ขอเรื่องรูปนามอีกสักรอบ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 11 สิงหาคม 2015.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    พอมีคนเขาบอกก็ว่าเขาสอน ครั้นเขาถามกลับ (เพื่อให้เข้าใจเอง) ก็ว่า ขอคำแนะนำ ตกลงจะเอายังไง
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    มีคนให้ทุนซื้อรถเข็นยังฮะ อย่าขายซีดีเถื่อนนะฮะ
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    บอกไม่เชื่อ (deejai) ว่ามันเกินกำลัง



    ถามหลัก ลม. อีกทีสิ (จักขุ) ตา เห็น อะไร ?
     
  4. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ยาย(คุณยาย)
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    คิกๆๆ (deejai)
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ถ้าไม่มีใครให้ยืมเงินทำทุนซื้อรถเข็นก็เล่น
    บทตลกหลวงประจำบอร์ดก็พอได้นะฮะ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ถามลุงแมวหน่อยหนึ่งครับ
    ก่อนที่จะชวนสนทนาต่อ คำว่า รูปนาม ในความหมายลุงแมว
    คือ รูปธรรม กับ นามธรรม หรือเปล่าครับ คือลุงจะถาม
    ว่าจะปฏิบัติอย่างไร เพื่อให้จิตมันแยก ส่วนรูปธรรม กับส่วนนามธรรมได้
    หรือจะต้องการทราบว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราสามารถ แยกรูปธรรม
    กับนามธรรมได้...หรือ รวมทั้งวิธีตรวจสอบด้วยตัวเราเองว่า
    ตัวจิตเราเองมันสามารถแยกรูปธรรม กับ นามธรรมได้จริงๆครับ...
    ประเด็นไหน หรือว่า ต้องการทราบทุกประเด็นครับ..
    ส่วนเรื่องการลดอัตตา และจะเห็นอะไรต่ออะไรได้ จนไปเห็นไตรลักษณ์
    ต่อไปในอนาคตได้นั้น และเป็นแบบที่
    ตัวจิตเห็นจริงๆนะครับ ไม่ใช่จากตำราหรือคิดเอาเอง มันมีพื้นฐานเบื้องต้น
    จากการแยกรูปธรรมกับนามธรรมให้ได้ก่อนเป็นพื้นฐานอยู่แล้วครับ..
    และพวกนี้ มันก็สามารถแยกกันได้ ในกำลังสมาธิไม่ว่าระดับไม่สูงมาก
    กับระดับกำลังสมาธิที่สูงพวกที่แยกได้ในระดับสูงไม่ค่อยมีปัญหาครับ
    เพราะมันจะมาพร้อมกับความเข้าใจนามธรรมและอะไรหลายๆอย่าง..
    ..ซึ่งไม่ว่าจะกำลังสมาธิระดับไหนมันมีกิริยาทางจิตที่มีรายละเอียดพอสมควรที่
    จะบอกได้ว่าตัวจิตเรามันแยกได้จริงๆ เห็นได้จริงๆครับ..
    ลองว่ามาครับ เผื่อว่าจะเล่าหลักในการสังเกตุให้ฟังครับ
    ว่าถ้าตัวจิตเรา มันแยกรูปธรรมกับนามธรรมได้จริงๆ
    มันมีลักษณะกิริยาปกติเป็นอย่างไรครับ.
    ปล.ประมาณนี้ครับ
     
  8. Snooty

    Snooty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +670
    ถ้าไม่เป็นการรบกวนพี่นพมากเกินไป ก็รบกวนขอความรู้ทุกประเด็นเลยได้มั้ยคะ (^_^)
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ตื่นเต้นเลยฮะ
    เอาแบบว่าเสมือนหนึ่งผมเริ่มหัดฝึกสมาธิเลยก็ดีครับ
    เชื่อว่ามีผู้สนใจอื่นๆจะติดตามอีกไม่น้อย
    เลยครับ
    มีวิธีภาวนาแบบใดครับ ที่เกี่ยวโยงโดยตรง
    กับเรื่องนามรูป
    และการเห็นแจ้งนามรูป
    หรือการเห็นนามรูปนั้นสามาาถจะกระโดดข้ามไป
    เห็นโดยจิตที่มีฌานแล้วได้เลย
    โดยไม่ต้องมีความเข้าใจล่วงหน้าได้หรือไมครับ
    ไม่รีบครับ ขอติดตามแบบเขียนเมื่อไรอ่านเมื่อนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2015
  10. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924


    ขอฟังด้วยครับ น่าสนใจทุกประเด็นเลยครับ
     
  11. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    ธรรมะทิ่มตำอยู่ทุกวัน จะไปหาที่ไหนกันพ่อคุณ

    สิ่งที่มองเห็นด้วยตาทั้งหมด เรียกว่า รูป (รูปารมณ์)

    เห็นเป็นรูป รู้เป็นนาม ไม่ใช่ตาเห็นยาย ถ้าตาเห็นเป็นยาย ไม่ใช่เห็นธรรมแล้ว เห็นเป็นสัตว์บุคคลปรุงแต่งไปตามสมมุติบัญญัติ

