ใช้สมาธิช่วยตอนไม่สบายหนักแล้วเกิดอาการแบบนี้คืออะไรครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย taudom, 12 มิถุนายน 2015.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    (ไม่เกี่ยวกับคำถามของ จขกท. แต่เป็นความหมายของอุปาทาน 4 อย่าง่)


    กิเลสที่สืบเนื่องจากตัณหา ได้แก่ อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) ซึ่งมี ๔ อย่าง คือ


    ๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในกาม* (clinging to sensuality) เมื่ออยากได้ ดิ้นรนแส่หา ก็ยึดมั่นติดพันในสิ่งที่อยากได้นั้น เมื่อได้แล้ว ก็ยึดมั่นเพราะอยากสนองความต้องการให้ยิ่งๆขึ้นไป และกลัวหลุดลอยพรากไปเสีย ถ้าแม้ผิดหวังหรือพรากไป ก็ยิ่งปักใจมั่นด้วยความผูกใจอาลัย ความยึดมั่นแน่นแฟ้นขึ้นเพราะสิ่งสนองความต้องการต่างๆ ไม่ให้ภาวะเต็มอิ่ม หรือสนองความต้องการได้ขีดที่อยากจริงๆ ในคราวหนึ่งๆ จึงพยายามเพื่อเข้าถึงขีดที่เต็มอยากนั้นด้วยการกระทำอีกๆ และเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ของของตนแท้จริง จึงต้องยึดมั่นไว้ด้วยรู้สึกจูงใจตนเองว่าเป็นของตนในแง่ใดแง่หนึ่งให้ ได้ ความคิดจิตใจของปุถุชนจึงไปยึดติดผูกพันข้องอยู่กับสิ่งสนองความอยากอย่างใด อย่างหนึ่งอยู่เสมอ ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ และเป็นกลางได้ยาก


    ๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทฤษฎีหรือทิฏฐิต่างๆ (clinging to views) ความอยากให้เป็นหรือไม่ให้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ตนต้องการ ย่อมทำให้เกิดความเอนเอียงที่จะยึดมั่นในทิฏฐิ ทฤษฎี หรือหลักปรัชญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เข้ากับความต้องการของตน ความอยากได้สิ่งสนองความต้องกาของตน ก็ทำให้ยึดมั่นในหลักการ แนวคิดความเห็น ลัทธิ ความเชื่อถือ หลักคำสอนที่สนองหรือเป็นไปเพื่อสนองความต้องการของตน เมื่อความยึดถือความเห็นหรือหลักความคิดอันใดอันหนึ่งว่าเป็นของตนแล้ว ก็ผนวกเอาความเห็นหรือหลักความคิดนั้น เป็นตัวตนของตนไปด้วย จึงนอกจากจะคิดนึกและกระทำการต่างๆ ไปตามความเห็นนั้นๆแล้ว เมื่อมีทฤษฎีหรือความเห็นอื่นๆ ที่ขัดแย้งกับความเห็นที่ยึดไว้นั้น ก็รู้สึกว่าเป็นการคุกคามต่อตัวตนของตนด้วยเป็นการเข้ามาบีบคั้นหรือจะทำลาย ตัวตนให้เสื่อม ด้อย พร่องลง หรือสลายตัวไป อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงต้องต่อสู้รักษาความเห็นนั้นไว้เพื่อศักดิ์ศรีเป็นต้นของตัวตน จึงเกิดการขัดแย้งที่แสดงออกภายนอก เกิดการผูกมัดตัวให้คับแคบ สร้างอุปสรรค กักปัญญาของตนเอง ความคิดเห็นต่างๆ ไม่เกิดประโยชน์ตามความหมายและวัตถุประสงค์แท้ๆ ของมัน ทำให้ไม่สามารถถือเอาประโยชน์จากความรู้ และไม่สามารถรับความรู้ต่างๆได้เท่าที่ควรจะเป็น


    ๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรต (clinging to mere rule and ritual) ความอยากได้ อยากเป็นอยู่ ความกลัวต่อความสูญสลายของตัวตน โดยไม่เข้าใจกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยในธรรมชาติ ผสมกับความยึดมั่นในทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ประพฤติปฏิบัติไปตามๆ กันอย่างงมง่าย ในสิ่งที่นิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่จะสนองความอยากของตนได้ ทั้งที่ไม่มองเห็นความสัมพันธ์โดยทางเหตุผล

    ความ อยากให้ตัวตนคงอยู่ มีอยู่ และความยึดมั่นในตัวตน แสดงออกมาภายนอก หรือทางสังคม ในรูปของความยึดมั่น ในแบบแผนพฤติกรรมต่างๆ การทำสืบๆกันมา ระเบียบวิธี ขนมธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีตลอดจนสถาบันต่างๆ ที่แน่นอนตายตัว ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยไม่ตระหนักรู้ในความหมาย คุณค่าวัตถุประสงค์ และความสัมพันธ์โดยเหตุผล กลายเป็นว่า มนุษย์สร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมาเพื่อกีดกั้น ปิดล้อมตัวเอง และทำให้แข็งทื่อ ยากแก่การปรับปรุงตัวและการที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งทั้งหลายที่ตนเข้าไป สัมพันธ์

    ๔. อัตตวาทุปาทาน ความ ยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน (clinging to the ego-belief) ความรู้สึกว่ามีตัวตนที่แท้จริงนั้น เป็นความหลงผิดที่มีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว และยังมีปัจจัยอื่นๆที่ช่วยเสริมความรู้สึกนี้อีก เช่น ภาษาอันเป็นถ้อยคำสมมติสำหรับสื่อความหมาย ที่ชวนให้มนุษย์ผู้ติดบัญญัติมองเห็นสิ่งต่างๆ แยกออกจากกันเป็นตัวที่คงที่ แต่ความรู้สึกนี้กลายเป็นความยึดมั่นเพราะตัณหาเป็นปัจจัย กล่าวคือ เมื่ออยากได้ ก็ยึดมั่นว่ามีตัวตนที่เป็นผู้รับและเสวยสิ่งที่อยากนั้น มีตัวตนที่เป็นเจ้าของสิ่งที่ได้นั้น เมื่ออยากเป็นอยู่ ก็อยากให้มีตัวตนอันใดอันหนึ่งเป็นอยู่ เมื่อยากไม่เป็นอยู่ ก็ ยึดในตัวตนอันใดอันหนึ่งที่จะให้สูญสลายไป เมื่อกลัวว่าตัวตนจะสูญสลายไป ก็ยิ่งตะเกียกตะกายย้ำความรู้สึกในตัวตนให้แน่นแฟ้นหนักขึ้นไปอีก
    ……

    * กาม = สิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้ง ๕ และความใคร่ในสิ่งสนองความต้องการเหล่านั้น
     
