ฌาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มาจากดิน, 24 มิถุนายน 2015.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ฌาน (ชาน)



    [​IMG]


    ไม่รู้จะอธิบายยังไง :d

    เอาสั้นๆ ยังงี้ก่อนแล้วกัน...

    " สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เรียกว่า อัปปนาสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิถึงขั้นนี้ ก็เป็นอันเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า ฌาน"
     
  2. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เชิญๆๆครับท่าน ว่ากันตามถนัด


    [​IMG]
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ฌานก๊อปลุงแมวก็มี
    อย่าคิดว่าจะผูกขาดก๊อปอยู่คนเดียว
    คำว่า ฌาน นี้
    แปลว่า เพ่ง หมายถึงการเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐาน
    ถึงอันดับที่ ๑ เรียกว่าปฐมฌาน คือ ฌาน ๑ ถึงอันดับที่ ๒ เรียกว่าทุติยฌาน แปลว่า ฌาน ๒
    ถึงอันดับที่ ๓ เรียกว่า ตติยฌาน แปลว่าฌาน ๓ ถึงอันดับที่ ๔ เรียกว่า จตุตถฌาน แปลว่า ฌาน ๔
    ถึงอันดับที่แปด คือ ได้อรูปฌานถึงฌาน ๔ ครบทั้ง ๔ อย่าง เรียกว่า ฌาน ๘
    ถ้าจะเรียกเป็นสมาบัติก็เรียกเหมือนฌาน ฌาน ๑ ท่านก็เรียกว่า ปฐมสมาบัติ ฌานที่ ๒
    ท่านก็เรียกว่า ทุติยสมาบัติ ฌาน ๓ ท่านก็เรียก ตติยสมาบัติ ฌาน ๔ ท่านก็เรียกจตุตถสมาบัติ
    ฌาน ๘ ท่านเรียก อัฎฐสมาบัติ หรือสมาบัติแปดนั่นเอง
     
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    สัทธรรม ธรรมที่ดี, ธรรมที่แท้, ธรรมของคนดี, ธรรมของสัตบุรุษ

    สัทธรรมมี ๓ คือ

    ๑. ปริยัติสัทธรรม สัทธรรมคือสิ่งที่พึงเล่าเรียน ได้แก่ พุทธพจน์

    ๒. ปฏิบัติสัทธรรม สัทธรรมคือสิ่งพึงปฏิบัติ ได้แก่ ไตรสิกขา (ศีล สมาธิ และปัญญา)

    ๓. ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรมคือผลที่พึงบรรลุ ได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน

    สัทธรรมทั้งสามประเภทนี้ เรียกง่ายๆสั้นๆว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ซึ่ง มีความสำคัญที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกที่ประมวลพุทธพจน์หรือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ทั้งหมด โดยต้องศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจก่อนจะน้อมนำหลักธรรมอันเป็นพุทธพจน์นั้นไปปฏิบัติตาม ดังนั้น ปริยัติ จึงเปรียบเหมือนแผนที่ลายแทงแสวงหาขุมทรัพย์ ที่จำเป็นต้องศึกษาให้รู้ให้เข้าใจเสียก่อนเป็นเบื้องต้น

    ปฏิบัติ เป็นกระบวนการฝึกควบคุมกาย วาจา และพัฒนาจิตใจเพื่อให้สงบระงับกิเลสและเกิดปัญญาเห็นสภาวธรรมตามความเป็น จริง ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัยที่ตัวของเราเอง เป็นการดำเนินงานเพื่อความสิ้นทุกข์ตามความมุ่งหมายของ ปริยัติ กล่าวง่ายๆได้แก่ การนำหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญามาบูรณาการเป็นกระบวนการปฏิบัติอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ปฏิบัติ จึงเปรียบเหมือนการเดินทางแสวงหาขุมทรัพย์ตามแผนที่ลายแทง

    ปฏิเวธ เป็นผลทีได้จากการปฏิบัติ คือการบรรลุ รู้แจ้งธรรมตามสมควรแก่การปฏิบัตินั้นๆ ซึ่งสามารถบรรลุได้ตั้งแต่ผลขั้นต้นไปจนถึงผลขั้นสูงสุดคือภาวะสิ้นสุดแห่ง ทุกข์โดยสิ้นเชิง เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นเหตุ ดังนั้น ปฏิเวธ จึงเปรียบเหมือนการพบขุมทรัพย์

    สัทธรรมทั้ง ๓ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ นี้ เป็นเหตุเป็นผลที่ผู้ปรารถนาจะสำเร็จประโยชน์จากการนับถือพระพุทธศาสนาต้องทำให้เกิดเป็นระบบที่บูรณาการกันทั้งปริยัติและปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปฏิเวธ เพราะเมื่อปริยัติไม่มี ปฏิบัติก็ไม่ถูก เมื่อปฏิบัติไม่ถูก จึงไม่เกิดปฏิเวธ
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    "ภิกษุทั้งหลาย เราไม่สรรเสริญมิจฉาปฏิปทา ไม่ว่าของบรรพชิต หรือของคฤหัสถ์ บรรพชิตก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม ปฏิบัติผิดแล้ว เพราะการปฏิบัติผิดนั้นเป็นเหตุ ย่อมยังญายธรรมอันเป็นกุศลให้สำเร็จไม่ได้ ก็มิจฉาปฏิปทา คืออะไร ? คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ

