายใจแผ่วๆ พอสังเกตได้ คณะแพทย์จึงมีความเห็นว่า ไม่สามารถแก้ไขอาการอาพาธครั้งนี้ได้ "สัพเพ สังขารา อนิจจาติ" สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง แปรปรวนไป ไม่มีใครจะมีอำนาจฉุดยึดสังขารไว้ได้ตามความปรารถนาของตน ดังนั้นคณะแพทย์จึงหยุดถวายการรักษา ตั้งแต่เวลา 14.10 น. เหลือเพียงถวายน้ำและเช็ดตัวหลวงปู่เป็นครั้งคราวเท่านั้น คณะศิษย์ได้แต่เพียงเฝ้าดูอาการของหลวงปู่ ปล่อยให้สังขารเป็นไปตามความเป็นอนัตตาในตัวเอง
    .
    อาลัยอาวรณ์ในหลวงปู่ผู้มีพระคุณ
    .
    ข่าวการจะละสังขารของหลวงปู่ได้แพร่กระจายไปในหมู่ศิษย์ ผู้ที่เคยได้พึ่งพิงอิงอาศัยความร่มเย็นจากบารมีของหลวงปู่ทั้งใกล้ทั้งไกล ได้หลั่งไหลมาสู่วัดป่าสันติกาวาส บางคนบางหมู่มีรถก็นั่งรถมา บางคนบางหมู่ไม่มีรถก็เดินมา ทั้งเด็กหนุ่มสาวและคนแก่เฒ่า ทั้งเดินบ้างและวิ่งบ้าง สาวเท้าเข้าไวๆ จิตใจจดจ่ออยู่ที่หลวงปู่ กลัวท่านจะจากไปก่อน จะไม่เห็นใจ เมื่อมาถึงวัดแล้วก็ทยอยกันขึ้นสู่วิหารกลางน้ำซึ่งเป็นที่ที่หลวงปู่กำลังทำหน้าที่จะละสังขารเข้าสู่นิพพาน
    .
    เมื่อเข้าไปถึงต่างคนต่างมีใจจดจ่อ ตามองจดจ้องไปที่ร่างสังขารของหลวงปู่ ซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ในห้องกระจก เพียงมีลมหายใจเข้าออกเหมือนคนนอนหลับ ส่วนมือก็ประนมขึ้นเหนือเกล้า ก้มกราบหลวงปู่ผู้เป็นที่รักสุดหัวใจ ทั้งสะอึกสะอื้น น้ำตานองหน้าด้วยความอาลัยอาวรณ์สุดหัวใจ ก้มกราบแล้วก้มกราบอีก หมู่แล้วหมู่เล่า ทยอยกันขึ้นลงในวิหารกลางน้ำ ตั้งแต่เวลากลางวันจนถึงย่างเข้าสองยาม ความสงบได้ปกคลุมทั่วบริเวณวัดคงเหลือแต่คณะศิษย์ พระเณร และฆราวาส ผู้มีหน้าที่ดูแลหลวงปู่ เปลี่ยนวาระกันนั่งทำความสงบ คอยสังเกตดูว่าหลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร
    .
    กราบเรียนอาการให้หลวงปู่มหาบัวทราบ
    .
    เวลา 05.00 น. ของวันที่ 17 มิถุนายน 2538 ผู้เขียนได้เดินทางไปวัดป่าบ้านตาด ถึงวัดป่าบ้านตาดสว่างใกล้เวลาหลวงปู่มหาบัวท่านจะลงศาลา ผู้เขียนจึงพบพระผู้อุปัฏฐากท่าน บอกความประสงค์ให้ทราบ พระอุปัฏฐากให้เข้าไปพบหลวงปู่ที่กุฏิ เมื่อเข้าไปถึงบก็ขึ้นไปบนกุฏิท่านด้วยความเคารพ มีสติกำหนดรู้อยู่ที่ใจ นั่งลงกราบท่าน 3 หนแล้ว หลวงปู่มหาบัวท่านจึงถามว่า "มีธุระอะไร" ผู้เขียนยกมือประนมแล้วกราบเรียนท่านว่า "ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ขณะนี้หลวงปู่บุญจันทร์หยุดการรับรู้ภายนอกแล้ว เหลือแต่เพียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้น และหมอได้หยุดถวายการรักษาใดๆทั้งหมดแล้ว แต่ถ้าจะถวายการหยอดน้ำเป็นครั้งคราวจะสมควรหรือไม่"
    .
    หลวงปู่มหาบัวท่านตอบว่า "ถ้าเราหยอดแล้วท่านไม่แสดงอาการอย่างไรก็หยอดได้ แต่ถ้าท่านแสดงอาการไม่ยอมรับก็ให้หยุด" ท่านถามว่า "มีอะไรอีกไหม" กราบเรียนท่านว่า "ไม่มี" ท่านพูดว่า "เอาละ กลับได้" กราบท่าน 3 ครั้งแล้ว จึงเดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส
    .
    หลังจากฉันเช้าเสร็จ ผู้เขียนและพระเณรคณะศิษย์ของหลวงปู่ ได้เฝ้าดูหลวงปู่อยู่ในวิหารกลางน้ำ อาการของหลวงปู่ในวันที่ 17 มิถุนายน 2538 ยังคงมีเพียงลมหายใจเข้าออก เหมือนคนนอนหลับ และมีอาการสะบัดศีรษะเป็นครั้งคราว คณะศิษย์ญาติโยม พระเณรยังทยอยกันไปมากราบหลวงปู่บนวิหารกลางน้ำมิได้ขาด
    .
    หลวงปู่มหาบัวเข้าเยี่ยมดูอาการ
    .
    องค์หลวงปู่มหาบัวได้เดินทางมาถึงวัดป่าสันติกาวาสเวลาประมาณ 11.00 น. ของวันที่ 17 มิถุนายน 2538 ท่านได้เข้าไปห้องที่หลวงปู่อาพาธอยู่บนเตียงพยาบาล องค์หลวงปู่มหาบัวเข้าไปใกล้ๆข้างเตียง ยืนกำหนดเพ่งดูหลวงปู่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอยออกมานั่งเก้าอี้หวายที่จัดถวายท่านอยู่ข้างๆเตียงหลวงปู่ พระที่คอยดูแลอยู่ในห้องอาพาธหลวงปู่ 4-5 องค์ พร้อมกันกราบองค์หลวงปู่มหาบัว แล้วท่านจึงถามอาการของหลวงปู่ว่า "ศีรษะสะบัดอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ หรือ" ผู้เขียนกราบเรียนท่านว่า "เป็นอยู่เรื่อยๆ" ท่านนั่งอยู่ในห้องครู่หนึ่ง แล้วจึงออกมานั่งห้องโถงที่หลวงปู่เคยนั่งรับแขก คณะศิษย์ญาติโยมที่รออยู่พากันกราบองค์หลวงปู่มหาบัวด้วยความปลาบปลื้มปิติยินีเป็นอย่างยิ่ง องค์หลวงปู่มหาบัวได้ให้โอวาทเตือนคณะศิษย์ที่นั่งห้องล้อมท่านอยู่ในขณะนั้นว่า "อาจารย์บุญจันทร์แสดงสัจธรรมความจริงให้พวกเราดู พากันดูเอา น้อมเข้ามาหาตัวเรา ในที่สุดเราก็จะเป็นเหมือนกับท่าน"
    .