  2. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ไม่ง่ายกับการที่จะกำจัดอาสวกิเลส ต่อให้ปฏิบัติถูกทาง ก็ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ถ้าปฏิบัติผิดเลิกพูดกันเลย ดีไม่ดีเดินรำละคร
     
  3. taudom

    taudom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +45
    ชีวิตประจำวันก็ยังใช้อยู่ทุกวันครับ ตามดู ตามรู้ ถึงแม้จะไม่ต่อเนื่อง ก็ไม่ยอมปล่อยให้อารมณ์มันไหลไปตามกิเลสทางโลก
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    แบบเจ้าของกระทู้ส่วนตัวยังไม่มีประสบการณ์แบบนี้ครับ...
    และคำว่า ธรรมโอสถ ก็เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกันครับ..
    แต่พอบอกหลักสังเกตุได้ดังนี้ครับ..
    ถ้ารู้สึกเหมือนคล้ายๆเข็มเส้นเล็กๆมันแทงยุบยับ ยุบยับ
    บริเวณไหนก็ตามในร่างกาย แสดงว่าร่างกายตรงนั้น
    มันกำลังทำการปรับธาตุในตัวมันเอง หรือรักษาตัวเอง
    อยู่ครับ บางคนก่อนจะสัมผัสอย่างนี้ได้ อาจจะรู้สึกร้อนตึงๆผิว
    ร่วมกับรู้สึกร้อนนิดๆ และปนๆคันเล็กน้อยก่อนจะเจออาการที่เป็นเข็มแทงครับ
    และถ้าเรายังเห็นเป็นคล้ายๆควันสีขาวอยู่
    แสดงว่ามันอยู่ในช่วงช่อมแซมและปรับธาตุร่างกายเช่นกัน
    บอกได้ว่าร่างกายเรามันยังพร่องโดยรวมๆ ณ จุดใดจุดหนึ่งอยู่ครับ..


    แต่ถ้าร่างกายเริ่มกลับเข้าสู่สภาวปกติแล้ว
    สีขาวๆที่เห็นมันจะกลายเป็นสีใสครับ...
    ยกเว้นพวกที่เล่นทางด้านพลังงาน หรือกลุ่มบุคคลที่สัมผัส
    ทางด้านพลังงานภายนอกต่างๆได้ง่ายและมันสะสมมานาน
    ไม่ได้มีการถ่ายเทพลังงานส่วนเกินออก แรกๆมันจะเป็น
    ควันสีดำได้เลยครับ และพวกนี้มองเห็นได้ด้วยตาเปล่านี่หละครับ..
    ลองไปยืนเท้าเปล่า เหยียบหญ้าหรือดินดูก็ได้ครับ..
    แล้วสบัดแขนสองทั้งสองออกไปด้านข้างแล้วค้างไว้..
    หรือกางแขนทั้งสองข้างออกแล้วค้างไว้...
    ในใจกำหนดว่าขอให้พลังงานส่วนเกินจงออกจาก
    ร่างกายข้าพเจ้า โดยให้นึกว่ามันออกไปที่ปลายนิ้วทั้ง ๑๐ ครับ
    ตอนที่สบัดแขนและนึกให้พลังงานออกที่ปลายนิ้วทั้ง ๑๐ ให้เกร็งท้อง
    และกลั่นหายใจไว้ก่อน...

    แล้วลองสังเกตุอาการตามแขน ตามปลายนิ้ว ตามขาดูได้ครับ..
    ถ้าเรามองเห็นได้ นอกจากตึงๆ และคล้ายๆเข็มแล้ว ไอ้ควันสีขาวๆ
    พวกนี้มันจะขึ้นมาจากผิวหนังเราได้เลยครับ ตอนขึ้นมันจะคล้ายๆหัวหอมครับ
    และพอควันเริ่มจางต่อมามันจะเริ่มใสๆและมันก็จะเริ่มขึ้นเป็นเส้นตรงขึ้นไปครับ..
    พวกนี้ ลองทำได้เลยไม่ต้องใช้สมาธิอะไรมาก ทำแบบลืมตานี่หละครับ
    ถ้าจิตเรามันเคยทำได้แล้ว พวกนี้มันจะทำได้ตลอดปกติครับ

    ปล.ประมาณนี้ครับ อย่างคุณอาจจะะรับรู้ที่บริเวณศรีษะ
    แขนช่วงต่ำกว่าข้อศอก
    และขาช่วงต่ำกว่าหัวเข่าอาจจะรู้สึกช่วงบริเวณก้นได้ดีครับ
     
  5. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +3,152
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านครับ

    จะว่าไปสภาวะที่ จขกท. เจอคล้ายๆกับที่ข้าพเจ้าเจอ ต่างกันตรงที่ของข้าพเจ้าไม่มีนิมิต ซึ่งข้าพเจ้าเรียกมันว่า แยกเวทนา เราจะรู้สึกว่า อาการทางกายยังมีอยู่แต่เราไม่ทุกข์กับมัน ซึ่งตรงนี้มันเหมือนกับเราเห็นตัวตนของมันเลย ของคุณเห็นเป็นภาพนิมิตเหมือนกับบางคนที่เห็นจิตเป็นลูกแก้วบ้างเป็นดวงแสงบ้าง ซึ่งมันก็ยังอยู่ในเรื่องของการปรุงแต่งอยู่ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีรูป แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไร เบื้องต้นภาพนิมิตก็ทำให้เราพอจะรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน เป็นยังไง สภาวะใด

    แล้วของคุณอาการป่วยกลับหายเสียด้วย ซึ่งของข้าพเจ้าเองใช้การกำหนดเข้าไปตรงบริเวณที่มีอาการป่วยก็จะหายเช่นกัน (แต่ใช้กับเฉพาะบางอาการ เช่น ไอ การปวดเจ็บ) อาการป่วยไข้ข้าพเจ้ายังไม่เคยขนาดนั้น แต่ก็อยู่กับมันได้ ซึ่งอาการป่วยไข้ไม่สบายเหล่านี้ข้าพเจ้าไม่หาหมอหายากินเลย และอยู่ร่วมกับมันได้

    ทีนี้เมื่อคุณมีประสบการณ์อย่างนี้แล้ว เมื่อมีการเจ็บปวดแบบอื่นจะมีสภาวะเช่นนี้หรือเปล่าหนอ มันจะเป็นเช่นไรกัน ก็พิจารณากันต่อไปครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    เคยได้ยินไหมครับ ร้องเพลง เป็นยาทา เอ้ยไม่ใช่ สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ในโลกนี้ มีอะไรอีก ที่เราๆท่านๆ ยังไม่รู้อีกเยอะ ไม่ต้องไปรู้ นอกโลกหรอกในโลกนี้ก็เหมือนกัน ครับ แค่ในตัวเรา ยังศึกษาไม่รู้จบ ถ้าเดิน ให้ถูกทาง ตามพระท่านสอน มีทางจบ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หรือ เดือนหนึ่ง หรือปีใดปีหนึ่ง หรือชาติใด ชาติหนึ่งแน่นอน การงานทุกอย่าง ถ้าไม่มีสมาธิ คงทำไม่ถูกทางหรอกครับ หรือทำไม่ได้ จะเป็นสมาธิแบบไหน เท่านั้นเอง คนตาบอด ถ้าไม่ใช้ สมาธิ และปัญญา อย่างสูง คงเดินไปในที่ต่างๆไม่ได้ดอก สมาธิ นำมารักษาโรคได้มากมาย ถ้ารู้จักใช้ แต่ไม่เกิน กฎของกรรมครับ