    "เราย่อมสรรเสริญสัมมาปฏิปทา ไม่ว่าของบรรพชิต หรือของคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ปฏิบัติชอบแล้ว เพราะการปฏิบัติชอบนั้นเป็นเหตุ ย่อมยังญายธรรมอันเป็นกุศลให้สำเร็จได้ ก็สัมมาปฏิปทา คืออะไร ? คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

    (สํ.ม.19/68/23- ญายะหรือญายธรรม หมายถึง โลกุตรมรรค สัจธรรม หรือนิพพาน)


    [​IMG]
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ความคิดลุงแมวตันครับผม บ่งถึงความไม่เข้าใจในพุทธรรมทุกเรื่องทุกขั้นตอน

    ที่ลุงแมวนำมานั่น มันเรื่องของสมาธิทั้งสิ้น ซึ่งจะต้องฝึกสมาธิอีก

    เคยบอกลุงแมวแล้วว่า ควรเริ่มทำง่ายๆไปก่อน ซึ่งไม่ต้องใช้ความคิดลึกซึ้งนัก เช่น ช่วยงานบวชนาค นี่ :d

    https://www.facebook.com/tvpoolsocial/videos/945519555514969

    ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายสังฆทาน ตักบาตรพระตอนเช้าๆ ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ฯลฯ
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ที่แนะนำมา นั่นลุงแมวทำอยู่แล้ว
    จึงไม่โดนด่าวันละ3 เวลาก่อนอาหารฮะ

    ตัดแปะพุทธธรรม สอดแทรกความเห็น
    ก็จะโดนด่าต่อไป
    ถูกใจคนโรคจิตติดคัมภีร์

    อย่าลืมว่าหนังสือพุทธธรรมนั้นไม่
    ใช่คัมภีร์พระไตรปิฎกที่เป็นคำสอนแท้
    ของพระพุทธเจ้า การเอาคำภีร์ดัดแปลง
    มาใช้มีทั้งเหมาะสมและไม่เหมาะสม
    ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แวดล้อมนะฮะ

    ดังนั้น หนังสือ 2 เล่มที่ดัดแปลงหรือรีไรท์
    จากคัมภีร์พระไตรปิฎก จะยังความเดือดร้อนให้ผู้เกี่ยวข้องที่ดำเนินการจัดทำหรือทำการเผยแพร่

    อย่างไม่เหมาะกาละเทศะ ตามที่เห็นๆอยู่ในขณะนี้
    คือ หนังสือพุทธวจน กับหนังสือพุทธธรรม
    นะฮะเล่มแรกหนักกว่าหน่อยหนึ่งฮะ
    ไอดีมจด.กับ บิ๊กตู่ กำลังประสบความร้อนมากกว่า
    ความสงบเย็นใช่ไหมฮะ
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    อ้างอิงคำพูด

    ที่แนะนำมา นั่นลุงแมวทำอยู่แล้ว

    พูดให้ถามอีกแระ ทำยังไงอ่ะ ถึงไม่เข้าใจประโยคสั้นๆแต่ชัดนี้

    "สมาธิที่แน่วแน่แนบสนิท เรียกว่า อัปปนาสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิถึงขั้นนี้ ก็เป็นอันเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า ฌาน"


    ลุงแมวอ่านพระไตรปิฎกเล่มไหนอยู่ครับ

    อ้างอิงคำพูดลุงแมว

    ไอดีมจด.กับ บิ๊กตู่ กำลังประสบความร้อนมากกว่า
    ความสงบเย็นใช่ไหมฮะ

    คนอื่นไม่เกี่ยวนะ ส่วนตัวผมแล้วกัน ที่ว่าประสบความร้อน ไม่เข้าใจ ร้อนยังนะอ่ะ ก็เห็นสบายดีอยู่นี่ คิกๆๆๆ

    ยังงี้ไหมอ่ะลุงแมว ลุงแมวเองไหมที่ประสบความร้อน ตั้งแต่ผมแสดง คคห. ชัดขึ้น :d
     
  9. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ลุงแมวท้วงอีกจึงลงที่นี่ด้วย

    “บันทึกของผู้เขียน” หน้า ๑๑๔๔ (แต่ที่นี้ตัดเอาเฉพราะบางวรรคตอนมา เพื่อให้เห็นว่าท่านใส่ชื่อคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไว้ทุกตอน) คร่าวๆดังนี้


    "หนังสือนี้ เต็มไปด้วยหลักฐานที่มา หรืออิงคัมภีร์มากมาย จนหลายท่านอ่านเห็นว่าเกินจำเป็น การที่ทำเช่นนี้ มิใช่เป็นการยึดมั่นติคัมภีร์ หรือเกาะตำราแน่น โดยถือว่า เมื่อเป็นคัมภีร์แล้ว ต้องถูกต้องตายตัว

    เป็นการแน่นอนว่า ในคัมภีร์ที่ล่วงเวลามาแสนนาน โดยเฉพาะคัมภีร์รุ่นหลังๆ ย่อมจะมีส่วนที่คลาดเคลื่อนบันทึกผิด เติมพลาด ปนอยู่ด้วยบางส่วน แต่กระนั้น คัมภีร์ทั้งหลายก็เป็นหลักฐานสำคัญมาก และความสำคัญนั้นก็ลดหลั่นกันระดับๆ ตามฐานะ และยุคสมัยของคัมภีร์เหล่านั้น

