สวดมนต์ สามารถทำให้เกิดสมาธิ จนถึงขั้นได้ฌาณได้มั้ย?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย roentgen, 29 เมษายน 2015.

  1. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    สวดมนต์ สามารถทำให้เกิดสมาธิ จนถึงขั้นได้ฌาณได้มั้ย?
    บางที่บอกว่าได้ บางที่บอกว่าไม่ได้
    อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้ได้ถึงระดับฌาณ?
    อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้ไม่ถึงระดับฌาณ?
    มีพระพุทธพจน์ พระสูตร หรือหมวดธรรมใด ๆ มารองรับได้บ้าง?
    จัดเข้าในหมวดกรรมฐานในข้อใดได้บ้าง?
     
  2. ท่าซุง

    ท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +11
    เอาบทสวดมาเป็นคำภาวนา ก็ สามารถทำสมาธิถึงฌานได้
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปฐมฌาน ได้

    อย่าว่าแต่สวดมนต์เลย อ่านหนังสือ อ่านตำรา อ่านพระไตรปิฏก อ่านๆอยู่ จิตนิ่ง จิตสงบ สงบจากนิวรณ์5 ก็เข้า ฌาน ปฐมฌานได้เหมือนกัน
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ตอบข้ออื่นๆ สั้นๆ ก็ วิตก วิจาร อารมณ์ในปฐมฌาน ไงครับ

    แล้วมีพระสูตร บทไหน ห้ามหรือป่าวละครับ ลองกลับไปย้อนคำถามตัวเองดู ก็จะรู้เองนะ


    จะสวดอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจิตเป็นสมาธิ เป็น ฌาน ทรงฌานอยู่ก็สวดได้เหมือนคนปรกตินั้นละครับ


    หรือ ก่อนสวด ไม่ได้เข้าสมาธิอยู่ แต่ พอสวดมนต์ไป จิตสงบ สงบจากนิวรณ์5 ก็เข้าฌาน เข้าสมาธิได้ระหว่างสวดมนต์ ได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2015
  5. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    สวดมนต์
    มีเสียงสวดมนต์ เป็นอารมณ์ ถูกมั้ย?
    เมื่อสวดมนต์จนชำนาญ คล่องแคล่ว จดจำบทสวดมนต์ได้
    จิตยกขึ้นสู่อารมณ์ (วิตก) มีการพิจารณาเสียงสวดมนต์ (วิจารณ์)
    ผู้สวดมีความชอบในการสวดมนต์ เกิดปีตี สุข แล้วจิตก็เข้าสู่เอกัคคัตตารมณ์? ถูกมั้ย?
    แบบนี้ก็ครบองค์ฌาณ ฌาณก็ย่อมเกิดได้ขณะสวดมนต์ ถูกมั้ย?

    เพราะในอภิธรรมมีการกล่าวถึงว่า
    "เอกัคคตาเจตสิก คือการตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
    อวิกฺเขปลกฺขณา มีการไม่ฟุ้งซ่าน เป็นลักษณะ
    สหชาตานํ สมฺปิณฺฑนรสา มีการรวบรวมสหชาตธรรม เป็นกิจ
    อุปสมปจฺจุปฏฺฐานา มีความสงบ เป็นผล
    สุขปทฏฺฐานา มีสุขเวทนา เป็นเหตุใกล้"
    เมื่อผู้สวดมีสุขกับการสวดก็ย่อมเกิดสมาธิจิตได้ ถูกมั้ย?

    บทสวดมนต์ โดยบทที่เป็นบทสรรเสริญคุณพระพุทธฯ จัดเข้าใน พุทธานุสสติได้ใช่มั้ย?
    บทสวดมนต์ โดยบทที่เป็นบทสรรเสริญคุณพระธรรม หรือบทสาธยายพระสูตร บทที่เป็นธรรมะ จัดเข้าใน ธัมมานุสสติได้ใช่มั้ย?
    บทสวดมนต์ โดยบทที่เป็นบทสรรเสิญคุณพระสงฆ์ จัดเข้าใน สังฆานุสสติได้ใช่มั้ย?

    คือ เรื่องของเรื่อง มีคนแย้งว่าเป็นไปไม่ได้ที่การสวดมนต์จะให้ผลสำเร็จถึงขั้นฌาณ อัปณาสมาธิ โดยอ้างว่า เสียงสวดมนต์มันยาว มันเปลี่ยนแปลงตลอด (ทั้ง ๆ ที่ทำนองการสวดออกจะคงที่ ไม่ได้หวือหวาเหมือนกับดนตรี)
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ................ผมว่าเร่องนี้ แล้ว แต่จริตแหละครับ จริตใครจริตมัน คงจะเอามาเป็นมาตรฐานไม่น่าจะได้นะครับ ว่าใครทำอะไรได้อะไร...เคยมีผู้ยก เรื่อง ภิกษุที่เป็น เอกัคทะ ทางด้านต่างต่าง...บางคนบรรลุเร็ว บางคนบรรลุช้า บางคนบรรลุด้วยวิธีไม่ธรรมดา บางคนนั่งดูดอกบัว บางท่านลูบผ้าขาว...บางท่านได้คำแนะนำจากเณรน้อย...มันเป้นอย่างนี้แหละ:cool:
     
  7. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ได้ครับ โดนส่วนตัว ผมเคยหลับตาๆสวดมนต์ๆไป แล้วรู้สึกเหมือนตัวพองใหญ่ขึ้น

    ถ้าเทียบเคียงก็น่าจะเป็น อุปจารสมาธิ ซึ่งใกล้จะถึง ปฐมฌาน
    เท่าที่อ่านดู อุปจาร กับ ปฐมฌาน ต่างกันที่ตรง ปฐมฌาน มี เอกัคคตารมณ์
     
  8. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    อ่า ใช่ ๆ บอกไปแบบนี้เหมือนกันว่า แล้วแต่คนชอบ ไม่ชอบ จริต นิสัยต่างกัน บางคนไม่ชอบท่องบนอะไรยาว ๆ นาน ๆ ก็ไม่เหมาะที่จะทำ ทำแล้วไม่เกิดผลสำเร็จ ไม่เกิดฌาณได้ แต่คนแย้ง มันก็ยังจะแย้งหัวชนฝาว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ทำเหมือนความคิดตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักวาลเลยแบบนั้น พูดอะไรไปก็ค้าน แย้งหมด จัดเข้าในหมวดอนุสสติให้ดู ก็ยังมีการบอกว่า จัดเข้าไม่ได้ กรรมฐานมีแค่ 40 เพลียมากเลย เจอแบบนี้มา
     
