ที่สุดของ ศีล สมาธิ ปัญญา ...หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 5 พฤษภาคม 2015.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    [​IMG]


    ที่สุดของศีล สมาธิ ปัญญา
    วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๘



    "ประพฤติผิดมาก ศีล ก็มีมากเท่านี้แหละ"

    วันนี้จะอธิบายเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แหละ ไม่ต้องอธิบายอื่นไกลหรอก แต่ว่าจะอธิบายถึงที่สุดของศีล ของสมาธิ ของปัญญา เพราะศาสนานั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีที่สุดเป็น ถ้าไม่มีสิ้นสุดเป็นแล้ว จะไปจบตรงไหนศาสนาพระพุทธเจ้าท่านทรงเทศนาว่า จบศาสนา มันจบตรงไหนกันก็ไม่ทราบ ไม่เห็นที่จบสักที ศีล ก็รักษากันมาแต่ไหนแต่ไร สองร้อยยี่สิบเจ็ดยิ่งมากเข้าไปกว่านั้นอีกเหลือหลาย ปกิณกะที่มานอกนั้นก็มากมาย สมาธิ ก็หลายเรื่องหลายอย่าง ยิ่งสมัยนี้ยิ่งแปรปรวนไป มีคนประดิษฐ์คิดต่างๆขึ้นมาหลายอย่างหลายเรื่อง เอาตามความคิดความเห็นชอบใจของตน ปัญญา ก็ยุ่งมากยิ่งกว่าอะไรอีก ไม่มีที่สิ้นสุด

    ในทางพุทธศาสนาพระองค์ทรงสอนว่า มีที่สุดของศาสนา อยู่จบพรหมจรรย์ อยู่จบศาสนา ทรงว่าอย่างนั้น มันจบตรงไหนกัน? เราลองคิดดูซิ ศีลห้า ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดก็เอาเถอะมากมายหลวงหลาย ศีลน่ะไม่ใช่พระองค์ทรงเอามาด้วย และพระองค์ทรงดับขันธ์ไปแล้วก็ไม่ได้เอาไปด้วย ศีล หากเกิดจากความประพฤติของพระของเจ้า ประพฤติผิดมาก ศีลก็มีมากเท่านี้แหละ ถ้าพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่จนป่านนี้ ไม่ทราบว่าจะมีศีลกี่หมื่นกี่แสน เมื่อประพฤติล่วงเกิน พระพุทธองค์ก็ทรงบัญญัติตามความผิดของพระนั่นแหละ

    พระองค์ทรงสอนว่า ศีลมีข้อเดียว มันอันเดียว คือเจตนางดเว้น นั่นเป็นข้อสำคัญที่สุด

    เราสมาทานศีลจะเป็นศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบอะไรก็ตามเถอะ ครั้นถ้าไม่มีเจตนาสักแต่ว่าพูดไปเฉยๆ ว่า สมาธิยามิ ไปทุกข้อ แต่เจตนาที่จะงดเว้นในข้อนั้นๆ ไม่มีมันก็สักแต่ว่าพูดไปเฉยๆ ไม่รู้จักศีล ว่าที่จบที่สุดอยู่ตรงไหนกัน ส่วนศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด ก็เหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติข้อๆนั้น ก็เพราะเหตุที่พระภิกษุองค์นั้นทำผิด เหตุนั้นจึงว่าตัว เจตนา นั้นเป็นข้อสำคัญ ถ้าหากว่าเรามีเจตนาแล้ว มันก็หยุดเพียงแค่นั้นไม่ต้องทำผิดต่อไปอีก องค์นั้นๆ ที่ทำผิดก็หมดเพียงแค่นั้น เจตนาตัวเดียว ข้องดเว้นมีเจตนาตัวเดียวเท่านั้น