    การอ้างหลักฐานไว้มาก เป็นการยอมรับความสำคัญ ของสิ่งที่สำคัญ ตามฐานะแห่งความสำคัญของสิ่งนั้นๆ ถ้าเป็นคัมภีร์รุ่นหลังๆ ก็เป็นการที่เรายอมรับฟังความคิดเห็นของท่านผู้อื่นด้วย เรื่องราวส่วนใดต้องการหลักฐาน ก็เป็นอันได้ให้หลักฐานไว้แล้ว ไม่ต้องเถียงกันในแง่นั้นอีก เรื่องราวส่วนใดควรแก่การแสดงทัศนะ ก็ได้เปิดโอกาสแก่ทัศนี่ได้เคยมีมาแล้ว

    พระพุทธศาสนาสอนว่า ไม่ควรปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำรา หรืออย่าเชื่อเพียงเพราะอ้างคัมภีร์ คือ อย่าเชื่อตำรางมไป บางท่านตีความเลยไปว่า พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้เชื่อตำรา หรืออย่าเชื่อตำรา

    ความจริง ทั้งการเชื่อตำรา และการไม่เชื่อตำรา ถ้าทำโดยขาดวิจารณญาณ ก็สามารถเป็นความงมงายได้ด้วยกันทั้งคู่ คือ เชื่ออย่างงมงาย และไม่เชื่ออย่างงมงาย

    ทางปฏิบัติที่รอบคอบ และไม่ผิด ในการไม่เชื่อตำรา ก็คือ ไม่ให้เป็นการไม่เชื่ออย่างเลื่อนลอย ก่อนจะตัดสิน หรือแม้ตัดขาดกับตำรา ควรศึกษาให้ชัดเจนตลอดก่อนว่า ตำราว่าอย่างไร ดูว่าท่านพูดไว้อย่างไรให้เต็มที่ก่อนแล้ว ต่อนั้น จะตีความ หรือเห็นต่างออกไปอย่างไร ก็ว่าของเราไป โดยเฉพาะ ท่านผู้เขียนคัมภีร์ทั้งหลายล้วนล่วงลับไปสิ้นแล้ว ท่านเสียเปรียบ ไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาแสดงความเห็น หรือคอยตามโต้เถียงเรา เราจึงควรให้โอกาส โดยไปตามค้นหาแล้วพาท่านออกมาพูดเสียให้เต็มที่ เมื่อรับฟังท่านเต็มที่แล้ว เราจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ก็นับว่าได้ให้ความเป็นธรรมแกท่านแล้วพอสมควร

    ความประสงค์อีกอย่างหนึ่ง ในการแสดงหลักฐานไว้มาก หรือถือเอาคัมภีร์ที่อ้างอิงเป็นหลักเป็นแกนเป็นเนื้อตัวของหนังสือนี้ ก็เพื่อทำให้หนังสือนี้เป็นอิสระจากผู้เขียน และให้ผู้เขียนเอง ก็เป็นอิสระจากหนังสือด้วย เท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยว่า ผู้เขียนจัดทำหนังสือนี้อย่างเป็นนักศึกษาผู้หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นผู้ไปสืบค้นรวบรวมเอาเนื้อหาทั้งหลายของพุทธธรรมมาส่งวางให้แก่ผู้อ่าน ถ้าสิ่งที่นำมาส่งวางให้นั้น เป็นของแท้จริง หยิบมาถูกต้อง ผู้นำมาส่งก็หมดความรับผิดชอบ จะหายตัวไปไหนก็ได้ ผู้ได้รับ ไม่ต้องนึกถึง ไม่ต้องมองที่นำส่งอีกต่อไป คงยุ่งอยู่กับของที่นำมาส่งเท่านั้นว่า จะเอาไปใช้เอาไปทำอะไรอย่างไรต่อไป แต่ถ้าของส่วนใดยังไม่ใช่ตัวของแท้ที่ถูกต้อง ผู้นำส่ง ก็ยังเปลื้องตัวไม่หมด ยังไม่พ้นความรับผิดชอบ โดยนัยนี้ การทำให้งานและตัวเป็นอิสระจากกันได้ จึงเป็นเครื่องวัดความสำเร็จของหนังสือนี้


    เท่าที่ทำมาถึงคราวนี้ คงจะยังหวังไม่ได้ว่าจะทำตัวให้เป็นอิสระได้สิ้นเชิง แต่ก็พึงประกาศให้ทราบความมุ่งหวังไว้ ผู้เขียนนำเอาตัวพุทธธรรมมาแสดงแก่ผู้อ่านได้สำเร็จ ก็เหมือนกับได้พาผู้อ่านเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาเองแล้ว ผู้อ่านก็ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้เขียนอีกต่อไป พึงตั้งใจสดับ และพิจารณาพุทธธรรมที่แสดงจากพระโอษฐ์ของพระบรมศาสดาโดยตรง


    โดยเหตุที่หนักในด้านหลักฐาน หนังสือนี้จึงเน้นในด้านหลักการ และวิธีปฏิบัติทั่วไป มากกว่าภาคปฏิบัติโดยตรง เพราะรายละเอียดของการปฏิบัติ ขึ้นต่อปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง และสิ่งที่จะต้องปฏิบัติเฉพาะกรณี พร้อมทั้งกลวิธีที่เหมาะกัน