    เมื่อให้โอวาทจบแล้วท่านจึงถามว่า "มีที่พักไหม จะคอยดูอาการท่านบุญจันทร์สักหน่อย ถ้าไม่มีที่พักก็จะกลับ" ผู้เขียนจึงกราบเรียนท่านว่า "มี เกล้ากระผม" แล้วจึงให้พระเณรจัดที่กุฏิเก่าของหลวงปู่ถวายให้ท่านพัก พระเณรพากันเข้าไปถวายนวด ท่านพูดคุยเรื่องธรรมะให้เป็นคติแก่พระเณรที่ถวายนวดอย่างเป็นกันเอง จนถึงเวลาบ่าย 2 โมง ท่านจึงถามถึงอาการหลวงปู่ ผู้เขียนกราบเรียนถวายท่านว่า "ยังเหมือนเดิม" แล้วองค์หลวงปู่มหาบัวท่านจึงเดินทางกลับวัดป่าบ้านตาด
    .
    ในวันที่ 17 นี้ ตลอดทั้งวันจนถึงกลางคืน คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่ได้ทยอยกันมาสู่วิหารกลางน้ำ อันเป็นที่ที่หลวงปู่จะละสังขารวิบาก แต่ละคนมีความกระวนกระวายใจไม่เป็นอันอยู่อันกิน กลับไปกลับมาระหว่างบ้านกับวัด มีความอาลัยในหลวงปู่ ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรที่กำลังจะโค่นจากไปในไม่ช้า ทุกดวงใจคิดว่าหลวงปู่ต้องจากไปในคืนนี้อย่างแน่นอน บางคนถึงกับเอาเสื่อสาดมาปูตามร่มไม้รอบๆวิหารหลวงปู่ ทั้งนั่งนอนเพื่อคอยดูจะได้รู้ทันในเวลาหลวงปู่สิ้นลมปราณ ตอนหัวค่ำความมืดได้ปกคลุมทั่วบริเวณวัด จนเวลาล่วงเลยไปถึง 4-5 ทุ่ม พระจันทร์ข้างแรมในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 7 จึงได้สาดแสงสว่าง ลอดแนวไม้ลงสู่พื้นบริเวณวัด มองเห็นคณะศิษย์ของหลวงปู่ที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้เพื่อหลบน้ำค้าง บ้างก็นั่งอยู่กลางแจ้ง บ้างก็นั่งสมาธิภาวนา บ้างก็นั่งซุบซิบกันว่า เราจะทำอย่างไร เมื่อหลวงปู่ละสังขารจากไป บ้างก็คุยกันว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนเมื่อหลวงปู่จากไปแล้ว บ้างก็วิตกกังวลว่าต่อไปนี้เราจะพึ่งใคร ก้อนเมฆไหลผ่านบดบังพระจันทร์ ทำให้แสงสว่างสลัวลง เหมือนกับจะบอกว่าหลวงปู่จะจากไป แต่แล้วก้อนเมฆก็ผ่านไป แสงจันทร์สว่างขึ้น
    .
    เวลาผ่านไปถึงตีสาม เสียงไก่แจ้ที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ในบริเวณวัด ส่งเสียงขันเจื้อยแจ้วทั่วไปในบริเวณวัดเป็นสัญญาณบอกว่า "บัดนี้ใกล้สว่างแล้ว ประทีบแก้วจวนจะดับแล้วเต็มที จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท" ใกล้สว่างพระปฏิบัติในห้องอาพาธหลวงปู่ช่วยกันสรงองค์หลวงปู่ด้วยการเช็ดตัวด้วยผ้าหมาด เสร็จแล้วช่วยกันพยุงองค์หลวงปู่จากท่านอนหงายเป็นนอนตะแคงข้างขวาสีหไสยาสน์ หลวงปู่ยังหายใจเข้าออกเหมือนคนนอนหลับ
    .
    วันแห่งดวงประทีบแก้วลาลับดับแล้วจากวัฏฏสงสาร
    .
    วันที่ 18 มิถุนายน 2538 ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 6 ค่ำ เดือน 7 หลังจากฉันเช้าเสร็จแล้ว ดูอาการของหลวงปู่เหมือนคนนอนหลับ ผู้เขียนจึงลงจากวิหารกลางน้ำมาพบกับลูกศิษย์ที่มาจากบ้านโนนม่วงโคกใหญ่ อยู่ที่โรงต้มน้ำร้อนหน้าศาลาการเปรียญ เวลาประมาณ 10.30 น. เห็นรถตู้วิ่งเข้ามาจอดข้างศาลา มองไปดูในใจคิดว่าเหมือนกับรถองค์หลวงปู่มหาบัว พอรถจอดแล้วท่านเปิดประตูรถออกมาเป็นองค์หลวงปู่มหาบัวจริงๆ ผู้เขียนจึงรีบลุกไปรับท่าน ท่านบอกว่า "ไป รีบพาไปหาท่านบุญจันทร์" ผู้เขียนเดินนำท่านไปที่วิหารกลางน้ำ พอถึง องค์หลวงปู่มหาบัวท่านรีบเข้าไปในห้องอาพาธของหลวงปู่ ท่านยืนใกล้ๆทางศีรษะหลวงปู่ แล้วท่านเอามือท่านเปิดผ้าที่ปิดหน้าผากหลวงปู่ออกดู พร้อมกับพูดว่า "วันนี้บวมมากกว่าวานนี้" ในขณะนั้นหลวงปู่ได้หายใจเบาลง เหมือนกับจะขยิบตาเล็กน้อย แล้วหลวงปู่ก็หยุดหายใจละธาตุขันธ์ไปในที่สุดเมื่อเวลา 10.52 น. องค์หลวงปู่มหาบัวถอยไปนั่งเก้าอี้แล้วมองดูหลวงปู่พร้อมกับพูดว่า "เอ้า หยุดหายใจแล้ว" ระยะเวลาที่องค์หลวงปู่มหาบัวเข้าเยี่ยมอาการใช้เวลาเพียง 1.30 นาที ในขณะที่หลวงปู่ปล่อยวางขันธ์ห้านั้นเหมือนกับโลกธาตุนี้สงบนิ่งไม่มีอะไรเลย
    .
