เรื่องจริงไม่อิงนิทาน ประสบการณ์ตั้งแต่ 3 ขวบ จนถึงอายุ 57 ปีของผม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย บุญทรงพระเครื่อง, 19 มิถุนายน 2015.

  1. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    เรื่องจริงไม่อิงนิทาน ประสบการณ์ตั้งแต่ 3 ขวบ จนถึงอายุ 57 ปีของผม

    ขอจองพื้นที่ไว้ก่อน เด๋วผมจะมาเขียนเล่าให้ฟังกันนะครับ โปรดติดตามกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2015
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ ท่านเจ้าของเว็ป และผู้ดูแลเว็บบอรด์ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ที่เข้ามาอ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเจ้าจองเว็ป และผู้ดูแลร่วมงานกัน ผมจึงขอขอบคุณ ที่ต้องใช้พื้นที่ ในการเล่าเรื่องราวต่างๆ เผื่อมันมีประโยชน์ ต่อ พี่ๆน้องๆบางท่านบ้างไม่มากก็น้อย ผมจะนำเรื่องราว ที่เกิดขึ้นจริง ของผม มาเล่า สู่กันฟัง เพราะว่า ในชีวิตนี้ ผมทำงานมากว่า ๑๐๐ ชนิด จึงมีประสบการณ์ พอสมควร ถึงความรู้เรียนไม่สูง แต่จะหาประสบการณ์ อย่างต่อเนื่อง ด้วยวัยตอนนี้ ก็ เข้า ชแลแก่ชราแล้ว ในตาก็ฟ้าฟาง มองไม่ชัดเจน อ่านหนังสือต้องใช้แว่น มาเป็นเวลากว่า สิบปีแล้ว ผมก็เริ่ม ขาว หนวดงอก ฟันฟาง พุกร่อน เหม็นเน่า ในหูก็ฟังไม่ชัด คันอีกต่างหาก จมูกก็ น้ำมูกคอย จะไหล ตั้งแต่ตีน ยันหัว หัวยันตีน เส้นเอ็นมันยึดหมด ปวดมา ๓๐ กว่าปีแล้ว


    ตั้งแต่ อายุ ๑๙-๒๐ ปีจนอายุ ๕๗ มันยิ่งหนักมาก กว่าตอน อายุน้อยๆ นี่คือ กฎของกรรม เอ่ บางท่านอาจ เถียงในใจว่า จริงหรือ มันทำงานมา กว่า ๑๐๐ ชนิด ก็โปรด ติดตามอ่านกันนะครับ จริงๆ ผม บอกก่อนนะ ผมส่งลูก ชายไปอยู่กับแม่ชี วัด ก.ม. ๘ (วัดใหม่ ฉายหิรัญ) อ.ด่านช้าง จ.สุพรรบุรี อายุ ๔ ขวบ คนโตนะ คนเล็ก ส่งไปอยู่ อายุ ๓ ขวบกว่าๆ นี่ไม่ใช่ผมนะ ผมว่าเขาก็มีประสบการณ์ ดีกว่าผมแน่ ในตอนเด็กๆ เพราะอะไร ต้องส่งลูกไป เพราะว่า ที่ วัด ก.ม.๘ ท่านฝึก ให้เด็กๆ สวดมนต์ไหว้พระ ตอน ตี ๔ ครึ่ง ทำสมาธิ ตอน ๖ โมงเย็น ถึง ๑ ทุ่ม สวดมนต์ทำสมาธิกรรมฐาน เลี้ยง ควาย บ้าง เลี้ยง หมูบ้าง ที่คนเขานำไปถวาย เดี๋ยวนี้ ท่าน บริจาคไปหมดแล้ว เพราะเด็ก แทบจะหมดแล้ว เมื่อก่อนเด็กที่ท่านเลี้ยง เป็นร้อย ครับ ส่วน ลูกคนโต ไปด้วยความสมัคใจ แต่ตอนหลัง แย่เหมือนกันไม่เล่า ไว้ เล่าทีหลัง ส่วนคนเล็ก ส่งไป ๓ ขวบกว่า เพราะมีเหตุ ท่าไม่ลืม จะเล่าให้ฟังครับ
     
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มาต่อก่อน นิทา ปรกติผมจะนอน ๒ ทุ่มเศษๆ วันนี้ เกือบ ๕ ทุ่ม แล้วครับ นอนดึก ร่างกายไม่ค่อยดี บางทีก็ทำท่า เหมือนจะตาย บางที ก็ ทำท่าเป็นหนุ่ม หรือเด็ก วันนี้ ก็ตัวไปนอนก่อนนะครับ ถ้าพรุ่งนี้ ไม่ตายเสียก่อน จะเข้ามาเล่า สู่กันฟัง ราตรีสวัสครับ ทุกๆท่าน
     
  4. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    l;ylfu8iy[ ที่ ๒๐/๖/๕๘ สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาลูกหลานโหลนเหลนทั้งหลาย วันนี้ ยังไม่ตาย ก็มาขอเล่าต่อ ก็แล้วกันครับ ขอเกริ่นเริ่มอารัภบทของท้องเรื่อง เดี๋ยวพวกท่าน จะไม่รู้ที่มาและที่ไป ว่าผมเป็นคนที่ไหนเริ่มแรกเดิมที ผมเป็นคน จ.นครปฐม รากเง่าสักราชโครตตระกูล เป็นคน เมืองเจดีย์ใหญ่ มีพี่น้อง ๘ คน ชาย ๔ หญิง ๔ ผมเป็นคนที่ ๒ รองจากพี่ชายผม เกินในถิ่น ทุระกันดาร ในสมัยนั้น เป็นครอบครัวคน ยากจน เข็นใจ บ้านอยู่ห่างจากตัวเมือง ๑๐ กว่า ก.ม. จากองค์พระปฐมเจดีย์ ในสมัยก่อน ถ้า อยากมองเห็นองค์เจดีย์ ต้องออกไป ในกลางทุ่ง ซึ่งจะมองเห็น เจดีย์ ครึ่งองค์ มองดูเด่นเป็นสง่า