    อย่างพระคณาจารย์หรือนักเทศน์ทั้งหลายท่านสอน ศีล เป็นเครื่องระงับดับกิเลสเบื้องต้น คือ รักษากาย รักษาวาจา ระงับกิเลสบรรเทากิเลสเบื้องต้น มีแต่กาย วาจาไม่พูดถึงใจ มันก็ผิดน่ะสิ ผิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าเจตนาเป็นตัวศีล ลองคิดดูว่า คนตายรักษาศีลได้ไหม? ครั้นไม่มีใจแล้วจะรักษาศีลได้ไหม? ถ้าไม่มีใจจะงดเว้นอะไร คนตายไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยสมาทานศีล ถึงเมื่อพระให้ศีลในเวลาปลงศพปลงอะไรต่างๆ ไม่ใช่คนตายรักษาศีล คนเป็นต่างหาก คนเป็นอาราธนาศีล เป็นคนสมาทานศีล จึงค่อยเป็นศีล ถ้าหากไม่มีเจตนาแล้ว เป็นศีลไม่ได้

    ครั้งพุทธกาลไม่เคยสมาทานศีลก่อนจึงค่อยฟังเทศน์ พระองค์จะไม่ทรงเทศน์ถึงเรื่องศีล ทรงเทศน์ให้พระเจ้าพระสงฆ์ฟัง ไม่เทศน์ถึงเรื่องศีล ทรงเทศน์ถึงเรื่องสมาธิอันเดียว เมื่อจิตเข้าถึงที่แล้ว จิตบริสุทธิ์แล้ว ศีลเลยเกิดขึ้นมาเอง ศีลพร้อมขึ้นมาเอง ไม่ต้องสมาทานศีลไม่ต้องรักษาศีล อย่างพระองค์คุลีมาล พระองค์ทรงเทศน์ให้ละที่จิตอันเดียวเท่านั้นแหละ เลยสำเร็จมรรคผลนิพพาน อันพวกเรานี้มันงมงายแต่รักษาศีล มันงมงายแต่ศีลเบื้องต้น เบื้องปลายที่สุดอะไรต่างๆหลายเรื่องหลายอย่าง ก็เลยยุ่งไปกันใหญ่

    ถ้าฟังธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามุ่งหมายจะทำความบริสุทธ์อันเดียวแล้ว จิตที่บริสุทธิ์นั่นแหละ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ไปในตัว ศีลจึงค่อยมีที่สุดคือ เจตนาเป็นที่สุดของศีล



    ที่สุดของสมาธิ คือ ภวังค์ หรือ อัปปนาสมาธิ เรียกอัปนาฌานก็เรียก วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา หรือเอกัคตาอุเบกขา อุเบกขาแล้วก็หมดเรื่อง ถึงหากว่ารูปฌาน อรูปฌานต่อไป ก็ลงตัวจิต อัปปนา นั้นแหละ จิตที่เป็น อัปปนา นั้นน่ะถึงที่สุดของสมาธิ ฌานก็อันนั้นแหละ อัปปนาฌาน อัปปนาสมาธิ นั้นแหละ ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติ ดับสัญญา เวทนา หมด ปัญญา ก็เลยไม่ใช้ ไม่ต้องใช้กันหรอกดับหมดเลย ก็เพียงแค่อันเดียวกันนั้น ตัวจิตอันเดียวนั้นแหละ ดับจิตตัวเดียวเท่านั้น เรียกว่าที่สุดของสมาธิ

    ใครจะทำอะไรก็ทำไปเถิด ฝึกหัดอะไรก็ทำไปเถิด อย่างสมัยเดี๋ยวนี้แหละ มีคณาจารย์หลายท่านหลายองค์ อย่างเขาทำกันยุบหนอพองหนอก็ดี หรือสัมมาอะระหังก็ดี พุทโธก็ดี อานาปานสติก็ดี มรณัสสติก็ดี สารพัดทุกอย่างนั่นแหละ ทำเพื่อให้จิตถึงที่สุดถึงสมาธิ คือ อัปปนาอันเดียว อัปปนานี้ไม่ใช่เกิดอุบายปัญญาอะไรหรอก พักจิตเฉยๆ นี่แหละ วิธีหัดจิตอบรมจิตตั้งแต่เบื้องต้นไป อย่างที่เรียกว่าวิตก วิจารณ์ หมู่นี้เป็นเรื่องหัดจิตทั้งนั้น ภวังค์ หรือ สมาธิอะไรต่างๆ เป็นวิธีหัดทั้งนั้นแหละ ครั้นถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรหรอก ถึงที่สุดของสมาธิก็คืออัปปนา เมื่อถึงที่สุดแล้วมันหยุดแล้วคราวนี้ ไม่มีอะไรหมดทุกสิ่งทุกอย่าง หยุดเพียงแค่นั้น

