การดูจิต ต้องดูตอนจิตสงบ ท่านจึงสอนให้ทำสมาธิ เพื่อให้จิตสงบ แล้วใช้ปัญญาพินิจพิเคราะห์ พ้นจากอุปกิเลส

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 3 พฤษภาคม 2015.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  2. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๑๕.๒๑

    ..การดูจิต ต้องดูตอนจิตสงบจึงจะเห็นว่า มีอะไรอยู่ในจิต
    เหมือนดูน้ำตอนใสสงบ จึงจะเห็นว่ามีอะไรนอนก้นอยู่


    ก็จริงนะ แต่เราว่าดูมันตลอดเวลาเลย น่าจะดีกว่า รึเปล่าน๊า
    น้ำใสสงบ มองเห็นก้น ก็ดีมองง่ายดี
    แต่ในตะกอนนอนก้นนั้น บางทีมันก็มีอะไรทับซ้อน ซ่อน ซุก ซึม แทรก อยู่ใต้นั้น
    อาจทำให้มองได้ไม่ขาด ไม่หมดจรด ไม่ครบถ้วน

    ถ้าเจ๋งพอ ดูจิตได้ทัน ตอนกระแสปฏิจจะเริ่มหมุน
    เมื่อมีเหตุปัจจัยกระทบ ให้เวทนาเกิด กิเลสตัณหา ออกมาแสดงตัว
    นั่นน่าจะทำให้มองเห็นได้ชัดเจนกว่า ล่ะมั้ง นะ

    เห็นปุ๊บ ก็ทำจิตให้เป็นสมาธิได้ในบัดนั้น แล้วปราบมันตรงนั้นเลย
    หรือไม่ก็จดจำอาการให้ดี คิดย้อนไปหาสาเหตุ ต้นเหตุ ต้นเรื่อง
    มองหาความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันมา ตามกฏอิทิปปัจยตา

    เมื่อมองเห็นโจทย์ได้ชัดเจน การแก้ไขปรับปรุง ก็น่าจะทำได้ง่าย และดีขึ้น

    การเก็บหลักฐานพยานต่างๆ ในที่เกิดเหตุ แล้วนำไปวิเคราะห์วิจัยในภายหลัง
    จะทำให้โอกาสในการชนะคดี มีมากขึ้นอีกแยะเชียว ขอบอก ๕๕๕


    แก๊งค์นาฬิเกร์ / โคนันยอดนักสืบ

    .
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ดูตรวจตลอดเวลา แต่ จิตไม่ได้เป็นสมาธิ ไม่ได้ดูตัวจิต จริงๆ หรือป่าวน้า

    ถ้าไปดูความคิด พวกนี้ ความคิดไม่ใช่จิต ดังนั้น จึงไม่ใช่การดูจิต จ้า

    ต้องมีสมาธิเป็นฐานก่อน จิตเป็นสมาธิ ถึงจะเห็น จิต

    เพราะการจะบอกว่าดูตลอดเวลา ถ้าจิตเข้าสมาธิ ตลอดเวลา ก็ไม่มีปัญหา

    แต่ถ้า จิตยังไม่เป็นสมาธิ ยังไม่ได้ ไม่มีสมาธิ ก็ไม่ใช่การดูจิต ^^

    .
     
  4. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๓.๑๓

    ถ้าเจ๋งพอ ดูจิตได้ทัน ตอนกระแสปฏิจจะเริ่มหมุน

    เราเป็นผู้มีปกติฝึกฝนจิตนะครับ จากสภาวะด้านบนน่ะนะ
    น่าจะแสดงได้ชัดเจนแล้วว่า เป็นสมาธิระดับไหน อ่านดีๆ สิจ๊ะ
    เราว่าเอาเองอ่ะนะ ว่า ถ้าไม่ใช่ฌานก็ใกล้เคียงล่ะครับ

    นั่นก็เป็นสภาวะปกติธรรมดาของเรา ในการใช้ชีวิตประจำวัน
    ถ้าระดับจับกระแสปฏิจจะได้ ไม่ใช่สมาธิ ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะมั้ง นะ หึหึหึ


    นายกองกัซ / กระต่ายป่า ข้างวัด

    .
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สมาธิไม่มี อ้างว่าดูจิต เพ้อไปใหญ่ละมั้ง เพราะอ่านตามที่โพสข้างบนแล้ว ตามที่อ้างว่า ดูจิต เกิด ดับ แบบนี้


