ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 4 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เห็นด้วยครับ แต่สุดท้ายอย่าลืมแนะให้จบเป็นด้วยนะครับ
    ไม่งั้นตามใช้หนี้บานเลยครับ :'(
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    catt4 ถามมาง่วงเลย .
    ขอวอร์มก่อนนะครับ..มีเป็นตามลำดับตั้งแต่เริ่มต้น..
    ไปยังพอมีความสามารถ ไปยังกำลังๆสอนๆอยู่มีข้างบนลง
    มาช่วยแนะเทคนิคเพิ่มเติม และสุดท้ายเมื่อแน่ใจว่าแน่พอตัวแล้ว
    ...;aa31
    ขั้นเริ่มต้น..
    การอุทิศบุญตามตำราทั่วไปใช้ได้ครับ..
    แต่ยังไม่เฉพาะเจาะจง.
    แต่เป็นการสร้างและสะสมบารมีให้ตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
    .เพราะระดับความละเอียดของจิตผู้รับแตกต่างกัน.
    .ถ้าเจาะจงควรมีการแปรสภาพบุญด้วย.
    .โดยเฉพาะกรณีที่เป็นสัมพะเวสี.
    หรือว่าญาติๆเราบางครั้งก็ต้องฝากท่านพยายามด้วย.
    .ในกรณีที่ญาติเราคนนั้นยังต้องรับกรรมอยู่...
    .​

    ส่วนคำพูดในใจลิ้นกับปากไม่ขยับ
    เพื่อดึงให้จิตมีความเป็นทิพย์ชั่วคราวคือ
    "ด้วยอำนาจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    จงบันดาลบุญข้าแปรสภาพเป็นอะไรก็แล้วแต่ตามที่ท่าน
    (สัมพะเวสี ญาติเรา ไม่ว่าจะเห็นด้วยตา
    ได้ยินแต่เสียง หรือกลิ่น อะไรก็ได้ที่สื่อว่าเป็นเค้า)

    ต้องการและให้บุญที่ข้าพเจ้าได้ทำมาจงเป็นของท่านดังปรารถนาเถิด''
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขั้นต่อมา
    dannce_
    ระดับนี้พอเห็นโน้นเห็นนี้ได้ เป็นขั้นการขยายบารมี..
    ใช้กรณีเฉพาะ ฝึกความสามารถในการเข้าสมาธิ เป็นแนวทางหลักๆ
    ของสายวิชาเฉพาะของห่มเหลือมมีชื่อในอดีตท่านหนึ่ง
    ...:z5

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Orostosapol
    แผ่เมตตานะครับ
    ก่อนอื่นตั้งจิตในสงบ
    เมตตา ท่านเปรียบไว้ดั่งความรัก
    คือเรารักทุกดวงจิต ทุกชีวิต
    เท่าเทียมกับเรารักตัวเราเองครับ
    ไม่มีมากน้อยกว่ากัน ทุกดวงจิตต้องการสุขเหมือนกัน
    ไม่ต้องการทุกข์เช่นกัน เมื่อรู้สึกว่าจิตสงบแล้ว
    ให้เราตั้งใจมั่น นึกภาพตามไปด้วยได้ยิ่งดีครับ
    กล่าวหรือคิดว่า


    ''ด้วยอานุภาพแห่งคุณพระศรีพระรัตนตรัย
    อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์
    พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม
    พระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ลูกขอบารมีท่านทั้งหลาย
    จงมารวมตัวกันในปัจจุบัน ณ เบื้องหน้าลูกด้วยเถิด
    และขออธิษฐานบารมี บุญใดที่ลูกได้กระทำมาดีแล้วตั้งแต่ชาติต้น
    จนถึงปัจจุบันนี้ ขอบุญบารมีเหล่านั้นจงรวมตัวกัน
    เป็นหนึ่งเดียวกับบารมีธรรมแห่งท่านทั้งหลาย
    (อย่าลืมนึกภาพตามไปด้วยนะครับ เช่น นึกถึงพระรัตนตรัย
    แล้วบุญบารมีก็ให้นึกเป็นแสงสว่าง ๆ
    จากท่านพุ่งมารวมกันเป็น
    แก้วมณีใสกลมอยู่เบื้องหน้า สว่างไสวมาก ๆ )

    และขอบุญบารมีทั้งหมดนี้ จงแผ่ไปให้ไพศาล
    ทั้งอนันตจักรวาล ทั่วสากลพิภพ
    ถึงทุกดวงจิตทั่วทุกภพภูมิ ทั้ง

    พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก และอบายภูมิทั้งหมดทั้งสิ้น
    ของท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้พ้นจากทุกข์
    พ้นจากภัย พ้นจากกรรมอันเลว
    พ้นจากภพจากภูมิอันนำมาซึ่งความทุกข์
    ขอจงมีแต่ความสุข ความเจริญ
    พบพระพุทธศาสนา พบพระพุทธเจ้า
    พบครูบาอาจารย์ ที่จะแนะนำสั่งสอนให้เข้าถึงธรรมอันเป็นอนุตรธรรม
    เพื่อมุ่งสู่มรรคผล นิพพานโดยเร็ววันปัจจุบันกาลเทอญ
    ผลบุญใดที่เราทำแล้ว มีแล้ว
    ขออานิสงค์ผลบุญนี้จงเกิดแก่ทุกท่านเช่นกันเทอญ''(sing)


    อย่างนี้เป็นแบบกล่าวรวม ๆ ครับ
    หากจะมีเจาะจงให้ใครก็ เพิ่มชื่อลงไปครับ
    เพราะการแผ่เมตตา จะไปไกลแค่ไหน
    อยู่ที่กำล้งใจเราเป็นสำคัญ และเน้นให้ทั่ว ๆ ครับ
    ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือไม่เคยเกี่ยวข้องกับเราก็รับได้หมด
    หลวงพี่เล็กท่านเคยเปรียบว่า
    เหมือนเขาอยู่กลางแดดร้อน ๆ
    เราเอาร่มไปกันแดดให้เขาครับ
    ต่างจากอุทิศส่วนกุศล เพราะอันนี้เขาหิว
    เราเอาร่มไปกลาง เขาไม่หายหิวต้องเจาะจงให้
    คือเอาอาหารไปให้ เขาถึงจะหายหิว
    และอุทิศส่วนกุศล หากไม่เคยเกี่ยวข้อง
    แล้วเราไม่เจาะจง เขารับไม่ได้ครับ
    รับได้เฉพาะที่เราเจาะจงลงไป