    คนที่ฝึกมาดี ย่อมช่วยตนเองได้ และยังช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วยครับ แต่ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่า จะทำได้ ทุกๆอย่าง มันมี การจำกัดขอบเขตุเหมือนกัน แม้ผู้บำเพ็ญมาดีแล้ว ล้นแล้ว ก็ยังมีขอบเขตุ จำกัดเหมือนกัน ก็ว่ากันไปตามขั้นตอน ที่ตน บำเพ็ญมา หรือ สั่งสมอบรมมา ทั้งใหม่และเก่า หมายถึง บุญใหม่บุญเก่า ร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องไม่เกิน กฎของกรรม อีกเช่นเคยครับ ทุกๆอย่าง ย่อนเดินคู่กัน ชั่วกับดี มืดกับสว่าง มีทุกข์ มีสุข นิมิต จำเป็นต้องละ นิมิตจำเป็นต้องเอาใจจดจ่อ สมาธิชั่ว สมาธิดี มันเป็นของคู่กัน มนต์ดำ มนต์ขาว ผมว่าบางท่านอ่านแล้ว ไม่เข้าใจ ก็มี


    ผมเอง บางอย่าง ไม่เข้าใจ เหมือนกัน ในตัวของเรา มัน มีอะไรๆ ที่จะเข้าใจได้ง่ายๆนั้น ยากยิ่งจริงๆ กายเป็นเรือนร่าง ชั่วคราว ให้เราๆท่านๆได้ อาศัย ทำอะไรก้ได้ ใครจะเลือกแบบไหนนั้น เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลครับ
     
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    จะว่าไปสภาวะที่ จขกท. เจอคล้ายๆกับที่ข้าพเจ้าเจอ ต่างกันตรงที่ของข้าพเจ้าไม่มีนิมิต Supop
    สมาชิก ซึ่งข้าพเจ้าเรียกมันว่า แยกเวทนา เราจะรู้สึกว่า อาการทางกายยังมีอยู่แต่เราไม่ทุกข์กับมัน ซึ่งตรงนี้มันเหมือนกับเราเห็นตัวตนของมันเลย ของคุณเห็นเป็นภาพนิมิตเหมือนกับบางคนที่เห็นจิตเป็นลูกแก้วบ้างเป็นดวงแสงบ้าง ซึ่งมันก็ยังอยู่ในเรื่องของการปรุงแต่งอยู่ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีรูป แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไร เบื้องต้นภาพนิมิตก็ทำให้เราพอจะรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน เป็นยังไง สภาวะใด



    ขอโทษครับ คุณ Supop ผมไม่ได้สอน คำว่ารูปนี้ ถึงผมไม่ได้เรียนมา แต่พอจะอธิบายได้ ดังนี้ครับ คำว่ารูปคนรูปสัตว์ สิ่งของต่างๆเห็นได้ด้วยตาเนื้อ จับต้องได้ แต่ รูปภายในนั้น จับต้องไม่ได้ เห็นได้ด้วยจิต ตาใน กายตัวเราๆแท้ๆเขาเรียกว่า รูปธรรม หรือ นามธรรม เวลากาย แตกดับ ใครเขา เอาไฟ มาเผาหรือทุบตีอย่างไร เราไม่รู้สึก เพราะ จิต หรือ ตัวเรา รูปธรรม นามธรรม ได้ หลุดออก ไปจากกายนี้แล้ว จะไปเกิด หรือ จุติ เป็นอะไร นั้น อยู้ที่ กรรม การกระทำ ของเราๆท่านๆ นำให้ไปเกิด เป็นสัตว์นั้นๆ ทำความชั่ว ก็นำให้ดวงจิตเราไปเกิดใน นรกบ้าง เปรตบ้าง อสูรกายบ้าง สัตว์เดรัชฉานพันธุ์ต่างๆบ้าง มนุษย์เผ่าพันธุ์ต่างๆบ้าง ไปเป็นเทวดา นางฟ้า ชั้นต่างๆ


    ไปด้วยอำนาจของบุญที่เราทำ ถ้าภาวนา ได้ ฌาณ ๑-๒-๓-๔- ก็ได้ให้ไปเกิดเป็นพรหม ที่มีรูป เขาเรียก รูปพรหม ถ้าเจริญ อรูปฌาณ ตามในตำรา อรูปฌาณ ๔ ก็ทำให้ไปเกิน ในอรูปพรหม คือไม่มีรูป เป็นดวงจิต ลอย เฉยๆไม่มีอายายตนะ จะรับรู้อะไรได้ ตอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์จะไปโปรด อารามดาบฎ และอุทกดาบฎ อาจารย์ทั้ง สองพระองค์ ก่อนที่พระองค์จะได้ ตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์จึงดำริว่า ฉิบหายแล้วหนอๆๆ เพราะอะไร เพระว่า อาจราย์ทั้งสอง ไม่มี อายายตนะ ที่จะฟังธรรม นั่งเอง


    ถ้าจะคุยเรื่องนี้ คุยกันเป็นวันคงไม่จบแน่นอนครับ ทั้งของจริงและตามตำรา ของครูบาอารย์ ต่างๆ ที่ท่านนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอน เอาแค่ คน เมื่อร่างกายแตกดับ จำจะต้องเกิดเป็นคน มัน ก็ ออกไปแบบ ภาพเชิงซ้อนแบบในหนัง ที่เขาแสดง ให้ดูนั่นแหละครับ ส่วนจะไปเข้า ท้องใคร นั้น หรือเกิดเป็นใคร คนจนคนรวย ก็อยู่ที่วิบากกรรมคือการกระทำ ของๆคนๆนั้นนั่นเองครับสวัสดี


    ขอต่ออีกนิดครับ ว่าตามตำรานะ พระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อเห็นรูป จิตท่านตัดเลย ไม่ยินดีในรูป ที่เห็น ไม่ว่า สิ่งของ จิตท่านไม่ยินดี เมื่อความโกรธ เกิดขึ้น จิตท่านตัดเลย ไม่โกรธ พยาบาท มีแต่จิตที่เมตตา กรุณาสงสาร กินอาหาร ท่านรู้รสทุกๆอย่าง เปรี้ยว หวานมันเค็ม กินแล้ว ตัดเลย กินเพื่อยังอัตภาพ เท่านั้น จิตท่านไม่ติดในรส เห็นผู้หญิง สวย จิตท่านไม่ปรุงแต่ง ปรง เป็นอสุภ ไม่ยินดียินร้าย ในรูปนั้นๆ ถ้าเป็นเราๆท่านๆ ก็คงปรุงแต่ง แหมอีนี่ น่าเอามาเป็นเมียกูจังเลย หรือผู้หญิง เห็นชาย จิตคิดหลงรัก ชายคนนี้ น่ามาเป็น ผัวเราจังเลย นี่ผมเคยไปสัมผัส กับท่านๆทั้งหลายมาครับท่านจะพูดแบบนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2015
  8. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +3,152
    ขออนุโมทนาครับ คุณบุญทรง