    ตา+รูป
    หู+เสียง
    จมูก+กลิ่น
    ลิ้น+รส
    กาย+สัมผัส
    ใจ+ธัมม์ (ธัมมารมณ์เรื่องที่ใจคิด)
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เมื่อไรออกรถเข็นได้ก็คงมีสินค้าที่
    เป็น CD ธรรมะมากพอนะ เพราะสอน
    ไปด้วยปั๊มแผ่นไปด้วย
    ลองชวน bigtoo มาเป็นงาน
    ฝ่ายขายด้วยฮะ เขาเคยขายหนัง
    สือ พทวจน.ชำนาญอยู่นะพอช่วย
    กันทำกินได้
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ลม.แมวขอรับ อย่าหนีความจริงเลย กลับมาทางถูกเถอะ ไปไกลแล้วขอรับ :d(deejai)
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    มจด.จะบอกให้ลุงแมวขอโทษมวลมหาชนตามที่เพื่อนตู่
    เคยสั่งคนอื่นใช่มะฮะ??
    บอกอีกรอบว่าชวนกันไปเข็นรถขายCD ธรรมะที่ผลิตกัน
    ขึ้นมาเองดีกว่าฮะได้มีรายได้แก้เครียดบ้าง
     
  15. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    งั้นก่อนรู้รูปนามลุงแมวมาฝึกสัมปะชัญญะก่อนดีมั้ย ฝึกจับลิงมาฝูกกับเสาเขื่อนเสาหลักก่อนนะเอาจิตอยู่กับลมหายใจเข้าออกก่อน เมื่อหายใจยาวสั้นก็รู้ ก่อนจะไปสังเกตุรูปนาม
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    สวัสดีครับ ลุงแมว ยาวหน่อยนะครับหลายตอนครับ...
    ถือว่าเป็นการเล่าให้ฟัง ถ้าเข้าใจได้
    หวังว่าคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ...
    มาว่ากันตอนที่ ๑ ก่อนครับ
    รูปนาม หรือรูปธรรมกับนามธรรม...
    ประเด็นเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้ตัวจิตมีความสามารถในการ
    แยกรูปธรรมกับนามธรรมได้ ขอเล่าให้อะไรให้ฟังก่อนเพื่อจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น..
    รูปในที่นี้หมายถึงกาย หรือร่างกายเรานี้หละครับ..หรือสิ่งต่างๆที่ประกอบ
    ขึ้นมามีรูปมีร่างอย่างใดอย่างหนึ่งและเราสามารถเรียกชื่อได้..แต่ในทีนี้เราจะเน้น
    เฉพาะรูปนามที่เกี่ยวข้องกับร่างกายเราไม่ได้เน้นไปที่วัตถุนะครับ และนามธรรมในนี้ที่หมายถึง
    ฝ่ายความคิด ฝ่ายอารมณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้เป็นต้น.
    .ซึ่งในส่วนรูปนามนั้น ส่วนนามธรรมเนื่องจากมันจับต้องไม่ได้และเห็นได้ยาก
    ดังนั้น จึงของเล่าในส่วนนามธรรมนี้ให้ฟังก่อนครับ นามธรรมในที่นี้ประกอบด้วย
    ๑.ตัวจิตของเราเอง ๒.ตัวความคิดที่เกิดจากจิต หรือ ความคิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจเรา
    สุดแล้วแต่จะเรียก..ตัวอย่างเช่น เราสามารถคิดว่า สิ่งนั้นดีก็ได้ หรือ สิ่งนั้นไม่ดีก็ได้ เป็นต้น
    ที่ความคิดมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจเรา ก็เพราะว่ามันมีต้นกำเนิดออกมาจากตรงตัวจิต
    ของเรานั่นเองครับ โดยปกติแล้วความคิดที่เกิดจากจิตนี้ เราจะยังใช้ในการดำเนินชีวิต
    ใช้ในการหาเลี้ยงชีพ ใช้เพื่อการศึกษา ฯลฯ ประมาณนี้..สังเกตุได้ว่า ความคิดพวกนี้มีเอกลักษณ์
    อย่างหนึ่งคือเมื่อเราไม่ได้ใช้มันเป็นเวลานานๆ มันจะสามารถเสื่อมไปได้ของมันเองครับ.
    พูดง่ายๆว่า ลืมได้โดยธรรมชาตินั้นเอง.....
    ๓.ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ฝ่ายนามธรรม ( วิญญาณ สัญญา สังขารและเวทนา) บ้างก็เรียกว่า
    วิบากกรรมเก่า โดยมากมักจะมาในรูปของความจำได้(สัญญา)ในอดีตเสมอ จากการเครื่องรับรู้
    (วิญญาณ)ทางอายตนะตัวใดตัวหนึ่ง ไม่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือ จิต
    จากนั้นก็เริ่มเข้ามาปรุงแต่ง(สังขาร) ทำให้เราเกิดความรู้สึก(เวทนา)อย่างใดอย่างใดอย่างหนึ่ง

