ใครโจมตีว่าเครื่องรางของขลัง การเสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากเป็นเดรัจฉานวิชา ไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉานเท่าไรนัก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 28 สิงหาคม 2015.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ๖๙. พระคำข้าวมหาลาภ

    “ข้าว” มีคุณอนันต์กับคนเรามาตั้งแต่ยุคพระเจ้าสร้างโลก ความจริงโลกเราก็คงอยู่ของมันอย่างนี้แหละ แต่หลังจากไฟบัลลัยกัลป์ล้างโลกแล้ว “อาภัสราพรหม” ที่ท่องเที่ยวผ่านมา ได้กลิ่นหอมของดินเผาไฟ อดใจไว้ไม่ได้ก็แวะมาชิมดู...
    ท่านผู้อ่านคงจะ พอจำกันได้ เมื่อหลายปีก่อนมีโฆษณาชิ้นหนึ่ง ขึ้นต้นด้วย “มีทุกข์ในเรือนกาย มีความตายในดวงตา น้ำนมแห่งมารดา ในสายเลือดยังเหือดหาย...” ลงท้ายด้วย “ดินเอ๋ยโอ้ดินนี้ ยังพอมีให้แบ่งปัน...” แล้วมีภาพเด็กกินดินกันอยู่...
    โฆษณาชุดนี้ฮือฮา มาก ถึงขนาดผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยุคนั้น ออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าประชาชนใต้การปกครองของท่าน อยู่ดีกินดีกันทั่วหน้า ไม่มีทางอดอยากขนาดกินดินกันหรอก โถ...ท่านไม่รู้อะไรน่ะ...!
    เด็ก ๆ เหล่านั้นรักษาสายเลือดบรรพบุรุษกันต่างหาก พออาภัสราพรหมกินดินเข้าไป ของหยาบก็ทำให้กายทิพย์หยาบ เหาะกลับพรหมโลกไม่ได้ พอนานไปก็ปรากฏเพศชัด ว่า ใครเป็นหญิงใครเป็นชาย เลยช่วยกันผลิตบรรพบุรุษให้เราไงเล่า...!
    พอ จำนวนมากเข้าดินไม่พอกิน อาศัยบุญเก่าก็เกิดมีต้นข้าวเกิดขึ้น ข้าวสมัยนั้นเป็นข้าวสารเลย ไม่มีเปลือก ใครหิวก็ไปเก็บมาหุงกินกัน นานไปมีคนโลภกักตุนข้าวกันขึ้น ข้าวคงหมั่นไส้ เลยเกิดเปลือกหุ้มเมล็ดอย่างทุกวันนี้...
    เห็นมั้ยล่ะ...ว่าคนเรากินดิน มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และข้าวก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ดังนั้น...การที่เด็กกินดินก็ไม่ใช่ของแปลก ทุกวันนี้เขาก็ยังกินดินกันทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ และบรรดาคุณแม่ทั้งหลาย ใครแพ้ท้องอยากกินดินขึ้นมา คนแก่คนเฒ่าเขาว่าเด็กเป็นพรหมมาเกิดเชียวนะจะบอกให้...
    ข้าวเป็น สัญลักษณ์แทนความมั่งคั่งบริบูรณ์ สมัยพุทธกาลเขานับข้าวเป็นทรัพย์ประเภทเดียวกับเงินทองเลยเชียว มาสมัยนี้ ข้าวยังคงใช้เป็นเคล็ดของความสมบูรณ์พูนสุขเช่นเดิม พิธีกรรมต่าง ๆ มักมีข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสุก เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ...
    ในเมื่อ ถือกันว่าข้าวเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งบริบูรณ์ โบราณท่านจึงมีการนำข้าวมาใช้ในพิธีต่าง ๆ เสมอ ทางพระก็มีการสร้างรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการใช้ข้าวมาเป็นส่วนผสมเช่นกัน...
    รูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ที่เกิดจากข้าวเป็นส่วนผสม ที่โด่งดังที่สุดคือ “สมเด็จวัดระฆัง” นั่นเอง ซึ่ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านใช้ข้าวคำที่รู้สึกว่าอร่อย คายออกมาตากแห้งบดเป็นผงผสมทำพระ จนเกิดสมเด็จวัดระฆังออกมา...
    ในสมัยต่อมามีหลายท่านที่เจริญรอยตาม ด้วยการทำพระจากส่วนผสมของคำข้าวบ้าง แต่จะหาใครที่โด่งดังเทียมเท่าต้นตำราไม่ได้เลย ของต้นฉบับกลายเป็นที่ต้องการมาก จนเกิดการทำเลียนแบบขึ้น ของปลอมเลยเต็มตลาด...
    “หลวงพ่อ” เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ปานก็สร้างพระจากคำข้าวเช่นกัน แต่หลวงปู่ทำแค่องค์เดียวเท่านั้น เวลาหลวงปู่ฉันข้าว ถ้ารู้สึกว่าคำไหนอร่อย ก็จะคายเก็บไว้ ตากจนแห้ง ทำอย่างนี้ตลอดสามเดือน แล้วเอาข้าวตากมาตำเป็นผง...