    ขอบคุณที่ช่วยขยายให้ครับ

    เสริมอีกนิดละกันนะครับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหล่านี้คือรูปครับ ไม่ว่าจะภายนอกภายใน ก็เป็นเรื่องของรูปอย่างหยาบไปจนถึงละเอียดครับ
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ อารมณ์ ความรู้สึก รู้ เหล่านี้เป็นนามครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  9. taudom

    taudom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +45
    ขอบคุณทุกคอมเม้นครับ ถามว่าทุกวันนี้ยังใช้ธรรมโอสถอยู่ไหม ก็ยังนำมาใช้อยู่ครับคือแยกเวทนาออกจากกาย ส่วนรูปควันที่เคยเกิดนั้น ไม่เคยเห็นอีกเลยครับ เวลาเจ็บไข้ขึ้นมาผมก็จะทำสมาธิเวลาพักผ่อนแยกเวทนาออกมาเพื่อให้ร่างกายได้มีโอกาสพักผ่อนได้เต็มที่ ผมไม่รู้นะครับว่าหลักในการปฏิบัติทางธรรมที่ถูกต้องเป็นยังไง เพราะยังด้อยซึ่งปัญญา แต่หลังจากที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ก็พอเข้าใจสิ่งที่ผมเป็นและปฏิบัติอยู่ได้มากขึ้น ต้องขอขอบคุณทุกคำแนะนำมากๆครับ
     
  10. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    เรื่องที่พี่บุญทรงพูดเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก และเคยอ่านในหลายๆ ความเห็นในเว็ปนี้ก็พบว่า ค่อนข้างมีความเห็นกันหลากหลาย แต่ว่า เพื่อไม่ให้ทิฏฐิมันลงไปในทางที่เหมือนศาสนาดั้งเดิม ก็ขอแสดงความเห็นต่อเนื่องกันไป

    ศาสนาพราหมณ์แบบadvance หรือแบบปรับปรุงนู้นนี่นั้นเพื่อกลืนศาสนาพุทธ (ขอพูดแบบถือศาสนากันสักนิด) ตามคัมภีร์ภควัทคีตา เค้าถือว่า"ร่างกาย" เป็นสิ่งที่บรรจุจิตวิญญาณ หรือตัวตนเที่ยงแท้ เป็นมายา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
    ส่วน "ตัวตนที่เที่ยงแท้ " ไม่เกิดไม่ดับอย่าง มายา ออกจากร่างกาย เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า เหมือนลอกคราบทิ้งไว้ และตัวตนเที่ยงแท้ ไม่ว่าอยู่ในสภาวะมายาใด ล้วนเป็น ล้วนรวมเป็น สิ่งหนึ่งที่รวมสิ่งทั้งหลาย คือ "มหาตัวตนที่เที่ยงแท้" อันนี้ อ่านไปอ่านมา คล้ายข้อความใน เต๋าเต็กเก็ง (เขียนสะกดอาจผิดนะครับ)

    บางลัทธิในอินเดีย ถือเลยว่า เวลาเอาดาบฟันคน ดาบมันตัดร่าง ตัดคอคน ดาบมันแทรกผ่านปรมาณู แต่ไม่ตัด"ตัวตนที่เที่ยงแท้" เพราะตัวตนเที่ยงแท้ไม่มีวันดับ ดังนั้น ไม่มีการผิดศีลในข้อที่ว่าห้ามฆ่าสัตว์ (ไปโน้นเลย ไปนรกกันเป็นแถบๆ) การฝึกพิจารณา เวทนา โดยความแยก จิต ออกจากเวทนา ออกจากร่าง จิตไม่ต้องรับรู้ไฟ ไม่รับรู้การถูกทุบตี เห็นจิตเป็นผู้มาผู้ไป เห็นโอปปาติกะเป็นจิตวิญญาณอมตะแบบพราหมณ์ มันจะกลายเป็นไม่ใช่ศาสนาพุทธนะครับ

    ที่พระต่างๆ มาเล่า เป็นการเล่าแบบตามความเข้าใจชาวบ้านเพื่อชักนำไปสู่ธรรม อย่างเช่น พระท่านหนึ่งเล่าอดีตชาติให้ญาติฟังว่า อดีตชาติท่านเป็นพระ มีฐานะเป็นปู่เป็นตาของ หญิง (มารดาของท่าน) อดีตชาติก่อนจะตาย ท่านที่เป็นพระ ป่วยจะตาย ทราบว่าหลานสาวตั้งครรภ์ก็เป็นห่วง พอตาย ด้วยจิตแบบนั้น วิญญาณ(ภาษาชาวบ้าน) ก็ไปดูหลานสาวก็เป็นห่วงหลานสาวว่าเด็กจะคลอดปลอดภัยไหม (ท้องโตแล้ว) ก็ปรากฏว่า หัวท่านตอนเป็นวิญญาณมันพลิกหมุน ถูกดูดสู่ครรภ์ แล้วท่านก็เกิดมา และระลึกชาติได้ ท่านก็ออกบวช แต่คราวนี้ ปัจจุบัน ทราบว่าไม่พลาด มรรคผลนิพพาน (ทั้งนี้ ก็เป็นเรื่องเล่าหมด)

    วิญญาณก็ดี ดวงจิตก็ดี ชาวบ้านไปมองแบบพราหมณ์ คือเห็นเป็นตัวตน แถมวิญญาณยังเห็นได้อีก เห็นดวงจิตได้อีก ทั้งตาเนื้อ ตาทิพย์สุดแต่จะเรียก พาลเข้าใจว่า อันนั้นแหละเข้านิพพาน คือตัวตน นั่นเข้านิพพาน