                                          เทคนิคและหลักการสังเหตุเพิ่มเติม..by
    Nopphakan:z6:z7
                             เพียงแต่การอุทิศส่วนกุศลแบบนี้ต้อง
    ทำให้กำลังสมาธิทรงตัวก่อนนะครับ.
    .ไม่งั้นจะเหนื่อยมาก.และถ้าให้ดีต้องให้ถึงกำลังของฌาน ๑ คือ
    สังเกตุว่าเราไม่สนใจเสียงภายนอกใดๆเลยทั้งสิ้นในขณะที่กำลังจะ
    ทำการอุทิศฯ.ลิ้นกับปากไม่ควรขยับเป็นเทคนิคดึงจิตให้มีความเปฺ็นทิพย์ชั่วคราวถ้ามีการชงักในคำพูดให้เริ่มต้นใหม่
    เพราะฉนั้นควรซ้อมพูดในใจไว้ให้คล่อง
                                ให้สังเกตุดูว่าเห็น
    วงกลมเล็กขนาดเท่าหัวไม้ขีดหรือหัวเข็ม สีขาว สึน้ำเงิน
                            หรือสีเขียว ที่ดูใสๆเล็กๆบ้างไหม นอกจาก
    แสงสว่างหรือขนาดของวงกลมที่เพิ่มขึ้น

                        ขณะที่รวบบารมีของตนกับบารมีพระ
    อาจจะทำให้ท่านได้พบกับ
    เพื่อนๆที่เป็นมิตรในทางภพภูมิ
    เพิ่มมากยิ่งขี้นเผลอๆได้เพื่อนที่
    มาจากสถานที่อันไกลโพ้นก็ได้ใครจะไปรู้
                    ส่วนการเฉพาะเจาะจงก็ให้พูดคำว่า

    ''แปรสภาพบุญเป็นอะไรก็แล้วแต่ตามแต่ที่ท่านที่..เราต้องการสื่่อถึง....''
    ด้วยการตกแต่งคำพูดเข้าไปช่วงท้ายๆด้วยนะคับ..
    ใช้ได้ผลครอบคลุมดี
    โดยเฉพาะระดับสัมพะเวสี.หรือภูมิเทียบเท่าเทวดา
    .
    :z8​
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขั้นต่อมา ขั้นนี้พิเศษหน่อยครับ
    ยังไม่เคยเปิดเผยที่อื่นๆนอก
    จากที่เวปมาก่อน..
    ในขณะข้าพเจ้าที่กำลังแนะนำสมาธิใน
    เวปท่านหนึ่งอยู่แล้ว..
    ข้างบนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในอดีต
    ท่านก็ได้ทรงเมตตาลงมาแนะเทคนิคเพิ่มเติมให้..
    ซึ่งต่อเนื่องมาจาก ๒ #Rep ที่ได้แนะนำไป....
    เทคนิคที่ว่า มีดังต่อไปนี้ครับเริ่มต้น..by sailomprohmyan
    อ่านแล้วพิจารณาร่วมด้วยนะครับ..rabbit_jump.


    ก่อนจะเริ่ม รวบรวมจิตหรือกำลังใจ นึกภาพแสงสีขาว
    หรือใสสว่าง หรือแสงฉัพพรรณรังสีของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ครับ 
     เหมือนจิตเราสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
    จากรอบทิศทาง จะเป็นลำแสงลักษณะเส้น
    หรือดวงกลม ๆ ก็ได้ สว่างไสว ระยิบระยับ
    เมื่อเห็นแล้ว ให้รวบรวมแสงเหล่านั้นเข้ามาล้อมรอบกายเราไว้
    จนกระทั่ง แสงนั้นแทรกซึมเข้าในร่างกาย
    ทั้งทางผิวหนัง และทางทวารต่าง ๆ
    อันได้แก่ ตา หู จมูก ปาก และสำคัญที่สุดคือ
    เข้าให้ถึงจิตใจครับ
    จะรู้สึกสว่างไปทั้งทางกายและทางใจ ผ่องใส มีกำลัง  
    หลังจากชุ่มชื่นใจพอควร
    ก็เริ่มทำแบบที่คุณนพแนะนำเลยครับ
    พนมมือ และตามรายละเอียดนั้นต่อไป


    *****เพิ่มอีกนิดครับ*****
    ว่าจะไปนอนภาวนาพักเที่ยงสักหน่อย
    พอล้มตัวลงนอน เริ่มภาวนา พุทโธ
    ไม่ถึงสามรอบ เห้อ  จิตก็เหมือนจะคิดหรือได้ยินดังนี้:z17

    " ที่แนะนำเขาไปน่ะถูกต้องแล้ว แต่จะดีกว่านี้ต้องเพิ่มอีกหน่อยนะคุณ
    ยังไม่ครบถ้วน  คุณต้องบอกเขาด้วยว่า
    ในขณะที่จิตสบายดีแล้ว ชุ่มชื่นจิตใจแล้ว
    เริ่มแผ่เมตตานั่นน่ะ ต้องบอกเขาด้วยว่า
    ควรเข้าใจไว้ด้วยว่าในขณะนั้น
    จิตเราสุขอย่างไร อิ่มเอิบอย่างไร
    มีพลังอย่างไร เมื่อเข้าใจจุดนั้นดีแล้ว
    ก็ย่อมมีความรู้สึกว่า เราต้องการเผื่อแผ่
    แบ่งปันออกไปให้กับทุกรูปทุกนาม
    หรือแม้กระทั่งไม่มีรูป ไม่มีนามก็ตาม
    ตามที่เขาตั้งใจจะกล่าวนั่นแหละ"