    จ้างช่างมาปั้นผง เป็นพระพุทธรูป ได้องค์เล็กหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว จากนั้นหลวงปู่ก็ทำพิธีบวงสรวง ขอบารมีพระและเทวดาช่วยรักษา แล้วสั่งว่า เวลาท่านไม่อยู่ ถ้าอาหารในโรงครัวไม่พอฉัน ให้จุดธูปขอกับหลวงพ่อคำข้าวนี้ จะได้อย่างใจทุกอย่าง...
    สมัยนั้นหลวงปู่ไปช่วยสร้างวัดสร้างโบสถ์ต่าง จังหวัดไกล ๆ ไปทีหลายเดือนกว่าจะกลับ พอหลวงปู่ไม่อยู่ก็เกิดลาภผลน้อย ไม่พอจะเลี้ยงพระในวัด ท่านจึงเมตตาทำหลวงพ่อคำข้าวขึ้นมา หวังจะให้สงเคราะห์เวลาท่านไม่อยู่...
    “หลวงพ่อ” ท่านชอบพิสูจน์ ดังนั้น อาหารยังไม่ทันจะขาด ท่านก็จุดธูปขอซะแล้ว จะเอากับข้าวชนิดไหน จากบ้านเหนือบ้านใต้ ได้อย่างใจทุกครั้ง ขอเพลินจนถูกหลวงปู่ซัดด้วยไม้เท้า ไหนว่าไปนานทำไมแค่สี่วันมาซะแล้ว...!
    หลวงปู่บอกว่าเทวดาไปฟ้อง ว่าทำตัวไม่สมกับเป็นพระ ติดในรสอาหารจนเกินพอดี แล้วเทศน์กัณฑ์มหาราชซะหูอื้อไปตาม ๆ กัน ขามาจากเขาวงพระจันทร์มาอย่างไรก็ไม่รู้เร็วจัง พอเทศน์เสร็จต้องประคองไปส่งกุฏิ หลวงปู่ขาไม่ค่อยดีเดินไม่ค่อยไหว...!
    พอ ฟังประวัติอาตมาก็อยากได้หลวงพ่อคำข้าวขึ้นมาทันที ถ้าได้มาจะขอยำหัวปลีกับผักบุ้งต้มจิ้มพริกน้ำปลามะนาว อยากฉันมานานแล้ว แต่หลวงพ่อคำข้าวอยู่วัดบางนมโค อาตมาเลยฝันค้างไปคนเดียว...ฮิ...ฮิ...
    ปลาย ปี ๒๕๓๒ อยู่ ๆ “พระ” ท่านก็มาบอกให้หลวงพ่อทำพระคำข้าวขึ้นมาบ้าง เวลาฉันท่านจะมาชึ้เอาคำข้าวคำนี้กับข้าวอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ แล้วเก็บตากแห้งไว้ ให้ช่างออกแบบพระมาให้เลือก ดูว่าจะเอาแบบไหนดี...
    ใน ที่สุดก็ได้แบบพระสี่เหลี่ยมองค์ขนาดหัวแม่มือ ด้านหน้าเป็นพระพุทธชินราช ด้านหลังเป็นภาพหลวงพ่อนั่งอยู่ในกระจังรูปคล้ายพัดยศ จำนวนพระ ๑๐๐,๐๐๐ องค์ กะว่าจะแจกกันให้หนวดหงอกไปเลย ดูซิว่าเมื่อไรจะหมด...!
    พิธีพุทธา ภิเษกทำที่วิหารร้อยเมตรในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. มีพระครูองค์หนึ่งจากจังหวัดนนทบุรี ขออนุญาตนำวัตถุมงคลของวัดท่าน จำนวน ๑ คันรถ มาเข้าพิธีด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็อนุญาตด้วยดี...
    เช่นเดียวกับทุก ครั้ง อาตมาจะนำวัตถุมงคลส่วนตัวไปร่วมเข้าพิธีด้วย ในวิหารร้อยเมตรแบ่งวัตถุมงคลเป็นสองที่ คือ ของท่านพระครูและบุคคลภายนอก ๑ ที่ ของวัดอีก ๑ ที่ แต่ก็อยู่ชิดติดกันนั่นเอง...
    อาตมาแบกลังวัตถุ มงคลส่วนตัว เข้าทางด้านหลังพระประธาน มองไปเห็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหลืองอร่ามไปหมด ก็ตั้งใจว่า จะวางลังไว้ใกล้ ๆ พระพุทธรูป พอเดินไปถึงอาตมาก็วางลังลง แล้วก็ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นเอง...?!?
    จะไม่ ให้งงเป็นไก่ตาแตกได้อย่างไร...? ในเมื่อวางลังวัตถุมงคลลงในกองแล้ว อาตมาไม่เห็นมีพระพุทธรูปแม้แต่องค์เดียว...! เหลียวไปดู...อ้าว...มาอยู่ข้างหลังนี่เอง แล้วอาตมาเดินผ่านไปตั้งแต่เมื่อไร...ของตั้ง ๑ คันรถเชียวนะ...!
    ประหลาด ดีแท้...ของก็วางเต็มล็อค ไม่มีทางหลบหลีกไปทางไหน อาตมาเดินมาตรง ๆ กลับฝ่าของกองมหึมาไปโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรเลย ดังนั้น...แทนที่จะวางรวมกับของท่านพระครู ก็กลายเป็นวางกับกองของวัดจนได้ ถูกบังคับนี่นา...!
    พอพุทธาภิเษกเสร็จ คราวนี้เกิดสงครามย่อย ๆ ขึ้นทันที ต่างคนต่างต้องการพระ เธอถุงฉันถุง ฉันยังไม่ได้นะ ขอฉันสองถุงซิ...แบงค์ห้าร้อยปลิวให้ว่อน อย่างกับเกิดการรบระหว่างอิรักกับคูเวตขึ้นกลางวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ไม่ปาน...!
    พระ เดชพระคุณหลวงพ่อ เมตตาศิษย์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ของดีของขลังของท่าน จึงมักตั้งราคาต่ำสุดไว้ก่อน เพื่อจะได้มีกันโดยทั่วถึง คราวนี้ก็เช่นกัน พระคำข้าวชุดนี้ตั้งราคาไว้องค์ละ ๑๐ บาทเหมือนเดิม (มาตรฐานวัดท่าซุง)