    ซึ่งความเข้าใจในเบื้องต้น ในทางศาสนาพุทธ จะไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ท่านอธิบายแบบสั้นๆว่า ชีวิต ประกอบด้วยขันธ์ 5 รูป ๑ กับนาม ๔ และดวงจิต เวลาอธิบายดวงจิต จะกล่าวว่า ดวงจิตเกิดพร้อมกับธรรมพร้อมธาตุอย่างนั้นๆ ดับไปพร้อมธรรมพร้อมธาตุนั้นๆ วิญญาณเองก็เช่นกัน เมื่อภายในภายนอกมากระทบกันวิญญาณทางตา ทางหู ...ก็ประจวบเกิดพร้อม และดับไปนะครับในแต่ละครั้ง ไป ตัวอย่าง แสงพลุวิ่งชนตา วิญญาณทางตาก็เกิดทันทีเมื่อส่งการรับรู้ถึงใจ ก็ดับไปแล้ว (อันที่จะเกิดใหม่ไม่เกี่ยวกับแสงพลุเมื่อกี้แล้ว ไม่ใช่อันเดียวกันแล้ว) พอมาเข้าสู่มโน สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในหัว มันไม่ใช่อันเดียวกับแสงพลุที่ดับไปแล้ว ฉนั่น ท่านจึงว่า เมื่อเห็นให้สักว่าเห็น เพราะมันดับไปแล้ว ไอ้ที่ใจไปนึก คิด ปรุงแต่งต่อ มันแต่งจากซากศพแสงพลุ มันไม่ตรงกับความจริงแล้ว มันเป็นอดีต ใจไปสาละวนกับอดีตที่ดับไปแล้ว

    ข้างฝ่าย ที่เค้าเล่า ภาษาชาวบ้าน ดวงจิต ดวงวิญญาณ ใช้อย่างเดียวกับคำว่า ผี อันนั้น ไม่ใช่ จิต ไม่ใช่มโน ไม่ใช่วิญญาณ ในขันธ์ ๕ นั่นเป็น โอปปาติกะ จัดเป็น สัตว์ จัดเป็นชีวิตที่มีขันธ์ ๕ เช่นกัน และไม่จำเป็นเสมอไปว่า เวลาตายไปแล้วไปเกิดใหม่ จะต้องมีร่างโอปปาติกะ เหาะจากแดนดินทะลุชั้นฟ้า สามสิบหกภพไปเป็น เทพ มาร พรหม แต่อย่างใด

    สังเกตุ นะครับ ในการเล่าของพระที่ยกตัวอย่าง ทารกในครรภ์มีขันธ์ ๕ บริบูรณ์ พร้อมแต่จิตอดีตพระเพิ่งมาลงก่อนหน้าจะเกิดในชาติใหม่ไม่นาน ก่อนจะคลอด ตรงนี้ แสดงว่า เมื่อยังไม่หลุดพ้น ธาตุต่าง ๆ เป็นไปตามวิบากกรรม ท่านจะไปกะเกณฑ์อะไรไม่ได้ ท่านเองยังไม่รู้ตัวเลยว่า สร้างภพไว้รอแล้ว

    นอกจากนี้ คนเรามักเข้าใจผิด คิดอย่างนี้ว่า ดวงจิตมันสะสม แสนชาติเป็นดวงจิตนี้แหละ เพราะจิตนี้แหละมันระลึกชาติได้ มันดวงจิตเดียวกันนี้แหละ ไม่ใช่ดวงอื่น พาลเข้าใจว่า ดวงจิตที่เที่ยงแท้เพราะระลึกชาติแสนล้านชาติได้ ดวงจิตนี้ตั้งแต่ล้านชาติก่อนก็ดวงเดียวกันนี้แหละ ไปนิพพาน ความเห็นอย่างนี้ มันจะต่างอะไรกับทางพราหมณ์ ถ้าดวงจิตไม่มีเกิดมีดับ การฆ่าก็ไม่มีผลแก่จิต การตกนรกก็ไม่มีผลแก่จิต การอยู่สวรรค์ก็ไม่มีผลแก่จิต เพราะไม่มีอะไรทำลายจิตได้ เวทนาทำอะไรแก่จิตไม่ได้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไฟเผาก็ไม่รู้สึกอะไร จะถูกทุบตีก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะกลายเป็นอรูปพรหมตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่รับเวทนาจากรูป ไม่รับเวทนาจากร่างกายแล้ว อย่างนี้ไม่ใช่ฝึกไปนิพพาน มันจะกลายเป็นฝึกไปเป็นอรูปพรหม

    การที่พิจารณาว่า จิต ดวงจิต มันไม่เที่ยง ให้พิจารณาคุณสมบัติของจิต ถ้าเรายังไม่เห็นจิต ดวงจิต ก็พิจารณาคุณสมบัติ เหมือนเวลาเราพิจารณาร่างกายว่าจะต้อวความตาย เรายังไม่เผชิญความตาย ยังไม่เห็นความตายแก่ร่างกาย แต่เราพิจารณาเส้นผมร่วงลงไป เส้นผมมาจากกาย ยังร่วงได้ เน่าได้ สลายได้ แล้วร่างกายคือกระโหลก หนัง หน้าจะไม่ตายได้ยังไง จิต ดวงจิต เราคิดว่ามันเที่ยง ก็พิจารณาคุณสมบัติของมัน มันเที่ยงหรือเปล่า ความคิดมาจากจิต คุณสมบัติของจิตที่จะคิด แล้วความคิดมันเที่ยงไหม การรับรู้มันเที่ยงไหม มันไม่เที่ยง ความคิดมีเกิดดับ การรับรู้มันมีเกิดดับ คุณสมบัติของจิตไม่เที่ยง จิตก็ไม่เที่ยง

    อุปมาสายน้ำเจ้าพระยา เรียกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะเห็นเป็นสายน้ำไหลต่อเนื่อง แม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเอาขันน้ำตักลงไปได้น้ำที่สงบนิ่งในขัน น้ำในขันไม่อาจเรียกแม่น้ำเจ้าพระยาได้ ไม่อาจเรียกสายน้ำเจ้าพระยา ดังนั้น แม้สายน้ำเจ้าพระยา แม่น้ำเจ้าพระยา ก็ไร้ตัวตน เราเห็นมันเป็นตัวตน เห็นเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะเราเห็นการเคลื่อนไหวของน้ำและมองรวมเป็นอันเดียวกันไป ต่อเนื่องกันไป จะเห็นจิตตามความเป็นจริง อย่าไปเอาว่าระลึกชาติได้ล้านชาติมาจับมามองรวม จะเป็นมิจฉาทิฏฐิว่า โลกเที่ยง จิตเที่ยง อย่าเอาความทรงจำ อย่าเอาอดีตมาพิจารณา เอาอดีตมาเป็นตัวเรา ตัวจิต จะมองผิดเพี้ยนได้

    http://palungjit.org/threads/จิตไม่...เที่ยง-จิตดับไม่มี-นี่เป็นความเห็นผิด.541208/

    ลิ้งค์นี้ เขียนดีกว่า ผมก็ไม่น่าพร่ำเลย 555
     
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับคุณ ณฉัตร
    สมาชิก



    ผมอ่านของคุณแล้ว ๆแต่มุมมองครับ ทุกๆศาสนา สอนให้เป็นคนดี คริสเขาสอนถึง สวรรค์ อเจลก เขาสอนทำสมาธิ สูงสุดมันก็ ถึงพรหม ส่วนพรามณ์ของสอนถึงพรหม แต่คนทำไม่ถึง มันจะไปไหนนั้น มันเรื่องของบุคคลนั้นๆ ส่วนศาสนา พุทธท่านสอน ครบครันตั้งแต่ เบื้องต่ำไปหาเบื้องสูง นั่นคือพระนิพพานคือจุดสูงสุด


    พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดแล้ว ตั้งแต่ เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัชฉาน คน มนุษย์ เทวดา นางฟ้า พรหม จนถึงพระนิพพาน ตั้งแต่ ขั้น ทำสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ฌาณ 1-2-3-4 สมาบัติ ๘ นรกมีเท่าไหร่ ท่านแจงไว้หมด แต่ผมรู้นิดหน่อยเอง เปรตมีกี่จำพวก อสูรกาย ประเภทไหน สัตว์นาๆชนิด ทุกประเภท คนทุกชนชั้น เทวดา นางฟ้า แต่ละชั้น เป็นแบบไหน คนที่จะไปเกิด เพราะบุญอะไร จึงทำให้ไปเกิด เป็นเทวดา นางฟ้าได้ เทวดามี ๖ ชั้น พรหม มี ๑๖ ชั้น อรูปพรหม มี ๔ ชั้น ชั้นสูงสุดคือ พระนิพพาน แดนอัมตะ ไม่มีการเกิดอีก ดับโลภ โกรธ หลง ได้ ถึงจะไปได้ ถ้ายังดับไม่ได้ ก็ต้องไปเกิด ในแดนต่างๆ แล้วแต่กรรม ที่เราทำ จะไปเกิดเป็นอะไรนั้น ก็กรรมนั้น ที่คนนั้นๆทำ จะไปที่ชั่ว ที่ดี ก้อยู่ที่เราๆท่านๆเท่านั้น มนุษย์เป็นแดนกลาง แดนเกิด แดนเลือก จะไหน ก็เลือกเอา คนอื่นไม่สามารถ มาทำให้เราเป็นอะไรก้ได้ ไม่ใช่ การคิดนึก อะไรต่อมิอะไร ก็จิตเรานั่นแหละ เป็นผู้สั่งการทั้งหมด


    พระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้หมดแล้ว ใครจะไปไหน เลือกเอา ท่านเป็นเพียงผู้บอก ส่วนเราเป็นคนทำ คนเลือก จะเอาอะไรเล่า พระอริยเจ้า มี ๔ ชั้น พระโสดาบัน มี ๓ ขั้น ต้น กลาง ละเอียด พระสกิทาคามี ๓ ขั้น ต้น กลาง ละเอียด พระอนาคามี ๓ ขั้น ต้น กลาง ละเอียด พระอรหันต์ มี ๓ ขั้น ต้น กลาง ปลาย และ พระอรหันต์ มี ๔ แบบ ๑ สุกขวิปัสโก มีทั้ง โลกีย และ โลกุตตร ๒ เตวิชโช หรือ วิชชาสาม มีทั้ง โลกีย และโลกุตร ๓ ฉลภิญโย อภิญา ห้า อภิญญา หก มีทั้ง โลกียและโลกุตร ๔ ปฏิสัมภิสัมภิทัพปัตโต ปฏิสัมภิทาญาณ อย่างน้อย ต้องเป็นพระอนาคามี ถึงจะได้ เป็นปฏิสัมภิทาญาณ ขั้นนี้ ไม่มี โลกีย


    ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ ในตำรา ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก คุมทั้ง สุกขวิปัตสโก เตวิชโช ฉลภิญโญ พูดได้ คนทุกภาษา ภาษาสัตว์ ก้พูดได้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ สามารถ แสดงแสดงธรรม หัวเดียว ขยาย เป็นดังมหาสมุทธ สามารถ แสดงธรรม หัวข้อ กว้างดังมหาสมุทธ ให้เหลือหัวข้อเดียวได้ และยังมีอีกมากมาย ที่จะพรรณาได้ อย่าลืมนะ พระอริยเจ้า ตั้งแต่ เทวดาชั้นต่ำ ๖ ชั้น พรหม ทัง ๑๖ ชั้น มีพระอริยเจ้า อยู่ทุกๆชั้น เว้นพรหม ชั้นที่ 13 พรหม ถึง 16 ชั้น เป็นชั้นของพระอนาคามี ในส่วน ที่ว่ามา ที่ยังไปพระนิพพาน ไม่ได้ เพราะยังตัดกิเลส ไม่หมด ตัดหมดเมื่อไหร่ ไปนิพพานเมื่อนั้น พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่า เป็นศาสดาเอก ของโลก คนไหนที่มีบารมี ยังไม่แก่กล้าพอ ที่จะตรัสกิเลสได้ พระองค์จะสอนให้ อยู่ในขั้นไตรสรณาคมย์


    ส่วนใครต้องการ อะไร เกิดเป็นอะไร ท่านก็สอนไว้หมดเช่นกัน ในส่วน ของพวก ปะทะปะระมะ พระพุทธเจ้า ไม่ทรงสั่งและสอน ทรงหลีกไป ครับสวัสดี
     
  12. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    จิตก็คือตัวเรา ที่ทำให้ไปเกิด ในแดนต่างๆ จิตไม่มีวัน ตาย นั่นคือตัวตน ที่แท้จริง ของเรา ร่างกาย ที่เราอาศัยอยู่นี่ต่างหาก ที่ตาย มันไม่เที่ยง มันเกิดขึ้น ในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง แล้วก็สลายไปในที่สุด แล้วไปเกิดใหม่ ไปเป็นอะไรเล่า ไปเป็น สัตว์นรก ก้ได้ เป็นเปรตก็ได้ เป็นอสูรกายก้ได้ เป็นสัตว์เดรัชฉาน ต่างๆก้ได้ เกิดเป็น คนจน คนรวย คนตาบอด หูหนวก บ้าใบ้ ได้ทุกอย่าง แล้วแต่วิบากกรรม ที่เราทำ ถ้าเราทำ ความดี ก็ไปเกิดเป็น เทวดา นางฟ้า พรหม อรูปพรหม ทุกอย่าง มันไม่เที่ยง มีการเกิด หรือเคลื่อนย้าย จาก อัตภาพ นี้ไปสู่อีก อัตภาพหนึ่ง หรืออีกในหนึ่ง เรียกว่า จุติก็ได้ เช่นกัน ฉนั้น พระพุทธเจ้า จึงทรงสั่งสอน ให้พวกเราเหล่า พุทธบริษัท ทั้งหลาย ให้ละเลิก ตรัส กิเลส โลภ โกรธ หลง แล้วจะได้ ไปสู่ ภพ ภูมิแดน อัมตะ คือพระนิพพาน ไม่ต้อง เคลื่อน ย้าย ไม่ต้องไปเกิด ในแดน ใดๆอีก
     