  9. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    เป็นป้าของตัวเองนี้ล่ะ แกจะสวดมนต์ ตั้งแต่สาวๆ สวดทุกวันไม่นั่งสมาธิในรูปแบบ
    แต่เวลาแกสวดมนต์ แกบอกว่าแกไม่คิดอะไร นอกจากท่องมนนต์ คงมีแว๊บบ้าง
    ก่อนแกจะเสียไปไม่นานนะ แกนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ แกเล่าว่า แกหลุดออกมาเห็นตัวเองนอนตะแคงอยู่ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าตัวเองหรอกขนาดเห็นหน้าตาชัดๆ แกก็บอกว่าจำตัวเองไม่ได้ นึกว่าใครมานอนด้วย แกเล่าว่า สักพักถึงได้รู้ว่าเป็นตัวเอง แล้วป้าก็เริ่มร้องไห้ว่าตัวเองตายไปแล้วเหรอ พออยากจะกลับเข้าร่างป้าบอกว่า ไม่อยากเพราะว่า ร่างที่รู้สึกได้ มันเบาสบายกว่าตั้งเยอะ ไม่มีรูปร่างมีแค่ความรู้สึก แต่ร่างที่นอนอยู่ไม่น่ากลับเข้าใหม่ เพราะมันน่าเกลียดมีเส้นเลือด มีเลือด คือมันมองทะลุผ่านได้หมด มองแล้วมันสกปรกมาก ตอนที่แกจะกลับเข้าร่างนี้ แกรู้สึกเหมือนถูกดูดอย่างแรง แล้วก็ตื่น ตื่นมาเล่าให้ทุกคนฟัง อีกราวๆ 3 เดือนแกก็เสีย เพราะแกบอกทุกวันว่าไม่อยากอยู่ร่างกายมันสกปรก แกก็นั่งสวดมนต์จากนั้นมาตลอด แล้วก็๋จากไปแบบสงบๆ
     
  10. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    การเข้าฌานเป็นเรื่องของสมถะภาวนา การสวดมนต์เข้าปฐมฌานได้ แต่การอ่านไปด้วยสวดไปด้วย จะเข้าปฐมฌานไม่ได้ เพราะมีสภาวะใช้ความคิดมาก หนึ่งต้องอ่านและแปล สองต้องออกเสียง หรือแม้แต่ท่องในใจก็ย่อมใช้ความคิดสัมพันธ์กับการอ่าน มันจะแตกต่างจากการสวดแบบจดจำได้คล่อง สวดแบบอัตโนมัติ ซึ่งจิตจะนิ่งได้มากกว่า

    แต่ไม่ว่าจะแบบไหน เพราะยังมีคำภาวนา มีคำสวด ไปได้มากสุดแค่ปฐมฌาน ตั้งแต่ทุติยฌานเป็นเรื่องของผู้ที่ดับคำภาวนาแล้ว เลิกใช้ความคิดแล้วจมอยู่กับอาการต่างๆ

    **หลับตาแล้วสวดมนต์ในใจได้ผลดีที่สุด ( ในระดับของการสวดมนต์ )**
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มันอยู่ที่ สวดมนต์ เป็นหรือเปล่า

    ถ้า สวดไม่เป็น เวลาสวดมนต์ จะส่งเสียง แจ้วๆ อันนี้ ต้องจัดว่า สวดไม่เป็น
    เรียกอีกอย่างว่า " ส่งสวด " หรือ " สวดส่งเดช " ไปอย่างงั้นๆ


    คนที่ สวดเป็น จะใช้ ใจน้อมนึก แสนคำกถา จะสวดเสร็จทั้งหมดภายใน ขณะจิตเดียว

    เพราะอะไร

    เพราะ " มนตรา " ชื่อ มันบอกโต้งๆ อยู่แล้วว่า ใจ ตรา เขียนแบบไทย เอาหลัง
    กลับมาหน้าจะได้ " ตรา-ใจ " คือ ตราตรึงเอาไว้ด้วยใจ

    สวดแสนคำกถา ภายในหนึ่ง ขณะใจ ปั๊ป ปิติ เกิด

    ปิติ เป็น สิ่งที่ไม่ได้เกิดจากการสั่นของเส้นเสียง ไม่สามารถเกิดได้ด้วยการคิด

    ปิติ จึงเป็น องค์ธรรม ที่ปราศจาก กามราคะสัญญาในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

    แต่มันเป็น " ธรรมารมณ์ " ดังนั้น ยังถือว่ามี " กามฉันทะ " ทำให้เวลาเจอ
    ปิติ ก็อาจจะไป โน้น ตัวกูใหญ่ ตัวกูลอย ตัวกูกำตะกรุด ตัวกูเหมือนสมเด็จเล็ก
    อุปทานแดกกระบานกันไป จนกว่าจะ เออแนะ มันไม่เที่ยง ข้าม ปิติ ได้ก็จะไป
    เห็น สุข หรือ ปัสสัทธิ แล้วแต่จะยก สมถะ40กอง หรือว่า หันเข้า วิปัสสนาเจริญสติปัญญา

    ปิติ จึงเป็น ธรรมที่ไม่มีเสียงเสียดแทง หากข้ามได้ ก็เริ่มขึ้น ทุติยฌาณ ตติยฌาณ

    สวดเก่งๆ จะเงียบกริ๊บ ไม่ส่งเสียงแม้นภายในใจ เพียงแค่ระลึก มนตรา สิ่งที่ ตราใจ
    ก็ทำให้ ปิติ เกิดยุ๊บยั๊บ ข้ามปิติได้ก็ได้ สุข ได้ เอกัคคตา

    ดังนั้น


    สวดเป็นหรือเปล่า


    สวดไม่เป็น เอาเสียงเสียดแทง แม้ม ร่ำไป ใช้ใจไม่เป็น อย่ามาเฮีย!! อวดว่ามี ฌาณ


    คนที่ไม่คล่องในการสวด ก็จะ บริกรรม หมุมหมิบ พอให้ตูดขมิบ ทวารเปิด พอแก่การระลึกได้ใน
    มนตรา บ่อกสิณสัญญา อันนี้ก็อนุโลม มีปากขมุบขมุม ตูด(ทวาร)ขยุกขยิก
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ทำไมจะเข้า เข้าปฐมฌานไม่ได้ ลองกับไปหาอ่านคำเทศน์สอนครูบาอาจารย์บ้างนะ

    ตัวเองทำไม่ได้ไม่รู้ไม่เห็น ก็อย่าคิดว่า เป็นไปไม่ได้นะครับ

    ไม่งั้น คงทรงฌาน จะทรงฌาน เข้าฌานในชีวิตประจำวันได้ไง คิดบ้างนะ

    อย่าว่าแต่อ่านหนังสือเลย จะขับรถ ขับมอไซ หรือจะทำอะไร ก็ทรงฌาน ปฐมฌานได้หมด ทำสมาธิ เข้าฌาน ได้ครับ
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [​IMG] <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="471"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="471"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> “พีท ทองเจือ” กับมหัศจรรย์แห่งชีวิต ขับรถจนเกิดเป็นสมาธิ ศึกษาและพัฒนาจนกลายเป็นพลังจิตรักษาโรค เผยตระเวนตอนรักษาตามหมู่บ้านต่างๆ มาแล้วหลายปีไม่คิดเงิน

    พูดถึง “พีท ทองเจือ” หลายคนจะรู้จักว่าเป็นอดีต พระเอกชื่อดัง เป็นนักแข่งรถมืออาชีพ ที่ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใคร เป็นคนในวงการที่ไม่ชอบทำตัวเป็นข่าว แต่อีกด้านหนึ่งที่น้อยคนนักจะรู้จักนั่นก็คือ เจ้าตัวมีความสามารถพิเศษที่สามารถใช้ “พลังจิตรักษาโรค” ได้ โดยสิ่งนี้เริ่มต้นขึ้นจากการแข่งรถจนเกิดสมาธิจิตนิ่งเห็นร่างตัวเอง ต่อมาจึงศึกษาและสามารถใช้พลังงานนั้นรักษาคนป่วยได้ โดยซุ่มเงียบทำมาหลายปีแล้วไม่คิดเงินค่ารักษาแม้แต่บาทเดียว อะไรเป็นจุดพลิกผันให้เขาสนใจศาสตร์นี้ ศาสตร์นี้คืออะไร แล้วมันรักษาโรคได้จริงหรือ? พีทมีคำตอบให้ทั้งหมด