    พระ หนึ่งแสนองค์หมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน...! คิดว่าจะได้แจกจ่ายซักหลายปี กลับหมดลงแทบจะทันทีที่ปลุกเสกเสร็จ ราคาแพงขึ้นทันทีอย่างน่ากลัว ทันทีที่หมดก็มีคนให้องค์ละ ๑,๐๐๐ บาท เข้าไปแล้ว...! “หลวงพ่อ”ทราบดังนั้น จึงมีเมตตาเตือนว่า “อย่าไปซื้อเขาแพง ๆ เลยลูก มันหมดเปลืองโดยใช่เหตุ เอาไว้ในพรรษาหลวงพ่อจะทำให้ใหม่ อดใจรอหน่อยนะลูกนะ...” สาธุ...พระเดชพระคุณท่าน ช่างเมตตาเหลือประมาณ...
    อาตมา พอได้พระคำข้าวมา ก็ฝากแม่เบ็ญ(คุณเบ็ญจา วิบูลย์พันธุ์) ให้ไปทำกรอบทองให้ ผลออกมาคือช่างฝีมือห่วยชะมัดเลย อาตมาแค่บ่นว่า “ไม่สวยเลยแม่...” เท่านั้นเอง พระที่พกไม่ถึงครึ่งวันปาฏิหาริย์อันตรธานไปเมื่อไรก็ไม่รู้...หาเท่าไรก็ ไม่เจอ...!
    ตั้งใจกราบขอขมา บนหลวงพ่อสี่พระองค์ขอให้ได้พระคืน ก็ได้ดังใจไม่ทันข้ามวัน เพราะน้าเล็กเห็นอาตมานั่งหน้าเหี่ยวแล้วสงสาร เอาของตัวเองถวายอาตมาซะเลย องค์นี้ไม่หายแน่ ๆ เพราะสวยถูกใจ...แฮ่...แฮ่...
    พระคำข้าวรุ่นนี้ มีอานุภาพคือ “ให้ลาภ ปลอดโรค ศัตรูพินาศ” คือถ้าเราเชื่อถือมั่นคงจริง ๆ หมั่นบูชาด้วยความเคารพ ลาภผลเงินทองจะไหลมาเทมา โดยเฉพาะขอจากงานที่ทำ มีหลายรายต้องขอให้เบาลง เพราะทำไม่ไหว...!
    ส่วนด้านโรคภัยไข้เจ็บ อาราธนาบารมีท่านคุ้มครองป้องกันได้ หรือถ้าป่วยอธิษฐานทำน้ำมนต์กินก็หาย ศัตรูคิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง ของแบบนี้พิสูจน์ซะก่อนแหละเป็นดี จะได้ไม่ว่าอาตมาโฆษณาชวนเชื่อสิ่งเหลวไหล...
    ด้านลาภผลเงินทอง อาตมาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะตั้งแต่ได้พระมา รับเงินเกินหมื่นหลายวาระด้วยกัน รายที่หนักที่สุด ช่วยใช้หนี้แทนทีหนึ่งห้าหมื่นบาท ที่ถวายเป็นทองรูปพรรณก็มี รวยไม่รู้เรื่องละคุณเอ๋ย...!
    ยังดีที่อาตมาใช้เงินเป็น พอรับมาก็หายวับไปกับตา ไม่ชอบให้คั่งค้าง ตอนนี้ก็กำลังมองงานใหญ่เอาไว้ ปลายปีนี้ได้ลุยแน่ และหลวงพ่อกำลังทำผลพระรุ่นใหม่อยู่ ได้ยินว่าปลายปีคงได้เช่นกัน เอาเถอะ...ญาติโยมรวย พระก็สบายไปด้วย...
    “หลวง พ่อ”บอกว่า “พวกคุณถ้าจะขอเรียนวิชานี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดอย่างไร เพราะตอนเสกคำข้าว “พระ” ท่านจะมาชี้เองว่าเอาข้าวตรงนี้ กับอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ รุ่งขึ้นเปลี่ยนอีกแล้ว บางทีเหมือนกันสิบกว่าวัน อ้าว...เปลี่ยนบทใหม่อีกแล้ว...”
    “ไม่เป็นไรครับหลวงพ่อ...หลวงพ่อทำพระ ไว้เยอะ ๆ แล้วกัน ญาติโยมเขาคงกักตุนไว้เผื่อลูกเผื่อหลานของเขาเอง ในเมื่อต่างคนต่างมี ถึงสิ้นหลวงพ่อแล้ว ก็คงไม่เดือดร้อนถึงพวกผมที่จะต้องมาสร้างเองหรอกครับ...”
    “หลวงพ่อ” หัวเราะชอบใจบอกกับพระปลัดวิรัชว่างวดนี้ให้ทยอยทำไปเรื่อย ๆ “เอาซักห้าล้านองค์ดีไหมหว่า...?” หลวงพ่อถามแบบนี้ พระปลัดท่านถือว่าอนุญาตเลย มีหวังร้านรับพิมพ์พระหากินกับวัดท่าซุงวัดเดียวก็พอแล้ว...!
    ความ ปรารถนาของหลวงพ่อ คือ ต้องการให้ญาติโยมีความเป็นอยู่คล่องตัว คนเราพอไม่หนักใจในการดำรงชีวิต เขาก็มีแก่ใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเอง เงื่อนไขการใช้พระก็ต้องหมั่นสวดมนต์ – ไหว้พระ เท่ากับบังคับกันอยู่แล้ว...
    ใครจะโจมตีว่าเครื่องรางของขลัง การเสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากเป็นเดรัจฉานวิชา ก็โปรดดูอุบายแฝงที่ทำให้คนปฏิบัติความดีด้วย ถ้าท่านยังไม่ยอมเข้าใจ ก็เชิญท่านตามสบาย เพราะการหลับหูหลับตากัดเขาท่าเดียว ก็ไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉานเท่าไรนัก...! หรือท่านผู้อ่านมีความเห็นว่าอย่างไร...?

    ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    อานุภาพผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม
     
  2. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226
    คราวนี้ ไม่ปล่อยไปตามกรรมแล้วเหรอ
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ......

    ใครจะโจมตีว่าเครื่องรางของขลัง การเสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากเป็นเดรัจฉานวิชา ก็โปรดดูอุบายแฝงที่ทำให้คนปฏิบัติความดีด้วย ถ้าท่านยังไม่ยอมเข้าใจ ก็เชิญท่านตามสบาย เพราะการหลับหูหลับตากัดเขาท่าเดียว ก็ไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉานเท่าไรนัก...! หรือท่านผู้อ่านมีความเห็นว่าอย่างไร...?

    ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    อานุภาพผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม
     
  4. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    มหาศีล
    ติรัจฉานวิชา

    [๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า-
    ๑. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่
    สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา ๑- เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ๒- ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทางเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์.


    [๒๐] ๒. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะผ้าทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาสทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ
    @๑. หมายเอาวิชาที่ขวางทางสวรรค์ทางนิพพาน ซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ธรรมปฏิบัติ.
    @๒. คือสิ่งที่ตกจากเบื้องบน เช่นอสนีบาตเป็นต้น.
    ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทาทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค.


    [๒๑] ๓. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออกพระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิดพระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัยพระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย พระราชาพระองค์นี้จักปราชัยเพราะเหตุนี้ๆ.


    [๒๒] ๔. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราสดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทางดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้องดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้
    ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้.


    [๒๓] ๕. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่ายจักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนนคำนวณ นับประมวล แต่งกาพย์ โลกายตศาสตร์ ๑-


    [๒๔] ๖. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอนดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียงเป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ.


    [๒๕] ๗. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัดถุ์ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัดรักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้นเท่านี้แล.
    จบมหาศีล.
    @๑. ตำราว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับโลกชวนให้ตื่นเต้นอันไม่น่าเชื่อ เป็นศาสตร์ๆ หนึ่งของเดียรถีย์ ถ้าอาศัยตำรานี้แล้ว
    @ก็ไม่ยังจิตคิดทำบุญให้เกิดขึ้น.


    http://84000.org/tip...?B=9&A=0&Z=1071
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    "พุทธศาสนาของเรา ถ้าเอาพิธีกรรมที่เห็น ๆ คือใส่บาตรตอนเช้า ถ้าเราสามารถใส่บาตรได้ทุกเช้า ถึงเวลาเกิดความรู้สึกขาดไม่ได้ แสดงว่าการให้ทานของเราควบกับศีลไปในตัว เพราะว่าตอนเราใส่บาตรเราไม่ได้ล่วงศีลแม้แต่สิกขาบทเดียว จึงก่อให้เกิดสมาธิ เท่ากับว่าสามารถสร้างฌานสมาบัติจากพื้นฐานของทาน หลังจากนั้นเราจะไปต่อยอดอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่เราจะพิจารณา

    หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนว่า ถ้าไม่มีโอกาสใส่บาตรก็ให้ถวายข้าวพระทุกวัน แล้วก็จะมีพวกนักวิชาเกินคอยเที่ยวมาไล่งับ ไล่กัด ไล่ตำหนิชาวบ้าน บอกว่าไม่ใช่คำสอนของพุทธศาสนา ไม่มีในพระไตรปิฎก จะเรียกพวกนี้ว่าอย่างไร ? ปทปรมะ ก็ดูจะยกย่องเกินไป ต้องเรียกว่ามิจฉาทิฐิ

    ปทปรมะเป็นคนฉลาด ฉลาดมาก ๆ เลย แต่ฉลาดแบบไม่รับความคิดคนอื่น จึงเข้าถึงธรรมไม่ได้ แต่มิจฉาทิฐิไม่เอาใครไม่พอ หลงทางอีกต่างหาก แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ ให้ปฏิบัติธรรมก็ไม่เอาหรอก กูอ่านพระไตรปิฎกอย่างเดียว แล้วมาวิเคราะห์ว่าพระไตรปิฎกมาจารึกขึ้นหลังพุทธกาลล่วงมาแล้วตั้ง ๓๐๐ - ๔๐๐ ปี ต้องมีการแต่งเติมขึ้นมาเพื่อสรรเสริญคุณศาสดาของตน ว่าให้ชุ่ยไปหมด อ่าน ๆ ไปแล้วก็สงสารเขา ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนตายแล้ว ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ทัน

    เขาโจมตีเกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ ว่ากลบแก่นแท้ของศาสนา เสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก เสกวัตถุมงคลขึ้นมาทำให้ชาวบ้านยึดติด อย่างกับว่าถ้าไม่มีวัตถุมงคลแล้วชาวบ้านจะไม่ยึดติดอย่างอื่น หลวงปู่ดู่ท่านถึงบอกว่า "ติดวัตถุมงคลยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล" แล้วเป็นเรื่องแปลกว่า นักวิชาการเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะจบด็อกเตอร์กัน มีตำแหน่งทางวิชาการ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ ฉลาดจริงหรือเปล่า ? แม้กุศโลบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โบราณจารย์ทำให้ใจเราเกาะความดีเบื้องต้นก็ยังมองไม่เห็น แล้วจบด็อกเตอร์มาได้อย่างไร ?"

    <!-- / message --><!-- sig --> __________________
    ........................

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๗

     
  6. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    การเผยแพร่สิ่งที่คัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการทำลายพระศาสนา..!

    บาปหนักมาก ...การที่จะได้พบคำสอนที่ถูกแท้ ย่อมไม่ใช่ฐานะเพราะทำเหตุเสื่อมไว้ด้วยไม่มีปัญญาใคร่ครวญเพื่อรักษาตน..

    แม้จะเห็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่เอาสาระ จึงเป็นผู้เสื่อมใหญ่เสียแล้ว ควรขอขมาพระรัตนตรัยเสียโดยเร็ว..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2015
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ใครสร้างกรรม ก่อกรรมอะไรไว้ ก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้น



    กว่าจะรู้ตัวก็ตอนตายแล้ว ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ทัน
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สร้างกรรมไว้ เตือนไว้

    ว่าแล้วก็ แนะนำว่า อย่าลืมไปขอขมาหลวงพ่อนะครับ นะครับ ^^
     
  9. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941

    ...ไม่มีใครดีกว่าพระพุทธเจ้าแน่นอน ถ้ายังไม่รู้ความจริงข้อนี้ก็คงความบอดเขลาต่อไปนะน้อง อุตส่าห์มาเตือนด้วยกรุณา กลัวจะจุติก่อนรู้ว่าได้ปรามาสพระพุทธเจ้าไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ดูท่าว่าสายเกินแก้แล้วจริงๆ..


    พระพุทธเจ้าไม่มีความปรารถนาลามก ไม่กล่าวสิ่งเท็จทั้งในที่ลับและแจ้ง ไม่แนะนำทางไปทุคติอบายแก่สรรพสัตว์ สิ่งใดมีโทษก็ตรัสห้ามด้วยพระมหากรุณาหาที่สุดมิได้ ไม่เคยล่อลวงชาวบ้านด้วยหวังให้เขามาเป็นสาวก..