    ถ้าเจ๋งพอ ดูจิตได้ทัน ตอนกระแสปฏิจจะเริ่มหมุน
    เมื่อมีเหตุปัจจัยกระทบ ให้เวทนาเกิด กิเลสตัณหา ออกมาแสดงตัว
    นั่นน่าจะทำให้มองเห็นได้ชัดเจนกว่า ล่ะมั้ง นะ

    เห็นปุ๊บ ก็ทำจิตให้เป็นสมาธิได้ในบัดนั้น

    แค่เวทนา เนี้ยนะ พอเห็นปุ๊บ แล้วก็ทำให้จิตเป็นสมาธิ ได้ในบัดนั้น


    ตกลง แค่เวทนาทางกายทางจิต เกิดก่อน แล้วค่อย ทำให้จิตเป็นสมาธิ

    ก็ค้านคำสอนครูบาอาจารย์แล้วครับ



    อีกอย่างนะ อาการพวกนี้ มันไม่ใช่ตัวจิต แล้วหลงไปเข้าใจว่าเป็น จิต แบบนี้ ก็ยืมคำมาใช้มั้งนะ ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะมั้ง นะ หึหึหึ


    จิตสงบ คือ จิตที่เป็นสมาธิ ครับ ครูบาอาจารย์สอนทำให้จิตสงบ จิตเป็นสมาธิ ก่อน

    ไม่ใช่จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน มีเหตุปัจจัยกระทบ ให้เวทนาเกิด กิเลสตัณหา ออกมาแสดงตัว ต่างๆนาๆ แบบนี้ แล้วไปดูแบบนี้ ไม่ใช่สายดูจิต และไม่มีทางที่จิตจะเป็นสมาธิได้ เพราะมันฟุ้งซ่านอยู่นั้นเอง

    กิเลสตัณหา กำเริบอยู่ จิตจะเป็นสมาธิ เข้าสมาธิ ไปได้อย่างไร


    และที่สำคัญคือ ใช้ปัญญาพินิจพิเคราะห์ คือการพิจารณาภายในจิตสงบ จิตที่เป็นสมาธิอยู่ ครับ และไม่ใช่การ ดู เกิด ดับ เฉยๆ


    สมาธิไม่มี ยังไม่เข้าสมาธิ จิตยังไม่เป็นสมาธิ ฟุ้งซ่านอยู่ แล้วจะเป็นการดูจิต ไปได้อย่างไร ... บอกตรงๆ ตัวจิต ภพจิต ชาติจิต ก็ยังไม่เห็นแน่ๆ เห็นจะจับได้อย่างเดียวคืออาการ ฟุ้งซ่าน ที่ออกมาหลงเข้าใจว่าฝึกจิต ดูจิต


    และกรรมฐาน40 ไม่มีกรรมฐานกองไหน สอนให้ไปดู เกิด ดับ เกิด ดับ ฟุ้งซ่าน กิเลสตัณหา ครับ หรือถ้ามี ช่วยเอามาลงให้ดูที เพื่อผมจะไม่เคยเห็น

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2015
  6. Jan2014

    Jan2014 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +143
    ถ้าดูตอนไม่สงบ มันก็ฟุ้งซ่านนั่นเอง
    ฟุ้งไปทั่ว ฟุ้งไปกระทั่งว่า เข้าใจว่า ขณะนี้มันสงบ
    ยิ่งพยายามประคับประคองให้มันสงบด้วยแล้ว ขณะนั้นยิ่งไม่สงบ
    เวลาที่มันสงบแล้ว ไม่ต้องพยายามให้สงบ ถ้าพยายามประคับประคอง ขณะนั้น คือยังไม่สงบอยู่
    ยามที่มันเข้าสภาวะของความสงบได้แล้ว สงบ มันก็สงบของมันอย่างนัันเอง
    ณ ขณะนั้น ไม่มีอยาก ไม่มีประคองบังคับอยากให้มันสงบ ใดๆทั้งนั้น
    มีแต่สติ และความเห็นความเป็นกลางไม่บวกไม่ลบเท่านั้น
     
  7. น้ำเกลี้ยง

    น้ำเกลี้ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +505
    มี mp3 ของหลวงปู่เทสก์เพียบเลยครับ ส่วนตัวผมเองมีอะไรดูได้ก็ดูครับ (ฟุ้งซ่านซะส่วนใหญ่ 555) ดูตามประสาวิปัสนายานิก ที่อยากฝึกสมถะมั่ง อยากเข้ายานลึกๆมั่ง แต่นั่งสมาหลับซะส่วนใหญ่ 666

    ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ กายา จิตตา เวทนา บ้าง แต่ไม่ค่อยไปถึง ธรรมานุปัสนาหรอกครับ เพราะ ไม่เสร็จนิวร ก็ ดูปัติจสมุบาทหมุนไม่เคยทัน :D