    ในสมัยก่อนโน้น เด็กๆ ตามชนบท บ้านนอก จะไม่ค่อยนุ่งกางเกงกัน เพราะความยากจน ไม่มีกางเกงเสื้อผ้า จะนุ่งกัน นั่นเอง เมื่อเข้าโรงเรียนแล้ว ก็มีเสื้อผ้า เก่าๆขาดๆขาดตูดบ้าง ขาดแขนขา และมีรอยปะ ตามระเบียบนอกจากพ่อแม่ ซื้อให้ใหม่ๆ ส่วนใหญ่ จะใช้ใส่ชุดเดียวไม่ค่อยมีเปลี่ยนกัน อย่างดีก็ไม่เกิน ๒ ชุด ครอบครัว ที่มีฐานะ ดีหน่อย ก็คงมีเสื้อผ้าดีๆใส่กัน เมื่อคนในสมัยนั้น พ.ศ.ยังไม่ถึงพ.ศ. ๑๐ คนตามบ้านนอก ยังไม่มีส้วมใช้ กัน ถึงคนที่มีฐานะ ก็เถอะนะ เวลาขี้ หรือเวลาถ่ายทุกข์ หรือถ่าย อุตจาระ จริงๆพูด แบบไทยๆดีกว่า อุตจาระ มันเป็นภาษาบาลี ทีต้องวิ่งโล่ ออกไปนอกบ้าน ขี้ให้หมา กิน หรือ ถ้าบ้านไหน ไม่มีหมา ก็คงขี้แล้วทิ้งไป
     
  5. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มาว่าต่อ ถ้าแต่ละหน้า บางท่านอาจจะขี้เกียจอ่านกัน ขอพูดเลย ผมไม่เคยไปอินเดีย ดูข่าวจากทีวีบ้าง หนังสือพิมพ์บ้าง ที่พระ หรือผู้หลักผู้ใหญ่ นักเขียน นักธุระกิจ นักบุญ ไปเยือนอินตระเดีย แหม โลกนี้ มีความเจริญก้าวหน้า ไปถึงไหนกันแล้ว เมืองอินตระเดีย ยังขี้ นอกบ้านกันอยู่เลย คือขี้ ให้หมากิน และขี้ แล้วทิ้งเลย เดี๋ยวนี้ อาจจะมีกบ กันบ้าง เพื่อให้ดูดีหน่อย แต่ถ้าพูดถึงประเทศไทย ของเราแล้ว แทบหาคนขี้ แบบเมื่อก่อนนี้ คงหาดูได้ยากจริงๆครับ แหม ต่อให้อยู่ในป่าก็เถอะ รัฐบานของเรา ทำความเจริญก้าวหน้าไปมาก หรือต้องยกความดี ให้พระ นักบวช ดีกว่า หรือนัก บุญหลายๆคณะ ที่รัฐบาล ไปไม่ถึง ท่านเหล่านี้ มีส่วน ช่วยชาติ บ้านเมืองได้เยอะ เลยครับ
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มาต่อหน้าใหม่ เพื่อ ไม่ให้มีหน้า พิมพ์เยอะๆ มันจะทำให้เบื่อ ในการอ่านก็ได้ กรุณา มาออกความเห็นกันบ้างนะครับ จะได้ รู้ว่า ชอบหรือไม่ชอบกัน ชอบไม่ชอบก็ พิมพ์ให้อ่านกันให้จุใจ ก้แล้วกันน้อ ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มาว่าต่อแล้วกันครับ เลยเถิด ไปไกลเลย ตอนผม อายุ ๓ ขวบ หรือกว่าไม่มาก กันครับ ที่อยู่บ้าน นครปฐมนี้ ท่านพ่อผม กับท่านแม่ผม จะย้ายบ้าน อยู่บ่อยๆ คือหน้านา ก็ทำนา ทำไร่ พ้นจากหน้าทำนา ทำไร่แล้ว ท่านพ่อ และท่านแม่ผม จะไปรับจ้าง งานทั่วๆไป ซึ่งตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ มาก น้องผม ซึ่ง รองจากผม ยังเดิน ไม่ได้เลย คือ เวลาเดินแล้วล้มแพ่ะล้มแพ่ะ คือเรียกว่า เพิ่งเดิน ตั้งไข่ ยังเดินไม่เก่ง ว่างั้นถอะ แต่เวลา ท่านพ่อแม่ ไปทำงาน จำเป็นต้องขัง พวกผมไว้ ในบ้าน