    คนที่ไม่มีสำนึกในพระมหากรุณาคุณของพระองค์ ย่อมเหยียบย่ำทำลายพระศาสนาเ พราะมีปัญญาทรามเช่นนี้เอง แม้จะไปขอขมาพระองค์ก็ไม่อาจมีผลอะไรๆได้ เพราะใจไม่มีศรัทธาพระพุทธเจ้า


    ..ปล. หากหลวงพ่อทราบกิจที่ข้าพเจ้าทำอยู่ ท่านย่อมปราโมทย์อนุโมทนาในฐานะที่เป็นพุทธบุตรนุ่งห่มธงชัยพระอรหันต์ ไม่มีความคิดซื่อบื้ออย่างเบอร์หรอกจ้ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2015
  10. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ...การแสดงสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ย่อมมีแต่"บัณฑิต"เท่านั้นสรรเสริญและอนุโมทนา .. พาลชนย่อมเห็นแต่โทษของพระธรรมของพระพุทธเจ้า แ ต่คนพาลนั่นย่อมไม่รู้และ... แม้ตายแล้วก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะหมดโอกาสพบคำสอนที่ถูกแท้ไปเสียแล้ว..จะโทษใครได้..นอกจากบาปกรรมที่ตนทำไว้ นะครับ นะครับ..
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ลองถามใจตัวเองดู ว่าภาวนา สมาธิ ฌาน ขึ้นหรือไม่ ตัวเองย่อมรู้ผลเอง ^^



    รู้ไหม มีพระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ พระอริยเจ้า พระโพธิสัตว์มากมาย แต่ตัวคุณไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ ไม่ยอมรับ ก็คงเป็นกรรมของตัวเอง

    หรือถ้ว่า ไม่รู้ ไม่เห็นไม่รับ ไม่สมารถรู้ได้ใครพระองค์ไหน เป็นอริยเจ้า ก็ต้องบอกว่า เป็นกรรมของผู้นั้นอีกนั้นเอง

    ลองพิจารณาตัวเองให้ดีๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2015
  12. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941

    ก รรมดีของข้าพเจ้ายังรักษาข้าพเจ้าไว้ให้พบแต่คำสอนของพระบรมศาสดา จึงไม่ออกนอกลู่ไปคัดค้าน...กล่าวสวนทางกับพระพุทธเจ้านะครับ
    ไม่งั้นจะฉิบหายไปใหญ่โตเพราะคิดว่าตนรู้ดีกว่าพระพุทธเจ้า ..

    ข้าพเจ้าไม่มีครูอาจารย์เป็นสรณะดอกครับ มีแต่พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์(อริยะแท้)เป็นสรณะ...น้องเบอร์ล่ะมีใครเป็นสรณะอยู่?..มีปัญญาทราบชัดรึยังว่าแน่ใจได้ในที่พึ่งนั้น? น้องไปกราบถามท่านที่น้องกล่าวมา หากท่านใดไม่เห็นด้วยกับพระพุทธเจ้า ก็ให้รู้ว่านั่นของปลอมแล้ว..อย่าเชื่อเพราะคนจำนวนมากเชื่อ ส่วนมากแล้วเชื่อผิด จำนวนน้อยมากที่จะเชื่อถูกฝาถูกตัว...บุญน้อยนั่นเองจึงไม่อาจรู้ของจริงได้..


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2015
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ไม่รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น หนทางก็คับแคบ

    ลองดูประวัติครูบาอาจารย์ ว่าช่วยเหลือสงเคราะห์มามากเท่าไหร่ ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงศาสนาพุทธมากเท่าไหร่ สร้างวัดบำรุงมามากมายแค่ไหน


    ชาวบ้านยึดบูชาพระเครื่องเป็นที่พึ่งทางใจ อารมณ์ก็นึกถึงพระ พระพุทธเจ้า ได้บุญกุศลกรรม

    กับคนที่เอาแต่เที่ยวต่อต้านโน้นนี้ ใครได้บุญ ใครได้กุกศลกรรมกันแน่

    แล้วลองพิจาณาดูตัวเอง ช่วยให้คนมาทำบุญ ช่วยให้คนมาเข้าวัด ได้มากน้อยเหมือนพระอริยเจ้าได้มากน้อยแค่ไหน

    คิดพิจารณาด้วยตัวเองได้ ว่าใครกันแน่ที่ช่วยส่งเสริม ศาสนาพุทธในประเทศไทย ให้เจริญ

    คำสอนของหลวงพ่อ มีไว้เตือนสติ ไว้เป็นข้อคิด มีแต่คนที่ไม่สามารถเข้าใจธรรม ไม่เปิดใจรับฟังผู้อื่น เท่านั้นที่ไม่สมารถที่จะเข้าใจธรรมของพระอรหันต์ได้

    คนที่เสียหายก็คือคนที่ก่อกรรมเอง ใครก่ออะไรไว้ก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้น

    คนที่ฉิบหาย ก็คงเป็นเพราะกรรมที่ตัวผู้นั้นก่อไว้นั้นเอง ^^ คิดเอาหนอ..


    "ติดวัตถุมงคลยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล"

    สิ่งต่างๆไม่ใช่วัตถุมงคล มีให้ติดมากมาย แต่พอเป็นพระเครื่อง เป็นวัตถุมงคล ก็จะออกมาต่อต้าน แบบนี้ ก็คงพิจารณาตัวเองก็แล้วกัน

    .
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ตำรา ก็มาจาก พระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้บันทึก อย่าลืมไปก็แล้วกันว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก่อนที่จะมีตำรา ออกมาภายหลัง ยึดตำราจากสาวกพระพุทธเจ้า แบบนี้ ถามตัวเองดู

    พระอริยเจ้า พระอรหันต์มีธรรมเสมอเหมือนกัน

    จะยึดอะไรก็ให้มีสติ พิจารณาตัวเอง

    จะเอาแต่ตำรา เอาแต่พุทธพจน์ แต่ไม่ดูตามความเป็นจริง ไม่ยอมรับ ค้านคำเทศน์สอน ของพระสงฆ์พระอริยเจ้า ที่มีธรรม ก็ลองกลับไปพิจารณาดูตัวเองว่าการที่เที่ยวเอาคำพุทธพจน์ แต่ค้านคำเทศน์สอนของพระอริยเจ้า พระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ที่สงเคราะห์ ญาติโยม อย่างนี้ เป็นการช่วยสร้างบุญ หรือเป็นทางฉิบหาย สร้างอกุศลกรรมแก่ตัวเอง

    จะอ้างว่า เอาแต่ธรรมแท้ในตำรา แต่ค้าน ไม่เอาคำสอนของพระอริยเจ้า ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็อย่าลืมไปว่า ตำรา ก็ได้จากการที่สาวกเป็นผู้บันทึกไว้

    ตัวเราเองไม่ได้มีปัญญา ภูมิธรรมที่จะไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้าได้ด้วยตัวเอง ได้แต่ศึกษาอ่านตามตำรา

    ไม่ได้มีปัญญา ภาวนามยปัญญา จากการรู้จริง เห็นจริง เหมือนพระอริยเข้า ก็ลองพิจารณาดูตัวเอง


    ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ท่านเหล่านั้นยังเลี้ยงชีวิตโดยมิจฉาชีพด้วยเดรัจฉานวิชาเห็นปานนี้

    การ สงเคราะห์ ของพระสงฆ์ ก็ยังแยกแยะไม่ได้ ไม่ออกแบบนี้

    ก็แสดงว่าเป็นเพราะกรรม ภูมิธรรมของบุคคลนั้นๆเอง ก็คงเป็นไปตามกฏแห่งกรรม


    ก็คงเป็นที่ คน คนที่เอาคำเทศน์สอนในตำรา ไปสร้างกรรม ก่อกรรมหาใส่ตัวนั้นเอง


    .
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2015
  15. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941

    เหตุผลข้างบนนี้ มีปรากฏจากมิจฉาทิฏฐิบุคคลที่ไม่มีข้ออ้างอื่นที่จะรองรับความเห็นผิด เชื่อผิดของตน..ใครมันจะรับผิดล่ะ เสียหน้าตายเลยนิน้อง..เอาความผิดไปโยนให้ตำรา อพิโธ่ น่าสงสาร เพิ่มการปรามาสพระอรหันต์พระอริยะ(ของจริง) เข้าไปอีกบานทะโรค ...หมดกัน...หาทางออกจากสังสารวัฏได้ยากเสียแล้วน้องเอ๋ย...ไอ้ที่ควรสงสัยดันไม่สงสัย ไปหาว่าตำราเพี้ยน นี่ไงความมักง่ายของคนปัญญาทราม..!

    ...ถ้ามี"มิจฉาสติ"อย่างน้องนี้ ไม่เอาด้วยหรอก...มีแล้วเจ๊งออกอากาศนี่น่ากลัวนะจะบอกให้ .. คนจำนวนมากที่พลอยได้ไอเดียผิดๆจากน้องนี้ จะพากันเข้ารกพงไปอีกหลายอัตภาพ ไม่สงสารพวกเขาหรือ..

    แล้วติดตำราที่ถูกที่
    พระสาวกของพระพุทธเจ้ารวบรวมไว้..กับ
    ติดอาจารย์จนไม่เห็นความผิดถูก อะไรมันดีกว่ากันคร้าบหนูน้อยด้อยปัญญา??


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2015
  16. กฮ

    กฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +415
    ของพวกนี้มันก็เหมือนมีด การเที่ยวเอาไปกรีดผู้คนมันผิด การหลงคิดว่าการเที่ยวกรีดผู้คนได้มันก็ผิดเช่นกัน หากจะอ้างหมอ แม้แต่หมอที่จะรักษาก็ไม่จำเป็นต้องผ่าเพื่อรักษาไปทุกโรค หมอเขาจะผ่าก็เมื่อเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

    จะบอกว่าตำราผิด ที่ผิดนั้น ตำรามันผิดหรือใจคนเรามันผิดกัน กันแน่หือ
     
  17. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226
    อ่านชื่อกระทู้หลายๆเที่ยว แล้วเข้าใจแบบนี้
    กระทู้บอกว่า .. ใครกัดหมาก็ต้องนับว่าเป็นหมา เพราะกัดเป็นเหมือนกัน!
     