    อย่างไรก็ตาม หลักการและวิธีปฏิบัติทั่วไปนี่แหละ เป็นแหล่งที่มาแห่งรายละเอียดของการปฏิบัติ ซึ่งเมื่อเข้าใจดีแล้ว ย่อมสามารถคิดกำหนดวางรายละเอียดเฉพาะกรณีต่างๆได้เอง และทั้งมีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของการปฏิบัติด้วย

    ฯลฯ

    เมื่อเน้นในด้านหลักฐาน ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่หนังสือนี้จะหนักไปทางวิชาการ หรืออาจพูดได้ว่า มุ่งแสดงหลักวิชาทางพระพุทธศาสนาโดยตรง คำนึงถึงการอธิบายหลักธรรม มากกว่าจะคำนึงถึงพื้นฐานของผู้อ่าน


    ดังนั้น หนังสือพุทธธรรมนี้ จึงเป็นหนังสือสำหรับผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว หรือสำหรับผู้ต้องการศึกษาอย่างจริงจัง มุ่งหาความรู้อย่างไม่กลัวความยาก ใจสู้ จะเอาชนะทำความเข้าใจให้จงได้ ไม่ใช่หนังสือสำหรับชวนให้ศึกษา หรือเข้าไปหาผู้อ่าน เพื่อชักจูงให้มาสนใจ คือ ถือเอาหลักวิชาเป็นที่ตั้ง มิใช่ถือเอาผู้อ่านเป็นที่ตั้ง แต่กระนั้น ก็มิใช่จะยากเกินกำลังของผู้อ่านทั่วไป ที่มีความใฝ่รู้และตั้งใจจริง จะเข้าใจได้

    ในเมื่อเป็นหนังสือ แสดงหลักวิชา ก็ย่อมมีคำศัพท์วิชาการทางพระพุทธศาสนา คือ ถ้อยคำทางธรรมที่มาจากภาษาบาลีเป็นจำนวนมาก ข้อนี้ ก็เป็นเหตุอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หนังสือนี้ยากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ไม่คุ้นกับศัพท์ธรรม หรือคำที่มาจากบาลี แต่ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ไม่ควรหลีกเลี่ยง ในเมื่อต้องการจะรู้หลักกันจริงๆ

    อันที่จริงพุทธธรรมนั้น ถ้ารู้แจ้งเข้าใจจริงแล้ว เมื่อพูดชี้แจงอธิบาย แม้จะไม่ใช้ศัพท์ธรรมคำบาลีสักคำเดียว ก็เป็นพุทธธรรม แต่ตรงข้าม ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือรู้ผิดเข้าใจผิด แม้จะพูดออกมาทุกคนล้วนศัพท์บาลี ก็หาใช่เป็นพุทธธรรมไม่ กลายเป็นแสดงลัทธิอื่นที่ตนสับสนหลงผิดไปเสีย


    อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่รู้เข้าใจด้วยกันแล้ว คำศัพท์กลับเป็นเครื่องหมายรู้ ที่ช่วยสื่อถึงสิ่งที่เข้าใจได้โดยตรง พูดกันง่าย เข้าใจทันที หรือแม้สำหรับผู้ศึกษาประสงค์จะเข้าใจ หากอดทนเรียนรู้คำศัพท์สักหน่อย คำศัพท์เหล่านั้นแหละ จะเป็นสื่อแหงการสอน ที่ช่วยให้เข้าใจพุทธธรรมได้รวดเร็ว หากจะชี้แจงสั่งสอนกันโดยไม่ใช้คำศัพท์เลย ในที่สุด ก็จะต้องมีศัพท์ธรรมภาษาอื่น รูปอื่น ชุดอื่น เกิดขึ้นใหม่อยู่ดี แล้วข้อนั้น จะนำไปสู่ความสับสนยิ่งขึ้น

    โดยนัยนี้ คำศัพท์อาจเป็นสื่อนำไปสู่ความเข้าใจพุทธธรรมก็ได้ เป็นกำแพงไม่ให้เข้าถึง พุทธธรรมก็ได้ เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว พึงนำศัพท์ธรรมมาใช้ประโยชน์อย่างรู้เท่าทัน คือรู้เข้าใจ ใช้ถูกต้อง รู้กาลควรใช้ ไม่ควรใช้ ให้สำเร็จประโยชน์ แต่ไม่ยึดติดคือคลั่ง

    [​IMG]
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ลุงแมวที่เคารพ อย่ากังวลใจไปเลยครับ ว่าผมจะสิงสถิตอยู่ที่นี่ชั่วกาลนาน ไม่ครับ ไม่แน่นอน ย้ำอีกทีว่า จะอยู่อีกระยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าพอแก่การแล้วก็ไป ผมรู้เข้าใจครับ ว่าทำให้ท่านๆอึดอัด ขาดความเป็นส่วนตัว ดังนั้น อย่ารังเกียจผมเลยนะขอรับลุงแมว

    [​IMG]
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขามันควิดกันเอง หาก ธรรมไม่ใช่เพื่อธรรม จะอธิบายยังไง มันจะมีอาการ ขาขวิดกันเอง

    หลักธรรมคืออะไร หลักธรรมคือ มรรคผลนิพพาน

    อธิบายหลักธรรม โดยไม่คำนึงถึง พื้นฐานจิตใจผู้อ่าน ..... แล้ว ธรรมบ้านใคร มันจะ
    ส่งผลให้เกิด หลักธรรมเข้าสู่ใจ เข้าใจเขาได้ มรรคผลนิพพาน มันจะเกิดไหม !?