    ไม่ สุข เศร้า เหงา โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา ดีใจ ชอบใจ รวมความว่า ทำให้เกิดความรู้สึก
    เชิง กุศลหรืออกุศลนั้นเอง.... และความคิดพวกนี้ มันจะมีเอกลักษณ์ตรงที่เราจะไม่สามารถ
    ไปเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่เข้ามาได้เหมือนกับความคิดที่เกิดจากจิตครับ...
    และลักษณะความคิดพวกนี้ จะขึ้นมาได้เองอย่างที่เราไม่ได้ตั้งใจ
    เราไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะขึ้นมาเรื่องอะไร.. และขึ้นมาได้ไม่เลือกที่ไม่เลือกเวลา และการที่เรา
    ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงเรื่องราวได้นั้น เพราะว่าต้นกำเนิดของความคิดพวกนี้มันไม่ได้
    กำเนิดมาจิตของตัวเราเอง มันอยู่ข้างๆตัวจิตของเรานั้นเอง ทางสายพระป่าบางท่านถึงได้
    เรียกว่า มันเป็นกระแสวิบากกรรม หรือกระแสที่มันจรเข้ามาเกาะตัวจิตเราได้เรื่อยๆ..
    และเหตุที่มันอยู่ใกล้ตัวจิตเรามาก หากเราไม่ได้สร้างสติทางธรรมเอาไว้ เราจะมองไม่เห็นมัน
    เราจะเข้าใจว่ามันเป็นตัวเดียวกันหรือมีต้นกำเนิดแหล่งเดียวกันกับตัวจิตได้ครับ......
    และข้อ ๔.เป็นกรณีพิเศษ เฉพาะในบุคคลที่มีสัมผัสและมีความสามารถใช้งานทางจิตได้..จะมี
    อีกคลื่นความคิดตัวหนึ่ง เราเรียกว่า กระแสภายนอก ที่จะคอยมายุ มาแหย่ ให้เราทำตาม ให้เรา
    เห็นตาม เพื่อดูว่าเราจะทำตาม เห็นตาม ด้วยหรือไม่ เช่น บางทีมาแหย่มายุให้เราปรามาสพระรัตนตรัย
    มาแหย่มายุเพื่อให้เราคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด มาแหย่มายุเพื่อให้เราคิดว่าวิธีการของเราดีที่สุด
    แล้วโน้มให้จิตเรากระทำในเรื่องอกุศลต่างๆโดยที่เราไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่เรากระทำ
    อะไรถูก อะไรผิดครับ โดยปกติแล้วแกะแสภายนอกพวกนี้มักจะมายุ
    มาแหย่ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่โน้มไปในทางที่ทำให้สัมผัส และทำให้ความ
    สามารถทางจิตที่เรา ตลอดจนการปฏิบัติของเรามันเกิดการหยุด ชงักนั่นเอง
    เนื่องจากผลของการที่เราไปทำในเรื่องอกุศลต่างๆโดยขาดการแยกแยะนั่นเองครับ..
    เด่วไปต่ออีกครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ต่อครับ ตอนที่ ๒
    ถามว่า ทำไมต้องเขียน ให้เห็นส่วนนามธรรมต่างๆตรงนี้ก่อนครับ..เพราะว่าพวกนี้สำคัญมากๆครับ..
    ถ้าตัวจิตเรามันไม่สามารถเห็น ความคิดที่เกิดจากจิตได้ ไม่ทราบกิริยาของความคิดที่เกิดจากจิตตรงนี้
    ว่ามันเป็นอย่างไร ไม่เห็นความคิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมตรงนี้ได้แล้วนั้น ความเห็นชอบหรือสัมมาทิฐิ
    ในอริยมรรค ๘ จะไปเปิดทางให้เราเดินปัญญาเพื่อลดละกิเลสได้ครับ เพราะมันจะยังยึดติดกับความรู้ทางโลกๆ
    หรือความรู้ทางสมมุติ ซึ่งไม่ว่ามันดีแค่ไหน แต่ว่าความรู้ทางโลกนั้นจะใช้ได้เพียงเพื่อเป็นแนวทางให้จิตเดิน
    ปัญญาได้เท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ที่จะเข้าไปละ เข้าไปคลายตัวกิเลสต่างๆ ไม่ให้มาเกาะตัวจิตเราได้จริงๆ
    จะเป็นเพียงเป็นความรู้ในการเข้าไปข่ม ไปกด ไปทับกิเลสไว้ด้วย ความรู้ทางสมมติที่เราได้เคย ได้ยิน
    ได้อ่าน ได้ฟังมาเท่านั้น และที่สำคัญตัวจิตของเรามันจะแยกแยะอะไรไม่ออกครับ
    แยกไม่ได้ว่าอะไรคือความคิดที่เกิดจากจิต แยกไม่ได้ว่าอะไรคือความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ที่เป็นฝ่ายอารมณ์ มันจะทำให้เราไปเผลอได้ว่า ความคิดที่เกิดจากจิต
    ความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ฝ่ายนามธรรมนั้น
    เป็นตัวสติทางธรรมและเป็นตัวปัญญาทางธรรมและที่ซ้ำร้ายกว่านั้น
    มันจะทำให้เราเผลอนำไปพิจารณาได้อีกด้วย กลายเป็น วิปัสสนึกนั่นเอง
    ข้อสังเกตก็คือ ไม่ว่าจะพิจารณาอย่างไรก็ตาม พอเวลากลับคืนสู่สภาวะการใช้ชีวิตปกตินั้น
    แม้ว่าเราจะปฏิบัติมาแล้วกี่ปีก็ตาม สำหรับท่านที่พอมีสัมผัสทางนามธรรมมาบ้าง นอกจาก
    สัมผัสทางนามธรรมไม่ดีขึ้น ความเข้าใจทางด้านนามธรรมไม่ดีขึ้น ก็ยังจะพบอีกว่า ความสามารถ
    ทางจิตของท่านก็จะไม่เพิ่มขึ้น ไม่พัฒนาขึ้น ทั้งๆที่ปฏิบัติมาแล้วหลายๆปี บางคน ๑๐ ถึง ๒๐ ปี
    ก็ไม่มีสัมผัสทางด้านนามธรรมเลย ไม่ความสามารถในการเข้าใจนามธรรม นามธรรมในที่นี้
    หมายถึง การแยกแยะลักษณะความคิดต่างๆด้วย ไม่ได้หมายความว่า ความสามารถในการใช้งาน
    ทางจิตในด้านต่างๆ หรือการรับรู้ทางจิตต่างๆที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียวนะครับ..และที่สำคัญมากๆก็คือ
    กิเลสตัวต่างๆของเรากลับไม่ได้ลดลงเลย ไม่ว่าความโกรธ ความโลภ ความหลง ความอิจฉาริษยา