  13. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    พี่บุญทรงครับ เราทุกคนต้องยอมรับอย่างหนึ่ง ตามคำสอนของพุทธองค์ คือ เราทุกคนเป็นผู้มีธุลีบังตา และตามพระไตรปิฎกด้วยอรรถ ด้วยภาษา มีผู้ปราศจากธุลีคือ พระอรหันต์ขึ้นไป ที่เหลือล้วนเป็นผู้มีธุลี ส่วนพระโสดาบันขึ้นไป เป็นผู้มีธุลีเบาบางแล้ว คำว่า ธุลี ถ้าไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายอะไร ก็ไม่ต้องกล่าว แต่เพราะมีสาระบ่งบอกให้เรารู้ตัว ว่า เรายังมีธุลีบังตา

    เราทุกคนตราบใดที่ยังมีธุลีบังตา ตราบนั้น สิ่งที่เห็นมันยังผิดได้ พูดง่ายๆ เราไม่ใช่พระอรหันต์ จิตเรายังมีธุลีบังตา เมื่อมีอะไรบังตาแม้จะมองภาพใบหน้าเราจากกระจกธุลีนั้นก็ทำให้เรามองตัวเราไม่เห็น ไม่ชัดเจน เราทุกคนถ้าไม่มีพุทธองค์ ไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะไม่รู้ตัวหรอกว่ายังมีธุลีปิดจิตอยู่ เราทุกคนจึงไม่ควรยึดมั่นในสรรพสิ่งที่เห็น จนกว่าเราจะปราศจากธุลี

    ภาพ จิต ที่พี่บุญทรงพูด เป็นสภาวะที่แต่ละคนต้องไปพิจารณาเอาเอง การพูดจะสร้างภาพที่ไม่ตรงกับ สภาพที่แท้จริง เพราะแต่ละคนเหมือนคนตาบอดคลำช้าง และถ้าเราไม่ใช่พระอรหันต์ อวิชชาก็บังตาเราอยู่ เราจึงต้องใช้ชีวิตอย่างระวังเหมือนคนตาบอดจะเดินจะเหินต้องระวังทุกฝีก้าว

    พี่บุญทรง วิปัสสนาขั้นแรก คือ การพิจารณาเห็นสิ่งต่างเป็น ธาตุ สักแต่ว่าธาตุ จะรูปจะนาม เห็นมันว่า เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

    ภาษาว่า จิตไม่มีวันตาย เป็นการเอาภาวะที่เกิดแก่กาย แก่ชีวิต คือ ความตายไปใช้แก่จิต มันเป็นการคิดเปรียบเทียบ ที่ไม่ใช่การมองสภาพ จิต ตามความเป็นจริงตามพระไตรปิฎก และคำสอนของพระ

    และเป็นการลืมสิ่งที่พุทธองค์ตรัสสอน เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ที่กล่าวโดยย่อช่วงหนึ่งว่า

    เพราะมีผัสสะ เวทนาจึงเกิด เพราะมีเวทนา ตัณหาจึงเกิด เพราะมีตัณหา อุปาทานจึงเกิด เพราะมีอุปาทาน ภพจึงเกิด ชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ อุปายาสะ ... จึงเกิด

    สรุป ชีวิต จะรูปจะนาม จะกายหรือจิต ถ้าอยู่ในสายปฏิจจสมุปบาท สายนี้ มรณะ ย่อมมีย่อมเกิดขึ้น

    จะกล่าวว่า ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยใด จิต เป็นสิ่งที่ไม่มีวันตาย ย่อมไม่ถูกต้องโดยอรรถ

    บุคคลใดดับอวิชชาสนิทแล้ว ไม่มีเหลือ ไม่มีเชื้อ ..จะพิจารณา จะเห็นสิ่งใดก็ตามความเป็นจริง

    เราทุกคน แม้จะเรียนรู้มาก อ่านมาก ตราบใดมีอวิชชา จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแม้จิตตัวเอง

    ปล. อย่ายึดมั่นในสิ่งที่ผมกล่าวนะครับ เพราะผมก็ไม่ยึดมั่นเช่นเดียวกัน ผมยังมีอวิชชาอยู่เต็มบริบูรณ์ เป็นผู้ยังต้องศึกษา ใครจะกล่าวจะแย้งก็จะศึกษาไปครับ

    ขอบคุณพี่บุญทรงที่อ่านความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ ความเห็นไม่เที่ยงนะครับ
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:({) l;ylfสวัสดีครับคุณ ณภัทร ทุกๆอย่างในโลกนี้ ไม่เที่ยงก็จริงแหล่ ขอแลกเปลี่ยน ความรู้ แล้วกันนะครับ แต่จิตเรานั้น มันเที่ยงแท้แน่นอน คือตัวเราแท้ๆ ความคิดมันไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น ตั้ง อยู่และดับไป ตามพระท่านสอน ตามหลักของ พระอนิจจัง ทุกข์ขัง และอนัตตา ทีแรกๆ มันก็เป้น สัญญา คือความจำ เมื่อพิจรณา บ่อยๆเนืองๆ มันก็จะเกิด ปัญญาตามมา


    ผมเองก้เป็นผู้ศึกษาอยู่ ยังมีครบ โลภ โกรธ หลง แต่ก็พยายาม ทำมันไป เพื่อสู่ความพ้นทุกข์ แม้ยังไม่เข้าถึง พระโสดาบัน ขั้นต้น ถ้าผู้ใด ทำถึง ก็จะ เกิดน้อยชาติลง มีคติแน่นอน ไม่มีคำว่า ถอยหลังอีก มีแต่ก้าวหน้า เข้าสู่พระนิพพาน การไม่ยึดติดนั้น ยึดมั่น ถือมั่น ถือตัวตน มีพระอรหันต์ เท่านั้น ที่ตัด ได้จริง แม้พระอริยเจ้า ขั้น โสดาบัน สกิทาคามี ก็ยังมีอยู่ แต่อยู่ในครอบเขตุ ไม่เหมือน คนทั่วไป แต่นรชนเหล่าใด ที่คอย ขัดเกลา กิเลส ให้เบาบางลง การ ยึดติดยึดมั่น นั้นจะน้อยลงไปตาม ขั้นตอน ที่ตนสั่งสมมา ตราบใด ถ้ายังไม่เข้าถึง ความเป็น พระอริยเจ้า พระพุทะองค์ บอกว่า มีติยังไม่แน่นอนครับ คนที่จะเชื่อถือได้ จริงๆ แน่นอน คือ พระโสดาบัน เท่านั้น