    ;k07​
    "ให้เขาตั้งใจแผ่ออกไป คือแผ่ทั้งเมตตา
    บุญกุศล บารมี และแสงที่ให้เขานึกถึงก่อนจะเริ่ม
    ทั้งหมดนี้ให้แผ่ออกไปจากจิตภายใน แรก ๆ
    อาจจะนึกให้แสงที่ได้รับนั้น
    ที่รวมอยู่จุดใดจุดหนึ่งนั่นแหละ
    ให้นึกกระจายออก กว้างออก ไปรอบทั่วสารทิศ
    ไม่ว่าจะคลุมไปทั่วโลก ทั่วจักรวาล
    หรือจะทั่วภพภูมิต่าง ๆ ให้สว่างไสวไปทั้งหมด
    นึกแผ่ไปที่ใดให้สว่างที่นั่น
    เพราะจิตนั้นมีอำนาจมาก ไม่มีประมาณ
    โดยเฉพาะจิตที่เต็มไปด้วยเมตตา เต็มไปด้วยบุญกุศล
    ย่อมไปได้ทั่ว ไม่มีกำหนด ไม่มีประมาณได้
    ยิ่งแผ่ออกไป ก็จะยิ่งได้กลับเข้ามา
    เป็นอัปปมัญญาโดยแท้ เนื่องจากไม่มีประมาณ
    ไม่มีการแบ่งชั้นแบ่งวรรณะ แบ่งภพแบ่งภูมิ
    ไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่มีน้อยไม่มีมาก ไม่เสมอกัน ":z9:z11rabbit_heart;39


    เลยต้องรีบลุกมาเพิ่มเติมให้ก่อน เกรงจะเผลอลืมไปอีก 
    ปล.อนุโมทนาสาธุครับ..black_pig.

    เด่วอัพระดับตามนี้ดูก่อนครับ ที่เล่า #Rep แรก
    ผ่านมา ๓ ปีแล้วครับ ลองวางอารมย์ให้ได้ครับ
    สะสมบารมีไว้ให้กว้างๆเยอะๆไว้ก่อนครับ
    เด่วขั้นสุดท้ายที่เป็นการโปรดจะมาเล่าให้ฟัง
    เมื่อวาระและโอกาสมาถึงครับ(deejai)(smile)​
     
     
  5. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ทำใจให้ว่างไม่ไปนึกถึง จะเป็นการตัดสายใยจากเราไปภายนอก แล้วถ้าภายนอกจะเชื่อมเรา ที่แก้ไขได้คือ การขออโหสิกรรมให้ออกจากจิต แล้วตามด้วยแผ่เมตตาบวกขยันทำบุญ แล้วถ้ายังไม่ยอม ก็ให้ทำไปเรื่อยๆจนกว่าจะยอม

    " พอเจ้าหนี้จะมา ก็คิดจะหนี "

    ประโยคนี้ให้ความหมาย กับสิ่งที่เรากำลังทำรึไม่คะ ?
    ถ้าเราตัดไม่คิด ไม่สนใจ ผลของกรรมที่จะส่งกับเราจะน้อยลงรึไม่คะ ?
    แบบถ้าอีกฝ่ายความสามารถมากเกินปกติงะคะ แล้วถ้าเราไม่หนี นี่คือการก้มหน้ารับกรรมอย่างเดียวและพยายามอโหสิๆไปเรื่อยๆใช่ไหมคะ ซึ่งความพยายามนี้อาจให้ผลในชาตินี้ รึชาติหน้า รึชาติต่อไป มีตรงไหนที่ยังตกหล่นอีกไหมคะ ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 เมษายน 2015
  6. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    เวลา ใช้สมองคิดมากๆ

    อย่างที่ต้อง ให้ได้ผลลัพท์ ออกมา

    ใช้สมองคำนวญอย่างต่อเนื่อง

    (หรือเวลา โกหก ก็เป็น ทำให้ถูกจับได้ทุกครั้ง)

    หัว จะร้อนๆ เหมือน ถูกเอาไปต้ม น่ะค่ะ

    หนังตาจะหนัก แล้วจะง่วง จนต้องหลับ ไปสักแป๊บ จึงจะหายน่ะค่ะ

    สงสัยว่าคนอื่นเป็นไหม

    แล้ว บางครั้ง เวลารีบอ่านหนังสือมากๆ ต้องหาข้อมูลโดยด่วน
    จะใช้ ปลายนิ้ววาดผ่าน หนังสือที่ละหน้า ๆ แล้วจะอ่านได้ เข้าใจ ไวขึ้น มาก ๆ (วิธีนี้ไม่ร้อน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2015
  7. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ขอบคุณนะครับ ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    การตัดตัวรู้ หรือวางตัวปัญญาทางธรรมที่เข้าไปรู้ ทำอย่างไรครับ<O:p></O:p>
    คุณคงไม่ได้หมายถึง อารมณ์คนปกติที่ทำเป็นลืมๆ ไม่คิดถึงมันซะ เพราะทำแค่นี้ไม่น่าจะวางได้จริงแน่ๆ<O:p></O:p>
    คุณคงหมายถึง ต้องมีสติทางธรรมจนมีสภาวะที่จิตเข้าสู่เนื้อหาเดิมแท้ได้ คือโล่งโปร่งกว้าง เข้าสู่สภาวะว่าง(สภาวะไม่มีอะไร วางทุกอย่าง ญาณ ฌาน สติ สมาธิ ปัญญา ฯ)<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ปกติผมเข้าใจเองว่าเราจะวางตัวรู้ในขั้นที่ต้องการจะละกิเลสละเอียดหรือต้องการเจาะที่ตัวอวิชชาเลย จึงคิดว่าวางตัวรู้ทีหลังก็ได้ ดังนั้นจึงไม่สนใจว่าตอนนั้นเราได้ไปยึดติดหรือวางตัวรู้นี้ และเราก็อาจจะไม่มีความสามารถที่จะรู้ หรือไม่ได้สังเกตว่าขณะนั้นเรายึดติดหรือวางตัวรู้หรือเปล่า<O:p></O:p>
    อีกอย่างเมื่อก่อนไม่ได้เร่งรีบให้จบกิจเพราะไม่ได้อยู่ในสถานภาพสมณเพศ มีคู่ชีวิตที่ต้องดึงให้ไปในทางเดียวกัน ปัจจุบันก็ไม่ต้องห่วงเขาแล้วน่าจะไปต่อได้เองตามเหตุปัจจัย<O:p></O:p>
    การเดินทีละก้าวมันมั่นใจกว่าเพราะคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะกระโดดไกล<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คุณนพใช้วิธี อโหสิ แผ่เมตตา และ อุทิศกุศล แบบไม่เจาะจง หรือครับ<O:p></O:p>
    คือต้องการทำให้จิตเราเย็น ว่าง ปลอดโปร่ง ขณะที่ทำ เพราะการทำ อโหสิ แผ่เมตตา และ อุทิศกุศล จิตเราควรจะอยู่ในสภาวะเย็น ว่าง ปลอดโปร่ง <O:p></O:p>
    การกำหนดรู้หนอที่ลิ้นปี่ในขณะสภาวะปัจจุบันนั้นๆ จะมีผลเดียวกับการอโหสิ แผ่เมตตา และ อุทิศกุศล หรือเปล่าครับ ผมคิดว่าน่าจะวางได้เหมือนกันแต่อาจจะไม่ขยายกว้างเท่ามีการอุทิศกุศลด้วย<O:p></O:p>
     