    เพื่อป้องกัน ลูกๆออกไปเที่ยวนอกบ้าน หรืออาจจะหาย หรือเกิดอันตรายได้ นี่คือ ความรักของพ่อและแม่ ในสมัยก่อน ก็คือเป็นความฉลาด ของท่าน ถ้าไม่ป้องกันไว้ก่อน วัวหายแล้ว มาล้อมคอกที่หลัง มันคงจะเสียหาย เกิดอะไรขึ้นไม่ดีได้ครับ เมื่อ เวลาผ่านไป ไม่นานนัก หรือนานแค่ไหน เราก็รู้ได้ยาก มันนาน มากแล้ว ๕๐ กว่าปีแล้ว แต่ความทรงจำ บางเรื่อง บางอย่างยังจำติดตาติดใจ ได้อยู่ จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง เวลาผ่านๆไป เมื่อถึงเวลา น้องหิว ร้องไห้จ้า อยู่บ่อยๆ ผมกับพี่ชาย ก็ผัดกัน เอาน้ำ ให้น้องกิน แทนนมว่างั้นเถอะ แต่น้ำ หรือมันจะสู้นมของแม่ได้ สักพัก น้องก็ร้องไห้อีก เป็นแบบนี้ นาน เท่าใด ไม่ทราบได้ พอนานๆเข้า ไอ้น้อง มันซนนี่ เด็กๆนี่ วิสัยของเด็ก หายาก ที่เด็กๆเกิดมาแล้วไม่ซน ไม่มี คงมีแต่ก้หายากมาก น้องผม คานเข้าไปใน ใต้ถุน บ้าน ขอย้อนมาพูด ตามบ้านนอก ทั่วไปเมื่อก่อน คนไทย หรือคนไทย เชื้อสายเจ็ก จะปลูกบ้าน เป็นกระต็อบมุงด้วยใบจาก ตับจาก ทำมาจากใบต้นจาก ซึ่ง พ่อค้าแม่ขาย นำมาขาย ตามในเมือง ซึ่งแหล่งกำเนิด ของต้นจาก คงไม่พ้น จ.สมุทรสาคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม


    เพราะต้นจาก มันจะอยู่ ริมจากชายทะเลไม่ไกลนัก ส่วนใหญ่ จะอยู่แหล่งน้ำก่อย น้ำไม่จืด นั่นเอง บางท่าน หรือ หลายๆท่านอาจจะไม่รู้จัก เลยอธิบายให้ฟังกันครับ และในบ้าน จะสับฟากไม้ไผ่ ทำเป็นที่นอน หรือ ไม้กระดาน ไว้แต่ละจุดๆหลายที่แล้วแต่ ความเหมาะสม มาว่าต่อ คอยจะ เตลิด ออกนอกเรื่องอยู่เรื่อยๆ เมื่อน้องผม เมื่อร้องไห้ มากๆเข้า พวกเราก็เลย ไม่รู้ทำอย่างไร บางที หรือ หลายๆครั้ง ก็ผัดกัน เอาจ้วยของพวกเรา แทนนม ให้น้องของผมดูดกินแทนนมแม่ น้องก็ หยุด ร้องไห้ ไปได้พักหนึ่ง หรือ นาน พอได้ ผ่อนคลาย ทำให้ไม่ร้องไห้
     
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มาต่อครับ มีอยู่วันหนึ่ง ที่ผ่านไป วันนี้ คงโดนท่านพ่อ ท่านแม่ขังไว้ ตามเคย วันนี้ เป็นวัน ไม่ดีนักครับ เพราะว่า อยู่ๆน้องคนดี ของพวกเรา ก็คานเข้าไปในใต้ถุนบ้าน ทันใดนั้น น้อง ก็ร้องไห้จ้า ดังสนั่นแสดงถึงอาการเจ็บปวด ปรกติ การร้องไห้นี่ มันจะไม่เหมือนกัน ร้องธรรมดา กับ อาการเจ็บปวด ด้วยสัญชาติญาณ จึงรีบ นำน้องออกมา คือ ที่พวกเราเห็นกัน คือ ดาก ภาษาบ้านนอกเขาเรียกกัน ถ้าเรียก ให้เพราะหน่อย เขาเรียกกันว่า ถุงทวารหนัก มันออกมาข้างนอกครับ พอง แดงเถือกของน้องผม มันน่ากลัวจริงๆครับ พวกเราไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ ร้องไห้ กอดกัน ตามปะสาเด็ก ไอ้มด คันไฟ ตัวแดง ก็เสือกกัด น้องด้วย ตุ่มขึ้นแดง เจ้ามด พวกนี้ พิษ มันร้ายมากครับ ถ้ากัดแล้ว เกิดอาการ เจ็บ คัน รุนแรง ถ้าใครแพ้ นั่น แสดงถึง อาการหนกครับ


    คนในสมัยนี้เกิดขึ้นคงมีน้อย เพราะ บ้านสมัยนี้ เขาปลูกกันดี โบกปูน เทพื้น ป้องกันได้ดีทีเดียว เป็นสัดส่วน มาว่ากันต่อครับ ผมเอง ไม่รู้ทำเข้าไปได้อย่างไรกัน เมื่อปัดมดออกจากน้องได้ พอสมควรแล้ว ผมก็เห็นผ้าขี้ ริ้ว ที่เปอะเปื้อนด้วย ฝุ่น ดำปี๋ ก็จับผ้าขี้ริ้ว ขึ้นมา แล้วเอามือจับ ดาก น้องผม ยัดใส่เข้าไปดังเดิม ยัดอยู่พักหนึ่ง ก้เข้าไปได้ที่ ดีดังเดิม น้องก็หยุดร้องไห้ ตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้ ก็น้องผม ห่างจากผมก็ ๒ ปีกว่าๆเองครับ ตอนนี้อายุได้ ๕๐ กว่าปีแล้วครับ ดาก หรือถุง ทวารหนัก ไม่ออกมาให้เห็นอีกเลย เอวังก็มีด้วยประการฉนี้ วันนี้ คงบ่ายๆมาว่าต่อ กินข้าวก่อน หรือทานข้าวก่อน แล้วไปพิมพ์ กระทู้อื่นๆ ต่อไปครับสวัสดี
     