    ปัญญามันเกิดตรงไหน มันเกิดตรงมาจากอัปปนา แล้วมาถึงอุปจาระนั้นต่างหาก มันจึงค่อยเกิดขึ้น อุปจาระที่ออกมาจากอัปปนา มันไม่ใช่อุปจาระเข้า “อุปจาระเข้า” นี้มันต้องระงับดับส่วนเบื้องต้นความวุ่นวายต่างๆ มันเข้าไปถึงอุปจาระตอนนั้น มันส่งส่ายอยู่ภายใน แต่ว่ามันไม่ส่งส่ายภายนอก มันส่งส่ายภายใน ค้นคว้าอยู่ภายใน เรียกว่า อุปจาระเข้า

    “อุปจาระออก” นั้นมันออกมาจากอัปปนาแล้ว มันแน่วแน่ในอารมณ์อันเดียว พิจารณาในอารมณ์อันเดียว พิจารณาอะไรก็พิจารณาแต่อันนั้น อันนั้นเรียกว่า อุปจาระออก อุปจาระออก จากอัปปนา ก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน อุปจาระเข้าก็ได้ประโยชน์ อุปจาระออกก็ได้ประโยชน์ ก็แต่ว่าอุปจาระออกนั้น มันละเอียดกว่า คือ มันได้อัปปนาเบื้องต้น ได้อัปปนาเป็นพื้นฐาน แล้วจึงค่อยมาอยู่ในอุปจาระ ตัวนี้ต่างหากเกิดปัญญา

    บางคนนั้นว่า นั่งหลับตาทำสมาธิมันจะได้อะไร? โอ๊ย…มันไม่เคย พวกไม่เคยได้ทั้งนั้นแหละ มันมีประโยชน์มาก นั่งหลับตาทำสมาธิได้ประโยชน์มากทีเดียวละ จนกระทั่งไม่รู้ตัวโน้นแหละ มีประโยชน์มากทีเดียว ใครทำได้นับว่าได้กำลังใจอย่างยิ่ง เรียกว่าพักจิตในขณะนั้น พักนานเท่าใดยิ่งมีกำลังมาก เวลาออกมาพิจารณาตอนออกจากอัปปนานั้น มีสติรอบคอบรอบรู้ รู้ทั้งนั้นอดีต อนาคต ปัจจุบัน พิจารณาชัดเจนแจ่มแจ้ง ถ้าไม่มีสมาธิเป็นหลักฐาน จะพิจารณาอะไรก็พิจารณาไปเถิด หยุดยั้งไม่ได้ เตลิดเปิดเปิงจนกระทั่งไม่มีขอบเขต

    ครั้นมีหลักฐาน มีอัปปนาเป็นพื้นฐานอยู่นั้น มีสมาธิเป็นพื้นฐานอยู่นั้น พิจารณาไปเถิดพิจารณาอะไรก็พิจารณาไปเถิด มันจะต้องหมด ลงสิ้นสุด ลงถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วกลับมาหาที่เก่าคือ สงบลงที่ใจ นิ่งแน่วอยู่เฉยๆ ให้พิจารณาก็ได้ ไม่พิจารณาก็ได้ อันนี้เรียกว่า จิตอยู่ในบังคับ คือ เนื่องจากมีสมาธิเป็นหลักฐาน ชำนิชำนาญเรื่องสมาธิ อันนี้เรียกสมาธิมีที่สุด คืออัปปนา สมาธิมีที่สุดตรงนั้นละ ทำไปเถอะใครจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่นอกเหนือไปจากนั้นหรอก