    รู้จักการรักษาคนป่วยด้วยพลังจิต ซึ่งเขาเรียกมันว่า “แพทย์แผนอนาคต”
    “จริงๆ ผมทำมาหลายปีแล้ว สิ่งที่ผมทำอยู่เขาเรียกกันว่าเป็นแพทย์แผนอนาคต โดยวิธีใช้สภาวะจิตไปรักษาโรคต่างๆ มันเริ่มจากผมมีพื้นฐานคือเป็นคนที่ใช้ชีวิตปล่อยวางและไม่ยึดติดกับภาวะใดๆ ทั้งสิ้น แล้วผมพยายามตัดขาดจากการปรุงแต่ง ทางด้านความคิดและความรู้สึก เพราะว่ามันจะเป็นที่มาของความวุ่นวายในชีวิตต่างๆ พอเราเริ่มปฏิบัติ เริ่มเข้าใจลักษณะวิธีการใช้ชีวิตแบบนี้ก็คือปล่อยวาง หรือที่เรียกอีกอย่างคือการยกระดับจิต พอเราไม่ยึดติดกับอะไร เราก็เริ่มเห็นหนทางที่มันสะอาดสดใสและบริสุทธิ์ในการดำรงชีวิต เพราะเราไม่มีอะไรมาแปดเปื้อนมาก พอคุณวาง ไม่ยึดติด และเช็คความว่างได้ แล้วถ้าคุณเป็นคนที่ถูกเลือกแล้วก็อาจจะทำอย่างที่ผมทำ ก็คือลักษณะแพทย์แผนอนาคตนี้ได้”

    อัศจรรย์สุดๆ ค้นพบว่าตัวเองถอดจิตได้ตอนแข่งรถ
    “ผมเจอสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ตอนผมขับรถแข่ง คือแข่งยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ ทุกอย่างในตัวเรามันเหมือนยิ่งช้าลง เงียบและสงบ จุดพลิกสำคัญที่รู้ว่าตัวเองทำได้เมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว ขณะกำลังขับรถอยู่ แล้วเราก็เริ่มเห็น คือปกติขับก็ต้องมองทางใช่ไหมครับ ถึงโค้งเราก็เลี้ยว พอจะหยุดก็เบรก นั่นคือสิ่งที่มนุษย์เราทำปกติ แต่สิ่งที่เห็นก็คือเริ่มเห็นภาพมือกับขาเริ่มทำงานเอง ภาพมันก็เริ่มชัด เริ่มจะเห็น ผมก็เริ่มถอยมาแล้วก็เห็นเป็นภาพตัวเองกำลังขับ (เหมือนการถอดจิตใช่ไหม?) ครับก็คือลักษณะนั้น เขาจะเรียกว่าซ้อนขันธ์ เหมือนคนที่ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิเยอะๆ เขาจะเห็นร่างตัวเองนั่ง แล้วก็เขาก็จะเห็นลูกแก้วอะไรประมาณนั้น”

    “แรกๆ ก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงเห็นแบบนั้น ก็เลยไปปรึกษาพระ ปรึกษาผู้ที่ปฏิบัติธรรม เขาก็บอกว่าเป็นการซ้อนขันธ์ ก็คือเหมือนเราเข้าไปถึงจุดๆ นึงที่เราเข้าถึงสมาธิไปอีกระดับ ผมเห็นอย่างอื่นและรู้สึกถึงอย่างอื่นมากกว่าปกติ หลังจากนั้นก็เลยเริ่มศึกษาอย่างชัดเจนว่าอะไรยังไง ทำไมคนถึงซ้อนขันธ์ หลายๆ คนต้องใช้เวลานานมาก ต้องใช้เวลาปฏิบัติธรรมนานมาก ต้องนั่งสมาธิภาวนาเยอะมาก เพื่อที่จะมาถึงจุดๆ นี้ แต่ว่าผมขับรถมานาน จนเหมือนกันว่ามันเป็นความเคยชิน จนกระทั่งมันพัฒนาไปเป็นการซ้อนขันธ์ พอเริ่มเห็นอย่างนั้นบ่อย ผมก็เริ่มเอามาใช้ในการดำรงชีวิตแบบอื่น ก็คือแทนที่เราจะมาเป็นทาสของร่างกายเรา ก็เอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า”

    ใช้พลังจักวาลรักษา ไม่ใช่ไสยศาสตร์
    “ที่ผมทำก็คือการซ้อนขันธ์ อธิบายให้เห็นภาพก็คือ ถ้าเรารักษาคน พอเขามานั่งตรงตรงหน้า ผมก็จะซ้อนออกมาดูตัวเอง แล้วก็คิดว่าถ้าใครที่เป็นพลังงานดีมาจากที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าทำบุญหรือร่วมบุญกันมา ก็ขอให้ช่วยบุคคลนี้ ก็คือทำใจให้สงบเหมือนถอดความรู้สึกออกไปจากตัวเรา วิธีการก็คือเราก็จะใช้ร่างเราเนี่ยเป็นตัวกลางที่ผ่านพลังงานที่ดีมา จากร่างกายเรา แล้วก็ออกไปหาผู้ป่วย พอทำเสร็จ ก็ให้ปล่อยวางไป แล้วเดี๋ยวข้างบนเขาจะส่งทุกๆ อย่างลงมาช่วย ข้างบนที่ผมหมายถึง ผมว่าน่าจะเป็นพลังงานบางอย่าง เมื่อก่อนนี้เขาจะเรียกว่าพลังงานจักรวาล เคยได้ยินไหมที่เขารักษาคน นั่นแหละคือลักษณะเดียวกัน แล้วก็แค่เพ่งสมมติว่าเจ็บข้อมือ ผมก็จะเพ่งไปที่ข้อมือ ส่วนมากที่เจอเขาก็จะร้อนวูบ ชา จากนั้นอาการก็จะดีขึ้น แล้วตอน ที่ทำผมจะไม่คิดในลักษณะว่าจงให้เขาหายเจ็บ เพราะถ้าพยายามแล้วมันจะทำไม่ได้ มันจะไม่มีเอฟเฟกต์ เราแค่ทำใจให้สงบ เวลาที่ใจสงบ ถ้าเป็นตัวผม จิตมันก็จะแยกออกมาจากตัวของเราเอง แล้วเขาก็จะทำงานเอง”

    สมมติเขาหายใจไม่ค่อยคล่อง เราก็จะทำตัวเองให้สงบๆ นิ่งๆ แล้วแค่เพ่งความรู้สึกไปที่ตัว มันก็จะมีความรู้สึกเองว่า ตรงนี้เส้นเลือด ตรงนี้ที่หัวใจข้างบนมันมีการอุดตัน เราก็แค่รู้สึกว่ามันไม่คล่อง เราก็แค่พยายามให้ความรู้สึก พยายามไล่ให้เส้นเลือดพวกนั้นมันหายตีบ แล้วก็แค่นั้น เขาก็รู้สึกโล่งขึ้นหายใจคล่องขึ้ นี่เป็นตัวอย่าง ก็มีคนถามว่าเขาหายได้ยังไง เราก็บอกว่าไม่รู้ เมื่อกี้เราแค่ปล่อยผ่านความรู้สึกว่าเขาหายใจไม่คล่องออกไปผ่านจุดที่เขา เป็นเฉยๆ แต่มันทำได้ แต่อย่างพวกแผลไม่ใช่ทำแล้วหายปุ๊บเลยนะครับ แต่แผลมันยุบลงไป แผลมันจะค่อยๆ สมาน หรือว่าข้างในอย่างพวกตับ ไต ไส้ พุง อะไรทั้งหลายในร่างกาย”