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    วันนี้ มาต่อ ตอนเย็นๆครับ ๑ ทุ่มครึ่ง มาต่อเรื่อง ในสมัยเด็กๆ บางที หรือบางปี ท่านพ่อแม่ผม จะพาไปด้วย โดยให้ผมเลี้ยงน้อง และเก็บรวงข้าว ตามทุ่งนา และวันสุดท้าย เก็บได้ ข้าวหลง หลายกำ ทางภาคกลางจะเกี่ยวข้าว เป็นกำ ไม่เหมือนภาคอื่นๆครับ วันนั้น ผมได้ ข้าว เมื่อใช้ ตีนนวดแล้ว ได้เกือบ ถังใหญ่ วันธรรมดา ทั่วไป จะได้ ไม่มาก เหมือนวันนี้ครับ แล้วถึงเวลา ที่พ่อแม่จะพาพวกผมกลับบ้าน เพราะหมดน่าเกี่ยวข้าว แล้ว
     
  9. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    เมื่อในสมัยนั้น ท่านพ่อผมจะ เป็นหมอ รักษา โรคต่างๆ รักษาโรค พวกถูก คุณไสย คุณคน หมอโบราณ และพวกบ้าวิชา ที่ฝึกจนจิตวิปริตในสมัยนั้น ผู้คนที่มารักษา ส่วนใหญ่ เป็นคนไกลบ้าน ท่านไม่รับรักษาทุกคน จะรักษา เป็นคนๆไป ท่านจะดูคนไข้ รักษาได้ ระดับใด หายหรือไม่ หายเวลาไปหาคนไข้ ท่านจะดูว่า คนไข้ นอนหันไปทางทิศใด ควรรักษาหรือไม่ ก็มี หลายๆครั้ง ท่านพ่อผม ให้ไปเก็บ ขี้ แห้ง ในที่ต่างๆ ที่พวกเราไปขี้ในป่า หรือ ออกไปหา ขี้แห้ง ที่ชาวบ้าน ขี้ทิ้งไว้ เพื่อนำมารักษาโรคต่างๆ ที่คนไข้ มารักษา และก็บ่อยๆครั้ง พวกเรา ต้อง แอบไปเยี่ยว เพื่อนำเยี่ยวมา รักษาให้คนไข้ ซึ่งนำมาผสม กับตัวยา


    และยิ่งเมื่อก่อน ผมนี้ เป็นคนขี้โรค เจ็บอยู่บ่อยๆ และขี้ไก่ แห้ง มัคจะนำมาคั่ว ให้ไหม้ เกียมๆ เมื่อคั่วแล้ว จะออกกลิ่นหอม ไม่เหม็นครับ ผมและพี่น้องบางคน จะโดนบังคับ ให้กิน ขี้ไก่ เสมอๆ เพื่อรักษาโรค ต่างๆ เมื่อกินแล้ว ไม่กี่ครั้ง โรคต่างๆก็จะหายครับ และมีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านพ่อผม นำคนบ้าวิชา มารักษา ซึ่งนำมาล่ามโซ่ ไว้กับโคนเสาร์ บ้านย่าผม คนบ้าวิชาคนนี้ เสดาะ กุญแจ หลุด ได้ พ่อผมก้ยังรักษา ให้หายได้ครับ
     
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ตอนผมในสมัยเด้กๆ เมื่อายุ ใกล้เข้าโรงเรียน น่าจะ ๕ ขวบไม่ถึง ๖ ขวบ ผมจะ นำควายไปเลี้ยง กับชาวบ้าน ทั่วไป ในท้องทุ่ง อันกว้างใหญ่ หลายๆหมู่บ้าน หรือ ทุ่งหนึ่ง อาจกินถึง ๓ - ๔ ตำบลเลยทีเดียวครับ ไกล จากบ้านหลายกิโล ตอนเย็นถึงจะไล่ควายกับบ้าน สมัยนั้น น้ำ หายาก น่าแล้ง ต้องคอย ไป รอคิว ตักน้ำ ให้ควายกิน ในบ่อน้ำหลวง ซึ่งมีตาน้ำออกดีมาก บางที ถึงกับๆบ้านมืด ก็มี ส่วนใหญ่ วัว ที่ชาวบ้านเลี้ยงกันแทบจะทุกบ้านเลยทีเดียว คนไหน ไม่มีวัวควาย บ้านนั้นแสดงว่า จนที่สุดครับ บางทีพวกเรา ก็ต้องคอย หาบน้ำ กับบ้าน ด้วยเพื่อไว้ หุงข้าวกัน และกิน หรือดื่ม


    ปีไหน ท่าแล้งมากๆ บางคืน ตี ๓ ตี ๔ ต้องออกไปรอคิว ตักน้ำที่บ่อน้ำหลวง มาที่บ้าน ต้องหาบน้ำ เป็นกิโลๆเลยที่เดียวครับ หรือไกลกว่านั้น อีก ผมนี้ ต้องช่วย ท่านแม่ผม ตำข้าว ในเวลา มืดค่ำ ตำสาก มือ หรือสากตะลุมพุก พอมีฐานะดีขึ้นมาหน่อย ท่านพ่อผมก็ จ้างช่างทำ โรงสีมือ สีข้าวก่อน แล้วค่อยนำมา ตำให้กากหมดอีกทีครับ แล้วค่อย นำมา ร่อน รำข้าวออก และฟัด เก็บกากข้าว ที่ยังเป็นข้าวเปลือกอยู่ ลำบากมากครับ ในสมัยก่อน กว่าจะได้ กินข้าว แต่ละหม้อ บางที เราตำข้าวไม่ได้ จังหวะ มือจะแตก พอง ถ้าตำชินแล้ว สบายมาก ผมจะตำคู่กับแม่ผม ผัดกัน ลงสาก ตำขึ้น ตำลงแบบนี้ บางคืน ไหนเดือนหงาย ต้องตำจนกว่า เดือนดับ หรือมืด
     