    พื้นฐานของคนไม่สนใจ แล้ว ใครหน้าไหนครับ จะอ้างว่า รับธรรมนั้นได้อย่างเข้าใจ

    กิเลสมันจึงกลายเป็น ภาชนะรองรับธรรมะไป เข้าใจด้วยอำนาจกิเลสล้วนๆ ยิ่งอ่านยิ่งเมา

    แล้ว พื้นฐานของคนรับไม่ใส่ใจ อ้างว่า อ่านแล้วจะเข้าใจ แล้วเอาไปใช้ ถูกกาลเทศะ ได้

    มันจะไปเอา กาละเทศะ มาจากไหน ในเมื่อ ไม่เคยเอา ข้อเท็จจริงของใจ เอาพื้นฐานของจิต
    เอา ฐานจิต มาเป็นเครื่องรู้ เครื่องรองรับ
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ยกตัวอย่าง

    ไป หมู่บ้านชาวประมง แล้ว เทศนาตามหลักธรรมว่า ต้องประกอบอาชีพให้มีศีล
    ให้เป็น ปัจจัยเกิดความ ยุติธรรม เป็น ตุลา เที่ยงธรรมต่อโลก

    หรือ ไปศาล ไปสอนตุลาการ ผู้พากษา ตัดสินดคีว่าด้วยบทลงโทษ ประหาร จำคุก
    ปรับเงิน(ยกตัวอย่างซ้อน คนเก็บ CD เก่าไปขาย ฯ) ไปบอกว่า ให้ตัดสินคดีลง
    ไปเลย ว่ากันตามตัวหนังสือโลดดดดด บัญญัติยังไง ลงโทษอย่างนั้น ถือว่า เที่ยง
    ธรรม เป็นตุลา เป็น พรหมวิหาร เป็น นิพพาน ...................บิดา รับทานอะสิ

    อย่างนี้หรือเปล่า สอนหลักธรรมถูกต้องตามกาละ เทศะ
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    อ้างอิงคำพูดเอกวีร์

    อธิบายหลักธรรม โดยไม่คำนึงถึง พื้นฐานจิตใจผู้อ่าน ..... แล้ว ธรรมบ้านใคร มันจะ
    ส่งผลให้เกิด หลักธรรมเข้าสู่ใจ เข้าใจเขาได้ มรรคผลนิพพาน มันจะเกิดไหม !?

    พื้นฐานของคนไม่สนใจ แล้ว ใครหน้าไหนครับ จะอ้างว่า รับธรรมนั้นได้อย่างเข้าใจ

    ตอบง่ายๆ ก็ธรรมเพื่อธรรมไง แต่คนต้องเข้าถึงธรรม (หมายถึงระดับโลกุตรธรรม) พอเข้าใจไหมเอกวีร์ คิดดีๆ

    ของเอกวีร์เอาคำศัพท์ระดับสูงมาระเลง มั่วความหมายเอาตามอำเภอใจ ตามใจอยากจะให้เป็นตามที่ตัวเองต้องการ มันจึงเป็นธรรมปฏิรูปไง :d
     
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เอกวีร์นี่เป็นธรรมไหม ตอบด้วยนะ

    - ทิศ ๖ ปฏิบัติหน้าที่ต่อบุคคลที่สัมพันธ์กับตนให้ถูกต้องตามฐานะทั้ง ๖ คือ

    ๑. ก. บุตรธิดา บำรุงมารดาบิดาผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องหน้า โดย
    ๑) ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
    ๒) ช่วยทำกิจธุระการงานของท่าน
    ๓) ดำรงวงศ์สกุล
    ๔) ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท
    ๕) เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน

    ข. มารดาบิดา อนุเคราะห์บุตรธิดา ดังนี้
    ๑) ห้ามกันจากความชั่ว
    ๒) ฝึกอบรมให้ตั้งอยู่ในความดี
    ๓) ให้ศึกษาศิลปวิทยา
    ๔) เป็นธุระในการมีคู่ครองที่สมควร
    ๕) มอบทรัพย์สมบัติให้เมื่อถึงโอกาส

    ๒. ก. ศิษย์ บำรุงครูอาจารย์ ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องขวา โดย
    ๑) ลุกรับ แสดงความเคารพ
    ๒) เข้าไปหา (เช่น ช่วยรับใช้ ปรึกษาซักถาม รับคำแนะนำ)
    ๓) ตั้งใจฟังและรู้จักฟัง
    ๔) ปรนนิบัติ ช่วยบริการ
    ๕) เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจัง ถือเป็นกิจสำคัญ

    ข. ครูอาจารย์ อนุเคราะห์ศิษย์ ดังนี้
    ๑) แนะนำฝึกอบรมให้เป็นคนดี
    ๒) สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
    ๓) สอนศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง
    ๔) ยกย่องให้ปรากฏในหมู่พวก
    ๕) สร้างเครื่องคุ้มภัยในสารทิศ (สอนให้เอาไปใช้งานเลี้ยงชีพได้จริง)