    “ไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่คล้ายๆ เป็นพลังงานจักรวาล สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ได้เข้าใจและพิสูจน์เองมันก็จะค่อนข้างเข้าใจยาก ผมไม่มีองค์ ไม่ได้เล่นของ พระก็ไม่ห้อย ไม่ได้มีกุมารทอง หรืออะไรใดๆ ทั้ง สิ้นจริงๆ มีรายการทีวีมาเชิญไปออกเยอะนะ รายการตีสิบก็เชิญไป แต่ว่าผมไม่ได้อยากทำตัวเด่น คือเราตั้งใจทำแบบบ้านๆ ช่วยคนพื้นๆ ดีกว่า การรักษาลักษณะนี้ผมคิดว่าอาจจำเป็นในอนาคต หลายคนลืมในเรื่องของภัยพิบัติในธรรมชาติ โดยเฉพาะภัยพิบัติในสังคมและจิตใจ ซึ่งภัยพิบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ประเด็นก็คือถ้าเกิดภัยพิบัติเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้นมา ทั้งหมอกับโรงพยาบาลอาจจะไม่เพียงพอในการรักษา เพราะว่าในบางจุดอาจมีแค่โรงพยาบาลเดียว แต่คนเจ็บอาจจะมีเป็นร้อยเป็นพัน เพราะฉะนั้นมันจะต้องมีการรักษาในลักษณะที่ ถ้าจะกินสมุนไพรอะไรพวกนี้ก็อาจจะรักษาไม่ทัน”

    รักษาให้ฟรี การันตีหายทุกโรค
    “รักษาได้หมดทุกอย่างครับ ทุกชนิด แต่ว่าคือพื้นฐานของลักษณะของผู้ที่ถูกเรารักษาเนี่ย เค้าก็จะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเราระดับนึงด้วย ตอนแรกเราก็ไม่ได้มั่นใจ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าเราสามารถทำอะไร ไม่เคยคิด จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยคิดว่าทำได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เคยทำก็คือ เรา ก็ไปทดสอบนะครับ เราก็ไปตามหมู่บ้านต่างจังหวัด แล้วก็ไปอยู่ที่ศาลาวัด แล้วก็เชิญคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่สบายมารักษา มันก็ได้ผลดี แล้วก็ได้ผลเร็วครับ ยังไม่เคยมีเคสไหนที่ไม่ประสบผลสำเร็จ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมทำมาหลายปีหลายๆ ที่บางที่เขาก็อยากให้ไปก็จะส่งรถตู้มารับ เพราะว่าทำแล้วได้ผล บางที่ไม่ได้นอนเลย 2-3 คืน ก็คืออยู่ที่หมู่บ้าน คนที่หมู่บ้านก็จะออกมารักษากัน มานั่งต่อแถวกัน ผมไม่เคยคิดเงินนะครับ ช่วยจริงๆ”

    เคยมีระดับด็อกเตอร์มาลองวิชา เจอของจริงถึงกับหงายเงิบกลับไป
    “ผมโดนลองวิชาหลายทีเหมือนกัน อย่างเคสนึงน่าจะปลายปีที่แล้ว เป็นรอง ศ.ดร.จากโรงพยาบาลรามาธิบดี ท่านก็เป็นผู้หญิง ท่านก็บอกว่ามารักษาให้ฉันหน่อย ท่านก็บอกว่าฉันไม่บอกเธอนะว่าฉันเป็นอะไร ก็คืออยากจะรู้ว่าผมจะทำอะไร แล้วผมก็ไปนั่งแล้วก็นึกถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เราเคารพนับถือแล้วก็ สิ่งที่ช่วยเราทั้งแบบที่เรามองเห็นและมองไม่เห็น ก็คือขอพลังงาน แล้วก็แค่หลับตาแล้วก็เพ่งเล็งไปที่ตัวท่าน ก็รู้ว่าเหมือนแถวข้างบนร่างกายทำงานติดๆ ขัดๆ ผมก็ใช้วิธีสแกนก่อน สิ่ง ที่ได้ยินนี่ไม่ได้มีคนพูด แต่มันมีความรู้สึกขึ้นมาว่า หัวใจ ผมก็เลยบอกว่า หัวใจครับ เค้าก็ตกใจ บอกว่าป้าผ่าหัวใจมา 3 รอบแล้ว แล้ว มันก็ยังทำงานไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้ก็ร่างกายจะอ่อนเพลียเร็วแล้วก็ไม่มีแรง ผมก็แค่เพ่งอีกทีนึงแล้วก็บอกว่าระบบต่างๆ ที่มันทำงานไม่สัมพันธ์กัน ก็อยู่ในร่างเดียวกันทำงานร่วมกันดีกว่า อย่าแยกกันทำงาน เพราะว่าเจ้าของร่างเขาอยู่ค่อนข้างยาก ก็คิดลักษณะเชิงบวกแบบนี้แหละ เสร็จแล้วแกก็สูดลมหายใจลึกๆ ก็โล่ง ก็ดีขึ้น”

    เชื่อคนที่ทำแบบนี้ได้คงสร้างบุญกุศลมา เพราะไม่ใช่จะทำได้ทุกคน
    “ผมว่ามันก็ต้องเป็นอะไรสักอย่างนึงนั่นแหละ ไม่งั้นคนทุกคนก็คงทำได้ ส่วนมากคนก็จะแปลกใจเพราะว่ามันได้ผล ผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันฟังดูเข้าใจยากถึงไม่ค่อยอยากพูด ผมเคยจัดสัมมนาตามโรงแรมด้วย ผมก็จะทำกับ ดร.เทพพนม เมืองแมน เราก็จะบรรยายเรื่องต่างๆ แล้วก็จะมีคนมาฟัง แล้วก็มารับรักษา ผม ตั้งใจทำไปเรื่อยๆ แต่ไม่คิดเอามาทำเป็นธุรกิจ เพราะว่าที่ได้มาก็ไม่ได้ไปซื้อมา เราใช้ทุกอย่างจากตัวเรา จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้มาก แล้วก็ไม่ค่อยอยากแสดงตัวมากเพราะว่าไม่ได้คิดว่าเราเป็นคนที่มีความพิเศษ หรือวิเศษกว่าคนอื่น เพียงแต่ว่าเราคิดบวก ทำดี ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นใครที่วิเศษ ผมแค่เอาสิ่งที่เรามีไปช่วยคนอื่นได้เท่านั้นเอง”
    </td></tr></tbody></table>

    http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9560000128395
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2015
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถ้าปฏิบัติไม่ถึง หรือไม่ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ จากผู้รู้จริง พอไปอ่านตำรา ก็ไปมัวแต่ยึดติดตำรา มโนคิดไปเองโน้นนี้ ก็ย่อมไม่เข้าใจว่า สมาธิ ฌาน เป็นอย่างไร ก็เพราะเองไม่เคยได้ ก็ย่อมไม่เข้าใจเป็นธรรมดา