    (f)
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    การจะดูอะไรๆทั้งปวงต้องอาศัย สติ เป็นบาทฐาน เมื่อสติเกิด สมาธิย่อมเกิด เมื่อสมาธิเกิดการจะดูอะไรก็จะสามารถดูได้เห็นได้

    ขอให้อาศัยบาทฐานจากสติและสมาธิที่เกิด เพื่อใช้ในการดูหรือพิจารณา

    เมื่อสมาธิเกิดแล้วจะดูแบบไหนก็ทำได้ทั้งนั้น อันได้แก่

    1 กายสงบ จิตสงบ
    2กายเคลื่อนไหว จิตสงบ
    3กายสงบ จิตเคลื่อนไหว
    4 กายเคลื่อนไหว จิตเคลื่อนไหว

    วิธีการดังกล่าวขยายลึกลงไปได้ว่า

    1สมถะคือ แบบที่จิตสงบ ส่วนกายจะสงบหรือเคลื่อนไหวก็แล้วแต่ได้ทั้งนั้น คือเราเอาสติสมาธิเพ่งลงไปด้วยจิตที่สงบนิ่งเอคตาจิต นั่นเอง

    2วิปัสสนา คือแบบที่จิตเคลื่อนไหว กายจะสงบหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะเราเอาสติคือสมาธิไปตามดูการทำงานของจิตที่เคลื่อนไป

    ดังนั้นจากคำถามการดูจิต ดูตอนไหน ต้องตอบว่าตอนไหนก็ได้ที่มีสติทรงตัว สมาธิทรงตัว เมื่อสติและสมาธิทรงตัว สามารถดูจิตได้ทั้งนั้น ซึ่งแบ่งได้2แบบคือ
    แบบแรกคือดูจิตที่เคลื่อนไหว คือวิปัสสนา ตามดูการทำงานของจิตที่เคลื่อนไหลไป
    แบบสองคือดูจิตที่สงบนิ่ง คือสมถะ เพราะจิตที่สงบนิ่งดิ่งลงจุดเดียวจะปรากฏอาการของจิตเพียงหนึ่งเดียวไปมีอารมร์อื่นปรากฏ เป็นต้น แต่เมื่อใดที่จิตที่สงบ ไหลเคลื่อนไปทีละอารมณ์หรือเปลี่ยนจุดที่เพ่งอยู่ไปสู่อารมณ์ใหม่ ก็จะเข้าข่ายข้อแรกคือวิปัสสนา


    ท่านต้องพลิกแพลงเอาเองให้ทันจิตของท่านนั่นเอง สรุปคือ สมถะและวิปัสสนาที่เราฝึกอบรมจิต ต้องรู้เท่าทันจิตของตน ทั้งในแบบที่จิตสงบนิ่งและจิตเคลื่อนไหว นั่นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2016
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ดังนั้น สติและสมาธิที่ฝึกมาดี ย่อมใช้ได้ทุกรณี นั้นคือทุกขณะจิต ไม่เกี่ยวด้วยว่า กายจะเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหว ไม่เกี่ยวว่าจิตจะเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหว

    แต่สติและสมาธิที่ฝึกมาดีย่อมทรงตัวทุกสภาวะคือทุกขณะจิตนั่นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2016
  10. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275

    อันนี้เขาเรียกตามจิตไม่ทันแล้วครับ มันส่งออกไปแล้ว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน เกิดครบแล้ว แล้วถ้าเข้าไปปรุงแต่ง ก็ เป็นตัณหาทันที ที่บอกว่าตามดูจิตทันนะ มันดูไม่ทันหรอกครับ มันไปแล้ว เหมือนหลวงปู่ท่านว่า ตามรอยโคไม่มีทางทัน เจอแต่รอยเท้ามันเท่านั้น อันนี้ผมเคยประสบณ์มาก่อน โง่ตามรอยมันอยู่ตั้งนาน ใครมาค้านก็ไม่ฟัง ท่าน saber กล่าวถูกต้องแล้วครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2016
  11. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ูู^

    การจะดูเข้าไปถึงจิต มันก็มี วิธีการ ขึ้นหลายวิธีครับ


    บางคนเอาอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่ง
    มี พุทโธ สัมมาอะระหัง เป็นต้น ทำไปให้จิตสงบไปก่อน