    หลังจากหลวงปู่ได้ละธาตุขันธ์แล้ว องค์หลวงปู่มหาบัวท่านจึงมอบหน้าที่ให้คณะศิษย์ของหลวงปู่จัดการเรื่องสรีระศพของหลวงปู่ แล้วท่านจึงออกจากห้องที่หลวงปู่ละสังขารมานั่งที่ห้องโถง จากนั้นเสียงระฆังในวัดได้ดังขึ้น เป็นสัญญาณให้รู้ว่าหลวงปู่ได้จากไป ดวงประทีบแก้วที่เคยให้แสงสว่างได้ดับลงแล้ว เหลือแต่ความมืดมนอนธกาลและความเศร้าสลดในหมู่ศิษย์ เมื่อได้ยินเสียงระฆังต่างคนก็รู้ว่าหลวงปู่ได้จากไป ต่างก็มารวมกันในมณฑลวิหารกลางน้ำอันเป็นสถานที่ที่หลวงปู่ละสังขาร สำหรับลูกศิษย์ผู้ชายและพระเณรก็เข้าในห้องที่หลวงปู่ละสังขาร ส่วนลูกศิษย์พวกผู้หญิงก็อยู่ข้างนอกห้อง มองผ่านกระจกเข้าไปดูองค์หลวงปู่ ซึ่งเหลือแต่รูปธาตุนอนนิ่งสงบอยู่ เป็นเวลาที่คณะศิษย์อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ บางคนก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น บางคนก็น้ำตาไหลได้แต่ปลงธรรมสังเว
    .
    "อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปฺปาทวยธมฺมิโน มีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปเป็นธรรมดา อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เกิดแล้วย่อมดับไป เตสํ วูปสโม สุโข ความเข้าไปสงบระงับแห่งสังขารเหล่านั้นได้ย่อมนำมาซึ่งความสุข" บัดนี้หลวงปู่ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับมาสู่โลกนี้อีกแล้ว แต่หลวงปู่เคยสอนว่า "บุคคลใดประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และระลึกถึงหลวงปู่ หลวงปู่ก็จะอยู่กับบุคคลผู้นั้นแหละ ผู้ใดขาดการปฏิบัติขาดการระลึกถึง หลวงปู่ก็ไม่อยู่กับบุคคลผู้นั้น"
    .
    คณะศิษย์ได้นำสรีระศพของหลวงปู่เข้าไปถวายการสรงน้ำในห้องน้ำสำหรับหลวงปู่ แล้วนำออกมาเปลี่ยนผ้าครองผ้าใหม่ถวาย แล้วนำองค์หลวงปู่นอนบนเตียงพยาบาล หมอปิดผ้าม่านฉีดยาสรีระศพ คณะศิษยานุศิษย์ยังรวมกันอยู่เต็มในวิหารกลางน้ำ องค์หลวงปู่มหาบัวท่านจึงบอกว่า "เราจะไปพักคอย เมื่อจัดการกันเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงไปบอกให้ทราบ" ผู้เขียนจึงจัดให้พระเณรนำท่านไปพักที่กุฏิของหลวงปู่ พระเณรถวายนวดท่านตามที่เคยปฏิบัติ หลวงปู่มหาบัวปรารภกับพระเณรที่คอยถวายนวดท่านว่า "ท่านบุญจันทร์คอยเรา พอเรามาถึงเข้าไปเยี่ยมก็ไปเลย"
    .
    องค์หลวงปู่มหาบัวเป็นประธานสรงน้ำศพ
    .
    เมื่อจัดการฉีดยาสรีระศพหลวงปู่เสร็จแล้ว จึงนำองค์หลวงปู่ออกจากห้องละสังขาร มาจัดไว้ที่ห้องโถง เพื่อให้ศิษยานุศิษย์ได้กราบไหว้และเตรียมสรงน้ำศพหลวงปู่ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงไปกราบเรียนให้หลวงปู่มหาบัวทราบ เวลา 14.00 น. องค์หลวงปู่มหาบัวลงสู่วิหารกลางน้ำ ชักผ้ามหาบังสุกุลที่ศพหลวงปู่ เสร็จแล้วท่านนั่งที่อาสนะ ผู้เขียนเข้ากราบเรียนเรื่องจัดการสรีระศพหลวงปู่ และขอถวายให้องค์ท่านเป็นประธานในการนี้ด้วย ผู้เขียนกราบเรียนท่านว่า "ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาจารย์ จะให้เอาไว้กี่วัน" ท่านตอบว่า "เรื่องนี้ผมไม่พูดหรอกนะ ถ้าผมพูดไปคนจะตกนรกมาก เรื่องกิเลสมันท่วมท้นอยู่แล้ว ถ้าเป็นผมละไม่ยากหรอก พระพุทธเจ้าผู้เป็นองค์ศาสดาก็เพียง 7-8 วันเท่านั้นแหละ นี้ให้พิจารณาเองเองนะ ตามสมควร" แล้วท่านเมตตาถามว่า "หีบศพมีแล้วหรือยัง" เรียนถวายท่านว่า "มีแล้ว เกล้ากระผม" เรื่องหีบศพนั้น อาจารย์ประจวบ ยูนิพันธ์ พร้อมครอบครัวได้สร้างหีบในเป็นหีบทอง หีบนอกประดับมุก นำมาถวายไว้ตอนหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่
    .
    จากนั้นจึงกราบนิมนต์ให้องค์หลวงปู่มหาบัวเป็นประธานนำสรงน้ำศพหลวงปู่ ต่อด้วยพระภิกษุสามเณร เสร็จแล้วจึงเป็นคณะญาติโยม ในขณะที่ญาติโยมกำลังชุลมุนกันจะสรงน้ำศพหลวงปู่อยู่นั้น องค์หลวงปู่มหาบัวท่านขอกลับก่อน ท่านว่า "ให้หลวงตาไปก่อน" ว่าแล้วท่านก็ออกจากวิหารกลางน้ำไปขึ้นรถที่จอดอยู่ข้างศาลาการเปรียญเดินทางกลับวัดป่าบ้านตาด
    .
    คณะศิษยานุศิษย์หมุนเวียนกันเข้าสู่วิหารกลางน้ำ สรงน้ำสรีระศพหลวงปู่จนถึงเวลา 16.00 น. จึงเคลื่อนสรีระศพของหลวงปู่ออกจากวิหารกลางน้ำ ขึ้นสู่ศาลาการเปรียญ
    .