    ความอยากดี ความอยากเด่น ความอยากได้รับการยอมรับจากสังคม...ความถือเหนือถือตัว
    ความมีอัตตามั่นใจว่าตนเหนือกว่าผู้อื่นๆ ความยึดติดในสิ่งๆต่างๆที่ตนคิดว่าใช่
    ขาดการยอมรับเหตุผลและความคิดของบุคคลอื่นๆ และที่สำคัญมันจะสร้างให้เราหลงตัวเองได้ว่า
    ตนเองบรรลุคุณธรรมระดับโน้น ระดับนี้ เป็นระดับโน้นระดับนี้ อย่างน่าประหลาดใจครับ....
    เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ควรจะต้องให้ความสำคัญให้ดีๆ อย่าประมาทกับการเจริญสติเพื่อสร้าง
    สติทางธรรมนะครับ.......
    ที่เล่ามาให้ฟังก่อนหน้านั้นเพื่อให้เห็นในภาพรวมๆ หวังว่าคงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ
    นำลำดับต่อมาก็คือ แนวทางการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึง ที่เราเรียกว่าแยกรูปแยกนามนั้นเอง
    ที่นี้อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านั้นว่า มันสามารถเข้าถึงได้ทั้งกำลังสมาธิระดับสูงและกำลัง
    สมาธิระดับธรรมดาลืมตาปกติ ส่วนตัวขอเล่าในการเข้าถึงด้วยกำลังสมาธิระดับสูงก่อนนะครับ
    เพราะถ้าทำได้อย่างที่เล่าให้ฟัง ความเข้าใจทางด้านนามธรรมเราจะดีขึ้น และในเวลาลืมตาปกติ
    เราจะสามารถที่จะมาเริ่มต้นเดินปัญญาเพื่อลดละกิเลสได้ ส่วนท่านใดที่สามารถรักษาและเข้าถึง
    กำลังสมาธิในระดับสูงได้จริงแล้ว และทำได้เป็นปกติโดยมากไม่ต้องไปบอกหรือไปพูดอะไรมาก
    กับบุคคลเหล่านั้นเพราะมักจะมีเครื่องรู้และความสามารถในการเดินปัญญาลดละกิเลสได้ด้วยตัว
    เองอยู่แล้วเป็นทุนครับ.....
    วิธีการในการเข้าถึงในระดับกำลังสมาธิระดับสูงอย่างน้อยต้อง ฌาน ๔ ขึ้นไปและก็ไม่ใช่ฌาน
    ๔ แบบที่บังคับให้ตัวจิตอยู่ในร่างกายไม่ได้ด้วยนะครับ เพราะการเข้าถึงฌาน ๔ แต่ว่าไม่มีกำลัง
    สติทางธรรมในการบังคับตัวจิตไม่ให้ออกไปนอกกายได้นั้นก็ถือว่าไม่มีประโยชน์อะไรคับ..
    มันจะไปได้ในโหมดท่องเที่ยวแทน เพราะนิสัยเดิมของจิตมันชอบส่งออกไปรู้นั่น ไปรับรู้โน้น
    เป็นปกติและก็ชอบท่องเที่ยวเป็นทุน และแม้ว่าการมีความสามารถในการออกไปท่องเที่ยวได้
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอนที่ ๓ ครับ
    มันดูเหมือนกับว่าไม่ยึด ไม่ติด แต่มันเป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่เรียกว่า กิเลสธรรม คือพูดง่ายๆเหมือนๆ
    กับว่าเราจะไม่ยึดติดกับการไปรู้ไปเห็น แต่มันจะโน้มนำไม่ให้ตัวจิตเราหันมาสนใจเรื่องการเดินปัญญา
    เพื่อลด ละ คลายกิเลสในใจเรานั่นเองครับ และทำสำคัญการออกไปท่องเที่ยวได้
    ก็ไม่ได้ทำให้เราเกิดปัญญาทางธรรมที่ใช้ลด ละกิเลสอะไรได้เลย..
    เค้าถึงให้มีการพิจารณาตัดร่างกาย โน้มวิปัสสนาให้เห็นโทษของการเกิด
    โน้มให้เห็นว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์สำหรับบุคคลที่
    มาในลักษณะที่จิตมันออกไปท่องเที่ยวได้นั่นเอง
    เพื่อป้องกันกิเลสธรรมอย่างที่ได้เล่าให้ฟังมาข้างต้นครับ.....
    ส่วนวิธีการเข้าถึงนั้นระดับที่จิตสามารถแยกรูปแยกนามได้ในกำลังสมาธิระดับสูงนั้น ในแนวทางปฏิบัตินี้
    เราจะไม่ได้สร้างเป็นรูปต่างๆขึ้นมานะครับ...เราจะใช้การปรับลมหายใจให้ละเอียด หายใจเข้าออกให้ลึกถึงท้อง
    และทำความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูก ทั้งเวลานั่งสมาธิและเวลาลืมตาปกติ
    ส่วนเวลานั่งสมาธินั้น เราก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องใช้คำภาวนาอะไรครับ
    จะภาวนาอะไรก็ได้ ขอเพียงเป็นคำภาวนาที่กล่าวถึง
    คุณพระรัตนตรัยอย่างใดอย่างหนึ่งได้หมด เพียงแต่เวลานั่งหลับตาทำสมาธิเราจะไม่
    ใช้สายตาปกติในการพยายามมองออกไปเพื่อให้เห็นอะไร
    เราจะโน้มสายตาลงมาที่ลิ้นปี่ คล้ายๆสายตาพระพุทธรูป
    หรือหลับตาปกติไปเลยครับ...มันจะมีความรู้สึก
    ได้เองอัตโนมัติว่าเราจะเหลือเหมือนแค่ตาเดียว
    มันมองผ่านเหนือระหว่างคิ้วได้เองครับ...
    และที่สำคัญที่สุดที่จะไม่ทำให้เราเข้าถึงการแยกรูปแยกนามได้ช้าก็คือ
    ห้ามไปสนใจกับสัมผัสต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรานั่งสมาธิเป็นอันขาด
    ไม่ว่าเราจะได้ยินเสียงอะไรก็ตามไม่ว่าจะเสียงเรียกชื่อเราทางหู
    ด้านขวาที่ดังฟังชัดไม่ว่าจะใกล้หู ไกลหู
    หรืออยู่มุมสูงหรือระดับความสูงไหนๆก็ตาม
    เสียงเรียกชื่อเราทางหูด้านซ้ายที่ไม่ค่อยชัด...เสียงไอ
    เสียงแมลง เสียงดังปั้งแล้วเงียบ
    เสียงตะกุกตะกัน เสียงอะไรเคลื่อนที่ต่างๆ ฯลฯ
    เสียงที่ไม่ใช่มนุษย์คุยกันเป็นกลุ่มหรือคล้ายคุยกันหลายๆคน
    เสียงสวดมนต์ต่างๆ เสียงกริ่ง เสียงระฆัง
    เสียงใบไม้ เสียงคลื่นความถี่ต่างๆที่ขนานและตรงกับรูหูด้านขวาของเรา
    เสียงสัตว์ต่างๆ
    เอาเป็นว่าอะไรก็ตามที่มาเป็นเสียง
    ให้ไม่สนใจทุกประเภทเสียง