  8. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    คุณนพแนะนำค่อนข้างเป็นขั้นแอ๊ดวานซ์ หลายอย่างคิดว่าจะมีประโยชน์ในอนาคต
    ตัวอย่างเรื่องกสิณ ผมจะบันทึกไว้ก่อนเมื่อได้ฌานสูงแล้วจะลองไปฝึกบ้าง
    ผมเป็นผู้ปฏิบัติใหม่ เริ่มต้นช้าไปหน่อย และยังไม่ได้ปฏิบัติจริงจังเพราะสร้างเงื่อนไขข้อแก้ตัวให้ตัวเองมากในตอนนี้ มีทั้งขันธมาร กิเลสมาร ปัญหาชีวิตที่ต้องการให้บรรเทาลงก่อน

    ถ้าคุณนพดูผมตอนนี้ พลังงานที่คุณว่าไม่ใช่แค่กระตุกหลอก มันแทบไม่มีเลยครับ 555
    เพราะจิตตอนนี้ทั้งยุ่งเหยิง มีแต่ความฟุ้งซ่าน เครียด เซ็ง เศร้า หงุดหงิด กิเลส กาม
    การยึดติด มีครบทุกอย่าง เพราะผมไม่ได้ปฏิบัติจริงจังมาประมาณสามปีแล้วครับ เมื่อซักสามปีก่อนได้เริ่มปฏิบัติ ในช่วงเวลาประมาณสามเดือน ปฏิบัติสามวันบ้างเจ็ดวันบ้าง
    รวมๆก็ราวสิบกว่าวัน หลังจากนั้นสามปีก็ไม่ได้ปฏิบัติจริงจังเลย ตั้งใจว่าถ้าปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ถ้าสามารถเคลียปัญหาสุขภาพและปัญหาทางโลกบรรเทาลงบ้าง ผมจะเริ่มปฏิบัติจริงจังและให้มีความต่อเนื่องสักที

    ตลอดสามปีจึงภาวนาสมถกรรมฐานตอนก่อนนอนเป็นส่วนใหญ่ ทำกลางวันบ้าง
    ก็ไม่คอยได้สมาธิหลอก เป็นพวกฝึกยาก เกิดปิติยาก อย่างมากก็ได้แค่อุปจารสมาธิช่วงสั้นๆเท่านั้น ทำตอนนอนจนหลับ บวกกับผลการปฏิบัติด้านสติสมาธิแทบไม่มี
    ดังนั้นช่วงสามปีนี้จึงไม่ได้แผ่เมตตาและอุทิศกุศลจากการทำกรรมฐาน(ตรงจุดนี้เป็นเหตุทำให้ผมไม่ได้คลายตัวรู้หรือเปล่าครับ) ไม่แน่ใจว่ามีผลเสียด้านพลังงานไหมครับ
    โดยส่วนตัวแล้ว ตัวผมเองต้องสร้างสมาธิแบบรูปแบบมาก่อนจึงอาศัยกำลังมาทำแบบต่อเนื่องประจำวันได้ เพราะผมยังมีการปฏิบัติน้อยมากอยู่และยังไม่มีการทำที่ต่อเนื่อง
    กรรมฐานที่ได้ผลสำหรับผมจะเป็นแบบกุศโลบายที่ทำให้จิตส่งออกไปที่อายตนะน้อยที่สุด ซึ่งการทำยืนหนอร่วมกับการเดินจงกรมจึงได้ผลดีกับผมในเบื้องต้นสำหรับตอนนี้
    ส่วนการภาวนาโดยอาศัยการหายใจเข้าออกยังไม่ได้ผลถึงแม้ว่าจะหายใจให้ท้องพองยุบปกติ ที่สำคัญมีปัญหาหอบหืดมาก หลอดลมตีบบ่อยไวกับสิ่งเร้าทุกสิ่ง ทำให้หายใจไม่โล่ง ไม่สุด ติด แน่น กายไม่สบายพลอยให้ใจไม่สบาย พยายามรักษามาสามปีแต่ยังไม่เป็นผลเลย ทั้งยาปฏิชีวนะ พ่นยา ยาเสริมภูมิ สมุนไพรเสริมภูมิ ตอนนี้กำลังจะลองกินสมุนไพรที่ใช้กระตุ้น Growth hormone
    แต่ตอนช่วงที่เคยอยู่ในสภาวะสงบว่างนั้น เพียงหายใจเข้าออกลึกๆ1-2ครั้งก็เกิดปิติ เป็นสมาธิได้ง่ายและเหมือนสมาธิจะรวมตัวและเกิดง่ายบริเวณตาที่สามได้ดีเป็นพิเศษ
     