    ให้โอวาทแก่บรรดาศิษยานุศิษย์ ได้ถวายน้ำสรงศพหลวงปู่ไปจนถึงวันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2538 เวลา 17.00 น. จึงได้นำสรีระของหลวงปู่เข้าบรรจุในหีบ ตั้งบำเพ็ญกุศลบนศาลาการเปรียญ เวลา 19.00 น. พระภิกษุสามเณรและญาติโยมประชุมทำวัตรเย็น ต่อด้วยการสวดมนต์ถวายหลวงปู่ เวลา 20.00 น. พระสงฆ์ 4 รูปสวดพระอภิธรรม โดยมีคณะศิษย์เป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม
    .
    หลังจากองค์หลวงปู่มหาบัวได้มอบหน้าที่ให้คณะศิษย์หลวงปู่พิจารณาในการจัดการสรีระศพของหลวงปู่ คณะศิษย์ได้ประชุมลงมติว่า ถ้าจะเอาไว้ 7 วัน การเตรียมสถานที่จะพระราชทานเพลิงศพจะไม่ทัน จึงเลื่อนไปเป็น 15 วัน คือวันที่ 2 กรกฎาคม แต่ปรากฏว่าไปตรงกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะศิษย์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการไม่สะดวกในการที่จะปฏิบัติงานถวายหลวงปู่ จึงขอเลื่อนไปเป็น 21 วัน คือวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เป็นวันพระราชทานเพลิงศพ
    .
    ตั้งสรีระศพบำเพ็ญกุศลบนศาลาการเปรียญ
    .
    นับตั้งแต่คืนวันที่ 19 มิถุนายน 2538 เป็นต้นไป คณะศิษยานุศิษย์ได้พร้อมกันบำเพ็ญกุศลเพื่อบูชาพระคุณของหลวงปู่โดยได้ประชุมทำวัตรสวดมนต์ ฟังสวดพระอภิธรรมและฟังพระธรรมเทศนาในเวลากลางคืนทุกคืน เวลาเช้าคณะศรัทธาญาติโยมได้มารวมกันทำบุญตักบาตรพระภิกษุสามเณรในบริเวณวัด และได้ช่วยกันเตรียมจัดทำเมรุสำหรับเป็นที่พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ จนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 คณะศิษย์ต่างมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกันทุ่มเทกำลังกายกำลังใจกำลังทรัพย์เพื่อบูชาพระคุณของหลวงปู่ ซึ่งเป็นที่เคารพรักบูชาอาลัยอย่างยิ่ง
    .
    แต่ละวันได้มีครูบาอาจารย์พระภิกษุสามเณรและศรัทธาญาติโยมได้มากราบคารวะศพของหลวงปู่มิได้ขาด องค์หลวงปู่มหาบัวท่านก็ได้เมตตาเยี่ยมดูความเรียบร้อยในการเตรียมงานถึง 2 ครั้งก่อนจะถึงวันพระราชทานเพลิงศพ และผู้เขียนได้เดินทางไปที่วัดป่าบ้านตาดเพื่อกราบอาราธนานิมนต์ ขอให้องค์หลวงปู่มหาบัวเป็นองค์แสดงธรรมในวันพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ด้วย ท่านรับด้วยความเมตตา และพูดออกตัวว่า "เดี๋ยวนี้ไม่ได้เทศน์ที่ไหนแล้ว ความจำก็ลืมหน้าลืมหลัง ธาตุขันธ์ก็อย่างนั้นแหละ ดูก่อนว่าจะเป็นอย่างไร"
    .
    รูป
    พระอาจารย์อินทร์ถวายสนฺตุสฺสโก
    พระอาจารย์คำพอง ติสฺโส
    คณะศิษยานุศิษย์กราบขอขมาศพหลวงปู่
    หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน ชักผ้าบังสุกุล
    หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นประธานสรงน้ำหลวงปู่
    เชิญสรีระหลวงปู่ออกจากวิหารกลางน้ำ
    เชิญสรีระหลวงปู่สู่ศาลาการเปรียญ
    ตั้งสรีระหลวงปู่บำเพ็ญกุศลที่ชั้นบนศาลาการเปรียญ
    .
    *โปรดติดตามต่อตอนไป
    ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • inthawai.jpg
      inthawai.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.6 KB
      เปิดดู:
      87
    • kampong.jpg
      kampong.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.3 KB
      เปิดดู:
      56
    • 18_06_2538.jpg
      18_06_2538.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.8 KB
      เปิดดู:
      73
    • 18_06_2538_2.jpg
      18_06_2538_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.5 KB
      เปิดดู:
      100
    • 18_06_2538_3.jpg
      18_06_2538_3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.1 KB
      เปิดดู:
      89
    • 18_06_2538_4.jpg
      18_06_2538_4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.9 KB
      เปิดดู:
      72
    • 18_06_2538_5.jpg
      18_06_2538_5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.9 KB
      เปิดดู:
      64
    • coffin.jpg
      coffin.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.8 KB
      เปิดดู:
      74
  14. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(39).........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 59 (พรรษาสุดท้าย)*ต่อ
    (พ.ศ. 2537 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    กำหนดการพระราชทานเพลิงศพพระครูศาสนูปกรณ์ (หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล) วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2538
    .
    เวลา 7.00 น. พระภิกษุสามเณรที่มาร่วมในงาน รับบิณฑบาตในบริเวณวัด ได้มีญาติโยมทั้งใกล้ทั้งไกลหลั่งไหลมาทำบุญตักบาตรจนเต็มในบริเวณวัด ทั้งตั้งโรงครัวโรงทานอาหารต่างๆ หลังจากทำบุญตักบาตรเสร็จแล้ว ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระภิกษุสามเณร
    .
    เวลา 9.00 น. หลวงปู่จันทา ถาวโร นำทำพิธีกราบคารวะศพหลวงปู่ เสร็จแล้วเคลื่อนศพจากศาลาการเปรียญไปสู่เมรุ ตั้งบนจิตตกาธาน
    .
    เวลา 13.00 น. แสดงพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์ โดยพระราชญาณวิสุทธิโสภณ (หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) จบแล้วพระสงฆ์ทั้งหมดที่มาร่วมในงานประมาณ 1000 รูป สวดมาติกาบังสุกุล จบแล้วถวายปัจจัยไทยทาน พระสงฆ์อนุโมทนา
    .