    และไม่ว่าเราจะเห็นแสงอะไรก็ตาม ไม่ว่าหลับตาแล้วจะเห็นแสงสีออกน้ำเงินไม่มีรูปร่าง
    หรือหลับตาแล้วเห็นเป็นวงกลมเล็กๆเท่าเข็มหมุดหรือหัวไม้ขีดมีแสงสว่างในตัวเองทั้งหลายที่เวลาเผลอไปมองแล้วหายไป
    ไม่ว่าจะแสงสีขาวที่มาทางด้านซ้าย ด้านขวาของศรีษะหรือหางคิ้วซ้ายขวา จะแสงสว่างจร้าทั่วห้อง
    สีขาวที่ไม่เย็นก็ตาม จะแว๊บๆผ่านตาหรือจะอะไรก็ตามให้ห้ามสนใจทุกแสง...
    และไม่ว่าเราจะรู้สึกที่ผิวหนังอย่างไรก็ตามที่ไม่ใช่สัตว์กำลังกัดหรือดื่มเลือดเรา..
    เราจะเห็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะไฟ จะน้ำ จะดิน จะหิน จะเป็นคน เป็นเทพ เป็นผี เป็นเทวดา เป็นพระพุทธฯ
    เป็นพระสงฆ์ เป็นพระโพธิสัตว์ ฯลฯ ทุกชนิดการเห็นก็ให้ไม่สนใจทุกๆกรณี...ต่อให้ลืมตามาแล้วและก็ยัง
    เห็นได้อีกก็ให้ไม่ต้องสนใจครับ...และ เราจะเกิดกิริยาต่างๆอย่างไรก็ตามที่รู้สึกได้ทางกาย
    ไม่ว่าจะตัวโยก ตัวพอง ตัวขยาย ตัวลอยได้ในแนวขนานกับพื้น..หรือคล้ายเหาะได้ก็ไม่ต้องสนใจครับ...
    ให้ตัดสัมผัสๆต่างๆอย่างที่เล่าให้ฟังมานี้ออกทุกๆกรณีครับ และให้นั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเปรียบเทียบ
    หรือตั้งเป้าไว้ว่า วันโน้นวันนี้จะต้องดีกว่า หรือไปสนใจว่าทำไมวันนี้นั่งไม่ได้ จะนั่งได้แค่ไหนก็ให้พอใจ
    แค่นั้นเอาเป็นวันๆพอ ที่ผ่านมาให้ลืมไป ไม่ต้องไปตั้งเป้าว่า วันต่อมาจะต้องดีกว่าเดิมเพราะจะเป็นการไปสร้าง
    ให้จิตเกิดกิเลสขึ้นอย่างไม่รู้ตัวครับ......
    ถ้าทำได้ ตัวจิตมันจะไปแบบพรวดพลาดและสามารถเข้าถึงกำลังสมาธิในระดับฌาน ๔ ได้ของมันเองครับ...
    และการเข้าถึงได้ในครั้งแรก มักจะไม่มีใครที่จะสามารถสามารถควบคุมจิตให้อยู่ในร่างกายได้ครับ ตรงนี้ต้อง
    ลองปฏิบัติให้เข้าถึงด้วยตัวเองดูจะเข้าใจได้ด้วยตัวเองครับ....พอเข้าถึงฌาน ๔ ได้แล้วอารมณ์ก็คือ กายกับจิต
    มันจะแยกกันอย่างเด็ดขาดชั่วคราวครับ..ตัวจิตก็จะออกไปข้างนอกกายอัตโนมัติในการเข้าถึงได้เป็นครั้งแรก
    และมักไปได้ไม่ไกล จะอยู่บริเวณที่ร่างกายเรากำลังนั่งสมาธิอยู่นั่นหละครับ.....ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องไปอยากดู
    อยากรู้อยากเห็นอะไรครับ.....ให้มาสร้างสติให้มันต่อเนื่องต่อในเวลาใช้ชีวิตปกติครับ..เอาหน้าที่การงานของเรา
    นี่หละครับ เป็นการฝึกสร้างสติและสะสมกำลังสมาธิไปด้วย คือตั้งใจทำงานให้เต็มที่ครับ...
    เวลาว่างก็ให้มาทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมเข้าและออกหยุดอยู่ที่ปลายจมูก
    รวมทั้งกับดันลมหายใจให้ลึกถึงท้องไว้ โดยที่ไม่ต้องไป
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอนที่ ๔ ครับ
    ตามลมหายใจครับ...ถ้าเรามีการเคลื่อนไหว ก็ให้ใช้การนับจำนวนการก้าวเท้าเดินเพื่อเป็นการฝึกสร้างสติทางธรรมไปในตัว
    ประเด็นสำคัญของการฝึกสร้างสติทางธรรมจะวิธีไหนก็ได้ครับ
    ขอให้มีฐานอยู่ที่กายของเรา
    เป็นใช้ได้ทุกวิธีครับไม่ได้มีการกำหนดไว้ตายตัวอะไรว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ครับ
    ให้ดูตามความเหมาะสมของเราเองว่า ณ เวลานั้นเราควรจะเลือกใช้วิธีไหนครับ...
    และหลังนั้นพอเราเข้าถึงสมาธิในระดับกำลังฌาน ๔ ได้ในครั้งที่ ๓ และ ๔ นั้นตัวสติทางธรรมจึงจะสามารถ
    ที่จะควบคุมตัวจิตของเราให้อยู่ในร่างกายของเราได้คับ.. เราจะสามารถมองเห็นผนังช่องท้องของเราได้เอง
    เป็นการเห็นออกมาจากตัวจิตของเรานั้นหละครับ......และในจังหวะนี้เอง
    ให้เราควบคุมจิตเราให้อยู่นิ่งๆให้ได้ครับให้นิ่งได้ซักระยะเวลาไม่นาน
    เราจะเริ่มเห็นตัว ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมได้ครับ..ซึ่งมันจะวิ่งมาเข้ามาหาตัว
    จิตของเราได้เองครับ ถ้าใครถึงตรงนี้ได้ จะเข้าใจที่บอกว่า
    ความคิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมนั้นมันไม่ได้
    เกิดจากตัวจิตได้ชัดเจนครับ..และจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเรียกว่า กระแสวิบากกรรมเก่า หรือเรียกว่ากระแสจร
    ที่มันเข้ามาเรื่อยๆได้เองครับ....
    และตรงนี้ก็เป็นทริคสำคัญนะครับ เพราะว่าขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมมันมีเอกลักษณอย่างหนึ่งก็คือ
    ถ้าเราหันไปมองมันก่อน มันจะดับไปทันทีครับ พูดถึงกำลังสมาธิระดับสูงนะครับ เราต้องรู้ๆว่ามันจะเข้ามา
    และก็ค่อยๆสังเกตมันไว้แต่อย่าเผลอให้จิตไปมองเป็นอันขาดนะครับในช่วงที่ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมมันกำลัง
    จะเข้ามานะครับ.. และช่วงที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจะต้องมองมันเฉพาะในช่วงที่มันกำลังจะรวมกับตัวจิตของเราครับ
    ถามว่าเราจะเห็นได้อย่างไร
    ก็เห็นจากกำลังสติทางธรรมของเราที่มันคอยควบคุมจิตเราให้อยู่นิ่งๆจากการ
    ที่เราได้มาสร้างมันเพิ่มหลังจากที่เข้าถึงกำลังสมาธิระดับฌาน ๔ ได้ในครั้งแรกเพื่อที่จะเอาไว้ควบคุมจิตใน
    มันนิ่งๆได้นั่นหละครับ และถ้าเราเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมในขณะที่มันกำลังจะรวมกับตัวจิตเราได้นั่หละครับ..
    .ตัวขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมที่มันมาเป็นเสมือนเป็นเกลียวเชือกอันเดียว...
    มันจะเกิดการคลายตัวและดีดตัวออกทันทีเป็นเส้นๆครับ
    ตัวจิตเราก็จะเข้าถึงสภาวะที่เรียกว่า แยกรูป แยกนามได้ครับ
    ที่เล่าให้ฟังมานี้เป็นการเข้าถึงในระดับกำลังสมาธิระดับสูงนะครับ....
    หลังจากเราทำตรงนี้ได้แล้ว..
    เวลาลืมตาปกติ ตัวจิตเราจะแยกได้อย่างชัดเจนไม่ว่า
    กิริยาต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวจิตในขณะที่มีความคิดที่เกิด