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ว่ากันรวมๆไป จำไม่ได้ ว่าตอนไหนก่อนหรือหลัง และบ่อยมาก ที่แม่ผม ไปซื้อ ลานมา จักลาน และกรีด ใบลาน กระดูกลาน เพื่อนำไป ตากแดด ให้แห้ง แล้วนำไปขาย ให้แก่ เจ็ก ในตลาด หรือพ่อค้า ผมไม่เคยเห็นที่ไหน เขาทำลานขาย เหมือนจะงนครปฐม มีที่นี่ ทีเดียว เท่านั้น ที่ทำลานขาย กันมาตั้งแต่ บรรพบุรุษ ที่มีเยอะ คือ หมู่บ้าน ห้วยกรด และบ้านลานแหลม ขึ้น อำเภอ ดอนตูม กับ อำเภอ นครชัยครี บางที น่าทำนา ตอนดึกๆ ตี ๓-๔ ต้อง ลุกขึ้นมา เอาควายออกจากคอก ถ้าไม่ลุกขึ้น ถ้าโดนท่านพ่อผม เรียก ไม่ลุกกันแล้วละก็ ต้องโดนน้ำ ลาด จนเปียก จนหนาวสั่น เหมือนลูกนก ตกน้ำ บางที ลุก เอาควาย ออกจากคอก ขี้ โคน หรือขี้เลน ปนกับขี้ควาย มันขยักแขยง จนบอกไม่ถูก เพราะลงไปในคอกควาย ขี้โคนจนมิด ขาอ่อนเลย บางครั้ง แทบถอนขาไม่ขึ้น เพราะความลึก ในคอกควาย


    เมื่อนำควายออกจากคอก แล้ว ต้องเอาควายไปอาบน้ำ ให้ สอาด หมดจดอีกด้วย แล้วต่อจากนั้น ก็ขี่หลังควาย ไปยังท้องทุ่งนา เพื่อเตรียม นำควายให้ท่านพ่อไถนาต่อไป กว่าจะขี่ควายไปถึงนา เป็นเวลา น่าจะตก เกือบชั่วโมง ก็ประมาณ ว่า ๒ โลกว่าถึง ๔ โล ท่านพ่อผม จะแบก คันไถ ไปรอล่วงหน้า เรื่อง ไม่ค่อย อยากตื่นนี้ ในสมัยก่อน มันหนาวมาก ตามบ้านอก นครปฐม ๔๐ ถึง ๕๐ ปีกว่าก่อนโน่น ไปทางไหน มีแต่ป่าครับ มันจึงหนาวมาก ขนาดไม่ใช่ หน้าหนาวนะ ท่าหน้าหนาวจะขนาดไหนหนอ เดี๋ยวค่อยพูดทีหลังครับ พุดถึง ไถนาด้วยควายแล้ว ผมคนหนึ่ง ไม่แพ้ใครเหมือนกันครับ เมื่อก่อน ไถนาหว่านข้าว แห้ง ก่อนฝนตก และไถนาน้ำนาดำ และต้องคาด เขาเรียกไถ ดะ ไถกบ และก็ไถนาหมักน้ำ ไว้ แล้วใช้คาด เก็บหญ้าให้เตียน เมื่อข้าวยาวได้ที ก้ถอนไปปักดำอีกทีครับ ข้าวกล้าได้ ๒๐ กว่าวัน หรือเดือน เศษๆ ท่าข้าวกล้าแก่จะปลักดำไม่ดี พรุ่งนี้ ค่อยมาต่อครับ
     
  12. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวสัดีครับพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอา ลูกหลานโหลนเหลน ที่ติดตามอ่านกัน คงไม่มีคนชอบอ่านเท่าไหร่ ยุคนี้ มันยุคไฮเทก น้อยคนนัก ที่จะชอบ ดูแล้ว มันเป็นเรื่อง ไร้สาระ แต่จริงๆ ผม ก้หวังว่า จะมีคนบางคนหรือหลายๆท่านเข้า มาอ่าน จะได้รื้อ ความทรงจำเดิม ว่า ในอดีด ใกล้ปัจจุบัน บ้านเมืองของเราเป็นมาอย่างไรกันบ้าง คนยุคนี้ เกิดมาสบาย ไม่รู้จักคุณค่า ของค่าคำว่า ข้าวได้มาซึ่งความทุกยากสักเพียงไรหนอ ผมเอง ทุกวันนี้ ถ้าไม่ ออกนอกบ้าน จะกินข้าว ในจานหรือถ้วย หมด ไม่ให้เหลือ สักเม็ดเดียว ด้วยเหตุที่ว่า กว่าจะเป็นข้าว สารให้เราได้หุงกินกั มันผ่านวิธีการ ขั้นตอน มาอย่างยากลำบาก ถึงในสมัยนี้ จะมี เครื่องอำนวยความสดวกก็เถอะ ยังใช้ ความทุกข์ยากอยู่ดี