    ๓. ก. สามี บำรุงภรรยา ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องหลัง โดย
    ๑) ยกย่องให้เกียรติสมฐานะภรรยา
    ๒) ไม่ดูหมิ่น
    ๓) ไม่นอกใจ
    ๔) มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้าน
    ๕) หาเครื่องแต่งตัวมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส


    ข. ภรรยา อนุเคราะห์สามี ดังนี้
    ๑) จัดงานบ้านให้เรียบร้อย
    ๒) สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี
    ๓) ไม่นอกใจ
    ๔) รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้
    ๕) ขยันช่างจัดช่างทำเอางานทุกอย่าง

    ๔. ก. บำรุงมิตรสหาย ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องซ้าย โดย
    ๑) เผื่อแผ่แบ่งปัน
    ๒) พูดอย่างรักกัน
    ๓) ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
    ๔) มีตนเสมอ ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน
    ๕) ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน

    ข. มิตรสหาย อนุเคราะห์ตอบ ดังนี้
    ๑) เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาป้องกัน
    ๒) เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อน
    ๓) ในคราวมีภัย เป็นที่พึ่งได้
    ๔) ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก
    ๕) นับถือตลอดวงศ์ญาติของมิตร

    ๕. ก. นาย บำรุงคนรับใช้และคนงาน ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องล่าง โดย
    ๑) จัดงานให้ทำตามความเหมาะสมกับกำลังเพศวัยและความสามารถ
    ๒) ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความเป็นอยู่
    ๓) จัดสวัสดิการดี มีช่วยรักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ เป็นต้น
    ๔) มีอะไรได้พิเศษมา ก็แบ่งปันให้
    ๕) ให้มีวันหยุดและพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาส

    ข. คนรับใช้และคนงาน อนุเคราะห์นาย ดังนี้
    ๑) เริ่มทำงานก่อน
    ๒) เลิกงานทีหลัง
    ๓) เอาแต่ของที่นายให้
    ๔) ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น
    ๕) นำความดีของนายงานและกิจการไปเผยแพร่

    ๖. ก. คฤหัสถ์ บำรุงพระสงฆ์ ผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องบน โดย
    ๑) จะทำสิ่งใด ก็ทำด้วยเมตตา
    ๒) จะพูดสิ่งใด ก็พูดด้วยเมตตา
    ๓) คิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา
    ๔) ต้อนรับด้วยความเต็มใจ
    ๕) อุปถัมภ์ ด้วยปัจจัย ๔

    ข. พระสงฆ์ ย่อมอนุเคราะห์คฤหัสถ์ ดังนี้
    ๑) ห้ามปรามสอนให้เว้นจากความชั่ว
    ๒) แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี
    ๓) อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจงาม
    ๔) ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยฟัง
    ๕) ชี้แจงอธิบายสิ่งที่เคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
    ๖) บอกทางสวรรค์ให้ (สอนวิธีดำเนินชีวิตให้ประสบความสุข)
     
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    หนังสือพุทธธรรม กับหนังสือพุทธวจน
    น่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาวิชา
    ศาสนาเปรียบนะฮะ ลุงแมวคิดว่าเอาเผยแพร่
    หรือจำหน่ายจ่ายแจกทั่วๆไป
    จะทำให้ผู้เผยแพร่โดนแล้วโดนอีก

    ความจริงลุงแมวไม่ได้เกียจอะไร มจด.

    แต่พฤติกรรมชอบต่อล้อต่อเถียงประจำตัว
    มจด.นั่นต่างหาก ที่ไม่อยากให้มาปรากฏตัว
    ในที่นี้ เพราะบ่อยครั้งอาการยั่วยวนกวนประสาท
    ทำให้ต้องปรี๊ดแตก จนหวิดโดนแบนก็บ่อย
    ถ้าลบไม่ทัน

    คนอื่นที่ มจด.ว่าไม่เกี่ยวนั่นน่ะจริงๆเขามีพฤติกรรม
    คล้ายคลึงกับมจด.นั่นแหละฮะ
    เผยแพร่คำสอนรีไรท์เช่นกัน
    ต่อล้อต่อเถียงเช่นเดียวกัน

    โดนด่าพอๆกัน ทนทานไม่แพ้กันนะฮะ
    ความเกรงใจ ความละอายใจเหลือเท่าๆ กัน
    จ้องจะเอาชนะอย่างเดียว
    เข้าใจไหม?? ทีนี้คิดเอาเองว่าจะไปหรือจะอยู่นะฮะ
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ต่อล้อต่อเถียงทุกเรื่อง
    แล้วยังมาบอกว่า"ลุงแมวที่เคารพ"
    นี่แหละถึงบอกว่าให้รีบไปรีบไป
    เพราะนิสสัยแบบนี้แหละที่จะโดน
    ด่าวันละ 3 เวลา
    มีวันไหนที่ไม่โดนด่าบ้างล่ะ มจด.

    ถ้าคิดว่าการตัดแปะธรรมะเป็นการสร้างบุญ
    ผลบุญสนองกลับ ให้โดนด่าทุกวัน
    อย่างนั้นหรอ ยังรับได้ยังไม่พิจารณาตนเอง
    ว่าแต่คนอื่นไม่รู้เรื่อง
    ตนเองรู้ดีเลยไม่ถือสาให้อภัยทุกคนที่มาด่า
    มองคนอ่านเป็นผู้จะต้องรับความเมตตาจาก มจด.