    เวลา 16.00 น. นายวิเชียร พัสถาน นายอำเภอไชยวาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อำเภอไชยวาน นำไฟพระราชทานจากที่ว่าการอำเภอไชยวานมาถึงวัด นำขึ้นไปประดิษฐานบนเมรุ จากนั้นเป็นพิธีทอดผ้าป่ามหาบังสุกุล พระสงฆ์ 10 รูป ชักผ้ามหาบังสุกุล องค์ที่ 10 ได้แก่หลวงปู่มหาบัว เป็นองค์ชักผ้ามหาบังสุกุลสุดท้าย เสร็จแล้วรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็ฯประธานวางดอกไม้จันทน์และจุดไฟพระราชทาน เสร็จแล้วต่อด้วยคณะข้าราชการและพ่อค้าประชาชนเป็นจำนวนมากขึ้นวางดอกไม้จันทน์ ขึ้นบันไดทิศตะวันตก ลงบันไดทิศเหนือ องค์หลวงปู่มหาบัวเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ วางดอกไม้จันทน์ต่อด้วยคณะพระเถระและพระภิกษุสามเณรเป็นจำนวนมาก ขึ้นบันไดทางทิศใต้ ลงบันไดทางทิศตะวันออก
    .
    เมื่อหลวงปู่มหาบัวเป็นประธานวางดอกไม้จันทน์แล้ว ท่านได้เมตตานั่งคอยในปะรำพิธีจนถึงเวลา 18.00 น. หลังจากประชาชนขึ้นวางดอกไม้จันทน์บนเมรุเบาบางแล้ว จึงได้กราบอาราธนาองค์ท่านเป็นองค์ประธานจุดเพลิงจริง แล้วต่อด้วยคณะศิษยานุศิษย์ที่ยังรอคอยถวายเพลิงจริงแด่สรีระศพของหลวงปู่ พระเพลิงได้ลุกขึ้นเป็นเปลวแดง ส่องแสงสว่างในเวลาพลบค่ำ กำลังทำหน้าที่เผาผลาญสรีระของหลวงปู่ให้ย่อยยับไป ตามสภาพอนัตตา ส่วนองค์หลวงปู่มหาบัวหลังจากท่านจุดเพลิงจริงที่จิตกาธานแล้ว ท่านเดินลงจากเมรุกลับไปที่กุฏิของหลวงปู่ ท่านอาจารย์อุ่นหล้า ฐิตธมฺโม และผู้เขียน ได้ตามท่านไปขอนิมนต์ให้ท่านสรงน้ำก่อน แต่ท่านไม่สรง ท่านบอกว่าจะกลับเลย คนขับได้เตรียมรถรออยู่หน้ากุฏิหลวงปู่แล้ว ท่านอาจารย์อุ่นหล้าและผู้เขียนพร้อมพระเณรได้นมัสการส่งท่านที่รถ ก่อนท่านจะขึ้นรถ ท่านได้เมตตามอบงานทุกอย่างว่า "เอาละ ทีนี้ให้พากันทำเอานะ" แล้วท่านก็ขึ้นรถพร้อมกับพระติดตามเดินทางกลับวัดป่าบ้านตาด
    .
    หลังจากองค์หลวงปู่มหาบัวเดินทางกลับแล้ว ความมืดได้ปกคลุมเข้ามา เหลือแต่แสงไฟเป็นเปลวแดงอยู่ที่เชิงตะกอนศพหลวงปู่ และแสงไฟฟ้าจากนีออนที่ติดอยู่ในบริเวณวัดและรอบเมรุ แสงจันทร์ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8 สาดแสงจากท้องฟ้าสู่พื้นดิน พอให้คนที่เดินไปมาได้มองเห็นทาง ทำให้เจ้าหน้าที่ไฟฟ้าที่นำรถเครื่องไฟฟ้าสำรองมาคอยช่วยความเรียบร้อยของไฟฟ้าในงานผ่านมาได้สองวันแล้ว เมื่อเห็นว่างานใกล้จะสิ้นสุด และไม่มีความขัดข้องทางไฟฟ้าเกิดขึ้น ช่างผู้เป็นหัวหน้าจึงสั่งให้นำรถเครื่องไฟฟ้ากลับไป พอรถเครื่องไฟฟ้าวิ่งพ้นเขตวัดออกไป เกิดเหตุอัศจรรย์ไฟฟ้าดับหมดทั่วบริเวณวัด เหลือแต่แสงจันทร์สาดแสงผ่านยอดไม้ลงมา และแสงไฟจากเชิงตะกอนบนเมรุเผาศพหลวงปู่ กับแสงตะเกียงน้ำมันที่จุดบูชาอยู่รอบเมรุ แสงไฟเทียนจุดตามโรงทาน และบนศาลาการเปรียญที่กำลังประชุมทำวัตรสวดมนต์ ส่องแสงวอมๆแวมๆ มองดูบรรยากาศในขณะนั้น ช่างเป็นธรรมชาติเสียจริงๆ เหมือนกับว่าหลวงปู่ ท่านจงใจอยากจะให้ลูกศิษย์ทั้งหลายได้รู้ว่า บรรยากาศธรรมชาติในอดีตที่ผ่านมา นับจากนี้ย้อนหลังกลับไป 20 ปี หลวงปู่และพระเณรลูกศิษย์ลูกหาใช้น้ำมันก๊าดและเทียนไขตรารถไฟและผีเสื้อ จุดเดินจงกรมทำความเพียรและกิจอื่น ดูเป็นธรรมชาติที่เยือกเย็น เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ช่างหัวหน้าไฟฟ้าวิทยุจึงรีบเรียกรถเครื่องไฟฟ้าให้กลับมา พอกลับมาถึงวัด ไฟฟ้าก็ติดเป็นปกติอย่างเดิม
    .
    เวลา 20.00 น. ประชุมทำวัตรสวดมนต์ที่ศาลาการเปรียญ เสร็จแล้วมีแสดงพระธรรมเทศนาอบรมจิตภาวนาโดยหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม จนถึงเวลาอันสมควร
    .
    เก็บอัฐิธาตุ
    .
    วันที่ 9 กรกฎาคม 2538 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 8 ปีกุน
    .