    ในสมัยนั้น ผู้หญิงตามบ้านนอก ยังไม่ค่อย นุ่งผ้าเท่าใดนัก จะนุ่งก็ต่อเมื่อ ออกนอกบ้านไปที่อื่นกัน แม้ บางคน เริ่มเป็นสาวแล้ว นมตั้งเต้าเท่าลูกมะนาว ใส่กระปิ้งปิดปิ อยู่เลย ตูดขาวโพน นมตั้งเต้า คำว่ากระปิ้ง ปิดปิ คนจนก้ใส่กระปิ้งเงิน คนรวย ตามบ้านนอก ก็ใส่ กระปิ้งนาค นาคคือ ทองคำผสมกัน กับทองแดง ทองน้ำประสานทองผสมกันจึงเรียกว่า นาค ออกแดงเหลืองๆ แต่กระปิ้ง ทองคำนี้ ไม่เคยเห็นครับ แต่อาซือเจ๊ต้อยบอก เคยเห็นเคยมี ขอให้อาซือเจ๊ ต้อยเข้ามาอธิบายให้ท่านทั้งหลาย ได้รู้บ้างครับ เพราะคนในสมัยนี้ ไม่รู้จักกันเลย ว่ามันเป็นพันไร กระปิ้งปิด ปิ ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  13. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มาต่อเรื่องราวต่างๆ เรื่องทุกๆเรื่อง อาจไม่สอดคล้องกันเพราะว่า มันนานมากแล้ว ความจำมันเสื่อมลงเรื่อย ๆ และ คงไม่เป็นไร ให้เป็นเรื่องราวที่เป็นจริง ถึงจะพูดผิดพาดไปบ้าง ไม่กี่เปอร์ คงสถานะเดิม เรื่องจริงไว้ครับ เมื่อเข้า โรงเรียนแล้ว งานหนักก็เพิ่มเป็นเงาตามตัว ท่านพ่อผม เป็นคนขยัน ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ซึ่งเงินตรา เลี้ยงลูกเมีย ต่อไปนี้ คงทำงานแบบเข้มข้น ขึ้นกว่าเดิม ผมนี้กับพี่ชาย ทำงานด้วยกัน ถูกเอารัดเอาเปรียบตลอด ผมทำงาน เป็นเสมือนพี่ชายของผมเลย บางครั้ง เกี่ยงกัน ต่อย กันกลิ้ง บ่อน้ำ เลยก็มี แม่ผม เอาไม้มาเผาถ่านขาย ความรู้ของท่าน ยังไม่มีเท่าไหร่ ท่านไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะแม่ตาย พ่อมีเมียใหม่ ท่านก็ละเหเร่ร่อน ไปอยู่กับญาติพี่น้อง ต่างๆ อาศัย ข้าวเขากิน เมื่อพ่อพาแม่หนีไปอยู่ เขาสามร้อยยอด จ.ประจวบ เอาไปไหนเนี่ย มาต่อ เมื่อแม่ เผาถ่าน ก็ให้ผม หาบถ่าน เท่าคนโต กระบุงใหญ่สุด พาผม ไปแลก มะพร้าวบ้าง ผ้านุ่ง ผ้าห่มบ้าง และพาไปขายในเมือง ตัวจังหวัด หาบหนึ่ง ไม่แน่ใจว่า ถึง ๒-๓ บาทเปล่า
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ถ้าพูดถึง ทองคำ ในสมัย ไม่ถึง พ.ศ.๑๐ นี่ ไม่ถึง บาทละ ๓๐๐ หรือถึง ไม่แน่ใจครับ ข้าวสาร กระสอบป่าน ๑๐๐ กิโล ไม่กี่สิบบาทในสมัยนั้น ข้าวสาร ต่อเกวียน หรือ ๑ เกวียน พอๆกับ ทองคำ หนัก ๑ บาท เมื่อนานปีผ่านไป พ.ศ. ๒๐ เศษๆ ถึงพ.ศ.๓๐ เศษๆ ข้าวแซงหน้า ทองคำไปนะครับ แต่เดี๋ยวนี้ ทำไม ทองคำ แม่มันแพงกว่า ข้าว ๓-๔ เท่า เอ่อ พูดเลยเถิด ไปไหน กับมาเล่า ในสมัยเป็นเด็กต่อ บางครั้ง ผม หาบของไปขายกับท่านแม่ผม บางทีมีคนเขาสงสารผม ก็ซื้อบ้าง ก่อนที่จะถึงตลาด เอาของมาแลกบ้าง ก็บุญตัวไปครับ แหม จากบ้านเดิมผม ไปถึงตลาดนี่ มันระยะทาง ๑๐ กว่ากิโลเมตร เลยนะพี่น้อง คนเดี๋ยวนี้ เดินแค่กิโลเดียว ก็ทำท่า จะตายแล้ว ไปไหนมาไหน ก็รถ เครื่องสิ รถยนต์สิ ตีนเหยียบ ลงดิน ทำท่าจะตาย ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ บางท่านถึง ขนาดเอาเปรียบ เห็นบ่อยๆมาก แทบทุกที่เลย จอดรถ แม่มึงกลางถนนเลย ไม่เกรงใจ คนอื่นเลย เห็นแก่ตัวชมัด เอ่อ รถหยุดแล้วลงเลย อันนี้ ไม่ว่ากัน บางท่าน เบ่ง กูเจ้าสัวนะยะ กูนายพลเว่ย กูมีพักพวกว่ะ จะจอด ทำไมกูฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไอ้พวกนี้ ชอบเอาเปรียบคน