    นีแหละคือ พฆติกรรมของ มจด.เข้าใจไหม
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อันนี้ง่าย มั๊ว์ก ๆ

    ธรรมะ ตัดแปะไง มันไป ตัดทอนธรรมปฏิบัติออก ตัดเหตุของการปฏิบัติออก( นัยยะ อินทีรย์พร้อมบรรลุ ของ สิงคลกะฯบุตร )
    แล้วไป โน้น ไปคว้าเอา ผล หรือ เอาตูด มาเป็นเหตุ เพื่อ ตลบแตลงแกล้ง
    ทำ พอทำแล้วก็สำคัญว่า สุดยอด ได้ปฏิบัติตามธรรมะ

    มาดูกัน..................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2015
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ๘. สิงคาลกสูตร (๑๓)

    [๑๗๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่
    พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ สมัยนั้น สิงคาลกคฤหบดีบุตร
    ลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าชุ่ม มีผมเปียก ประคองอัญชลี นอบ
    น้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย
    ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน ฯ
    [๑๗๓] ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว
    ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ได้ทอดพระเนตรเห็น
    สิงคาลกคฤหบดีบุตร ซึ่งลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าชุ่ม มีผมเปียก
    ประคองอัญชลี นอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศ
    เบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่ แล้วได้ตรัสถามว่า
    ดูกรคฤหบดีบุตร ท่านลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าชุ่ม มีผมเปียก
    ประคองอัญชลีนอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้อง
    หลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่ เพราะเหตุอะไรหนอ ฯ
    สิงคาลกคฤหบดีบุตรทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คุณพ่อของข้าพระ-
    *พุทธเจ้าเมื่อใกล้จะตายได้สั่งไว้อย่างนี้ว่า ดูกรพ่อ เจ้าพึงนอบน้อมทิศทั้งหลาย
    ข้าพระพุทธเจ้าสักการะ เคารพ นับถือ บูชาคำของคุณพ่อ จึงลุกขึ้นแต่เช้า
    ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าชุ่ม มีผมเปียก ประคองอัญชลี นอบน้อมทิศ
    ทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศ
    เบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่ ฯ
    ภ. ดูกรคฤหบดีบุตร ในวินัยของพระอริยเจ้า เขาไม่นอบน้อมทิศ ๖ กัน
    อย่างนี้ ฯ
    สิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวินัยของพระอริยเจ้าท่านนอบน้อมทิศ ๖
    กันอย่างไร ขอประทานโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
    ตามที่ในวินัยของพระอริยเจ้าท่านนอบน้อมทิศ ๖ กันนั้นเถิด ฯ
    [๑๗๔] ดูกรคฤหบดีบุตร ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดี เรา
    จักกล่าว ฯ
    สิงคาลกคฤหบดีบุตร ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มี
    พระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดีบุตร อริยสาวกละกรรมกิเลสทั้ง ๔ ได้แล้ว ไม่
    ทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้
    ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ย่อมปฏิบัติเพื่อ
    ชำนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้ว ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
    เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สังเกต หนะขอรับท่าน ข้างบนนั้น คือ ที่มาของ ทิศ6


    พระพุทธองค์ สอนว่า ให้

    สาวกละกรรมกิเลสทั้ง ๔ ได้แล้ว ไม่ทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทาง
    เสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้

    นี่คือ การปฏิบัติ เนื้อหาส่วนการปฏิบัติ เรียกย่อๆว่า กำหนดรู้ทุกขสัจจ กิจในอริยสัจจ4
    <spoil>
    [ เน้นในส่วน ละสมุทัย ซึ่ง กำหนดรู้ทุกข์ เครื่องร้อยรัด ตามพระสูตร ไปแปล ปรากฏคำ
    ที่เป็นการ ชี้ทุกขเอาตอนปลายพระสูตรด้วยคำว่า

    ผู้เช่นนั้น ย่อมได้ยศ การให้ ๑ เจรจาไพเราะ ๑ การประพฤติให้เป็น
    ประโยชน์ ๑ ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลาย ในคนนั้นๆ
    ตามควร ๑ ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจในโลกเหล่านี้แล เป็น
    เหมือนสลักรถอันแล่นไปอยู่ ถ้าธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวเหล่านี้
    ไม่พึงมีไซร้ ]
    </spoil>

    ทำแล้วได้อะไร

    ทำแล้ว มันได้การปกปิดทิศทั้ง6 เป็น ผลพลอยได้ ที่จะได้ระหว่างทาง ที่ฝึกหัด
    กำหนดรู้กิจในอริยสัจจ4 ไปเรื่อยๆ

    โดย แจกแจงว่า ได้อะไรบ้าง

    พระพุทธองค์ก็ แจกแจงละเอียดว่า หากมา กำหนดรู้ทุกข์ รักษาศีล ไม่ทำบาป
    ไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ไอ้เรื่อง บำรุงบิดามารดา บำรุงบุตร บำรุงอาจารย์
    มันจะเกิดด้วยอาการ ....แจกแจงไปตามหัวข้อ ที่ ตัดตูดมาเป็นหัว


    พูดสั้นๆ หาก กุลบุตรใด มาภาวนา กำหนดรู้กิจในอริยสัจจ4 จะได้ชื่อว่า บำรุงญาติโก โหติกา
    มิตร และ บริวาร แบบบบบบบบบว่า เป็น เนื้อนาบุญให้พวกเขาเหล่านั้น มีใช้ได้ไม่จบไม่สิ้น