    นอกนั้น ยังไว้ใจไม่ได้ ยังมีจิต รวนเรอยู่ และความเข้าใจของผม พระโพธิสัตว์ ที่มีบารมีมากแล้ว ก็ไว้ใจได้ ตำรา เป็นเพียง แนวทางให้เราเดิน การปฏิบัติ เป็นของจริง ที่ทำให้เรารู้ ว่า อะไรเป็นอะไร ถ้ายัง ทำให้เรายังไม่บรรลุมรรคผล นั่น ก็ทำให้เราได้ รู้ ว่า คำสอน ของพระพุทธองค์ เป็นของจริง ที่เราจะต้องปฏิบัติไปให้ถึง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หรือ ชาติใด ก็ชาติหนึ่ง ถ้าเรา เรียนแค่ตำรา อย่างเดียว มันจะไม่รู้ของจริงเลย ว่า เป้นอย่างไร ทุกอย่าง คำสอนของครูบาอาจารย์ แม้คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เช่นกัน ตถาคต เป็นเพียงผู้บอก ส่วนการทำนั่น เป็นเรื่องของๆเรา


    ส่วนผม อาศัย ประสบการณ์ จริง อาศัยเรียนจาก ครูอาจารย์บ้าง เพราะท่านเอามาจาก พระไตรปิฎก แล้วนำมาปฏิบัติ ทำถึงทำได้แล้ว ท่านจึงนำมาสอน เหล่า บรรดา พุทธบริษัท หรือลูกศิษย์ อ่านตำรา แค่รู้ มันไม่ได้กิน แต่การปฏิบัติ ได้กินเอง ทำเอง รู้เอง เห็นเอง อะไรผิดถูก ก้แก้กันไป เอาแค่ ทาน ศิล ภาวนา ย่อมาแค่ ๓ แต่แตกกิ่งก้าน ไปตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันต์ ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ อาจารย์ท่านยังกว่าวอีกว่า คำสอนของพระพุทธองค์ ยังแตกแขนง ปลีกย่อย ไปอีก หัวข้อเดียว เป็นหมื่น เป็นแสน ไอ้เราก็ยังงงๆ เพาะทำยังไม่ถึง ท่านยังบอก สาวก แค่ ทานตัวเดียว ก็ทำให้ถึงพระนิพพานได้แล้ว


    การยึดติด นี้ มันอยู่ที่ใจ ตัวเดียว แก้ตัวนี้ ถ้า ทำได้ ไม่ติดไม่ยึด มันก็เป็นพระอรหันต์นะซี่ คำพูด ใครๆ ก้พูดได้ แต่มันยึดติด อยู่ที่ใจของเรานั้น มันยากยิ่ง ที่จะตัดแกะออกไปจากใจ ของเรา จริงไหม ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆ
     
  15. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เป็นเรื่องปัจเจกบุคคลไป

    ไม่ยึดมั่นในอะไร แม้กายแม้จิต คือ ให้ทำลายตัณหา เมื่อตัณหาดับ อุปาทานก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้ อะไรในโลกนี้ จะสมมุติหรือจะปรมัตถ์ ก็ไม่ยึดมั่นนะครับ พระท่านที่สอนเราง่ายๆ สอนให้เราเห็นว่ารูป คือ กาย ส่วนสี่ขันธ์ที่เหลือ เป็นนาม เป็นจิตครับ ท่านไม่ให้อุปาทานในขันธฺ์ใดๆ เลย รูปัง อนัตตา เวทนาอนัตตา สัญญาอนัตตา สังขาราอนัตตา วิญญาณอนัตตา เราสวดทุกเช้า เวลาบวชนะครับ ที่สวดเพื่อไม่ให้ยึดมั่นในขันธ์ ในกายในจิตครับ

    แล้วแม้เราไม่อาจตัดกิเลสจนสิ้นเชื้อ ประเภทไม่ต้องมาเกิดอีก เพราะกำลังแห่งจิตไม่พอจะตัด แต่ตามทฤษฎีและทางปฏิบัติ เราแม้มีครอบครัว อยู่ในโลกก็ปฏิบัติธรรมได้ ทำลายมันลงได้ทุกครั้งด้วยปัญญา คือ เมื่อพิจารณาว่าสิ่งที่เราเผชิญมันไม่เที่ยง เราก็ยกจิตให้ละ วาง ปล่อย ได้เป็นครั้งๆไป เรียกว่า นิพพานชั่วคราวครับ
     
  16. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    รวบรวบกำลังสติ ภาวนาหรือจับคำบริกรรมให้สติเริ่มมีกำลัง(หรือจะพองยุบหรือจับลมก็ได้)
    กาหนดจิต หรือตั้งสติไว้ที่อาการที่เด่นชัด ว่านี่คือทุกข์
    แล้วกำหนด ความรู้สึกร่างกายให้ทั่วตัว ว่านี่คือกาย
    แล้วกำหนด ย้อนมาหาตัวรู้ตัวคิด ว่านี่คือจิต
    กลับไปกลับมา จนรู้สึกชัดเจน

    เมื่อจับความรู้สึกได้ชัด ของแต่ละส่วน
    กำหนดตัวรู้เฉยๆแยกออกมา (ถ้าจับคำบริกรรมจะกำหนดได้ง่าย,ถ้ามาทางสายพองยุบ กำหนดตัวรู้ รู้หนอๆ จนตัวรู้เด่น)
    เมื่อตัวรู้เริ่มเด่น เอาตัวรู้ตั้งจดจ่อเข้าไปที่ทุกข์ที่เด่นชัด จดจ่ออยู่แบบนั้นไม่ให้จิตหนีไปไหน
    ไม่ต้องคิดค้นบัญญัติใดๆ จ่อเข้าไปในจุดที่เด่นชัดที่สุดจุดเดียวที่เป็นปัจจุบัน ถึงดิ้นรนกวัดแกว่งแค่ไหนก็พยายามจดจ่อสู่จุดที่เด่นนั้น
    (ถ้าตั้งสติอยู่ไม่ได้ก็กลับไปจับคำบริกรรมหรือพองยุบหรือจับลมใหม่ ให้พอมีกำลัง แล้วเริ่มใหม่)

    ถ้ามันขาดจะรู้เป็นปัจจัตตัง ต่างอันต่างจริง อัศจรรย์หละ สติปัฏฐานเกิดแล้ว
    ถ้าไม่ขาดก็เป็นสมาธิก็ตั้งมั่นขึ้น เริ่มห่างออกจากกัน พอคลายก็กลับเป็นก้อนเดียวกันเหมือนเดิม

    ลองทำดู หาอุบายแยกแยะของตัวเอง


    (ปล.ถ้าชอบอ่านแบบสั้นๆ -> ให้แยกแยะส่วนกาย ส่วนทุกข์ แล้วให้ย้อนกับมาหาตัวรู้ แล้วน้อมตัวรู้ลงสู่จุดเวทนาเด่น ไม่ต้องกำหนดหนีเวทนาหรือส่งจิตออกนอก แล้วกำหนดจดจ่อลงที่เวทนาที่ชัดที่สุด ย้ำๆๆอยู่อย่างนั้น จนเกิดปัจจัตตังฯ)


    ไม่ใช่กูรู แค่เรียกให้น้อมมาลองทำดู รู้ได้เฉพาะตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...