    สันดานเลว เอ่าไปจะแถไปอื่นเรื่อยเลยผมนี่ นิสัยไม่ดี ชอบพูดแขวะคนอื่น ไม่เอาๆไม่ดีรู้ไหม นี่ การทำงาน มันทุกข์ อย่างนี้ ชาตินี้ครับ มันเสือกเกินมาจน นี่ ต้องรับสภาพ ตนเอง ไปโรงเรียน กว่าจะได้ไปก็เข้าไป ๓ -๔โมงเช้า ก่อนไป ส่งควายให้พ่อ กับมาตอนเย็น รถน้ำผัก ต้องเอาหาบไปตักน้ำ แล้วหาบขึ้นมาจากบ่อนะ แล้งใช้ขัน รถทีละหลุม ที่ละขัน ๒-๓ ไร่ กว่าจะรถหมด ผักหรือ ก็มี พริก ผักขน้าบ้าง ผักกาดบ้าง ผักชีบ้าง มะเขือเทศ บ้าง อะไรพวกเนี้ย เฮ่อ มันน่าใจหาย มะเขือเทศ เท่าลูก ถ้วย จาน ย่อมๆมันสูนพันกันไปไหนหมด มันน่าเสียดาย เมื่อไม่กี่วัน ดูสารคดี ของจีน ของเขายังมีอยู่เลย
     
  15. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มาว่าต่อ ท่านพ่อผม ซื้อวัว มาเลี้ยงเพิ่ม มีมากถึง ตก ๒๐ ตัวหรือกว่า ผมนี้ ไถนาเป็นหมด ไถวัว ไถควาย นี้ ขอให้บอก ดำนา เกี่ยวข้าว ตำข้าวสาร พ่อผม บางปี เลี้ยง ห่าน ถึง ๒๐๐ กว่าตัว บางครั้ง ต้องเอาข้าวท่อน ที่ให้ห่าน และเป็ดกิน นำมาหุงกินกัน เป็ดนี้ เลี้ยง ตั้งแต่ ๕๐๐ ตัว จนถึง ๑,๕๐๐ ตัว เป็ดไข่ เลี้ยงไว้กินไข่ ๒๐-๓๐-๕๐-๘๐ ตัว บ้างแล้วแต่โอกาศ เลี้ยงแม่หมู ๑ ถึง ๓ แม่ ท่านพ่อผมเลี้ยง หมูมากไม่ได้ เลี้ยงไม่ขึ้น ออกลูกไม่มาก หรืออกมาตาย ถ้าเลี้ยงแม่ สองแม่ดี ไห้ผล ตามฐานะ เลี้ยงหมูเนื้อไม่เกิน ๑๐ ตัว และทีบ้านผม เคยเลี้ยงม้า ๒ ตัวครับ กันโขมยได้ดี กว่า ห่านเสียอีกครับ เคยเลี้ยงไก่ไข่ ไก่ชนขาย เพราะลูกขาย นับปีละ เป็น ตกพันตัว เลยทีเดียว พูดรวบรัดนะครับเนี่ย เรื่องยังมีอีกเยอะครับ ไปก่อนนะครับ กลางคืนค่อยมา ว่ากันต่อครับสวัสดี
     
  16. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    อ่านแล้วรู้สึกว่าเราฟุ้งซ่านเพราะสบายเกินไป มิน่าชายยุคนั้นส่วนใหญ่เป็นชายสมชาย เวลาผ่านไปไม่กี่ทศวรรต ชายก็กลายเป็นยอดชายไปซะครึ่งเลยนะคะ

    เขียนเยอะ ๆ ชอบอ่านคะ
     
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับคุณ ทองชมภู พี่ๆน้องๆทุกๆๆท่าน จริงๆ ในส่วนประวัติ และประสบการจริงแบบนี้ ผมอยากให้ คนปัจจุบัน เข้ามาอ่านกันเยอะๆ จะได้รู้ว่า คน ในสมัยเมื่อ ๔๐-๕๐ ปีที่แล้ว เขามีทุกข์กันเช่นไร ปรกติ ชาวบ้านทั่วไป ไม่ทุกข์ ถึงขนาดนี้หรอกครับ อาศัย ที่ท่านพ่อท่านแม่ผม เป็นคนขยัน จึงนำพา ลูกๆ ทำมาหากิน ยิ่งกว่า ชาวบ้านทั่วไป คนส่วนใหญ่ จึงไม่ชอบขี้หน้าท่านพ่อผมเท่าใดนักครับ ทำอะไรๆ ที่ชาวบ้านเขาไม่ทำกัน แต่ถึงกระนั้น คนในสมัยนั้น ก็ทำงาน ทำไร่ทำนากันครับ :cool:
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้อง ลุงป้าน้าอา ลูกหลานโหลนเหลน ที่เข้ามาอ่านกัน ถือว่า มีความรู้อีกแบบครับ ยิ่งช่วงนั้น ผมจะทำ งานอีก ชนิดหนึ่ง คือ ไปหาปลา มาให้คนใน ครอบครัวได้กินกันครับ ใช้เป็ด ตกปลา ลงตะข่าย ปักเบ็ด ดักลอบ ไซแกดัก กุ้ง ไซอีเป็ด ลอบยืน (ตำหลุม) ได้ปลาเยอะที่สุด เฉพาะหน้าหนาว ไซแกดักกุ้ง เยอะคือเป็นกระป๋อง ครึ่งกระป๋อง ใหญ่ จับปลาด้วยมือในน้ำลึก ทำได้ เฉพาะตัวครับ หาตาม ชายคลองชายห้วย และต่อด้วย หนังสติก ยิงนก ต่างๆ ยิงหนู ที่ทำรัง ตามต้นไม้ หรือกอไผ่ ไปกัน เกือบ ๑๐ คน แล้วมาแบ่งกัน นี่ ความชั่ว พิเศษ ถ้าคนทั่วไป เขาจะบอกว่า หากินเก่ง