    จากจิตมาปรุงร่วม เราจะสัมผัสกิริยาอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า จิตกระเพื่อมได้ชัดเจน
    ที่บริเวณลิ้นปี่ของเราครับ..
    เราจะทราบได้ว่าอะไรเป็นกิริยาความคิดที่เกิดจากจิต
    อะไรเป็นกิริยาของความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    พูดง่ายๆว่า เราจะเห็นว่ามันแยกกันเป็นส่วนๆได้อย่างชัดเจนครับ...
    วิธีสังเกตนะครับ ถ้าอย่างเมื่อก่อนหากว่าเราออกกำลังกายเหนื่อยๆเราจะสัมผัสได้ว่า
    หัวใจเราจะเต้นเร็วขึ้น แต่ถ้าจิตเราแยกรูปแยกนามได้แล้ว
    ถ้าเราเหนื่อยนะครับ แทนที่หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นมากๆเหมือนเมื่อก่อน
    ในเวลาปกติเราจะพบว่า หัวใจเราจะเต้นเพิ่มขึ้นไม่มาก
    และมันจะเหมือนมีอะไรมาเต้นๆอยู่ตรงลิ้นปี่ของเราได้อย่างชนิดที่เรียกว่า
    สัมผัสได้ด้วย
    ตัวเองอย่างชัดเจนครับ และที่สำคัญ ให้คนอื่นๆมาลองจับดู ก็จะรับรู้ได้อย่างชัดเจนเช่นกันครับ...
    ตรงนี้บอกเอาไว้เพื่อเป็นหลักสังเกตครับ..และต้องนี้ต้องทำได้จริงๆนะครับถึงจะรับรู้ได้อย่างที่เล่าให้ฟัง
    ..ยกเว้นอยู่กรณีเดียวคือ ถ้าเราอายุมากๆ คือ ๕๐ อัพและเราเป็นบุคคล
    ประเภทที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากๆ..สมมุติว่า พรุ่งนี้จะถูกฟ้องล้มละลายเรียกเงิน ๑๐ ล้านบาท
    แล้ววันนี้ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว แต่ว่าเรายังคงหลับตานอนได้อย่างสบายใจเหมือนชีวิตไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    กิริยาทางจิตที่เราสัมผัสได้และคนอื่นๆสัมผัสเราได้ จะไม่เกิดกับบุคคลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและมีอายุ
    ๕๐ อัพขึ้นไปนะครับ......เพราะบุคคลประเภทนี้ อายุขนาดนี้..ท่านเหล่านั้นจะไม่
    เห็นฐานของจิต และจะไม่เห็นตอนที่จิตกำลังจะก่อตัวครับ
    ...ซึ่งโดยปกติแล้วตัวจิตมันจะเริ่มจาก ๑.กำลังก่อตัวก่อนที่ฐานของมัน
    ๒.ตามด้วยเริ่มก่อตัวและเริ่มหมุนเป็นคล้ายก้นหอย
    ๓.ตามด้วยหมุนเป็นเกลียว และ ๔.รวมกันเป็นวงกลม
    หลังจากนั้นก็ทะลุออกจากร่างกายไปทางกะโหลกศีรษะหรือหน้าฝาก
    หรือส่วนไหนก็แล้วแต่
    และในทางปฏิบัติเราจะเริ่มเห็นกิริยาทางจิตอย่างที่เล่า
    ให้ฟังย้อนหลังจากลำดับ ๔ ย้อนไปหา ลำดับที่ ๑ นะครับ..
    และบุคคลเหล่านั้น จะมีข้อดีตรงที่ว่า ถ้าหากมาฝึกนั่งสมาธิ
    จะสามารถเข้าถึงสมาธิในระดับสูงๆได้ง่าย
    กว่าบุคคลที่อายุยังไม่มากครับ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอนที่ ๕ ครับ
    สำหรับการแยกรูปแยกนามในระดับกำลังสมาธิที่ไม่สูงหรือในระดับลืมตาปกตินั้น
    ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับบุคคลทั่วไป
    แม้แต่ห่มเหลืองท่านที่แนะนำข้าพเจ้าในเรื่องสัมผัสเกี่ยวกับภพภูมิต่างๆ