    คราวนี้ ปัญญา มีหลักฐานอย่างไร? มีที่สุดอย่างไร? ก็ด้วยอำนาจที่ฝึกหัดสมาธิมาแต่เบื้องต้น เรื่องศีล เรื่องสมาธิมาแต่เบื้องต้น พิจารณาทุกสิ่งทุกประการ มันจะต้องหมดที่สุดคือ ไตรลักษณ์ เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วมันจะไปที่ไหนละ ลงถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วจะไปที่ไหนกัน ไม่มีหรอก นอกจากนี้ ไม่มีหรอกในโลกอันนี้ มันลงอันนั้นแหละเข้ามารวมลงอันเดียวกันหมดลง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็วาง ลงสภาวะ เป็นสภาวะ ลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้วเป็นสภาวะ อันนั้นแหละที่สุดของ ปัญญา

    ให้เข้าใจถึงที่สุดอย่างนี้ ธรรมมะทั้งหลายนั้น ถ้าไม่มีที่สุดไม่ใช่ธรรมะเป็นโลก พิจารณาเรื่องโลกเพลิดเพลินไม่อิ่มไม่พอสักที ถ้าเป็นธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ถูกตามคำสอนของพระองค์แล้ว มันต้องรวมลงมา พิจารณาออกไปแล้ว หมดเรื่องแล้วต้องรวมลงมาของเก่า มาหาใจ ที่พูดง่ายๆ เรียกว่าใจ มันไม่คิดไม่นึก ไม่ส่งส่ายอะไรทั้งหมด จะให้พิจารณาก็ได้ ไม่ให้พิจารณาก็ได้ ใช้มันได้เลย ใช้ใจได้ ใจอยู่ในบังคับของตน มันก็หมดเรื่องน่ะซี จะไปทำอย่างไรกันอีก จิตมันบังคับตน ให้ตนคิดค้นพิจารณาไปไม่มีขอบเขต ไม่รู้จักสิ้นสุด มันจะสิ้นสุดได้อย่างไรตรงนั้น จึงว่าศาสนามีที่สุดอย่างนี้ ทางโลกไม่มีที่สิ้นสุด เอาล่ะ



    "บางคนนั้นว่า นั่งหลับตาทำสมาธิมันจะได้อะไร? โอ๊ย…มันไม่เคย พวกไม่เคยได้ทั้งนั้นแหละ"


    ที่มา ที่สุดของ ศีล สมาธิ ปัญญา | หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    http://tesray.com/afterhours-32
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3765.jpg
      IMG_3765.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.2 KB
      เปิดดู:
      504
  2. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ครั้นมีหลักฐาน มีอัปปนาเป็นพื้นฐานอยู่นั้น มีสมาธิเป็นพื้นฐานอยู่นั้น
    พิจารณาไปเถิดพิจารณาอะไรก็พิจารณาไปเถิด
    มันจะต้องหมด ลงสิ้นสุด ลงถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    แล้วกลับมาหาที่เก่าคือ สงบลงที่ใจ นิ่งแน่วอยู่เฉยๆ
    ให้พิจารณาก็ได้ ไม่พิจารณาก็ได้ อันนี้เรียกว่า จิตอยู่ในบังคับ
    คือ เนื่องจากมีสมาธิเป็นหลักฐาน ชำนิชำนาญเรื่องสมาธิ
    อันนี้เรียกสมาธิมีที่สุด คืออัปปนา สมาธิมีที่สุดตรงนั้นละ
    ทำไปเถอะใครจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่นอกเหนือไปจากนั้นหรอก

    ********************
    ^
    ^
    สาธุฯ
     
  4. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ตื่น ๆ ๆ เถอะ ไอ้น้อง รู้ตัวบ้างไหมว่าขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่
    ยิ่งนานมันยิ่งเลอะเลือนขึ้นไปทุกที นึกอยากจะพูดก็พูดหาความจริงรองรับไม่ได้
    ที่พูดนั้นถ้าหากขาดหลักพิจารณาแล้วจะถือว่าใช่ เมื่อเอามากลั่นกรองแล้ว ไม่มีเนื้อไม่มีน้ำเลย คงได้เพียงกาก
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ลุงครับ