    ร่ายกาย สิ่งต่างๆ ทางกาย นั้นมันแค่ภายนอก ไม่ใช่ภายในจิต ภายในใจ ครับ

    จะทำอาการอย่างไรก็แล้วแต่ จะ ยืน เดิน นั่ง นอน เค้าก็มีตำราสอนบอกอยู่แล้ว ว่าสามารถ ทำสมาธิ ฌาน ได้ทุก อริยาบท

    จะทำอะไร จะขับรถ จะอ่านหนังสือ ก็แล้วแต่ ถ้าจิต ใจ ภายใน มันสงบ สงบจากนิวรณ์5 ก็ย่อมเข้าสมาธิ เข้าฌานได้นั้นเอง เป็นอารมณ์ภายในจิต นั้นเอง

    ไม่ใช่ไปติดกับคำว่า สมถะ วิปัสสนา นั้นมันการแบ่งประเภทของการปฏิบัติ ไม่ใช่จับเอามามั่วไปหมด อย่างโน้นอย่างนี้ ครับ

    ถ้าปฏิบัติไม่ถึง ก็ย่อมไม่เข้าใจ ตีความเข้าใจผิดๆ ไปตามความคิดภูมิธรรมของตัวเอง

    .
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ลองกลับไปอ่านในพระไตรปิฏก ดูนะครับ ทรงสมาธิ ทรงฌาน หรือจะใช้ ฤทธิ์ ก็สมารถใช้ได้ปรกติ ในชีวิตประจำวัน

    พุทธประวัติ

    เพราะเหตุใดจึงแสดงยมกปฏิหาริย์ และปาฏิหาริย์นี้คืออะไร เกิดเหตุการสำคัญอะไรขึ้น


    ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จจากพระนครไพศาลี มาประทับยังพระเวฬุวันวิหาร ณ พระนครราชคฤห์ อีกวาระหนึ่ง...

    เศรษฐีผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในพระนครราชคฤห์ ได้ไม้จันทร์แดงท่อนใหญ่มาท่อนหนึ่งมีค่ามาก ดำริว่า

    บัดนี้ มีมหาชนโจษจันกันทั่วไปว่า ผู้นั้นเป็นพระอรหันต์ ผู้นี้เป็นพระอรหันต์ แม้สมณะก็มีหลายท่าน ที่ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ เราไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์ ที่เราควรจะเคารพนบไหว้ แล้วยอมตนเป็นสาวก บัดนี้ เห็นควรจะทดลองให้ปรากฏชัดแก่ตาของเราเอง

    จึงให้ช่างไม้กลึงไม้จันทร์แดงท่อนนั้นเป็นบาตร ให้เอาไม้ไผ่มาปักลงที่หน้าเรือน ต่อไม้ไผ่ให้สูงถึง ๑๕ วา แล้วให้เอาบาตรผูกแขวนไว้บนปลายไม้นั้น ให้ประกาศว่า

    ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่ ขอเชิญให้ท่านผู้นั้นจงเหาะมาในอากาศ แล้วถือเอาบาตรไม้จันทร์แดงนี้ตามปรารถนา และข้าพเจ้าพร้อมด้วยบุตรภรรยาจะเคารพนบนอบยอมตนเป็นสาวก นับถือบูชาตลอดชีวิต หากภายใน ๗ วันนี้ ไม่มีผู้ใดที่ทรงคุณ เป็นพระอรหันต์ เหาะมาถือบาตรแล้ว เราจะถือว่า ในโลกนี้ ไม่มีพระอรหันต์ดังที่มหาชนกล่าวขวัญถึงเลย......

    ในเวลานั้น ได้มีบุคคลหลายคนที่แสดงตนว่า เป็นพระอรหันต์ ด้วยอุบายต่างๆ และจะขอรับบาตรไป แต่มิได้เหาะไปถือเอาตามประกาศ ท่านเศรษฐีก็ยืนกรานไม่ยอมให้ทุกราย แม้เวลาจะได้ล่วงเลยไปแล้ว ๖ วัน จนเข้าวันที่ ๗ แล้ว ก็ยังไม่ปรากฎว่า มีผู้ใดได้เหาะมาถือเอาบาตรตามประกาศของท่านราชคฤห์เศรษฐีนั้น

    ประจวบกับในเช้าวันนั้น ท่านมหาโมคคัลลานะเถระ กับพระปิณโฑลภารทวาชะเถระ ได้ร่วมทางเดินมารับบาตรในพระนครคฤห์ หยุดยืนห่มจีวรอยู่ที่พื้นหินก้อนใหญ่ในภายนอกเมือง พระมหาเถระทั้งสองได้ยินเสียงมหาชนสนทนากันว่า วันนี้เป็นวันที่ ๗ วันสุดท้ายของวันประกาศ ของท่านราชคฤห์เศรษฐีแล้ว ยังไม่ปรากฏว่า มีพระอรหันต์องค์ใด เหาะมาถือบาตรไม้จันทร์แดงไปเลย พระอรหันต์คงจะไม่มีอยู่ในโลกนี้แน่แล้ว วันนี้แหละเราจะได้รู้ทั่วกันว่า ในโลกนี้จะมีพระอรหันต์จริงหรือไม่??

    พระมหาโมคคัลลานะเถระได้ปราศรัยกับพระปิณโฑลภารทวาชะเถระว่า

    ได้ยินไหมท่าน ? ผู้คนกำลังกล่าวดูหมิ่นพระศาสนา เป็นการเสื่อมเสียถึงเกียรติพระบรมศาสดา ตลอดถึงพระอรหันต์ทั้งหลายด้วย ฉะนั้น นิมนต์ท่านเหาะไปเอาบาตรไม้จันทร์แดงลูกนั้นเสียเถิด จะได้เปลื้องคำนินทาว่าร้ายนั้นเสีย

    เมื่อพระปิณโฑลภารทวาชะเถระ ได้โอกาสจากพระมหาโมคัลลานะผู้เป็นอัครสาวกเช่นนั้นแล้ว ก็เข้าสู่จตุตถฌาน อันเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญา ทำอิทธิปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศ กับทั้งแผ่นหินใหญ่ ซึ่งยืนเหยียบอยู่นั้นด้วย เลื่อนลอยไปดุจปุยนุ่นปลิวไปตามสายลม

    พระเถระเจ้าเหาะเวียนรอบพระนครราชคฤห์ ปรากฏแก่มหาชนทั่วไป ชนทั้งหลายพากันเอิกเกริกร้องชมปาฏิหาริย์เสียงลั่นสนั่นไป

    ครั้นพระมหาเถระเจ้าเหาะเวียนได้ ๗ รอบแล้ว ก็สลัดแผ่นหินที่เหยียบอยู่นั้น ให้ปลิวตกไปยังที่เดิม แล้วเหาะมาลอยอยู่เบื้องบนแห่งเรือนท่านเศรษฐีนั้น......