    แล้วอีกอย่างครับ ใช้กล้อง ใส่ ลูกดอกๆพันด้วยนุ่น เป่า แล้วเป่ายิงกบ ตาม สระน้ำ ตามบ่อน้ำ เมื่อได้แล้ว หักขาใส่ ตระข้อง และเมื่อฝนตก ใหม่ๆ ออกไปหากบ ใช้สุ่ม หรือ ชะหมวก แทง กบเมื่อได้แล้ว หักขา ใส่ตระข้อง ตอนนั้นคือ เป็นอาหารอย่างเดียว มาตอนนี้คือ โหดเอาการครับ และใช้ รันกระบอกไม้ไผ่ ดักปลาไหล ไปขาย ใช้สุ่มไปสุ่มปลาไปขาย เรียกว่า ปีหนึ่งๆ แม่ผม เอาปลาทำร้า เป็น สิบๆไห เอาไว้กินหน้าแล้ง และหมักทำน้ำปลาดิบ ไว้กินเอง ทำกระปิ ไว้กินหน้าแล้ง ปีหนึ่งๆ ตั้งแต่ ๓-จนถึง ตก ๑๐ ไห ทีเดียวครับ เดี๋ยวนี้ บางทีป่วยขึ้นมา จิตมันนึกถึงปลา ที่กำลัง ถูกทุบ และตอนปรักเบ็ด เอาเขียด เสียบเอว นำไปปรักเบ็ด นี่ผมปวดหลังเอว มาเป็นเวลา ตก ๔๐ ปี น่าจะสาเหตุ อันนี้ครับ มันปวดทั่วตัว เส้นยึด ทั้งตัว น่าจะสาเหตุนี้ครับ รักษาไม่หาย
     
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มาต่อครับ เห็นเริ่องการทำมาหากินแล้ว เป็นไงครับ ยังไม่ถึงครึ่งครับ ไม่งั้น ผมคงไม่บอกหรอกว่า ในชาตินี้ ผมทำงานมามากกว่า ๑๐๐ กว่าชนิดครับ เรื่องการปลูกผัก ยังไม่หมดครับ แต่ละชนิด บางครั้ง ปลูกอย่างเดียว บางครั้ง ก็สลับกันในหลายๆอย่าง ทำไร่ก็เช่นกัน ฟันป่า บุกเบิกถางไร่ จุดไฟเผา ใช้จอบขุดดิน รับจ้างก้เอาครับ เมื่อโตขึ้นมาหน่อย ก็ได้เวลาออกโรงเรียน ป.๔ ด้วยที่ว่า ท่านพ่อผม ขยันผลิตลูกๆ จึงเยอะ กินข้าวเดือนหนึ่ง ต้องใช้ ข้าวสารถึง ๑ กระสอบป่าน กว่าๆ ๑๐๐ กว่าโลนั่นเองครับ เมื่ออกจาก ป.๔ ก็ไปกับญาติๆ คือไปรับจ้างตัดอ้อย ที่ หนองตากยา ขึ้น อ.จอมบึง จ.ราชรี ณ ปัจจุบัน คงจะเป็น อ.เภอไปแล้ว หรือ ก็คงขึ้นกับ อ.สวนผึ้ง เพราะเมื่อคนมากขึ้น ก็ต้องแยก เป็น อำเภอครับ
     
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    วันแรกของผมตัดอ้อยได้ ๖๒ มัดๆละ ๑๐ กว่าลำ อ้อยในสมัยก่อน ยาวมาก บางต้นลำ ตัดได้ ๒-๔ ท่อน เลยครับ อ้อยล้ม มันเลื้อย พันกันจำเป็นต้องตัด ไม่เหมือนในสมัยนี้ หัวมัน สัมหลาง หัวหนึ่ง หนัก เป็นสิบโลๆยังมีเลยครับ ไม่เหมือนสมัยนี้ หัวหน่อยเดียว ข้าวโพดไก่ ต้นแหงนคอ ตั้งบ่า ต้นสูงมากๆเลย ต้นสูง ๖ ศอก ถึง ๒ วา หรือ ๔ เมตร ยังมีเลยครับ เมื่อก่อน ที่ดิน เปิดใหม่ มันงานมากๆเลยครับ แต่ก่อน อ้อย ๑๐๐ มัด ๕-๖ บาทได้เปล่า ไม่แน่ใจครับ แต่ยังไงก็ไม่ถึง ๑๐ บาทแน่นอนครับ ไปรับจ้างตัดอ้อย ก็ร่วมเดือนแล้วกับบ้าน ได้เงินไม่แน่ใจว่า กี่ร้อยบาท ถึง ๒๐๐ บาทหรือเปล่า เมื่อมาอยู่บ้าน ไม่เท่าไหร่ ก้ไปต่อครับ ไปรับจ้างเลี้ยงหมู เกือบ ๑๐๐ ตัว ในสมัยก่อน เขาเลี้ยงหมู น้ำ ใช้ ผักโปร่ง ผักบุ้ง ผสมเลี้ยงเป็นหลักครับ ใช้เวลาเลี้ยงก็ ๕ เดือนกว่า ถึง ๖ เดือนหรือกว่านิดหน่อย น้ำหนัก ตัวหนึ่ง ก็ ๑๓๐ โล ถึง ๑๕๐-๑๗๐ โล เดี๋ยวนี้เลี้ยงด้วยหัว อาหารเป็นหลัก ใช้เวลา เลี้ยง ก็ ประมาณ ๔ เดือนกว่า ถึง ๕ เดือนเต็มที่ น้ำหนักก็ ๘๐โลถึง หาบกว่าๆ ๑๐๐ กว่าโล หายากเต็มที
     

แชร์หน้านี้

Loading...