  9. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าการปฏิบัติแนวสติปัฎฐานคิดว่ามีข้อดีอย่างหนึ่ง คือทุกๆอย่างจะเป็นสภาพเดียวกัน
    คือเป็นเพียงสถาวะเท่านั้น ทั้งการกิน เดิน นั่ง นอน ทำ คิด ฌาน ญาณ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งมีทั้งการเกิดและดับ ณ จุดปัจจุบันนั้นๆ เหมือนกัน
    ดังนั้นถ้าปฏิบัติถูกและวางจิตถูก (สภาวะดับ ณ จุดปัจจุบันนั้น) เมื่อจิตมีกำลังสติสมาธิ
    จิตจะอยู่ในสภาวะจิตเดิม ซึ่ง มีความสงบสุขมาก เย็น ปลอดโปร่ง ไม่มีอะไรเลย
    ยากที่จะอธิบายได้ชัดว่าเป็นอย่างไร
    แต่ในทางปฏิบัติจริงๆก็จะมีบ้างที่เราไม่ได้ปล่อยวาง มีทั้งยึดติดทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัวว่าได้ยึดติดไปแล้ว(มันเป็นเรื่องยาก นอกจากมีสัมมาสติเพื่อเข้าสู่สภาวะที่จิตเข้าสู่เนื้อหาเดิมแท้แล้ว ยังต้องอาศัยความสามารถในการสังเกตกริยาจิตที่เกี่ยวเนื่องกับจิต ณ จุดปัจจุบันนั้นๆ)

    สภาวะที่จิตเข้าสู่เนื้อหาเดิมแท้นี้ดีจริงๆ จะเกิดปัญญาละกิเลสเดิม และยังเป็นเหมือนเขื่อนกั้นกิเลสใหม่ แถมด้วยฤทธิ์อันพึงมีได้เฉพาะตน เคยทรงอยู่ในสภาวะนี้ได้5-6วันต่อเนื่อง
    จึงคิดว่าสภาวะนี้น่าจะเป็นสภาวะซึ่งเป็นวิหารธรรมที่ท่านพระอรหันต์ท่านทรงอยู่เป็นปกติตลอดเวลานั่นเอง

    ที่คุณนพมักแนะนำให้เข้าสู่สภาวะที่จิตเข้าสู่เนื้อหาเดิมแท้ คือโล่งโปร่งกว้าง
    เข้าสู่สภาวะว่าง เป็นการปฏิบัติแบบเจาะที่อวิชชาเลยใช่ไหมครับ
    ประมาณว่าผู้ปฏิบัติต้องทำจนเห็นจิตเดิม และ สังเกตกริยาจิต นามธรรมที่ห่อหุ้มจิตได้
    แล้วให้ปล่อยวาง อนัตตาทุกอย่าง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นามธรรม สติ สมาธิ ปัญญา วิบากกรรมจร จิตใต้สำนึก ฯ สะสางของเก่า ไม่ยึดติดของใหม่ เหลือแต่จิตเดิมแท้ในที่สุด

    เคยคิดจะใช้วิธีนี้ในอนาคตเหมือนกันครับ ถ้ามีเครื่องมือองค์ประกอบครบแล้ว คือต้องรอให้มีกำลังสมาธิและเกิดทิพจักษุก่อน และเมื่อสังเกตเห็นจิตเดิม และ กริยาจิต ในรูปแบบทางกายภาพหรือแบบพลังงาน ตั้งใจว่าจะใช้เพื่อการสังเกตอารมณ์ กริยาจิตของเรา เพื่อการละวางกิเลสละเอียด และเป็นเขื่อนกั้นกิเลสใหม่ในตัว

    ช่วงที่เคยปฏิบัตินั้น ผมตั้งใจเพื่อละกิเลสเป็นอันดับแรก ความสามารถพิเศษอันดับรอง
    ตอนนั้นจึงอธิษฐานไม่ให้มี ภาพ แสง สี นิมิตใดๆที่จะทำให้การปฎิบัติไม่เจริญเกิดขึ้น
    ตอนนั้นจึงไม่มีนิมิตใดที่จะเป็นเหตุให้เกิดทิพจักษุเลย มีแต่นิมิตเสียง กับการอยู่ในสภาวะว่างนานๆเท่านั้นที่เป็นองค์ประกอบให้มีของแถม
    ญาณรู้ ญาณแปดก็ยังไม่เกิดเพราะไม่ค่อยกำหนดรู้ที่ลิ้นปี่เมื่อสภาวะเกิด และ สภาวะดับเลย
    (ยังไม่มีญาณรู้นี้จึงยังไม่สามารถเข้าใจ เสียงทิพย์ กับภาษาสัตว์ เพราะเคยทำขณะสภาวะว่างแล้ว) ปฏิบัติครั้งหน้าคงต้องเพิ่มเหตุให้มีความสามารถพิเศษนี้ เผื่อว่าจะได้เข้าใจที่คุณนพอธิบายมากขึ้น

    ขอถามเป็นความรู้หน่อยครับ
    เวลาที่ เทพ มาร ผู้มีวิชา เขาต้องการตัด ญาณรู้ หรืออภิญญาของผู้อื่น เขาใช้วิธิปิดจักระที่เชื่อมข้างบนนี้หรือเปล่าครับ ถ้ากรณีโดนปิดแล้วจะนำกลับมาด้วยวิธีใด
    จักระเปิดแล้วเราไม่ต้องปิดมันอีกเลยใช่ไหมครับ
    ถ้าเปิดแล้วถูกปิดเราจะเปิดใหม่อย่างไรครับ ไม่มีความรู้เรื่องจักระ และไม่ทราบว่ามันเปิดทั้งหมดได้อย่างไร เดาว่าการทำยืนหนอของผมโดยเอาจิตผ่านตั้งแต่หน้าผากถึงปลายเท้าจะช่วยเปิดจักระที่1-6 ได้ ส่วนจักระที่7ไม่ทราบว่าเปิดได้อย่างไร

    ผมผ่าตัดลำไส้เนื่องจากอุบัติเหตุ ทำให้ลำไส้สั้นกว่าปกติ ปัจจุบันลำไส้จึงอักเสบเสมอ ประกอบกับมีผังผืดก้อนใหญ่ช่วงท้องน้อยจากการผ่าตัดรอบสองด้วยเหตุสุดวิสัยจากความรุนแรงของบาดแผล ซึ่งปัญหาทั้งสองนี้ทำให้ผมนั่งนานไม่ได้ ทำให้การนั่งสมาธิจะเจ็บเพราะมันเป็นตรงบริเวณรอยต่อท้องช่วงท้องน้อย ดังนั้นผมจึงไม่มีกำลังช่วงท้องซึ่งเป็นกำลังหลักในการใช้แรงของร่างกาย เช่นการยกของ ออกแรง มันเหมือนกับการมีลมปราณ
    ที่ท้อง น้อยมาก
    คำถามคือ อาการเจ็บตรงนี้จะเป็นเหตุให้จักระที่3-5 หรือพลังงานกระดูกสันหลังช่วงท้องถึงท้ายทอยของผมจะสะดุดไม่ไหลลื่นตามที่คุณนพบอกหรือเปล่าครับ