    เวลา 02.00 น. สรีระของหลวงปู่ได้ถูกพระเพลิงที่อาศัยถ่านและท่อนไม้จันทน์หอม ซึ่งนำมาจากประเทศลาวและไม้ตระไคร่ต้นไม้แปลกที่นำมาจากอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นเชื้อเพลิง ได้เผาไหม้จนเหลือแต่อัฐิธาตุ คณะศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาสที่มีหน้าที่ดูแลการเผาสรีระหลวงปู่ โดยมีพระอาจารย์อุ่นหล้าเป็นประธาน ได้มีมติเห็นพร้อมกันว่า ควรจะนำน้ำมาดับไฟ แล้วเก็บอัฐิธาตุของหลวงปู่ในเวลา 02.00 น. นั้น เพราะถ้าปล่อยให้สว่างก่อนจึงเก็บจะเกิดความวุ่นวาย เนื่องจากศิษยานุศิษย์ต่างมีความจดจ่อในการที่จะได้อัฐิธาตุของหลวงปู่ไปไว้สักการะบูชา บางคนถึงกับมานั่งเฝ้านอนเฝ้าก็มี แต่ในระยะเวลา 02.00 น. นั้น ได้ถูกความง่วงครอบงำ พากันหลับสบายอยู่บนศาลาก็มี อยู่ตามร่มไม้ข้างๆเมรุก็มี เป็นโอกาสดีที่จะไม่เกิดความวุ่นวาย จึงได้พร้อมกันนำน้ำมาดับไฟ แล้วเก็บอัฐิธาตุในเวลา 02.00 น. ส่วนที่เป็นอัฐิธาตุได้เก็บรวมเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนฝุ่นอังคารเถ้าถ่านได้เก็บรวมเป็นส่วนหนึ่ง เมื่อคณะกรรมการได้เก็บอัฐิธาตุและอังคารเถ้าถ่านเสร็จแล้ว พอใกล้สว่างต่างคนต่างทยอยกันมาที่เมรุ คนที่นอนเฝ้าก็ตื่นขึ้นไปดูที่เมรุก็เหลือแต่เตาอิฐ ชุลมุนกันเก็บฝุ่นเถ้าที่เหลือติดเตาอยู่ บ้างก็เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดตามก้อนอิฐในเตา เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เถ้าถ่านอังคารธาตุของหลวงปู่ไปไว้บูชา
    .
    เวลา 06.00 น. ทำพิธีสามหาบ พระสงฆ์ 4 รูปบังสุกุลอัฐิธาตุ
    .
    เวลา 07.00 น. คณะศิษยานุศิษย์ทำบุญตักบาตรรอบวิหารกลางน้ำหลวงปู่ พระสงฆ์รับบิณฑบาต จากนั้นพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ฉลองอัฐิธาตุหลวงปู่ จบแล้วถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณร พระสงฆ์อนุโมทนา เป็นเสร็จพิธีในการพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่
    .
    แจกอัฐิธาตุ
    .
    หลังจากเสร็จภัตตกิจ พระภิกษุสามเณรฉันภัตตาหารเสร็จ และญาติโยมที่มาร่วมในงานทั้งใกล้และไกลรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระอาจารย์อุ่นหล้า ฐิตธมฺโม เป็นประธานในการแจกอัฐิธาตุอังคารธาตุของหลวงปู่ ให้แก่ศิษยานุศิษย์ที่มาร่วมในงานได้นำไปไว้สักการะบูชาโดยทั่วถึงกัน อัฐิธาตุอีกส่วนหนึ่งก็ได้เก็บไว้เพื่อบรรจุในเจดีย์อนุสรณ์สถานของหลวงปู่ต่อไป เมื่อการแจกอัฐิธาตุอังคารธาตุของหลวงปู่เสร็จสิ้นลง คณะศิษย์ทั้งบรรพชิตและญาติโยม ที่ได้มาร่วมกันช่วยงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ ต่างก็ได้ร่ำลากันด้วยความเอิบอิ่มในบุญกุศลที่ได้ร่วมกันกระทำ เพื่อเป็นการเทิดทูนบูชาพระคุณของหลวงปู่ในคราวครั้งนี้โดยทั่วกัน และก่อนจะเดินทางกลับสู่สถานที่อยู่ของตน ต่างก็พากันไปกราบแสดงความอาลัยและกราบลาหลวงปู่ที่เมรุ แล้วจึงเดินทางกลับสถานที่อยู่ของตน
    .
    อนุสรณ์สถานของหลวงปู่
    .
    การพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่เสร็จสิ้นผ่านไป คณะศิษย์มีความเห็นว่า ควรจะสร้างอนุสรณ์สถานของหลวงปู่ไว้ เพื่อเป็นมรดกของอนุชนรุ่นหลังต่อไป คุณวิชิต คงประกายวุฒิ จึงรับภาระในการออกแบบเจดีย์ คณะศิษย์ขอให้เป็นแบบคล้ายๆพระธาตุพนม เพราะหลวงปู่ท่านผูกพันกับพระธาตุพนม ท่านได้เดินธุดงค์ไปนมัสการถึง 2 ครั้ง เมื่อคุณวิชิตออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 ผู้เขียนได้เดินทางไปวัดป่าบ้านตาด เพื่อกราบเรียนพ่อแม่ครูบาจารย์หลวงปู่มหาบัวว่า ท่านจะเห็นสมควรให้สร้างเจดีย์อนุสรณ์สถานของหลวงปู่บุญจันทร์หรือไม่ ซึ่งท่านไม่ขัดข้องให้ทำไปเลย จึงกำหนดการวางศิลามงคลสร้างพระธาตุเจดีย์หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล ในวันที่ 24 พฤศจิกาย พ.ศ. 2538
    .
    ครั้นถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2539 ผู้เขียนได้เดินทางไปวัดป่าบ้านตาด กราบเรียนขอนิมนต์องค์หลวงปู่มหาบัวมาเป็นประธานวางศิลามงคล ท่านบอกว่า "เราจะตายเพราะคนแล้วเดี๋ยวนี้ ธาตุขันธ์ไม่อำนวย ขอให้พากันทำเอาเลยนะ" ดังนั้น เมื่อถึงกำหนดการ จึงได้กราบนิมนต์หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม วัดเหวลึก เป็นองค์วางศิลามงคลสร้างพระธาตุเจดีย์หลวงปู่และทำพิธีเททองหล่อยอดเจดีย์และยอดฉัตรทองคำด้วย คณะศิษยานุศิษย์ได้มาร่วมในพิธีเป็นจำนวน และยังได้หล่อรูปเหมือนยืนขนาดใหญ่กว่าองค์จริงหลวงปู่เพื่อประดิษฐานภายในพระธาตุเจดีย์หลวงปู่ด้วย
    .
    หลังจากวางศิลามงคลแล้ว วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2540 ช่างได้ลงมือก่อสร้างพระธาตุเจดีย์ของหลวงปู่ ตามโครงการจะให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2542 เมื่อก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนส่วนยอด และจะบรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่ไว้ระหว่างกลางองค์เจดีย์ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะบูชาต่อไปชั่วกาลนาน
    .