    ยิ่งแก่ยิ่งเลอะเทอะ เลอะเลือนขึ้นไปทุกที

    แสดงว่าปรกติมีปากไว้พูดเอามันเท่านั้น หรือผีเจาะปากให้พูด

    เวลาจะวิจารณ์อะไร วิจารณ์ใคร หัดดูตาม้าตาเรือให้ดีๆด้วยสิ

    เล่นเอาอคตินำเพียงเดียว ชีวิตจะอับเฉาเอาง่ายๆนา

    รู้หรือเปล่าล่ะว่า บทความที่ธรรมภูต "สาธุฯ"นั้น

    เป็นคำเทศนาของท่านพระอาจารย์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    ที่คุณเสขะเอามาลง สงสัยจริงๆ ลุงว่างนักหรือไง

    จึงชอบแหย่ขาตนเองลงไปในนรกอยู่เรื่อยเลย

    น่าสงสารจริงๆนะ คนอะไรดื้อด้านได้ขนาดนี้จริงๆ เฮ้อ!!!

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  6. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    เรื่องที่เสขะเอาหลวงปู่มาลงน่ะก็ดีอยู่แล้ว ก็ยังดันไปเพิ่มเติมให้มันเสียของ
    เช่น "จิตอยู่ในบังคับ" งี้มีที่ไหนเขาพูดกัน มันผิดสภาวะ มันเป็นสัทธรรมปฏิรูป
    จิตที่ไหนบังคับบัญชาได้ งั้นจิตก็เป็นอัตตา จิตเป็นของเรา พยายามจะยัดเยียดคำสอนของตัวตนเองให้ผิดเพิ้ยน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤษภาคม 2015
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่ใช่ จิฮับ คุงคงไทยตั้งแต่ชื่อเมล์ กูเกิ้ลพลัด

    คำว่า " จิตอยู่ในบังคับ " ของหลวงปู่เทสก์ หรือ ของพระป่า ที่ท่านใช้กัน
    เป็น สาธารณะ ต่อๆกันมาหลายปี หลายรุ่น

    ท่านหมายเอา จิตที่พรากออกจากขันธ์เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดั่งแขนขาด

    พูดอีกอย่างคือ จิตที่เข้าถึงปฏิเวธ อริยผล อย่างใดอย่างหนึ่งใน มรรค4 ผล4

    ไม่กำเริบกลับอีก จิตที่ไม่กำเริบกลับอีก ไม่หวนคืนมายังโลกอีก
    ท่าน จะเรียกจิต กริยาจิตแบบนั้นว่า จิตอยู่ในบังคับ หรือ อกุปธรรม


    ปล.ลิง จิตอยู่ในบังคับ จะไม่ใช่ จิตเป็นตน จิตเที่ยง แบบ ทำมาปู๊ดด(ธรรมภูติ เจ้าสำนักจิตเที่ยง แห่ง pantip)

    จิตอยู่ในบังคับ หลวงปู่เทสก์ ชี้ชัดเจน เป็นเรื่อง การแทงตลอดด้วยไตรลักษณ์ จิตไม่ใช่ตัวตน
    บุคคล เรา เขา จี้ลงไปถึงที่สุด(โลก) สลัดคืนโลกหมดไม่เหลือ ไม่มีติ่งความเป็นเรางัดขึ้น
    มาเป็นเจ้าโลก .....จิตในบังคับ จะเป็นเรื่องของผู้ชำนาญในสมาธิตั้งแต่ ปฐมฌาณ ขึ้นไป
    ไม่ใช่ ฌาณ4 ตะพึดตะพือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2015
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    สงสัยลุงหมานไม่บ้าก็เมาแน่ๆเลย