    ในช่วงที่ข้าพเจ้าฝึกสมาธิระดับสูงนั้น ท่านก็ใช้หลักการนี้ในการแนะนำบุคคลทั่วๆไป
    เพราะปัจจุบันนี้ห่มเหลืองท่านที่สอนข้าพเจ้าปกติท่านจะไม่สอนสมาธิใครง่ายๆครับ
    ..แต่ช่วงนั้นเนื่องจากข้าพเจ้ามีความตั้งใจจริง
    มีความเสียสละต่อส่วนรวม ทำความดีในทั้งที่ลับและที่แจ้ง
    และมีปัญหาอะไรข้าพเจ้าจะปรึกษาท่านและก็ทำตามคำแนะนำของท่านตลอด
    โดยที่ไม่ได้มีการโต้แย้งหรือใช้ความรู้ทางโลกใดๆในการไปแสดงความเห็นจึง
    ได้รับความเมตาทั้งจากฝ่ายภพภมิท่านต่างๆมาคอยดูแลคอนสอนและ
    ได้รับความเมตตาต่างๆจากห่มเหลืองท่านนั้นแนะนำในเรื่องสมาธิ
    และเรื่องเกี่ยวกับสัมผัสเกี่ยวกับทางด้านนามธรรมต่างๆ
    ..และปัจจุบันนี้ท่านจะเน้นที่การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    ไม่ใช่ว่าท่านไม่เก่งนะครับ ประกันได้ว่าถ้าถามเกี่ยวกับเรื่องพิเศษๆห่มเหลือง
    ท่านนี้ตอบได้หมดทุกเรื่องครับ...ซึ่งโดยส่วนตัวข้าพเจ้าก็เห็นว่า
    แม้ว่าเราจะเคยผ่านสมาธิระดับสูงมาก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม
    แต่ว่าในชีวิตประจำวันเราก็ต้องมาเจริญสติ
    เพิ่มขึ้นให้ต่อเนื่อง และการใช้ชีวิตแบบทางโลกๆมันไม่เอื้อที่จะทำ
    ให้เราสามารถกลับเข้าถึงระดับสมาธิระดับ
    สูงๆได้ง่ายๆ เราก็ยังต้องมาเดินปัญญาเพื่อลดละกิเลสตัวเอง
    ให้น้อยลงเรื่อยๆจนกระทั่งตัวจิตมันไม่ไปยึด
    เกาะกับสิ่งต่างๆได้อีกในอนาคต เพื่อให้จิตมันคลายสิ่งที่จะมายึดเกาะตัวจิตเราให้ได้
    เพื่อให้ตัวจิตมันโปร่ง มันโล่ง มันขยายตัวออกให้ได้ ในสภาวะลืมตาปกติ
    ซึ่งอย่าลืมประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งนะครับ การแยกรูปแยกนามได้นั้นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น
    ที่ตัวจิตท่านจะสามารถเดินเข้าสู่การเดินปัญญาลดละกิเลสได้นะครับ...
    ไม่ใช่เรื่องวิเศษและไม่ได้เป็นคุณธรรมวิเศษอะไรเลย
    เพียงแต่ท่านต้องทำให้ได้ก่อน อริยมรรค ๘
    ในเรื่องความเห็นชอบถึงจะเปิดให้ท่านเดินปัญญาได้...
    เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ให้ทำความเข้าใจให้ดีๆ
    ไม่งั้นท่านอาจจะกลายเป็นคนที่หลงตัวเองขึ้นมาได้
    อย่างน่าประหลาดใจทั้งๆที่ท่านไม่มีความสามารถทางจิตทำอะไรได้
    แบบที่พิสูจน์ให้คนอื่นๆรับรู้ได้ซักอย่าง ท่านก็จะหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ...
    วิธีการฝึกในระดับกำลังสมาธิไม่สูง หลักการหายใจคล้ายๆกัน
    คือหายใจให้ลึกๆถึงท้องเอาไว้ ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมเข้าและออกกระทบที่ปลายจมูกเอาไว้
    ช่วงนี้ถ้าท่านมีเครื่องรู้ทางจิตแบบภายในเกิดขึ้น ไม่ว่าจะอ่านความคิดคนได้
    รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ มีลางสังหรณ์แม่น .ฯลฯ ให้ท่านอย่าสนใจทุกๆกรณีครับ
    เพราะพวกนี้