    ผู้ที่สำเร็จจิตธาตุ ทั้งกรณีเคยทำสำเร็จในอดีตชาติ หรือสำเร็จในชาตินี้
    แต่ยังรวมกำลังไม่สมบูรณ์ ไม่ครอบคลุม มีคาถาเฉพาะสำหรับเร่งและรวมวิชชาจิตธาตุไหมครับ แบบคาถาอภิญญา เพื่อว่าจะใช้สำหรับภาวนาประจำวันนะครับ (ยังคงเน้นเข้าจิตเดิมให้ได้นานเป็นปกติเป็นหลัก) ถ้าคุณนพรู้และครูบาอาจารย์ท่านอนุญาตช่วยส่งทางPMก็ได้ครับ
    ขอบคุณ อนุโมทนาด้วยครับ
     
  10. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ว้าว เจ๋ง อ่ะค่ะ น้องราคุ เคยได้ติดตามเรื่องของบางท่าน ที่ตนเองเชื่อถือ แม้จะแค่ติดตามทางเว้ป ทราบมาว่าท่านแค่ลูบๆ หนังสือก็รู้เรื่องในหนังสือ ทั้งหมดค่ะ ส่วนพี่ไม่ได้เรื่องซักอย่าง เมื่อวานหัวคํ่า นั่งๆสมาธิอยู่ก็ง๊วงง่วง กระโดดขึ้นเตียงนอนเลย ยั้งยังจะอุตสาห์หวังทำสมาธิต่อ กะลังจะหลุดๆ ไปฟุ้ง ได้ยินเสียงนกหวีดปรี้ดในหูเลย ก็ว่าเฮ้ยท่านใดกันมาเตือน ขอบคุณสุดๆ สักไม่เกินสิบนาทีก็เรียบร้อย หลับไปตามระเบียบ เฮ้อออ(ขอถอนจายหน่อยนะ ):eek:
     
  11. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    ถ้าลูบ เฉยๆ น้องก็อ่านไม่รู้เรื่องค่ะ
    ๕๕๕๕

    คือ ถ้าจำเป็น ต้องสรุปงาน อย่างรวดเร็ว
    แล้วมีข้อมูล หลายร้อยหน้่า

    จะอ่านไปด้วย ลูบคลำไปด้วย

    (แล้ว อ่านแต่หัวข้อค่ะ ย่อหัวข้ออักที่ ก็ครึ่งหรือ ๑ ชั่วโมง สรุปเสร็จเลย)

    เวลาเหลือ เราจะได้ ไปเที่ยวเล่นได้ มีเวลาไร้สาระต่อไป


    นี่เป็น ความขี้เกียจ เป็นพิเศษ ค่ะ ไม่ไช่ ญาณ หรือ ความสามารถพิเศษ แบบที่ พี่ลินดาฝึกอยู่นะคะ
    (แล้วยังมาโม้อีกนะ เนอะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2015
  12. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998

    เอ่อออ ราคุน้องรัก ที่พี่พูดถึงคือความสามารถของบางท่านที่ได้เคยอ่านมาจ้ะ ไม่ได้หมายถึงพี่ฝึกอะไรยังไงนะจ้ะ พี่น่ะนา ขนาดท่านพี่ระมิง มาเปิดกระทู้ นี้ ว่า ปุถุชน..คนช่างสงสัย พี่ยังโง่ขนาดว่า ไม่รู้จะสงสัยอะไรดี (เอาเข้าไป) ก็มันไม่รู้อะไร ก็เลยไม่รู้จะสงสัยยังไงง่ะ เหมือนสมัยตอนเด็กๆเป็นนักเรียน พอครูสอนจบ ชั่วโมง ถามว่า เอ้า..ใครมีอะไรสงสัย หรือมีใครจะถามอะไรมั้ยจ้ะ ก็ไม่เคยถามเลย เพราะยังมึนๆงง อยู่อ่ะ โง่ขนาดนั้นเลย (สารภาพ) นี่ก็ยัง มึนๆงงๆ กะลังจัดระเบียบ สมอง ระเบียบจิต ระเบียบใจ ลำดับความเข้าใจอยู่ แค่หวังว่า จะหายมึนงงก่อนเสียชีวิตไป นะนี่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2015
  13. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    พี่ลินดาถ่อมตน นี่คะ

    บอกมานะ นี่พี่แอบเหาะได้ โดยไม่บอกน้อง ใช่ไหมเคอะ
    น้องงอนแล้วนะคะ


    ปล. พี่มีปัญหา เดียวกะน้องเลยค่ะ

    ตอนเด็ก ผู้ใหญ่จะกดดัน เด็ก เล็กๆ(แป๋วแหวว)แบบ เราๆว่า
    เด็กฉลาดต้องช่างสงสัย ต้องช่างซักช่างถาม ค่ะ

    (มีคำกล่าวที่ว่า เด็กพูดมากฉลาด ผู้ใหญ่พูดน้อย ฉลาด )


    แล้ว น้อง ก็รู้สึกกดดัน ที่ไม่รู้จะไปถาม ไปสงสัย ยังไง ให้ดูฉลาดๆ
    ให้ แม่ปลื้มใจ ๕๕๕๕

    แม่ ก็ กังวล กลัวลูกจะโง่ พูดก็ไม่ค่อยพูด (ขี้อายค่ะ)
    ต้องให้ปู่ ที่เป็นมรรคทายก ปลุกเสกน้ำผึ้งในถ้วยต้นอ้อ กินแล้วจะได้ ฉลาดๆ (ถ้าสำลัก จะโง่ค่ะ พี่ชายดื่มแล้วสำลักค่ะ )