    หมานคงเมายาบ้ามากจริงๆ ที่กล้ากล่าวหาว่าร้าย"ธรรมภูต"

    ว่า"ธรรมภูต"แอบเอาคำพูดของตนเองใส่รวมลง

    ไปแอบอ้างว่าเป็นของท่านพระอาจารย์หลวงปู่เทสก์

    ใครมันกล้าหาญชาญชัยขนาดนั้น ไปเพิ่มเติ่มเสริมแต่งคำเทศน์ของท่านได้

    หมานเอ๋ย ถ้าลองจิตบังคับไม่ได้ คุกไม่พอขังคนชั่วช้าสามานย์หรอก

    ถ้าบังคับจิตใจของตนเองไม่ได้ หมานลองคิดเล่นดูว่า

    "สังคมจะเลวร้ายเละเทะขนาดไหน"

    อย่างหมานทำอยู่นี่ไง ที่เตือนไป แทนที่จะอ่านของท่านพระอาจารย์ให้ดีๆ

    ทั้งหมดที่"ธรรมภูต"คัดลอกนำลงไปนั้น

    ล้วนเป็นคำพูดของท่านพระอาจารย์หลวงปู่เทสก์ท่าน

    คนบาปยังไงก็เป็นคนบาปอยู่ดี

    เพราะบังคับฝืนจิตฝืนใจตนเองไม่เป็น เพราะไม่ได้ฝึกฝนอบรมจิตของตน

    เฮ้อ!!! น่าสงสารจริงๆ คนอะไร

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เอกวีร์ที่รัก ชักจะมั่วไปใหญ่แล้ว

    จะแอบอ้างเรื่องของธรรมภูตที่พันทิพ

    น่าจะทำลิ้งด้วยว่า "ธรรมภูต"ตอบกลับไปยังไง

    เอกวีร์ที่รัก ตอบหน่อยสิว่า

    จิตของตน ใช่จิตเป็นตนมั้ย?

    แล้วจิตเอกวีร์ที่รัก ไม่ใช่จิตของตน แล้วเป็นของ...ที่ไหน?

    ได้ตอบเรื่อง"จิตเที่ยง"ไปหลายครั้งแล้ว

    จิตเที่ยงตรง คงที่ต่อพระนิพพานอันนี้เป็นพระพุทธพจน์ที่ธรรมภูตชอบนำมาอ้างอิง

    **

    ส่วนจิตเที่ยงแท้ถาวรเป็นนิรันดร์ไม่เปลี่ยนแปลงนั้น

    เป็นสิ่งที่"ธรรมภูต"ถูกกล่าวหาใส่ร้ายอยู่เป็นประจำ

    เอกวีร์ที่รัก ก็เป็นแฟนประจำที่ชอบกล่าวหาใส่ร้ายเช่นกัน เฮ้อ!!!

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เอ้า ไหนว่า ฮู้ดีในคำว่า " จิตสังขาร "

    ความเป็น มนุษย์ ที่ ทำมาปูํดได้มาในชาตินี้ มันเป็น วิบาก เป็น กองสังขาร ใช่ไหมฮับ

    ก็ วิบากมันให้ผลอยู่ มันก็เคลื่อนไปตามอำนาจ หากมี สติรู้ทัน ก็เห็นทางออก

    แต่ถ้า ป่านนี้แล้ว ยัง งง ก่ง ก๊ง ว่า สติ คืออัลลัย เป็นเขื่อนกั้นอะไร
    พยากรณ์ไม่ได้ กรรมใหม่มีเกิดฮึเป่า ........เวรกรรมเลย

    เมา จิตเป็นตน โหนต้นไม้ไม่เลิก ปล่อยกิ่งไม้ปุ๊ป ตกไปตาย ก็กลับมาเกิด อีกหน่าฮับ
     
  11. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ในที่นี้มีแต่คนเมตตาธรรมภูตทั้งนั้นแหละน่า
    อย่าไปอิดหนาระอาใจอะไรให้มากนัก มีแต่คนคอยทักท้วง
    ไม่ให้พลั้งเผลอในความไม่เป็นภาษีภาษาเหมือนเด็กอ่อนหัด
    แต่ก็เห่อเหิมที่จะสอนธรรมกะเขาบ้าง ถามจริงเถอะในที่นี้มีใครสรรเสริญว่าดีบ้าง
    (ยกเว้นในสำนักดูจิตแบบธรรมภูต ที่เดียว)
     