    เมื่อท่านเศรษฐีได้เห็นเช่นนั้น ก็เกิดปีติเลื่อมใสสุดที่จะประมาณ ได้หมอบกราบจนอุระจดถึงพื้น แล้วร้องอาราธนาพระเถระเจ้าให้ลงมาโปรด

    เมื่อพระปิณโฑลภารทวาชะเถระลงมานั่งบนอาสนะที่ท่านเศรษฐีได้จัดตกแต่งไว้เป็นอันดีแล้ว ท่านเศรษฐีก็ให้นำบาตรไม้จันทน์แดงนั้นลงมาบรรจุอาหารอันประณีตลงในบาตรนั้นจนเต็ม แล้วน้อมถวายพระเถระเจ้าด้วยคารวะอันสูง พระเถระเจ้ารับบาตรแล้ว ก็บ่ายหน้ากลับยังวิหาร..

    ฝ่ายชนทั้งหลายที่ไปธุระกิจในที่อื่นเสีย กลับมาไม่ทันได้เห็นปาฏิหาริย์นั้น ก็รีบพากันติดตามพระเถระเจ้าไปเป็นอันมาก ร้องขอให้ท่านเมตตาแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ให้ชมบ้าง พระเถระเจ้าก็แสดงปาฏิหาริย์ให้ชนทั้งหลายนั้นชมตามปรารถนา แล้วไปสู่วิหาร

    พระบรมศาสดาได้ทรงสดับเสียงมหาชนอื้ออึง ติดตามพระปีณโฑภาระทวาชะมาเช่นนั้น จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า

    “ เสียงอะไร ”

    พระอานนท์ก็กราบทูลให้ทรงทราบ จึงรับสั่งให้หาพระปิณโฑลภารทวาชะเถระมาถาม ครั้นทรงทราบความแล้ว ก็ทรงตำหนิว่า เป็นการไม่สมควร แล้วโปรดให้ทำลายบาตรไม้จันทน์แดงนั้น ย่อยให้เป็นจุณ แจกพระสงฆ์ทั้งหลายบดให้เป็นโอสถใส่จักษุ ทั้งทรงบัญญัติห้ามสาวกทำปาฏิหาริย์สืบไป

    ฝ่ายเดียรถีย์ทั้งหลายได้ทราบเหตุนั้นแล้ว ก็พากันดีใจ คิดเห็นไปว่า ตนได้โอกาสจะยกตนแล้ว ก็ให้เที่ยวประกาศว่า

    “ เราจะทำปาฏิหาริย์แข่งฤทธิ์กับพระสมณะโคดม

    ครั้นพระเจ้าอชาตศัตรูราชทรงสดับข่าวเช่นนั้น ก็เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลถามว่า

    “ ได้ทราบว่า พระองค์ทรงบัญญัติห้ามพระสาวกทำปาฏิหาริย์หรือประการใด ? ”

    เมื่อพระบรมศาสดาทรงรับว่า

    “ดูกร มหาบพิตร เป็นจริงอย่างที่ทรงทราบ ”

    พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทูลต่อไปอีกว่า

    “บัดนี้ พวกเดียรถีย์ กำลังเตรียมการทำปาฏิหาริย์ พระองค์จะทำประการใด?”

    “ดูกรมหาบพิตร ทรงรับสั่ง ถ้าเดียรถีย์ทำปาฏิหาริย์ ตถาคตก็จะทำบ้าง “

    “ข้าแต่พระสุคต ก็พระองค์ทรงบัญญัติห้ามทำปาฏิหาริย์แล้ว มิใช่หรือ? “

    “จริงอย่างมหาบพิตรรับสั่ง แต่ตถาคตห้ามเฉพาะพระสาวกเท่านั้น หาได้ห้ามการทำของตถาคตเองไม่ “

    “ข้าแต่พระบรมครู พระองค์ทรงบัญญัติห้ามผู้อื่น แต่พระองค์เว้นไว้เช่นนั้นหรือ “

    “...ดูกรมหาบพิตร ผิฉะนั้น ตถาคตจะถามพระองค์บ้าง พระราชอุทยานของมหาบพิตรทั้งหลายนั้น ถ้าคนทั้งหลายมาบริโภคผลไม้ต่าง ๆ มีผลมะม่วง เป็นต้น ในพระราชอุทยานนั้น พระองค์จะทำอันใดแก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น “

    “ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์ก็จะให้ลงทัณฑ์แก่คนเหล่านั้น “

    “ดูกรมหาบพิตร ผิวะพระองค์เสวยผลไม้ ในพระราชอุทยานนั้นเล่า ควรจะได้รับอาชญาหรือไม่ ประการใด? “

    “ข้าแต่พระบรมครู ข้าพระองค์เป็นเจ้าของ บริโภคได้ ไม่มีโทษ “

    “ดูก่อนมหาบพิตร ตถาคตก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน เหตุนั้น ตถาคตจึงจะทำยมกปาฏิหาริย์ เยี่ยงอย่างพุทธประเพณีสืบมา “

    พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทูลถามว่า

    “ เมื่อใด พระองค์จะทรงทำปาฏิหาริย์ ”

    “ นับแต่นี้ไปอีก ๔ เดือน ถึงวันเพ็ญอาสาฬหมาส เดือน ๘ ตถาคตจึงจะทำปาฏิหาริย์”

    “ พระองค์จะทรงทำ ณ สถานที่ใด พระเจ้าข้า ”

    “ ดูกรมหาบพิตร ตถาคตจะทำปาฏิหาริย์ ณ ที่ใกล้พระนครสาวัตถี “

    ครั้นเดียรถีย์ทั้งหลายได้ทราบข่าวนั้น ก็เตรียมพร้อมที่จะติดตามไปทำปาฏิหาริย์ ณ ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับประกาศให้มหาชนทราบด้วยว่า พระสมณะโคดมจะหนีเราไปทำปาฏิหาริย์ ณ เมืองสาวัตถี เราทั้งหลายจะพากันติดตาม ไม่ยอมให้หนีไปให้พ้น

    ส่วนพระบรมศาสดาเสด็จกลับจากบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์แล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเดินไปพระนครสาวัตถี โดยลำดับแห่งมรรคา ด้วยความสบายไม่รีบร้อน ประทับพักแรมตามระยะทาง แม้เหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายก็พากันติดตามพระบรมศาสดาจนถึงพระนครสาวัตถี

    ครั้นถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้จัดสร้างมณฑป ประกาศแก่ชาวเมืองว่า จะทำปาฏิหาริย์ที่มณฑปนั้น

    ครั้งนั้น พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ทรงทราบข่าวว่า พระบรมศาสดา เสด็จมาประทับยังพระเชตวันวิหารแล้ว จึงเสด็จออกมาเฝ้าแล้วกราบทูลว่า

    “ บัดนี้ เหล่าเดียรถีย์จัดทำมณฑป เพื่อแสดงปาฏิหาริย์ หม่อมฉันจะทำมณฑปถวาย เพื่อเป็นที่แสดงปาฏิหาริย์”

    ครั้นพระบรมศาสดาทรงห้าม ก็ทูลถามว่า

    “พระองค์จะทรงทำปาฏิหาริย์ ณ สถานที่ใด? ”

    พระบรมศาสดาตรัสว่า

    “ ตถาคตจะทำปาฏิหาริย์ ณ ที่ใกล้ร่มไม้คัณฑามพพฤกษ์ (ไม้มะม่วง) “

    เมื่อเดียรถีย์ได้ล่วงรู้ข่าวนั้นแล้ว ก็ให้จัดการทำลายบรรดาต้นมะม่วงในบริเวณนั้นทั้งสิ้น แม้แต่เมล็ดมะม่วงที่เพิ่งงอกขึ้น ก็มิให้มี เพื่อมิให้เป็นโอกาสแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทำปาฏิหาริย์ ดังพระวาจาที่ทรงรับสั่งแก่พระเจ้าปัสเสนทิโกศล

    ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน ๘ เวลาเช้า

    พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ยังมิทันจะถึงพระนคร ขณะนั้น นายอุทยานบาล ชื่อว่า คัณฑะผู้รักษาสวนหลวง ได้เห็นผลมะม่วงผลใหญ่ผลหนึ่ง สุกอยู่บนต้น มีกิ่งใบบังอยู่ มดแดงตอมอยู่โดยรอบ กาก็กำลังจ้องจะเข้าจิกกิน นายคัณฑะดีใจจึงไล่กาให้บินหนีไปแล้ว สอยผลมะม่วงสุกนั้นลงมา มุ่งจะเอาไปถวายพระเจ้าปัสเสนทิโกศล เดินมาในระหว่างทาง ก็ประจวบพบพระผู้มีพระภาคเจ้า มีศรัทธาเลื่อมใส จึงได้น้อมผลมะม่วงสุกผลนั้นเข้าไปถวายพระบรมศาสดา

    ครั้นพระองค์ทรงรับแล้ว ประสงค์จะประทับนั่งเสวยผลมะม่วง ณ ที่ตรงนั้น พระอานนท์เถระเจ้าก็ปูลาดอาสนะถวายตามพระพุทธประสงค์ พร้อมกับเอาผลมะม่วงนั้น ทำเป็นอัมพปานะถวายให้ทรงเสวย...

    ครั้นพระบรมศาสดาทรงเสวยอัมพปานะแล้ว จึงรับสั่งให้นายอุทยานบาลนั้นเอาเมล็ดมะม่วงนั้นปลูกที่พื้นดิน ณ ที่ตรงนั้น แล้วพระบรมศาสดาก็ทรงอธิษฐานล้างพระหัตถ์รดเมล็ดมะม่วงนั้น ซึ่งเพิ่งเพาะในขณะนั้น

    ด้วยพระพุทธานุภาพ เมล็ดมะม่วงก็เริ่มงอกในทันใดนั้นเอง แล้วเริ่มเกิดเป็นลำต้น แตกใบ แตกกิ่งก้านสาขาโดยลำดับ จนต้นมะม่วงใหญ่สูงได้ ๑๒ วา ๒ ศอก พร้อมกับตกช่อ ออกดอก ออกผล อ่อน แก่ สุก ถึงงอม หล่นตกลงภาคพื้นออกเกลื่อนกล่น มหาชนเดินผ่านมาก็เก็บบริโภค มีรสหวานสนิท ไม่ช้าข่าวมะม่วงพิเศษ ซึ่งเป็นของอัศจรรย์ก็แพร่ไปทั่วพระนคร ประชาชนก็พากันสัญจรหลั่งไหลมาชมเป็นอันมาก สุดที่จะประมาณ

    ลำดับนั้น พระเจ้าปัสเสนทิโกศล จึงโปรดให้จัดรักษาต้นมะม่วง ตลอดที่ในบริเวณนั้น ป้องกันมิให้ใครเข้ามาทำอันตราย

    คนทั้งหลายมาชมแล้ว บ้างก็เก็บกินตามประสงค์ แล้วชวนกันด่าแช่งเหล่าเดียรถีย์ว่า เป็นคนชั่วช้า มีเจตนาร้าย จ้างให้คนทำลายต้นมะม่วง แม้แต่เมล็ดงอกก็ไม่ให้เหลือ เพื่อจะมิให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทำปาฏิหาริย์ให้สมจริงดังพระวาจา

    บัดนี้ คัณฑามพพฤกษ์เกิดขึ้นเป็นลำดับสูงใหญ่ยิ่งกว่าที่เคยเห็นมาแต่กาลก่อนแล้วพวกเจ้าจะว่าประการใด

    บางคนที่คนองกาย ก็เอาเมล็ดมะม่วงขว้างเดียรถีย์ เย้ยหยันให้ได้อาย

    ในเวลาเที่ยงวันนั้นเอง ท้าวสักกะอมรินทราธิราชได้บันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดเป็นธุลีรอบบริเวณนั้น พัดมณฑปของเดียรถีย์ทำลายลงสิ้น ทั้งบันดาลให้ฝนลูกเห็บใหญ่ตกถูกเดียรถีย์ทั้งหลาย ไม่สามารถจะทนทานอยู่ได้ ต้องพากันหนีไปจากที่นั้นสิ้น ปูรณกัสสปหัวหน้าเดียรถีย์ทั้งหลาย ได้รับความอับอาย น้อยใจเป็นที่สุด ได้ใช้เชือกผูกหม้อข้าวยาคูพันเข้ากับคอของตนแล้วกระโดดลงแม่น้ำ ทำลายชีวิตตนเองเสีย

    ครั้นเพลาบ่าย ประชาชนทั้งหลายได้มาประชุมกัน ณ บริเวณรอบต้นคัณฑามพพฤกษ์เป็นอันมาก

    จึงพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระคันธกุฎี เพื่อทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ประทับยืน ณ ที่หน้าพระวิหาร ขณะนั้น พระสาวกและสาวิกาทั้งหลายที่มีฤทธิ์ ต่างก็เข้าเฝ้า ขอประทานโอกาสทำปาฏิหาริย์ถวาย พระบรมศาสดาไม่ทรงประทาน

    ต่อนั้นพระบรมศาสดาก็ทรงเข้าจตุตถฌานอันเป็นที่ตั้งแห่งอภิญญา ทรงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศ เสด็จดำเนินไปมา ณ พื้นรัตนจงกรม แล้วทรงนิรมิตพระพุทธนิรมิตเหมือนพระองค์ขึ้นองค์หนึ่ง แสดงอิริยาบถให้ปรากฏสลับกับพระองค์ คือพระองค์เสด็จประทับยืน พระพุทธนิรมิตเสด็จนั่ง พระองค์ประทับนั่ง พระพุทธนิมิตประทับยืน ทุก ๆ อิริยาบถสลับกัน บางทีพระพุทธนิมิตตรัสถาม พระองค์ตรัสตอบ พระองค์ตรัสถามบ้าง พระพุทธนิมิตตอบบ้าง

    ในที่สุดทรงทำปาฏิหาริย์ให้เกิดท่อน้ำ ท่อไฟ พวยพุ่งออกจากพระกายเป็นคู่ ๆ รอบ ๆ พระกาย เป็นสาย ๆ ไม่ระคนกันสว่างงามจับท้องฟ้านภากาศ เป็นมหาอัศจรรย์ยิ่งนัก

    ...ครั้งนั้น เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ประชุมกันชมพระพุทธปาฏิหาริย์มากมายสุดที่จะคณนา พระบรมศาสดาทรงทำปาฏิหาริย์แล้ว ก็ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทที่สันนิบาตประชุมกันอยู่ในที่นั้น ในเวลาจบพระธรรมเทศนา พุทธบริษัททั้งเทพดาและมนุษย์ ได้บรรลุอริยมรรคอริยผล เป็นอันมาก


    คัดมาจาก พุทธประวัติทัศนศึกษา โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)
    Buddha Main Page
     