    ล้วนแล้วแต่เป็นตัวขวางทั้งสิ้นครับ...และถึงแม้บางท่านจะมีความสามารถในการถอดจิตได้ในระดับกำลังอุปจารสมาธิ
    หรือถอดจิตได้เพราะไปฝึกวิชาพิเศษอะไรมาก็ตาม
    หรือเริ่มเห็นโน้นเห็นนี้ได้ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา
    ให้ท่านเฉยๆกับทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านและท่านสามารถทำได้ทุกๆกรณีครับ..
    ไม่ว่าท่านจะทำได้ภายในเวลาไม่ถึงนาทีก็ตาม จะบอกว่า
    ห้ามสนใจให้เฉยๆไว้นะครับสำคัญนะครับ...
    ไม่งั้นถ้าไปยึดติดอย่างใดอย่างหนึ่งท่านจะถอนตัวไปขึ้น
    และจิตท่านจะเข้าถึงการแยกรูปแยกนามได้ช้าครับ......
    ให้ท่านหายใจลึกๆอย่างนั้นไว้ ท่านจะเริ่มสัมผัสกับความคิดที่เกิดจากจิตของท่านได้
    แรกๆท่านอาจจะไม่ทันคือคิดไปเรื่อยเปื่อย ปรุงแต่ไปเรื่อย
    ไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือไม่ดี ถ้าท่านทันตอนไหนก็ให้กลับมาทำความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูกทันที
    โดยที่ไม่ต้องไม่คิด ไปเสริม ไปวิเคราะห์อะไรมันนะครับ..
    เพราะจะเสียเวลาครับ.เนื่องจากความคิดพวกนี้มันรวมกับตัวจิตไปแล้วนั่นเอง...
    จึงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรในทางปฏิบัติหน้าที่ท่านคือรู้ทันตอนไหน
    พยายามกลับมาทำความรู้สึกที่ปลายจมูกตอนนั้นครับ...
    ยกตัวอย่างถ้าท่านรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง
    อย่างนี้แสดงว่ามันรวมไปแล้ว ถ้าท่านปรุงแต่งได้ว่าดีหรือไม่ดี
    อย่างนี้ก็แสดงว่ามันรวมไปแล้ว ถ้าท่านนึกว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดเมื่อไร
    กับใคร อะไรอย่างไร แสดงว่ามันรวมไปแล้ว
    หรือท่านเรียกชื่อได้ถูกนี้ก็แสดงว่า
    มันรวมไปแล้วครับ และถ้าท่านได้พูดออกไป
    แสดงกิริยาออกไปแล้วนั่นหมายความว่านอกจากจะรวมแล้ว
    ท่านยังไม่ทันกิริยาที่ส่งผลออกมาทาง กาย วาจา ท่านด้วยครับ..
    เพราะฉะนั้นไม่ต้องสนใจนะครับ....
    หลังจากที่ช่วงแรกๆท่านอาจจะระลึกไม่ทันเลย
    หรือใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะระลึกท่านได้ ไม่ต้องซีเรียสอะไร
    เพราะถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ..ทันตอนไหน
    ท่านก็ทำความรู้สึกรับรู้ตอนนั้นนะครับ...ทำไปเรื่อยๆครับ..
    ที่นี้ถ้าท่านกำลังสติทางธรรมมากขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ..
    จากเมื่อก่อนมีความคิดหนึ่งขึ้นมา
    มันขึ้นมาประมาณ ๑๐ คำท่านถึงจะท่าน
    ทีนี้ท่านก็จะเริ่มทันตั้งแต่ความคิดมันผุดขึ้นมาได้คำที่ ๙ คำที่ ๘ จะย้อนลงมาตั้งแต่มันจะเริ่มเป็นคำที่ ๑ ช่วงนี้อ่านดีนะครับ..
    ในช่วงที่กำลังสติของท่าน เริ่มทันตั้งแต่
    ความคิดมันผุดขึ้นมาเป็นคำในช่วง ไม่เกิด ๓ ถึง ๔ คำนะครับ..
    ช่วงนี้หละครับ บางทีแค่ ๑ นาทีจะมีความคิดผุดขึ้นมาได้เป็นร้อยเรื่องเลยครับ..
    .ชนิดที่ว่าท่านไม่เคยสังเกตท่านความคิดพวกนี้มันมาก่อน
    ท่านก็จะได้สัมผัสก็ตอนนี้หละครับ...ซึ่งถ้าท่านได้ไปปฏิบัติก่อนที่จะเข้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...