    บางคนเอาอริยาบทการ ยืนเดิน นั่งนอนเป็นอารมณ์

    บางคนเอาความรู้สึกเป็นอารมณ์

    ก็ล้วนแต่ เป็นการทำจิตให้สงบลงไปก่อนทั้งนั้น

    อยู่ๆ จะไปดูจิต มันก็ดูไม่ได้หรอกครับ

    ความเข้าใจผิด มันเกิดขึ้น ที่ไม่เข้าใจวิธีการทำเฉยๆ
     
  12. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    จะดูจิต หรือ ดูอาการของจิต ก็ต้องมีสมาธิ จิตต้องปราศจากนิวรณ์เครื่องกั้นของจิต พอจิตเคลื่อนไปผัสสะปุ๊บ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทำงานทันที เรียกว่าการทำงานของจิตนั้นเป็นไปโดยอัตโนมัติ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2016
  13. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    แสดงว่า ยังไม่เข้าใจวิธี


    พุทโธ ที่เรียกหา ก้เป็นอาการของจิต

    พุทโธก็คือ ความคิด ความคิดก้คืออารมณ์

    ฉะนั้น อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่เลือกมาบริกรรม ล้วนเป็นอาการของจิต

    เพื่อทำให้จิตสงบลงเป็นสมาธิ

    นี่เป็นเบื้องต้น


    ทีนี้ การใช้ อารมณ์จิต ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน มาภาวนา

    นี่ก็ใช้ได้เหมือนกัน เป็นอุบายอย่างนึงที่ทำให้จิตเข้ามาสงบ
    ก่อนจะไปถึงจิต (หลวงปู่เทสก์ ท่านแนะนำไว้หลายวิธี ท่านบอกง่ายมากแต่คนชอบไปทำยาก ไว้จะหามาให้ฟัง)


    จิตที่ดูได้ถึงจิต
    มันจะเป็นการภาวนาได้พ้นสมมุติ
    เรียกว่า วิปัสนาญานจะเริ่มเดินและเริ่มบ่ม ให้กล้าขึ้นตามลำดับ

    ฉะนั้น หากจิตเริ่มเดินได้ และชำนาญ มันจะเริ่มพิจารณาใน อนิจัง ทุกขัง อนัตตาของมันไปเอง จนกว่ามันจะตัดสินด้วยตัวมันเอง

    (ไม่ต้องกลัวว่า ข้าวออกรวงแล้ว อย่าไปยึดนะ มันฟ้องเลย)





    สิ่งที่ทำได้ต่อ ก็คือ การให้อาหาร ของสติปัฎฐาน 4 ให้สมควร
    แค่เพียง เหมือนกินข้าวแค่อิ่ม กินเพื่อ อยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน

    ฉะนั้นหากเพียรด้วยวิธีการใดที่ทำให้รู้ทันจิตได้ซักครั้ง
    (สติ สมาธิ สัมปยุตด้วยปัญญา)
    ก้เพียรด้วยอาการอย่างเดิม ให้ตลอด
    จะตกม้าตายก็อยู่ที่เพียรให้ถึงที่สุดหรือไม่
     
  14. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย

    เรากล่าววิชชาและวิมุตติว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มี
    อาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของวิชชาและวิมุตติ
    ควรกล่าวว่า โพชฌงค์ ๗

    แม้
    โพชฌงค์ ๗ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
    ก็อะไรเป็นอาหารของโพชฌงค์ ๗ ควรกล่าวว่าสติปัฏฐาน ๔

    แม้
    สติปัฏฐาน ๔ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร
    มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
    ก็อะไรเป็นอาหารของสติปัฏฐาน ๔
    ควรกล่าวว่า สุจริต ๓

    แม้
    สุจริต ๓ เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
    ก็อะไรเป็นอาหารของสุจริต ๓ ควรกล่าวว่า การสำรวมอินทรีย์

    แม้
    การสำรวมอินทรีย์เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
    ก็อะไรเป็นอาหารของการสำรวมอินทรีย์
    ควรกล่าวว่า สติสัมปชัญญะ

    แม้
    สติสัมปชัญญะเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
    ก็อะไรเป็นอาหารของสติสัมปชัญญะ
    ควรกล่าวว่า การทำไว้ในใจโดยแยบคาย

    แม้
    การทำไว้ในใจโดยแยบคาย เราก็กล่าวว่ามีอาหาร
    มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยแยบคาย
    ควรกล่าวว่า ศรัทธา


    แม้
    ศรัทธาเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
    ก็อะไรเป็นอาหารของศรัทธา ควรกล่าวว่า การฟังสัทธรรม

    แม้
    การฟังสัทธรรมเราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร
    ก็อะไรเป็นอาหารของการฟังสัทธรรม ควรกล่าวว่า การคบหาสัปบุรุษ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้

    การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์
    การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์
    ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์
    การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์
    ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์
    สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์
    ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์
    การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์
    ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์
    สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์
    สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์
    โพชฌงค์ ๗ที่บริบูรณ์

    ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

    วิชชาและวิมุตตินี้มีอาหารอย่างนี้
    และบริบูรณ์อย่างนี้ ฯ


    อ่านต่อที่นี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2016
  15. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424


    กราบพระพุทธองค์ กราบ กราบ กราบ
    และขอขอบคุณคุณยอดคะน้าที่นำมาลงด้วยครับ
    ทรงแสดงธรรมไปโดยลำดับอย่างน่าอัศจรรย์
     
  16. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    นี่เรากำลังเอาคำสอนของพระขีณาสพมาวินิจฉัยหรือเอามาเป็นแรงบันดาลใจกันเหรอครับ...ผมก็ชักงงเห็นหลายข้อเสนอก็ทำนองนี้...แต่ถ้าอ่านข้อความของหลวงปู่เรียกว่า จิตเห็นจิต จิตสงบจึงจะเห็นจิต...แน่นอนใครๆก็ต้องงง ก็ทำให้จิตสงบแล้วยังจะเห็นจิตอีก ผมก็งง บางทีเราอาจอยู่ในขั้นที่ควรรู้และทำให้จิตสงบให้ได้ก่อนหรือเปล่าประมาณนั้น...อย่าพึ่งคิดเอาโน้นเอานี่มาใช้ เพราะนั่นคือหรือว่าไม่พร้อมหรือยังไม่ควรแก่งานหรือเปล่าไม่รู้ ลองพิจารณาดูเอาเองแล้วกัน
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเหตุ และความดับไปแห่งเหตุแห่งธรรมนั้น พระสารีบุตรท่านมีปัญญามาก ฟังธรรมพระอัสสชิเพียงเท่านี้ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม

    คนมีปัญญามากมักจะติดสงสัยมาก จมไปกับสัญญาสังขารความรู้ความสงสัยเหล่านั้นมากเป็นธรรมดา ไม่ทันคิดหรือลืมกำหนดรู้ทุกข์ตามความเป็นจริง เลยไม่เห็นทุกข์และพ้นทุกข์จริงสักที หากได้ธรรมพระพุทธองค์เตือนใจ ฉุกใจได้ สัญญาสังขารมันกลับมีประโยชน์อย่างมหาศาล ในแง่ที่ทำให้เห็นทุกข์จากความเคยชินหลงแบกหามเอาไว้มากนั่นเอง แต่ประสบการณ์เหล่านั้นก็กลับมาเป็นประโยชน์มากด้วยเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2016
  18. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ใครรู้พุทโธ ได้ชื่อว่าเห็นจิต ตามนั้นแล.
     
  19. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,611
    ค่าพลัง:
    +3,015




    ให้ท่านลองฟังคำสอนของ
    หลวงพ่อจรัญ ทักขิณาโย
    แห่งสำนักวัดหลวงขุนวิน

    ในยูทูปดูนะครับ
    เกี่ยวกับเรื่อง สมถะ กับ วิปัสสนา
    ว่าแตกต่างกันอย่างไร
    เพราะต่อไป ตัวท่านเอง จะเป็นกำลังสำคัญ
    ในการเผยแผ่
    หากวางจิตตรงได้
    ก็เป็นวาสนากับลูกศิษย์ในอนาคต
    ไม่อย่างนั้น การสอนอาจคลาดเคลื่อน
    จะเป็นโทษไป
     
  20. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    อย่ามัวโต้แย้งกันเลยครับ ทางเข้าพระนครมีหลายทาง เส้นทางปฏิปทาพ่อแม่ครูจารย์
    ท่านเดินมาอย่างไร ท่านก็ถนัดสอนตามนั้น ...แต่ผู้ที่เพียรดูจิตตั้งแต่จิตพื้นๆ ยังไม่มีสมาธิ
    ก็มีและทำได้ประสบผลตามแนวหลวงพ่อปราโมชย์ ศิษย์หลวงปู่ดุลย์ก็เยอะ ..ส่วนการหัดดูกายตั้งแต่จิตๆพื้นๆตามแนวหลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ ผมก็เชื่อว่าสุดยอดในยุคนี้ ขอเชียร์ อย่าลืมคลื่นขาวจากชาวพุทธ สังฆทานธรรม 89.25เมกกะเฮิต สาธุ!
     

แชร์หน้านี้

Loading...