  16. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    วิสุทธิมรรคระบุว่า พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสติ
    อุปสมานุสติ มรณานุสสติ เป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับอุปจาระสมาธิ
    สีลานุสสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับปฐมฌาน(ฌาน๑)
    กายคตานุสสติและอานาปานุสสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับจตุตถฌาน(ฌาน๔)

    อ้างอิง: อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โลกวรรคที่ ๑๓ [๑] พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

    กำลังสมาธิในอนุสสติทั้ง ๑๐ มีกำลังสมาธิแตกต่างกันอย่างนี้
    พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ อนุสสติทั้ง ๗ นี้
    มีกำลังสูงสุดเพียงอุปจารสมาธิ ลีลานุสสติ มีกำลังสมาธิถึงอุปจารสมาธิ และอย่างสูงสุดเป็นพิเศษ ถึงปฐมฌานได้
    ทั้งนี้ถ้าท่านนักปฎิบัติฉลาดในการควบคุมสมาธิจึงจะถึงปฐมฌานได้้ แต่ถ้าทำกันตามปกติธรรมดาแล้ว

    ก็ทรงได้เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น กายคตานุสสติกรรมฐานกองนี้ ถ้าพิจารณาตามปกติในกายคตาแล้ว
    จะทรงสมาธิได้เพียงปฐมฌานเท่านั้น แต่ถ้านักปฎิบัติฉลาดทำ หรือครูฉลาดสอน ยกเอา สีเขียว ขาว แดง
    ที่ปรากฎในอารมณ์แห่งกายคตานุสสตินั้นเอามาเป็นกสิณ ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคดังนี้
    กรรมฐานกองนี้ก็สามารถทรงสมาธิได้ฌาน ๔ ตามกำลังสมาธิในกสิณนั้น
    อานาปานุสสติ สำหรับอานาปานุสสตินี้ มีกำลังสมาธิถึงฌาน ๔ สำหรับท่านที่มาวาสนาบารมีสาวกภูมิิ
    สำหรับท่านที่มีบารมี คือปรารถนาพุทธภูมิแล้วก็สามารถทรงสมาธิได้ฌาน ๕ ฌาน ๔

    ๑ พุทธานุสสติกรรมฐาน
    กรรมฐานกองนี้ท่านสอนให้ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า การระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า
    ระลึกได้ไม่จำกัดว่าจะต้องระลึกตามแบบของท่านผู้นั้นผู้นั้นที่สอนไว้้โดยจำกัด เพราะพระพุทธคุณ
    คือคุณความดีของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมาย แล้วแต่บางท่านจะระลึกโดยใช้ว่า "พุทโธ" หรือ "สัมมาอรหัง"
    "อิติสุคโต" ต่าง ๆ ดังนี้เป็นต้น แล้วแต่ท่านจะถนัดหรือสะดวก ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2015
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [​IMG]

    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    วัดท่าขนุน กาญจนบุรี

    ถาม : ท่องคัมภีร์อัลกุรอานอย่างไรครับ ?

    ตอบ : ที่จะพูดถึงคือเรื่องนี้ แม้แต่คนอิสลามก็ตาม เขาท่องคัมภีร์ตามความเชื่อถือของเขา ท่องบ่นด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาและจริงจัง ก็ยังเกิดอภิญญาได้ แล้วของเราเอง..ศาสนาพุทธ วิธีสร้างอภิญญามีนับไม่ถ้วน สู้เขาไม่ได้นี่น่าขายหน้านะ..!

    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ช่วงก่อนทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๓


    ท่องคาถาจนได้อภิญญา - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
     
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    วัดท่าขนุน กาญจนบุรี


    ตอนนี้พวกทหารจากกองร้อยทางนราธิวาส จะโทรมาปรึกษาประจำ ครั้งล่าสุดที่เขาโทรมาเกิดจากว่า มีอิสลามคนหนึ่ง เขาท่องคัมภีร์อัลกุรอาน ท่องแบบกลับหลังแล้วเกิดอภิญญาขึ้นมา เพียงแต่ว่าเขากลายเป็นบ้า ๆ บอ ๆ แล้วไปก่อคดีตามแรงบ้าของเขา ตำรวจทหารจะไปจับเขาก็จับไม่ได้ เพราะถึงเวลาเหมือนกับเขาหายไปเฉย ๆ พ้นวงล้อมตำรวจไปแล้วถึงเห็นตัวอีกที

    พอโจรรายนี้เข้าไปในเขตของ ผบ.ร้อยท่านนี้ เขาก็ต้องออกไปปิดล้อมและตรวจค้นว่าผู้ร้ายอยู่ที่ไหน พอรู้ว่าโจรมันหนีเข้าไปในสวนยาง เขาก็โทรมาถามอาตมาว่า "ผมจะทำอย่างไรดี ?" อาตมาถามเขาว่า "ในตัวของเอ็งมีอะไรบ้าง ?" เขาบอกว่า "มีพระกริ่งพิชัยสงครามกับตะกรุดมหาสะท้อน"

    "เอ็งอาราธนาตามวิธีที่ให้ไปเลยนะ คาถามีกี่บทว่าให้หมด ขอบารมีพระท่านแค่ว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ต้องสำเร็จ" ไม่ขออย่างอื่น พอเขาวางกำลังล้อมเสร็จ เขาก็อธิษฐานขอให้ปฏิบัติการครั้งนี้สำเร็จ ปรากฏว่าไอ้โจรบ้านั่นเดินออกมาเฉย ๆ เดินออกมาให้ล็อกตัวเลย เดินออกมาเห็น ๆ ด้วย เขาคงจะเดินออกมาลักษณะแบบที่ฝ่าวงล้อมคนอื่น แต่คนอื่นไม่เห็น อย่างที่เคยทำได้ทุกที แต่ครั้งนี้เขาเห็น ก็เลยจับตัวได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้เขาเอาไปไว้ที่ไหน ?

    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ช่วงก่อนทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๓


    ท่องคาถาจนได้อภิญญา - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    จิตทรงฌาน

    อย่าถือว่า..ทำฌานสมาบัติแล้ว ทำโน่นทำนี่ไม่ได้! ไอ้นั่นแหละตัวนรกล่ะ! ไม่ช้า..มานะมันจะเกิด..และจะกินที่ไหนล่ะ...! ไม่ทำตายโหงตายห่าล่ะ...!


    หลวงพ่อฤาษี พระราชพรหมยาน
    พระธรรมคำสั่งสอน เก็บมาเล่าสู่กันฟัง ตรงไหนโดนใจ ว่ากันไป: วันนี้วันพระ ตรงกับวันพฤหัสบ
     
  20. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    โดยส่วนตัว เชื่อว่า ได้นะคะ
    เพราะเคยหลับตาสวดมนต์ สวดไปนานๆ แล้วบทที่เราสวดเป็นบทที่เราชอบและสวดได้คล่องจึงน่าจะขึ้นอยู่ที่จริตด้วยส่วนหนึ่ง
    พอสวดไปนานๆ มันหยุดสวดของมันเอง เราไม่ได้อยากหยุด เราไม่ได้หลับ
    เสียงที่สวดหายไป เงียบ สงบ นิ่ง ว่าง เหมือนเราอยู่ในที่ว่างเปล่า
    จู่ๆเสียงเราก็กลับมาสวดมนต์ต่อเองได้เลย กลับมาได้ยินเสียงตัวเองสวดเหมือนเดิม
    ยัง งง เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คิดว่าเกิดจากสมาธินะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...