    ก็ยังพูดน้อย นั่งมองไปมองมา แม่เลย เอากบ ตบ(แตะๆแหล่ะ)ปาก พร้อม ว่าคาถาว่า ช่างพูดๆๆๆ
    แล้ว มีอีกตำรานึง เอาลูกไก่ จิกปากเด็ก ให้ช่างซักไซ้


    อนิจจา ทุกขาค่า อนัตตา

    เวลาครูสอน แล้วอนุญาติให้สงสัยซักถาม น้องกัดดินสอ นิ่งเลย
    ใจก็สงสาร คุณครู แต่ไม่รู้จะถามอะไร
    (ก็สงสัย สงสัยว่า คุณครูบ่นอะไรนะคะ แต่จะถาม มันก็ไม่ถูกเรื่อง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2015
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    พายุเอ๊ย! พี่ติงนี้หาความฉลาดไม่พบเลยค่ะ
    สมัยเด็กๆ ไม่ช่า่งพูด ไม่ช่างถาม ไม่ชอบเล่นกับเด็กๆวัยเดียวกัน
    กลับชอบฟังผู้ใหญ่พูดและนั่งคิดไตร่ตรองค่ะ
    จะถามก็ถามในใจ...
     
  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ตอนเด็กๆ ผมจะมองดูอยู่นิ่งๆ คิด หาเหตุผล สังเกตในสิ่งที่พวกผู้ใหญ่ทำ ?
    ผู้ใหญ่ทั้งหลาย ก็หาว่าผม ถึ่งซิม(ประมาณว่า ซื่อบื้อ) เพราะไม่ค่อยจะถามอะไร ...

    โตขึ้นมาผมก็ปรับปรุงตัว เอาสิ่งที่ผมเห็น แล้วไม่เข้าใจว่าทำไม?ถึงต้องเป็นเช่นนี้ หรือต้องทำแบบนี้?
    ผู้ใหญ่ทั้งหลาย และครูผู้สอนหนังสือ ท่านเรียกผมว่า "ไอ้มนุษย์เจ้าปัญหา"

    ต่อมาเมื่อผมคิดไม่ออกว่าสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มานี้จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
    อาจารย์ก็ด่าผมว่า"ไอ้พวกโง่" ที่ไม่รู้จักเอาวิชาความรู้(เมื่อ80ปีก่อน)ไปใช้ประโยชน์

    พอมาฝึกสมาธิ เริ่มจะมีข้อสงสัยบ้าง ก็โดนข้อหาว่า "วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย เป็นนิวรณ์ หมายถึงกิเลสอย่างหยาบ ที่ทำปัญญาให้เสื่อม" จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝึกมันไปอย่าง ผิดๆมาเป็นเวลานานแสนนาน จนกระทั่งพบว่า วิจิกิจฉา น่าจะเป็นความลังเลสงสัยในธรรมะและการปฏิบัติธรรม โดยสักแต่ว่าสงสัยแต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ซึ่งเป็นการแยกย่อยมาจากความฟุ้งซ่าน คืออุทธัจจะ กุกุจจะ คือฟุ้งซ่านและรำคาญใจ

    แต่ถ้าหากว่า ฝึกไปแล้วมีข้อสงสัยว่าที่ตนทำไปนั้น เป็นการดำเนินไปตามแนวทางมรรควิธีหรือไม่ เมื่อทำไปแล้วเกิดติดขัด ก็ต้องถามครูบาอาจารย์ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องนั้นให้การปฏิบัติลุล่วงไปได้อย่างไม่เนิ่นช้า แบบนี้ ไม่ใช่ วิจิกิจฉา...แต่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว คนที่ฟังไม่สับจับมากระเดียด คนที่ไม่มีภูมิรู้ในเรื่องนั้นไม่สามารถตอบคำถามได้แต่กลัวเสียฟอร์ม ก็จะหยิบยกคำว่า วิจิกิจฉา ขึ้นมาอ้าง ... เพื่อตัวเองจะได้หลีกเลี่ยงการตอบในสิ่งที่ตัวเองไม่มีภูมิรู้....

    เหมือนกันกับพวกที่ชอบอ้างว่า "คนดี ไม่ตีใคร" ก็เพื่อให้ตัวเองทำชั่วได้อย่างไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาตำหนิตนได้ ... ทีนี้บังเอิญ ผมไม่ใช่คนดี และไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดี ดังนั้นเวลาใครเอาครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะบรมครูที่ผมเคารพและปฏิบัติตามอยู่นี้ มาเหยียบย่ำ ด่าว่า หาผลประโยชน์เข้าตัว บิดเบือนคำสอน ฯลฯ แบบนี้ผมตีไม่ยั้งครับ วิบากก็รู้ครับว่าวิบาก ... แต่ถ้าไม่ปกป้อง พระศาสนาและพระธรรมคำสอนเอาไว้ ปล่อยให้ถูกทำลายโดยนิ่งดูดาย ภายภาคหน้าจะไม่เหลือความดีใดๆปรากฎอยู่บนแผ่นดินนี้อีก...

    ว่าแล้วก็สงสัยกันต่อไปนะครับ...สงสัยแบบไหนเป็นวิจิกิจฉา...สงสัยแบบไหนเป็นไปเพื่อเพิ่มพูนปัญญา...ก็คงพอจะมีแนวทางในการพิจารณากันบ้างแล้วนะครับ
     
  16. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    อ่านโพสต์ของพี่ระมิงค์แล้วหิวข้าวค่ะ
     
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ม่ายเกี่ยวกะพี่เลยนะ...ติงมีปัญหาต่อมอิ่มไม่ทำงานตะหากล่ะ
    ต้องหาทางรักษาอย่างเร่งด่วนซะแล้วนะ:p
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    มาหละถึงคิวผมมาบ่นเหมือน ป๋ามิงค์บ้าง เหมือนคนอื่นๆบ้าง เอ้ย!! บ่แม่นๆๆ
    มาเล่าให้ฟังบ้างครับ...
    หลังจากที่ได้ไปจัดระเบียบกระดูกสันหลังมาแล้วทำให้ไม่ต้อง
    กังวลว่าจะขาเรียบไปข้างหนึ่งและจะเป็นอัมพาตครึงซีกในอนาคต
    และจัดกระดูกหัวไหล่ที่ไม่เท่ากันมาแล้วทำให้ตอนนี้อกฝายไหล่ผึ่ง
    ตามธรรมชาติแล้ว. และจัดระบบกระดูก
    ตามร่างกายส่วนอื่นๆเป็นปกติแล้ว
    และปรับธาตุไฟในตัวเรียบร้อยแล้ว
    ทำให้เริ่มคุ้นเคยพวกธาตุไฟดีขึ้น...