  12. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ความยึดถือว่ากายเป็นตน เป็นกายของตน อัตตานั้นเกิด เกิดความถือว่าเรา ของเรา ของของเรา จิตมันไปจับฉวยมายึดว่าตัวว่าตน ว่าเป็นตัวตนของตน จิตจึงไม่พ้นจากอาสวะ ละด้วยสติพิจรณาโดยแยบคายว่า นี้รูป ความเกิดความดับแห่งรูป นี้เวทนา ความเกิดความดับแห่งเวทนา นี้สัญญา ความเกิด ความดับแห่งสัญญา นี้สังขาร ความเกิด ความดับแห่งสังขาร นี้วิญญาณ ความเกิด ความดับแห่งวิญญาณ เมื่อไม่ถือมั่น จิตเต็มรอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา สติบริบูรณ์ ย่อมเกิดญาณ เมือเกิดญาณ ย่อมวิมุติว่าพ้นแล้ว
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!! เอกวีร์ที่รัก

    เมื่อจิตเป็นตน ก็มีคนโหนต้นไม้

    เมื่อไม่ใช่ตน ก็ไม่มีคน สัตว์ บุคคลทั้งหลาย

    เมื่ออะไรๆ ก็ไม่มี ไม่ใช่ ต้องกลัวอะไร

    เป็นไปตามพวกนัตถิกทิฐิถูกใจเท่านั้น

    จำไว้นะ เอกวืร์ที่รัก

    หากมีสติรู้ทัน ไม่ใช่มีทางออก

    แต่มีทางหยุด หลุดพ้นได้ แค่นี้คงจำได้นะ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ลุงหมานครับ

    ธรรมภูตไม่แปลกใจจริงๆว่า

    ทำไมลุงแก่แล้วแก่เลย เมื่อรู้ว่าผิด ที่กล่าวหาว่าร้ายคนอื่น

    แทนที่จะรู้จักโทษตนเอง กลับแถไปนั่น ทำเนียนเลย

    อะไรที่เป็นของดีของถูก อย่าทำตนนิ่งดูดายปล่อยไว้อย่างนั้น

    ส่วนใครจะชอบจะชังก็ชั่งเขา โดยเฉพาะพวกมีอคติประจำใจอยู่แล้ว

    ต้องปล่อยคนพวกนี้ไป เมื่อรู้สึกตัวทั่วพร้อมเมื่อไหร่จะรู้เอง

    จะไปหวังอะไรกับคำสรรเสริญเยินยอ

    ที่ทำให้เพลินยิ่งเข้าไปในอารมณ์เหล่านั้น

    หมานต้องหัดรู้จักละอายต่อบาปที่ตนเองได้ทำไว้บางก็ดีนะ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  15. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อนุโมทนาครับ.....พระไตรลักษณ์ ทุกสิ่งที่เป็นสมมุติที่เป็นโลก ทุกสิ่งรวมลงในพระไตรลักษณ์.....ขออนุโมทนาเห็นด้วยครับ...

    แต่...(ทำไมผมยังมี แต่..เสมอ)....ผมอยากถาม หาที่สุดของธรรมด้วย...

    แบบว่า ที่สุดของความเป็นโลก คือธรรม ก็คือธรรม..คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ถ้าผมขอถามท่านที่ทะลาะกัน อยู่เนี่ย...ว่า ถ้าที่สุดของธรรม บ้าง...คืออะไรครับ

    ถามจริงด้วยนะครับ..(ไม่ได้มีเจตนาปรามาสหลวงปู่นะครับ)

    ขอถาม คนแถวนี้ครับ...ลิงกัง6 เอกวีร์....ตอบได้มั้ยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...