    ดอกโกมุทปทุมชาติ ผุดขึ้นจากโคลนตม เจริญขึ้นเหนือน้ำ แย้มกลีบบานส่งกลิ่นหอมทั่วสารทิศ ไม่มีประมาณ ถึงกาลเวลาดอกปทุมชาติร่วงโรยไป คงเหลือไว้แต่กลิ่นหอมฟุ้งขจรในโลกา หลวงปู่ได้อุบัติขึ้นในตระกูลชาวนา ได้ปฏิบัติองค์ตรงตามทางอริยมรรคด้วยความไม่ประมาท ถึงซึ่งความเบิกบานในธรรม ให้ความเมตตาแก่ศิษย์ทั่วทุกทิศ บัดนี้ได้ละสังขารจากไป คงเหลือไว้แต่เกียรติคุณความดี เป็นเครื่องหมายในโลกา
    .
    สิริรวมอายุได้ 78 ปี 9 เดือน 3 วัน
    บรรพชาเป็นสามเณร 2 พรรษา อุปสมบทเป็นพระภิกษุ 59 พรรษา
    จบบริบูรณ์

    .
    รูป
    ด้านหน้าเมรุหลวงปู่
    หลวงปู่จันทานำพระสงฆ์กราบคาราวะสรีระหลวงปู่
    หลวงตามหาบัวชักผ้าบังสกุล
    หลวงตามหาบัววางดอกไม้จันทร์
    ประชุมเพลิงหลวงปู่
    ไฟประชุมเพลิงใกล้มอดเวลาเที่ยงคืน
    พิธีสามหาบเก็บอัฐิหลวงปู่
    อิฐหลวงปู่แปรสภาพเป็นพระธาตุ
    ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • cittakadhan.jpg
      cittakadhan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.1 KB
      เปิดดู:
      65
    • janta.jpg
      janta.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.6 KB
      เปิดดู:
      64
    • luangta_bangsukun.jpg
      luangta_bangsukun.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.2 KB
      เปิดดู:
      64
    • luangta_fire.jpg
      luangta_fire.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.9 KB
      เปิดดู:
      43
    • fire.jpg
      fire.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.1 KB
      เปิดดู:
      70
    • fire2.jpg
      fire2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.3 KB
      เปิดดู:
      70
    • samhab.jpg
      samhab.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.6 KB
      เปิดดู:
      75
    • kamalo_relics.jpg
      kamalo_relics.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.5 KB
      เปิดดู:
      56
    • kamalo_relics2.jpg
      kamalo_relics2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.6 KB
      เปิดดู:
      66
  15. tonzaba123

    tonzaba123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2014
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +20
    สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้นายช่างชิต จงเจริญในธรรม อิ่มบุญกุศล รำรวยโภคทรัพย์ มีเรื่องของครูบาอาจารย์มาเล่าให้ฟังอีกเยอะๆ นะครับ
     
  16. อนาคินร์

    อนาคินร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +1,437
    ดอกโกมุทปทุมชาติ ผุดขึ้นจากโคลนตม เจริญขึ้นเหนือน้ำ แย้มกลีบบานส่งกลิ่นหอมทั่วสารทิศ ไม่มีประมาณ ถึงกาลเวลาดอกปทุมชาติร่วงโรยไป คงเหลือไว้แต่กลิ่นหอมฟุ้งขจรในโลกา หลวงปู่ได้อุบัติขึ้นในตระกูลชาวนา ได้ปฏิบัติองค์ตรงตามทางอริยมรรคด้วยความไม่ประมาท ถึงซึ่งความเบิกบานในธรรม ให้ความเมตตาแก่ศิษย์ทั่วทุกทิศ บัดนี้ได้ละสังขารจากไป คงเหลือไว้แต่เกียรติคุณความดี เป็นเครื่องหมายในโลกา

    สาธุ สาธุ!! อนุโมทนา นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุติยา!!...pity_pig;9k
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2015
  17. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .....สวัสดีครับทุกท่านในบ้านหลังแรกของช่างชิตที่ได้ใช้อาคัยเขียนเรื่องหลวงตาและได้พบปะพูดคุยรู้จักกัลยานิมิตรที่ดีทุกๆท่านตามมาด้วย วันนี้เอารายละเอียดกิจกรรมของบ้านหลังที่สาม(กลุ่มเฟสบุ๊ค)มาเล่าสู่กันฟังหน่อย เพราะถือว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่มีคนรู้จักและศรัทธาหลวงตามากขึ้นมากขึ้น
    .....เมื่อคืนเป็นวันสุดท้ายของกิจกรรมต้องบอกว่าช่างชิตไม่ต้องหลับต้องนอนกันละ วุ่นแต่กับเคลียร์รายชื่อผู้โชคดีกับของรางวัลต่างๆอยู่กว่าจะลงตัวจะเช้าละ ก็เลยขอกล่าวปิดงานให้จบไปเลยละกัน ไม่ต้องรออาทิตย์ขึ้น
    ....อันดับแรกขอขอบพระคุณผู้มีอุปการะคุณที่สนับสนุนของรางวัลเพื่อเป็นทานกุศลในครั้งนี้ มีรายนามดั่งต่อไปนี้
    ...พระอาจารยอู๋
    ...อาจารยชาญชัย
    ....พี่หน่องเซียนเต่า
    ....น้องเอ็กซ์ 500ไร่

    .....รายนามท่านที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นผู้มีเมตตามอบวัตถุมงคลเพื่อให้งานนี้ดำเนินออกมาสมบูรณ์ที่สุด ช่างชิตขอขอบพระคุณอย่างสูง ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
    .
    ......ราละเอียดของรางวัลที่นำมาแจกในครั้งนี้
    1/รูปภาพครูบาอาจารย์ 40 รางวัล
    2/เสือ 12 รางวัล
    3/เหรียญธรรมจักร 10 รางวัล
    4/พระผงหลวงปู่มั่น 20 รางวัล
    5/เสือตาแดง 10 รางวัล
    6/พระสมเด็จ 4 รางวัล
    7/ชุดรวม3อาจารย์ 3 รางวัล
    8/ตะกรุด 1 รางวัล
    9/แหวนหัวเสือ 1 รางวัล
    รวมเป็น 101 รางวัล
    .