    เรียกว่า ปิดทางเสื่อมให้ ญาติโก โหติกา มิตร และ บริวาร 1000%


    ยกตังอย่าง พระสารีบุตร ผู้เลิศในความกตัญญู ท่านสำเร็จ มรรคผล ผู้เป็นมารดา ไม่ทราบ

    พอไม่ทราบ พระสารีบุตรไปเทศนา ก็ไม่ฟัง กูจะ กราบทิศ6 แบบ มะงุมมะงาหรา ลูบคลำ เขา
    สอนมาให้ทำอย่างนี้ เอาตูดมาเป็นหัว แจกแจงวิธีการ ตลบแตลงปลิ้นปล้อน ไว้ ก็ทำตามไปอย่างนั้น

    ครั้น ตกดึก เทวดา พระพรหม เข้ามาอภิวาท พระสารีบุตร จนบ้านเรือนสว่างไสว

    ก็อ๋อ บุตรเรารุ่งเรืองด้วย กิจในการกำหนดรู้อริยสัจจ แม่เห็นเข้า เป็นปลื้ม !!!
    เรียกว่า เทวดา พระพรหม มากราบ กราบใคร การบสารีบุตร บุตรของ นางสารี เว้ยเฮ้ย

    ฮัดชัดช่า เพราะ ความรุ่งเรืองแบบนี้ มารดาพระสารีบุตร ก็น้อมจิตไป สดับธรรมแท้ๆ ไม่ตัดแปะ
    ไม่เอา ตูดมาเป็นหัว ตัดทอนเหยีบย่ำ " วิธีการปฏิบัติ " ที่แท้จริงเสียจมมิด มืด6ด้าน จานลาย !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2015
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อัดตา!! กถา อึ๊ดดดดชึ !!!

    คือ

    ตามท้องเรื่องเนี่ยะ มันมีคน โคตรกตัญญู เป็นคนดีมั๊วก์ ไม่ต้องสงสัย

    ถ้าจะให้กล่าวแบบ อัดตากถาชัดๆ คือ นายบุตรชายของ สิงคลกะ อะไรนี้
    คงมีชื่อเสียงด้าน กตัญญูอยู่แล้ว

    แต่ทว่า พี่ท่าน เอาแต่ ทำอะไรแบบตามๆกันไป ทำการกตัญญูต่อบิดา
    มารดา ญาติ และ หมู่มิตร ด้วยการ ไหว้ปลกๆ 6อาการ

    เรื่องศีล เรื่องวัตร การเบียดเบียน คงไม่มี [ อนุปุพิกถา ว่าด้วยศีล พระสูตรนี้ สั้นจนเหมือนไม่ได้กล่าว ]

    แต่ทว่า ท่านไม่ได้กำหนดรู้ว่า ตื่นเช้ามาเนี่ยะ ภาระกิจ ที่ร้อยรัดให้ เคลื่อนไหว
    ตั้งแต่เช้าตรู่ มันเป็น พันธนาการให้ ติดอยู่ในสังสารวัฏ ไหว้ปลกๆ เท่าไหร่ ก็
    เวียนว่ายตายเกิด ใช้หนี้ บิดา มารดา ฯ ได้ ไม่หมดอยู่ดี ดีๆไม่ดี เพิ่มเข้าไปอีก

    วิธีการใช้หนี้มารดา ฯ หมด ก็ทราบกันอยู่แล้ว คือ ชักชวนให้ท่าน มาฟังธรรมะ มีศรัทธา
    ต่อธรรม สนใจเรื่อง มรรคผลนิพพาน

    ดังนั้น พระพุทธเจ้า จึงชี้ทางให้ สิงคลกบุตรนี่ ก้าวไปสู่เป็นอริยะเจ้า ซะ

    แล้ว อะไรที่คำนึงถึงทั้งหมด จะได้ชื่อว่า ของแท้แน่นอน กตัญญูแบบของแท้แน่นอน
    ใช้หนี้หมด(สำนวนแปล พระสูตรนี้ไปใช้คำว่า ปกปิดทิศ ถ้าพระสูตรอื่น คือ เป็นนาบุญ)


    ปล.

    อนึ่ง พึงทราบว่า การบรรยาย หน้าที่โดยละเอียดในทิศทั้ง6 ซึ่งในที่นี้ คือ ทุกขสัจจ
    ตัวที่เป็นภาระ แต่ ธรรมะนั้น ไม่ได้ ชี้ทุกข์ แล้ว วิ่งหนีทุกข์

    การกำหนดรู้ทุกข์ คือ เห็นทุกข์ แล้ว ก็อยู่กับ ทุกข์อย่างนั้นแหละ การคอยปลกๆ
    ต้องมีภาระ ตั้งแต่ เช้าจนค่ำ เนี่ยะ ก็ทำไป กำหนดรู้ไป ....แล้ว ละอะไร ละตัวสมุทัย
    ที่เป็นตัวอยาก เป็นตัวที่ก่อปัญหา .....แล้ว มันจะมี ภาระหน้าที่ไปโดยมีการกำหนดรู้โดยชอบ คือ ไม่มี
    การผลิกไป เอาภาระด้วยอาการตัณหา อุปทาน ครอบงำจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...