    ก็ได้พบหลักอย่างหนึ่งในการฝึกจาก
    ท่านที่ทำให้..ท่านบอกว่าตัวข้าพเจ้านั่น
    กำลังจิตใช้งานมันยังพื้นๆ..เพราะว่ามันใช้
    เวลานานไป (ตอนแรกเราก็ว่าเราเท่ห์พอตัวแล้วนะ
    อุตสาห์ทำให้มันเป็นอัตโนมัติได้ เอามาโม้ให้ป๋ามิงค์ ฟังถึง
    หลักการตั้งเยอะแยะแล้วนะ ๕๕๕) อ่อๆ แต่ที่โม้ๆ เป็นการใช้
    งานในโหมดใช้กำลังสมาธิพื้นฐานไม่มากนะครับ บอกไว้ก่อน..

    ท่านอาจารย์ว่า เหตุทำกำลังสมาธิมันไม่ถึงขั้นที่เหมือนๆหนังจีน
    หรือเป็นอิทธิฤิทธิ์ได้ เพราะว่ากำลังบุญของข้าพเจ้าไม่มี(เอ๊ะ!!
    ยังไงว๊าาา ทำบุญตักบารต สัปดาห์ละ ๒ ครั้งมาเกือบ ๒๐ ปี
    ทำบุญอย่างอื่นๆก็เยอะแล้วน๊า)....

    แต่ที่ไหนได้ พอดูการทำบุญของท่านอาจารย์แล้ว โอ้โห้ หลายรายการมาก
    มีแต่ร่วมสร้างสิ่งปลูกสร้างเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาไม่รู้กี่ที่..
    ยังไม่รวมทำบุญโน่นนี่อีกตั้งหลายที่ เราก็งงว่ารายรับ อาจารย์วันละหลายหมื่นบาท
    แต่ทำไมตัวบ้านหรือสถานที่รักษาคนยังดูธรรมดาๆ ที่แท้ก็หมดไปกับการ
    ทำบุญช่วยเหลือศาสนาและช่วยคนอื่นๆนี่เอง....


    หลังจากได้มีโอกาส
    นั่งทานส้มตำ ข้าวเหนียว แอนต้มยำไก่บ้านหนังเหนี๋ยวๆ กับอาจารย์
    ท่านก็บอกว่า การจะฝึกเรื่องพวกนี้ เรื่องบุญที่เราอุทิศให้ส่วนภพภูมินั่นมี
    ความสำคัญมาก นอกจากการฝึกฝน....โดยก่อนที่เราจะนั่งสมาธินั่น
    การขอขมากรรมเป็นเรื่องสำคัญมากๆ และการปิดบุญประจำวัน ประจำสัปดาห์
    ประจำเดือน ประจำ ๓ เดือน ประจำ ปี เพื่อปิดกรรมก็สำคัญ..
    และก่อนนั่ง การอัญเชิญ ภพภูมิภาคส่วนต่างๆ ตลอดจนบิดามารดา
    ก็สำคัญเป็นสิ่งช่วยหนุนให้เข้าถึงความสำเร็จทั้งนั้น....
    ที่สำคัญที่เราไม่มีบุญเพราะว่า พอเราทำอะไรมา เราก็มีแต่ให้เค้าหมดก่อน
    เราขาดการอฐิษฐานให้ผลบุญสำเร็จแก่ตัวเองก่อน หลังจากตัวเองสำเร็จแล้ว
    จึงค่อยให้ฝ่ายภพภูมิ ก็เปรียบเสมือนเราได้ตังค์มาตอนนั้นแต่ไม่ได้เก็บ
    เพื่อเป็นทุนใช้จ่ายสำหรับเราสำหรับส่งเสริมสมาธิ
    พอมีคนมาขอเราก็ให้อย่างเดียว
    พอเราจะใช้ก็เลยติดขัด ท่านว่ามาอย่างนี้นะครับ....

    นี้คือทั่วๆไป แต่การขอขมากรรม หรือ ก่อนนั่งนั้น..
    หรือวิธีการต่างๆ ส่วนตัวได้หนังสือมาแล้วหละครับ
    เด่วจะมาเล่าให้ฟังภายหลังครับ..และเทคนิคการหายใจเพื่อเพิ่มกำลังจิต
    และเพื่อเคลียร์ปอด เทคนิคการนั่งต่อได้กรณีเป็นตะคริวได้มาแล้ว
    อย่างหลังสุดการเคลียร์ตะคริวลองทำแล้ว แต่อย่างอื่นยังไม่ได้ลอง
    เพราะยังระบมหลังอยู่ จะมาเล่าให้ทีหลังครับ...

    ปล.ที่เล่ามาทั้งหมด หมายถึงในส่วนสำหรับการฝึกสมาธินะครับ..
     
  19. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924


    สาธุครับ อ่านไปขนลุกไป
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ท่านบอกว่าตัวข้าพเจ้านั่น
    กำลังจิตใช้งานมันยังพื้นๆ..เพราะว่ามันใช้
    เวลานานไป (ตอนแรกเราก็ว่าเราเท่ห์พอตัวแล้วนะ
    อุตสาห์ทำให้มันเป็นอัตโนมัติได้ เอามาโม้ให้ป๋ามิงค์ ฟังถึง
    หลักการตั้งเยอะแยะแล้วนะ ๕๕๕) อ่อๆ แต่ที่โม้ๆ เป็นการใช้
    งานในโหมดใช้กำลังสมาธิพื้นฐานไม่มากนะครับ บอกไว้ก่อน..


    อย่าคิดมากเลยครับ...
    ภาษีจีนมีกล่าวไว้ว่า...
    "เหนือฟ้า ยังมีฟ้า....
    เหนือกระดาษ ยังมีซาลาเปา..."
     

แชร์หน้านี้

Loading...