    .....ระยะเวลาดำเนินการร่วมสนุกใช้เวลา3วัน3คืน 2วันแรกเป็นการร่วมสนุกโดยอาศัยความไวในการตอบ ความรู้รอบตัวจากคำถามแบบปรนัยและคำถามวัดความใส่ใจในบทความเนื้อหาที่นำมาลงในกลุ่ม
    ......วันสุดท้ายเป็นการร่วมสนุกแบบอัตนัยล้วนๆ เพื่อเป็นการทดสอบความเข้าใจในสิ่งที่ช่างชิตนำเสนอมาตั้งแต่เริ่มแรก บวกกับให้ผู้ร่วมสนุกได้กล้าคิด วิเคราะห์ ด้วยเหตุและผลในทางโลกและทางธรรม กลั่นกรองความรู้สึกจากข้างในถ่ายทอดออกมาให้ตรงประเด็นและ "โดนใจ" ช่างชิตมากที่สุด ในโจทย์ข้อนั้นๆ เกณท์การตัดสินหลักๆของช่างชิตมีคร่าวๆคือ
    1 บทความมีเนื้อหาตรงประเด็นตรงคำถามไม่ซับซ้อนซ่อนชู้ให้ปวดใจ
    2 อ่านแล้วเข้าใจง่ายสามารถนึกภาพตามได้แบบ 3D จิ้งจกตกใส่หน้า
    3 อ่านแล้วมีอารมณ์ร่วม เช่น ถ้าอ่านแล้วปิติก็ต้องนั่งยิ้มเหมือนคนเมาซาอ่านแล้วแทงใจดำก็ต้องเข่าอ่อนค่อยๆทรุดจนสตั้นไป 5 วิ เป็นต้น
    ....นอกจากนั้น หลักเกณท์อื่นๆ เช่น ความยาวของเนื้อหา การใช้คำสวยงาม หรือความเร็วในการตอบ เป็นปัจจัยรองที่จะนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจ ต่อเมื่อ ในกรณีที่บทความมีความโดนใจใกล้เคียงกันจนใช้เกณท์หลักในการตัดสินอย่างเดียวไม่ได้ ก็จะใช้ปัจจัยอื่นๆมาช่วยเสริมในการตัดสิน เหมือนวิ่งเข้าเส้นชัยและตัดสินเหรียญทองด้วยภาพสโลโมชั่น
    .....ที่เสียเวลาอธิบายมาทั้งหมดตี 3 ตี 4 ไม่ยอมนอน ก็เพื่ออยากให้ทุกท่านสบายใจว่า ช่างชิตตัดสินให้รางวัลที่ตัวบทความเป็นหลัก โดยไม่ต้องดูหน้าคนเขียน มั่นใจว่า ตรงไปตรงมา และซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองที่สัมผัสกับตัวบทความนั้นๆจริงๆ
    ........
    ผู้ที่ได้รับรางวัลทั้งหมดจาก 101 รางวัล มีโดยกัน 75 ท่าน แบ่งเป็น
    ผู้ที่ได้ 1 รางวัล 51 ท่าน และผู้ที่ได้ 2 รางวัล 25 ท่าน
    .
    .......อยากจะบอกความในใจกับทุกๆท่านถึงกิจกรรมในครั้งนี้ว่า หลวงตาสมหมายท่านไม่ใช่พระโด่งดังมีตำแหน่งเดินพรมอยู่ชั้นเทพชั้นพรหมหรือมีพระเครื่องเครื่องรางราคาหลายๆแสน จนคนรู้จักทั่วฟ้าเมืองไทยที่พอตั้งกลุ่มขึ้นมาแล้วจะมีคนสนใจเข้ามาเป็นพันเป็นหมื่น การมีสมาชิกหลักร้อยปลายจนถึงพันนิดๆ สำหรับที่อื่นอาจเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้คิดว่าจะต้องทำอะไรให้มันพิเศษพิโส
    ......แต่ในความรู้สึกของคนๆหนึ่ง ที่ตั้งใจเขียนเชิดชูครูบาอาจารย์หลวงตาแก่ๆในป่าในดงต่างจังหวัด แล้วมีคนเข้ามาอ่านมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมร่วมเป็นสมาชิกจนเกิน 1000 คนก็ทำให้ช่างชิตดีใจมากมายเกินกว่าที่จะเรียกร้องอะไรจากโลกโซเชียลตรงนี้อีกแล้ว ที่เหลือหลังจากนี้คือกำไรและจะขอทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด จะเขียนต่อไปตราบจนถึงวันที่ไม่สามารถเขียนต่อได้ ถึงจะหยุดให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัยในห้วงเวลานั้น
    ......."สุดท้ายขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุณพระพุทธเจ้าโคดม คุณพระธรรมคำสอน คุณพระสงฆ์สาวกอรหันต์ทุกพระองค์ และบารมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงตาสมหมาย อัตตมโน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วในแดนสามโลกธาตุ จงอำนวยอวยชัยให้สมาชิกทุกๆท่านในกระทู้หลวงตาสมหมาย ที่เข้าไปร่วมสนุกก็ดีที่ไม่ร่วมก็ดี ที่ได้รางวัลก็ดีไม่ได้ก็ดี จงมีสิริมงคลในทุกๆด้าน ให้แคล้วคลาดคงกระพันกันอาวุธหยุดลูกปืน เป็นเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม เป็นตบะมหาอำนาจแก่บริวารและผู้พบเห็น มีโชคมีลาภ ร่ำรวยเงินทอง หมดโรคหมดภัยคุณสงคุณไสยผีสางนางไม้อย่าได้กล้ำกลาย นอนอย่าให้บ๊ก จ๊กอย่าให้ลง อย่าให้เขินเป็นหาด อย่าให้ขาดเป็นวัง สรรพการังยังสมบูรณ์พูลสุข ดีกว่าเก่า โอมอุอะมุมะมูลมา ขอจงไหลมาเข้ามาเรื่อยบ่อเซา เงินคำแก้ว อย่าให้ขาดเขินโถง
    ขอให้โฮงๆ ใสดังทองในเบ้า ขอให้ไหลมาเข้าเต็มกระเป๋าอึงตึง"
    ....
    ..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_4862.JPG
      IMG_4862.JPG
      ขนาดไฟล์:
      984.4 KB
      เปิดดู:
      110
    • IMG_1824.JPG
      IMG_1824.JPG
      ขนาดไฟล์:
      157.1 KB
      เปิดดู:
      88
  18. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    อนุโมทนาในสิ่งที่ทำเพื่อเชิดชูครูอาจารย์นะคราฟนายชั่งใหญ่^_^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.7 KB
      เปิดดู:
      55
  19. อนาคินร์

    อนาคินร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +1,437
    อ่าว!! งง!! ผมเปลี่ยนรูปแทนตัวในมือถือแล้ว แต่พอมาเล่นเวปผ่านโน๊ตบุค รูปกลับยังไม่เปลี่ยนละหนิ กรรม!! กลายเป็นคนสองร่างไปซะละ555
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ******************
    ก็ท่านพิมพ์ขาดตัว ไป ถึงได้เป็นคนละคนค่ะ;)
     

แชร์หน้านี้

Loading...