  18. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941

    ..Great conclusion!! :cool::cool:
     
  19. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ถึงจะมีอะไรแทรกสอดไว้ดิรัจฉานวิชาก็คือดิรัจฉานวิชาครับ ถามว่าคนที่ได้เครื่องรางของขลังไปจะเข้าใจสิ่งที่สอดแทรกเข้าไป 100 เปอร์เซ็นหรือเปล่า ก็ไม่ บางคนก็เอาแต่พึ่งสิ่งที่เป็นดิรัจฉานวิชาเสียด้วยซ้ำ ขนาดที่ว่ารอแต่การพึ่งพาสิ่งที่ตนเข้าใจว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นประจำ หวังให้บันดาลโชคลาภให้จะได้อยู่อย่างสบาย ๆ กับเขาเสียที และบางคนก็เอาสิ่งที่สิ่งที่ทำขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่ระรึกแทนพระพุทธเจ้า หรือรูปของพระรูปนั้นรูปนี้ไปจำหน่ายหาเงินใช้ สิ่งที่เขาได้จากดิรัจฉานวิชาพวกนี้คืออะไร เมตตามหานิยม ดึงดูดเพศตรงข้าม แคล้วคลาดปลอดภัย อยู่ยงคงกระพัน แล้วผมขอถามว่า สิ่งที่ได้จากดิรัจฉานวิชาเหล่านี้มันทำให้พ้นทุกข์ได้จริง ๆ หรือเปล่า แล้วสิ่งของพวกนี้มีข้อไหนที่มีสรรพคุณทำให้ผู้ถือครองบรรลุธรรมได้โดยตรงมั้ย แบบว่า แค่มีก็เป็นอริยะได้น่ะ สุดท้ายสิ่งของและวิชาเหล่านี้ ก็ไม่ได้มีส่วนที่ทำให้พวกเราออกจากทุกข์ได้โดยตรงอยู่ดี แถมยังเป็นตัวกีดกันไม่ให้เราฉลาดขึ้นหรือเกิดปัญญาทางธรรมด้วยซ้ำ พระโสดาบันเห็นเครื่องรางของขลังเป็นเรื่องไร้สาระครับ ผมฟันธง ขนาดผมเป็นปุถุชนผมยังเห็นเครื่องรางของขลังเป็นเรื่องไร้สาระเลย


    ถึงมีแล้วมันจะดี แต่ไม่มีมันจะดีเสียกว่า เพราะถ้าไม่มีดิรัจฉานวิชาเข้ามา ก็ไม่มีเครื่องกั้นการเรียนรู้พระธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2015
  20. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    มันก็ต้องยึดจากตำราของสาวกพระพุทธเจ้าสิ ถ้าท่านจะเรียนพระธรรมเพื่อตรัสรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ก่อนถึงจะมีตำราจริง และพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้บัญญัติพระธรรมคำสอนที่ต่อมาได้ถูกรวบรวมไว้ในพระไตรปิฏก ภายหลังแม้ไม่มีพระพุทธเจ้า ก็มีผู้ศึกษาตำราและบรรลุธรรมตาม หากไม่มีตำราท่านจะเรียนรู้หรือปฏิบัติอย่างไรให้บรรลุธรรม ?

    ท่านพูดไม่ถูก
    พระอริยเจ้า ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ ต่างก็มีธรรม แต่รู้ธรรมไม่เสมอกัน คือ (มีธรรมน่ะมีอยู่หรอก ต่างองค์ต่างก็มีธรรม แต่รู้ธรรมไม่เท่ากัน) แม้สาวกที่เป็นปุถุชนธรรมด๊า ธรรมดา ถ้าเชื่อฟังพระศาสดา นับถือพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องก็เป็นผู้มีธรรม แต่ก็เพราะรู้ธรรมไม่เท่าพระอริยะก็เลยเป็นได้แค่ปุถุชน

    ถ้าไม่มีตำรา ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วถ้าไม่มีตำราจะยึดเอาความรู้จากที่ไหนมาเรียน อย่างน้อยถ้ามีตำราเป็นหลักให้ยึดเหนี่ยวเรียนรู้ ก็จะรู้ว่าต้องเริ่มอย่างไร ต้องปฏิบัติอย่างไร แม้ในตำราจะมีคำแต่งของสาวกบ้าง เนื้อหาส่วนใหญ่ก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ดี หรือท่านจะให้ชาวบ้านชาวช่องเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้วบอกว่านี่เราเรียนตามคำสอนของพระศาสดานะ?

    บางทีการถกเถียงกันว่าอันไหนพุทธวจนะ หรือไม่ใช่ ก็ดูไร้สาระเสียเหลือเกิน แต่มันก็จริงที่พระพุทธองค์สั่งให้ทำตามพระธรรมวินัยที่พระองค์ทรงบัญญัติเท่านั้น แล้วมีคนมาแต่งเพิ่ม และการจะไปตรวจสอบแก้ไขว่าอันไหนพุทธวจนะ อันไหนสาวกแต่งเพิ่มก็เป็นการยากเสียด้วย แต่ ตำราที่เรายังถกเถียงกันอยู่ก็ทำให้เกิดพระอรหันต์ขึ้นมามากมายแล้วไม่ใช่หรือ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...